Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอน บทที่ ๖ การอนามัยโรงเรียน

เอกสารประกอบการสอน บทที่ ๖ การอนามัยโรงเรียน

Published by Kamonwan Phowitthayakan_Suwan, 2023-07-03 04:38:47

Description: เอกสารประกอบการสอน บทที่ ๖ การอนามัยโรงเรียน

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน บทท่ี ๖ การอนามัยโรงเรยี น อ.กมลวรรณ สุวรรณ ขอบเขตการเรียนรู้ ๑. แนวคดิ และความสำคญั ของการบรกิ ารอนามัยโรงเรยี น ๒. ข้นั ตอนการดำเนนิ งานอนามัยโรงเรยี น - การใชก้ ระบวนการพยาบาลในการพยาบาลอนามัยโรงเรยี น ๓. โรงเรยี นสง่ เสรมิ สขุ ภาพ - ความหมาย - แนวคิดและความเป็นมาของโรงเรียนสง่ เสรมิ สุขภาพ - ผลกระทบและประโยชน์ - องคป์ ระกอบของโรงเรียนส่งเสริมสขุ ภาพ ๔. บทบาทพยาบาลอนามัยโรงเรียน ๕. การดำเนนิ งานอนามยั โรงเรยี น ๑) การบริการดา้ นสขุ ภาพในโรงเรียน (๑) การสรา้ งเสริมภูมิค้มุ กนั โรค (๒) การตรวจสขุ ภาพนักเรียน - การประเมินนำ้ หนัก ส่วนสงู และภาวการณเ์ จริญเติบโต - การตรวจสุขภาพ ๑๐ ทา่ - การตรวจวัดสายตา - การตรวจการไดย้ ิน - การตรวจทันตสุขภาพ (๓) การสง่ ตอ่ ๒) การบรกิ ารดา้ นสขุ ศึกษา ๓) การบรกิ ารด้านสิ่งแวดล้อม ๔) ความสัมพันธ์ระหวา่ งโรงเรียนกับครอบครัว และชุมชน ๖. การจดั การยาในโรงเรยี น (การใช้ยาอย่างสมเหตสุ มผล) ๗. การจัดการโรงเรียนในสถานการณ์ COVID-19

๑. แนวคิดและความสำคัญของการอนามัยโรงเรยี น การพัฒนาด้านศึกษาและสุขภาพเป็นสิ่งควบคู่กันในการพัฒนาศักยภาพของประชากรของประเทศ การอนามัยโรงเรียน เป็นการดูแลสุขภาพของกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่อยู่ในโรงเรียน ผู้รับผิดชอบในงานอนามัย โรงเรียนคือ ครู และบุคลากรสุขภาพ ได้แก่ พยาบาลประจำโรงเรียน พยาบาลอนามัยชุมชน หรือเจ้าหน้าท่ี สาธารณสุขที่อยู่ประจำในชุมชน ลักษณะเป็นการดูแลสุขภาพต่อเนื่องตามวัย เมื่อเด็กอายุ ๖ ปีพ้นระยะวัย กอ่ นเรียนทไี่ ด้รบั การดแู ลในชมุ ชน หรอื ทบี่ ้าน เดก็ ทกุ คนจะไดเ้ ข้าเรียนในโรงเรียนต้องใช้ชีวิตในโรงเรียนวันละ ๘ ชั่วโมง เป็นช่วงเวลาที่ครูและพยาบาลอนามัยชุมชนหรือพยาบาลประจำโรงเรียนจะเป็นผู้ดูแลสุขภาพ นักเรียนแทนครอบครัว ภาวะสุขภาพมีความสัมพันธ์ต่อความสามารถทางการเรียนรู้ การพัฒนาการทาง สตปิ ัญญา และผลการเรยี น ในขณะเดียวกนั การเรียนรู้กส็ ง่ ผลตอ่ พฤติกรรมทางดา้ นสุขภาพของบุคคล วัยเรียนหมายถึงประชากรกลุ่มอายุ ๖-๑๘ ปี มีประมาณร้อยละ ๒๕ ของประชากรทั้งหมดของ ประชากรไทย ช่วงชวี ิตในวัยเรียนชัน้ ประถมศึกษาเร่ิมตัง้ แต่อายุเฉลีย่ ประมาณ ๖-๑๒ ปแี ละชน้ั มัธยมปีท่ี ๑-๖ อกี ๖ ปี ต้ังแต่อายปุ ระมาณ ๑๓-๑๘ ปี รวมระยะเวลาท่ีต้องได้รับบริการอนามัยโรงเรียน ๖-๑๒ ปี ก่อนท่ีเข้า สู่วัยแรงงาน การจัดบริการอนามัยโรงเรียนจึงมีความสำคัญในการสร้างพื้นฐานสุขภาพที่ดีแก่ประชากรของ ประเทศตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากเป็นวัยทีง่ า่ ยต่อการพัฒนาสร้างเสรมิ สุขนิสัยและปรบั เปลีย่ นพฤติกรรมสขุ ภาพ ที่เหมาะสมการรวมอยู่เป็นกลุ่มในโรงเรียนมีข้อดีในการจัดบริการ เนื่องจากประหยัดเวลาและกำลังคน ให้บริการเปน็ กลุ่มได้ บริการอนามัยโรงเรียนที่ดสี ่งผลดีต่อภาวะสุขภาพโดยรวมของเด็ก ครอบครัวและชุมชน ด้วย การอยู่รวมกลุ่มในโรงเรียนมขี ้อเสียคือ เม่ือการแพร่ระบาดของโรคหรือปัญหาสุขภาพจะลุกลามได้เร็ว ต้องมีมาตรการป้องกันที่ดีและรวดเร็วจึงจะสกัดกั้นได้ เช่นในการแพร่ระบาดของโรงติดต่อจากไวรัส โรคตา แดง สกุ ใส หดั คางทมู ตอ้ งแยกผู้ป่วยโดยเรว็ การเกิดปญั หาดา้ นอาหารเปน็ พษิ จากอาหาร กลางวันที่โรงเรียน จัดให้จะทำให้มีผู้ป่วยครัง้ ละจำนวนมาก นอกจากนี้ปัญหาพฤติกรรมจากการเลียนแบบแพร่ได้ง่ายในโรงเรียน เช่นการใช้สารเสพตดิ การใชก้ ำลงั รนุ แรง เป็นต้น ดังนั้นการบริการอนามัยโรงเรียนเป็นบริการสุขภาพที่สำคัญงานหนึ่งที่ไม่ควรละเลย เนื่องจากโดย สภาพท่ัวไปแลว้ เดก็ ส่วนใหญป่ กติไม่ป่วย ต้องมงุ่ เนน้ บรกิ ารด้านปอ้ งกันและการส่งเสริมสุขภาพ สรา้ งเสรมิ การ เรียนรู้เพื่อให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมตั้งแต่ในวัยนี้ส่งผลระยะยาวตลอดชีวิตของประชากรของชาติ ปัจจุบันประเทศไทยนำแนวคิด “โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ” ตามข้อเสนอขององค์การอนามัยโลก เริ่ม ดำเนินการตั้งแตป่ ีพ.ศ.๒๕๔๑

๒. ขัน้ ตอนการดำเนนิ งานอนามัยโรงเรียน ขั้นตอนการดำเนนิ งานอนามัยโรงเรียน ประกอบด้วย - การเตรียมการ เร่มิ จากการตดิ ต่อประสานงานโรงเรยี นที่ใหบ้ ริการ เพอ่ื เตรยี มการจัดกำลังคนและ อุปกรณ์ด้านการแพทย์ แบบบันทึกสุขภาพของนักเรียน ตลอดจนสำรวจลักษณะทั่วไปของโรงเรียนในด้าน สขุ าภบิ าลส่ิงแวดล้อม หอ้ งปฐมพยาบาล และหลักสตู รท่ีให้ความรู้กบั นักเรยี น - การวางแผน โดยร่วมกับครูผู้รับผิดชอบด้านสุขภาพของโรงเรียนเพื่อกำหนดวัน เวลา การ จดั บรกิ าร เชน่ การให้บริการตรวจรา่ งกาย ชั่งน้ำหนัก วัดสว่ นสูง ตรวจสายตา ฉดี วัคซีน - ดำเนินงานตามแผน ปฏิบัติการให้บริการโดยการจัดเตรียมสถานที่อุปกรณ์เครื่องชั่งน้ำหนัก วัด ส่วนสูง แผ่นวัดสายตา อุปกรณ์ทางการแพทย์ นักเรียนต้องได้รับการตรวจสุขภาพโดยพยาบาล พร้อมทั้งให้ การรกั ษาและคำแนะนำในปัญหาที่พบ - ติดตามและประเมินผล ในประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรครวมทั้ง ประเมนิ ผลงานทใ่ี ห้การดแู ล มีสงิ่ ใดบา้ งท่ีจะได้รับการแก้ไขต่อไป - การบันทึก ผลการตรวจสุขภาพลงในบัตรสุขภาพประจำตัวทุกครั้ง เพื่อเป็นหลักฐานและทราบถึง ปญั หาสขุ ภาพและสิง่ ที่ไดแ้ กไ้ ข ตลอดจนการตดิ ตามในระยะต่อไปดว้ ย การใช้กระบวนการพยาบาลในการพยาบาลอนามยั โรงเรียน ๑. การประเมินภาวะสุขภาพอนามัยโรงเรียน (Assessment) เป็นการรวบรวมข้อมูลทั่วไปของ โรงเรยี นซึง่ ใชป้ ระกอบในการดแู ลสุขภาพ ข้อมลู ทีค่ วรประเมนิ ไดแ้ ก่ - ข้อมูลเกี่ยวกับด้านโครงสร้างของโรงเรียน เช่น สถานที่ตั้ง ระเบียบบริหารจัดการภายในเชิง โครงสร้าง - ข้อมลู เกี่ยวกับด้านนักเรียนและครู เชน่ จำนวนครู บคุ ลากร และนักเรียน เพศ หลักสูตรและ ระดับการศกึ ษาทีจ่ ดั ใหม้ ใี นโรงเรียน - ข้อมูลเกี่ยวกับด้านสขุ ภาพ เชน่ ข้อมลู ด้านสุขภาพจากบัตรสุขภาพประจำตัวนักเรยี น - ขอ้ มูลเก่ียวกบั การประสานงานหรือความร่วมมือของโรงเรียนกับสถานบริการสุขภาพกับบ้าน หรือครอบครวั เชน่ ระบบเครอื ขา่ ยดา้ นสขุ ภาพ สถานอี นามยั การแจง้ ขอ้ มูลต่อผู้ปกครอง เปน็ ต้น ๒. ข้อวินิจฉัย (Diagonosis) เป็นปัญหาสุขภาพที่ตรวจพบและจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ตามความจำเป็นเร่งด่วน การดูแลสุขภาพพยาบาลสามารถให้การช่วยเหลือได้อิสระตามความรู้ทางการ พยาบาล และปัญหาสุขภาพที่ต้องการความร่วมมือจากทีมสุขภาพอื่นอาจต้องส่งต่อ เนื่องจากต้องการการ วินจิ ฉัยและการรักษาที่เฉพาะดา้ น ในบางเรอื่ ง เช่น สายตา ทันตกรรม ผิวหนงั เป็นต้น ๓. การวางแผนการพยาบาล (Planning) ได้แก่ การนำข้อมูลที่รวบรวมได้ และข้อวินิจฉัยท่ี คน้ พบมาทำแผนเพือ่ เป็นแนวทางในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมทางการพยาบาล ซง่ึ ประกอบดว้ ย

- ตั้งวัตถุประสงค์และเป้าหมาย (objective and goal) ที่สามารถบอกแนวทางการปฏิบัติได้ และควรคำนงึ ถึงทรัพยากรที่มอี ยู่ - กำหนดวธิ ีปฏิบตั ิ (planing-intervention) ทีช่ ดั เจน - กำหนดเกณฑ์การประเมินที่สามารถวัดได้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ เป็นแนวทางการ ปฏบิ ตั ิการทพี่ ยาบาลไดว้ างไว้ - บันทึกกิจกรรมพยาบาล (document) ตามความจริงและหลกั การของแบบบนั ทกึ เช่น แบบ บันทกึ สามัญศึกษา ๓ (สศ.๓) เพอ่ื เปน็ หลักฐานการดแู ลสขุ ภาพและการตดิ ตามอย่างต่อเน่ือง เปน็ ตน้ ๔. การปฏิบัติตามแผน (Implementation) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ควรดูเรื่องเวลา สถานที่ อุปกรณ์ ทรัพยากรและบุคลากรที่เกี่ยวขอ้ ง มีความยืดหยุ่นในการปรับแผนตามสถานการณ์ และการ ส่งต่อเพื่อการดแู ลรักษาในกรณีท่ีจำเป็น ๕. การประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการพยาบาลควรมีการ ประเมินเป็นระยะ เพื่อที่จะได้มีการปรับปรุงแก้ไขแผนการพยาบาลได้ทันท่วงที การประเมินผลควรมีการต้ัง เกณฑ์การประเมินผล โดยกำหนดตวั ช้วี ัดที่ชัดเจนเพื่อจะได้ทราบว่าบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ่ตี ้ังไว้หรือไม่ เป้าหมาย สุดท้ายคือ นักเรยี นสามารถดแู ลสขุ ภาพตนเองได้ ๓. โรงเรยี นสง่ เสริมสุขภาพ ความหมาย องคก์ ารอนามยั โลก (WHO,๑๙๙๘) ได้ให้คำจำกดั ความของ\"โรงเรยี นส่งเสริม สขุ ภาพ\" ดังนี้ \"โรงเรียน ส่งเสริมสุขภาพ คือ โรงเรียนที่มีขีดความสามารถแข็งแกร่ง มั่นคง ที่จะเป็นสถานที่ท่ีมีสุขภาพอนามัยที่ดี เพ่ือ การอาศัย ศกึ ษา และทำงาน\" \"A health promoting school is a constanly strengthening its capacity as a healthy setting for living, learning and working\" ส่วนคำจำกัดความที่สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรม อนามัย กระทรวงสาธารณสุข (๒๕๔๕) เรียบเรียงขึ้นคือ \"โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ คือ โรงเรียนที่มีความ รว่ มมอื ร่วมใจกนั พัฒนาพฤติกรรมและส่ิงแวดล้อมให้เอ้ือต่อสุขภาพ อย่างสมำ่ เสมอเพื่อการมสี ุขภาพดีของทุก คนในโรงเรียน\" แนวคิด แนวคิดของโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ เป็นแนวคิดที่กว้างขวางครอบคลุมด้านสุขภาพ อนามัยในทุกแง่ ทุกมุมของชีวิต ทั้งในโรงเรียนและชมุ ชน นั่นคือ ความร่วมมือกันผลักดนั ใหโ้ รงเรียนใช้ศักยภาพทั้งหมดทีม่ ีอยู่ เพอ่ื พัฒนาสขุ ภาพของนักเรยี น บุคลากรในโรงเรยี น ตลอดจนครอบครวั และชมุ ชน ใหส้ ามารถ - นำมาประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจำวัน - ดูแลเอาใจใส่สขุ ภาพของตนเองและผ้อู ่นื - ตดั สินใจและควบคุมสภาวการณแ์ ละส่งิ แวดลอ้ ม ทมี่ ีผลกระทบต่อสุขภาพ

จะเหน็ ไดว้ า่ แนวคดิ ดงั กล่าวก่อใหเ้ กิดโอกาสในการพัฒนานโยบาย ระเบยี บและโครงสร้างการส่งเสริม สขุ ภาพทกุ เร่ืองท่ีโรงเรยี นและชุมชน สามารถดำเนนิ การร่วมกนั การทำงานเปน็ ทีมโดยมผี ู้นำที่เขม้ แข็งทุก ส่วน ร่วมแสดงความคิดเห็นและตกลงกันในเป้าหมายต่างๆภายใต้ การผสมผสานแนวคิดของการพัฒนาด้าน การศึกษาและดา้ นสขุ ภาพ ผลกระทบและประโยชน์ของโรงเรียนสง่ เสรมิ สุขภาพ เป็นสงิ่ ที่มองเห็นได้ในระยะยาว ดังน้ี 1. นักเรียนได้รวู้ ิถชี วี ติ ในการสร้างพฤติกรรมสุขภาพทด่ี ี 2. โรงเรียนได้รับประโยชน์จากผู้ปกครองและองค์กรต่างๆ ที่มีส่วนร่วมระดมความคิด ระดม ทรพั ยากรและปฏิบัติกจิ กรรมต่างๆในการพฒั นา โรงเรยี นอย่างมีประสิทธิภาพยง่ิ ข้นึ องค์ประกอบของโรงเรียนส่งเสรมิ สุขภาพ องค์การอนามยั โรคกำหนดองคป์ ระกอบ ๑๐ ประการของโรงเรียนสง่ เสริมสุขภาพ แบง่ เปน็ ๒ ด้าน ดงั น้ี ด้านกระบวนการ ๑. นโยบายของโรงเรียน (School policies) หมายถงึ ข้อความที่กำหนดทิศทางการดำเนินงานด้าน สง่ เสรมิ สุขภาพของโรงเรียน ซ่ึงจะส่งผลต่อกจิ กรรมและการจดั สรรทรัพยากรเพอ่ื การส่งเสรมิ สขุ ภาพ ๒. การบริหารจัดการในโรงเรียน (School management practices) หมายถึงการจัดระบบ บริหารงานเพ่ือใหก้ ารดำเนนิ งานส่งเสรมิ สุขภาพในโรงเรยี นมีประสทิ ธิภาพและเกดิ ความตอ่ เน่ือง ด้านการส่งเสรมิ สุขภาพและสง่ิ แวดลอ้ ม ๓. โครงการร่วมระหว่างโรงเรียนและชุมชน (School / community project) หมายถึงการจัด โครงการหรอื กิจกรรมส่งเสรมิ สุขภาพที่ดำเนนิ การร่วมกันระหวา่ งโรงเรียนผูป้ กครองและสมาชกิ ในชุมชน ๔. การจัดสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนทีเ่ อื้อต่อสุขภาพ (Healthy school environment) หมายถึง การควบคุมดูแล ปรับปรุงส่ิงแวดล้อมของโรงเรยี นให้ถูกสุขลักษณะและเอื้อต่อการเรียนรูส้ ง่ เสรมิ สุขภาพกาย จติ สงั คมตลอดจนการปอ้ งกนั โรคและอนั ตรายที่อาจเกิดข้ึนกับนักเรียน ครูและบคุ ลากรของโรงเรยี น ๕. บริการอนามัยโรงเรียน (School health service) หมายถงึ การจัดบริการขัน้ พ้ืนฐานท่ีจำเป็น สำหรับนักเรียน ครูและบุคลากรของโรงเรียน ได้แก่ การเฝ้าระวังภาวะสุขภาพการตรวจสุขภาพ การคัด กรองโรคและการรักษาพยาบาลเบื้องตน้ ในโรงเรยี น ๖. สุขศึกษาในโรงเรียน (School health education) หมายถึงการจัดกิจกรรมสุขศึกษาทั้งใน หลกั สูตรโดยตรงและผ่านทางกจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รียน ทง้ั นี้เพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้การฝกึ ปฏิบตั ทิ จี่ ะนำไปสู่ การมีพฤตกิ รรมสขุ ภาพทีเ่ หมาะสมต่อการมสี ุขภาพดี ๗. โภชนาการและสุขาภิบาลอาหาร กีฬาและนันทนาการ (Nutrition / food safety) หมายถึง การส่งเสริมให้นักเรียนมภี าวการณ์เจริญเติบโตที่สมวยั โดยการจัดให้นักเรียนและบคุ ลากรของโรงเรียนไดร้ บั ประทานอาหารท่ีมีคณุ คา่ ต่อสุขภาพ สะอาด และปลอดภัย

๘. การออกกำลงั กาย กฬี าและนนั ทนาการ (Physical exercise, sport, recreation) หมายถึง การสนับสนุนให้นักเรียนและบุคลากรของโรงเรียนได้มีการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ โดยการจัดหาสถานที่ อุปกรณ์ และกิจกรรมการออกกำลังกาย กีฬา และนันทนาการและเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาใช้ สถานท่ี อปุ กรณห์ รอื เข้ารว่ มในกจิ กรรมท่ีโรงเรียนจดั ๙. การใหค้ ำปรกึ ษาและสนบั สนุนทางสงั คม (Counseling / social support) หมายถงึ การบรกิ าร ให้คำปรึกษา แนะแนวและช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิตและภาวะเสี่ยง รวมท้ัง พฤติกรรมเสีย่ งของนักเรียน ๑๐. การส่งเสริมสุขภาพบุคลากรในโรงเรียน (Health promotion for staff) หมายถึงการจัด กิจกรรมเพื่อกระตุ้น ส่งเสริมให้บุคลากรในโรงเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมส่งผลดีต่อสุขภาพของ ตนเองและเป็นแบบอยา่ งทีด่ ีแกน่ กั เรยี นในโรงเรยี น โครงการโรงเรียนส่งเสริมสขุ ภาพมีผลใหท้ างโรงเรียนมีกิจกรรมในแต่ละองค์ประกอบมากขึ้นจากงาน อนามัยโรงเรยี นท่ีมีอยู่เดิมและจะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสุขภาพนกั เรยี นได้ดียิ่งข้นึ การตดั สนิ ผลการดำเนินงานในแต่ละองคป์ ระกอบ เกณฑ์การตัดสินในแต่ละองค์ประกอบจะแบ่งเป็น ๔ ระดับ คือ ระดับดีมาก ระดับดี ระดับพื้นฐาน และไมผ่ า่ นเกณฑ(์ ควรพัฒนาตอ่ ไป) ระดับ เกณฑ์การตดั สิน ผ่านเกณฑ์ประเมินข้นั ดมี าก คะแนนที่ได้ร้อยละ ๗๕ ขึ้นไปของคะแนนสูงสุดในแต่ละ องคป์ ระกอบ ผ่านเกณฑ์ประเมินข้นั ดี คะแนนที่ได้ร้อยละ ๖๕ – ๗๔ ของคะแนนสูงสุดในแต่ละ องค์ประกอบ ผ่านเกณฑป์ ระเมินขัน้ พืน้ ฐาน คะแนนที่ได้ร้อยละ ๕๕ – ๖๔ ของคะแนนสูงสุดในแต่ละ องค์ประกอบ ไม่ผา่ นเกณฑ์ (ควรพัฒนาต่อไป) คะแนนที่ได้น้อยกว่าร้อยละ ๕๕ ของคะแนนสูงสุดในแต่ละ องคป์ ระกอบ การจัดระดับโรงเรียนส่งเสริมสขุ ภาพ การจัดระดบั การดำเนนิ งานโรงเรียนส่งเสริมสขุ ภาพจะแบง่ เป็น ๓ ระดบั คือ ระดบั ทองแดง ผ่านเกณฑป์ ระเมนิ ระดบั ขั้นดีมาก ไมน่ ้อยกว่า ๔ องคป์ ระกอบ แต่ ไม่มผี ลการประเมนิ ต่ำกว่าขน้ั พื้นฐานใน ๖ องคป์ ระกอบที่เหลอื ระดับเงนิ ผ่านเกณฑ์ประเมินระดบั ขั้นดมี าก ไม่น้อยกวา่ ๖ องค์ประกอบ แต่ ไม่มีผลการประเมินตำ่ กว่าขั้นพน้ื ฐานใน ๔ องค์ประกอบท่เี หลือ ระดบั ทอง ผ่านเกณฑ์ประเมินระดบั ขนั้ ดมี าก ไมน่ ้อยกวา่ ๘ องคป์ ระกอบ แต่ ไม่มีผลการประเมนิ ต่ำกวา่ ข้นั พืน้ ฐานใน ๒ องคป์ ระกอบที่เหลอื

ในปัจจุบันกรมอนามัยได้มีการยกระดับเกณฑ์การประเมินโรงเรียนสง่ เสรมิ สุขภาพขึ้นสู่อีกระดับหน่งึ คือ ระดับเพชร เนื่องจากผลการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพที่ผ่านมาได้ผลเป็นที่น่าพอใจบรรลุตาง เป้าหมาย มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมากและสามารถพัฒนากิจกรรมด้านสุขภาพจนผ่านการ ประเมนิ รับรองเปน็ โรงเรยี นส่งเสริมสขุ ภาพเพิม่ ขึน้ ทุกปี และมีโรงเรยี นทบ่ี รรลเุ กณฑ์ที่ค่อนขา้ งสงู โดยโรงเรียน ที่สามารถเข้าร่วมโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพระดับเพชร คือ โรงเรียนทกุ สงั กัดที่ผ่านการประเมนิ รับรอง เปน็ โรงเรยี นส่งเสริมสุขภาพระดับทอง และโรงเรยี นทีผ่ า่ นการประเมินเป็นโรงเรยี นส่งเสริมสุขภาพระดับเพชร จะต้องผ่านการประเมินครบทุกตัวชี้วัด ตามเกณฑ์มาตรฐานการประเมินโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพระดับเพชร ซึง่ มตี วั ช้ีวดั ท่เี น้นการวัดผลทางสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของนักเรยี น และผลการดำเนนิ งานตามนโยบาย ของกระทรวงศกึ ษาธิการ ประกอบดว้ ย มาตรฐาน ๓ ด้าน ๑๙ ตัวช้ีวัด ๔. บทบาทของพยาบาลอนามัยโรงเรยี น ๑. ผู้ประสานงานและให้ความร่วมมือ (coordinator and collaborator) กับทางโรงเรียนใน การที่จะให้บริการอนามัยโรงเรียน และติดต่อกับหน่วยงานของสาธารณสุขของรัฐ เช่น สถานีอนามัย สำนกั งานทางสาธารณสุขอำเภอที่รับผิดชอบดแู ลโรงเรยี นนนั้ ๆ ในการสนับสนุนอุปกรณว์ ัคซนี ๒. ผู้สอน (educator) โดยการสอนสุขศึกษาทั้งรายกลุ่ม และรายบุคคลขณะออกตรวจสุขภาพ ตัวอย่างเช่น การปฐมพยาบาลเบื้องต้นในโรงเรียน (first aid in school) คือ การช่วยเหลือนักเรียน ครู และ บุคลากรในโรงเรียน เมื่อได้รับอุบัตเิ หตุหรอื เจบ็ ป่วยอยา่ งกะทันหนั เพื่อช่วยลดอันตรายและความรนุ แรงก่อน นำส่งโรงพยาบาล ผู้ที่จะทำการปฐมพยาบาลอาจเป็นนักเรียนหรือผู้ปกครอง ผู้ปฐมพยาบาลต้องระงับความ ตน่ื เต้น ตกใจ และต้องตดั สนิ ใจให้ได้ว่า สง่ิ ใดควรทำก่อนหรือหลัง ความรวดเรว็ ถกู ต้องให้ความม่ันใจต่อผู้ป่วย เพื่อทำการปฐมพยาบาลเรียบร้อย แล้วจึงรีบนำส่งต่อโรงพยาบาลทันที ทั้งนี้การที่ผู้ปฐมพยาบาลจะสามารถ ปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้องนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความรู้และทักษะการปฐมพยาบาลอย่าง สม่ำเสมอจากผู้ที่มีความรู้และทักษะในด้านนี้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่รับผิดชอบจึงควรจัดการอบรม ความรู้แก่ครู นักเรียน และบุคลากร เพื่อให้บุคคลเหล่านี้สามารถให้การปฐมพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไป ๓. ผู้ให้บริการ (care giver) โดยการตรวจสุขภาพ ประเมินภาวการณ์เจริญเติบโต วัดสายตา และประเมินสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม เป็นการป้องกันการเกิดโรคในโรงเรียน เช่น การป้องกันและควบคุม โรคติดต่อในโรงเรียน (prevention and control of communicable disease in school) โรงเรียนเป็น แหล่งรวมของนักเรียนและบุคลากรต่างๆซึ่งมีภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ สังคมและสิ่งแวดล้อมของแต่ละคนก็แตกต่างกัน หากมีคนใดคนหนึ่งเจ็บป่วยหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เสี่ยงต่อ การเกิดโรคอาจทำให้เกิดการระบาดของโรคในโรงเรียนได้ เช่น โรคหวัด ตาแดง อุจจาระร่วง ไข้สุกใส ไข้เลือดออก เป็นต้น ดังนั้นจึงควรมีการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อในโรงเรียน แก่นักเรียนและบุคลากรของ โรงเรยี นและชุมชน ตลอดจนเป็นการส่งเสริมสุขภาพ เพิ่มภูมติ ้านทานโรค เกิดความรู้ เจตคติที่ดี มีการปฎิบัติท่ี ถกู ต้องในการปอ้ งกนั โรคติดต่อ ซึง่ สามารถดำเนินการได้ ๓ ระยะ คือ

๑. การป้องกันระดับปฐมภูมิ (primary prevention) หมายถึง การป้องกันโรคในระยะก่อน เกิดโรค มีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ความรู้ในการป้องกันโรค การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้สะอาด ปลอดภัย รับประทานอาหารท่มี ีคุณคา่ การตรวจสขุ ภาพทวั่ ไป การสร้างสุขวิทยาสว่ นบุคคลทดี่ ี การให้ภูมคิ ้มุ กันโรค เป็น ตน้ ๒. การปอ้ งกันระดับทตุ ิยภูมิ (secondary prevention) หมายถงึ การป้องกนั ในระยะเกิดโรค เพื่อให้การรักษาได้ทันที การตรวจคัดกรองโรคระบาดและเป็นการป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย ลด ภาวะแทรกซ้อน การป้องกันในระยะนี้ ทำได้โดยให้รบั การรักษาจากแพทย์หรือเจา้ หน้าท่ีสาธารณสขุ ทันที ใน รายที่กำลังป่วยควรให้คำแนะนำหรอื ความรู้ในการปฎิบัติตัวเม่ือเจ็บป่วยและการป้องกันการแพร่กระจายของ เชื้อโรค บางรายควรให้หยุดเรียนหรอื แยกบริเวณจนกว่าอาการทุเลาหรือหายดี เช่น โรคตาแดง ไข้สุกใส คาง ทูม เปน็ ตน้ ๓. การป้องกันระดบั ตตยิ ภมู ิ (tertiary prevention) หมายถึง การฟนื้ ฟสู ภาพหลงั การเจบ็ ป่วย เพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างปกติ อาจทำได้โดยให้คำแนะนำช่วยเหลือให้กำลังใจ การส่งต่อเพื่อการรักษาหรือ ฟื้นฟูสภาพร่างกายที่พิการ เสียหายจากโรคในการทำกายภาพบำบัด การใช้กายอุปกรณ์ หรือการฟื้นฟูด้าน จติ ใจ เปน็ ตน้ ๔. ผู้ให้คำปรึกษา (counselor) ให้คำปรึกษากับครูหรือผู้ปกครองของนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพท่ี ซบั ซ้อนตอ้ งการการดูแลเป็นพิเศษ โดยการคัดกรองจากการตรวจสขุ ภาพนักเรียนโดยครู หรือพยาบาลอนามัย เมอื่ ออกให้บรกิ ารอนามัยโรงเรยี น ๕. ผู้พทิ กั ษส์ ทิ ธิ (advocator) เปน็ การให้บริการโดยใหค้ ำแนะนำข้อมูลเกยี่ วกับสิทธิที่มีและพึงได้รับ ของนกั เรยี น ๖. ผู้สง่ ต่อ (referral resource) ในนกั เรยี นท่มี ปี ัญหาสุขภาพแก่ครูประจำชนั้ ครูพยาบาล ผู้ปกครอง หรอื ส่งต่อไปรบั การรักษาต่อที่โรงพยาบาล โดยมกี ารตดิ ตามภาวะสุขภาพของนกั เรียนอย่างตอ่ เน่ือง บทบาททเี่ หน็ ได้ชัด ไดแ้ ก่ ๑. สำรวจข้อมูล การสำรวจข้อมูลต่าง ๆ ในโรงเรยี นจะดำเนนิ การในตน้ ปีของการศึกษา เม่ือได้ข้อมูล มาแลว้ ก็ทำการวเิ คราะหป์ ัญหา วางแผน เพอ่ื ดำเนนิ การแก้ไขและประเมนิ ผล ๒. การประสานงาน การประสานงานของพยาบาลจะช่วยให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรืน่ และมี ประสิทธิภาพ การประสานงานจะดำเนินการดงั น้ี ๒.๑ การประชุมครู ในตอนต้นปีการศึกษาจะต้องจัดประชุมครูเพื่อขอความร่วมมือในการ ดำเนินงานอนามัยโรงเรียนและชีแ้ จงบทบาทของครเู พื่อช่วยสนบั สนุนนกั เรียนในเร่อื ง ๒.๒.๑ การจัดบริการอนามยั แก่นกั เรียนให้ครบทกุ กจิ กรรม ๒.๑.๒ การปฏิบัติกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพ เช่น การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงและ ประเมนิ การเจริญเตบิ โต การวดั สายตา การตรวจสุขภาพนกั เรียนในตอนเชา้ ๒.๑.๓ การจัดโครงการเพื่อพฒั นาสขุ ภาพนกั เรียน เชน่ โครงการโรงเรยี นสีขาว ๒.๑.๔ โครงการออกกำลงั กายเพ่ือสุขภาพ

๒.๑.๕ โครงการอบรมผนู้ ำนกั เรียนในการปฐมพยาบาลเบื้องตน้ ฯลฯ ๒.๒ การประชุมผู้ปกครอง ควรมีการประชุมผู้ปกครองอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อเผยแพร่ ความรู้เรื่องสุขภาพอนามัย และขอความร่วมมือในการดำเนินงานอนามัยโรงเรียน ร่วมเป็นคณะกรรมก าร โรงเรยี นและกรรมการต่าง ๆ ในท้องถิ่น เพอื่ เผยแพร่ข่าวสารสาธารณสขุ และขอความรว่ มมือในการดำเนินงาน อนามัยโรงเรยี นในดา้ นแหลง่ ทรพั ยากรในชุมชน หลกั ในการดำเนินงานบริการสุขภาพในสถานศึกษามี ๔ องคป์ ระกอบ เพอ่ื ใหค้ รอบคลมุ สุขภาพของผู้ อยใู่ นสถานศกึ ษา ไดแ้ ก่ 1) การบรกิ ารด้านสขุ ภาพในโรงเรยี น 2) การบรกิ ารด้านสุขศึกษา 3) การบริการด้านสง่ิ แวดล้อม 4) ความสัมพันธร์ ะหวา่ งโรงเรียนกับครอบครวั และชมุ ชน โดยมีรายละเอยี ดดังนี้ ๑) การบริการดา้ นสขุ ภาพในโรงเรยี น - การสรา้ งเสริมภูมคิ ุม้ กนั โรค โรคหลายๆ โรคสามารถป้องกันได้ด้วยการให้วัคซีน ซึ่งโรคเหล่านี้อาจแพร่กระจายใน โรงเรียนได้ ฉะนั้นการให้วคั ซีนจึงเป็นวิธีหนึ่งซึง่ สามารถควบคุมและป้องกันโรคได้ ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคคอ ตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลโิ อ วณั โรค ไทฟอยด์ ซึง่ กระทรวงสาธารณสุข ไดก้ ำหนดการสรา้ งเสรมิ ภมู คิ ้มุ กันโรค ไวเ้ ป็นแนวทางปฏิบตั ซิ ่ึงเมื่อจะมีการใหภ้ ูมคิ ุ้มกันใดๆ ทางสถานศกึ ษาจะต้องแจ้งผปู้ กครองเพ่ือขออนุญาตเป็น ลายลักษณอ์ ักษรกอ่ นทุกคร้ัง

ตารางกำหนดการให้วคั ซีนตามแผนงานสรา้ งเสรมิ ภมู ิคุม้ กันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ปี ๒๕๖๓ กรณี เดก็ นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี ๑-๖ และได้รบั วัคซนี ครบตามเกณฑ์ - การตรวจสขุ ภาพนกั เรียน ▪ การประเมินน้ำหนัก สว่ นสงู และสภาวการณ์เจรญิ เติบโต เป็นการประเมินการเจริญเติบโตทางร่างกายของเด็กนักเรียนว่าสมวัยและเหมาะสมหรือไม่ เมื่อวดั แล้วต้องบันทึกลงในบัตรสขุ ภาพและเทียบกับตารางแสดงน้ำหนักและสว่ นสูงมาตรฐานของกรมอนามัย เพื่อทราบว่าความเจริญเติบโตของเด็กคนนั้นๆ อยู่ในเกณฑ์ใด เมื่อวัดแล้วต้องบันทึกลงในบัตรสุขภาพและ เทียบกับตารางแสดงน้ำหนักและส่วนสูงมาตรฐานของกรมอนามัยเพื่อทราบว่าความเจริญเติบโตของเด็กคน น้นั ๆ อยใู่ นเกณฑใ์ ด อยา่ งนอ้ ยภาคเรยี นละ ๑ ครงั้



พยาบาลควรร่วมกับทางโรงเรียนในการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาด้านโภชนาการของ นักเรียนท่ีมีปญั หาภาวะขาดสารอาหาร (ผอม เตี้ย) และภาวะโภชนาการเกิน (อ้วน) โดยมีแนวทางในการดแู ล ดงั นี้ กรณีนักเรียนมภี าวะการขาดสารอาหาร - ใหน้ กั เรยี นรับประทานอาหารทโี่ รงเรียนจัดใหใ้ ห้หมด และอาจให้เพม่ิ เติมได้ - อาจแบ่งเป็นอาหารมอ้ื ย่อย กรณที านน้อย - ติดตามประเมนิ ผลเปน็ ระยะ โดยการเย่ียมบ้าน - ขอความรว่ มมือจากผู้ปกครองในการดูแล และปรบั ปรุงภาวะโภชนาการของนักเรยี น กรณมี ีภาวะน้ำหนักเกนิ หรอื อ้วน - ไม่ควรพยายามลดนำ้ หนักเด็ก หรอื ให้ทานนอ้ ยลง - ให้หลีกเล่ียงการเติมอาหารประเภท ขา้ ว แปง้ ของหวาน เพราะสาเหตุท่ีทำให้เด็กอ้วนส่วนใหญ่เกิด จากการบริโภคข้าว แป้ง ไขมัน จำนวนมากในอาหารม้ือหลัก

การตรวจสขุ ภาพ ๑๐ ทา่ ทา่ ที่ นกั เรยี นปฏบิ ตั ิ สง่ิ ที่สงั เกต ทา่ ที่ ๑ ยื่นมือไปข้างหน้าให้สุดแขนทั้ง ๒ ข้าง คว่ำมือกาง ความสะอาดของเลบ็ น้ิวทกุ นิว้ ผวิ หนังบริเวณมือและแขน ง่ามมือ ท่าท่ี ๒ ทำตอ่ จากทา่ ท่ี ๑ โดยพลกิ มอื ใหอ้ ยู่ในทา่ ท่ีหงายมือ ทา่ ที่ ๓ งอแขน พับข้อศอก ใช้นิ้วชี้แตะเปลือกตาล่างพร้อม ตาแดง มีขี้ตา หรือมีการอักเสบของ กบั ดึงเบา ๆ แล้วใหก้ รอกตาไปมา ตาเปลือกตาบวมมีเม็ดหรือหนองที่ เปลือกตา ทา่ ท่ี ๔ ปลอกระดุมเสื้อเม็ดบนออก ใช้นิ้วชี้ของทั้ง ๒ ข้าง ความสะอาดของผิวหนังใต้คอและ เกี่ยวคอเสื้อให้กว้างออกให้เห็นรอบ ๆ บริเวณคอ บริเวณทรวงอก โรคผิวหนัง เกลื้อน ด้านหน้าและด้านหลงั ด้านหนา้ ของคอโตผิดปกตหิ รอื มกี อ้ น ทา่ ท่ี ๕ นักเรียนหญิงให้ใช้มือขวาเสยผมข้างหูด้านซ้ายขึ้น ความสะอาด ลักษณะใบหู ผม ไข่ และหันหน้าออกไปด้านขวา (ส่วนนักเรียนชายให้ เหา หรือตัวเหาทบ่ี รเิ วณโคนเสน้ ผม หันหน้าไปด้านขวาให้ผู้ตรวจมองเห็นใบหูและ บรเิ วณหูให้ชดั เจน) ทา่ ที่ ๖ ทำสลบั ด้านกบั ทา่ ที่ ๕ ท่าที่ ๗ ให้กัดฟันและยิ้มให้กว้าง ให้เห็นเหงือกเหนือฟันบน ดูริมฝีปากซีดหรือไม่ มีแผลที่มุมปาก และเหน็ ฟันลา่ ง หรือปากเปื่อย ฟันผุ ผิวหนังบริเวณ แก้ม คาง หน้าผาก มวี งด่างหรอื ไม่ ท่าที่ ๘ ให้อ้าปากกว้าง ๆ แลบลิ้นออกมาให้ยาว ๆ พร้อม ดลู ้ิน วา่ แตก แดง มฝี ้าหรือไม่ กบั รอ้ ง “อา” มีแผลในปากหรือไม่ ทา่ ท่ี ๙ ให้ยืนแยกเท้าเล็กน้อย ใช้มือจับกระโปรงขึ้นให้สูง ดูผิวหนังและความสะอาดบริเวณหัว เหนอื เขา่ ทงั้ สองข้าง เข่า หน้าแข้ง ง่ามนิ้วเท้า ดูรูปร่าง ความผิดปกติหรือความพิการของขา หน้าแข้ง และเทา้ ท ่ า ท่ี หันหลังให้ผู้ตรวจ เดินออกไปประมาณ ๔-๕ ก้าว ดูลักษณะการเดิน ๑๐ และเดนิ กลับเข้าหาผู้ตรวจตามเดิม

ภาพประกอบ การตรวจสุขภาพ ๑๐ ทา่ กรณีนักเรยี นชาย ภาพประกอบ การตรวจสุขภาพ ๑๐ ท่า กรณนี ักเรยี นหญงิ

- การทดสอบวดั สายตา (eyesight test) รปู แบบ Snellen chart มีรายละเอยี ดดงั น้ี ขนาดตัวอกั ษร ระยะท่ีคนสายตาปกตอิ ่านได้ 85 ๖๐ m./๒๐๐ ft ๓๖ m./๑๐๐ ft 293 ๒๔ m./๗๐ ft ๑๘ m./๕๐ ft 8754 ๑๒ m./๔๐ ft ๙ m./๓๐ ft 63952 ๖ m./๒๐ ft 428356 3746285 7264793 วธิ ที ดสอบสายตา 1. ทดสอบทีละตา เร่ิมจากตาขวาก่อน โดยปิดตาข้างซ้ายใหม้ ิด 2. อา่ นแผ่นทดสอบทลี ะตัว เรยี งจากซ้ายไปขวา จากบรรทัดบนลงล่างทีละบรรทัด 3. บรรทัดสุดทา้ ยที่อ่านได้ จะต้องอา่ นถูกมากกว่าหรือเทา่ กับครึ่งหนึง่ ของจำนวนตัวอักษรในบรรทัด น้ัน 4. อ่านได้สิ้นสุดในบรรทัดใด ให้ดูตัวเลขแสงระดับสายตา ซึ่งกำกับอยู่ท้ายบรรทัดน้ัน(ตัวเลขท่ีกำกบั อยู่ท้ายบรรทัด หมายถึง ระยะไกลสุดที่คนปกติทั่วไปมองเห็น) ระดับสายตาคนปกติ คืออ่านได้ถึงบรรทัดที่ ๗ หากอ่านได้นอ้ ยกว่าน้ี ใหอ้ า่ นใหม่ซำ้ ครัง้ ท่ี ๒ โดยให้มองผ่านแผน่ รูเข็ม (Pin hole) โดยทว่ั ไปเด็กจะอา่ นได้เพ่ิม มากขึ้น การบนั ทกึ ผลการทดสอบ ผูต้ รวจทำการลงบนั ทกึ ผลทีละขา้ ง โดยเขยี นเปน็ เศษและสว่ น เศษ หมายถึงระยะท่ียนื ทีส่ ามารถอ่านได้ถูกตอ้ ง สว่ น หมายถงึ ตัวเลขที่กำกบั อยู่ท้ายแถว ทีอ่ ่านถูก การวนิ ิจฉยั ภาวะสายตา ความสามารถในการมองเหน็ (Visual Acuity: V.A.) = ๖/๙ หรือ ๖/๑๒ ต้องทำการเฝ้าระวงั โดยการ วัดสายตาปลี ะ ๑ ครง้ั (ยกเว้นชัน้ อนบุ าล – ช้นั ป. ๑ V.A. = ๖/๙ ไมถ่ ือวา่ ผิดปกติเพราะกล้ามเนอ้ื ตายงั พัฒนา ไม่เตม็ ท)ี อาการตรวจพบท่ีต้องสง่ พบจกั ษแุ พทย์ มดี งั น้ี 1) ความสามารถในการมองเห็นน้อยกวา่ ๖/๑๒ ตอ้ งสง่ พบจกั ษุแพทย์

2) ความสามารถในการมองเห็นของตาทั้ง ๒ ข้างต่างกันเกนิ ๒ แถว เช่น ขวา ๖/๖ ซ้าย ๖/๒๔ ต้อง รบี สง่ พบจักษุแพทย์เพ่อื หาสาเหตุและให้การช่วยเหลอื เพอ่ื วัดสายตาประกอบแว่น 3) ภายหลังใช้สายตามีอาการปวดศีรษะ ปวดกระบวกตา สายตามัวลง เป็นตน้ ▪ การทดสอบการได้ยิน (hearing test) โดยมากมกั จะทดสอบการไดย้ นิ ในเด็กนักเรียนที่ครรู ายงานวา่ ขณะฟังจะหนั หรือตะแคงศีรษะฟงั ตอบ ไม่ตรงคำถาม พูดเสียงดัง มีสีหน้าสงสัยเมื่อมีผูพ้ ูดด้วย และนักเรียนที่อยู่ในข่ายสงสัยว่าอาจจะมีอาการทางหู คอื พวกทฟ่ี น้ื จากโรคบางอย่าง เช่น หัด ไข้ หรือเป็นหวัดบ่อยๆ การทดสอบการไดย้ นิ ที่สามารถทำได้คือ การใช้ นิว้ หัวแม่มือหรอื น้วิ ชถี้ ูกันเบาๆ ทางด้านหลังหูห่างจากหผู ้ถู ูกตรวจประมาณ ๑ น้ิว ทงั้ สองขา้ ง ซ่งึ การถูมือนี้ทำ ให้เกิดเสียง ๒๐ เดซิเบล ซึ่งปกติจะได้ยินและวิธีการทดสอบด้วยเสียงกระซิบแต่จะต้องทดสอบในห้องที่เงียบ และให้นักเรียนเข้ามาทดสอบทีละคน ซึ่งการทดสอบนี้ยังไม่เป็นที่รับรองว่าจะคัดเลือกนักเรียนที่มีความ ผดิ ปกติของการได้ยินได้อย่างแน่นอนแต่มีเครื่องมือตรวจท่ีได้ผลแน่นอนกว่า คือ Audiometer ท่ีโรงพยาบาล ผลการตรวจหทู ำใหค้ รสู ามารถนำไปเป็นแนวทางในการจัดท่ีน่ังแกน่ ักเรียนทมี่ ีปญั หาได้ ▪ การตรวจทันตสุขภาพ เกณฑ์การให้คะแนนการจัดระดบั ปญั หาอนามยั ชอ่ งปาก และวิธกี ารแกไ้ ขปัญหา มี ๒ แบบ ดงั นี้ แบบที่ ๑ การตรวจโรคฟันผุ ให้นักเรียนอ้าปาก แล้วพิจารณาว่าเฉพาะฟันถาวร กรณีไม่พบว่าฟันถาวรผุเลยให้บันทึก “๐” พบว่า ฟันถาวรให้บันทึก “๑”หากพบว่านักเรียนเปน็ โรคฟันผุ ควรแจ้งให้ผปู้ กครองทราบเพ่ือพานักเรยี นไปรับบริการ ทโี่ รงพยาบาลตอ่ ไป แบบท่ี ๒ โรคเหงือกอักเสบ โดยการแบ่งตำแหน่งการตรวจออกเป็น ๖ ส่วนโดยใช้ฟันเข้ียวเป็นหลกั ในการแบ่งส่วน ดังรูป ผู้ตรวจ ใช้นิ้วดันริมฝีปากในส่วนของด้านหน้า เพื่อดูว่ามีการอักเสบหรือไม่ สำหรับส่วนด้านในให้นักเรียนอ้าปากและ แหงนศีรษะข้ึนในกรณตี รวจเหงอื กด้านบน และก้มหน้าลงเล็กนอ้ ยในกรณีเหงือกดา้ นล่าง

ผู้ตรวจบันทึกผลการตรวจตามเกณฑ์การตรวจโรคเหงือกอักเสบ การให้คะแนนการตรวจอนามัยใน ช่องปาก พิจารณาจากบริเวณทเ่ี ป็นมากท่ีสดุ ของสว่ นน้ัน การให้คะแนนอนามัยชอ่ งปาก คะแนน ลกั ษณะทตี่ รวจพบ ๐ เหงือกปกตไิ มพ่ บการอักเสบเลย โดยเหงือกมียอดแหลมสชี มพู หรอื สคี ลำ้ (ถ้าผิวสีดำ) ไม่มี เลอื ดออก ถึงแม้ว่าจะมีฟนั ผกุ ต็ าม ๑ ถ้ามีลกั ษณะเขา้ เกณฑ์เพียง ๑ ขอ้ และไมม่ ลี กั ษณะของคะแนน ๗ กถ็ ือเปน็ คะแนน ๑ ก. ขอบเหงือก บวมและแดง เห็นชัดเจน หรอื ข. ยอดเหงอื ก บวมและแดง เห็นชัดเจน หรอื ค. มเี ลอื ดออก ๗ ถ้ามลี ักษณะเข้าหลักเกณฑ์เพียง ๑ ข้อ ก็ถือเป็นคะแนน ๗ ก. มีหินปูนปกคลุมด้านใดด้านหนึ่งของฟนั เตม็ ด้านและมีเงือกอกั เสบด้วย ข. รากฟนั ยื่นแหลมขึ้นมาจนแทงเหงือกเป็นแผล ค. ฟนั ถาวรขน้ึ มาเตม็ ที่ และซอ้ นกบั ฟนั นำ้ นมซ่งึ ยงั คงอยู่ทำใหฟ้ นั ถาวรเก ง. มอี าการปวดฟนั และเกิดการอกั เสบอย่างรุนแรงขณะตรวจ จ. บริเวณปลายรากฟันมีหนองและเปน็ แผลทะลุมาทีเ่ หงอื ก ฉ. มีกอ้ นเน้อื อย่ใู นรูฟันทีผ่ ุ การจดั ระดบั ปญั หาอนามยั ช่องปาก และวธิ กี ารแก้ไขปัญหา ลักษณะ ระดบั วธิ ีการแก้ไขปญั หา คะแนน ๐ ทกุ ส่วน ก แปรงฟันอย่างถกู วธิ ตี ามปกติ คะแนน ๑ จำนวน ๑-๒ ส่วน ข แปรงฟันหลังอาหารกลางวันเป็นกลุ่มๆละประมาณ ๑๐ คน และ ไมม่ คี ะแนน ๗ ภายใต้การดแู ลของผ้นู ำนักเรียนสง่ เสรมิ สุขภาพ คะแนน ๑ จำนวน ๓-๔ สว่ น ค แปรงฟันหลังอาหารกลางวันเป็นกลุ่มๆละ ๕ คน ภายใต้การ และ ไมม่ ีคะแนน ๗ ดแู ลของผนู้ ำนกั เรียนส่งเสรมิ สุขภาพ คะแนน ๑ จำนวน ๕-๖ ส่วน ง แปรงฟันหลงั อาหารกลางวนั ภายใต้การดแู ลอยา่ งใกล้ชิดของ และ ไม่มีคะแนน ๗ ครูประจำชั้น โดยสอนการแปรงฟันเพิ่มเติมเป็นกลุ่มๆละ ๕ คน

เม่อื มีคะแนน ๗ จ แปรงฟันหลังอาหารกลางวันภายใต้การดแู ลอย่างใกล้ชิดของ ตงั้ แต่ ๑ ส่วนข้ึนไป ครปู ระจำช้นั แจ้งผปู้ กครอง และส่งต่อเพ่อื การรักษา การจดั ระดับปัญหาอนามัยชอ่ งปาก และวิธีการแกไ้ ขปัญหา ๑. แจ้งผู้ปกครอง เพื่อส่งต่อรับการรักษาที่สถานบริการสาธารณสุข และควบคุมป้องกันโรคใน ช่องปากไมใ่ หเ้ กิดการลกุ ลาม ๒. งดหรือจำกดั การบรโิ ภคขนมหวานเหนยี วติดฟัน ๓. ควบคุมดูแลให้มีการแปรงฟันให้สะอาดหรือบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหลังการรับประทาน อาหารทุกครั้ง การเฝ้าระวังภาวการณ์เจริญเติบโตของนักเรียน วัดส่วนสูง ช่วงต้นภาคเรียน ภาคเรียนละ ๑ ครัง้ คดิ อายุตนเองเป็นปีและเดือน (เศษทมี่ ากกวา่ ๑๕ วนั ใหป้ ดั เป็น ๑ เดอื น) แบบบันทกึ การตรวจทนั ตสุขภาพรายบคุ คล ปีละ ๒ คร้ัง วนั / โรคเหงือกอักเสบ โรค การ ไดร้ บั ฟนั สง่ ต่อ การ ชน้ั ครง้ั ท่ี เดอื น บน ล่าง สรุป ระดบั ถาวรผุ แก้ไข /ปี ขวา หนา้ ซ้าย ซา้ ย หน้า ขวา - การส่งตอ่ จากการสังเกตและตรวจรา่ งกายโดยครูหรือพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ทางดา้ นสาธารณสุข ในบางกรณี นักเรียนหรือบุคลากรในสถานศึกษานั้นๆ อาจมีความผิดปกติทางด้านสุขภาพอนามัย หรือสงสัยว่าเป็น โรคติดต่อบางอย่าง เช่น โรคผิวหนัง หรือโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ครูและพ ยาบาลหรือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จะต้องติดต่อกับผู้ปกครองเพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งในการส่ง ต่อไปนี้จะต้องมีบัตรบันทึกสุขภาพประจำตัว และรายงานของพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนบไปด้วย และพยาบาลหรือเจา้ หน้าท่ีรับผิดชอบควรติดตามเยยี่ มทบ่ี ้านเพื่อใหก้ ารช่วยเหลือหรือใหค้ ำแนะนำต่อไป ๒) การบริการดา้ นสุขศกึ ษา (health education) การให้ความรู้โดยการสอนสขุ ศกึ ษาในโรงเรยี น (School health education) หมายถึง การถ่ายทอด ความรู้เรื่องสขุ ภาพอนามัยสู่นักเรียนโดยอาศัยขบวนการต่างๆ เช่น วิธีการถ่ายทอดความรู้ แผนการเรียนการ สอนและอุปกรณ์ สอ่ื การสอนทจี่ ัดทำขึ้นเพือ่ ช่วยให้นักเรียนได้รับความรเู้ กยี่ วกบั สขุ ภาพของตนทั้งทางร่างกาย

จติ ใจ สงั คมและสตปิ ญั ญา มุง่ หวงั ใหน้ กั เรียนเกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมสขุ ภาพทั้ง ๓ ดา้ น คอื ดา้ นความรู้ ทศั นคติและการปฏบิ ตั ิ โดยการพิจารณาตามพฒั นาการของผเู้ รียนดังน้ี ระดบั ช้ัน ความสำคัญของพฤตกิ รรม อนั ดับ ๓ อันดับ ๑ อันดับ ๒ อนุบาล ถงึ ประถมปีที่ ๔ PAK ประถมปีที่ ๕ – ๖ APK มธั ยมปีท่ี ๑ - ๓ AKP มัธยมปที ี่ ๔ - ๖ KAP หมายเหตุ K ความรู้ Knowledge A ทัศนคติ Attitude P การปฏบิ ัติ Practice วิธีการสอนสุขศึกษา การสอนสุขศึกษา เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ที่เหมาะสม อาจแบ่งการ สอนไดเ้ ปน็ ๓ แบบ คอื ๑. การจัดสอนโดยตรง เป็นการจัดสอนตามหลักสูตรหรือตามโครงการสอนวิชาสุขศึกษา ตาม กำหนดเวลาหรือชั่วโมงในตารางสอน โดยไมต่ อ้ งเตรยี มบทเรยี นให้สัมพนั ธ์กับวิชาอื่นๆ ๒. การจัดสอนแบบสหสมั พนั ธ์ เป็นการสอนให้สมั พันธก์ ับวชิ าอ่นื ๆ คอื ในหลกั สตู รการสอนวชิ าอ่ืนให้ มีเนื้อหา และทักษะของวิชาสุขศึกษาบ้างเท่าที่โอกาสจะอำนวย เช่น วิชาพลศึกษา ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ วิชาลูกเสอื และยุวกาชาด ๓. การสอนตามเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ขึ้น เพอ่ื ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพเหตุการณ์ในขณะนนั้ ๆ อาทิ โรคระบาด เกิดขึ้นในชุมชน เชน่ โรค COVID-๑๙ โรคไข้เลือดออก โรคซาร์ส โรคไข้หวัดนก โรคฉห่ี นู โรคมือเท้าปาก เป็น ต้น ต้องสอนให้ทราบถึงวิธีป้องกันและปรับปรุงตนเองให้เข้ากับสภาพการณ์ เรื่องที่ควรสอนสุขศึกษาใน โรงเรียนมีดังนี้ ระดับประถมศึกษา ระดบั มัธยมศึกษา 1. สุขวทิ ยาส่วนบุคคล 1.เยาวชนกบั การป้องกันยาเสพติด 2. โรคติดตอ่ ที่เป็นปญั หาในทอ้ งถิน่ 2.เพศศึกษาและการวางแผนครอบครวั 3. การใหภ้ มู คิ ุ้มกันโรค 3.โรคติดต่อทางเพศสัมพนั ธ์ 4. ทันตสาธารณสุข 4.สุขภาพจติ (การปรับตวั ในวยั ร่นุ ) 5. โภชนาศกึ ษา 6. การสขุ าภบิ าลส่งิ แวดล้อม 7. การป้องกันยาเสพตดิ 8. การปฐมพยาบาล 9. การปอ้ งกันโรคขาดสารไอโอดีน

๓) การบริการด้านสิ่งแวดล้อม (Environment health service) • อาคารเรยี น หอ้ งเรยี น ห้องเรียน ควรเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดประมาณ ๖ x ๘ หรือ ๗ x ๙ สำหรับนักเรียน ๓๐ – ๔๐ คน ใชพ้ ืน้ ท่ี ๑.๕ ตารางเมตร ต่อนักเรียน ๑ คน โต๊ะเรียนและเก้าอ้ี จำนวนและขนาดพอเหมาะกบั ผู้เรยี น ขนาดของโตะ๊ ท่ีพอเหมาะสังเกตได้จากขณะ ผู้เรียนนั่งเก้าอี้ปล่อยแขนเหยียดตรงข้างลำตัวระดับข้อศอกจะต่ำกว่าพื้นโต๊ะเรียนเล็กน้อย เก้าอี้เรียนเมื่อนั่ง แล้วฝ่าเท้าจะตอ้ งราบกบั พนื้ กระดานดำ ควรทำดว้ ยวสั ดุท่ที นทาน ผวิ เรยี บไม่มีรอยแตกนิยมทาสีเขียวแก่ปนดำ และใชว้ อลค์ ทีไ่ ม่มี ฝ่นุ ละอองฟ้งุ กระจาย คือชนดิ dustless chalk แสงสวา่ ง สามารถอา่ นหนงั สือได้อย่างสบายสายตามคี ่าประมาณ ๓๐ ฟตุ แรงเทียน • ห้องพยาบาลหรือ มุมพยาบาล ในโรงเรยี นท่ีมีนักเรยี นเกิน ๑,๐๐๐ คนควรมหี อ้ งพยาบาลโดยเฉพาะและควรมีพยาบาลประจำ แต่ถ้า มีนักเรียนน้อยอาจจัดเป็นมุมพยาบาล โดยมีพยาบาลหรือครูอนามัยรับผิดชอบ มีตู้ยา เตียงนอนอย่างน้อย ๒ เตยี ง ถา้ เป็นโรงเรียนสหศึกษาจะต้องมีม่านกน้ั ระหวา่ งเตียงดว้ ย มโี ต๊ะ เก้าอส้ี ำหรับผู้ปฏิบัติงาน แสงสว่าง เสียง และการระบายอากาศในห้อง จะต้องมีแสงสว่างเพียงพอ มีการถ่ายเทอากาศที่ดี ไม่มีเสียงรบกวน จำนวนเตียงที่เหมาะสมกบั จำนวนนกั เรียน ดงั นี้ จำนวนนักเรียน (คน) จำนวนเตียง (เตียง) ๑,๕๐๐ ๔ ๕๐๐ – ๑,๐๐๐ ๒ ไม่เกนิ ๕๐๐ ๑ • สว้ มและอ่างล้างมอื ส้วมและ ที่ปัสสาวะ จะต้องเป็นส้วมราดน้ำหรือส้วมซึม แยกชาย หญิง ภายในส้วมมีน้ำสำหรับทำ ความสะอาด อตั ราส้วมตอ่ จำนวนนกั เรยี น เกณฑท์ ่ัวไปของโรงเรียนมีสว้ ม ๑ ทต่ี ่อนักเรยี น ๕๐ คน หรือเกณฑ์ ทางสาธารณสุขมดี ังน้ี ระดบั ชน้ั จำนวนนักเรียน จำนวนนกั เรียนชาย จำนวนนักเรียนชาย ต่อที่ปัสสาวะชาย ๑ หญิง ตอ่ สว้ ม ๑ ท่ี ที่ ๓๐ ตอ่ สว้ ม ๑ ท่ี ๓๐ ประถมศึกษา ๓๐ ๖๐ มธั ยมศกึ ษา ๕๐ ๙๐ อา่ งล้างมอื (ที่/คน) = ๑/๕๐

• การเกบ็ และกำจัดขยะ ขยะมลู ฝอย มีการรวบรวมและกำจดั อยา่ งถูกวธิ ีคือ  มตี ะกร้าหรือถงั ใสข่ ยะประจำทุกห้องเรียน  กำจัดโดยการส่งรถขยะหรอื โดยการเผาหรอื ฝงั อยา่ งถูกวธิ ี นอกจากจำนวนส้วมการมีที่ทิ้งขยะพอเพียงแล้ว การดูแลด้านความสะอาดเป็นหัวใจสำคัญ เพราะ นอกจากไม่เป็นแหล่งแพร่โรคอุจจาระร่วงหรือโรคติดต่อทางอาหาร การให้นักเรียนได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมท่ี สะอาดตั้งแต่วัยเด็กจะเป็นการสร้างสุขนิสัยรักความสะอาดไปตลอดชีวิต การฝึกให้นักเรียนมีวินัยด้านการท้ิง ขยะ การรักษาความสะอาดส้วม การล้างมือหลังการใช้ส้วมด้วยสบู่ มีถึงขยะในส้วมปิดมิดชิดไม่ให้เป็นที่น่า รังเกยี จ การมีสว้ มสะอาดอยู่ในอาคารเรยี นได้โดยไม่ส่งกล่ินรบกวน ปลอดภัยสำหรับเด็กเล็ก ฯลฯ เป็นส่ิงท่ีไม่ ควรมองขา้ มไป ๔) ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับครอบครัว และชุมชน (school, family and community relationship) สถานศกึ ษาเปน็ สถาบันอบรมและสอนนักเรียนให้ร้รู ะเบียบแบบแผน และกฎเกณฑ์ของสังคม การอยู่ ในสังคมอย่างไรให้มีความสุข แต่ความสำเร็จของผู้เรียนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอิทธิพลจากครอบครัวเช่นกัน เพราะมีบทบาทสำคญั มากท่ีจะปลูกฝังจริยธรรมที่ดีงามส่สู งั คม การสรา้ งความสัมพันธร์ ะหวา่ งโรงเรียน การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนซึ่งประกอบด้วยองค์กรต่างๆ และผู้นำชุมชนเป็นสิ่ง สำคญั จะช่วยให้ชุมชนน้นั เกดิ ความเข้มแขง็ ต่อไป โดยมีวัตถปุ ระสงค์ ดังนี้ ๑. เพือ่ เปน็ การสร้างความคุ้นเคยของผปู้ กครองและสถาบันสุขภาพใหไ้ ปสู่ในทศิ ทางเดยี วกนั ๒. เพ่อื ใหก้ ิจกรรมต่างๆในด้านสขุ ภาพดำเนนิ ไปอย่างตอ่ เน่ือง มกี ารติดตามดแู ลสขุ ภาพนักเรียน ทบี่ า้ นจะทำใหท้ ราบสาเหตทุ ่แี ท้จรงิ ของปัญหาเพ่ือจะช่วยแก้ไข ๓. เพอ่ื ให้พฤติกรรมของครอบครวั ไดม้ ีการปรับเปล่ยี นไปพร้อมกับนักเรียนเน่ืองจากนักเรียนนำ ความรทู้ เี่ รียนจากหอ้ งเรียนไปปฏิบตั ิและเป็นตัวอยา่ งทีด่ ีของครอบครัวได้อย่างถูกต้อง ๔. เพอื่ สร้างความเช่ือถอื เกดิ ความศรทั ธา และเกดิ ความเขม้ แขง็ ของชมุ ชน หลักในการสรา้ งความสัมพนั ธข์ องโรงเรยี นกับครอบครัวและชุมชน 1) ควรดำเนินงานแบบสองทางหรือเป็นกระบวนการคู่ (two-way process) คือทั้งโรงเรียน ครอบครวั และชมุ ชนควรจะตอ้ งมีการแลกเปลี่ยนความชว่ ยเหลือและความรว่ มมอื โดยมีทั้งการให้และการรับ 2) โรงเรียนควรเป็นฝ่ายเริ่มสรา้ งความสัมพันธก์ ับชมุ ชนก่อน 3) ควรดำเนินงานอนามัยโรงเรียนให้สอดคล้องกับงานโครงการสุขภาพของชุมชนในท้องถิ่นที่ โรงเรียนตั้งอยู่ 4) ใหค้ วามสำคญั ของครอบครวั และชุมชน ตลอดจนรับฟังความคดิ เหน็ ของชุมชน และให้ชุมชน มีโอกาสเขา้ ร่วมกิจกรรมของโรงเรียน 5) มกี ารตดิ ต่อ หรือประชาสัมพนั ธก์ บั ครอบครวั และชุมชนอยู่เสมอ 6) มีการติดตอ่ และประสานงานกับหน่วยงานหรอื องค์กรในชมุ ชน

7) ศึกษาถึงสภาพการณข์ องครอบครวั และชมุ ชนในด้านตา่ งๆ อย่เู สมอ 8) ครคู วรมีเทคนิคสรา้ งสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคล เช่น ผู้ปกครอง ประชาชน และผนู้ ำชมุ ชน ๖. การจัดการยาในโรงเรยี น (การใชย้ าอยา่ งสมเหตุสมผล) ลักษณะห้องพยาบาลในโรงเรียน • ห้องพยาบาลควรจัดอยชู่ ้ันลา่ งของอาคารเพ่ือสะดวกในการเคล่ือนย้ายผู้ป่วย • พน้ื ท่ี ขนาดของห้องใหเ้ หมาะสมกับจำนวนนกั เรียน สะอาด มแี สงสว่างเพยี งพอ อยหู่ ่างจาก • ส่ิงรบกวนและเหตุรำคาญ พรอ้ มท้ังจัดวางอปุ กรณ์ตา่ งๆ ไดถ้ ูกตอ้ ง • มีอ่างล้างมอื พร้อมกอ๊ กน้ำ และสบู่ล้างมือ • มีห้องส้วมอยู่ภายในหรืออยู่ใกล้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักเรียนหรือบุคลากรที่ เจ็บปว่ ย • จัดให้มีนำ้ ด่มื ในห้องพยาบาลเพียงพอและไมใ่ ช้แกว้ นำ้ รว่ มกัน • มีสมุดทะเบยี นรายการยา/เวชภณั ฑ์สำหรบั ควบคมุ กำกบั การเบิก-จา่ ยยาและเวชภัณฑ์ • มสี มดุ บนั ทึกการให้บริการประจำหอ้ งพยาบาลสำหรบั บันทึกการให้บริการทุกครั้ง ดังตัวอย่าง • การจดั วางตู้ยาควรต้ังอยู่ในสถานท่ีท่ีมีแสงสวา่ งเพียงพอ เชน่ แดดไมแ่ รงมากและไม่ตั้งอยู่ใน ที่อับชื้นจะทำใหย้ าเส่อื มคณุ ภาพเรว็ เทคนิคในการจัดตู้ยา มดี งั นี้ 1. \"ความปลอดภัย\" ต้องคำนึกถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ระวังหยิบใช้ผิดหรือใช้ยาเสื่อม คณุ ภาพ 2. ยาใช้ภายในและยาใช้ภายนอก โดยแบ่งพื้นที่ในตู้ยา ต้องวางแยกกันชัดเจนระหว่างยา รับประทาน และยาใช้ภายนอก พร้อมทั้งติดป้าย \"ยาใช้ภายนอก\" หรือ \"ห้ามรับประทาน\" ที่ชั้นวางยาให้เห็น ชดั เจน 3. จัดเรียงแบบหมดอายุก่อนออกก่อน (First-expire,First-out-FEFO) การเก็บยาควรเก็บโดยดูวัน หมดอายุเป็นหลัก มากกว่าที่จะดูจากวันท่ีได้รับยามา และจัดวางยาที่ใกล้หมดอายุก่อนไว้ด้านนอก เพื่อให้ถูก หยิบไปใช้ก่อน หรือติดสติ๊กเกอร์ \"สีแดง\" ไว้ที่ขวดยาที่ใกล้หมดอายุแล้ว ป้องกันยาหมดอายุก่อนใช้และต้อง

พลกิ ดูวันหมดอายุก่อนใช้ทุกคร้ัง ทำเชน่ นี้ปีละครงั้ เพื่อให้งา่ ยต่อการปฏิบตั ิ ไมต่ อ้ งคอยตรวจวันหมดอายุของ ยาบ่อยๆ ✓ วันหมดอายุหรอื Exp.Date ย่อมาจาก Expiry Date ตามด้วยวัน เดือน ปี ✓ วันผลิต หรอื Mfg.Date ยอ่ มาจาก Manufacturing Date ตามดว้ ยวนั เดือน ปี 4. เก็บรกั ษายาใหถ้ ูกวธิ ี ควรปฏบิ ตั ติ ามคำแนะนำท่ีระบุในฉลาก ถ้าไมม่ รี ะบวุ ิธกี ารเก็บรกั ษาที่ฉลาก ยา ใหใ้ ช้หลักการเกบ็ รกั ษายาดังน้ี - เก็บในที่ไม่ร้อนจัดไม่เย็นจดั ที่อุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส หรืออุณหภมู ิห้องเพราะ อุณหภูมิที่สูงกว่า 25 องศาเซลเซียส จะมีผลทำให้ยาเสื่อมเร็วขึ้น จึงควรดูวันหมดอายุและสังเกตการเปลี่ยน สภาพของยาควบค่กู นั ไปด้วย ยาบางชนิดที่ระบุ \"เก็บในตู้เย็น\" ต้องเก็บในที่อุณหภูมิประมาณ 2-8 องศาเซลเชียสเพราะยาจะ เสื่อมเร็วหากเก็บไว้ท่ีอุณหภูมิหอ้ ง และจะเสียสภาพหากเก็บไว้ในช่องแช่แข็ง ยาที่ระบุให้ \"เก็บในที่เย็น\" ควร เก็บไว้ท่ีอุณหภูมปิ ระมาณ 8-15 องศาเซลเซยี ส - ไม่ขึ้น ความชื้นอาจทำให้ยาเสื่อมสภาพไดเ้ ร็วขึน้ จึงไม่ควรเกบ็ ไว้ในบริเวณที่มีอากาศขึ้นเช่น ใน ห้องน้ำ อ่างล้างมือ หรือในห้องครัวที่ขึ้นแฉะเป็นต้น และควรปิดภาชนะให้สนิทหลังเปิดใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้ ความชื้นจากภายนอกเข้าไปได้ - ไม่โดนแสงแดด แสงแดดส่งผลโดยตรงทำให้ยาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ยาบางชนิดสลายตัวเร็วมาก เมื่อถูกแสงแดดจึงต้องเก็บในขวดสีชาหรือขวดทึบแสง วิธีสังเกตง่ายๆ ว่ายาชนิดใดควรใส่ภาชนะป้องกันแสง ให้ดูภาชนะที่ผู้ผลิตบรรจุมา ถ้าซื้อมาเป็นแบบป้องกันแสง เวลาเก็บรักษาก็ต้องให้อยู่ในสภาพป้องกันแสง เหมือนกัน ซึ่งยาเหล่านี้ผู้ผลิตมักระบุให้ทราบว่าต้องป้องกันแสง โดยทั่วไปยาส่วนใหญ่แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้อง เกบ็ ในภาชนะปอ้ งกนั แสง แตค่ วรเก็บรักษโดยหลีกเลีย่ งการถกู แสงแดดโดยตรง 5. ชื่อกล่มุ ยาตัวอย่างทีค่ วรมีในห้องพยาบาลไดแ้ ก่ - ยาลดไข้ บรรเทาปวด - ยาแก้แพ้ ลดนำ้ มูล - ยาแกไ้ อ - ยาแก้ทอ้ งเสยี - ยาแก้ท้องอืดทอ้ งเฟอ้ - ยาโรคกระเพาะอาหาร - ยาแก้คล่นื ไส้อาเจยี น แกเ้ มารถ - ยาแก้ปวดกล้ามเน้อื - ยาแก้ปวดประจำเดอื น - ยาแกแ้ พ้ แกผ้ ดผ่ืนคัน

- ยาล้างแผล ใส่แผล ฯลฯ สำหรับเวชภัณฑ์หากมีไม่มาก ไม่จำเป็นต้องติดป้าย แต่ควรให้มีรายชื่อของรายการเวชภัณฑ์ติดไว้ เพอ่ื ใหท้ ราบได้ทันทวี ่ารายการใดใกล้หมด จะได้จัดหามาเพม่ิ ไดท้ ันเวลา 6. การสังเกตยาเสื่อมสภาพ สังเกตที่ดูจากรูป รส กลิ่น สี ที่มีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยยาแต่ละ ประเภทมีขอ้ สงั เกตแตกตา่ งกนั เช่น ยาเม็ด สังเกตจากสีและลักษณะเม็ดยาเปลี่ยน มีรอยด่าง เม็ดยาแตกร่วนหรือเม็ดยาเกาะติดกันยา เมด็ บางชนิดอาจมีกล่นิ เปลี่ยนไป เชน่ แอสไพรนิ จะมกี ล่นิ เปรย้ี วเกิดขึน้ ยาแคปซูล อาจบวม พอง เปลือกแคปซูนิ่ม เยิ้มและติดกัน หรือแข็งแท้งและแตก หรือผงยาด้านใน อาจเปลี่ยนสซี ึง่ สังเกตยาก จึงต้องแกะแคปซูลออกมาดู ยาผงแห้ง ความชน้ื อาจทำให้ผงยาเกาะเป็นก้อนแข็ง หรอื ผงยาเปล่ียนสี ยานำ้ แขวนตะกอน ไดแ้ ก่ ยาน้ำท่ีผงยาผสมอย่ใู นของเหลว เชน่ ยาลดกรด คาลาไมน์โลชัน่ ยาธาตุน้ำขาว เป็นต้น ถ้ายาเสื่อมสภาพผงยาจะจับเป็นก้อนแข็ง เมื่อเขย่าจะไม่กระจายตัว หรือ สังเกตสี กลิน่ รสเปล่ียนไป ยาครีม ข้ผี ึ้ง มกี ารแยกตวั ของเนื้อยา สเี ปลีย่ น เนือ้ ยาอาจหดตัวเนื่องจากน้ำระเหยออกไปทำให้เนื้อ ครีม/ขี้ผึง้ แข็งตัวเกนิ ไป หรอื บางครั้งเก็บไวใ้ นอุณหภมู ิสูงเกินไปก็ทำให้เนื้อครีม/ขผ้ี ้ึงเหลวเยิ้ม 7 . วิธีการใช้ยา โดยเฉพาะยาที่รับประทานบ่อย เช่น พาราเซตามอล เป็นพิษต่อตับ ถ้าใช้ติดต่อกัน นานเกนิ 3-5 วนั หรอื ยาแกไ้ อน้ำดำก็หา้ มใช้เกิน 7 วนั เพราะมสี ารเสพติดให้โทษ เปน็ ตน้







รายการยาทใี่ ชภ้ ายใน รายการยา กลมุ่ ยา พาราเซตามอล (Paracetamol) คลอเฟนริ ามีน (Chlorpheniramine) ยาลดไข้ บรรเทาปวด ยาแก้ไอนำ้ ดำ (Brown Mixture) ยาแกแ้ พ้ ลดน้ำมกู แกผ้ ดผน่ื คนั ยาแก้ไอขบั เสมหะสำหรบั เดก็ ผงนำ้ ตาลเกลือแร่ ยาแกท้ อ้ งเสยี ยาธาตุนำ้ แดง ยาแกท้ อ้ งอืด ยาธาตนุ ำ้ ขาว โซดาม้ิน (Sodamint) ยาโรคกระเพาะอาหาร ยาตา้ นกรด/ยาลดกรด (Aluminium ยาถ่ายพยาธิ hydroxide+Magnesium hydroxide) มเี บนดาโซน (Mebendazole) รายการยาท่ีใช้ภายนอก อัลเบนดาโซน (Albendazole) กลมุ่ ยา รายการยา ยาแกแ้ พ้ แกผ้ ดผ่นื คัน คาลาไมน์โลชั่น (Calamine lotion) ยาแกป้ วดกลา้ มเนื้อ เมทลิ ซาลไิ ซเลต (Methylsalicylate cream) ไดโคลฟิแนค (Diclofenac gel) ยาทาแผลไฟไหม้ น้ำรอ้ นลวก ยาหมอ่ ง ยาล้างตา ซลิ เวอร์ ซลั ฟาไดอาซนี (Silver sulfadiazine) ยาดมแกว้ งิ เวยี น นำ้ ยาลา้ งตาบอริก (Boric solution) ยาล้างแผล แอมโมเนยี (Ammonia) แอลกอฮอล์ (Isopropy/Ethyl alcohol) ยาใสแ่ ผล น้ำเกลือล้างแผลหรือน้ำเกลือนอร์มัล (Normal ยาโรคหิด เหา saline) โพวิดนี (Povidline) เบนซิลเบนโซเอต (Benzyl benzoate)

๗. การจดั การโรงเรียนในสถานการณ์ COVID-19 สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผู้ติดเชื้อที่เป็นนักเรียนและครู พบว่า เด็กอายุ 0-19 ปี มีการติดเชื้อโควิด 19 จานวน 2,674 ราย ร้อย ละ 14.15 จากจานวนผู้ติดเชื้อทุกกลุ่มอายุ จานวน 18,892 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไม่มีอาการหรือมีอาการ เล็กน้อย (จากรายงานข้อมูลผู้ป่วยยืนยันประจาวัน กรมควบคุมโรค ,16 เมษายน 2565) ดังนั้น กระทรวง สาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ มีการปรับรูปแบบการเรียนการสอนและการสอบเพื่อให้นักเรียนและ นักศึกษาสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาได้มากสุด ได้ทบทวนและพัฒนาปรับปรุงแนวปฏิบัติสำหรับ สถานศกึ ษาตามมาตรการเปดิ เรยี น On site ปลอดภัย อยไู่ ด้กับโควดิ 19 ในสถานศึกษา โดยมีข้อกำหนด และ มาตรการดงั นี้ 1. ตามประกาศกระทรวงศกึ ษาธิการ ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 เร่อื ง หลักเกณฑ์การเปิดโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษา ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการใน สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 37) อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้จาก https://moe360.blog/2022 /05/10/rules-for-opening-schools/ 2. มาตรการเปดิ เรยี น On site ปลอดภัย อยู่ได้กบั โควิด 19 ในสถานศึกษา เตรียมความพรอ้ มการ เปดิ ภาคเรียนท่ี 1 / 2565 อ่านเน้ือหาเพิ่มเตมิ ไดจ้ าก https://stopcovid.anamai.moph.go.th/ attach/w774/f20220429113324_SPyd5tkRsx.pdf อีกทั้งมีการจัดทำคู่มือแนวปฏิบัติในการเตรียมความพรอมกอนเปดภาคเรียนและการรับมือเพื่อปอง การแพรระบาดของโรคโควิด 19 ในสถานศึกษาที่สอดคลองกับบริบท และสามารถนําไปใชเปนแนวปฏิบัติได จริง โดยยึดความปลอดภัยของนักเรียน รวมถึงบุคลากรของสถานศึกษาเปนที่ตั้ง เพื่อใหสถานศึกษามีความ พรอมในการจดั การเรียนการสอนท่ีมคี ณุ ภาพตอไป ซึ่งประกอบดว้ ย 1. คู มือการปฏิบัติสําหรับสถานศึกษาในการป องกันการแพร ระบาดของโรคโควิด 19 https://drive.google.com/file/d/1ww8R7NHH9WoqjxqZ0Du1R4RLjoZWx7hW/view 2. คู่มือการจัดการโรงเรียน รับมือโควิด-19 https://www.tosh.or.th/covid-19/index.php/ manual/item/27-19


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook