รายงานการวิจัยในชัน้ เรยี น เรอ่ื ง ผลของการใช้จัดการเรยี นการสอนโดยใช้โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นฐาน ทมี่ ีพฤตกิ รรมการ เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ของนกั เรียนในวิทยาลยั การอาชีพสอง The Effect of Using Science Project - Based Learning on Science Learning Behaviors and Skills in the 21st Century of students in Song Industrial and Community College โดย นายศภุ โชค สาลนี ลิ ตาแหนง่ ครู วทิ ยาลยั การอาชพี สอง สานกั งานคณะกรรมการอาชวี ศกึ ษา
รายงานการวิจัยปฏิบัติการในชนั้ เรียน ชอื่ เร่อื ง ผลของการใช้จดั การเรยี นการสอนโดยใชโ้ ครงงานวิทยาศาสตร์เปน็ ฐาน ท่มี ีพฤติกรรมการเรียนรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละทักษะในศตวรรษท่ี 21 ของนกั เรยี นในวิทยาลยั การอาชพี สอง ช่อื ผู้วิจยั นายศภุ โชค สาลีนลิ สอนวิชา วิทยาศาสตร์เพ่ืออาชพี ชา่ งอุตสาหกรรม รหสั วชิ า 3000-1302 ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 1 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา วิทยาศาสตรม์ ีบทบาทสาคัญยิ่งในสังคมโลกปจั จบุ นั และอนาคต เพราะวทิ ยาศาสตรเ์ กยี่ วขอ้ งกบั ชวี ิต ของทกุ คนท้งั ในการดารงชวี ติ ประจาวันและในงานอาชีพต่างๆ เครอื่ งมือเคร่อื งใช้ ตลอดจนผลผลิตตา่ งๆ เพื่อ ใช้อานวยความสะดวกในชวี ติ และการทางาน ลว้ นเป็นผลของความร้วู ทิ ยาศาสตร์ ผสมผสานกบั ความคิด สรา้ งสรรค์และศาสตร์อ่ืนๆ ความรวู้ ิทยาศาสตร์ช่วยให้เกดิ การพฒั นาเทคโนโลยีอยา่ งมาก พร้อมกันนัน้ เทคโนโลยีก็มสี ว่ นสาคญั มากทจ่ี ะให้การศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตรเ์ พิ่มขน้ึ อย่างไมห่ ยดุ ย้ัง จากการ จดั การเรียนรผู้ วู้ จิ ัยพบว่านกั เรียนในวทิ ยาลัยการอาชีพสอง ขาดความสนใจในการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ขาด ทักษะทางคณติ ศาสตร์ อีกทัง้ ยงั ขาดทักษะท่ีจาเปน็ ในศตวรรษที่ 21 ผ้วู ิจยั จึงไดน้ าการจดั การเรยี นรูโ้ ดยโครงงานวทิ ยาศาสตร์เป็นฐาน (Science Project - Based Learning) มาเป็นรูปแบบในการจัดการเรยี นการสอน ซึง่ เป็นแนวทางการจัดการศึกษาทีบ่ รู ณาการความรู้ วิทยาศาสตรเ์ ข้ากบั กระบวนการทางานอย่างมีระบบ โดยเน้นการนาความรู้ไปใชแ้ ก้ปัญหาในชวี ิตจรงิ รวมท้งั การพฒั นากระบวนการหรือผลผลติ ใหม่ ทเ่ี ป็นประโยชนต์ ่อการดาเนินชวี ิต และการทางาน 2. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย 2.1 เพ่อื พฒั นาทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของผเู้ รยี น 2.2 เพ่ือพฒั นาความริเริม่ สร้างสรรค์และนวตั กรรม 2.3 เพอ่ื พัฒนาทักษะชวี ติ และการทางาน 3. คาถามการวจิ ัย การใชจ้ ัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ ฐาน สง่ ผลต่อความสนใจในช้ันเรียนและ ทกั ษะความรเิ ริ่มสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม และทกั ษะชีวติ และการทางาน ของนักเรยี นในวิทยาลยั การอาชีพ สองอยา่ งไร
4.เอกสารและงานวิจยั ท่เี กย่ี วขอ้ ง ในการวจิ ยั คร้งั น้ผี ้วู ิจยั ได้ศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ยี วข้องดงั นี้ 4.1 สะเต็มศกึ ษา(Science Technology Engineering and Mathematics Education) (วัฒนา มังคสมนั , 2551) ได้ใหค้ วามหมายของการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐานไวว้ ่า เป็น เป็นการจดั ประสบการณ์ท่เี ปิดโอกาสให้เด็กได้ศกึ ษาเรื่องใดเรอ่ื งหน่งึ อย่างลมุ่ ลึก โดยเร่ืองทเี่ รยี นและประเดน็ ปัญหาทีศ่ ึกษามาจากความสนใจของตวั เด็กเอง การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนมงุ่ ให้เดก็ มีประสบการณ์ตรง กบั เรอื่ งท่ศี ึกษาน้นั โดยการเปดิ โอกาสใหเ้ ด็กไดส้ งั เกตอยา่ งใกลช้ ิดจากแหล่งความร้เู บื้องต้น อาจใชร้ ะยะเวลา ที่ยาวนานอย่างเพยี งพอตามความสนใจของเด็ก เพื่อท่ีจะให้เด็กได้คน้ พบคาตอบและคล่ีคลายความสงสัย ใน การจัดกจิ กรรมเด็กอาจประสบกบั ความสาเร็จและความลม้ เหลวในวิธีการแสงหาความรู้ และเมื่อเขาพบ คาตอบกจ็ ะนาความรทู้ ี่ไดม้ าเสนอในรปู แบบตา่ ง ๆ ตามความตอ้ งการของเด็กเอง ปราชญ์ รัตนานนั ท์ (2553) ให้ความหมายของโครงงานไว้ว่า เป็นกจิ กรรมการเรียนรู้ทีท่ าใหผ้ ู้เรยี น ไดใ้ ช้ทักษะท่หี ลากหลายในการศกึ ษาคา้ คว้าเรื่องราวที่ผู้เรยี นมคี วามสนใจ เกิดปัญหาข้อสงสยั และตอ้ งการ คาตอบใหม่ ๆ มาอธบิ าย ท้งั นีก้ จิ กรรมการเรียนรู้ต้องเน้นผเู้ รยี นเปน็ สาคญั ทุกข้ันตอน ครูเป็นผทู้ ่ีคอยดูแลให้ คาปรึกษา หรือกระตุน้ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ บญุ เลย้ี ง ทุมทอง (2548) ไดใ้ หค้ วามหมายของโครงงานไว้วา่ เปน็ การจัดการเรยี นร้รู ูปแบบหนึง่ ที่ เน้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญท่ีต้องการใหผ้ ้เู รยี นเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ปฏบิ ตั จิ ริงในการศึกษา สารวจ ทดลอง คน้ คว้า และประดิษฐด์ ว้ ยตนเอง โดยมีครเู ป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชดิ จึงกลา่ วสรปุ ไดว้ า่ การจัดการเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน คอื การจัดประสบการณ์การเรียนรใู้ ห้ ผูเ้ รยี นไดเ้ ลือกและสรา้ งกระบวนการเรียนร้เู ร่อื งใดเรื่องหนึง่ อย่างลมุ่ ลกึ ด้วยตนเอง โดยใช้วิธกี ารและแหลง่ การ เรยี นรทู้ หี่ ลากหลายและสามารถนาผลการเรียนรูไ้ ปใชใ้ นชวี ิตได้ การจัดการเรยี นรูต้ ามแนวทางสะเตม็ มลี ักษณะ 5 ประการได้แก่ การประกอบอาชีพ (1) เปน็ การสอนท่เี น้นการบูรณาการ เนอื้ หาทั้ง 4 วิชา (2) ช่วยนักเรียนสรา้ งความเช่ือมโยงระหว่างเนื้อหาวิชาทัง้ 4 กบั ชวี ติ ประจาวนั และ (3) เนน้ การพัฒนาทักษะในศตวรรษท่ี 21 (4) ท้าทายความคิดของนักเรียน (5) เปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นได้แสดงความคดิ เห็น และความเข้าใจทสี่ อดคลอ้ งกับ
จุดประสงค์ของการจัดการเรียนรูต้ ามแนวทางสะเต็มศึกษา คือ สง่ เสริมให้ผเู้ รยี นรักและเหน็ คุณค่า ของการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ และเห็นว่าวิชาเหลา่ น้ันเปน็ เรือ่ ง ใกล้ตัวทส่ี ามารถนามาใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นชวี ติ ประจาวนั ดังน้ัน สะเต็มศึกษาจงึ ไม่ใชเ่ รื่องใหม่ แตเ่ ป็นการต่อ ยอดหลักสตู รโดยบูรณาการการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวศิ วกรรมศาสตร์ และ คณิตศาสตร์ เพื่อนาไปใช้แก้ปัญหาในชีวติ จรงิ และการประกอบอาชีพในอนาคต สะเต็มศึกษาจงึ ส่งเสริมการเรียนรูผ้ ่านกิจกรรมหรอื โครงงานทีม่ ่งุ แก้ปญั หาท่ีพบเหน็ ในชีวิตจรงิ เพอ่ื สรา้ งเสริมประสบการณ์ ทกั ษะชีวิต ความคิดสรา้ งสรรค์ นาไปสู่การสร้างนวัตกรรม ผเู้ รียนท่มี ปี ระสบการณใ์ น การทากจิ กรรมหรือโครงงานสะเตม็ จะมคี วามพร้อมท่ีจะไปปฏิบตั งิ านที่ต้องใชอ้ งคค์ วามรู้ และทักษะดา้ น วทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในภาคการผลติ และการบริการทสี่ าคัญตอ่ อนาคตของประเทศ เชน่ การเกษตร อุตสาหกรรม การพลังงาน สิง่ แวดล้อม การบริการสขุ ภาพ ลอจิสติกส์ (มนตรี, 2556) กลา่ วโดยสรปุ ได้ว่า สะเต็มศึกษา คอื แนวทางการจดั การศึกษาใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรียนรู้และสามารถ บรู ณาการความรทู้ างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ไปใช้ในการ เช่ือมโยงและแกป้ ัญหา ในชวี ิตจรงิ รวมทัง้ การพัฒนากระบวนการหรอื ผลผลติ ใหมค่ วบคู่ไปกบั การพัฒนา ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 วตั ถปุ ระสงค์ของการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐานไว้ 4 หลกั การ คือเมื่อใช้รปู แบบการจดั การ เรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐานแลว้ ผเู้ รียนมลี ักษณะสาคัญดังน้ี 4.1.1 สามารถพฒั นากระบวนการคดิ ของตนเอง 4.1.2 สามารถลงมอื ปฏิบัติกิจกรรมไดด้ ว้ ยตนเอง 4.1.3 สามารถแก้ไขปัญหาไดอ้ ยา่ งเปน็ กระบวนการ 4.1.4 เห็นคุณค่าในตนเอง 4.2 ทกั ษะในศตวรรตท่ี 21 ศตวรรษท่ี 21 เปน็ ยุคแหง่ เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งต้องยอมรบั วา่ เราไมส่ ามารถ ต้านกระแสความ เปลีย่ นแปลงของสงั คมโลกในปจั จุบันและอนาคต โดยเปน็ ไปในลกั ษณะที่มีการสื่อสารอย่างรวดเร็วมีการ แขง่ ขันสูงท้งั ในดา้ นการศึกษา อาชีพ เศรษฐกจิ ดังน้นั การเตรียมคนรุน่ ใหม่ให้มที ักษะทจี่ าเป็นเพ่ือใหด้ ารงชวี ิต ในสังคมท่ีมีการเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ จึงมคี วามจาเป็นอยา่ งยิ่ง ซึ่งมขี ้อสรปุ ร่วมกนั ว่า ทกั ษะท่จี าเป็นใน ศตวรรษที่ 21 ควรมอี ยู่ 3 ด้าน 4.2.1 ทกั ษะดา้ นการเรยี นรู้และนวตั กรรม เป็นทกั ษะที่กาหนดความพร้อมของนักเรียนเข้าสู่โลกการทางานทม่ี คี วามซบั ซ้อนมากขึน้ ใน ปัจจบุ นั ได้แก่
4.2.1.1 ความรเิ ริม่ สรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม 1) การคดิ อย่างสรา้ งสรรค์ 2) ทางานกับผู้อน่ื อย่างสร้างสรรค์ 3) การสรา้ งนวตั กรรม 4.2.1.2 การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและการแกป้ ัญหา 1) การให้เหตุผลอย่างมปี ระสิทธิผล 2) การใชก้ ารคิดอยา่ งเป็นระบบ 3) การพิจารณาและการตดั สินใจ 4.2.1.3 การสอื่ สารและการร่วมมอื 1) สื่อสารอย่างชัดเจน 2) การร่วมมอื กับผู้อ่นื 4.2.2 ทกั ษะดา้ นสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี เนอ่ื งด้วยในปจั จบุ นั มีการเผยแพร่ข้อมลู ขา่ วสารผ่านทางส่อื และเทคโนโลยีมากมาย ผ้เู รยี นจึงตอ้ งมี ความสามารถในการแสดงทกั ษะการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและปฏิบัตงิ านไดห้ ลากหลาย โดยอาศยั ความร้ใู น หลายด้าน ดงั นี้ 4.2.2.1 ความรู้ด้านสารสนเทศ 1) การเข้าถึงและการประเมินขอ้ มูลสารสนเทศ 2) การใชแ้ ละการจัดการสารสนเทศ 4.2.2.2 ความรู้เกยี่ วกับส่ือ 1) การวเิ คราะหส์ ื่อ 2) การผลติ สื่อ 3) การพจิ ารณาและตัดสินใจ 4) การแก้ปัญหา 4.2.2.3 ความรู้ด้านเทคโนโลยี 1) การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ
4.2.3 ทกั ษะด้านชวี ิตและการทางาน ในการดารงชวี ิตและทางานในยคุ ปจั จุบนั ให้ประสบความสาเรจ็ ผ้เู รียนจะตอ้ งพฒั นาทักษะชีวติ ท่ี สาคญั ดงั ต่อไปนี้ 1) ความยืดหยนุ่ และความสามารถในการปรบั ตัว 2) ความคดิ ริเร่ิมและการช้ีนาตนเอง 3) ทกั ษะทางสังคมและการเรยี นรู้ข้ามวฒั นธรรม 4) การเพ่ิมผลผลติ และความรรู้ บั ผดิ 5) ความเปน็ ผนู้ าและความรับผิดชอบ (สพุ รรณี, 2556) 4.2.4 การจัดการเรยี นรู้เพ่ือพฒั นาทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 2.4.1 การสอนให้เกดิ ทักษะการเรียนในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นเชงิ สหวิทยาการของวิชาแกน 2.4.2 สร้างโอกาสทีจ่ ะประยุกต์ทกั ษะเชิงบูรณาการข้ามสาระเนอ้ื หา และสร้างระบบการ เรยี นรู้ทเี่ น้นสมรรถนะเป็นฐาน (Competencybased) 2.4.3 สรา้ งนวตั กรรมและวิธกี ารเรยี นรใู้ นเชงิ บรู ณาการท่มี ีเทคโนโลยีเป็นตวั เกื้อหนุน การ เรยี นรูแ้ บบสบื ค้น และวิธีการเรยี นจากการใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem-based Learning) เพือ่ การสร้าง ทักษะข้นั สูงทางการคดิ 4.2.5 การประเมินผลการจัดการเรยี นร้ใู นศตวรรษท่ี 21 1) สรา้ งความสมดลุ ในการประเมินผลเชงิ คุณภาพ โดยการใช้แบบทดสอบมาตรฐาน สาหรบั การทดสอบย่อยและทดสอบรวมสาหรบั การประเมินผลในช้ันเรียน 2) เนน้ การนาประโยชนข์ องผลสะทอ้ นจากการปฏบิ ัติของผู้เรยี นมาปรับปรุงแก้ไข 3) ใช้เทคโนโลยีเพอ่ื ยกระดับการทดสอบวัดและประเมนิ ผลใหเ้ กิดประสิทธิภาพ 4) สร้างและพัฒนาระบบแฟ้มสะสมงาน (Portfolios) ของผู้เรยี นใหเ้ ปน็ มาตรฐานและ มีคุณภาพ (ไสว, 2556)
4.3 งานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้อง 4.3.1 (ลุฏฟี , 2560) การศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนชีววิทยา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 5 การวิจัยคร้ังน้ีเพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานท่ีมีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนชวี วทิ ยา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคร้ังน้ี คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6 โรงเรียน เดชะปตั ตนยานกุ ุล อ.เมอื ง จ.ปัตตานีท่ีก าลงั ศึกษาในภาคเรียนที่2/2559 จ านวน 35 คน ซ่ึงได้มาโดยการ สุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ใช้วิธีการจับสลากโดยกาหนดให้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เรื่องการสังเคราะห์ด้วยแสง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยา แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ัน บูรณาการ 5 ทักษะ แบบวัดเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ และแบบบันทึกภาคสนาม โดยด าเนินการทดลองกลุ่ม ตัวอย่างเดียวมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (The One-Group Pretest-Posttest Design) วิเคราะห์ ข้อมลู โดยหาคา่ เฉลี่ยสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test - dependent group) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชีววิทยาของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการ เรียนรู้แบบโครงงานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนทไี่ ด้รบั การจัดการเรียนรแู้ บบโครงงานหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติท่ีระดับ .01 3. เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .01 4.3.2 (นรุ ไอนี, 2559) ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับภูมิปัญญาท้องถ่ินท่ีมีต่อ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรู้ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถ่ินท่ีมีต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตร์ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนส่งเสริมอิสลามศึกษา จังหวัดปัตตานี สังกัดสานักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด ปัตตานีภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2558 จานวน 1 ห้องเรียน นักเรียนรวม 33 คน ใช้เวลาในการจัดการ เรียนรู้18 ชั่วโมง เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานร่วมกับภูมิปัญญาท้องถ่ิน วิชาวิทยาศาสตร์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์แบบวัดทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์แบบประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ แบบบันทึกภาคสนามของผู้วิจัย และแบบสัมภาษณ์นักเรียนเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้ดาเนินการทดลองตาม รปู แบบการวิจัยแบบ One Group Pretest -Posttest Design วเิ คราะห์ข้อมลู โดยหาค่าเฉลี่ย และการหาค่า คะแนนพัฒนาการ (Growth Score)ด้วยวิธีวัดคะแนนเพิ่มสัมพัทธ์(Relative Gain Score) ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนค่าเฉลี่ยร้อยละ 36.67 และ
หลังเรียนค่าเฉลี่ยร้อยละ 67.37 (2) นักเรียนมีคะแนนพัฒนาการทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังการจัดการ เรียนรแู้ บบโครงงานร่วมกับภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ เฉลี่ย เทา่ กบั 48.28 คะแนน มีพัฒนาการอยู่ในระดับปานกลาง (3) นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียนค่าเฉลี่ยร้อยละ 42.15 และหลังเรียนค่าเฉล่ียร้อยละ 69.83 (4) นักเรียนมีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลัง เรียนในระดับปานกลาง และนักเรยี นมีระดับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลังเรียน ในระดับค่อนข้างดี (5) นกั เรียนมีความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรียนร้แู บบโครงงานร่วมกบั ภูมิปัญญาท้องถิ่นในระดบั มาก 5.ระเบียบวิธีวิจยั 5.1 กระบวนทัศน์ท่ีใช้ในการวิจยั งานวจิ ยั คร้ังนี้เป็นงานวจิ ยั เชงิ คุณภาพ ตามกระบวนทศั น์การวิจัยแบบ Post-positivism ตามทฤษฎี วิพากษ์ (Critical Theory) 5.2 รปู แบบการวจิ ยั งานวจิ ยั ในคร้ังน้เี ปน็ การวชิ ยั ปฏบิ ตั ิการในช้ันเรียน ผา่ นกระบวนการจัดการเรียนการสอนดว้ ยการนา การจดั การเรยี นรูโ้ ดยใช้โครงงานวิทยาศาสตร์เป็นฐาน มาดัดแปลงใหเ้ หมาะสมกบั บริบทของวิทยาลัยการ อาชพี สอง โดยใช้การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากการสังเกตภุ าคสนามของผูส้ อน ภาพการสอน ช้ินงานผเู้ รียน ใบ งานและการทาแบบสอบถามจากผเู้ รียน ทาการวจิ ยั โดยจดั การเรยี นรู้ในรายวิชา วิทยาศาสตร์เพ่ือเพื่อพัฒนา อาชพี อตุ สาหกรรม ศกึ ษาและสังเกตุพฤติกรรมผู้เรยี นต้องแต่เรมิ่ ต้นทาโครงงานจนสิน้ สดุ 5.2 ผู้เข้ารว่ มวิจยั นักเรียนระดบั ช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพปที ่ี 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 สาขาวชิ าช่างยนต์ และสาขาเทคโนโลยสี ารสนเทศ จานวน 35 คน 5.2 เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย/นวัตกรรม ไดแ้ ก่ โครงงานวิทยาศาสตร์ของผูเ้ รียน 5.3 การเก็บรวบรวมข้อมลู 3.1 บนั ทกึ การสังเกตผเู้ รียนของผ้สู อนแบบมีส่วนรว่ ม 3.2 แบบสอบถามความคดิ เห็นของผเู้ รยี นแบบมสี ่วนรว่ ม (ออนไลน)์ 3.3 ใบงานและชิ้นงานของผูเ้ รยี น 3.4 ภาพและวดี ีโอการสอน
6. การวิเคราะหข์ ้อมูล/สถติ ิทใี่ ช้ในการวจิ ัย ใชก้ ารตรวจสอบข้อมลู ทเ่ี ก็บรวบรวมได้แบบสามเส้า (triangulation) โดยใช้ขอ้ มูลจากเครื่องมือเก็บ รวบรวมข้อมลู มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความสร้างข้อสรปุ แบบอุปนยั (inductive) ซง่ึ ได้จากการสงั เกตและ การสมั ภาษณ์ทไ่ี ด้จดบนั ทกึ ไว้จากสิง่ ทีเ่ ป็นรูปธรรมหรือปรากฏการณ์ที่มองเหน็ โดยผวู้ จิ ยั ไดเ้ ห็นหลาย ๆ เหตกุ ารณแ์ ละได้ทาการตรวจสอบขอ้ มลู แบบสามเส้าแล้วก็สามารถลงมือเขียนเปน็ ประโยคหรือข้อความเพื่อ สรา้ งขอ้ สรุปได้ตามกรอบแนวคิดทฤษฎีหรือเพ่ือตอบปัญหาของการวจิ ยั 7. ผลการวจิ ัย/อภิปรายผลวิจัย จากการจัดการเรียนรู้ โดยใช้โครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นฐาน เพือ่ แก้ไขปัญหาการขาดทักษะ กระบวนการวิทยาศาสตร์และขาดทักษะในศตวรรษที่ 21 พบว่า ผู้เข้าร่วมวิจัยมีความสนใจตอ่ การเรยี น เพม่ิ ขนึ้ บรรยากาศในการจัดการเรยี นรู้มคี วามผ่อนคลายและมีความสนุกต่อการเรียน สงั เกตจากพฤตกิ รรม การเข้าเรยี นของผู้เข้ารว่ มวจิ ยั ท่ีตรงเวลาสม่าเสมอมากข้นึ และในแบบสารวจความคิดเห็นของผเู้ ข้ารว่ มวจิ ัย ส่วนใหญม่ ีความสนุกกับการเรยี นไมร่ สู้ ึกเบ่ือหนา่ ยและตอ้ งการใหจ้ ดั กิจกรรมอกี ผู้เข้าร่วมวิจยั มีการตอบโต้ ระหว่างครูผู้วจิ ัยมากขึน้ มกี ารใช้กระบวนการกลุม่ ได้ดี ผเู้ ข้าร่ววจิ ัยใชค้ วามคิดของตนเองมากข้นึ และได้ สรา้ งสรรค์มากข้ึน สงั เกตจากการที่ผูเ้ ขา้ รว่ มวจิ ยั มีการปรบั เปล่ียนงานใหเ้ กิดความเหมาะสมอยูบ่ อ่ ยคร้ัง มีการ โต้แยง้ กนั ภายในกลมุ่ เพ่ือให้งานเกิดความสาเร็จขน้ึ แตย่ งั พบวา่ ผู้เขา้ ร่วมวิจยั บางคนยังขาดการยอมรับฟัง ความคดิ เหน็ ของผู้อนื่ และไม่ให้ความรว่ มมอื ในการทางานอยบู่ ้าง นอกจากน้ยี ังพบอีกวา่ ผูเ้ ขา้ ร่วมวิจัย มี พัฒนาการในการใชเ้ ครื่องมือทางวทิ ยาศาสตร์และเข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากขึน้ สังเกตจุ ากการ ทผ่ี วู้ ิจยั ไดใ้ ห้ผ้เู ข้าร่วมวจิ ยั ดาเนินการทดลองดว้ ยตนเองมีการใชเ้ คร่ืองมือได้อย่างถูกต้องและยังขาดความ แม่นยาในการใช้ ผูเ้ รยี นบางสว่ นเกิภาวะผ้นู าจากการทาโครงงานสังเกตุได้จากพฤติกรรมการแนะนาและ กระตุน้ สมาชิกภายในกลุ่มใหท้ างาน และจากการสรวจความคดิ เห็นของผู้เขา้ รว่ มวิจัย พบว่าตนเองมีความ รับผดิ ชอบมากข้ึน เช่นเดยี วกับการสังเกตของผวู้ จิ ยั ที่พบวา่ ผเู้ ขา้ ร่วมวจิ ยั สง่ งานตรงเวลาและทางานตาม แผนการปฏบิ ตั ิงานในโรงงานเปน็ อยา่ งดี ผูว้ จิ ัยจงึ สรุปว่าในวจิ ยั ครง้ั น้สี ามารถพฒั นาทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 ได้ ทกั ษะความริเริม่ สรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม ผเู้ รียนมีการคิดอย่างสร้างสรรค์ การทางานกับผอู้ ื่นอยา่ งสรา้ งสรรค์ ทักษะสังคมและสังคมขา้ ม วฒั นธรรม ให้เกดิ ขึน้ อยา่ งเห็นไดช้ ัด ซึง่ ผเู้ รยี นมีปฏสิ มั พนั ธ์อย่างมปี ระสทิ ธิภาพกบั ผอู้ นื่ ทางานอย่างมี ประสิทธภิ าพในทีมท่ีมีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังพบวา่ นกั เรยี นบางกลุ่ม มที กั ษะภาวะผ้นู า สามารถ แนะนาผูอ้ ่นื และมีความรับผดิ ชอบตอ่ ผู้อน่ื ดังนั้นการการจัดการเรียนรใู้ นครง้ั นจี้ ึงถือไดว้ ่าประสบความสาเรจ็ ในการพัฒนาทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และสามารถพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผเู้ รียนให้ สูงขึ้นได้
8. ข้อเสนอแนะ 8.1 การบริหารจัดการชนั้ เรียนเปน็ ส่งิ สาคญั ท่ีอาจทาให้เกดิ ความคลาดเคลื่อนในงานวจิ ัย จึงต้องมี การจดั การที่ดีเพื่อไมใ่ หเ้ กิดความคลาดเคล่อื น ในการนารูปแบบตามท่ีผวู้ จิ ัยไปใชป้ ระโยชน์ 8.2 การนาการวจิ ยั ในครง้ั นไี้ ปใชป้ ระโยชนค์ วรคานงึ ถึงบริบทของห้องเรียนของผทู้ ่ีนาผลการวจิ ัยไป ใช้ดว้ ย 9. เอกสารอา้ งอิง นรุ ไอนี ดือรามะ. (2559). ผลของการจัดการเรียนร้แู บบโครงงานรว่ มกับภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ ที่มีตอ่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความพึงพอใจต่อ การจดั การเรียนรูข้ องนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4 (วิทยานิพนธ์). บัณฑิตวิทยาลัย. มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์ บญุ เลย้ี ง ทุมทอง. (2548). แนวการออกแบบการจัดการเรียนรูโ้ ครงงานคณิตศาสตร์. ในประมวลองค์ ความรู้และงานวจิ ัยหลักสูตรและการเรยี นรู้. ฉนั ทนา กล่อมจติ , ลัดดา ศลิ านอ้ ย และพรชนติ ว์ ลีนาราช. (บรรณาธิการ). ขอนแกน่ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น. ปราชญ์ รตั นานนั ท์ (2553). คิดโครงงานสงั คมศกึ ษา (พิมพ์ครงั้ ที่ 2). กรงุ เทพฯ: เปน็ ภาษา และศลิ ปะ. ลฏุ ฟี ดอเลาะ. (2560). ผลของการจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงานทีม่ ตี ่อผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นชวี วทิ ยา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 5. บณั ฑิตวทิ ยาลัย. มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์ วฒั นา มงั คสมัน. (2551). การสอนแบบโครงการ (พิมพ์ครัง้ ที่ 2). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุพรรณี ชาญประเสรฐิ . (2556). การจดั การเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละทกั ษะท่จี าเปน็ ในศตวรรษท่ี 21. นติ ยสารสถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 42(185), 10-13. ไสว ฟกั ขาว. (2558). ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills). ค้นเม่อื 25 สิงหาคม 2562, จาก http://web.chandra.ac.th/blog/wp-content/uploads/2015/10 10/ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่- 21-พับ.pdf
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: