แนะน�ำปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรม แนะน�ำปรับเปลี่ยนพฤตกิ รรมเพื่อลดความดนั โลหติ และปอ้ งกนั โรคหวั ใจ สมอง และหลอดเลอื ดโดยสนับสนนุ ให้ ผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังออกก�ำลังกายท่ีเหมาะสมกับสภาวะของหัวใจและโรคร่วมของผู้ป่วยควบคุมน้�ำหนักให้ค่าดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) อยรู่ ะหวา่ ง 20-25 kg/m2, จำ� กดั การไดร้ บั โซเดยี มใหน้ อ้ ยกวา่ 2,000 mg/day และใหห้ ยดุ สบู บหุ ร่ี การควบคมุ ระดับน้�ำตาลในเลอื ดของผปู้ ่วยเบาหวานท่มี ีโรคไตเรือ้ รัง - กำ� หนดเปา้ หมายของระดบั นำ้� ตาลในเลอื ดในผปู้ ว่ ยเบาหวานทมี่ โี รคไตเรอื้ รงั คอื เปา้ หมายระดบั นำ้� ตาลสะสม ใเปนน็เลเือบดาห(วHาbนAอ1าCย)ขุ ปอรงะผมปู้ าว่ ณยรออ้ายยลุรวะม7ถ.งึ0โรโคดรย่วพมิจตาา่ รงณๆาทใหีอ่ ้เาหจมจาะะเกสดิมขสน้ึ�ำหรับผ้ปู ว่ ยแต่ละราย รวมถึงพิจารณาจากระยะเวลาที่ - การใช้ยาลดระดบั น้�ำตาลในเลอื ด - ยากลุ่ม biguanides (metformin), กลุ่ม sulfonylureas, กลุ่ม alpha-glucosidase inhibitors และ กลมุ่ meglitinides (repaglinide และ nateglinide) และ กลมุ่ อนิ ซลู นิ (insulins) ตอ้ งปรบั ยาใหส้ อดคลอ้ งกบั ระดบั eGFR ของผูป้ ว่ ยเป็นรายบุคคล - ยากลุ่ม dipeptidyl peptidase-4 (DPP-4) inhibitors ได้แก่ sitagliptinsaxagliptin และ vildagliptin สามารถใชย้ ากลมุ่ นไี้ ดใ้ นผปู้ ว่ ยโรคไตเรอ้ื รงั ทก่ี ารทำ� งานของไตลดลงมากโดยการปรบั ลดขนาดยา และมเี พยี งยา linagliptin เทา่ นนั้ สามารถใชไ้ ด้โดยไม่ต้องปรับลดขนาดยา - ยากลุ่ม thiazolidinediones สามารถใช้ได้ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโดยไม่ต้องปรับขนาดยา แต่ต้องระวังภาวะ บวมและหวั ใจวายจากการทมี่ เี กลอื และนำ้� คง่ั และมรี ายงานความสมั พนั ธก์ บั อตั รากระดกู หกั เพม่ิ ขนึ้ จงึ อาจตอ้ งระมดั ระวงั ในผปู้ ่วยท่ีมีปญั หาเร่ืองความแข็งแรงของกระดูก การควบคุมความดนั โลหติ - ปรับเป้าหมายของระดับความดันโลหิตและชนิดของยาลดความดันโลหิตในผู้ป่วยแต่ละรายโดยค�ำนึงถึงอายุ ประวัติของโรคหัวใจ สมองและหลอดเลือด ความเสี่ยงต่อการเสื่อมของไต ความทนต่อยา และผลข้างเคียงของการรักษา โดยเฉพาะภาวะความดนั โลหิตต�ำ่ เกลอื แร่ผดิ ปกตแิ ละภาวะไตวายฉบั พลนั - กำ� หนดระดบั ความดนั โลหติ เพอ่ื ชะลอการเสอ่ื มของไตในผปู้ ว่ ยโรคไตเรอื้ รงั ใหส้ อดคลอ้ งกบั ระดบั อลั บมู นิ หรอื PCR ในปสั สาวะ - ผปู้ ่วยโรคไตเรื้อรังทง้ั ที่เป็นและไม่เป็นเบาหวานทมี่ ี ACR 30-300 mg/g หรือ PCR 150-500 mg/g ควรไดร้ ับ ยากลุ่ม ACEIs หรือ ARBs ในขนาดปานกลางหรือสงู ถ้าไม่มขี ้อหา้ มในการ และจำ� เปน็ ต้องได้รบั การติดตามครีอะตนิ นิ และ ระดับโปแตสเซียมในเลอื ดเปน็ ระยะตามความเหมาะสม - ผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังส่วนใหญ่จ�ำเป็นต้องใช้ยาลดความดันโลหิตอย่างน้อย 2 ชนิดร่วมกันเพ่ือควบคุมความดัน โลหิตให้อยูใ่ นระดับเปา้ หมาย การลดปรมิ าณโปรตีนในปสั สาวะ ก�ำหนดเป้าหมายของระดับโปรตีนในปัสสาวะและติดตามเพื่อการชะลอการเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังที่ เกดิ จากเบาหวาน คอื ลดระดบั โปรตนี ในปสั สาวะใหต้ ำ่� ทส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะทำ� ไดโ้ ดยไมเ่ กดิ ผลขา้ งเคยี งจากยาทรี่ กั ษาและสอดคลอ้ ง กบั แนวทางการดแู ลท่ีกำ� หนดไว้ การงดสูบบุหรี่ ผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังต้องได้รับค�ำแนะน�ำให้งดสูบบุหรี่เพื่อชะลอการเสื่อมของไตและลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจ สมอง และหลอดเลือด (Cardiovascular diseases) ชุดรปู แบบบรกิ ารในการปอ้ งกัน ควบคมุ โรคหลอดเลอื ดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรื้อรงั ส�ำ หรับสถานบรกิ าร 45
โภชนบ�ำบดั สำ� หรับผปู้ ว่ ยโรคไตเรื้อรงั - ผู้ป่วยโรคไตเร้ือรัง ต้องได้รับค�ำแนะน�ำเพ่ือให้ได้รับอาหารท่ีมีพลังงานเพียงพอ ปริมาณโปรตีนเหมาะสม ตามเกณฑท์ ่ีผู้ป่วยควรได้รบั ตอ่ วันเพอ่ื การชะลอความเสือ่ มของไต และควรแนะน�ำให้รบั ประทานอาหารท่มี ีโปแตสเซยี มตำ่� - ผปู้ ว่ ยโรคไตเรอ้ื รงั ควรไดร้ บั การประเมนิ ปรมิ าณโปรตนี ทผี่ ปู้ ว่ ยรบั ประทาน (dietary protein intake) ทกุ 3-6 เดอื น โดยวธิ ีเก็บปัสสาวะคำ� นวณหาค่า normalized protein equivalent of nitrogen appearance (nPNA) ในกรณที ่ี ไม่สามารถตรวจหาค่า nPNA อาจใชว้ ิธี dietary recall หรือ food record มาใชป้ ระเมนิ ปริมาณโปรตนี ทผี่ ้ปู ่วยไดร้ บั แทน - ผปู้ ว่ ยโรคไตเรอื้ รงั ควรไดร้ บั การดแู ลใหร้ ะดบั แคลเซยี มและฟอสเฟตในเลอื ดอยใู่ นเกณฑป์ กตแิ ละไดร้ บั คำ� แนะนำ� ในการรับประทานทมี่ เี หมาะสม - ค่าแคลเซยี มในเลือด (corrected serum calcium) อยรู่ ะหว่าง 9.0 - 10.2 mg/dL - ค่าฟอสเฟตในเลือดอย่รู ะหวา่ ง 2.7 - 4.6 mg/dL การหลีกเลยี่ งยาหรือสารพิษทที่ �ำลายไต ควรหลกี เลยี่ งการได้รบั ยากล่มุ NSAIDs และกลุม่ cyclooxygenase-2 (COX-2) inhibitors รวมทง้ั ไมค่ วรใช้ ยากลุ่ม aminoglycosides หรือยาชุด เพราะอาจมีผลท�ำให้ไตเสอ่ื มเร็วขึน้ ได้ การไดร้ ับการตดิ ตามทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารเพอื่ การชะลอไตเสือ่ ม - ผู้ป่วยโรคไตเรอ้ื รังไดก้ ารตรวจและติดตามทางห้องปฏิบัตกิ าร ควบถว้ นตามท่ี Service plan สาขาไต กำ� หนด - ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้การดูแลรักษาภาวะเลือดเป็นกรดโดยผู้ป่วยควรได้รับการรักษาภาวะเลือดเป็นกรดด้วย โซเดยี มไบคาร์บอเนตให้ความเปน็ กรดดา่ งในเลือดอยใู่ นเกณฑป์ กติ (ระดบั ไบคารบ์ อเนตในเลือดมากกว่า 22 mmol/L) - การดแู ลรกั ษาภาวะโลหติ จางโดยภาวะโลหติ จางหมายถึงภาวะท่มี รี ะดับ Hemoglobin (Hb) นอ้ ยกวา่ 13.0 g/dL ในเพศชายและนอ้ ยกว่า 12.0 g/dL ในเพศหญิง - ผปู้ ว่ ยโรคไตเรอื้ รงั ควรไดร้ ับการซักประวัตแิ ละการตรวจคดั กรองไวรัสและภมู คิ ุ้มกันตับอกั เสบบี 2.3 ลดความเส่ียงต่อการเกิดโรคหัวใจ สมอง และหลอดเลือด (cardiovascular risk reduction) เพ่ือป้องกันการเกิดและลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ สมอง และหลอดเลือดซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตที่ส�ำคัญ ของผปู้ ว่ ยโรคไตเรื้อรัง - ผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังควรได้รับการประเมินเพื่อลดโอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรคหัวใจ สมอง และหลอดเลือดโดย ถือว่าผปู้ ว่ ยโรคไตเร้อื รงั มคี วามเส่ยี งตอ่ การเกดิ โรคหลอดเลอื ดหวั ใจระดับสงู มาก (very high risk) - ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคหัวใจ สมอง และหลอดเลือดในครั้งแรกท่ีได้รับการวินิจฉัย โรคไตเรื้อรังและได้รบั การตรวจตดิ ตามในกรณีท่มี ีข้อบ่งชี้ - ผปู้ ่วยโรคไตเรอ้ื รงั ควรไดร้ บั การตรวจคัดกรองโรคหวั ใจ สมอง และหลอดเลอื ดตามข้อบ่งชเ้ี ช่นเดยี วกบั ผ้ปู ่วย ทัว่ ไปท่ีไม่ไดเ้ ป็นโรคไตเรอ้ื รัง - ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรได้รับการดูแลรักษาโรคหัวใจ สมอง และหลอดเลือดตามข้อบ่งชี้เช่นเดียวกับ ผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่ไดเ้ ปน็ โรคไตเรือ้ รัง - ผู้ป่วยโรคไตเร้ือรังควรได้รับการแนะน�ำให้ลดโอกาสเส่ียงและการป้องกันโรคหัวใจ สมอง และหลอดเลือด รว่ มด้วย ได้แก่ โรคหลอดเลือดหวั ใจ (coronary heart disease) และกลา้ มเนอ้ื หัวใจขาดเลอื ด (myocardial infarction), ภาวะหวั ใจลม้ เหลว (congestive heart failure), ภาวะหวั ใจเต้นผดิ จงั หวะชนดิ (atrial fibrillation) ภาวะโรคหลอดเลือด สมอง (stroke) และภาวะโรคหลอดเลอื ดส่วนปลาย (peripheral arterial disease) 2.4 ประเมินและรักษาภาวะแทรกซ้อนของโรคไตเรื้อรัง (evaluation and treating complications) เพอ่ื ให้แพทย์ ผดู้ แู ลสามารถวินจิ ฉยั และใหก้ ารดแู ลรกั ษาท่ีเหมาะสมรวมท้งั เพอ่ื ปอ้ งกนั การเกิดภาวะแทรกซอ้ นท่รี ุนแรง 2.5 เตรียมผู้ป่วยเพ่ือการบ�ำบัดทดแทนไต (preparation for renal replacement therapy) เพอื่ ให้ผปู้ ่วยโรคไตเรือ้ รังไดร้ ับการเตรยี มพรอ้ มส�ำหรับการบ�ำบดั ทดแทนไตในระยะเวลาทเ่ี หมาะสม 2.6 ให้ค�ำแนะนำ� ทีถ่ กู ต้องเหมาะสม ส�ำหรับผ้ทู ่ีเลือกการรกั ษาดว้ ยวธิ ี Palliative ** หมายเหตุ ศกึ ษารายละเอยี ดเพิม่ เตมิ ที่ ค�ำแนะนำ� สำ� หรับการดูแลผปู้ ว่ ยโรคไตเร้อื รงั กอ่ นการบ�ำบัดทดแทนไต พ.ศ. 2558 46 ชุดรปู แบบบรกิ ารในการปอ้ งกนั ควบคุมโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลอื ดสมอง และโรคไตเร้ือรงั ส�ำ หรบั สถานบรกิ าร
3ภาคผนวก แนวทางการสนบั สนนุ การจดั การตนเองตามระยะของโรคและความเสย่ี ง และการปรบั เปลยี่ น พฤตกิ รรมเพ่อื ควบคมุ โรคและปัจจัยเสย่ี งต่อโรค 1. การจดั การตนเองตามระยะของโรคและความเส่ียง แนวคดิ ในการพฒั นาระบบบรกิ ารสขุ ภาพเพอ่ื การดแู ลผปู้ ว่ ยเรอื้ รงั นนั้ ควรมงุ่ เนน้ กระบวนการสนบั สนนุ การดแู ล สุขภาพตนเองท่สี อดคลอ้ งกบั ระบบบรกิ ารสขุ ภาพ และทีมบรกิ ารสขุ ภาพท่ีดี โดยใช้ข้อมูลเพือ่ การตดั สนิ ใจในการดแู ล และ ตดิ ตามประเมินผลอยา่ งต่อเนอ่ื ง 1.1 แนวคิดการจัดการตนเอง (Self-management) 1. เป็นเรื่องของการให้ความรู้ด้านสุขภาพ ด้านการรักษา หรือการตัดสินใจในเร่ืองของการรักษาท่ีจะน�ำ ไปสูเ่ ปา้ หมายท่ีเฉพาะเจาะจงในเร่อื งนน้ั ๆ 2. เป็นการเตรียมพร้อมผรู้ บั บรกิ าร ในการจัดการภาวะสขุ ภาพของตนเองในชีวิตประจ�ำวัน 3. เป็นการฝึกปฏิบัติพฤติกรรมท่ีเฉพาะเจาะจงฝึกให้มีทักษะและความสามารถเพื่อที่จะลดผลกระทบ ทงั้ ทางดา้ นร่างกายและจิตใจ จากการเจ็บปว่ ยเรอ้ื รังดว้ ยตนเองหรือจากความร่วมมือกบั บุคลากรสุขภาพ 1.2 แนวคิดการจัดการตนเองในผู้ปว่ ยโรคเรื้อรัง ความเจ็บป่วยไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อการด�ำเนินชีวิตของผู้ป่วยเองและครอบครัว ทั้งสิ้น ความเจ็บป่วยมักจะก่อให้เกิดความวิตกกังวลมีผลท�ำให้การด�ำเนินชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากท�ำให้ กลายเปน็ ภาวะวกิ ฤตขิ องชวี ติ ได้ (life crisis) ถา้ ภาวะเจบ็ ปว่ ยนนั้ ไมร่ นุ แรงมากนกั ผปู้ ว่ ยกจ็ ะสามารถปรบั ตวั กลบั เขา้ สสู่ ภาพ การด�ำเนินชีวิตตามปกติของตนเองต่อไปได้ แต่ในกรณีความเจ็บป่วยนั้นคุกคามต่อชีวิตการปรับตัวก็ท�ำด้วยความล�ำบาก และมผี ลกระทบตอ่ จิตใจรวมท้ังพฤตกิ รรมของผ้ปู ่วยอยา่ งมาก จากการศกึ ษาผลการเจบ็ ปว่ ยทางรา่ งกายทส่ี ง่ ผลตอ่ ปฏกิ ริ ยิ าทางจติ ใจและสงั คม (Reactions to Physical Illnesses) ทำ� ใหก้ ารด�ำเนนิ ของโรครวมถึงผลการศึกษาเปล่ียนแปลงไปได้ท้ังในทางทแี่ ย่ลงหรือดขี น้ึ 1.3 ระดบั ของขอบเขตและเปา้ หมายของการดแู ลโรคเรอ้ื รงั ในปจั จบุ นั อาจจดั แบง่ ระดบั ขอบเขตและเปา้ หมาย ได้ดังนี้ 1. Clinic : เนน้ การดแู ลควบคมุ ทางคลินิกเพ่อื ควบคุมระดับนำ้� ตาลและความดนั โลหิตปกติ 2. Tertiary prevention : เนน้ การควบคมุ และปอ้ งกนั ภาวะแทรกซอ้ นทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ ทงั้ ในสว่ นไตตาระบบ หลอดเลอื ดหวั ใจและเทา้ 3. Secondary prevention : เน้นการควบคุมภาวะเสีย่ งท่ีจะท�ำใหเ้ กดิ ความผดิ ปกตใิ นกลุ่มผูป้ ่วย 4. Primary prevention : เน้นการควบคุมภาวะเสยี่ งในกลุ่มทเี่ ปน็ กลุ่มเสย่ี งและประชาชนทวั่ ไป ซง่ึ ระบบทพี่ งึ ประสงคน์ นั้ มงุ่ หวงั ใหม้ กี ารจดั การดา้ นตา่ งๆ ครอบคลมุ เปา้ หมายทง้ั 4 ดา้ นแตป่ จั จบุ นั ระบบบรกิ าร ส่วนใหญ่ยังใหน้ ้�ำหนักการดูแลควบคุมทางคลนิ ิกคอ่ นขา้ งมาก ชดุ รูปแบบบรกิ ารในการป้องกัน ควบคุมโรคหลอดเลอื ดหัวใจ โรคหลอดเลอื ดสมอง และโรคไตเรอ้ื รัง ส�ำ หรับสถานบรกิ าร 47
1.4 ทกั ษะทีจ่ ำ� เปน็ ตอ่ กระบวนการจดั การตนเองของผูป้ ่วยโรคเร้อื รงั 1. ทักษะในการจัดการกบั ความเจ็บป่วย ภาวะเจ็บป่วยโดยเฉพาะโรคเร้อื รังตา่ ง ๆ นั้นบางคร้ังจ�ำเป็นตอ้ งเกีย่ วข้องกบั การเรยี นร้หู รอื การจัดกระทำ� กบั สง่ิ ใหม่ ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั การดแู ลอาการเจบ็ ปว่ ยตา่ ง ๆ เชน่ การใชย้ า และการปฏบิ ตั ติ วั ในการดแู ลเมอ่ื เจบ็ ปว่ ย รวมถงึ การมี ปฏิสัมพันธ์กับแพทย์และทีมบริการสุขภาพจากหน่วยบริการต่าง ๆ ในบางกรณีผู้ป่วยอาจได้รับค�ำแนะน�ำเกี่ยวกับเร่ือง การออกกำ� ลังกาย หรือการบริโภคอาหารซึง่ อาจเปน็ เรือ่ งใหมใ่ นชีวิตของคนไข้ เช่น ผู้ป่วยมะเรง็ ต้องมีการจดั การตนเองใน กระบวนการเกี่ยวกับเคมีบ�ำบัด การฉายรังสี และการผ่าตัด ท้ังนี้จ�ำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องเข้าใจกระบวนการในการจัดการ ตนเอง ซึง่ กระบวนการตา่ ง ๆ เหล่านเ้ี ป็นงานทีต่ อ้ งทำ� เพ่ือการจดั การกับภาวะเจบ็ ป่วย 2. ทักษะในการจัดการท่เี กี่ยวกบั ดำ� เนนิ ชีวติ การมีภาวะเจ็บป่วยด้วยโรคเร้ือรังไม่ได้หมายความว่าชีวิตของผู้ป่วยจะด�ำเนินต่อไปไม่ได้ตามปกติ ฉะน้ัน ชีวิตของคนไข้ยังคงต้องเก่ียวข้องกับการด�ำเนนิ ชีวติ รว่ มกับบุคคลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครวั สมั พันธภาพระหว่างเพอ่ื น ร่วมงาน และบุคคลอ่ืน ๆ ในสังคม ดังนั้นผู้ป่วยจ�ำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องเรียนรู้ทักษะใหม่เพื่อรักษากิจกรรมประจ�ำวันและ การดำ� เนินชวี ิตร่วมกับบุคคลรอบขา้ งอยา่ งสมดลุ 3. ทกั ษะในการจดั การกบั อารมณ์ ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเรื้อรังย่อมส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงในด้านต่าง ๆ รวมท้ังการ เปล่ียนแปลงท่ีเก่ียวกับกระบวนการในการวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของตัวผู้ป่วย ซ่ึงย่อมส่งผลกระทบต่อภาวะอารมณ์ และความรู้สึกของผู้ป่วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะอารมณ์เชิงลบ ซึ่งอาจรวมถึงอารมณ์โกรธ ส่งผลต่อการเกิดภาวะ ซมึ เศรา้ ทจ่ี ะตามมา เกดิ ความวติ กกงั วลในเรอ่ื งตา่ ง ๆ หรอื แมก้ ระทงั่ การแยกตวั ออกจากสงั คม ซง่ึ สง่ิ เหลา่ นเ้ี ปน็ ความทา้ ทาย ทีร่ อการจดั การและการช่วยเหลือจากทมี สหวชิ าชีพ ดงั นน้ั ทกั ษะทส่ี ำ� คญั ในการดแู ลผปู้ ว่ ยโรคเรอ้ื รงั ทผ่ี ใู้ หบ้ รกิ ารจำ� เปน็ จะตอ้ งมคี วามเขา้ ใจและไดร้ บั การพฒั นา ไดแ้ ก่ทกั ษะดังตอ่ ไปน้ี 1. การบริหารจดั การงานในการจัดการกบั ความเจ็บปว่ ย 2. การบรหิ ารจดั การทีเ่ กีย่ วเนือ่ งกบั กิจกรรมประจำ� วันของผูป้ ่วย 3. การจัดการอารมณแ์ ละความรู้สกึ เก่ียวกบั การเปลี่ยนแปลงจากการเจบ็ ปว่ ย 2. การปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมเพื่อควบคุมโรคและปัจจัยเสยี่ งตอ่ โรค การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมนนั้ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอื่ ใหผ้ รู้ บั บรกิ ารเกดิ พฤตกิ รรมสขุ ภาพทเี่ หมาะสม โดยการกระทำ� นน้ั ๆของผปู้ ว่ ยมงุ่ ใหต้ นเองมกี ารเปลย่ี นแปลงแกไ้ ขพฤตกิ รรมตนเองทนี่ ำ� ไปสเู่ ปา้ หมายของการมสี ขุ ภาพรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ ทด่ี ี โดยอาศยั การสนบั สนนุ จากบคุ คลสงั คมและสภาพแวดลอ้ มทจ่ี ดั กระทำ� ขน้ึ ใหเ้ ออ้ื ตอ่ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพและพฤตกิ รรม ท่เี กดิ ขึน้ น้ันตอ้ งชัดเจน สามารถสงั เกตเหน็ ได้หรือวดั ได้เปน็ ส�ำคัญโดยปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมนน้ั นอกจากจะต้องสอดคล้อง กบั ระยะของโรคและปจั จยั เสยี่ งทสี่ ำ� คญั ควรตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ระยะของการเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม (The Stage of Change) ด้วย ซ่ึงจ�ำแนกไดเ้ ป็น 7 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะท่ี 1 ระยะเมินเฉย (Pre-contemplation) เป็นระยะทย่ี ังไมส่ นใจจะเปล่ียนแปลงพฤติกรรมโดยยังไมค่ ิด พจิ ารณาเรือ่ งที่ตวั เองจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายใน 6 เดือนข้างหนา้ น้ี พบวา่ ผู้รับบริการกลมุ่ นจ้ี ะต่อตา้ น (Resistant) ไมม่ แี รงจงู ใจ (Unmotivated) และยงั ไมพ่ รอ้ มทจ่ี ะเขา้ รว่ มโปรแกรมการบรกิ ารทางสขุ ภาพใด ๆ การตอบสนองทเ่ี หมาะสม ให้ขอ้ มลู ตรงไปตรงมา เป็นกลาง ไมช่ ้นี ำ� หรอื ขู่ใหก้ ลวั ระยะท่ี 2 ระยะลังเลใจ (Contemplation) เป็นระยะท่ีบุคคลเร่ิมมีความคิดลังเลว่าตนจะเปล่ียนแปลง พฤติกรรมหรืออยู่อย่างเดิมดีมีการชั่งใจหาข้อดีข้อเสีย คิดว่าการเปลี่ยนแปลงมีข้อดีแต่ข้อเสียมีมากกว่า คิดว่ามีอุปสรรค 48 ชุดรปู แบบบริการในการป้องกัน ควบคมุ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเร้ือรัง สำ�หรบั สถานบรกิ าร
และคงท�ำไม่ส�ำเร็จ ซึ่งในระยะลังเลใจบุคคลมีแนวโน้มว่าอาจจะท�ำการเปล่ียนแปลงภายในระยะเวลา 6 เดือนข้างหน้า การตอบสนองท่ีเหมาะสม พดู คุยถงึ ข้อดขี ้อเสีย เปิดโอกาสให้ทบทวนอยา่ งรอบด้าน ระยะที่ 3 ระยะตดั สนิ ใจและพรอ้ มทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตนเอง (Determination and Preparation) เปน็ ระยะทบี่ คุ คลเกดิ ความตระหนกั และตดั สนิ ใจไดว้ า่ จะตอ้ งกระทำ� การเปลย่ี นแปลง มกี ำ� หนดระยะเวลาทแ่ี นน่ อนในการท่ี จะเปล่ยี นแปลงตนเอง มีแผนกว้าง ๆ ซ่งึ อปุ สรรคทที่ �ำให้ไม่สามารถไปถงึ ระยะลงมอื กระทำ� ได้อาจจะมาจากขาดเป้าหมาย หรอื เป้าหมายไมช่ ัดเจน อาจมีความคดิ ความเชื่อ ความกลัวบางอยา่ งซอ่ นอยู่ ซ่งึ พลังของความคดิ ความเชอ่ื เหลา่ น้นั เปน็ อุปสรรคท่ีส�ำคัญต่อการเปล่ียนแปลง การตอบสนองท่ีเหมาะสม ให้ทางเลือกท่ีเลือกได้อย่างอิสระ เน้นความรับผิดชอบใน การเลอื กของผรู้ ับบรกิ าร สง่ เสริมศักยภาพในการลงมอื ทำ� ของผู้รบั บรกิ าร ระยะท่ี 4 ระยะลงมอื ปฏิบัติ (Action) ในระยะน้บี ุคคลจะเรม่ิ ลงมือกระท�ำการเปลย่ี นแปลงศกึ ษาหาขอ้ มลู เพ่อื ทจี่ ะมแี ผน ขนั้ ตอนกลวธิ ที จี่ ะชว่ ยใหต้ นเองเปลย่ี นแปลง มที กั ษะในการแกไ้ ข เผชญิ ปญั หาในการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมมากขน้ึ และยังท�ำการเปล่ียนแปลงได้ไม่ถึง 6 เดือน ซึ่งระยะน้ีจะต้องการก�ำลังใจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการตอบสนองท่ี เหมาะสม สง่ เสรมิ ให้ผู้รับบรกิ ารได้ลงมือทำ� ตามวธิ ีทต่ี นเลอื กอย่างตอ่ เน่ือง ช่วยขจดั อปุ สรรคในการลงมอื ปฏิบัติ ระยะท่ี 5 ระยะคงสภาพ (Maintenance) บคุ คลทอี่ ยใู่ นกลมุ่ น้ี พบวา่ สามารถคงไวซ้ ง่ึ การเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม ไดอ้ ยา่ งนอ้ ย 6 เดอื น สามารถเปลย่ี นนสิ ยั และรปู แบบการดำ� เนนิ ชวี ติ โดยมกี จิ วตั รตามพฤตกิ รรมใหมพ่ ยายามหลกี เลยี่ งและ ป้องกันตนเองท่ีจะกลับไปมีพฤติกรรมเดิมการตอบสนองท่ีเหมาะสม ป้องกันการกลับไปสู่พฤติกรรมเดิม มีวิถีชีวิตที่สมดุล มีคณุ คา่ บริหารเวลา ผ่อนคลาย ดูแลสขุ ภาพ สังเกตสัญญาณเตอื นท่บี ่งถงึ การกลบั ไปในความเคยชนิ เดิม ระยะที่ 6 ระยะกลบั ไปมพี ฤตกิ รรมเดมิ ๆ ซำ้� ๆ เปน็ ครง้ั เปน็ คราว 1-2 ครงั้ (Lapse) เปน็ การกลบั ไปมพี ฤตกิ รรม เดิม ๆ เพียงครั้งหรือสองครั้งหรือในระยะเวลาอันสั้นอาจเกิดจากสถานการณ์เสี่ยง 3 ประเภท ได้แก่ อารมณ์ทางลบ ความขดั แยง้ ในสัมพนั ธภาพสว่ นบคุ คล และแรงกดดนั จากสังคม (ตรงและออ้ ม) ระยะท่ี 7 ระยะกลับไปมีพฤติกรรมเดิม ๆ เต็มรูปแบบเหมือนท่ีเคยเป็นมา (Relapse) พบว่าบุคคลที่อยู่ ระยะน้ี จะกลับไปมีพฤติกรรมเหมือนเดิมที่เคยเป็นมา ความคิดส�ำคัญท่ีพบในบุคคลที่อยู่ในระยะน้ีและเป็นความคิดที่เป็น อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ความคิดว่าตนเองล้มเหลวเนื่องจากไม่สามารถท�ำตามส่ิงท่ีตนเองได้ก�ำหนดไว้ส่งผลให้ คิดวา่ การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมเปน็ เรือ่ งยากอยู่นอกเหนือการควบคุม เชน่ อาจคดิ ว่าเป็นเรื่องเวรกรรม หรอื เปน็ เรอ่ื งของ โชคชะตา ความอาภัพ จงึ ท�ำใหล้ ม้ เลิกท่จี ะเปล่ียนแปลงตวั เอง ระยะกลบั ไปมพี ฤตกิ รรมเดิม ๆ ซ้�ำ เป็นครง้ั เป็นคราว และระยะกลบั ไปมีพฤติกรรมเดมิ ๆ เตม็ รปู แบบเหมอื นท่ี เคยเป็นมา (Relapse) ถือวา่ เป็นโอกาสทด่ี ใี นการเรียนร้แู ละค้นพบตัวเอง เพอื่ ช่วยใหก้ ารฟนื้ สภาพด�ำเนินต่อไปไดน้ านควร กระตุน้ ให้บุคคลมองว่าเป็นบทเรียนแทนที่จะเป็นความล้มเหลว การตอบสนองที่เหมาะสม ประคบั ประคอง ใหก้ ำ� ลังใจ มองสิ่งทเ่ี กิดข้ึนอย่างตรงไปตรงมา สรปุ บทเรียนมุง่ ม่ันใน การเปลยี่ นแปลงตอ่ ไป 2.1 กจิ กรรมการใหค้ วามรู้แบบรายกลมุ่ เป็นการให้ความรู้ เน้นการสร้างความรู้ ความตระหนักต่อปัจจัยเสี่ยง และสาเหตุของการเกิดโรคแนวทาง การป้องกัน โดยต้องมีการก�ำหนดรายละเอียดในการให้ความรู้ ในแต่ละประเด็น/หัวข้อ ร่วมกับทีมสหสาขา รายละเอียด ตามตารางท่ี 5 และควรจดั ระหว่างทีผ่ ปู้ ว่ ยมารบั บรกิ ารในแตล่ ะครั้ง ชดุ รปู แบบบรกิ ารในการปอ้ งกัน ควบคุมโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลอื ดสมอง และโรคไตเร้อื รัง ส�ำ หรบั สถานบริการ 49
ตารางที่ 5 บทบาทหน้าที่และกิจกรรมส�ำคัญของการปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรม เพือ่ สนับสนุนการจดั การตนเอง ประเด็น การให้ความรใู้ นการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม บทบาท เนอ้ื หา/รายละเอียด - เน้นให้ผู้ปว่ ยเกดิ ทกั ษะในการแก้ปญั หาทีเ่ กดิ จากการเจบ็ ป่วยของตนเอง พยาบาลผจู้ ดั การ - แกไ้ ขปญั หาทเี่ กดิ ในชวี ติ ประจำ� วนั ของผปู้ ว่ ย ซง่ึ อาจจะเกยี่ วขอ้ งกบั โรคหรอื รายกรณี ไม่กต็ าม ซง่ึ อาจเป็นอปุ สรรคต์ ่อการควบคุมสภาวะของโรค ความสมั พนั ธก์ บั ภาวะโรค - สอนทกั ษะเพอ่ื การแกป้ ญั หาทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ภาวะของโรคในประเดน็ เฉพาะ สหสาขาทเ่ี กีย่ วช้อง แนวทางหลกั - สร้างความเช่ือมั่นในสมรรถนะของตนให้ผู้ป่วยเชื่อมั่นในศักยภาพของการ - พยาบาลผูจ้ ดั การ ทใ่ี ชใ้ นการใหค้ วามรู้ เปลีย่ นแปลงเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมของตนเอง เพ่ือผลลพั ธท์ ีด่ ีดา้ นสุขภาพ รายกรณี - สหสาขาทเี่ กีย่ วขอ้ ง การให้ความรู้เพื่อการปรับเปล่ียนพฤติกรรม ในแต่ละปัจจัยเสี่ยง ควรชี้ให้เห็นข้ันตอนและกิจกรรมที่ชัดเจน รายละเอียดตามตารางที่ 6 ตารางท่ี 6 ความรู้ ข้ันตอนและกิจกรรมเพอ่ื การปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรม ในแต่ละปัจจัยเสี่ยง พฤตกิ รรม สาระส�ำคญั ขัน้ ตอนและกจิ กรรม เปา้ หมาย พฤติกรรม หวั ใจสำ� คญั ของการปรบั พฤตกิ รรม - เรียนรู้การค�ำนวณปริมาณพลังงานของอาหารแต่ละประเภทโดยเฉพาะ การบริโภค การกิน คอื การฝกึ กนิ โดยรู้ตัวเพ่ือ อาหารท่ีทานประจ�ำหากอาหารที่ชอบ มีพลังงานสูงให้เรียนรู้วิธีการปรุง - ควบคมุ สิ่งทร่ี บั ประทาน อาหารที่ช่วยลดปริมาณพลังงาน ลงฝึกท�ำอาหารด้วยตนเองเพื่อควบคุม พฤติกรรม - เลอื กส่งิ ทม่ี ีประโยชน์ สว่ นผสมและวธิ ีปรุง การออก - จำ� กดั ปรมิ าณการกนิ ของทไ่ี มม่ ี - ฝึกการรับประทานอาหารเช้าเป็นประจ�ำรับประทานอาหาร ตรงเวลา ก�ำลังกาย ประโยชนแ์ ละตดิ ใจในรสชาตทิ ำ� ใหม้ ี ด่มื นำ้� เปล่าใหเ้ พยี งพอเป็นนสิ ัย แนวโน้มท่ีจะรับประทานมากเกิน - ฝึกความเคยชินใหม่ท่ีดีกว่าเดิม สร้างนิสัยการรับประทาน ด่ืมน้�ำเปล่า เช่น ของหวานขนมเค้กไอศกรีม ตักอาหารในปริมาณท่ีเหมาะสม อาหารทอด อาหารท่ีมีเกลือและ - สงั เกตรปู แบบการกนิ ของตวั เองวา่ มแี นวโนม้ การกนิ ทไ่ี มถ่ กู ตอ้ งในสถานการณ์ น้�ำตาลสูง เชน่ ใดอยใู่ นบรรยากาศเชน่ ใด ตง้ั เปา้ หมายการกนิ ทเี่ หมาะสมในสถานการณ์ และหลกี เลยี่ งสถานการณท์ เี่ ปน็ ความเสยี่ งตอ่ การบรโิ ภคมากเกนิ เลย - ฝึกแยกแยะว่าความรู้สึกอยากกิน ว่าเป็นความหิวหรือความอยากจาก สาเหตุอ่ืนโดยเฉพาะสาเหตุทางอารมณ์ เช่น ความรู้สึกเหนื่อยล้า ความเบ่ือหน่ายกังวลโกรธกดดัน ซึ่งความรู้สึกเหล่าน้ีอาจกระตุ้นให้เรา อยากทานทง้ั ทไ่ี มไ่ ดห้ วิ จงึ ตอ้ งฝกึ รทู้ นั อารมณ์ หวั ใจสำ� คญั ของการปรบั พฤตกิ รรม - ชี้เห็นถึงความส�ำคัญ และให้เร่ิมการออกก�ำลังกายด้วยการเดินเร็วเพียง การออกก�ำลังกาย คือ ผู้ป่วยต้อง วันละไมก่ ่นี าทคี ่อยๆเพิ่มเวลาและระยะทางจนครบตามก�ำหนด วางแผนจัดเวลาเพ่ือการออกก�ำลัง - เลือกกิจกรรมการออกก�ำลังกายให้ที่รู้สึกเพลิดเพลินและมีความ กายและลดการมีพฤติกรรมเนือย หลากหลาย ทั้งท่ีเป็นการออกก�ำลังกายในร่มและกลางแจ้งหรืออาจ นิ่ง เพม่ิ การเคลอื่ นไหวให้มากพอ เป็นการออกก�ำลังกายกับเพื่อนและที่ท�ำเองคนเดียวเพื่อจะได้ยืดหยุ่น ทำ� ไดใ้ นทุกสถานการณ์ - กระตนุ้ ใหผ้ ปู้ ว่ ยมกี จิ กรรมการเคลอ่ื นไหวทกุ ครง้ั ทมี่ โี อกาส เชน่ เดนิ ขน้ึ -ลง บันได, การทำ� งานบา้ น - เลอื กวธิ กี ารออกกำ� ลงั กายทเ่ี หมาะสมกบั เพศ วยั และสขุ ภาพรา่ งกายของ ผู้ป่วยไม่เกินก�ำลังหรือฝืนสภาพร่างกาย เพราะอาจท�ำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บ และไม่อยากทำ� อกี 50 ชุดรปู แบบบริการในการป้องกนั ควบคมุ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลอื ดสมอง และโรคไตเรอ้ื รัง ส�ำ หรับสถานบริการ
พฤตกิ รรม สาระส�ำคญั ขัน้ ตอนและกิจกรรม เปา้ หมาย พฤติกรรมการ หวั ใจสำ� คญั ของการจดั การอารมณ์ - ให้ผู้ป่วยหมั่นสังเกตและเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าเหตุการณ์อะไรที่ส่งผลต่อ จดั การอารมณ์ คือ การมีสติรู้ทันความรู้สึกนึกคิด ความเครยี ด มอี าการอยา่ งไร มแี นวโนม้ ใชว้ ธิ ใี ดในการจดั การความเครยี ด และอาการทางกายท่ีเกิดขึ้นใน วิธใี ดที่ไดผ้ ลและอย่างไร แต่ละขณะ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการ - เคลด็ ลบั สำ� คญั ในการจดั การอารมณ์ คอื ใหผ้ ปู้ ว่ ยตระหนกั วา่ อารมณท์ กุ ชนดิ เจ็บป่วย ความเครยี ดเกิดขึ้นและมี เมือ่ เกดิ ข้ึนแล้วยอ่ มคลายลงไปตามเวลา วธิ สี รา้ งความสขุ ทเ่ี หมาะสมในชวี ติ - ฝกึ ทกั ษะการผอ่ นคลายตา่ งๆ เชน่ การหายใจคลายเครยี ดชว่ ยคลายอารมณ์ ใหส้ งบลง ช่วยเราคิดแกป้ ัญหา หรอื ทำ� ใจยอมรับสภาพปญั หาได้ดขี ้ึน - กำ� หนดจดุ หมายของชวี ติ ใหช้ ดั เจนทำ� ใหอ้ ดทนและฝา่ ฟนั ความยากลำ� บาก ในชีวิตได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับการมีสายสัมพันธ์ท่ีเกื้อหนุนและมีความ ภาคภมู ิใจในตนเอง - เรยี นรกู้ ารสรา้ งสขุ ในชวี ติ คน้ หาจดุ แขง็ ความถนดั และศกั ยภาพ ฝกึ หายใจ คลายเครียดและทักษะผ่อนคลาย บริหารเวลาให้สมดุลระหว่างการงาน สุขภาพและครอบครัว จัดการปัญหาเชิงรุก ศึกษาและปฏิบัติตาม หลักค�ำสอนทางศาสนา ให้เวลาและท�ำกิจกรรมความสุขร่วมกันใน ครอบครวั ชนื่ ชมคนรอบข้างอย่างจริงใจ 2.2 กจิ กรรมการใหค้ วามรแู้ บบรายบคุ คล เนน้ การใหค้ วามรเู้ พอ่ื ใหผ้ ปู้ ว่ ยปฏบิ ตั ติ วั ไดเ้ หมาะสมมสี ขุ ภาพดแี ละ แกป้ ัญหาเฉพาะ โดยด�ำเนนิ การ ดังน้ี 1. สอบถามปัญหาและอุปสรรค์ของผู้ป่วย ต่อการปรับเปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพที่ โดยอยู่บนพ้ืนฐาน ความเข้าว่า การเปล่ียนพฤติกรรมเป็นเร่ืองยากทั้งท่ีเป็นเรื่องสำ� คัญต่อชีวิต เนื่องจากพฤติกรรมมีธรรมชาติอย่างหน่ึง คือ สง่ิ ทบ่ี คุ คลท�ำซำ�้ ๆ น้ันก็ยิง่ มีแนวโนม้ ท�ำสง่ิ นั้นซ�ำ้ อกี เปน็ ความเคยชนิ 2. เสรมิ เตมิ พลงั การเปลยี่ นแปลง โดยเรมิ่ จากการคำ� ถาม 3 คำ� ถามนซ้ี งึ่ เปน็ คำ� ถามเพอื่ สรา้ งแรงจงู ใจใชไ้ ด้ กบั ทกุ กรณีแตค่ วรถามด้วยความเมตตาไม่ควรเปน็ การข่มขู่หรอื เร้าให้รสู้ กึ ผดิ คำ� ถามที่ 1 ค�ำถามแรกนี้เป็นการประเมินผลกระทบท่ีเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบันในขณะท่ีค�ำถามที่สองจะเป็น การประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นไร เช่น “ที่เป็นอยู่มันเป็นปัญหาอย่างไร” โดยค�ำว่า “ที่เป็นอยู่” ในกรณีนี้หมายถึง รูปแบบการกินการออกก�ำลังกายการจัดการอารมณ์การนอนและอ่ืนๆกับการที่ป่วยเป็นเบาหวานท้ังหมดนี้เท่าท่ีเป็นอยู่มัน เปน็ ปญั หาอยา่ งไรและน�ำเขา้ สคู่ ำ� ถามท่ี 2 ค�ำถามท่ี 2 เป็นการชวนเรามองไปในอนาคตมองให้เห็นว่าสิ่งที่อาจดูเป็นเร่ืองเล็กๆ ในวันนี้หากสะสมต่อไป เร่อื ยๆ อาจกอ่ ตวั เปน็ ปัญหาทีใ่ หญโ่ ตมากขนึ้ จนเป็นปญั หาที่ยงุ่ ยากซบั ซอ้ น ยากแกก่ ารแกไ้ ขจนอาจเกดิ ความร้สู กึ กลวั ท่ีจะ ปล่อยไปเร่ือยๆ เกิดเป็นแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงสองค�ำถามแรกนี้อาจก่อให้เกิดความกังวลใจหรือกลัวแต่ไม่ควรปล่อย ใหต้ วั เองจมอยกู่ บั ความกงั วลใจหรอื กลวั จนเกนิ ไปใหแ้ ปลงความกงั วลใจหรอื ความกลวั นเี้ ปน็ แผนการลงมอื ทำ� แตก่ อ่ นจะไป ถงึ ข้นั นน้ั ใหถ้ ามคำ� ถามที่สามกับตัวเองเสยี ก่อน ค�ำถามที่ 3 เปน็ การชวนมองไปในอนาคตมองใหเ้ หน็ สง่ิ ดๆี ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ไดห้ ากปรบั พฤตกิ รรมสำ� เรจ็ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ก�ำลังใจในการเปลยี่ นแปลงเชน่ “ถา้ เปล่ียนใหม่ไดม้ นั จะดีอยา่ งไร” โดยการถามซ้�ำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะช่วยท�ำให้มองเห็นผลกระทบท่ีเกิดตามมาเป็นลูกโซ่ในแต่ละด้านของชีวิต การถามตัวเองซ�้ำไปเรื่อยๆให้ได้มากที่สุดเท่าท่ีจะท�ำได้เม่ือมองเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อชีวิตของเราความรู้สึกถึงปัญหาก็ จะเพิ่มมากขึ้นเกิดเป็นแรงจูงใจในการเปล่ียนแปลงอย่างหนึ่งจากเดิมท่ีไม่ค่อยเห็นเป็นปัญหาก็อาจเห็นปัญหาได้ชัดเจนข้ึน และการมองเห็นเชน่ น้ีจะชว่ ยกระตุ้นใหเ้ ราเหน็ ปัญหาและเกดิ แรงจงู ใจในการเปลี่ยนแปลงได้มากข้นึ ชุดรูปแบบบรกิ ารในการปอ้ งกนั ควบคุมโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเรือ้ รัง สำ�หรบั สถานบริการ 51
1.1 วางแผนและจดั ทำ� แผนการปรบั พฤตกิ รรม จากสาเหตเุ บอ้ื งตน้ ทกี่ ลา่ วไวว้ า่ “พฤตกิ รรม” เกดิ ขนึ้ จากวงจร ความเคยชนิ เคยชนิ ดงั นนั้ การปรบั พฤตกิ รรมตอ้ งมกี ารกำ� หนดแผนการปรบั พฤตกิ รรมทดี่ โี ดยการมแี ผนการปรบั เปลย่ี นทดี่ ี ชว่ ยใหผ้ ู้ปว่ ยก�ำหนดกิจกรรม หรอื ส่ิงทีต่ ้องท�ำไว้ล่วงหน้าท�ำอยา่ งไร เวลาใดซึง่ รายละเอียดเหล่าน้ที ำ� ให้ผู้ป่วยมภี าพในใจไว้ ล่วงหน้าอันเป็นการสร้างเส้นทางความเคยชินทางความคิดก่อนที่จะลงมือท�ำจริงโดยแผนที่ดีควรเป็นแผนที่เหมาะกับ ผู้ป่วยเฉพาะบุคคล สอดคล้องวิถีชีวิตสภาพจิตใจแรงจูงใจและความพร้อมในการลงมือท�ำซ่ึงช่วยเพิ่มโอกาสความส�ำเร็จใน การปรับพฤติกรรม โดยองค์ประกอบของแผนการเปล่ียนแปลงที่ดไี ด้แก่ 1. การมีเป้าหมายที่ดี ซ่ึงการมีเป้าหมายที่ดีคือเป้าหมายท่ีสามารถระบุได้ว่าต้องท�ำอะไรมากน้อยเพียงใดและ ตอ้ งเปน็ “เป้าหมายเชงิ พฤตกิ รรม” มากกกว่าเป็นเปา้ หมายตามเกณฑท์ ี่ก�ำหนด ซง่ึ มักไม่คอ่ ยไดผ้ ลลพั ธ์ท่ีดี 2. การจดั สงิ่ แวดลอ้ ม สงิ่ แวดลอ้ มสง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมตา่ งๆของผปู้ ว่ ย แผนการปรบั พฤตกิ รรมจงึ ควรกำ� หนดให้ ชัดเจน ถึงการจดั การส่งิ แวดล้อมดว้ ย 3. ระบุบุคคลใกล้ชิดท่ีช่วยสนับสนุน การสนับสนุนจากบุคคลใกล้ชิดเป็นปัจจัยส�ำคัญท่ีส่งผลต่อพฤติกรรม ของผู้ป่วยแผนที่ดีจึงควรระบุถึงบุคคลท่ีจะช่วยให้เราปรับพฤติกรรมได้ส�ำเร็จรวมถึงบุคคลท่ีควรหลีกเลี่ยงเป็นอุปสรรคใน การปรบั พฤติกรรมของเรา 4. กำ� หนดคำ� พดู สรา้ งพลงั ใจ เพอ่ื กำ� หนดความพดู ทสี่ ะทอ้ นถงึ ความคดิ ตวั เอง สรา้ งความเชอ่ื ใหผ้ ปู้ ว่ ยตระหนกั ในอิทธิพลของค�ำพดู ท่จี ะควบคมุ ตวั เองให้ดียงิ่ ข้ึน 5. เติมความรู้และทักษะ ผู้ป่วยควรมีความรู้ในการดูแลตนเองที่ดีเน่ืองจากความรู้เพ่ือการสนับสนุนผู้ป่วยนั้น มีอยู่มากจึงควรเติมและสะสมความรู้ให้ผู้ป่วยอย่างสม่�ำเสมอและจะช่วยสนับสนุนปรับพฤติกรรมได้ผล ตรงเป้าดียิ่งขึ้น นอกจากความรู้แล้วยังมีทักษะบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับการดูแลตัวเอง เช่นทักษะการจัดการอารมณ์และความเครียด ทักษะการหายใจเพ่ือความผอ่ นคลายเป็นตน้ ทคี่ วรฝึกฝนทกั ษะจะชว่ ยใหใ้ นการจัดการตนเองไดด้ ยี ่งิ ข้ึน 1.2 เพ่ิมพลังความสามารถในการควบคุมตนเอง สังเกตและสร้างความมั่นใจในการควบคุมตัวเองของป่วย ชี้ให้เห็นว่าผู้ป่วยมีศักยภาพท่ีจะท�ำให้เกิดการเปล่ียน โดยการจะท�ำให้ผู้ป่วยสามารถเกิดความเชื่อมั่นเช่นน้ัน ต้องมีแผน การเปลย่ี นทด่ี ี มคี วามเปน็ ไป และเปา้ หมายทก่ี ำ� หนดตอ้ งไปถงึ ไดด้ ว้ ยการใชค้ วามพยายามทพ่ี อดี สอดคลอ้ งกบั ความสามารถ ข้อจ�ำกดั และวิถชี วี ติ 52 ชุดรปู แบบบริการในการป้องกนั ควบคมุ โรคหลอดเลือดหวั ใจ โรคหลอดเลอื ดสมอง และโรคไตเรื้อรงั ส�ำ หรับสถานบริการ
บรรณานกุ รม อนตุ ตร จติ ตนิ นั ทน และคณะ. คำแนะนำสำหรบั การดแู ลผปู ว ยโรคไตเรอ้ื รงั กอ นการบำบดั ทดแทนไต พ.ศ.2558. สมาคมโรคไตแหงประเทศไทย. 2558. ธิดารัตน อภิญญา. คูมือปฏิบัติการเพื่อดำเนินงานลดโรคไตเรื้อรัง (CKD) ในผูปวยเบาหวานและ ความดันโลหติ สงู . กรงุ เทพฯ. สำนกั โรคไมต ดิ ตอ กรมควบคุมโรค. 2559. สรุ พนั ธ สทิ ธสิ ขุ . แนวทางเวชปฏบิ ตั ใิ นการดแู ลผปู ว ยโรคหวั ใจขาดเลอื ดในประเทศไทย ฉบบั ปรบั ปรงุ ป 2557. กรุงเทพฯ. สมาคมแพทยโรคหวั ใจแหงประเทศไทยในพระบรมราชปู ถัมภ. 2557. จรุ พี ร คงประเสรฐิ , สมุ นี วชั รสนิ ธ,ุ ณฐั ธวิ รรณ พนั ธม งุ . การประเมนิ โอกาสเสย่ี งตอ การเกดิ โรคหวั ใจ และหลอดเลอื ด ในผปู ว ยเบาหวานและความดนั โลหติ สงู กรงุ เทพฯ. สำนกั โรคไมต ดิ ตอ กรมควบคมุ โรค. 2558. จรุ พี ร คงประเสรฐิ , ธดิ ารตั น อภญิ ญา. คมู อื ปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมในคลนิ กิ NCD คณุ ภาพ. กรงุ เทพฯ. สำนกั โรคไมติดตอ กรมควบคมุ โรค. 2558.
Search