Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่5 พุทธสาวกและศาสนิกชนตัวอย่าง

หน่วยที่5 พุทธสาวกและศาสนิกชนตัวอย่าง

Published by 5915712009, 2021-02-06 06:48:49

Description: หน่วยที่5 พุทธสาวกและศาสนิกชนตัวอย่าง

Search

Read the Text Version

คือ บคุ คลท่เี กดิ ร่วมสมัยกับพระพทุ ธเจา้ (ไดฟ้ ังธรรมโดยตรงจากพระพทุ ธเจา้ ) และมกี ารปฏิบตั ิตนที่ควรเอาเปน็ แบบอยา่ ง

• เกดิ ในตระกูลพราหมณแ์ หง่ กรุงกบลิ พัสด์ุ • เมือ่ เจา้ ชายสิทธตั ถะตรัสรู้เปน็ พระพทุ ธเจ้าแล้ว ได้เสด็จมาแสดงปฐมเทศนาแกพ่ ระอสั สชิทรงชี้ใหเ้ หน็ วา่ นักบวชไมค่ วรทากิจ 2 อย่าง เรยี กว่า “ทางสุดโตง่ ” คอื การหมกหมนุ่ อย่กู บั กามสขุ และ การทรมารตนเอง ตามทางสายกลาง คือ มรรค 8 และทรงอธบิ ายถงึ อรยิ สจั 4 ซ่งึ พระธรรมเทศนา กณั ฑน์ ชี้ อื่ วา่ “ธมั มจกั กปั ปวตั นสตู ร”ทาใหท้ า่ นกราบทลู ขอบวช ซึง่ ตอ่ มาได้บรรลุเปน็ พระอรหนั ต์ • หลงั จากบรรลธุ รรมได้ออกบิณฑบาต และไดแ้ สดงธรรมแก่อุปติสสะ เม่ืออปุ ตสิ สะได้ฟงั ธรรมน้นั กบ็ รรลุโสดาบนั จึงรบี ไปบอกแกโ่ กลติ ะผเู้ ป็นสหาย และโกลิตะกไ็ ด้บรรลโุ สดาบัน • พระอสั สชไิ ด้รับการยกย่องว่ามีความสามารถในการเทศนาสั่งสอนธรรมะแกป่ ระชาชนอย่างไดใ้ จความ สั้นกะทัดรดั ครอบคลมุ หลกั พระพุทธศาสนา

➢ เปน็ เถระชน้ั ผู้ใหญ่รุน่ แรกของพระพุทธเจ้า ที่ช่วยประกาศศาสนา ➢ สามารถแสดงธรรมรแู้ จ้งทาให้อปุ ตสิ สะ(ต่อมาคือพระสารีบตุ ร)เกิดความรแู้ จ้ง จนสามารถกล่าวธรรมให้โกลติ ะ(พระโมคคัลลานะ)บรรลโุ สดาบนั ➢ เปน็ ครูทีด่ ี ➢ เปน็ ผูม้ ีความสารวม ➢ เปน็ ผ้มู คี วามออ่ นนอ้ มถอ่ มตน ➢ เปน็ ผทู้ ีม่ คี วามเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและมสี ่วนสาคญั ในการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา

➢ เปน็ ธดิ าของบคุ คลในตระกลู เกา่ แก่ตระกลู หนึง่ ในเมืองสาวัตถี ➢ นางกีสา(กีสา หมายถงึ ผอมบาง) มีลกู ชายคนหนึ่งและเสยี ชีวิตอย่างกะทนั หนั นางเสยี ใจมาก จนสตฟิ ั่นเฟือน ไม่ยอมเผาศพลูกเพราะคดิ วา่ ลูกชายยังไมต่ าย ➢ พระพุทธเจา้ ไดต้ รัสบอกนางกสี าให้ไปเอาเมลด็ พนั ธ์ผุ กั กาดมาหนึ่งกามอื แล้วพระพทุ ธองค์จะทรงทายา ให้ โดยไดต้ รสั กาชับว่า “ผกั กาดนน้ั จะตอ้ งเอาจากบา้ นเรอื นทไ่ี มม่ ใี ครตายจงึ จะทาได้” ➢ นางกีสาไมส่ ามารถหาไดเ้ พราะบ้านที่ไมม่ คี นตายนนั้ ไม่มีนางจงึ คดิ ได้วา่ ในโลกนี้ไมม่ บี า้ นไหน ไม่มีคนตาย ➢ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมเทศนาจนนางได้บรรลโุ สดาบนั และได้รับยกยอ่ งจากพระพทุ ธเจา้ วา่ เปน็ เอตทัคคะในการทรงจวี รเศรา้ หมอง เป็นผ้ถู อื ธุดงควัตรเคร่งครดั เรียบงา่ ย ❖ เปน็ ผู้มีความเคารพนบนอบย่ิง ❖ เป็นผ้มู ีความคิดฉบั ไว ❖ เป็นครทู ่ีดขี องสตรที ง้ั หลาย ❖ เป็นผูม้ ชี วี ิตเรยี บงา่ ย

• อภเิ ษกสมรสกับเจ้าชายพนั ธลุ ะ และมีบตุ รชายฝาแฝด ๑๖ คู่ • เจา้ ชายพนั ธลุ ะและบตุ รชายถกู ฆ่าเพราะถูกขา้ ราชการท่พี น้ จากตาแหนง่ กลา่ วหาว่าคดิ ก่อกบฏ • วันทีเ่ จา้ ชายพนั ธุละและบุตรชายถกู ฆา่ พระนางมัลลกิ าไดน้ ิมนต์พระสารบี ุตร พระโมคคลั ลานะ และพระภิกษสุ งฆ์อกี ๕๐๐ รูป มาฉันภตั ตาหารท่ีบา้ น มีผสู้ ง่ ขา่ วมาแจ้งแกพ่ ระนางวา่ สามี และบตุ รชายถูกโจรฆา่ ตายแตพ่ ระนางก็สามารถข่มใจระงับความทกุ ขโ์ ศกไว้ได้ และยังคงถวายภัตตาหารแก่พระภิกษสุ งฆต์ อ่ ไปตามปกติ • พระสารบี ุตรจงึ เทศนาส่งั สอนใหพ้ ระนางมลั ลกิ าเขา้ ใจว่า ชวี ติ ของสัตวท์ ง้ั หลายในโลกนี้ ไมม่ ีสงิ่ บอกเหตใุ หท้ ราบล่วงหน้า วา่ จะตายทไ่ี หน เมอื่ ไร อย่างไร และไมม่ ีใครรไู้ ด้ ประกอบดว้ ยความทกุ ข์ ➢ เป็นภรรยาท่ดี แี ละมารดาทด่ี ี ➢ เป็นชาวพทุ ธทด่ี ี ➢ เปน็ ผมู้ สี ตสิ ัมปชญั ญะและมคี วามอดทนสงู ➢ เป็นผูท้ ่ีไมค่ ิดอาฆาตพยาบาท ➢ เปน็ ผทู้ ีม่ ีความเลื่อมใสในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งมนั่ คง

• เป็นบุตรของนางสาลวดีซงึ่ เปน็ หญงิ นครโสเภณี เมือ่ นางคลอดบุตรแล้วไดน้ าไปท้งิ ทก่ี องขยะนอกเมอื ง เจ้าชายอภยั ราชกุมารซึ่งเป็นพระราชโอรสองคห์ นง่ึ ของพระเจ้าพมิ พสิ ารพบเขา้ จงึ นาไปเลยี้ งและตงั้ ชือ่ ว่า ชวี กโกมารภจั จ์ • ชีวกโกมารภจั จ(์ แปลวา่ ผยู้ ังมีชีวิตอยู่) ไดร้ บั การเล้ยี งดูจากเจา้ ชายอภัยราชในฐานะบตุ รบญุ ธรรม และได้ศึกษาวชิ าแพทย์ทสี่ านักศกึ ษาทิศาปาโมกข์ เมือ่ เรียนจบไดก้ ราบลาอาจารยก์ ลับยงั บา้ นเมืองตน • หมอชวี กโกมารภจั จ์ได้ถวายการรกั ษาพระเจ้าพมิ พสิ ารให้หายจากพระโรครดิ สีดวงทวาร พระองคไ์ ด้ พระราชทานรางวัล แตห่ มอชวี กโกมารภจั จ์ ไม่ยอมรับ • พระเจา้ พมิ พสิ ารแต่งตงั้ หมอชีวกโกมารภจั จ์เปน็ แพทย์หลวง ทาหน้าทร่ี ักษาพระองคแ์ ละข้าราช บรพิ ารฝ่ายใน ขณะเดยี วกนั หมอชีวกโกมารภจั จ์ยงั เป็นแพทยป์ ระจาพระองคพ์ ระพุทธเจ้าและรักษา พระสงฆส์ าวกทอี่ าพาธ • ได้รับการยกย่องจากพระพทุ ธเจ้าวา่ เป็นอุบาสกผู้เลศิ ในด้านมคี วามเลอื่ มใส เป็นหมอทีเ่ สียสละและ บาเพญ็ ตนเพอื่ ประโยชน์ส่วนรวม

• หมอชีวก โกมารภัจจ์ได้ถวายการรักษาพระเจ้าจัณฑปัชโชตให้หายจากโรคร้าย จงึ ได้รับพระราชทานผ้าแพรเนอ้ื ละเอียดมาผืนหนง่ึ เขาได้นาไปถวายพระพุทธเจา้ • สมัยน้ันพระภิกษุถือผ้าบังสุกุลอย่างเดียวผ้าบังสุกุล คือ ผ้าท่ีชาวบ้านท้ิงแล้วหรือ ผ้าห่มศพซึ่งไม่มีเจ้าของพระภิกษุจะนาเอามาซัก ย้อม แล้วเย็บทาเป็นจีวรสาหรับ นุง่ ห่ม เน่ืองจากพระพทุ ธเจ้าไมท่ รงอนญุ าตให้รบั ผ้าจีวรท่คี ฤหัสถ์ทาถวาย • หมอชีวกกราบทูลขอใหพ้ ระพทุ ธเจ้าทรงอนญุ าตพิ ระภกิ ษสุ งฆร์ ับจีวรทีช่ าวบ้านนามา ถวายได้พระพทุ ธเจ้าทรงอนญุ าตเป็นกลาง ๆ ว่า “ถ้าพระภิกษุสงฆ์รูปใดปรารถนา จะรับผ้าที่ชาวบ้านนามาถวายก็ให้รบั ได้แต่ถ้าชอบมักนอ้ ยยินดีรบั แต่ผ้าบังสกุ ุลจีวรก็ ทาได้ หมอชีวกจงึ ไดถ้ วายผ้าแพรน้ันแดพ่ ระพทุ ธเจา้ • พระพุทธเจ้าแสดงธรรมอนุโมทนา หมอชีวกฟังจบได้สาเร็จมรรคเป็นอริยบุคคลขั้น โสดาบัน และถวายสวนมะม่วงให้เป็นท่ีประทับ สวนอัมพวันจึงได้ชื่อว่า ชีวกัมพวัน (สวนมะมว่ งของหมอชวี ก) ➢ เปน็ ผู้ใฝร่ ้แู ละมีความพากเพยี ร ➢ เปน็ อุบาสกท่ดี ี ➢ เปน็ ผู้มคี วามเสยี สละเพือ่ ประโยชน์ สว่ นรวม

• เกดิ ในตระกูลเศรษฐีเมืองสาวตั ถี แต่นางแอบรกั กบั ชายซ่ึงเป็นคนรับใชใ้ นบ้านและพากนั หนีไป • เมอ่ื นางปฏาจาราเถรีตั้งครรภ์บุตรคนท่ี ๒ นางขอรอ้ งให้สามพี านางกลบั ไปคลอดบตุ รทีบ่ ้านแต่ถกู ปฏเิ สธจากสามี นางจึงหนไี ป และสามกี ็ตามนางไปทันระหวา่ งทางนางปฏาจาราเกดิ เจบ็ ท้องจวนจะคลอดลกู ขณะน้ันฝนไดต้ กหนกั นางจึงใหส้ ามีไปตัดก่ิงไมม้ าทาซมุ้ กันบังฝนแตส่ ามีของนางกลับถกู งมู ีพษิ กดั ถึงแกค่ วามตาย นางพาลกู ท้ังสองกลบั ไป ยังบา้ นเกดิ แต่ลูกคนเลก็ กลับถกู เหยยี่ วจิกไป สว่ นคนโตจมนา้ หายไป เมื่อเธอกลับไปหาบิดามารดาก็ทราบขา่ ววา่ ถูก เรอื นพงั ทลายทับเนอ่ื งจากฝนตกหนกั ทาใหน้ างเสยี สตวิ ่งิ เพอ้ จนหลงเขา้ ไปยงั พระเชตวนั วหิ าร ซ่ึงขณะนน้ั พระพุทธเจ้ากาลงั แสดงธรรมเทศนาแกป่ ระชาชน • พระพทุ ธเจา้ ตรัสแสดงธรรมแก่นางเรอื่ ง การเวียนว่ายตายเกดิ เม่อื นางได้ฟังก็บรรลโุ สดาบัน และไดบ้ าเพ็ญเพยี รจน บรรลมุ รรคผลเปน็ พระอรหนั ต์ • ได้รบั การแตง่ ต้ังจากพระพทุ ธเจา้ ให้เปน็ เอตทคั คะในทางทรงจาพระวินยั ➢ เปน็ ผ้ไู ม่มีทิฐิมานะในทางด้อื ร้ัน ➢ เปน็ ผู้มีความวริ ิยอตุ สาหะ ➢ เปน็ ผู้แนะนาการแกป้ ัญหาชีวติ ให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน

• เป็นชาวเมอื งราชคฤห์ มีหน้าท่ีนาดอกมะลิ วนั ละ ๘ ทะนาน ไปถวายพระเจ้าพิมพสิ ารทกุ เช้า • เชา้ วันหนงึ่ สมุ นมาลาการถอื ดอกไมเ้ ดินเขา้ ประตูเมืองไดพ้ บพระพุทธเจ้าเสด็จออกบณิ ฑบาต พรอ้ มด้วยพระภิกษุสงฆ์ เกิดความเล่อื มใสศรทั ธา จงึ ตดั สินใจนาดอกไมท้ ่จี ะต้องไปถวายพระ เจ้าพิมพสิ ารมาถวายพระพทุ ธองค์ • สุมนมาลาการนาเรือ่ งนไ้ี ปเล่าใหภ้ รรยาฟัง ภรรยาของเขาไม่พอใจและนาความไปกราบทูลพระเจ้า พมิ พิสารซ่งึ เป็นผู้มีความศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนา ทาใหพ้ ระองค์ทรงทราบวา่ หญงิ นน้ั เป็นคนไม่ดี • พระเจ้าพมิ พสิ ารตรสั ยกย่องสุมนมาลาการเป็นมหาบรุ ุษและพระราชทานรางวลั สิง่ ของ 8 ชนดิ เช่น ช้าง ม้า ทาส ทาสี เคร่อื งประดบั นารี อย่างละ8 และทรัพย์ 8 พันกหาปณะ บา้ นสว่ ยอีก 8 ตาบล ➢ เปน็ แบบอยา่ งที่ดแี ก่พุทธศาสนกิ ชนในเรื่องความเสียสละ ➢ เป็นผ้มู ีความซ่ือสตั ยจ์ ริงใจ ➢ เป็นผู้ที่รูจ้ กั ตัดสินใจอย่างฉบั ไวบนพ้ืนฐานความคิดทถี่ ูกต้อง

คอื บุคคลที่ไม่ได้เกิดร่วมสมัยกบั พระพทุ ธเจา้ และมกี ารปฏบิ ัตติ น ทคี่ วรเอาเป็นแบบอย่าง

• พระนาคเสนเป็นบุตรของพราหมณช์ ื่อโสณตุ ตระ เป็นผูใ้ ฝเ่ รยี นรศู้ กึ ษาตลอดเวลาทาใหท้ ่านเรียนจบ ไตรเพท • นาคเสนรู้สกึ การเรยี นพระเวทและศลิ ปวทิ ยาการทง้ั หลายว่าหาแกน่ สารไมไ่ ด้ จงึ เขา้ ไปสนทนากบั พระ โรหณเถระ เมอ่ื ไดท้ ราบวา่ พระโรหณเถระรูศ้ ลิ ปะทส่ี งู สุด จึงขอศึกษา แต่พระโรหณะมีเง่อื นไขวา่ ทา่ น จะสอนใหเ้ ฉพาะผู้ถอื เพศบรรพชติ เหมือนท่าน นาคเสนกมุ ารจงึ ขออนุญาตบดิ ามารดาไปบรรพชาเป็น สามเณรโดยต้งั ใจ ไวว้ ่าเมือ่ เรียนจบแล้วก็จะลาสิกขา • นาคเสนกุมารบวชแล้วไดต้ ิดตามพระโรหณะผเู้ ปน็ พระอปุ ชั ฌายไ์ ปอยูท่ ถ่ี ้ารักขิต พระโรหณะเหน็ วา่ สามเณรนาคเสนเปน็ คนท่มี สี ตปิ ัญญา จงึ กาหนดให้เรยี นพระอภิธรรมซึง่ เป็นธรรมะลึกซึ้งล้วนๆ ปรากฏว่าสามเณรนาคเสนเรยี นได้รวดเร็วไม่ชา้ ก็เรียนจบ เม่อื อายุครบ ๒๐ ไดบ้ วช เป็นพระภิกษุ • ทากิจพระพทุ ธศาสนาทีพ่ ระอุปัชฌาย์ต้องการ คือ การโน้มน้าวใจพระยามิลนิ ท์ หรือ พระเจ้า เมนนั เดอร์ กษัตรยิ ์กรกี ซงึ่ ทรงมีความรูม้ าก และมวี าทะในการโตต้ อบจนเป็นทห่ี ว่นั เกรงของ พระสงฆ์ ให้ทรงหนั มานบั ถือพระพทุ ธศาสนา

• พระนาคเสนก็ถูกส่งไปยังเมืองปาตลบี ตุ รเพ่อื เรยี นพทุ ธวจนะกบั พระธัมมรักขติ วัดอโศการาม มพี ระเถระ นามว่า “ตสิ สทัตตะ” ตอนแรกพระนาคเสนถอื ตวั วา่ เกดิ ในตระกูลพราหมณ์จึงไมป่ ระสงค์เรียนรว่ มกับ มิลกั ขะ(คนทยี่ ังไมเ่ จริญ) จงึ ถกู พระธมั มรกั ขิตตกั เตอื น พระนาคเสนจึงไดข้ อขมา ติสสทัตตะ ในทส่ี ุดทงั้ สองทา่ นกแ็ ตกฉานในพระไตรปิฎก • เม่ือพระนาคเสนเรียนรพู้ ระไตรปฎิ ก มากข้นึ ก็เกดิ ทิฐมิ านะ คิดวา่ ไมม่ ีใครร้ดู ีเทา่ กบั ตนจนพระธัมมรักขิตได้ กล่าวเตือนวา่ “เดก็ เลี้ยงโค ได้แต่ดูแลโคให้คนอื่น แตไ่ ม่ไดด้ ื่มนา้ นมโค ซง่ึ ไมต่ ่างจากคนที่เรียนรูพ้ ุทธวจนะ มากมายจนเปน็ พหูสตู ร แต่ถ้าไมป่ ฏิบตั ิตามคาสอน กไ็ มม่ โี อกาส ได้ลม้ิ รสพระธรรมฉันน้นั ” พระนาคเสน ร้สู ึกตนปฏิบตั สิ มาธวิ ปิ สั สนาและบรรลุเปน็ อรหันต์ • พระนาคเสนได้มีโอกาสโต้วาทะกับพระยามิลินทก์ ษตั ริยก์ รกี พระองคห์ นงึ่ โดยแสดงหลกั แห่งพระพทุ ธศาสนาให้พระยามิลนิ ท์เขา้ ใจจนยอมรับนับถอื พระพุทธศาสนา ➢ เป็นผใู้ ฝห่ าความรู้อย่างยิง่ และเปน็ ผ้มู ีปญั ญา ➢ เป็นผู้มีไหวพรบิ ปฏภิ าณยอดเย่ยี ม ➢ รูจ้ กั ยอมรับผิดและแกไ้ ขตนเอง

• นามเดิมว่า เฮง หรือ กิมเฮง เกิดที่จงั หวดั อุทยั ธานี บิดาชอื่ ตวั้ เกา แซฉ่ ว่ั มารดาชื่อ ทบั ทิม • 7 ขวบ ปา้ พาไปฝากเรยี นหนงั สือไทยกบั พระอาจารยซ์ ้ง เมอ่ื อายุ 11 ปี ไปอย่สู านักพระปลดั ใจ ทา่ นบรรพชาเป็นสามเณรและสอบปริยตั ธิ รรมสนามหลวงไดเ้ ปรียญ ๕ ต้ังแตย่ ังเปน็ สามเณร • เม่ืออายุครบ ๒๐ ปีบรบิ ูรณ์ ท่านได้อปุ สมบทเป็นพระภกิ ษุ เล่าเรยี นพระปริยตั ธิ รรมจนสามารถ สอบไดเ้ ปรยี ญธรรม ๙ ประโยค เม่อื อายไุ ด้ ๒๔ ปี • สมเดจ็ พระวนั รัต (เฮง เขมจาร)ี ไดช้ ือ่ ว่าเปน็ ผู้เครง่ ครดั ในพระธรรมวนิ ัย • นอกจากน้ีท่านยังเป็นผทู้ ่เี ขม้ งวดกวดขนั เรือ่ งการทาวตั รสวดมนต์เชา้ -เยน็ ของพระภิกษุ สามเณร อบุ าสก อุบาสกิ า ทมี่ าถอื ศีลฟงั ธรรมทว่ี ดั ➢ เปน็ ผูท้ ม่ี คี วามเพียรพยายาม ➢ เป็นนกั ปกครองท่ดี ี ➢ เป็นผู้มคี วามกตญั ญูกตเวที ➢ เปน็ ผู้เคารพตอ่ พระรตั นตรยั

• นามเดมิ วา่ ม่นั แกน่ แกว้ เกิดทจี่ ังหวัดอบุ ลราชธานี • ท่านบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๕ ปี • อายุ ๒๒ ปี ทา่ นได้อุปสมบทและได้รับขนานนามวา่ ภูริทตโฺ ต แปลวา่ ผ้ใู หป้ ญั ญา ผแู้ จกจา่ ยความฉลาด • พระอาจารย์มน่ั เปน็ พระนักปฏิบัติธรรมที่แทจ้ ริง มีลูกศิษย์เขา้ ศึกษาและปฏบิ ตั ธิ รรมกับท่าน เป็นจานวนมาก ซงึ่ คาสอนของท่านยงั ได้รับการพิมพเ์ ผยแพร่และเป็นแบบอยา่ งของการฝึกจิตและ เจริญปญั ญามาจนถึงปจั จบุ ัน ➢ เทศนาสัง่ สอนประชาชนด้วยหลักธรรมท่ีเหมาะสมแกบ่ ุคคลตา่ งๆ ➢ ความมงุ่ มน่ั เด็ดเดยี วในการปฏิบตั ิพระธรรมวนิ ยั ➢ มีความใฝร่ ู้ใฝเ่ รยี น

• นามเดมิ ช่อื บุญรอด สงวนเช้อื บุตรของชายของนายอว่ ม และนางทองคา สงวนเชอ้ื • ชาวพทุ ธผ้อู ทุ ศิ ตนเพอื่ ความเจริญก้าวหนา้ ของพระพทุ ธศาสนาเปน็ เวลายาวนานนบั ตง้ั แต่ ทา่ นอุปสมบทและเม่อื อยใู่ นชวี ติ ฆราวาส • ทา่ นได้ริเริ่มงานสาคัญหลายอยา่ ง เช่น การเผยแผห่ ลักธรรมทางนวนยิ าย การก่อต้ังและ ส่งเสริมโรงเรียนพระพทุ ธศาสนาวันอาทิตย์ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย • ทา่ นแตง่ หนังสือซงึ่ มีเน้อื หาเก่ียวกับพระพุทธศาสนาจานวนมาก เช่น เชิงผาหมิ พานต์ กองทัพธรรม ใตร้ ม่ กาสาวพัสตร์ เปน็ ตน้ ➢ เป็นผใู้ ฝ่รู้อย่างย่งิ ➢ เป็นพทุ ธศาสนิกชนที่ดี ➢ เป็นครทู ด่ี ี

• บรรพชาเป็นสามเณรเม่อื อายุ ๑๓ ปี ตอ่ มาลาสกิ ขาออกไปชว่ ยบดิ าทางานเล้ยี งชพี และตดั สนิ ใจบวชเมื่ออายุ ๒๑ ปี ทวี่ ดั ก่อใน จังหวัดอุบลราชธานี • ทา่ นได้จารกิ ธดุ งค์จากจงั หวัดอุบลราชธานไี ปสภู่ าคกลางยังจังหวดั ตา่ งๆ และไดม้ โี อกาสฝึกปฏิบัตกิ รรมฐานกับพระเกจอิ าจารยห์ ลายรปู เช่น หลวงป่มู ่ัน ภรู ิทตโฺ ต หลวงปกู่ นิ รี จนฺทโิ ย • ท่านได้จัดตงั้ สานักสงฆ์ ขนึ้ มีช่ือว่า วดั หนองปา่ พง • วิธีการแสดงธรรมของหลวงพ่อชานัน้ งา่ ย แต่ได้ใจความลึกซึง้ จึงเป็นทีศ่ รัทธาแกบ่ ุคคลทว่ั ไป รวมทงั้ มชี าวตา่ งประเทศมาศึกษาและปฏิบตั ิธรรมกบั ท่านเป็นจานวนมาก จนมีการจดั ตั้งวดั ปา่ นานาชาตขิ ึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ➢ เปน็ ผมู้ ีความกตญั ญกู ตเวที ➢ เป็นผ้มู คี วามใฝ่รู้ ➢ เป็นแบบอย่างในการปฏบิ ตั ิตนทางด้านวปิ ัสสนากรรมฐาน ➢ เป็นผมู้ ีแบบอย่างที่ดีในการสอน

• มชี อ่ื เดิมวา่ ดอน เดวิด เทวะวติ ถรณะ บิดาเปน็ ชาวพุทธ • ในวัยเดก็ ดอน เดวิด ได้รับการอบรมจากพ่อแม่ใหอ้ ยู่ในศีลธรรม สอนให้มีความศรัทธาตอ่ พระรัตนตรยั ในพระพุทธศาสนา • เมือ่ อายุ ๒๐ ปี ทา่ นไดข้ ออนญุ าตบิดามารดาเพอ่ื เดนิ ทางไปรว่ มงานของสมาคมธีออสโซฟี ทา่ นได้มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาและภาษาบาลเี พมิ่ มากขน้ึ • ทา่ นอนาคารกิ ธรรมปาละมีโอกาสเดินทางไปกับพันเอกโอลคอตตไ์ ปในประเทศท่นี บั ถือ พระพทุ ธศาสนา และเดนิ ทางไปอินเดียเพ่ือนมสั การพุทธสถานและสังเวชนยี สถาน และสดุ ท้ายทา่ นได้มาอุทศิ ตนในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาทพ่ี ุทธคยาตลอดชวี ิต • เปน็ ผูจ้ ุดประกายการศึกษาพระพุทธศาสนาในอนิ เดียทาใหช้ าวอินเดยี ซ่ึงแทบจะลืมเลอื น พระพุทธศาสนาจนหมดสนิ้ แล้วหันกลับมารว่ มแนวทางอรยิ มรรคแห่งพระพทุ ธองค์อีกครั้ง

• ท่านสรา้ งอนุสรณส์ ถาน ปูชนยี สถานเกีย่ วกับพระพุทธศาสนาไวม้ ากมายตามสถานทตี่ ่าง ๆ เพ่ือเปน็ ทร่ี ะลึกถงึ พระพทุ ธองค์ เช่น วัดมูลคนั ธกุฎีวิหาร ใกล้ ๆ กบั สถานทแี่ สดงปฐมเทศนา ทส่ี ารนาถ • ทา่ นเปน็ ผ้จู ุดประกายรเิ ริม่ ใหช้ าวพุทธ และชาวอนิ เดยี หันมาเอาใจใส่และฟ้ืนฟูพุทธสถาน ทสี่ าคญั ของพระพทุ ธองค์ โดยเฉพาะพทุ ธคยา ➢ เป็นผมู้ คี วามมน่ั คงในพระพทุ ธศาสนา ➢ เปน็ ผ้ทู ใ่ี ฝห่ าความรู้ ➢ เป็นผู้มคี วามเสยี สละเพ่อื พระพทุ ธศาสนา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook