เร่ือง การสร้างคา
การสร้างคาในภาษาไทย • การสร้างคาในภาษาไทย • ในภาษาไทยสามารถแบ่งประเภทของคาจากลักษณะของการประกอบ ดาได้ดงั นี้ • ๑.คามูล หมายถงึ คาท่มี ีใช้ดงั้ เดมิ ในภาษาไทย ซ่งึ อาจจะเป็ นคา ไทยได้รับเอามาจากประเทศอ่นื ๆ ก็ได้ และคามูลจะไม่สารถแยก ออกเป็ นหน่วยย่อยลงไปได้อีก คามูลแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ • ๑.๑ คามูลพยางค์เดยี ว เป็ นคามูลท่มี ีพยางค์เดยี วโดด ๆ และมี ความหมายในตวั เอง เช่น ลุง นก หมู คาเหล่านีอ้ าจเป็ นคาไทยแท้ หรือ คาท่มี าจากภาษาอ่นื เช่น • ภาษาเขมร เช่น ทลู โปรด เสมอ เพญ็ แข • ภาษาบาลี – สันสกฤต เช่น บาท หตั ถ์ รัตน์ เพศ อาสน์ • ภาษาองั กฤษ เช่น โชว์ กราฟ แบงก์ โน้ต บาร์ • ๑.๒ คามูลหลายพยางค์ คอื คามูลท่มี ีหลายพยางค์ แต่ถ้าแยกพยางค์ เหล่านีอ้ อกจากกนั กจ็ ะไม่มีความหมาย ถ้าบางพยางค์มีความหมายนีก้ ็ จะไม่ใกล้เคยี งหรือเก่ยี วข้องกับคาเวลาท่รี วม พยางค์อย่เู ลยซ่งึ คามูล หลายพยางค์นีอ้ าจจะเป็ นคาไทยแท้ หรืออาจเป็ นคาทมี าจากภาษา อ่นื ๆได้ เช่น • ภาษาไทย เช่น มะละกอ กระป๋ อง บาดทะยกั • ภาษาจนี เช่น กงเต๊ก กวยจ๊บั ซฮู ก เซ้ง ฮัว้ • ภาษาเขมร เช่น แถง กาเนิด ตารวจ กระทรวง • ภาษาบาลี – สันสกฤต เช่น มัจฉา ลักษณะ อกั ษร สุริยา เทวดา • ภาษาอังกฤษ เช่น อเิ ล็กทรอนิกส์ สกี อลั บมั อิเควเตอร์
๒.คาประสม การประสมคาเป็ นวธิ ีการสร้างคาวิธีหน่ึงในภาษาไทย โดยนาเฉพาะคา ท่เี ป็ นคามูล หรือคาหลักมาประสมกบั คาอีกคาหน่ึงเพ่อื ให้เกิดความหมายใหม่ หรืออาจจะยงั มรเค้าความหมายเดมิ อยู่ โดยคาท่นี ามาประสมนัน้ อาจจะเป็ นคา ท่เี ป็ นคาไทยแท้ หรือคาภาษาต่างประเทศมาประสมกัน เช่น คาไทย+คาไทย = ผ้ากนั เปื้อน ทางผ่าน เรือด่วน เตารีด ยาสีฟัน คาไทย+คาภาษาอ่นื ก.คาไทย+คาภาษาบาลีหรือสันสกฤต = ผงชรู ส นา้ ทพิ ย์ ใจบุญ ข.คาไทย+คาภาษาเขมร = ม้าทรง คนโปรด สายตรวจ เขียวขจี ค.คาไทย+คาภาษาองั กฤษ = เดก็ โควต้า เดก็ เสิร์ฟ เข้าลิน มาวนิ ฯลฯ ๒.๑ ลักษณะของคาประสม เพ่อื ท่จี ะไม่ทาให้สับสนว่าคาไหนเป็ นคาประสม ให้พจิ ารณาจากลักษณะดงั นี้ ๑.คาประสมจะต้องประกอบด้วย ๒ ส่วนหน่ึงเป็ นส่วนประกอบหลัก อีก ส่วนหน่ึงจะเป็ นส่วนประกอบขยาย เช่น โรง+เรียน = โรงเรียน เรือ+ด่วน = เรือด่วน ม้า+นา้ =ม้านา้ ทงั้ นีอ้ าจจะมากกว่าหน่ึงหน่วยคากไ็ ด้ เช่น ส้ม+เขยี วหวาน = ส้มเขียวหวาน เคร่ือง+ซกั +ผ้า = เคร่ืองซกั ผ้า โรง+รับ+จานา = โรงรับจานา ๒.ความหมายของคาท่นี ามาประสมจะต้องไม่เหมือนกนั ใกล้เคียงกัน หรือ ตรงกนั ข้าม มิฉะนัน้ จะเป็ นคาซ้อนมิใช่คาประสม
๒.๒ ความหมายของคาประสม คาประสมจะมีความหมายเฉพาะคาดังนี ้ ๑.คาประสมมีความหมายจากัดเฉพาะคานัน้ หรือมีความหมาย ตามคาหลักและมีคาประกอบ นัน้ ช่วยแสดงลักษณะ สภาพ คุณสมบัติ หรืออย่างใดอย่างหน่ึง เป็ นการเสริมให้มีความหมายเฉพาะขนึ้ เช่น รถไฟ คือ รถชนิดหน่ึง เดมิ ใช้ไฟต้มหม้อนา้ ผ้ากันเปื้อน คือ ผ้าชนิดหน่ึงท่ีทาขนึ้ ใช้สาหรับกันเปื้อน ๒.คาประสมมีความหมายใหม่ แต่จะแสดงนัยของความหมาย ของคาท่นี ามาประกอบทงั้ สองส่วน เช่นลูกนา้ คือลูกอ่อนของยุง แม่ทัพ คือ นายทพั ผู้เป็ นใหญ่ในกองทพั ๓.คาประสมมีวคามหมายย่อใจความแต่ยังแสดงนัยของ ความหมายของหน่วยคาท่เี ป็ นส่วนประกอบหลัก เช่น เก้าอีด้ นตรี คือ การเล่นชิงเก้าอีโ้ ดยมีดนตรีประกอบเป็ นสัญญาณ ความหลัง คือ เร่ืองราวท่ีผ่านมาแล้วของแต่ละบุคคล ๔.คาประสมมีความหมายแสดงลักษณะ หรือ อาการ สถานท่ี เช่น กลางบ้าน ใช้ประกอบ ยา เป็ นยากลางบ้าน หมายถงึ ยาท่ีชาวบ้าน ใช้อยู่เป็ นประจา นอกหน้า เช่น แสดงออกจนนอกหน้า คือแสดงให้เหน็ จนจับได้ ๕.คาประสมมีความหมายในเชิงอุปมา คือ เป็ นการแนะนา หรือ เปรียบเทียบให้เหน็ ว่ามีลักษณะหรืออาการอย่างนัน้ เช่น ใจกว้าง มี ความหมายว่า มีความเอือ้ เฟื้อเผ่ือแผ่ ชอบรู้จักคนมาก เผ่ืแผ่มใิ ช่วัด ระยะ องค์กรใต้ดนิ มีความหมายว่า องค์การลับปฏบิ ัตติ นไม่ให้เป็ น่ีปรากฎ มใิ ช่อยู่ใต้ดนิ จริงๆ
ตัวอย่างคาประสม (๑.๑) นาม+นาม โรงรถ เรืออวน ขันหมาก ข้าวหมาก นา้ ปลา นากุ้ง (๑.๒)นาม+กริยา กล้วยปิ้ง ข้าวตาก ถ่วั ตัด ไข่ทอด ยาถ่าย รถเข็น (๑.๓)นาม+วิเศษณ์ นา้ หวาน แกงจดื ยาดา นา้ หอม รถด่วน เรือเร็ว (๑.๔)กริยา+กริยา พดั โบก บุกเบกิ กันสาด ราซัด แก้ไข เรียงพิมพ์ (๑.๕)นาม+บุพบท หรือ สันธาน ชัน้ บน คนนอก นา้ เหนือ ภาคใต้ หมาใน ของกลาง (๑.๖)นาม+ลักษณนาม หรือ สรรพนาม ลาไพ่ ต้นหน คุณนาย คุณพระ ขาประจา สายสร้อย (๑.๗)วิเศษณ์+วเิ ศษณ์ หวานเยน็ เปรีย้ วหวาน เขียวหวาน (๑.๘)ใช้คาภาษาต่างประเทศประสมกับคาไทย เช่น พลเมือง พล เป็ นคาภาษาบาลี พวงหรีด หรีด เป็ นภาษาอังกฤษ ตักบาตร ตกั เป็ นคาภาษาเขมร แปลว่า วางลงหรือใส่ลง คาประสมบางคาอาจมีโครงสร้างเหมือนกับประโยค เช่น เก้าอีโ้ ยก ห้อง อัดเสียง โต๊ะเขียนหนังสือ ไม้แคะหู แต่ไม่สามารถเป็ นประโยคได้เพราะ ประธานไม่สารถทากริยาด้วยตนเองได้ แต่มีคาประสมบางคมสารถเป็ น ประโยคได้ เช่น คนเก็บขยะ รถบดถนน พนักงานเก็บต๋วั
๓.คาซ้อน คาซ้อนหรือคาค่จู ริงๆแล้วกเ็ ป็ นคาประสมน่ันเอง แต่คาท่นี ามาซ้อน กันนัน้ จะต้องมีลักษณะดังนี้ ๓.๑ มคี วามหมายเหมอื นกัน เช่น เส่ือ + สาด = เส่ือสาด ครู+บา = ครูบาเร็ว + ไว = เร็วไว รวด + เร็ว = รวดเร็ว บ้าน + เรือน = บ้านเรือน เขด็ +หลาบ = เขด็ หลาบ ๓.๒ มีความหมายใกล้เคยี งกันหรือเป็ นไปในทานองเดยี วกนั เช่น หนา + แน่น = หนาแน่น ขาด+แคลน = ขาดแคลน เดือด+ร้อน = เดือดร้ อน ซ่อื +ตรง = ซ่อื ตรง กกั + ขัง = กักขัง ยนื + ยัน = ยนื ยัน ๓.๓ มคี วามหมายตรงข้ามกนั เช่น ผดิ +ชอบ+ช่ัว+ดี = ผิดชอบช่ัวดี คาซ้อนถ้าแบ่งตามประเภทของคาท่นี ามาซ้อน แบ่งออกเป็ น ๒ ประเภท คอื ๑.คาซ้อนเพ่อื ความหมาย เช่น ซักฟอก สดใส เพ่มิ พนู บกุ รุก เป็ นต้น ๒.คาซ้อนเพ่อื เสียง หมายถงึ การท่นี าเอาพยญั ชนะหรือสระท่มี เี สียง เดยี วกนั หรือเกดิ จากฐานเดียวกันมาซ้อนทาให้เกดิ คาใหม่ เช่น สูสี จ๋จู ๋ี งอแง ง่เี ง่า นอกจากนีใ้ นภาษาไทยนัน้ คาซ้อนอาจเกดิ คาซ้อน ๔ คา หรือ ๖ คา เช่น ผลหมากรากไม้ อดอยากปากแห้ง ผดิ หผู ดิ ตา อด ตาหลับขับตานอน เป็ นต้น
ตัวอย่างคาซ้อน (๑)ใช้คาไทยเดมิ คู่กับคาไทยปัจจุบนั เช่น เส่ือสาด ว่องไว ฝื ดเคอื ง เชือนแช เบยี้ หอย เกบ็ หอม (๒)นาคาภาษาถ่นิ ค่กู ับคาไทยกลาง เช่น เข็ดหลาบ หลสบ เป็ นคาใช้อยู่ในภาษาใต้ แปลว่า เขด็ ครูบา บา เป็ นคาท่ใี ช้อย่ใู นภาษาเหนือ แปลว่า ครู แปดเปื้อน แปด เป็ นคาท่ใี ช้อยู่ในภาษาอสี าน แปลว่า ตดิ (๓)ใช้คาไทยค่กู บั คาภาษาต่างประเทศ เช่น ฉับไว ฉับ เป็ นภาษาเขมร แปลว่า ไว สร้างสรรค์ สรรค์ เป็ นภาษาสันสฤต แปลว่า สร้าง ละเอียดลออ ลออ เป็ นภาษาเขมร แปลว่า งาม (๔)ใช้คาภาษาต่างประเทศกับคาภาษาต่างประเทศคู่กนั เช่น เลอเลิศ สรงสนาน ทรัพย์สนิ เฉลมิ ฉลอง อทิ ธิฤทธ์ิ (๕)ใช้คาไทยปัจจุบนั ด้วยกนั เข้าค่กู ัน เช่น ซัดทอด ทกั ท้วง โต้แย้ง หลอกลวง อบรม ถากถาง
๔.คาซา้ คาซา้ กค็ อื การซา้ หน่วยคาท่ที าหน้าท่เี ดยี วกันในประโยค ถ้าเป็ นคาเดยี วกนั แต่ ทาหน้าท่ตี ่างกันไม่ใช่คาซา้ การเขยี นคาซา้ ในปัจจบุ นั มี การใช้ไม้ยมก (ๆ) แทน คาซา้ นีอ้ าจมีความหมายในการซา้ ท่แี ตกต่างกนั ไป คือ ๔.๑ความหมายคงเดมิ เช่น เดก็ เหล่านีเ้ ป็ นลูกๆหลาน๐ของฉันเอง หมายถึง เดก็ ๆท่เี ป็ นลูกหลาน ๔.๒ บอกพจน์ หรือจานวนท่เี พ่มิ ขึน้ เช่น เดก็ ๆชอบไปเท่ยี วทะเล หมายถึง มีเดก็ มากกว่าหน่ึงคน ๔.๓ เพ่มิ นา้ หนักของคาให้มีความหมายมากขึน้ เช่น ลูกใครหน้าตาซ้วยสวย ฝนตกจ๊กั ๆ เน้นความหมายให้ชัดเจนย่งิ ขึน้ ๔.๔ ทาให้นา้ หนักของคาเบาลง เช่น เขาใส่เสือ้ สีแดงๆเขารู้สึกเฉยๆเม่ือถกู ด่า ๔.๕ บอกคาส่ัง เช่น พดู ดงั ๆ อย่เู งยี บๆ ๔.๖ เปล่ียนความหมายใหม่ เช่น กล้วยๆ (ง่าย) งๆู ปลาๆ (ใช้การไม่ได้) ลวก ๆ (ขอไปท)ี พลาง ๆ (ทาไป ก่อนกาหนด) เป็ นต้น ๔.๗ บอกความหมายชเี้ ฉพาะ เช่น ควรพดู เป็ นประเดน็ ๆไป ๔.๘ บอกความหมายไม่ชเี้ ฉพาะ เช่น ฉันน่ังรถคันหลังๆเจอกันท่ขี ้างๆโรงเรียนนะ
๕.การสมาสคา การสมาสคาเป็ นการผสมระหว่างคามูลท่เี ป็ นคาภาษาบาลีและสันสกฤต แล้วเกดิ คาใหม่ท่มี ีความหมายใหม่ เวลาอ่านออกเสียงต้องอ่านออกเสียง ต่อเน่ืองกนั การแปลจะต้องแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น ปิ ยมิตร หมายถึง เพ่อื นเป็ นท่รี ัก เพ่อื นท่ดี ี มาจาก ปิ ยะ (บาลี) มิตร (สันสกฤต) = ปิ ยมิตร ลักษณะชองคาสมาส ๕.๑ คาท่เี กดิ จากการสมาสจะต้องเป็ นคาท่มี ีคาจากภาษาบาลีและสันสกฤต หรือ สันสกฤตกบั บาลี เช่น บาลี+บาลี ปัจฉิมวยั สังฆราช วุฒสิ ภา อุกกาบาต สันสกฤต+สันสกฤต เช่น วทิ ยาศาสตร์ อารยธรรม อักษรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ บาลี+สันสกฤต เช่น วัฒนธรรม ทนั ตแพทย์ พทุ ธศาสนา องครักษ์ สันสกฤต+บาลี เช่น วทิ ยฐานะ นิตยสาร กรรมการ ๕.๒ความหมายของคาท่เี กดิ จากการสมาสจะต้องแปลจากหลงั มาหน้า เช่น ดรุณวยั อุตุนิยมวิทยา ดาราศาสตร์ ยทุ ธวธิ ี วทิ ยาศาสตร์ **คาสมาสบางคาต้องแปลจากข้างหน้ามาข้างหลัง เช่น บตุ รภรรยา สมณพราหมณ์ ภกิ ษุสามเณร ทาสกรรมกร ๕.๓คามูลท่สี มาสกันเข้าแล้ว แม้คาหน้าจะออกเสียงเป็ นสระอะกต็ ดั ทงิ้ เสีย ไม่ต้องประวิสรรชนีย์และเวลาอ่าน ต้องอ่านออกเสียงสระอะ เพ่อื ให้เสียง เน่ืองกัน เช่น ธุระ + กจิ = ธุรกิจ ไม่ใช่ ธุระกจิ ปิ ยะ+มิตร= ปิ ยมิตร ไม่ใช้ ปิ ยะมิตร แต่ถ้าเป็ นสระอ่นื กค็ งไว้ เช่น พธิ ีกร ครุศาสตร์ วิทยานิพนธ์ นิตกิ รรม วุฒธิ รรม เป็ นต้น
๕.๔ประเภทของคาสมาส ๑.คาสมาสแบบสมาสหรือคาประสม คาสมาสประเภทนีจ้ ะนาคาในภาษาบาลี หรือสันสกฤตมาประสมกนั โดยไม่มกี ารเปล่ียน แปลงรูปคาสามารถแยกคาท่มี า ประสมกันได้อย่างอิสระ มีการอ่านออกเสียงต่อเน่ืองระหว่างคา และ แปลความ จากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น ประวัตศิ าสตร์ มาจาก ประวัติ + ศาสตร์ ลักษณนาม มาจาก ลักษณ+นาม ตวั อย่างคาสมาสแบบสมาส ภมู ิศาสตร์ คลิ านเภสัช อริยประเพณี วัฒนธรรม ประวัตศิ าสตร์ วีรกรรม ชวี พนั ธ์ อารยธรรม วทิ ยาศาสตร์ อนั ธพาล อารยประเทศ ราชรถ ๒.คาสมาสแบบสนธิหรือกลมกลืนเสียง คือ เอาคามูลท่เี ป็ นคาบาลี – สันสกฤตมาเช่อื มเข้ากับคามู,คาหลัง เพ่อื ให้เกดิ เสียงกลมกลืนเป็ นเสียง เดยี วกนั ตวั ท่เี ป็ นท่นุ เช่ือมคอื ตวั อ และเม่ือเช่อื มกันแล้วตัว อ หายไป เหลือแต่ สระท่กี ลมกลืนกนั เป็ นคาใหม่อกี คาหน่ึงเรียกว่า “สนธิ” หรือสมาสแบบกลมกลืน เสียงน่ันเอง เช่น ศลิ ปะ + อาชพี = ศิลปาชีพ อภนิ ันทนะ + อาการ = อภนิ ันทนาการ ยทุ ธะ + อุปกรณ์ = ยทุ โธปกรณ์ ตวั อย่างคาสมาสแบบสมธิ (กลมกลืนเสียง) สุโขทยั รังสิโยภาส ศลิ ปากร จฬุ าลงกรณ์ บุคลาธิษฐาน มิจฉาชีพ โรคาพาธ ปรมินทร์ อรุโณทยั สุริโยทยั มหาวิทยาลัย ราชาภเิ ษก พเนจร มหศั จรรย์ หตั ถาจารย์
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: