รายงานวิจัยในช้ันเรยี น การใช้ Google Classroom ในการจัดการเรยี นการสอน วชิ า วิทยาการคานวณ2 เพอ่ื พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2/4 โรงเรยี นประโคนชัยพทิ ยาคม อาเภอประโคนชยั จงั หวัดบรุ รี ัมย์ ปกี ารศกึ ษา 2/2563 นางฐิติยาภรณ์ ทวี ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะครชู านาญการ โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษาบุรีรมั ย์ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ชื่อเรื่อง การใช้ Google Classroom ในการจัดการเรียนการสอน วิชา วิทยาการคานวณ2 เพ่ือพฒั นาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน สาหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2/4 ช่อื ผ้วู ิจยั โรงเรยี นประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวดั บรุ ีรัมย์ สถานศึกษา นางฐติ ิยาภรณ์ ทวี ปกี ารศกึ ษา โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม 2/2563 บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพ่ือพัฒนา Google Classroom วิชา วิทยาการ คานวณ2 สาหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 2 2) เพ่อื เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 ที่เรียนผ่าน Google Classroom วิชา วิทยาการ คานวณ2 และ 3) เพื่อศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 ที่มีต่อการเรียนผ่าน Google Classroom วิชา วิทยาการคานวณ2 กลมุ่ ตัวอยา่ ง ได้แก่ นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ จานวน 40 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) Google Classroom 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา วิทยาการ คานวณ2 เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อ และ 3) แบบสอบถามความพึง พอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วย Google Classroom สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉล่ีย ร้อยละ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย Google Classroom วชิ า วิทยาการคานวณ2 ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 จานวน 40 คน ผลที่ได้ จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน ซึ่งมีคะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนนเฉล่ยี ได้ 14.63 คดิ เปน็ ร้อยละ 73.13 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.09 และผลท่ีได้จากการทาแบบทดสอบหลังเรียนซึ่งมีคะแนนเต็ม 20 คะแนนเท่ากัน นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 17.53 คิดเป็นร้อยละ 87.63 ส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.92 ผลปรากฏว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ส่วนในด้านผลการ ประเมินความพึงพอใจ พบว่า รายการคาถามประเด็นท่ี 1 ระบบ Google Classroom ช่วยลด ปัญหางานการส่งงานล่าช้า มีคะแนนเฉล่ียมากท่ีสุด เท่ากับ 4.74 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.44 รองลงมาคือรายการคาถามประเด็นที่ 8 การเรียนด้วยระบบ Google Classroom ช่วยให้ กระตือรือร้นในการเรียนมากขึ้น มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.59 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.55 และรายการคาถามท่ีมีคะแนนความพึงพอใจตา่ สดุ คอื มีการเชื่อมโยงเน้ือหาที่เก่ียวกับบทเรียนไปยัง linkขอ้ มลู อื่น มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.31 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.52 และมีค่าเฉลี่ยรวม ทุกรายการ เท่ากับ 4.47 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 เม่ือนามาเปรียบเทียบเกณฑ์ท่ีได้ กาหนดไวพ้ บวา่ อยใู่ นเกณฑ์มาก (1)
กติ ตกิ รรมประกาศ รายงานการวจิ ยั ในชั้นเรียน เร่อื ง การใช้ Google Classroom ในการจดั การเรียนการสอน วชิ า วิทยาการคานวณ2 เพอื่ พัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ เล่มน้ี สาเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความ กรณุ าเป็นอยา่ งดีย่งิ จาก ผู้อานวยการโรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ท่ีได้ให้คาแนะนาและให้คาปรึกษา ผวู้ จิ ยั รสู้ กึ ซาบซ้งึ และขอขอบพระคุณเปน็ อย่างสูง ขอขอบคุณคณะครู กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนประโคนชัย พิทยาคมทุกท่าน ทใ่ี ห้การสนับสนุน ใหก้ าลังใจในการจดั ทารายงานวจิ ัยในชน้ั เรยี นเล่มน้ี คุณคา่ และประโยชน์ของรายงานวิจัยในช้ันเรียนเล่มน้ี ขอมอบเป็น เครื่องบูชาพระคุณบิดา มารดา และครอู าจารยท์ ุกท่านท่ีไดอ้ บรมส่ังสอน ประสทิ ธ์ปิ ระสาทความรู้แกผ่ ู้วิจยั ฐิตยิ าภรณ์ ทวี 9 มีนาคม 2564 (2)
สารบัญ หนา้ (1) บทคดั ย่อ (2) กติ ติกรรมประกาศ (3) สารบญั (5) สารบัญตาราง 1 บทท่ี 1 บทนา 1 2 ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา 3 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 3 สมมตุ ิฐานของการวจิ ยั 3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ บั 3 ขอบเขตของการวจิ ยั 5 นยิ ามศัพท์เฉพาะ 5 บทที่ 2 เอกสารเกย่ี วข้อง หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานพทุ ธศักราช 2551 9 กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) 17 Google Classroom 20 ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน 22 งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง 22 บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวิจัย 22 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 22 เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 23 การสร้างเครื่องมอื 24 การดาเนนิ การศกึ ษา 25 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 25 การวเิ คราะห์ข้อมูล 26 สถิติทใี่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 30 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 30 บทที่ 5 สรุปผลการวจิ ัยและขอ้ เสนอแนะ 31 สรุปผลการวิจัย ข้อเสนอแนะ (3)
สารบัญ (ต่อ) หน้า 32 บรรณานุกรม 34 ภาคผนวก 35 39 Google Classroom หอ้ งเรยี นออนไลน์ 45 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจของผเู้ รียน (4)
สารบัญตาราง หนา้ 22 ตารางที่ 24 1 แสดงระยะเวลาในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 2 แสดงผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนผ่านหอ้ งเรียนออนไลน์ Google Classroom 26 ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2/4 3 สรุปผลการประเมินความพึงพอใจตอ่ การเรยี นผ่านหอ้ งเรียนออนไลน์ Google Classroom วชิ า วิทยาการคานวณ2 โดยนักเรียน ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2/4 (5)
บทท่ี 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคญั ของปัญหำ การให้การศึกษาสาหรับศตวรรษท่ี 21 จะมีความยืดหยุ่น สร้างสรรค์ ท้าทาย และซับซ้อน เป็นการศึกษาที่จะทาให้โลกเกิดการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วเต็มไปด้วยส่ิงท้าทาย ลักษณะของ หลักสูตรในศตวรรษที่ 21 จะเป็นหลักสูตรที่เน้นคุณลักษณะเชิงวิพากษ์ (critical attributes) เชิงสห วิทยาการ (interdisciplinary) ยึดโครงงานเป็นฐาน (project-based) และขับเคลื่อนด้วยการวิจัย (research-driven) เชื่อมโยงท้องถิ่นชุมชนเข้ากับภาค ประเทศ และโลก ในบางโอกาสนักเรียน สามารถร่วมมือ (collaboration) กับโครงงานตา่ งๆ ไดท้ ว่ั โลก เปน็ หลกั สตู รที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูง พหุปัญญา เทคโนโลยีและมัลติมีเดีย ความรู้พ้ืนฐานเชิงพหุศตวรรษท่ี 21 และการประเมินผลตาม สภาพจริง ทักษะทีค่ าดหวังสาหรับศตวรรษที่ 21 ทีเ่ รยี นร้ผู ่านหลักสูตรที่เป็นสหวิทยาการ บูรณาการ ยดึ โครงงานเป็นฐานและอ่ืนๆ ดังกลา่ วจะเน้นเรอื่ ง 1) ทกั ษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะชีวิต และอาชีพ 3) ทกั ษะสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี ท่ีคาดหวังว่าจะเกดิ ขน้ึ ได้จากความร่วมมือ ในการ ทางานเป็นทมี การคิดเชิงวิพากษ์ ในปัญหาที่ซับซ้อน การนาเสนอดว้ ยวาจาและด้วยการเขียน การใช้ เทคโนโลยี ความเป็นพลเมืองดี การฝึกปฏิบัติอาชีพ การวิจัย และการปฏิบัติส่ิงต่างๆ ท่ีกล่าวมา ข้างต้น (สานักแผนและประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา. ม.ป.ป. : 1) สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดทา ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ในการนี้ได้กาหนดให้รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) อยู่ในกลุ่ม สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ ซง่ึ มีเปา้ หมายมุ่งพัฒนาผเู้ รยี นให้มคี วามรูค้ วามเข้าใจเก่ียวกับเทคโนโลยี เพ่ือดารงชีวติ ในสังคมที่มกี ารเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเรว็ ใช้ความรู้และทักษะเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม บูรณาการกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตรอ์ ยา่ งเหมาะสม เลือกใช้เทคโนโลยีโดยคานึงถึงผลกระทบต่อ ชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม (สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. 2560 : 4) การจัดการเรียนการสอนรายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี เป็นรายวิชาใหม่ท่ีสถาบัน สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีกาหนดให้เป็นรายวิชาพ้ืนฐานท่ีนักเรียนทุกคนต้องเรียน เพ่อื ใหผ้ ้เู รียนมคี วามรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกับเทคโนโลยีเพื่อดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว ใชค้ วามรู้และทักษะเพือ่ แกป้ ญั หาหรอื พฒั นางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการ ออกแบบเชิงวิศวกรรม บูรณาการกับศาสตร์อื่นโดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์อย่าง เหมาะสม เลือกใช้เทคโนโลยโี ดยคานึงถึงผลกระทบตอ่ ชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม
2 จากสภาพปญั หาการจดั การเรยี นการสอนรายวชิ า การออกแบบและเทคโนโลยี เป็นรายวิชา ทีม่ ีเนื้อหาทตี่ อ้ งเรียนจานวนมาก และเป็นวชิ าพน้ื ฐานทีน่ ักเรียนทุกคนต้องเรียนเพื่อนาความรู้ท่ีได้ไป ต่อยอดการเรียนเนื้อหาคอมพิวเตอร์ในระดับที่สูงข้ึน ปัญหาการส่งงานไม่ตรงตามเวลาที่กาหนด หรือไม่สง่ งานของนักเรียนอย่บู อ่ ยครั้ง ซงึ่ ทาให้ครูไม่สามารถวดั ทักษะและความก้าวหน้าของนักเรียน ได้ อีกทั้งปัญหาในเร่ืองเวลาเรียนไม่เพียงพอ เนื่องจากโรงเรียนมีการจัดกิจกรรมหลายๆ กิจกรรมท่ี นักเรยี นตอ้ งเขา้ ร่วม ทาให้เวลาเรยี นในห้องเรียนไมเ่ พียงพอตอ่ การจดั การเรยี นการสอน Google classroom เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ใน Google Apps for Education ที่บริษัท Google ได้พัฒนาข้ึนสาหรับองค์กรการศึกษาที่อยู่ภายใต้ความร่วมมือ เพ่ือให้ผู้สอนสามารถ สร้างสรรค์ห้องเรียนแบบออนไลน์ ท่ีมีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ท้ังด้านการใส่ เนือ้ หาบทเรยี น วีดีทศั น์ การทาแบบทดสอบ การมอบหมายงานและกาหนดวนั ส่งรายงานได้ สามารถ ตรวจงานและใหค้ ะแนนได้อย่างสะดวก ประหยดั เวลา รวมถงึ การประกาศ การถาม-ตอบ ซ่ึงสามารถ ทางานไดอ้ ย่างสะดวกโดยการเก็บไฟล์งานต่างๆ อย่างเป็นระบบใน Google drive ภายใต้โฟลเดอร์ “Classroom” ซ่ึงประกอบด้วยโฟลเดอร์ย่อยๆ ข้างในแยกตามรายวิชาที่ผู้สอนสร้างข้ึนหรือเป็น อาจารย์ผู้ร่วมสอน รวมท้ังการใช้งานร่วมกับ Apps อื่นๆ ของ Google ได้เป็นอย่างดี รวมถึง Add on ต่างๆ เช่น Gmail Google calendar Google docs sheets slides และ Google forms เป็นต้น (การจัดการความรู้ คณะเภสชั ศาสตรม์ หาวิทยาลยั อุบลราชธานี. 2558) จากเหตผุ ลดังกลา่ วข้างต้น ทาให้ผูว้ ิจยั มีความสนใจที่จะพัฒนา Google Classroom ในการ จัดการเรยี นการสอน วชิ า วทิ ยาการคานวณ2 เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาหรับนักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปที ่ี 2/4 ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล แก้ปัญหาการส่งงานโดยลดอุปสรรคในการ ส่งงานแบบปกติ ให้ส่งผา่ น Google Classroom ทสี่ ามารถสง่ งานได้ตลอดเวลาและทุกท่ีที่นักเรียนมี สญั ญาณอนิ เตอร์เน็ต เพื่อให้ผลสัมฤทธ์ิในการจดั การเรยี นการสอนมีประสิทธิภาพทีส่ ูงขึ้น วัตถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย 1. เพ่อื พัฒนา Google Classroom วชิ า วิทยาการคานวณ2 สาหรับนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 2. เพื่อเปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2/4 ทเี่ รียนผ่าน Google Classroom วิชา วิทยาการคานวณ2 3. เพอ่ื ศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2/4 ท่มี ีต่อการเรยี นผ่าน Google Classroom วิชา วทิ ยาการคานวณ2
3 สมมตุ ฐิ ำนของกำรวิจยั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 หลังเรียนผ่าน Google Classroom วชิ า วิทยาการคานวณ2 สูงกว่าก่อนเรียน และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน ผา่ น Google Classroom ระดับมาก ประโยชน์ทค่ี ำดว่ำจะได้รบั ได้พัฒนาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน วชิ า วิทยาการคานวณ2 โดยใช้ Google Classroom เพ่อื ใหน้ ักเรียนมผี ลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นและนักเรยี นทกุ คนมีความรู้ความ เข้าใจใน วชิ า วทิ ยาการคานวณ2 สามารถนาความรทู้ ่ไี ด้รับไปประยกุ ต์ใช้ในเน้ือหาสาระระดับสงู ขึ้น ตอ่ ไป ขอบเขตของกำรวจิ ัย 1. ประชำกรและกลมุ่ ตัวอยำ่ ง 1.1 ประชากร ได้แก่ นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 ทีก่ าลงั ศึกษาอยใู่ นภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 โรงเรยี นประโคนชัยพทิ ยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบรุ ีรมั ย์ จานวน 483 คน 1.2 กลมุ่ ตัวอยา่ ง ได้แก่ นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2/4 ทีก่ าลงั ศึกษาอยู่ในภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 โรงเรียนประโคนชยั พิทยาคม อาเภอประโคนชยั จังหวดั บุรรี มั ย์ จานวน 40 คน โดยการส่มุ ตวั อย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) 2. ตวั แปรทศี่ กึ ษำในกำรวิจยั 2.1 ตัวแปรตน้ ได้แก่ Google Classroom 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น วชิ า วิทยาการคานวณ2 3. เนือ้ หำทใี่ ชใ้ นกำรทดลอง การวิจยั ครง้ั น้ใี ชเ้ นอ้ื หาตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระยะเวลำทใี่ ชใ้ นกำรวิจัย ระยะเวลาที่ใชใ้ นการวิจยั คือ ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 โดยดาเนินการและ เกบ็ รวบรวมข้อมลู ระหว่างวนั ที่ 1 ธนั วาคม 2563 - 23 กุมภาพนั ธ์ 2564 จานวน 15 ชั่วโมง นิยำมศพั ท์เฉพำะ 1. Google Classroom หมายถงึ หอ้ งเรียนแบบออนไลน์ ท่มี ีการปฏิสมั พนั ธก์ นั ระหว่าง ผู้สอนและผูเ้ รยี น ทั้งด้านการใสเ่ นอ้ื หาบทเรยี น วีดีทัศน์ การทาแบบทดสอบ การมอบหมายงานและ
4 กาหนดวนั ส่งรายงานได้ สามารถตรวจงานและให้คะแนนได้อยา่ งสะดวก ประหยัดเวลา รวมถงึ การ ประกาศ การถาม-ตอบ ซง่ึ สามารถทางานไดอ้ ย่างสะดวกโดยการเกบ็ ไฟล์งานตา่ งๆ 2. ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น หมายถงึ คะแนนทนี่ กั เรยี นได้จากการทาแบบทดสอบ วัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนทผ่ี ูว้ จิ ยั สรา้ งขน้ึ วิชา วิทยาการคานวณ2 ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 3. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทำงกำรเรยี น หมายถึง เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการวัดความสามารถ ของนักเรยี น วชิ า วทิ ยาการคานวณ2 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ
5 บทท่ี 2 เอกสำรท่ีเก่ยี วข้อง การศึกษาวิจัยครัง้ น้เี ปน็ การใช้ Google Classroom ในการจดั การเรยี นการสอน วชิ า วิทยาการคานวณ2 เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2/4 โรงเรยี นประโคนชัยพทิ ยาคม ผวู้ จิ ยั ได้ศกึ ษาคน้ คว้าเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ดังต่อไปนี้ 1. หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. Google Classroom 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น 4. งานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง หลกั สูตรกลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์มบี ทบาทสาคญั ยิ่งในสังคมโลกปจั จบุ ันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เก่ียวข้อง กบั ทกุ คน ท้ังในชีวิตประจาวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่ืองมือเครื่องใช้และ ผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพื่ออานวยความสะดวกในชีวิตและการทางาน เหล่าน้ีล้วนเป็นผลของ ความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ ได้พัฒนาวิธีคิด ท้ังความคิดเป็นเหตุเป็นผลคิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะสาคัญในการ ค้นคว้าหาความรู้ ใช้ความรู้และทักษะเพ่ือแก้ปัญหาหรือพัฒนางานด้วยกระบวนการออกแบบเชิง วศิ วกรรม มคี วามสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเปน็ ระบบ รวมท้ังสามารถค้นหาข้อมูลหรือสารสนเทศ ประเมินสารสนเทศ ประยุกต์ใช้ทักษะการคิดเชิงคานวณและความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เพ่ือแก้ปัญหาในชีวิตจริงอย่างสร้างสรรค์ สามารถ ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานท่ีตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรม ของโลกสมัยใหม่ ซ่ึงเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge based society) ดังนั้นทุกคนจึง จาเป็นตอ้ งได้รับการพัฒนาให้รูว้ ิทยาศาสตร์ เพอ่ื ทจี่ ะมคี วามรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยี ทม่ี นุษย์สร้างสรรคข์ นึ้ สามารถนาความรไู้ ปใช้อยา่ งมเี หตผุ ล สร้างสรรค์ และมคี ณุ ธรรม กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่ีเน้นการเชื่อมโยง ความรู้กบั กระบวนการ มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการ สบื เสาะหาความรู้และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทา กิจกรรมด้วยการลงมือปฏบิ ตั ิจรงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดับช้ัน โดยกาหนดสาระสาคัญ 4 สาระ
6 1. สำระกำรเรยี นรู้ 1.1 วทิ ยำศำสตร์ชีวภำพ เรียนรูเ้ กย่ี วกบั ชีวิตในส่งิ แวดล้อม องค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต การดารงชีวติ ของมนุษย์และสตั ว์ การดารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและ วิวัฒนาการของสิง่ มีชวี ิต 1.2 วทิ ยำศำสตรก์ ำยภำพ เรียนรเู้ กยี่ วกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนท่ีพลังงาน และคลนื่ 1.3 วทิ ยำศำสตร์โลก และอวกำศ เรยี นร้เู กย่ี วกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปล่ยี นแปลงลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ สิ่งมีชวี ิตและสิง่ แวดลอ้ ม 1.4 เทคโนโลยี 1) กำรออกแบบและเทคโนโลยี เรยี นรเู้ กย่ี วกบั เทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคม ทีม่ กี ารเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ใชค้ วามรแู้ ละทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์ อนื่ ๆ เพ่อื แกป้ ญั หาหรือพฒั นางานอย่างมีความคิดสรา้ งสรรคด์ ว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดยคานึงถึงผลกระทบต่อชวี ิต สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม 2) วิทยำกำรคำนวณ เรียนรเู้ กย่ี วกับการคิดเชิงคานวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา เป็นข้ันตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอ่ื สารในการแก้ปัญหาท่ีพบในชวี ติ จริงได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ 2. มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ 2.1 สำระที่ 1 วทิ ยำศำสตร์ชวี ภำพ มำตรฐำน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่าง ส่ิงไม่มีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การ ถ่ายทอดพลังงาน การเปล่ียนแปลงแทนท่ีในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ ผลกระทบท่มี ีต่อทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ การแกไ้ ขปัญหาสงิ่ แวดล้อม รวมทง้ั นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียง สารเข้าและออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ ที่ทางานสัมพันธ์กนั ความสมั พันธข์ องโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่างๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธ์ กนั รวมท้งั นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ มำตรฐำน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมสารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทาง ชีวภาพและวิวัฒนาการของส่งิ มีชีวติ รวมทั้งนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
7 2.2 สำระที่ 2 วิทยำศำสตร์กำยภำพ มำตรฐำน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ ระหวา่ งสมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการ เปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี มำตรฐำน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อ วตั ถุ ลักษณะ การเคล่อื นท่แี บบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทั้งนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มำตรฐำน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอน พลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมท้งั นาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ 2.3 สำระท่ี 3 วิทยำศำสตร์โลก และอวกำศ มำตรฐำน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการ ของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อ สงิ่ มีชีวิตและการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ มำตรฐำน ว 3.2 เข้าใจองคป์ ระกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปล่ียนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปล่ียนแปลงลมฟ้าอากาศและ ภมู ิอากาศโลก รวมทัง้ ผลต่อส่ิงมีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม 2.4 สำระที่ 4 เทคโนโลยี มำตรฐำน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการ เปล่ยี นแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่ืน ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคานงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวิตสงั คม และส่ิงแวดลอ้ ม มำตรฐำน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริง อย่างเป็นขั้นตอนและเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรยี นรู้ การทางานและ การแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ รู้เท่าทัน และมจี ริยธรรม คณุ ภำพผเู้ รียน จบช้ันมัธยมศึกษำปที ี่ 3 1) เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบท่ีสาคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการทางาน ของระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ การดารงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การ เปล่ียนแปลงของยีนหรือโครโมโซมและตัวอย่างโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ประโยชนแ์ ละผลกระทบของสิง่ มชี ีวติ ดดั แปรพันธกุ รรมความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์ของ องค์ประกอบของระบบนเิ วศ และการถ่ายทอดพลังงานในสิ่งมีชีวติ 2) เข้าใจองคป์ ระกอบและสมบัตขิ องธาตุ สารละลาย สารบริสทุ ธิ์ สารผสม หลักการแยกสาร
8 การเปลย่ี นแปลงของสารในรูปแบบของการเปล่ียนสถานะ การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยา เคมแี ละสมบัตทิ างกายภาพและการใช้ประโยชนข์ องวัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวสั ดผุ สม 3) เข้าใจการเคลื่อนท่ี แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทาต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง แรงท่ี ปรากฏในชวี ติ ประจาวัน สนามของแรง ความสัมพนั ธ์ของงาน พลงั งานจลน์ พลงั งานศกั ย์โน้มถ่วง กฎ การอนรุ กั ษ์พลังงานการถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า การ ต่อวงจรไฟฟ้าในบ้านพลังงานไฟฟา้ และหลกั การเบอื้ งตน้ ของวงจรอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 4) เข้าใจสมบัติของคล่ืน และลักษณะของคลื่นแบบต่าง ๆ แสง การสะท้อน การหักเหของ แสงและทัศนอุปกรณ์ 5) เข้าใจการโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ การเกิดฤดู การเคล่ือนที่ปรากฏของ ดวงอาทิตยก์ ารเกดิ ขา้ งขน้ึ ข้างแรม การข้ึนและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้าขึ้นน้าลง ประโยชน์ของ เทคโนโลยีอวกาศและความก้าวหน้าของโครงการสารวจอวกาศ 6) เข้าใจลักษณะของชัน้ บรรยากาศ องค์ประกอบและปจั จยั ทมี่ ีตอ่ ลมฟา้ อากาศ การเกิดและ ผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์การเปล่ียนแปลง ภูมิอากาศโลกกระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และการใช้ประโยชน์ พลังงานทดแทนและ การใช้ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะช้ันหน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้าผิวดิน แหล่งน้าใต้ดิน กระบวนการเกิดและ ผลกระทบของภัยธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ัตภิ ัย 7) เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของ เทคโนโลยีความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ วเิ คราะห์ เปรียบเทียบและตดั สนิ ใจเพือ่ เลอื กใช้เทคโนโลยี โดยคานึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และ ส่ิงแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้างผลงานสาหรับกา ร แก้ปญั หาในชีวติ ประจาวนั หรอื การประกอบอาชีพโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รวมทั้ง เลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมปลอดภัย รวมทั้งคานึงถึงทรัพย์สิน ทางปญั ญา 8) นาข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นาเสนอข้อมูลและ สารสนเทศได้ตามวัตถปุ ระสงค์ ใชท้ กั ษะการคิดเชิงคานวณในการแกป้ ญั หาทพ่ี บในชวี ิตจริง และเขียน โปรแกรมอย่างง่ายเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างรู้เท่าทัน และรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม 9) ตัง้ คาถามหรอื กาหนดปญั หาทเี่ ช่อื มโยงกบั พยานหลักฐานหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ท่ี มีการกาหนดและควบคมุ ตวั แปร คดิ คาดคะเนคาตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานท่ีสามารถนาไปสู่ การสารวจ ตรวจสอบ ออกแบบและลงมอื สารวจตรวจสอบโดยใชว้ สั ดแุ ละเคร่อื งมือ
9 ทเี่ หมาะสม เลอื กใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศทเ่ี หมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ท้ังในเชิง ปรมิ าณและคุณภาพท่ไี ดผ้ ลเทยี่ งตรงและปลอดภยั 10) วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากการสารวจตรวจสอบจาก พยานหลักฐานโดยใชค้ วามรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุปและ สอ่ื สารความคิด ความรู้ จากผลการสารวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพอื่ ใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจไดอ้ ย่างเหมาะสม 11) แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบ และซ่ือสัตย์ ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มคี วามคิดสรา้ งสรรค์เกีย่ วกับเรือ่ งท่ีจะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เคร่ืองมือและวิธีการท่ี ให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของ ตนเอง รบั ฟงั ความคิดเห็นผู้อน่ื และยอมรบั การเปลย่ี นแปลงความรู้ท่ีค้นพบเมื่อมีข้อมูลและประจักษ์ พยานใหม่เพิ่มข้ึนหรือแย้งจากเดิมตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโล ยีท่ีใช้ ในชวี ติ ประจาวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดารงชีวิต และการ ประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบท้ัง ด้านบวกและด้านลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ต่อส่ิงแวดล้อมและต่อบริบทอื่นๆ และศึกษา หาความรูเ้ พิม่ เติม ทาโครงงานหรือสรา้ งช้ินงานตามความสนใจ 12) แสดงถึงความซาบซ้ึง ห่วงใย มีพฤติกรรมเก่ียวกับการดูแลรักษาความสมดุลของระบบ นิเวศและความหลากหลายทางชวี ภาพ สรุปได้ว่า หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย 4 สาระ ได้แก่ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ วิทยาศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และเทคโนโลยี ในการ จดั การเรียนรูค้ วรมีการวเิ คราะห์หลักสูตร เพอื่ ใหก้ ารจัดการเรยี นรสู้ อดคลอ้ งกับมาตรฐานและตัวช้ีวัด ทีก่ าหนดไว้ และมคี ุณภาพตามท่ีกาหนดไวใ้ นคุณภาพผเู้ รียน Google Classroom 1. ควำมหมำยของ Google Classroom Google Classroom เปน็ สว่ นหนึง่ ของบริการ Google Apps for Education ที่ช่วยให้ การเรียนการสอนสามารถทาได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ โดยผ้สู อนสามารถสร้างห้องเรียน กาหนดผู้เรียน สัง่ งาน กาหนดเวลาการส่งงาน การทาแบบทดสอบ ตรวจการบ้าน จัดหมวดหมู่เก็บข้อมูลของผู้เรียน แตล่ ะคน และใหค้ าแนะนาแก่ผู้เรียนได้ตลอดเวลา โดยใช้ application ในมือถือ ผู้เรียนก็สามารถท่ี จะทางานทไ่ี หน เวลาใดก็ได้ 2. ประโยชน์โดยรวมของ Google Classroom 1) ครูผู้สอนสร้างห้องเรยี นออนไลน์ของวิชานัน้ ๆ ขึ้นมา 2) เพมิ่ รายช่อื ผเู้ รียนจากบญั ชขี องกูเกลิ เข้ามาอยู่ในหอ้ งเรียน
10 3) ครูผู้สอนสามารถนารหัสผ่านให้ผ้เู รียนนาไปกรอกเพ่อื เขา้ หอ้ งเรยี นเองได้ 4) ครผู ู้สอนต้ังโจทย์การบา้ นให้ผเู้ รียนทา โดยสามารถแนบไฟล์และกาหนดวันส่ง การบ้านได้ 5) ผูเ้ รยี นเข้ามาทาการบา้ นใน Google Docs และส่งเข้า Google Drive ของครูผสู้ อน 6) ครูผู้สอนสามารถเข้ามาดูจานวนผ้เู รยี นทส่ี ง่ การบา้ นภายในกาหนดแลว้ และยังไม่ได้ สง่ ได้ 7) ครผู ู้สอนตรวจการบ้านของผ้เู รียนแต่ละคน พรอ้ มทั้งใหค้ ะแนนและคาตชิ ม 3. กำรใชง้ ำน Google Classroom 3.1 ในสว่ นของครูผสู้ อน 1) เม่อื ทาการ login เขา้ สรู่ ะบบเรียบรอ้ ยแล้ว สามารถสร้างรายวิชาไดจ้ ากคาสง่ั + ดังน้ี 2) โดยทาง Classroom จะใหเ้ รากรอกรายละเอยี ดเบอื้ งต้นเกยี่ วกบั รายวชิ าท่ีเราทา การสรา้ ง ดงั น้ี 3) เมื่อทำกำรกรอกรำยละเอียดเสร็จแล้วเรำจะเจอกบั หน้ำตำ โดยรวมของ classroom ดงั นี ้
11 4) โดยเครือ่ งมือหลักๆ ของการใช้งานมีดงั นี้ (1) สตรีมของ Classroom สามารถโพสต์ขอ้ ความและสั่งงานภายในหอ้ งเรยี น รายวชิ าของผสู้ อนได้ (2) รหัสของชั้นเรียน รำยวิชำ ที่ถกู สร้ำงขึน้ มำ (โดยผเู้ รยี นสำมำรถนำรหสั เข้ำสรู่ ำยวิชำทีต่ นต้องกำรได้ โดยทีผ่ สู้ อนไม่จำเป็นต้องทำกำร invent ไปทำงผเู้ รียนก็ได)้ (3) รายชอ่ื นกั เรียนภายในรายวิชาท่ีถกู สรา้ ง สามารถดูไดจ้ ากคาสงั่ น้ี (4) การ invent หรอื เชญิ สามารถนาอีเมลข์ องผู้เรยี น เชิญให้เข้ามาเรียนใน รายวิชาของตนเองได้ หรือจะให้ ผ้เู รียนใสร่ หัสที่ทาง Classroom สรา้ งข้นึ เข้ามาเรยี นภายในรายวิชา เองได้
12 (5) ในส่วนของ เกยี่ วกับ เราสามารถเพิ่มเตมิ รายละเอียดต่างๆของรายวชิ าได้ โดยทาง Classroom จะจดั เก็บเอกสาร การส่งงานต่างๆไวใ้ น Google drive โดย อัตโนมัติ (6) Theme เพ่ือความสวยงามน่าใช้งาน สง่ ผลถึงอารมณข์ องผ้เู รยี น
13 (7) เครอื่ งมือใน สตรีมของ Classroom นอกเหนอื จากข้อความตัวอกั ษรตา่ งๆ แล้วในส่วนนยี้ งั สามารถ ใสส่ อื่ มัลตมิ เี ดยี อืน่ ๆไดม้ ากกมายยกตัวอยา่ งเชน่ การ Upload เราสามารถที่จะ upload file ต่างๆ ลงไปได้เชน่ รูป ภาพ คลปิ ไฟล์ในลักษณะรปู แบบอ่นื ๆ การใช้ไฟล์จาก Google drive ของเราโดยตรงกไ็ ด้ การนาเสนอแนบคลิปต่างๆจาก YouTube การใส่ link ต่างๆที่น่าสนใจจากใน internet เครื่องมอื การสั่งงาน โดยเราสามารถตั้งโจทย์ในการสง่ั งานนนั้ ๆ โดย classroom สามารถต้งั เวลากาหนดการสง่ งานไดโ้ ดยเลอื กทีว่ ันทต่ี อ้ งการ ร่วมไปจนถึงเวลาได้ดว้ ย เช่นกนั หลงั จากนัน้ กดทป่ี มุ่ มอบหมำย 3.2 ในสว่ นของผู้เรยี น 1) ในสว่ นของผ้เู รยี น สามารถเข้าส่รู ายวชิ าท่ตี ้องการโดยใช้รหัส รายวิชาทไี่ ด้รับ จากผสู้ อน หลงั จากนัน้ กดท่ีปุม่ เข้ารว่ ม
14 2) หน้าตาโดยรวมของรายวิชาเมื่อเราทาการใส่รหัสของรายวชิ าลงไป ทกุ ๆคร้ังท่ีผสู้ อนสงั่ งาน จะไปปรากฏ สตรมี ของผ้เู รยี นเสมอ โดย สามารถกาหนดระยะเวลาในการสง่ งาน เราสามารถแชรท์ งั้ ข้อความและสอ่ื มัลตมิ เี ดยี อื่นๆภายในรายวชิ านั้นๆได้ list งานตา่ งๆท่ผี สู้ อนสั่งงาน จะปรากฏอยู่ทางด้านน้ที ง้ั หมด 4) ในการส่งงานผ้เู รียนสามารถ เพ่มิ ไฟล์จากหลายๆแบบได้ จาก Google drive / link / upload ได้ 5) หรือผู้เรียนสามารถที่จะสรา้ งไฟลไ์ ด้หลายรปู แบบ เพอ่ื ส่งให้กบั ผสู้ อนได้ และ ไฟล์เหล่าน้กี จ็ ะถูกเกบ็ ไว้ใน Google drive โดยอัตโนมตั ิ
15 6) เมือ่ สรา้ งเอกสารทส่ี ง่ั งานเสรจ็ แลว้ เราสามารถสง่ งานใหผ้ ู้สอนไดท้ นั ที กดท่ี ปมุ่ สง่ 7) คาสง่ั ยนื ยนั การสง่ งาน กดทปี่ มุ่ ส่ง 8) ในกรณที ่ีผเู้ รียนสง่ งานเสร็จแลว้ ในสว่ นของผสู้ อนจะแสดงรายการ ของ จานวนของการส่งงานทง้ั หมด และท่ยี งั ไมไ่ ด้สง่
16 9) ผู้สอนสามารถตรวจสอบงานของผเู้ รียนทส่ี ง่ มาได้ และสามารถให้คะแนน ใน การส่งงานคร้งั น้ี ตวั อยา่ งการให้คะแนน และ การสง่ คะแนนให้ผเู้ รียนทราบได้ โดยการกดทีป่ มุ่ สง่ คืน พรอ้ มแสดงความคดิ เห็นเพมิ่ เติมได้ 10) หลงั จากน้นั ผู้สอนสามารถคอมเม้น ขอ้ ความถึงผเู้ รียนได้ พร้อมกดทปี่ ุ่ม สง่ คืนงาน 11) เมอื่ ผู้สอนทาการให้คะแนน พรอ้ มส่งคืนเรียบร้อยแล้ว ผูเ้ รียนก็สามารถเช็ค คะแนนไดด้ งั รปู นี้
17 ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียน 1. ควำมหมำยของผลสมั ฤทธท์ิ ำงกำรเรียน นกั วชิ าการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา ไดใ้ หน้ ิยามหรอื ความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทาง การเรียน ดังนี้ ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ (2543 : 18) ได้กลา่ วว่า การวัดผลสมั ฤทธ์ิ เป็นการ มองการวัดความสามารถทางการเรียนหลังจากได้เรียนเน้ือหาของวิชาใดวิชาหนึ่งแล้วผู้เรียน มี ความสามารถเรียนรมู้ ากนอ้ ยเพยี งใด นัน่ คอื การวัดผลสมั ฤทธ์ิ ยดึ เนื้อหาวชิ าเปน็ หลกั สวุ ทิ ย์ มูลคา และอรทัย มูลคา (2546 : 34) ไดก้ ลา่ ววา่ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น หมายถึง ความสามารถในการเรียนวิชาใดวิชาหนึ่ง ซึ่งวัดได้จากความสามารถในการทาแบบทดสอบ วดั ผลสัมฤทธใิ์ นวชิ าน้ัน ๆ ในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ความรู้ความจา ความเข้าใจ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การนาไปใช้ การประเมินค่า ด้านทักษะกระบวนการและเจตคติของผู้เรียนว่าบรรลุจุดมุ่งหมายของ หลกั สูตรมากนอ้ ยเพียงใด พร้อมกบั เป็นข้อย้อนกลับใหก้ ับผสู้ อนได้วิเคราะห์เพือ่ ปรบั ปรุงการเรยี นการ สอนให้มปี ระสิทธิภาพยิ่งขึ้น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555 : 10) ได้กล่าวว่า การวัด ผลสมั ฤทธเ์ิ ปน็ การประเมินผลท่ีมงุ่ เนน้ ตามสภาพจรงิ ด้วยการวดั และประเมินการปฏิบัติงานในสภาพ ทเี่ กดิ ข้ึนจริงหรือทใี่ กลเ้ คยี งกบั สภาพจริง รวมทั้งการประเมินเก่ียวกับสมรรถภาพของผู้เรียนเพิ่มเติม จากความร้ทู ีไ่ ด้จากการท่องจา โดยใช้วิธกี ารทีห่ ลากหลาย จากการที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ได้เผชิญ กบั ปัญหาหรอื สถานการณท์ เ่ี ป็นจริง หรือสถานการณ์จาลอง ได้แก้ปัญหา สืบค้น และนาความรู้ไปใช้ รวมทง้ั แสดงออกทางการคิด ตามสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ และผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั สรปุ ได้ว่า ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถงึ ความสามารถ ความรู้ ทักษะทางการเรียนท่ี ผูเ้ รียนไดร้ บั จากการพัฒนาในดา้ นต่าง ๆ จากกระบวนการเรียนการสอน ซงึ่ ส่งผลใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลง พฤตกิ รรมในการเรียนรู้ ซง่ึ สามารถวัดไดด้ ้วยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนท่วั ไป 2. ประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน สมบูรณ์ ตนั ยะ (2545 : 40-41) ไดก้ ล่าววา่ การทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของ ผู้เรยี นสามารถทาได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1) การทดสอบแบบอิงกลมุ่ หรอื วดั ผลแบบอิงกลมุ่ เป็นการทดสอบหรอื การวดั ทเี่ กดิ จาก แนวความเชื่อในเร่อื งความแตกต่างระหว่างบุคคลที่ว่า ความสามารถของบุคคลใด ๆ ในเรื่องน้ันมีไม่ เทา่ กนั บางคนมคี วามสามารถเด่น บางคนมีความสามารถด้อย และส่วนใหญ่มีความสามารถปานกลาง ถ้านามาเขียนจะมีลักษณะเป็นกราฟคล้าย ๆ โค้งรูประฆัง หรือท่ีเรียกว่าโค้งปกติ นั่นคือคนท่ีมี ความสามารถสงู จะได้คะแนนสงู คนทม่ี คี วามสามารถดอ้ ยกว่าจะได้คะแนนลดหลั่นลงมาจนถึงระดับต่า 2) การทดสอบแบบอิงเกณฑ์ หรอื การวัดผลแบบอิงเกณฑ์ เป็นการทดสอบหรอื การวดั
18 ที่ยดึ ความเช่อื ในเรือ่ งการเรยี นรู้ กลา่ วคือ ยึดหลกั วา่ ในการสอนนั้นจะตอ้ งมุ่งสง่ เสริมให้ผู้เรียนท้ังหมด ประสบความสาเรจ็ ในการเรยี น แมว้ ่าผ้เู รียนจะมีความแตกต่างกันก็ตาม แต่ทุกคนควรได้รับการส่งเสริม ใหพ้ ฒั นาไปถงึ ขดี ความสามารถสูงสดุ ของตน โดยอาจใช้เวลาท่ีแตกตา่ งกนั ในแต่ละบุคคล เกณฑ์ หมายถงึ กลมุ่ พฤติกรรมทีไ่ ดก้ าหนดไวใ้ นแต่ละวิชาตามจุดประสงค์ของการสอนแต่ละบทหรือ แต่ละหน่วยการเรียนวชิ าน้ัน ๆ จุดมุ่งหมายของการทดสอบแบบนี้จึงเป็นการตรวจสอบดูว่า ใครที่เรียน ไดถ้ งึ เกณฑ์ และใครเรยี นไม่ถึงเกณฑ์ควรได้รับการปรับปรงุ ต่อไป สมนึก ภัททิยธนี (2551 : 73) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทาง การเรยี นออกเปน็ 2 ชนดิ คือ 1) แบบทดสอบที่ครูสร้างข้ึน (teacher made test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งวัด ผลสัมฤทธ์ิของผเู้ รยี นเฉพาะกลมุ่ ทค่ี รูสอน จะไม่นาไปใช้กับนักเรียนกลุ่มอื่น เป็นแบบทดสอบท่ีใช้กัน ทว่ั ๆ ไปในโรงเรียน 2) แบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test) หมายถึง แบบทดสอบทมี่ ุ่งวดั ผลสัมฤทธ์ิ เชน่ เดยี วกับแบบทดสอบทค่ี รสู ร้างขนึ้ แตม่ จี ุดมุ่งหมายเพอ่ื เปรียบเทียบคุณภาพต่าง ๆ ของนักเรียนที่ ตา่ งกลุ่มกนั เชน่ เปรยี บเทยี บคุณภาพของนักเรยี นในโรงเรียนแห่งหน่ึงกบั นกั เรียนกลุม่ อ่ืน ๆ ทว่ั ประเทศ (แบบทดสอบมาตรฐานระดับชาติ) หรือกับนักเรียนกลุ่มอ่ืน ๆ ทั่วจังหวัด (แบบทดสอบมาตรฐาน ระดับจังหวัด) เป็นต้น บุญชม ศรีสะอาด (2554 : 53) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เป็น 2 ประเภท คอื 1) แบบทดสอบองิ เกณฑ์ (criterion referenced test) หมายถึง แบบทดสอบท่ีสรา้ งขึน้ ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ สาหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ ตามเกณฑ์ทก่ี าหนดไวห้ รือไม่ การวัดตรงตามจุดประสงค์เป็นหัวใจสาคัญของข้อสอบในแบบทดสอบ ประเภทน้ี 2) แบบทดสอบอิงกล่มุ (norm referenced test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพอื่ วัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจาแนกผู้สอบ ตามความเก่งอ่อนได้ดี เปน็ หวั ใจสาคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ การรายงานผลการสอบ อาศัยคะแนนมาตรฐาน ซงึ่ เปน็ คะแนนทีส่ ามารถให้ความหมายแสดงถึงสถานภาพ ความสามารถของ บุคคลนั้น เมือ่ เปรยี บเทียบกับบุคคลอืน่ ๆ ท่ีใช้เปน็ กลุ่มเปรยี บเทยี บ สรุปได้วา่ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ แบง่ ตามวัตถุประสงค์ในการสร้าง แบ่งได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ (criterion referenced test) และแบบทดสอบอิงกลุ่ม (norm referenced test) แบ่งตามขอบเขตของการใช้งาน แบง่ ได้ 2 ประเภท คือ แบบทดสอบท่ีครูสร้างขึ้น (teacher made test) และแบบทดสอบมาตรฐาน (standardized test)
19 3. กำรสรำ้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ พรทพิ ย์ ไชยโส (2545 : 66-70) ได้กล่าวถึงข้ันตอนการสร้างแบบสอบ หรอื แบบทดสอบ ดงั นี้ 3.1 ข้ันตอนแรกในการสร้างแบบทดสอบ คือการกาหนดวัตถุประสงค์ของการวัดให้ ชัดเจนว่าจะวัดอะไร วัดกับใครและวัดไปทาไม ทั้งนี้ก็เพื่อผู้สร้างแบบทดสอบจะสามารถสร้าง แบบทดสอบได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ถ้าส่ิงที่ต้องการวัดคือ maximum performance ของผู้ตอบท่ี ไดต้ อ้ งการใหผ้ ู้ตอบได้แสดงความสามารถสงู สุดท่เี ขามี ลักษณะคาตอบมีจะเกณฑ์ตัดสนิ ว่าเป็นคาตอบ ถูกหรือผิด อย่างเด่นชัด แบบทดสอบประเภทนี้จะเป็นประเภทท่ีเรียกว่าแบบทดสอบความสามารถ (ability test) ซ่ึงความสามารถท่ีต้องการวัดน้ันอาจจะเป็นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ความถนัดทาง การเรยี น ความถนดั เฉพาะดา้ นหรอื ความพรอ้ มทางการเรียน 3.2 ข้นั ตอนทสี่ องเปน็ ขั้นตอนสาคัญทีผ่ สู้ รา้ งแบบสอบตอ้ งแปลงสิ่งทีต่ อ้ งการวดั ให้อยู่ใน รปู ของนยิ ามปฏิบตั ิการ (operational definition) คอื นิยามสิ่งท่ีต้องการวัดให้มีลักษณะเป็นพฤติกรรม ทส่ี ามารถสังเกตได้ วดั ได้ ในกรณขี องการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ผู้สร้างข้อสอบคือครูมีความ จาเป็นตอ้ งออกขอ้ สอบให้ครอบคลุมเนอ้ื เรื่องทีค่ รใู ช้สอนในหลกั สตู รวชิ า และสอดคล้องกับเนื้อเรื่องท่ี กาหนดไวใ้ นหลักสูตรการเรียนการสอนนั้น ในขณะเดียวกันครูต้องกาหนดความสาคัญของเน้ือเรื่อง โดยพิจารณาจากเวลาที่ใช้สอนว่าเร่ืองใดควรมีน้าหนักมากน้อยอย่างไรในการทามาออกข้อสอบ โดยทวั่ ไปการออกข้อสอบครูควรทาตารางผังขอ้ สอบ (Test Blueprint หรอื Table of Specification) 3.3 การเขียนข้อสอบ ในข้นั ตอนของการกาหนดวัตถุประสงค์ในการสอบ การให้นิยาม ปฏบิ ัติการเก่ียวกบั ส่งิ ทวี่ ัดและการกาหนดขอบเขตของคุณลักษณะท่ีต้องการวัดท่ีผ่านมาแล้วจะช่วย ให้ผสู้ ร้างขอ้ สอบเห็นแนวทางในการกาหนดรปู แบบของข้อสอบทจ่ี ะนามาใชไ้ ด้อยา่ งเหมาะสม 3.4 ข้อสอบที่เขียนข้ึนแล้วต้องตรวจสอบถึงความเหมาะสมในความสอดคล้อง (consistency) ระหว่างคาถามที่สร้างข้ึนกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการวัด ตลอดจนความเหมาะสม (adequacy) ของการใช้ภาษาและถ้อยคา สานวนที่ใช้และความเหมาะสมกับกลุ่มที่จะใช้วัดการ ตรวจสอบเชงิ เหตผุ ล (logical review) เพอื่ ตรวจสอบคุณลักษณะดังกล่าวของข้อสอบ ซ่ึงอาจจะต้อง ใชผ้ เู้ ช่ียวชาญทางดา้ นเนือ้ หาในการตรวจสอบหรอื แมก้ ระท่งั การนาไปทดลองกับกลุม่ จานวนน้อย ๆ เพ่ือ ดคู วามเหมาะสมของถอ้ ยคา เปน็ สิ่งทผี่ ู้สร้างพึงดาเนินการตรวจสอบและแก้ไขให้เหมาะสมใน ขั้นแรก กอ่ นท่จี ะนาไปทดลองใชใ้ นขัน้ ต่อไป 3.5 ทดลองใชข้ อ้ สอบและการวิเคราะห์ ขน้ั ตอนนเ้ี พื่อทดลองใชเ้ ครอื่ งมอื ทีส่ รา้ งทั้งฉบับ กบั กล่มุ ตัวอย่างที่มีลักษณะเหมือนกับกลุ่มเป้าหมายที่จะนาแบบทดสอบไปใช้จริง ทังน้ีเพื่อใช้เกณฑ์ เชิงประจักษ์ (empirical criteria) ในการตรวจสอบความเหมาะสมของข้อสอบที่สร้าง ได้แก่ ความยาก อานาจจาแนก และความเหมาะสมของตัวลวงหรือตัวเลือกต่าง ๆ ข้อสอบท่ีมีความยากและอานาจ จาแนกเหมาะสม ตวั ลวงมีคณุ ภาพจึงจะเหมาะท่ีจะนาไปใช้เป็นเคร่ืองมือในการวัดต่อไป การทดลอง
20 ใช้แบบสอบที่สร้างข้ึนยังช่วยให้ผู้สร้างแบบทดสอบสามารถกาหนดเวลาในการตอบแบบทดสอบได้ เหมาะสม ตลอดจนการกาหนดคาช้ีแจงในการตอบให้ผู้ตอบได้แสดงพฤติกรรมในการตอบตรงกับท่ี แบบสอบต้องการ 3.6 การเกบ็ รวบรวมข้อสอบเข้าชุดของแบบทดสอบ ในขั้นตอนน้ีข้อสอบที่มีความยาก และอานาจจาแนกเหมาะสมก็จะได้รับการคัดเลือกเข้าชุดของแบบทดสอบ ในขณะเดียวกันการตัด ข้อสอบบางข้อท่ีไม่เหมาะสมออกไปควรได้รับการตรวจสอบด้วยว่าไม่ทาให้ความเป็นตัวแทนของ พฤติกรรมที่ตอ้ งการวดั ในของเขตทมี่ ่งุ ศกึ ษาไมข่ าดหายไป จงึ เป็นการสมควรที่ผู้สร้างข้อสอบจะสร้าง ข้อสอบก่อนการทดลองให้มากพอในแต่ละองค์ประกอบที่มุ่งวัด เพราะเม่ือพบความไม่เหมาะสมกับ ขอ้ สอบท่จี ะต้องถกู ตัดออกไปจะไมท่ าให้พฤติกรรมที่ต้องการวัดส่วนน้ันขาดหายไป ข้อสอบบางข้อท่ี ควรได้รับการปรับปรุงให้มีคุณภาพดีข้ึนหลังจากการวิเคราะห์แล้วก็ควรได้รับการปรับปรุงก่อนท่ีจะ นาเขา้ ในแบบทดสอบ 3.7 หลังจากการรวบรวมข้อสอบเข้าชุดของแบบทดสอบแล้ว การกาหนดความเป็น มาตรฐาน (standardization) ของแบบทดสอบที่สร้างข้ึนเป็นกระบวนการท่ีสาคัญในขั้นตอนหน่ึง ของการสร้างแบบสอบมาตรฐาน ขั้นตอนน้ีคือการเขียนคู่มือการสอบเพ่ือให้การจัดดาเนินการสอบ เปน็ ไปในรูปแบบเดียวกันอย่างเป็นทางการ การกาหนดคาสั่ง คาช้ีแจงในการตอบข้อสอบ การกาหนด เวลาในการสอบ นอกจากนีก้ ารกาหนดเกณฑ์ในการให้คะแนนจะทาให้เกิดความเป็นปรนัยในการให้ คะแนน สรุปได้วา่ การสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ควรมีความเป็นมาตรฐานปฏิบัติตามขั้นตอน โดยเร่ิมจากการกาหนดวัตถุประสงค์ กาหนดนิยามปฏิบัติการ เพื่อให้แบบทดสอบมีความสอดคล้อง เหมาะสม และทดลองใชข้ ้อสอบ วิเคราะห์ข้อสอบ เม่ือแบบทดสอบมีคุณภาพตามเกณฑ์ จึงจัดเข้าชุด และเขยี นคู่มอื การใช้ งำนวิจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง รายงานการวิจยั ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั การศกึ ษาในคร้งั นี้ ผูว้ ิจัยไดท้ าการศกึ ษาคน้ คว้าโดยรวบรวม งานวิจัยในด้านต่างๆ เช่น งานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้องกับการใช้ google classroom ในการจัดการเรียน การสอน ดงั รายละเอียด ต่อไปนี้ ฉันท์ทิพย์ ลีลิตธรรม และพรเพ็ญ เอกเอย่ี มวัฒนกุล (2559) ไดท้ าการวิจัยเก่ียวกับความพึง พอใจต่อการเรียนการสอนโดยผ่านกูเกิลคลาสรูมของนักศึกษาวิทยาลัยพณิชยการธนบุรี โดยมี วัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศึกษาระดบั ความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนโดยผ่านกูเกิลคลาสรูมของนักศึกษา วิทยาลัยพณิชยการธนบุรี จานวน 3 ด้าน ได้แก่ 1) การจัดการเรียนการสอนผ่านกูเกิลคลาสรูม 2) ความปลอดภัยในการใชง้ านระบบ และ 3) ขอ้ ดแี ละข้อเสียของการใช้กูเกิลคลาสรูม กลุ่มตัวอย่าง ทีใ่ ชใ้ นการวิจัย คอื นักศกึ ษาระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั้ สูง (ปวส.) ช้ันปีที่ 2 สาขาวิชาการบัญชี
21 สาขาวิชาการตลาด และสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ท่ีลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 จานวน 255 คน ผลการวิจัยพบว่า ด้านการจัดการเรียนการสอนผ่านกูเกิลคลาสรูมช่วยให้ บรรลุเป้าหมายของการเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 4.65 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.15 ด้านความ ปลอดภัยในการใช้งานระบบท่ีสามารถกาหนดสิทธิ์การใช้งานมีค่าเฉล่ียสูงสุด 4.37 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน 1.23 ข้อดีของการใช้กูเกิลคลาสรูมหัวข้อติดตามทบทวนเน้ือหาบางส่วนท่ีขาดหายไป มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 4.88 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.38 ข้อเสียของการใช้กูเกิลคลาสรูมหัวข้อ นักศึกษาแยกตวั ออกจากกลุม่ มคี า่ เฉล่ียสูงสุด 4.73 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.29 และค่าเฉลี่ยรวม 3 ด้านมีคา่ เฉลี่ย4.32 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 1.33 ปิยมาส แก้วอินตา (2560) ได้ทาการศึกษาค้นคว้า เร่ือง เร่ือง การแก้ปัญหาการส่งงานใน รายวชิ าคอมพิวเตอร์และสารสนเทศเพ่ืองานอาชีพ (Computer and Information for Work) รหัส วิชา 2001-2001 โดยใช้วิธีการส่งงานผ่านระบบห้องเรียนออนไลน์ (Google Classroom) ของ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนบุรี โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการส่งงานของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีที่ 1 สาขาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศ วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียน ระดบั ประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ชนั้ ปที ี่ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ จานวน 45 คน ผลการศึกษา ค้นควา้ พบว่า มีจานวนนักเรยี นท่ไี ม่ Join Class ในปริมาณนอ้ ย มจี านวนนักเรียนที่สง่ งานผ่านระบบ Google Classroom ตามกาหนดต่ากวา่ คร่ึงหนงึ่ ของจานวนนักเรียนท้ังหมด แต่มีจานวนนักเรียนส่ง งานในปริมาณท่ีเพ่ิมขึ้นจากการส่งงานในครั้งแรก และมีจานวนนักเรียนท่ีส่งงานช้าในปริมาณน้อย มาก ส่วนนักเรียนท่ีไม่ส่งงานน้ันมีปริมาณน้อยกว่าจานวนนักเรียนท่ีส่งงานตามกาหนด นักเรียนมี ความพึงพอใจในการส่งงานผ่านระบบ google classroom ในระดบั มากที่สดุ
22 บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินกำรวจิ ยั การดาเนินการวิจัยครั้งน้ีใช้วิธีวิจัยเชิงทดลอง โดยมีการใช้ Google Classroom ในการ จัดการเรียนการสอน วิชา วิทยาการคานวณ2 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาหรับนักเรียน ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2/4 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ซ่ึงมีรายละเอียดเก่ียวกับวิธีดาเนินการวิจัยท่ี จะนาเสนอตามลาดับตอ่ ไปน้ี ประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง 1. ประชากร ไดแ้ ก่ นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 ท่กี าลังศกึ ษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 โรงเรยี นประโคนชยั พิทยาคม อาเภอประโคนชัย จงั หวัดบรุ รี ัมย์ จานวน 483 คน 2. กลุม่ ตัวอย่าง ได้แก่ นกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2/4 ทก่ี าลังศกึ ษาอย่ใู นภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรียนประโคนชยั พทิ ยาคม อาเภอประโคนชยั จังหวดั บุรรี มั ย์ จานวน 40 คน โดยการสมุ่ ตวั อยา่ งแบบกลมุ่ (Cluster Sampling) เครื่องมือท่ใี ชใ้ นกำรเก็บรวบรวมข้อมลู เครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลครั้งน้ี ประกอบดว้ ย 1. หอ้ งเรียนออนไลน์ Google Classroom 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น วชิ า วทิ ยาการคานวณ2 เป็นแบบปรนยั ชนิด เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ข้อ กำรสรำ้ งเคร่ืองมือ การใช้ Google Classroom ในการจัดการเรียนการสอน วิชา วิทยาการคานวณ2 เพือ่ พัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 โรงเรยี นประโคนชยั พิทยาคม ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) มรี ายละเอียดดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางและหลกั สูตรสถานศึกษา รายวิชา วิทยาการคานวณ2 ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 เพ่ือทาความเข้าใจเก่ียวกบั มาตรฐานและตวั ชีว้ ัด เนื้อหาวิธกี ารสอน และการวัดผลประเมินผล 2. ศึกษาเนือ้ หา รายวิชา วิทยาการคานวณ2 ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 3. กาหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้
23 4. สรา้ งหอ้ งเรยี นออนไลน์ Google Classroom ตามเน้ือหาวิชาทก่ี าหนด โดยอาศัย หลักการ องคป์ ระกอบและเครอื่ งมือสนับสนุนตา่ ง ๆ ของเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ 5. นาหอ้ งเรียนออนไลน์ Google Classroom ไปทดลองใช้กับนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 กำรสร้ำงแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบและสรา้ งแบบทดสอบตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เปน็ แบบ ปรนยั ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ กำรสรำ้ งแบบสอบถำมควำมพงึ พอใจ 1. ศึกษาวธิ กี ารสร้างแบบสอบถามความพงึ พอใจ โดยใชท้ ฤษฎีของ Likert แลว้ จึงออกแบบ ประเมนิ ความพึงพอใจสาหรับกลมุ่ ตัวอย่าง ซึง่ ได้กาหนดระดบั ความพึงพอใจไว้ 5 ระดบั ดังน้ี ระดับ 5 หมายถึง มากทีส่ ุด ระดับ 4 หมายถึง มาก ระดบั 3 หมายถงึ ปานกลาง ระดับ 2 หมายถงึ นอ้ ย ระดับ 1 หมายถึง นอ้ ยท่สี ดุ นาคะแนนรวมที่ไดม้ าหาค่าเฉลี่ย โดยใช้เกณฑต์ ัดสินเฉลย่ี ดงั นี้ 4.50 - 5.00 หมายความวา่ มีความพงึ พอใจอยู่ในระดับมากทส่ี ดุ 3.50 - 4.49 หมายความวา่ มีความพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก 2.50 - 3.49 หมายความว่า มคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดบั ปานกลาง 1.50 - 2.49 หมายความวา่ มคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดับน้อย 1.00 - 1.49 หมายความวา่ มคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดบั นอ้ ยทส่ี ุด 2. สรา้ งแบบประเมนิ ความพึงพอใจ กำรดำเนินกำรศึกษำ 1. ทดสอบกอ่ นเรยี น (Pretest) เม่ือผ้เู รียนรบั ฟังคาแนะนาการเรยี นรู้ผา่ น google classroom แล้ว ผูว้ จิ ัยให้นกั เรยี นเข้าสู่หอ้ งเรยี นทสี่ ร้างด้วย google classroom และทา แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เพื่อวัดความร้พู ้นื ฐานของผเู้ รยี น 2. นกั เรยี นเขา้ ไปศกึ ษาเนื้อหาท่ีผูว้ ิจยั เตรียมไว้ แล้วทากิจกรรมพร้อมท้งั ส่งงานในห้องเรียน ที่สรา้ งด้วย google classroom 3. ทดสอบหลงั เรยี น (Posttest) หลงั จากที่ผู้เรียนได้ศกึ ษาและทากจิ กรรมในหอ้ งเรียนที่ สร้างดว้ ย google classroomแลว้ ให้ผู้เรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์หลงั เรยี น
24 4. ประเมนิ ความพงึ พอใจ หลังจากเรยี นและทาแบบทดสอบหลงั เรยี นแลว้ ให้ผเู้ รียนทา แบบประเมินความพึงพอใจตอ่ การเรียนรผู้ ่าน google classroom กำรเกบ็ รวบรวมข้อมลู ระยะเวลาที่ใชใ้ นการวิจยั คอื ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 โดยดาเนินการและ เก็บรวบรวมขอ้ มูล ระหวา่ งวนั ท่ี 1 ธนั วาคม 2563 - 23 กุมภาพนั ธ์ 2564 จานวน 15 ชั่วโมง มีรายละเอยี ด ดงั น้ี ตำรำงที่ 1 แสดงระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล วัน เดือน ปี กิจกรรม หมำยเหตุ 1 ธ.ค. 2563 - นกั เรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน วชิ า วิทยาการคานวณ2 เป็นแบบ บนั ทกึ คะแนน ปรนัยชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ขอ้ - นักเรยี นเขา้ ไปเรียนและทากจิ กรรมในหอ้ งเรยี นทที่ ่สี รา้ งด้วย google classroom 8 ธ.ค. 2563 - นักเรียนเขา้ ไปเรียนและทากิจกรรมในที่สรา้ งดว้ ย google classroom 15 ธ.ค. 2563 - นกั เรยี นเข้าไปเรียนและทากิจกรรมในที่สรา้ งด้วย google classroom 22 ธ.ค. 2563 - นักเรียนเขา้ ไปเรียนและทากจิ กรรมในทส่ี ร้างด้วย google classroom 27 ธ.ค. 2563 - นักเรยี นเข้าไปเรียนและทากิจกรรมในที่สร้างดว้ ย google classroom 29 ธ.ค. 2563 - นกั เรียนเขา้ ไปเรยี นและทากิจกรรมในที่สรา้ งดว้ ย google classroom 5 ม.ค. 2564 - นักเรยี นเขา้ ไปเรียนและทากจิ กรรมในทส่ี รา้ งดว้ ย google classroom 12 ม.ค. 2564 - นักเรียนเขา้ ไปเรยี นและทากจิ กรรมในท่ีสร้างด้วย google classroom 19 ม.ค. 2564 - นักเรียนเขา้ ไปเรยี นและทากจิ กรรมในที่สร้างด้วย google classroom 26 ม.ค. 2564 - นกั เรียนเข้าไปเรยี นและทากจิ กรรมในที่สรา้ งด้วย google classroom 30 ม.ค. 2564 - นกั เรียนเข้าไปเรยี นและทากิจกรรมในทส่ี ร้างด้วย google classroom 2 ก.พ. 2564 - นกั เรยี นเข้าไปเรยี นและทากิจกรรมในทส่ี รา้ งดว้ ย google classroom 9 ก.พ. 2564 - นักเรยี นเขา้ ไปเรียนและทากิจกรรมในทส่ี ร้างด้วย google classroom 16 ก.พ. 2564 - นักเรียนเขา้ ไปเรยี นและทากจิ กรรมในที่สรา้ งด้วย google classroom นกั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียน เปน็ แบบปรนัยชนิดเลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ บนั ทึกคะแนน - ทาแบบประเมนิ ความพึงพอใจตอ่ การเรยี นดว้ ย google classroom
25 กำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์คะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน รายวิชา วิทยาการคานวณ2 โดยใช้ คา่ เฉลยี่ ร้อยละ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นกำรวเิ ครำะหข์ ้อมูล 1. ร้อยละ (Percentage) โดยใชส้ ูตรดังน้ี (สมนึก ภัททยิ ธน.ี 2555 : 260) P= เมอ่ื P แทน ร้อยละ F แทน ความถีห่ รือคะแนนทตี่ อ้ งการแปลงใหเ้ ป็นร้อยละ N แทน จานวนความถี่ทั้งหมดหรอื คะแนนเต็ม 2. คา่ เฉลีย่ (Mean) ของคะแนน โดยใช้สตู รดังน้ี (สมนึก ภัททิยธนี. 2555 : 237) x̅ = ∑x N เม่ือ x̅ แทน ค่าเฉลย่ี ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด N แทน จานวนคนทัง้ หมด ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดังนี้ (สมนกึ ภทั ทิยธน.ี 2555 : 249) S.D. = เม่ือ S.D แทน ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนของแต่ละคน N แทน จานวนคนทงั้ หมด แทน ผลรวม
26 บทที่ 4 ผลกำรวิเครำะหข์ ้อมูล ในการวจิ ัยครง้ั นี้ ผู้วิจัยดาเนินการวิจัยเพ่อื การใช้ Google Classroom ในการจัดการเรียน การสอน วชิ า วิทยาการคานวณ2 เพ่ือพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2/4 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ได้ดาเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อนาผลท่ี ได้มาวิเคราะหข์ อ้ มูล โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้ ผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียนดว้ ยบทเรียนออนไลน์ จากการใหน้ ักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2/4 ทดลองใช้ห้องเรยี นออนไลน์ Google Classroom ทีไ่ ดพ้ ัฒนาขน้ึ มผี ลการเปรียบเทียบผลต่างท่ไี ด้จาการทาแบบทดสอบหลงั เรียนกบั ผลท่ไี ด้จากการทา แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ดงั นี้ ตำรำงที่ 2 แสดงผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นผ่านหอ้ งเรยี นออนไลน์ Google Classroom ของนกั เรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2/4 ท่ี ช่อื – สกุล คะแนนแบบทดสอบ ผลตำ่ งระหว่ำง ก่อน หลัง คะแนน 1 เด็กชายกงิ่ เพชร ทองโหย่ง 10 16 6 2 เด็กชายคุณาวุธ ชาญประโคน 13 13 0 3 เดก็ ชายจริ ฐากร ทองดว้ ง 19 19 0 4 เด็กชายชยนั ต์ หปู ระโคน 17 18 1 5 เด็กชายธนกฤต เกษรบวั 14 16 2 6 เดก็ ชายธนากร พรรณศิลป์ 18 18 0 7 เด็กชายธติ กิ ร จากรัมย์ 12 18 6 8 เดก็ ชายธบิ ดี กระซิรัมย์ 14 20 6 9 เดก็ ชายพีรภทั ร คลงั ประโคน 14 19 5 10 เดก็ ชายภาณพุ งศ์ สนทิ ประโคน 16 16 0 11 เดก็ ชายระพีพงษ์ ปุยะติ 13 17 4 12 เดก็ ชายศรัณย์ภัทร บตั รประโคน 14 18 4 13 เดก็ ชายอิทธิรัตน์ ชมสา 11 16 5 14 เด็กหญงิ กานต์ธิดา โยธานันท์ 16 20 4
27 ท่ี ชื่อ – สกลุ คะแนนแบบทดสอบ ผลต่ำงระหว่ำง ก่อน หลัง คะแนน 15 เดก็ หญิงขวญั ระวี อาจณรงค์ 16 20 4 10 16 6 16 เดก็ หญิงจุฑามาศ พาที 19 19 0 17 17 0 17 เด็กหญงิ ชนิดาภา เธียรววรรณ 10 16 6 15 17 2 18 เด็กหญงิ ชตุ ิมณฑน์ เเกว้ ชนะ 18 20 2 17 20 3 19 เดก็ หญงิ ฐานดั ดา นพตลุง 18 20 2 17 19 2 20 เดก็ หญงิ ฐิติรตั น์ ลาดทุง่ 18 20 2 10 15 5 21 เด็กหญิงณัฐกมล รกั ษะประโคน 10 18 8 16 17 1 22 เด็กหญงิ ถลชั นันท์ เหลืองเดชานรุ กั ษ์ 15 17 2 14 16 2 23 เด็กหญงิ นฤมล ศรนี วลสม 19 19 0 18 19 1 24 เดก็ หญงิ บปุ ผาชล ทองเกลย้ี ง 18 19 1 18 18 0 25 เด็กหญงิ พนติ พิชา ทิวิเลศิ 11 16 5 10 15 5 26 เด็กหญิงพรลภัส ผนิ สู่ 10 12 2 12 18 6 27 เด็กหญงิ พชั รพร บญุ ทนั เสน 12 17 5 16 17 1 28 เด็กหญิงเพ็ญนภา โกรดประโคน 585 701 14.63 17.53 29 เด็กหญิงภทั รกิ า ลอยประโคน 73.13 87.63 3.09 1.92 30 เดก็ หญิงภาณุมาส จงกล 31 เดก็ หญิงภษู ณิศา วรรณกาล 32 เดก็ หญงิ มนิ ตรา กาประโคน 33 เด็กหญงิ ยุวธิดา สมบรู ณ์ 34 เด็กหญงิ ศตพร โสรมรรค 35 เดก็ หญงิ สุพรรษา ทองศรี 36 เด็กหญงิ สุพัชชา ละอองทอง 37 เดก็ หญงิ อรอมุ า คูณสัตย์ 38 เดก็ หญงิ อัมพิกา พระเอ้ียง 39 เดก็ หญิงอุนารินทร์ ทรงประโคน 40 เดก็ หญิงกฤตมุข ป่นุ ประโคน รวม คำ่ เฉลย่ี ร้อยละ ส่วนเบีย่ งเบนมำตรฐำน
28 จากตารางท่ี 2 ผลการศกึ ษาพบวา่ ผลทไี่ ดจ้ ากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน ซง่ึ มีคะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 14.63 คิดเป็นรอ้ ยละ 73.13 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.09 และผลที่ได้จากการทาแบบทดสอบหลัง เรยี นซึ่งมีคะแนนเต็ม 20 คะแนนเทา่ กนั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 สามารถทาคะแนนเฉลี่ย ได้ 17.53 คิดเป็นร้อยละ 87.63 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.92 ผลปรากฏว่าคะแนนหลัง เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน ผลกำรประเมนิ ควำมพงึ พอใจ จากการทดลองโดยให้นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 จานวน 40 คน กาลังศึกษาใน ภาคเรยี นที่ 12 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ทาแบบประเมินความพึงพอใจท่ีมี ตอ่ การเรยี นผา่ น หอ้ งเรียนออนไลน์ Google Classroom สามารถสรุปผลการประเมนิ ไดด้ ังนี้ ตำรำงท่ี 3 สรปุ ผลการประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ การเรียนผา่ นห้องเรียนออนไลน์ Google Classroom วิชา วทิ ยาการคานวณ2 โดยนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 2/4 รำยกำรที่ประเมิน x̅ S.D. สรุป 0.44 มากที่สุด 1. ระบบ Google Classroom ชว่ ยลดปญั หางานการสง่ งานล่าช้า 4.74 0.50 มากที่สดุ 4.56 0.56 มากทส่ี ดุ 2. ระบบ Google Classroom ช่วยสง่ เสรมิ การทางานรว่ มกนั 4.51 0.51 มากทส่ี ดุ 3. ระบบ Google Classroom ชว่ ยสง่ เสรมิ ทักษะการเรยี นรูด้ ว้ ย 4.51 0.51 มากที่สดุ ตนเอง 4.54 4. การทากจิ กรรมใน Google Classroom ช่วยใหเ้ ขา้ ใจในบทเรยี น 0.55 มาก 4.54 0.51 มากทสี่ ดุ 5. ระบบ Google Classroom ชว่ ยใหไ้ ด้มีสว่ นรว่ มแสดงความ 4.54 คิดเห็น 0.55 มากที่สุด 6. ระบบ Google Classroom ช่วยใหป้ ระหยัดเวลาในการเรียน 4.59 0.58 มาก 7. ระบบ Google Classroom ชว่ ยใหส้ ามารถนาความรู้ไปใช้ใน 4.33 0.62 มาก ชวี ติ ประจาวนั ได้ 4.33 0.60 มาก 8. การเรยี นด้วยระบบ Google Classroom ช่วยใหก้ ระตือรือร้นใน 4.44 0.59 มาก การเรียนมากข้นึ 4.41 0.62 มาก 9. โครงสร้างของเนือ้ หาครอบคลุมวตั ถปุ ระสงคข์ องบทเรยี น 4.33 10. เนอ้ื หาเหมาะสมกับการนาเสนอ 11. ความยาวของเนอื้ หาแต่ละบทมคี วามเหมาะสม 12. ภาษาที่ใช้มคี วามเหมาะสม 13. มีการยกตัวอย่างสอดคลอ้ งกบั บทเรียน
29 14. แบบฝกึ หดั สอดคลอ้ งกบั บทเรยี น 4.33 0.74 มาก 15 มีการเชือ่ มโยงเนอื้ หาทเี่ กีย่ วกบั บทเรียนไปยัง linkข้อมูลอืน่ 4.31 0.52 มาก 16. มีแบบทดสอบก่อนและหลังเรยี น 4.54 0.55 มากท่ีสุด 4.47 0.56 มำก เฉลย่ี จากตารางที่ 3 ผลการประเมินความพึงพอใจ พบว่า รายการคาถามประเด็นที่ 1 ระบบ Google Classroom ช่วยลดปัญหางานการส่งงานล่าช้า มีคะแนนเฉล่ียมากที่สุด เท่ากับ 4.74 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.44 รองลงมาคือรายการคาถามประเด็นที่ 8 การเรียนด้วยระบบ Google Classroom ช่วยให้กระตือรือร้นในการเรียนมากข้ึน มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.59 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.55 และรายการคาถามที่มีคะแนนความพึงพอใจต่าสุด คือ มีการ เช่ือมโยงเน้ือหาท่ีเกี่ยวกับบทเรียนไปยัง linkข้อมูลอื่น มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.31 ส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐานเทา่ กับ 0.52 และมีค่าเฉล่ียรวมทุกรายการ เท่ากับ 4.47 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 เม่อื นามาเปรียบเทียบเกณฑ์ทีไ่ ด้กาหนดไว้พบวา่ อยูใ่ นเกณฑ์มาก
บทท่ี 5 สรุปผลกำรวจิ ยั และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยคร้ังนี้ เป็นการใช้ Google Classroom ในการจัดการเรียนการสอน วิชา วิทยาการคานวณ2 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา Google Classroom วชิ า วิทยาการคานวณ2 สาหรบั นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 เพ่อื เปรียบเทียบ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 ที่เรียนผ่าน Google Classroom วชิ า วิทยาการคานวณ2 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 ที่มีต่อการเรียนผ่าน Google Classroom วิชา วิทยาการคานวณ2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม อาเภอประโคนชยั จังหวดั บรุ รี ัมย์ จานวน 40 คน สรุปผลกำรวจิ ยั จากการศึกษาและการใช้ Google Classroom ในการจัดการเรียนการสอน วิชา การ ออกแบบและเทคโนโลยี ได้ผลดังน้ี ด้านผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย Google Classroom วิชา วิทยาการคานวณ2 ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 จานวน 40 คน ผลท่ีได้ จากการทาแบบทดสอบก่อนเรียน ซ่ึงมีคะแนนเต็ม 20 คะแนน นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 จานวน 40 คน สามารถทาคะแนนเฉล่ยี ได้ 14.63 คดิ เปน็ ร้อยละ 73.13 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.09 และผลท่ีได้จากการทาแบบทดสอบหลังเรียนซ่ึงมีคะแนนเต็ม 20 คะแนนเท่ากัน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 สามารถทาคะแนนเฉลี่ยได้ 17.53 คิดเป็นร้อยละ 87.63 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.92 ผลปรากฏว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ส่วนในด้านผลการ ประเมินความพึงพอใจ พบว่า รายการคาถามประเด็นที่ 1 ระบบ Google Classroom ช่วยลด ปัญหางานการส่งงานล่าช้า มีคะแนนเฉลี่ยมากท่ีสุด เท่ากับ 4.74 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.44 รองลงมาคือรายการคาถามประเด็นที่ 8 การเรียนด้วยระบบ Google Classroom ช่วยให้ กระตือรือร้นในการเรียนมากข้ึน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.55 และรายการคาถามทมี่ ีคะแนนความพงึ พอใจต่าสดุ คือ มีการเช่ือมโยงเน้ือหาที่เกี่ยวกับบทเรียนไปยัง linkขอ้ มลู อืน่ มีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.52 และมีค่าเฉล่ียรวม ทุกรายการ เท่ากับ 4.47 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.56 เม่ือนามาเปรียบเทียบเกณฑ์ที่ได้ กาหนดไว้พบวา่ อยู่ในเกณฑม์ าก
31 ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการใช้ Google Classroom ในการจัดการเรียนการสอน วิชา วิทยาการคานวณ2 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2/4 ทาใหผ้ ้เู รียนสง่ งานครบทกุ คนและส่งงานทันเวลาที่กาหนด จงึ ส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นสงู ข้ึน ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการการใช้ Google Classroom ในรายวิชาอ่นื ๆ ด้วย 2. ควรมกี ารนารปู แบบการเรียนการสอนอื่นๆ มาร่วมกบั การใช้ Google Classroom
32 บรรณำนุกรม กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพื้นฐำน พทุ ธศักรำช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย. การจัดการความรู้ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอบุ ลราชธาน.ี (2558). แนวทำงกำรใช้ Google classroom เพื่อกำรเรยี นกำรสอน และกำรวจิ ัยเพ่ือพฒั นำกำรเรยี นกำรสอน. [ออนไลน์]. แหล่งท่ีมา : http://www.phar.ubu.ac.th/km/?p=1485 [ 20 กรกฎาคม 2560]. ฉันท์ทพิ ย์ ลีลิตธรรม และพรเพ็ญ เอกเอีย่ มวฒั นกลุ . (มกราคม-มิถุนายน 2559 ). “ความพึงพอใจ ต่อการเรยี นการสอนโดยผา่ นกูเกลิ คลาสรูมของนักศกึ ษาวทิ ยาลัยพณิชยการธนบุรี.” วำรสำรเทคโนโลยีสือ่ สำรมวลชน มทร.พระนคร. 1(1) : 20-25. ธงชัย วิไลวทิ ย์. (ม.ป.ป.). คู่มือกำรใช้งำน Google Classroom เบ้อื งตน้ . [ออนไลน์]. แหลง่ ทีม่ า : http://elearning.nu.ac.th/ebook.pdf [ 20 กรกฎาคม 2560]. บุญชม ศรีสะอาด. (2554). กำรวิจยั เบอื้ งต้น. (พมิ พ์ครั้งท่ี 9). กรงุ เทพฯ : สรุ วี ทิ ยาสาส์น. ปิยมาส แกว้ อนิ ตา. (2560). กำรแกป้ ญั หำกำรส่งงำนในรำยวิชำคอมพวิ เตอรแ์ ละสำรสนเทศเพอื่ งำนอำชพี (Computer and Information for Work) รหัสวิชำ 2001-2001 โดยใช้ วิธกี ำรส่งงำนผ่ำนระบบหอ้ งเรียนออนไลน์ (Google Classroom) ของนกั เรยี นระดับ ประกำศนยี บัตรวชิ ำชีพ ชนั้ ปีท่ี 1 สำขำวิชำเทคโนโลยีสำรสนเทศธนบุรี. สาขาวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ. วิทยาลยั อาชีวศกึ ษาเชียงราย. พรทพิ ย์ ไชยโส. (2545). เอกสำรคำสอนวิชำ 153521 หลักกำรวัดและกำรประเมนิ ผลกำรศึกษำ ขัน้ สูง. กรุงเทพฯ: ภาควชิ าการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.์ รสรนิ พมิ ลบรรยงก.์ (2551). ระบบกำรสอนและกำรฝกึ อบรม : กำรออกแบบ กำรพัฒนำและ กำรนำไปใช.้ นครราชสีมา : โปรแกรมวชิ าเทคโนโลยแี ละส่ือสารการศึกษา คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครราชสีมา. ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ. (2543). เทคนคิ กำรวจิ ยั ทำงกำรศึกษำ. พิมพค์ ร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพฯ: สวุ ีรยิ าสาส์น. วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). วิถีสร้ำงกำรเรยี นร้เู พอื่ ศิษย์ ในศตวรรษท่ี 21. พมิ พค์ รัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ : มูลนธิ สิ ดศรี-สฤษวงศ.์ สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2555 ก). กำรวัดผลประเมินผลคณิตศำสตร.์ กรงุ เทพฯ : ซีเอ็ดยเู คชัน. สานกั แผนและประกันคุณภาพการศึกษา. (ม.ป.ป.). กำรให้กำรศกึ ษำสำหรบั ศตวรรษท่ี 21. [ออนไลน]์ . แหลง่ ทม่ี า : www.ptu.ac.th/quality/data/levyp1.pdf [ 20 กรกฎาคม 2560]. สมนึก ภัททยิ ธน.ี (2551). กำรวัดผลกำรศึกษำ. พิมพ์ครง้ั ที่ 5. กาฬสนิ ธ์ุ : ประสานการพมิ พ.์ สมบรู ณ์ ตนั ยะ. (2545). กำรประเมนิ ทำงกำรศึกษำ. กรุงเทพฯ : สวุ รี ยิ าสาลน์ .
33 สวุ ิทย์ มลู คา และอรทัย มูลคา. (2546). 19 วิธีจัดกำรเรยี นรู้ : เพื่อพัฒนำควำมรแู้ ละทกั ษะ. กรงุ เทพฯ : ภาพพิมพ์ Doherty,B. (1998, September-October). “The interment : Destined to become a passive surfing teachnology.” Educational Technology. 38(5) : 221-247. Parson, P. (1997). An investigation into instruction available on the www. [Online]. Availabe : http://www.osie.on.ca/~rparson/out1d.html [2016, September 20].
ภำคผนวก
35 หอ้ งเรียนทสี่ รำ้ งดว้ ย Google Classroom
36 แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น
37 นักเรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรยี น
38 นกั เรียน เข้ำเรยี นรูแ้ ละทำงำนใน google Classroom
39 แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน รายวชิ า ว20112 วิทยาการคานวณ2 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนประโคนชยั พิทยาคม อาเภอประโคนชยั จังหวัดบุรรี ัมย์ คะแนนเตม็ 20 คะแนน เวลา 1 ชัว่ โมง
40
41
42
43
Search