Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 20836-Article Text-44830-1-10-20140814

20836-Article Text-44830-1-10-20140814

Published by teachin.jaed, 2019-05-07 22:26:51

Description: หอไตรลำพูน

Search

Read the Text Version

บทคดั ยอ่ หอไตร เมอื ง​ลำพนู หอไตร เมือง​ลำพูน ส่วน​ใหญ่​ยัง​อย่​ูใน​สภาพ​สมบูรณ์​และ​มี​รูป​แบบ​ของ​งาน​ สถาปตั ยกรรมแ​ ละ​การป​ ระดบั ล​ วดลาย​ทป​่ี รากฏอ​ ยใ​ู่ น​สมยั ร​ชั กาล​ท่ี ๕ จนถงึ ​สมยั ร​ชั กาล​ ท่ี ๗ อนั ​สะทอ้ น​ถงึ ​งาน​ศลิ ปกรรม​ท​่หี ลาก​หลาย เชน่ อทิ ธพิ ล​ศลิ ปะ​ตะวนั ​ตก อทิ ธพิ ล​ ศลิ ปะ​พมา่ อทิ ธพิ ล​ศลิ ปะ​จาก​กรงุ เทพฯ และ​อกี ส​ ว่ น​หนง่ึ ​เปน็ ​งาน​ชา่ ง​แบบ​พน้ื ​บา้ น​ลา้ น​นา เนอ่ื งจาก​ใน​สมยั ร​ชั กาล​ท่ี 5 แหง่ ​กรงุ ร​ตั นโกสนิ ทร์ ชาวอ​ งั กฤษ​ไดเ​้ ขา้ ​มาส​ มั ปทานป​ า่ ​ไมใ​้ น​ เขตภ​ าคเ​หนอื แ​ ละไ​ดน​้ ำช​ าวพ​ มา่ เ​ขา้ ม​ าท​ ำไ​ม้ ทำใหเ​้ กดิ ก​ ระแสง​านศ​ ลิ ปกรรมร​ปู แ​ บบใ​หม​่ ดงั ก​ ลา่ วเ​กดิ ข​ น้ึ ทง้ั น้ี อาจ​แบง่ ห​ อไตรอ​ อกเ​ปน็ ๒ กลมุ่ ใ​หญ่ กลา่ วค​ อื กลมุ่ ท​ ​เ่ี ปน็ อ​ าคาร​ยก​ ใตถ้ นุ ส​ งู และก​ ลมุ่ อ​ าคารท​ รงต​ กึ ก​ อ่ อ​ ฐิ ถ​ อื ปนู ผ​ สมเ​ครอ่ื งไ​ม้ ซง่ึ ท​ ง้ั ส​ องก​ ลมุ่ น​ ้ี อาจจ​ ะส​ รา้ งไ​ว​้ กลางส​ ระน​ ำ้ ห​ รอื ไ​มก​่ ไ็ ด้ งาน​สรา้ งสรรคด​์ งั ​กลา่ ว นา่ จ​ ะม​ า​จากร​สนยิ ม​สว่ นบ​ คุ คลข​ อง​ชา่ ง หรอื ​ของ​ผอ​ู้ ปุ ถมั ภ​ใ์ นก​ ารก​ อ่ สรา้ ง ทง้ั ​ขนุ นาง พอ่ คา้ ประชาชน แมว้ า่ ​วฒั นธรรมก​ าร​สรา้ ง​ หอไตร​จะ​คอ่ ย​เสอ่ื ม​ความ​นยิ ม อนั ​เนอ่ื ง​มา​จาก​ววิ ฒั นาการ​ดา้ น​สง่ิ ​พมิ พ​ห์ รอื ​ดา้ น​การ​เกบ็ ​ ขอ้ มลู ทำใหค​้ วามจ​ ำเปน็ ใ​นก​ าร​สรา้ งห​ อไตร​นน้ั ​ลดน​ อ้ ยล​ ง หอไตร เมอื ง​ลำพนู ท​ป่ี รากฏ​ อยเ​ู่ ปน็ ห​ ลกั ​ฐาน​ท​ส่ี ะทอ้ น​ใหเ​้ หน็ ถ​ งึ ร​ปู แ​ บบก​ าร​ผสม​ผสาน​วฒั นธรรม แนวคดิ และ​ความ​ ศรทั ธาข​ องผ​ คู้ น​ตอ่ ​ทม​่ี ​ตี อ่ ​พทุ ธศ​ าสนาใ​นย​ คุ ก​ อ่ น

Résumé* Ho Trai, Bibliothèques de la ville de Lamphun Parmi les vestiges artistiques de la ville de Lamphun, datés de l’époque de Ratanakosin, les bibliothèques (th. Ho Trai) représentent des styles artistiques divers, fruit des contacts commerciaux entre la deuxième moitié du XIXe siècle et de la première moitié du XXe siècle. Au cours de cette période, les Anglais et les Birmans sont venus exploiter les ressources naturelles, telles que le bois et les minéraux etc. Les Birmans bouddhistes, venus travailler dans les chantiers, avaient eu l’occasion de participer à la fondation du temple, considéré comme acte méritoire. A l’époque, il est encore utile d’avoir un endroit sûr où l’on puisse réserver les manuscrits religieux, souvent victime de la destruction par les termites et d’autres insectes. Dans chaque sanctuaire, outre les salles d’assemblée (ubosoth) et les salles d’ordination (vihân), on retrouve toujours une bibliothèque. Cet édifice peut être construit sur pilotis au milieu du bassin ou bien à deux étages, la partie inférieure étant souvent en brique enduite de plâtre. Les manuscrits étaient conservés dans la salle de l’étage supérieur. Le premier type d’édifice était cou- rant dans le Centre de la Thaïlande, tandis que le deuxième se trouvait fréquent dans les régions septentrionales. L’ensemble des bibliothèques montre le style d’un mélange des cultures venues des régions avoisinantes. L’influence de l’école de Ratanakosin y est très présente. Si des éléments traditionnels de menuiserie et de décor nous permettent de repérer l’influence de la capitale thaïe, certains motifs végétaux et sculptures des divinités ont pour origine la Birmanie. A partir du moment où l’imprimerie s’était bien répandue et où l’utilisation de l’informatique s’était généralisée, le rôle de Ho Traï di- minuait de plus en plus. Il est normal que cet édifice soit exclu du nouveau sanctuaire. * Résumé relu par M. Julien LAENENS et M. Damien FLEURY

หอไตร เมอื งลำพนู มลฤ​ ดี สายส​ งิ ห์* ความ​โดด​เด่น​ของ​ศิลปกรรม​ สมยั ​รัตนโกสินทร์​ของ​เมือง​ลำพูน​ ประการ​หนึ่ง​ท่ี​สะท้อน​ให้​เห็น​ถึง​ พัฒนาการ​ของ​บ้าน​เมือง​ที่​ผ่าน​มา​ ในแ​ ตล่ ะย​ คุ ส​ มยั คอื อาคารท​ ม​ี่ ก​ี าร​ ผ ส ม ​ผ ส า น ​จ า ก ​ห ล า ก ​ห ล า ย​ วฒั นธรรม อนั ไ​ดแ้ ก่ อทิ ธพิ ลศ​ ลิ ปะ​ ตะวัน​ตก อิทธิพล​ศิลปะ​พม่า อิทธิพล​ศิลปะ​จาก​กรุงเทพฯ และ​ รปู ที่ 1 หอไตร วัดพระธาตุหรภิ ญุ ชัย อีก​ส่วน​หน่ึง​เป็น​งาน​ช่าง​แบบ​พ้ืน​ บา้ น จะพ​ บเหน็ ไ​ดใ​้ นส​ มยั ร​ชั กาลท​ ่ี 5 แหง่ ก​ รงุ ร​ตั นโกสนิ ทร์ ซงึ่ อ​ งั กฤษไ​ดเ​้ ขา้ ม​ าส​ มั ปทาน​ ปา่ ​ไม​้ใน​เขต​ภาค​เหนอื ​และ​ได้​นำ​ชาว​พม่า​เขา้ ​มา​ทำ​ไม้ ทำให้​เกิด​กระแส​งาน​ศลิ ปกรรม​ รูป​แบบ​ใหม่​ดัง​กล่าว​เกิด​ขึ้น พบ​ได้​ใน​อาคาร บ้าน​เรือน และ​อาคาร​ที่​ถือ​เป็น​รูป​แบบ​ ศิลปกรรม​ท่ี​เห็น​ได้​ชัด​และ​พบ​มาก​ใน​เมือง​ลำพูน​จน​ถือ​เป็น​ความ​โดด​เด่น คือ หอไตร (รปู ท​ ี่ 1) * อาจารยป​์ ระจำส​ าขาว​ ชิ าภ​ าษาฝ​ รง่ั เศส ภาคว​ ชิ าภ​ าษาต​ ะวนั ต​ ก คณะโ​บราณคดี มหาวทิ ยาลยั ​ ศลิ ปากร

136 ดำรงวชิ าการ หอไตร เปน็ ​ชื่อ​เรยี ก​ย่อ​มาจ​ ากช​ ่ือเ​ต็ม​ว่า​หอพ​ ระ​ไตรปิฎก หมาย​ถงึ หอ​พระ​ ธรรม จัด​เป็น​อาคาร​สำคัญ​หนึ่ง​ใน​ศาสน​สถาน เพ่ือ​เก็บ​คัมภีร์​พระ​ไตรปิฎก​และ​คัมภีร์​ อน่ื ๆ ท่จี​ ารกึ ​บน​ใบล​ าน หรือพ​ ับ​หนงั ​สา ทาง​ภาค​กลาง​มัก​จะส​ รา้ งเ​ป็นอ​ าคาร​ไม้​ทั้งห​ ลัง​ ไว้​กลางส​ ระ​นำ้ ​ใน​วดั เพ่อื ก​ ัน​ปลวก มด แมลงต​ ่างๆ ที่​มัก​จะก​ ัด​กินค​ ัมภรี ​์เสยี ​หาย ดว้ ย​ เหตทุ​ ​่ีเป็นอ​ าคาร​ไม้​ท้งั ​หลงั ซ่ึง​เปน็ ว​ ัสด​ุท​่เี สื่อม​สลาย​ไดง้​ า่ ยภ​ าย​ใต้​สภาพ​ดนิ ​ฟา้ อ​ ากาศ​ แบบร​อ้ นช​ น้ื จงึ อ​ ธบิ ายไ​ดว​้ า่ เ​หตใ​ุ ดห​ ลกั ฐ​ านห​ อไตรท​ ย​ี่ งั ค​ งส​ ภาพอ​ ยใ​ู่ นป​ จั จบุ นั จ​ งึ ม​ อี าย​ุ ไมเ​่ ก่าไ​ปถ​ ึง​ต้นพ​ ทุ ธ​ศตวรรษ​ที่ 23 เช่น หอไตร​สร้าง​ดว้ ยไ​ม​้ทงั้ ​หลัง ณ วัดร​ ะฆังโ​ฆ​สิต​ า​ ราม กรงุ เทพฯ ซึ่งน​ ักว​ ิชาการบ​ างท​ า่ นเ​ช่อื ว​ า่ น​ ่าจ​ ะเ​ป็นห​ อไตรท​ มี่​ ีอายเ​ุ ก่าท​ สี่ ดุ ในข​ ณะ​ ท่ี​หอ​เขียน​วัง​สวน​ผัก​กาด​ที่​นัก​วิชาการ​กำหนด​อายุ​ไว้​ใน​สกุล​ช่าง​อยุธยา​ตอน​ปลาย​นั้น ยัง​มี​ข้อ​สงสัย​ใน​เร่ือง​ลวดลาย​ซึ่ง​สามารถ​นำ​ไป​เปรียบ​เทียบ​ได้​กับ​ลวดลาย​ที่​ปรากฏ​ใน​ สมยั ​รตั นโกสินทร์​ตอน​ตน้ คือ ระหว่าง​รัชกาล​ท่ี 1-31 การ​สร้าง​หอไตร​เพ่ือ​เก็บ​พระ​ธรรม​นั้น เช่ือ​ว่า​น่า​จะ​ปรากฏ​ตั้งแต่​ยุค​แรก​เริ่ม​ การส​ รา้ งร​ บั พ​ ทุ ธศ​ าสนาใ​นอ​ าณาจ​ กั รห​ รภิ​ ญุ ไ​ชย ราวพ​ ทุ ธศ​ ตวรรษท​ ่ี 13 แลว้ หลกั ฐ​ าน​ ทางด​ า้ นเ​อกสารจ​ ากจ​ ารกึ ห​ ลายช​ นิ้ ต​ า่ งส​ ะทอ้ นใ​หเ​้ หน็ ว​ า่ ม​ ก​ี ารใ​หค​้ วามส​ ำคญั ใ​นก​ ารจ​ าร​ คมั ภรี พ​์ ระธ​ รรมเ​พอื่ เ​ปน็ การเ​ผยแผพ​่ ระพทุ ธศ​ าสนา เชน่ การท​ พ​ี่ ระเ​จา้ ส​ วว​ าธส​ิ ทิ ธโ​ิ ปรด “...ใหจ​้ ารพ​ ระไ​ตรปฎิ กไ​วเ​้ ปน็ อ​ นั ม​ าก...”2 หรอื จ​ ารกึ ห​ ลายห​ ลกั ท​ ม​่ี ก​ี ารก​ ลา่ วถ​ งึ ก​ ารส​ รา้ ง​ หอ​พระ​ไตรปิฎก เพ่ือ​เป็น​ท่ี​เก็บ​รักษา​พระ​คัมภีร์ หรือ​ศิลา​จารึก​วัด​แสน​ข้าว​ห่อ​ซ่ึง​ สามารถก​ ำหนดอ​ ายไุ​ดร​้ าวพ​ ุทธ​ศตวรรษท​ ่ี 17 ท​่ีกลา่ วถ​ งึ ​การ “...สรา้ งค​ ัมภรี พ​์ ระป​ รติ ต​ ์ พรอ้ ม​กบั ท​ เ​่ี กบ็ ​คมั ภรี น​์ น้ั ​ไว​ใ้ น วดั ม​ หาว​ ลั ล.์ ..”3 อยา่ งไรก​ ด​็ ี หลกั ฐ​ านจ​ ารกึ ​จำนวน​หลาย 1Jean Boisselier, La peinture en Thaïlande, (Fribourg, Office du Livre, 1975), 97-98. 2จำปา เย้อื ง​เจริญ และค​ ณะ, “ลพ. 1 จารึกพ​ ระ​เจ้า​สว​วาธ​สิ ิทธิ (วดั ด​ อน​แกว้ ) อักษร​มอญ​ โบราณ ภาษา​บาลี – มอญ พุทธศ​ ตวรรษท​ ี่ 17”, ศิลา​จารึกใ​ น​พิพธิ ภณั ฑสถานแ​ หง่ ช​ า​ตห​ิ ร​ภิ ุญ​ ไชย, (กรงุ เทพฯ : รุง่ ศ​ ลิ ป,์ 2520), 91. 3จำปา เยอ้ื งเ​จรญิ , “จารกึ ว​ ัด​ดอนแ​ กว้ (ลพ. 4)”, ศลิ า​จารึก​ในพ​ ิพิธภณั ฑสถาน​แห่ง​ชาติ หริ​ภุญ​ไชย, กรม​ศิลปากร​จัด​พิมพ์​ใน​โอกาส​สมเด็จ​พระ​เทพ​รัตน​ราช​สุดาฯ สยาม​บรม​ราช​กุมารี เสดจ็ ฯท​ รงเ​ปดิ พ​ พิ ธิ ภณั ฑสถานแ​ หง่ ช​ าติ หรภ​ิ ญุ ไ​ชย วนั ท​ ่ี 20 กมุ ภาพนั ธ์ 2522, (กรงุ เทพฯ : กรงุ ส​ ยาม​ การ​พิมพ์ 2522), 31-32.

หอไตร เมอื งล​ ำพนู 137 ห​ ลกั ท​ ม​่ี ก​ี ำหนดอ​ ายร​ุ าวพ​ ทุ ธศ​ ตวรรษท​ ่ี 21 ไดก​้ ลา่ วถ​ งึ ก​ ารส​ รา้ งค​ มั ภรี พ​์ ระไ​ตรปฎิ กแ​ ละ​ การ​สร้าง​หอไตร ซึ่ง​น่า​จะ​แสดง​ถึง​การ​ให้​ความ​สำคัญ​กับ​พระ​ธรรม​อัน​น่า​จะ​มี​ผล​จาก​ เหตุการณ์​ใน​รัช​สมัย​พระเจ้า​ติ​โลก​ราช ท่ี​พระองค์​ทรง​ให้​สังคายนา​พระ​ไตรปิฎก ใน​ปี พ.ศ. 2020 เพราะ​ไม่​ปรากฏ​หลัก​ฐาน​ใดๆ ที่​สามารถ​ระบุ​รูป​แบบ​ที่​ชัดเจน​ของ​หอไตร​ใน​ อาณาจกั รล​ า้ นน​ าก​ อ่ นย​ คุ ร​ตั นโกสนิ ทร์ จงึ ไ​มส​่ ามารถก​ ลา่ วไ​ดว​้ า่ จ​ ะน​ ยิ มส​ รา้ งเ​ปน็ อ​ าคาร​ ไมท้​ ต​่ี งั้ อ​ ยกู่​ ลางน​ ้ำด​ ัง​เช่น​ที่ป​ รากฏ​ในภ​ าค​กลาง​หรอื ​ไม่ แต่​หาก​ม​ีอยู่ หอไตร​เหล่า​น​้ีคง​ เสื่อมส​ ลายผ​ ุ​พงั ไ​ปแ​ ลว้ อน่งึ สภาพ​ภูมิประเทศท​ ี่​เป็น​ภูเขาแ​ ละ​ที่ราบสูง​ระหวา่ ง​หบุ เขา​ ซึ่ง​แตก​ต่าง​จาก​ท่ีราบ​ลุ่ม​แม่น้ำ​ใน​ภาค​กลาง อาจ​จะ​เป็น​เง่ือนไข​หลัก​ที่​ทำให้​การ​สร้าง​ หอไตรใ​น​อาณาจักรล​ ้าน​นา​ไมเ​่ ป็น​แบบแผนว​ า่ จ​ ะ​ต้อง​สร้างไ​ว้​กลาง​สระ​นำ้ จากก​ ารศ​ กึ ษาก​ ลมุ่ ห​ อไตรใ​นว​ ดั เ​มอื งล​ ำพนู ค​ รงั้ น​ พ​ี้ บว​ า่ ส​ ว่ นใ​หญเ​่ ปน็ อ​ าคารท​ ​่ี สร้างข​ ึ้นใ​นย​ คุ ร​ ัตนโกสนิ ทร์ ระหวา่ ง​รชั ​สมัย​พระบาทส​ มเด็จพ​ ระจ​ ุลจอมเกลา้ เ​จ้าอ​ ย​ู่หัว​ และร​ชั ส​ มยั พ​ ระบาทส​ มเดจ็ พ​ ระป​ กเกลา้ เ​จา้ อ​ ยห​ู่ วั ท​ งั้ ส​ น้ิ และป​ รากฏร​ปู แ​ บบห​ ลากห​ ลาย กลา่ วค​ อื ม​ ท​ี งั้ ท​ เ​ี่ ปน็ อ​ าคารไ​มท​้ ง้ั ห​ ลงั ส​ รา้ งไ​วก​้ ลางน​ ำ้ และท​ เ​่ี ปน็ อ​ าคารก​ อ่ อ​ ฐิ ถ​ อื ปนู ผ​ สม​ เครอื่ งไ​ม้ ดเ​ู หมอื นว​ า่ ช​ า่ งม​ อ​ี สิ ระใ​นก​ ารอ​ อกแบบต​ วั อ​ าคารต​ ลอดจ​ นก​ ารต​ กแตง่ ล​ วดลาย ซงึ่ ไ​มไ​่ ดม​้ ร​ี ปู แ​ บบท​ ก​่ี ำหนดต​ ายตวั ความห​ ลากห​ ลายข​ องร​ปู ล​ กั ษณอ​์ าจเ​กดิ จ​ าก ขนุ นาง พอ่ คา้ หรอื ป​ ระชาชนใ​นแ​ ตล่ ะช​ มุ ชนผ​ ศ​ู้ รทั ธาอ​ อกทนุ ท​ รพั ยใ​์ นก​ ารส​ รา้ งอ​ าคารใ​นศ​ าสน​ สถาน ไดม​้ บ​ี ทบาท​สำคัญ​ใน​การ​ตัดสนิ ​รปู แ​ บบ​อาคารท​ ี่จ​ ะส​ ร้าง​ด้วยเ​ช่นก​ ัน หอไตรต​ ามว​ ดั ต​ า่ งๆ ในเ​มอื งล​ ำพนู สามารถจ​ ดั ก​ ลมุ่ ห​ อไตรอ​ อกไ​ดเ​้ ปน็ ๒ กลมุ่ ​ ใหญ่ ดงั นคี้​ ือ กล่มุ ​ท่ี 1 หอไตรไ​ มย้​ กใ​ ต้ถนุ ​สูง โดยท​ ว่ั ไป​มร​ี ูปแ​ บบ​เชน่ เ​ดียว​กบั ท​ าง​ภาคก​ ลาง ท​ี่สรา้ งเ​ป็นอ​ าคาร​ไม​ย้ ก​ใต้ถนุ ​ สงู จากข​ อ้ มลู ก​ ารศ​ กึ ษาเ​มอื งล​ ำพนู ร​ะบว​ุ า่ พบห​ อไตรก​ ลมุ่ น​ ท​้ี ง้ั ท​ ต​ี่ ง้ั อ​ ยก​ู่ ลางส​ ระน​ ำ้ แ​ ละ​ ทต​่ี ง้ั บ​ นล​ านว​ ดั ซง่ึ ก​ ลมุ่ ห​ ลงั อ​ าจจ​ ะเ​คยต​ งั้ อ​ ยก​ู่ ลางส​ ระน​ ำ้ แตไ​่ ดถ​้ มท​ เ​่ี สยี ภ​ ายห​ ลงั ก​ อ​็ าจ​ เป็น​ได้ การ​สร้าง​หอไตร​ด้วย​ไม้​ท้ัง​หลัง​และ​ต้ัง​ไว้​กลาง​สระ​น้ำ​ใน​วัด​น้ัน​พบ​ได้​ทั่วไป​ใน​ ภาค​กลาง ใช้​วัสดุ​ท่ี​หา​ได้​ง่าย​และ​มี​น้ำ​หนัก​เบา จึง​สามารถ​ก่อ​ไว้​กลาง​น้ำ​ได้​โดย​ไม่​ยุ่ง​ ยาก และ​ยังส​ ามารถ​ป้องกันค​ ัมภรี ​์ตา่ งๆ จากป​ ลวก มด ไดอ​้ ยา่ ง​ดี เชอื่ ​วา่ ห​ อไตร​กล่มุ ​ นี้​อาจ​จะ​ได้​รูป​แบบ​ท่ี​ข้ึน​มา​จาก​ภาค​กลาง ตัวอย่าง​หอไตร​ที่​สำคัญ​ของ​จังหวัด​ลำพูน​มี​ ดงั ​ต่อไ​ป​น้ี คอื

138 ดำรงวชิ าการ หอไตร วัดป​ า่ ​เหียง อำเภอป​ า่ ซาง จงั หวัด​ลำพูน (รปู ท​ ่ี 2, 2ก) สรา้ ง​ดว้ ย​ไม​้ทง้ั ​หลงั ​ใน​รปู ​แบบ​ไทย​ ประเพณ​ที ​ไ่ี ด​ร้ บั ​อทิ ธพิ ล​จาก​ภาค​กลาง กลา่ ว​ คอื เปน็ ​อาคาร​ทรง​ไทย​เปดิ ​โลง่ ม​ที าง​ขา้ ม​นำ้ ​ เลก็ ๆ ทน​่ี ำไ​ป​สบ​ู่ นั ได​ทาง​เขา้ ​หอไตร ตวั ​อาคาร​ เปดิ ​โลง่ ​เปน็ ​ลาน​เดนิ ​รอบ​หอ้ ง​เกบ็ ​พระ​คมั ภรี ​ท์ ่​ี อย​ตู่ รง​กลาง ซง่ึ ​ชวน​ให​น้ กึ ถงึ ​หอ​เขยี น​วงั ​สวน​ ผกั ​กาด กรงุ เทพฯ ซง่ึ ​เดมิ ​ยก​มา​จาก​จงั หวดั ​ อยธุ ยาหอไตรว​ดั ป​ า่ เ​หยี งม​ อ​ี งคป​์ ระกอบห​ ลาย​ ประการท​ ค​่ี ลา้ ยคลงึ ก​ บั ห​ อเ​ขยี นว​งั ส​ วนผ​ กั ก​ าด เชน่ การ​เขยี น​ลวดลาย​ลงรกั ​ปดิ ​ทอง ซง่ึ ​ท​ฝ่ี า​ ดา้ นน​ อกข​ องห​ อ้ งน​ ล​้ี งรกั ส​ แ​ี ดงช​ าดป​ ดิ ท​ องล​ าย​ เทพนม ซมุ้ ​ประต​ไู ม​แ้ สดง​รปู ​แบบ​เฉพาะ​ของ​ สกลุ ช​ า่ ง​พน้ื ​บา้ น​ลา้ นน​ า รูป​ท่ี 2 หอไตร วดั ​ปา่ ​เหียง อ. ปา่ ซาง รูป​ที่ 2ก ลวดลาย​ประดบั ห​ นา้ บ​ ันแ​ ละโ​กง่ ​ค้ิว เครอ่ื งไ​มม​้ งุ ห​ ลงั คาท​ ำร​ปู แ​ บบไ​ทยแ​ ท้ วัดป​ ่าเ​หียง คอื เปน็ ห​ ลงั คาซ​ อ้ นก​ นั ส​ องช​ น้ั มห​ี ลงั คาส​ งู แ​ ละ​ จว่ั ท​ ล​่ี าด​ชนั มงุ ​หลงั คาด​ ว้ ยแ​ ผน่ ​ทองแดง (ทอง​ จงั โ​ก)ประดบั ช​ อ่ ฟา้ ใบระกาหางห​ งส์(หวั น​ าค) รปู ​แบบ​สกลุ ​ชา่ ง​ลา้ น​นา อยา่ งไร​ก​็ดี ชอ่ ฟา้ ​ สะทอ้ น​ให​้เหน็ ​การ​ผสม​ผสาน​รปู ​แบบ​เฉพาะ​ ของ​ศลิ ปะ​พน้ื ​บา้ น​ลา้ น​นา ท​่มี ​ีลกั ษณะ​คลา้ ย​ ศลิ ปะล​ าวก​ บั ศ​ ลิ ปะท​ างภ​ าคก​ ลางด​ ว้ ยลวดลาย​ ประดบั ​หนา้ ​บนั โกง่ ​คว้ิ (รวง​ผง้ึ ) หรอื ​ท​่นี าค​ ทณั ฑ์ (ทวย) รองรบั โ​ครงสรา้ ง​หลงั คา ฉล​เุ ปน็ ​ ลายห​ มเ​ู่ ทวดาเ​หนย่ี วเ​ครอื เ​ถาใ​บไม้นาคก​ รอบ​ หนา้ บ​ นั มป​ี า้ นลม (รวย) เหยยี ดต​ รง ไมท​่ ำเ​ปน็ ​ นาค​ลำยอง​หรอื ​นาค​สะดงุ้ ​แบบ​กรงุ เทพฯ อัน​ เปน็ ​รูปแ​ บบท​ น่​ี ยิ ม​ของ​ชา่ งท​ อ้ ง​ถ่ินล​ า้ นน​ า

หอไตร เมอื งล​ ำพนู 139 หอไตร วัดป​ ระต​ปู ่า อำเภอเ​มือง จังหวดั ล​ ำพนู (รปู ท​ ่ี 3) รูป​ที่ 3 หอไตร วัด​ประตปู​ ่า อ. เมือง ลำพูน เป็น​หอไตร​ที่​สวยงาม​ท่ีสุด​อีก​หลัง​หนึ่ง อยู่​ใน​เขต​ท่ี​ชาว​เวียง​ยอง​มา​ต้ัง​บ้าน​ เรือน​อยู่ ตาม​ประวัติ​กล่าว​ว่า​ช่าง​ชาว​ยอง​เป็น​ผู้​สร้าง​และ​ถือ​เป็น​สัญลักษณ์​สำคัญ​ของ​ กลมุ่ ช​ นช​ าวย​ อง หอไตรส​ รา้ งด​ ว้ ยไ​มท​้ งั้ ห​ ลงั ย​ กใ​ตถ้ นุ ส​ งู มข​ี นาดใ​หญโ​่ ต ลกั ษณะอ​ าคาร​ โดย​รวม​แสดง​ให้​เห็น​ว่า​น่า​จะ​ได้​รับ​อิทธิพล​การ​ทำ​หอไตร​แบบ​ที่​นิยม​ทาง​ภาค​กลาง กล่าวค​ ือ​การ​ทำ​อาคาร​ไมช้​ นั้ เ​ดยี วย​ ก​ใตถ้ ุน ทำ​ทางข​ ้นึ ด​ ้าน​หน้า​เพียงด​ า้ น​เดยี ว ม​ชี าน​ ทางเ​ดนิ ​โดยร​ อบ ตรง​กลาง​ก่อเ​ปน็ ห​ ้องเ​พือ่ ​เกบ็ ​พระ​คัมภีร์ ฝา​ผนงั ​ด้าน​นอก​เขยี น​ลาย​ทอง​รูป​เทพนม​เตม็ พ​ นื้ ท่ี ทำนอง​เดยี วกนั ​หอ​เขยี น​ วัง​สวน​ผัก​กาด​ซึ่ง​เช่ือ​กัน​ว่า​เป็น​ฝีมือ​ของ​ช่าง​ชาว​อยุธยา แม้ว่า​ลวดลาย​ท่ี​ปรากฏ​ใน​ ปจั จบุ นั ย​ งั เ​ปน็ ป​ ญั หาใ​นด​ า้ นก​ ารก​ ำหนดอ​ ายก​ุ ต็ าม แตส​่ ง่ิ ท​ เ​่ี ปน็ ล​ กั ษณะเ​ฉพาะข​ องช​ า่ ง​ ทอ้ งถ​ น่ิ ช​ าวย​ อง ไดแ้ ก่ การท​ ำห​ ลงั คาซ​ อ้ นช​ น้ั ท​ ม​่ี ก​ี ารย​ กค​ อสอง และห​ ลงั คาก​ นั สาดค​ ลมุ ​ ตวั ​อาคารท​ ้ังส​ ​่ีด้าน เพอื่ ​กันแดด กันฝ​ น และ​กนั ล​ ม​ได​้ดี สว่ นน​ าคท​ ณั ฑแ​์ ละค​ อสองป​ ระดบั ด​ ว้ ยไ​มฉ​้ ลล​ุ วดลายพ​ รรณพ​ ฤกษา เครอ่ื งไ​ม​้ หลงั คาเ​ปน็ ร​ปู แ​ บบไ​ทยพ​ น้ื บ​ า้ นล​ า้ นน​ าท​ ไ​ี่ ดร​้ บั อ​ ทิ ธพิ ลจ​ ากท​ างภ​ าคก​ ลาง กลา่ วค​ อื การ​ ทำ​หลังคา​ทรง​จั่ว​สูง​แบบ​ทาง​ภาค​กลาง ประดับ​ช่อฟ้า​เป็น​เศียร​นาค​มี​ปีก หาง​หงส์​รูป​ เศยี รน​ าค ลกั ษณะเ​ดยี วก​ บั ศ​ ลิ ปะไ​ทล​ อ้ื ทพ​่ี บแ​ ถบเ​ชยี งร​งุ้ แ​ ละใ​นหลวงพ​ ระบ​ าง รปู แ​ บบ​ น​ไี้ ดพ​้ ฒั นา​มา​เปน็ ​ลักษณะ​เฉพาะข​ องล​ ้าน​นา ปา้ นลม​เป็น​ลำต​ วั น​ าค​เหยยี ดต​ รง (รวย) หน้า​บนั ​ประดบั ไ​มฉ​้ ลลุ าย​เครอื เ​ถา​พรรณ​พฤกษา มเี​ทพนม​ประทับส​ อง​ข้าง เดิมม​ กี​ าร​ ลงรกั ป​ ดิ ท​ อง แตป​่ จั จบุ นั ล​ บเ​ลอื นไ​ปจ​ นเ​กอื บห​ มดแ​ ลว้ ยงั ค​ งเ​หน็ ร​อ่ งร​อยช​ ดั เจนบ​ รเิ วณ​ กรอบ​หน้า​บนั ​ด้านใ​น

140 ดำรงวิชาการ หอไตร วัดห​ ม​ูเป้ิง อำเภอป​ า่ ซาง จงั หวัดล​ ำพนู (รปู ​ท่ี 4) รปู ​ที่ 4 หอไตร วัด​หมเ​ู ปงิ้ อ. ป่าซาง ลำพูน พบ​หอไตร​สร้าง​ด้วย​ไม้​รูป​แบบ​ศิลปะ​พ้ืน​บ้าน​ล้าน​นา ยก​ใต้ถุน​สูง แต่​เสา​ปูน​ ใน​ปัจจุบนั น​ ัน้ ​อาจจ​ ะ​เปน็ เ​สาใ​หมแ่​ ทนท​เ่ี สา​ไม้ซ​ ่งึ ​ผุพ​ ังไ​ป​กอ่ น เมอ่ื ต​ ัง้ ​ขอ้ ​สงั เกต​ในเ​บื้อง​ ต้น​พบ​ว่า​ลาย​ลูกไม้​ประดับ​แนว​ข่ือ​ใต้ถุน​น้ัน​ดู​ขัด​เขิน​กับ​เสา​ปูน การ​ยก​ใต้ถุน​สูง​เป็น​ พิเศษ​เกิด​เป็น​ลาน​โล่ง​ใต้​อาคาร​สามารถ​ใช้​งาน​ได้ ขนาด​ของ​อาคาร​ที่​มี​ขนาด​ใหญ่​ ประกอบก​ บั ห​ ลงั คาท​ ย​่ี น่ื อ​ อกม​ าปกค​ ลมุ ช​ าน ซงึ่ ม​ ใิ ชก​่ ารต​ งั้ ห​ อไตรไ​วก​้ ลางน​ ำ้ เนอ่ื งจาก​ รปู แ​ บบอ​ าคารส​ ะทอ้ นใ​ห​เ้ หน็ ​ความ​ตง้ั ใจ​รักษา​พืน้ ท่​ใี ตถ้ นุ ​ไว​้ใช​ง้ าน หอไตร​ช้ัน​บน​ก่อ​เป็น​ฝา​ไม้​เรียบ​ปิด​มิดชิด​ทั้ง​สี่​ด้าน มี​ชาน​เดิน​ได้​โดย​รอบ ระเบยี งป​ ระดบั ล​ กู กรงไ​มฉ​้ ลลุ าย ฝาอ​ าคารเ​จาะห​ นา้ ตา่ งบ​ านห​ นา้ ตา่ งไ​มม่ ล​ี วดล​ ายใ​ดๆ หลังคา​เคร่ือง​ไม้​ทำ​เลียน​แบบ​หลังคา​ซ้อน​กัน​สอง​ชั้น​แบบ​ที่​นิยม​ใน​ศิลปะ​พื้น​บ้าน​ล้าน​ นา ประดับ​ลวดลายห​ น้า​บนั รวง​ผึ้ง โกง่ ค​ วิ้ บนฝ​ า​ผนงั อ​ าคาร​โดยตรง เน่อื งจาก​อาคาร​ ไมไ​่ ดม​้ ล​ี กั ษณะก​ ารย​ กเ​กจ็ อ​ ยา่ งท​ น​่ี ยิ มท​ ำก​ นั ใ​นร​ปู แ​ บบศ​ ลิ ปะไ​ทยป​ ระเพณี หนา้ บ​ นั แ​ ละ​ รวงผ​ งึ้ ​ประดับ​ไมฉ้​ ลุ​เขยี น​ส​ีทองด​ า้ น​หลงั ป​ ระดับ​กระจก​สี เปน็ ​ลายพ​ รรณพ​ ฤกษา กา้ น ใบ และ​ออก​ชอ่ ด​ อก ได้แก่ ดอกโ​บต๋ัน ต่อ​เนอื่ งเ​ต็มพ​ ้นื ท่ี หลงั คา​ประดับ​ชอ่ ฟ้าล​ กั ษณะ​ อ่อน​ช้อย​คล้าย​กับ​รูป​แบบ​ท่ี​นิยม​ใน​ศิลปะ​ทาง​ภาค​กลาง กรอบ​หน้า​บัน​ประดับ​นาค​ เหยยี ดต​ รงอ​ ันเ​ปน็ ​ลักษณะท​ ่​ีนิยม​ใน​รูปแ​ บบล​ ้าน​นา หาง​หงส์​ท่ี​ทำเ​ปน็ ห​ วั ​นาค​ลักษณะ​ ออ่ นช​ อ้ ย การป​ ระดบั ห​ วั น​ าคเ​ลก็ เ​รยี งร​ายต​ ามส​ นั ห​ ลงั คา ยงั ผ​ ลใ​หห​้ อไตรท​ ม​่ี อ​ี าคารเ​รยี บ​ ง่าย กลบั โ​ดดเ​ดน่ ​ดม​ู ​ีชีวติ ​ชีวา

หอไตร เมอื งล​ ำพนู 141 หอไตร วดั บ​ ้านห​ ลกุ อำเภอ​เมือง จงั หวดั ล​ ำพูน (รูป​ที่ 5) เป็น​อาคาร​สอง​ช้นั ​ท่​ีก่อ​ยก​เสา​จึง​มี​ ใตถ้ นุ ​สงู และ​ม​ีรปู ​แบบ​สะทอ้ น​ฝมี อื ​ชา่ ง​พมา่ ​ อยา่ งเ​หน็ ไ​ดช​้ ดั กลา่ วค​ อื ตวั ​อาคารท​ ง้ั ​สองช​ น้ั ​ กอ่ เ​ปน็ ฝ​ าไ​ม​เ้ รยี บ​ทง้ั ​ส​ด่ี า้ น เสา​สเ่ี หลย่ี มใ​ตถ้ นุ ​ ก่อ​ด้วย​อิฐ อาคาร​ช้นั ​แรก​เจาะ​ช่อง​หน้าต่าง​ ดา้ นล​ ะไ​มเ​่ กนิ ห​ นง่ึ บ​ าน ในข​ ณะท​ ช​่ี น้ั ส​ องม​ หี นา้ ​ ตา่ งร​ะหวา่ งเ​สา หลงั คาย​ น่ื ค​ ลมุ ช​ ายคาท​ ง้ั ส​ อง​ ชน้ั คนั ​ทวย​ไม​้รองรบั ​ชน้ั ​หลงั คา​ฉลุ​ลวดลาย​ แบบเ​ดยี วกนั ก​ บั ล​ วดลาย​ทข​่ี อบ​หนา้ ตา่ ง คาด​ วา่ เ​ปน็ ​งานท​ ​ซ่ี อ่ มใ​หม​ใ่ น​ระยะห​ ลงั รูป​ที่ 5 หอไตร วัด​บา้ นห​ ลกุ อ. เมือง ลำพนู จากก​ ารส​ ำรวจพ​ บค​ นั ท​ วยเ​กา่ ท​ ฉ​ี่ ลลุ ายส​ ตั วจ​์ ำพวกน​ กค​ รฑุ แ​ ละล​ งิ สวมเ​ครอื่ ง​ แตง่ ก​ ายร​ ะบว​ุ า่ เ​ปน็ ล​ งิ ช​ นั้ ส​ งู คาดว​ า่ น​ า่ จ​ ะห​ มายถ​ งึ ห​ นมุ าน ภายในห​ อไตรม​ ก​ี ารป​ ระดบั ​ ลวดลายเ​ฉพาะท​ ต​่ี ัวเ​สาแ​ ละข​ ่อื เ​นน้ โ​ครงสร้างอ​ าคาร หลงั คาห​ นา้ จ​ วั่ แ​ บบศ​ ิลปะไ​ทย คือ มปี​ า้ นลม ชอ่ ฟ้า และ​หาง​หงส์ ที่ห​ นา้ ​บันป​ ระดับล​ วดลาย​แบบ​ท่น​ี ิยม​ในส​ กุล​ชา่ งล​ ้าน​นา บานห​ นา้ ตา่ งเ​ขยี นภ​ าพล​ ายเ​สน้ เ​ทวดาถ​ อื พ​ ระข​ รรคแ​์ ละค​ มั ภรี น​์ งุ่ ผ​ า้ แ​ บบพ​ มา่ และท​ ม​่ี มุ ​ ด้าน​นอก​อาคาร​ช้ัน​บน​ส่วน​ที่​เป็น​ห้อง​เก็บ​พระ​คัมภีร์ ประดับ​เทวดา​ประทับ​ยืน​บน​นก​ หสั ดล​ี งิ คท​์ งั้ ส​ ม​ี่ มุ ปลายส​ นั ห​ ลงั คาป​ ระดบั ห​ งส์ ซงึ่ เ​ปน็ ร​ปู แ​ บบก​ ารป​ ระดบั อ​ าคารใ​นศ​ าสน​ สถาน​อิทธิพล​ศิลปะพ​ ม่า กลมุ่ ท​ ่ี 2 กลมุ่ ท​ รงต​ กึ ก​ อ่ อ​ ฐิ ถ​ อื ปนู ​ผสม​เครอ่ื งไ​ ม้ หอไตร​บาง​แหง่ ​อาจ​จะ​สรา้ ง​โดย​นำ​รปู ​แบบ​มา​จาก​ภาค​กลาง แต​ส่ ว่ น​มาก​จะ​มี​ ลกั ษณะ​ท​่เี ป็น​อาคาร​ม​ีซ้มุ ​หนา้ ตา่ ง​หรอื ​ประต​ูแบบ​ตะวนั ​ตก ซ่งึ ​เช่อื ​ว่า​เปน็ ​รปู ​แบบ​ท่​นี ำ​ เขา้ ​มา​ใน​ลา้ น​นา​โดย​ชาว​พมา่ ​และ​ชาว​องั กฤษ กลา่ ว​คอื ความ​นยิ ม​ใน​การ​สรา้ ง​หอไตร​ เปน็ อ​ าคารก​ อ่ อ​ ฐิ ถ​ อื ปนู แ​ ละม​ ป​ี ระกอบเ​ครอ่ื งบ​ นห​ ลงั คาด​ ว้ ยไ​มน​้ น้ั อาจจ​ ะม​ ป​ี รากฏม​ าแ​ ลว้ ​

142 ดำรงวชิ าการ อยา่ งน​ อ้ ยต​ ง้ั แตร​่ ชั ส​ มยั พระบาทส​ มเดจ็ พ​ ระน​ ง่ั เ​กลา้ เ​จา้ อ​ ยห​ู่ วั ชว่ งค​ รง่ึ ห​ ลงั พ​ ทุ ธศ​ ตวรรษ​ ท่ี 24 เปน็ ตน้ ม​ า4 อนั เ​ปน็ ร​ะยะ​เวลาท​ ก​่ี รงุ เทพฯ ม​บี ทบาทส​ ำคญั ใ​นก​ าร​ปกครอง​และก​ าร​ ดูแล​ความ​สงบ​เรียบร้อย​ของ​บ้าน​เมือง​ใน​เร่ือง​การ​แต่ง​ต้ัง​พระยา​หรือ​อุปราช​เมือง​ เชยี งใหมแ​่ ละ​ลำพนู เปน็ ตน้ 5 ทส​่ี ำคญั ค​ อื ม​ ก​ี ารท​ ำนบ​ุ ำรงุ บรู ณะป​ ฏสิ งั ขรณว​์ ดั วาอ​ ารามต​ า่ งๆ ในเ​มอื งล​ ำพนู จึง​เป็น​ไป​ได้ที่​จะ​มี​การนำ​รูป​แบบ​การ​สร้าง​อาคาร​ก่อ​อิฐ​ถือปูน​ข้ึน​มา​จาก​กรุงเทพฯ ใน​ ระยะเ​วลาด​ งั ก​ ล่าว จากก​ าร​ศกึ ษา​เมือง​ลำพนู ​ครง้ั ​นี้ พบว​ ่า​หอไตร​ทสี่​ รา้ ง​เปน็ ​อาคาร​กอ่ ​ อิฐ​ถอื ปูน​มท​ี ัง้ ​ทีก่​ อ่ อ​ ิฐ​ถอื ปูน​ทั้งส​ อง​ชนั้ หรือ​ก่อเ​พยี ง​ชั้น​ลา่ ง​เพยี งช​ ้นั ​เดยี ว โดยทชี​่ ัน้ ​บน​ และ​เคร่ือง​บน​หลังคา​ทำ​ด้วย​ไม้​แกะ​สลัก​ปิด​ทอง​ประดับ​กระจก ส่วน​ท่ี​เป็น​หลังคา​โดย​ มากม​ ร​ี ปู แ​ บบไ​ทยพ​ นื้ บ​ า้ นล​ า้ นน​ า ซงึ่ ไ​ดร​้ บั อ​ ทิ ธพิ ลส​ กลุ ช​ า่ งไ​ทยป​ ระเพณท​ี างภ​ าคก​ ลาง แต่​มี​วิวัฒนาการ​มา​จน​กลาย​เป็น​ลักษณะ​เฉพาะ​ของ​สกุล​ช่าง​ล้าน​นา​แล้ว อย่างไร​ก็​ดี หอไตรท​ ส​ี่ รา้ งโ​ดยช​ า่ งท​ อ้ งถ​ น่ิ เชน่ ชาวย​ อง มกั จ​ ะส​ งั เกตไ​ดจ​้ ากก​ ารส​ รา้ งห​ ลงั คาล​ ดช​ น้ั ​ ทม​ี่ ​กี าร​ยกค​ อสอง ซึ่ง​พบอ​ ยู่​ในง​ าน​ศิลปกรรมข​ อง​ชาว​ไทล​ ้ือแ​ ละช​ าว​ยอง ภายห​ ลงั จ​ ากท​ อ​่ี งั กฤษเ​ขา้ ย​ ดึ ก​ ารป​ กครองป​ ระเทศพ​ มา่ ไ​ดใ​้ นป​ ี พ.ศ. 2369 ชาว​ อังกฤษ​ดำเนิน​การ​ขอ​สัมปทาน​ป่า​ไม้​กับ​อาณาจักร​ล้าน​นา โดย​เฉพาะ​การ​ดำเนิน​การ​ สัมปทานป​ า่ ​ไมท้​ ​ี่เมอื ง​ลำพนู ​ครั้งแ​ รก​ในป​ ี พ.ศ. 2372 การเ​ดินท​ าง​เขา้ ​มา​ทำป​ า่ ​ไม้​ของ​ ชาว​อังกฤษ​และ​ชาว​พม่า จึง​อาจ​จะ​มี​การนำ​เอา​รูป​แบบ​ศิลปะ​ตะวัน​ตก​และ​ศิลปะ​พม่า​ มา​ใช้​ใน​งาน​ศิลปะ​ใน​อาณาจักร​ล้าน​นา การ​เดิน​ทาง​เข้า​มา​ทำงาน​ของ​ชาว​พม่า​มี​ระยะ​ เวลา​ต่อ​เนื่อง​มา​จนถึง​รัชกาล​พระบาท​สมเด็จพระ​จุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว เม่ือ​ชาว​พม่า​ ต้ังช​ มุ ชนข​ น้ึ ​ทใ​่ี ดม​ กั ​จะส​ รา้ ง​วดั ไ​ว้ท​ น​ี่ น้ั ดงั ท​ ​ป่ี รากฏห​ ลกั ฐ​ านว​ ดั ท​ ม​่ี จ​ี ำนวนม​ าก​กระจาย​ ทว่ั ไป​ใน​จังหวดั แ​ มฮ่ ่องสอน เชยี งใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ และน​ า่ น6 4ศกั ดชิ์​ ัย สาย​สงิ ห,์ งานช​ ่างส​ มัย​พระ​น่ัง​เกลา้ , (กรุงเทพฯ : มตชิ​ น, 2551), 73. 5จดหมายเหตแุ​ หง่ ช​ าติ, หจญ. ร.3 จศ.1204 เลข​ท่ี 14. 6ส​รัส​วดี อ๋อง​สกุล, ประวัติศาสตร์​ล้าน​นา, (กรุงเทพฯ, บริษัท อมรินทร์​บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกัด, 2539), 276.

หอไตร เมอื งล​ ำพนู 143 รปู ​ที่ 6 เทวดา​แบบพ​ ม่า ประดับห​ อไตร อิทธิพล​รูป​แบบ​อาคาร​ก่อ​อิฐ​ วัด​ป่าซางง​ าม อ. ปา่ ซาง ลำพูน ถือปูน​สอง​ชั้น​แบบ​ตะวัน​ตก​ทรง​หลังคา​ เคร่ือง​ไม้​แบบ​ไทย​อาจ​มี​ผู้นำ​ขึ้น​มา​จาก​ ทาง​กรุงเทพฯ แต่​รูป​แบบ​และ​การป​ ระดับ​ ลวดลาย​ที่​มี​ลักษณะ​โดด​เด่น​เฉพาะ​ตัว​ที่​ ไม่​ปรากฏ​ใน​อาคาร​ทาง​ภาค​กลาง ทำให้​ สนั นษิ ฐานไ​ดว​้ า่ ห​ อไตรจ​ ำนวนม​ ากท​ เ​ี่ มอื ง​ ลำพูน​สะท้อน​ให้​เห็น​ถึง​การ​ผสม​ผสาน​ งาน​ช่าง​พม่า​และ​อิทธิพล​ตะวัน​ตก​ชาติ​ อังกฤษ​ที่​เข้า​มาปก​ครอง​ประเทศ​พม่า​ใน​ ระยะน​ น้ั มร​ี ปู แ​ บบข​ องศ​ ลิ ปะต​ ะวนั ต​ กผ​ สม​ ผสาน​กับ​อิทธิพล​ศิลปะ​ไทย​ที่​มี​การ​ ปรบั ปรุง​เปน็ ล​ กั ษณะพ​ นื้ ​บา้ นล​ า้ น​นา​แลว้ ตัวอย่าง​หอไตร​ที่​แสดง​อิทธิพล​รูป​แบบ​ศิลปะ​พม่า ซึ่ง​สามารถ​สังเกต​ได้​จาก​ ลกั ษณะก​ าร​ประดบั ​รูปเ​ทวดา​ตาม​มมุ ​อาคาร​ด้าน​นอก​ของ​ช้ันบ​ น (รูปท​ ่ี 6) หรอื ​วาดไ​ว​้ ท​บี่ านป​ ระต​ูหนา้ ตา่ ง รูปเ​ทวดา​เหล่า​นี​ห้ รือ​ที่​เรียก​ว่า “ผแี น๊ต” ซ่งึ ช​ าวพ​ ม่า​ถอื วา่ เ​ป็น​ผ​ี ผู้​ดูแล​ศาสน​สถาน หรือ​ผู้​ดูแล​คัมภีร์​พระ​ไตรปิฎก ซ่ึง​ใน​วัฒนธรรม​ความ​เชื่อ​ของ​ชาว​ พม่า​มี​รูป​ผี​น้ี​ประมาณ 20 ตน เช่ือ​ว่า​อาจ​จะ​เป็น​ผล​งาน​ของ​ช่าง​ชาว​พม่า​ที่​มี​โอกาส​ ถ่ายทอดศ​ ิลปะข​ อง​ตนเอง​ไว้ใ​น​งาน​ก่อสร้าง​อาคาร​ใน​ศาสน​สถาน​เหลา่ ​นี้ เพอ่ื เ​ป็นพ​ ทุ ธ​ บชู า นอกจาก​น้ี หากเ​ป็น​หอไตรท​ ​ีส่ ร้าง​ในร​ ปู แ​ บบต​ ะวัน​ตก กม็​ กั ​จะท​ ำ​ประตห​ู น้าต่าง​ เปน็ ​วง​อารค์ ​โคง้ ประดบั ​ลวดลาย​ใบไม​้แบบ​ฝรั่ง​ท​่ีเรียก​กนั ​วา่ “ใบ​อะ​แคน​ตัส” บาง​ครัง้ ​ อาจจ​ ะม​ ร​ี ปู เ​ทวดาย​ นื ถ​ อื ค​ มั ภรี ์ ซง่ึ เ​ปน็ อ​ ทิ ธพิ ลพ​ มา่ เ​ขา้ ม​ าป​ ะปนใ​นอ​ าคารอ​ ทิ ธพิ ลต​ ะวนั ​ ตก ประดับ​เป็น​รูป​ลอยตัว​เทวดา​ยืน​ถือ​คัมภีร์​ไว้​ท้ัง​สี่​มุม​ด้าน​นอก​อาคาร​ชั้น​บน หรือ​ ประดับไ​ว้ร​ ะหว่างช​ ่อง​หน้าต่าง​ท้งั ช​ นั้ ​บนแ​ ละ​ชั้นล​ า่ ง

144 ดำรงวิชาการ กลุม่ ท​ ่ี 2.1 หอไตรท​ ีส​่ ร้าง​เป็น​อาคารส​ อง​ชัน้ ใ​ น​รปู ​แบบ​ศลิ ปะ​ไทย​ล้านน​ า หอไตร วดั พ​ ระธ​ าตหุ​ ริ​ภุญไ​ ชย อำเภอเ​มือง จงั หวดั ล​ ำพูน (รูปท​ ี่ 7) จัด​เป็น​หอไตร​ท่ี​สำคัญ​ท่ี​มี​ ลั ก ษ ณ ะ ​โ ด ด ​เ ด่ น ​ใ น ​แ ง่ ​ข อ ง ​ก า ร​ สถาปตั ยกรรมใ​นร​ปู แ​ บบศ​ ลิ ปะไ​ทยท​ งั้ ​ หลงั กลา่ วค​ อื เปน็ อ​ าคารส​ องช​ น้ั ส​ รา้ ง​ ในผ​ งั ส​ เ่ี หลยี่ มอ​ อกม​ ขุ ท​ ง้ั ด​ า้ นห​ นา้ แ​ ละ​ ดา้ นห​ ลงั ซงึ่ เ​ปน็ ล​ กั ษณะร​ปู แ​ บบท​ พ​่ี บ​ มาก​ทาง​ภาค​กลาง อาคาร​ชั้น​ล่าง​ก่อ​ บนฐ​ านส​ งู ด​ ว้ ยอ​ ฐิ ถ​ อื ปนู ท​ าสแ​ี ดงเ​รยี บ มท​ี างเ​ขา้ ท​ างด​ า้ นห​ นา้ เ​พยี งด​ า้ นเ​ดยี ว ด้าน​หลัง​ก่อ​ทึบ ซุ้ม​หน้าต่าง​แสดง​รูป​ แบบ​ศลิ ปะ​ลา้ นน​ า อาคารช​ ั้น​บน​สรา้ ง​ เปน็ เ​ครอ่ื งไ​มส​้ ลกั ล​ งรกั ป​ ดิ ท​ องบนพ​ น้ื ​ สี​แดง​ชาด หลังคา​ทรง​ไทย​ล้าน​นา​ที่​ รูป​ที่ 7 หอไตร​วัดพ​ ระ​ธาตุ​หรภิ​ ญุ ​ไชย อ.เมือง ลำพนู เป็น​รูป​แบบ​พัฒนา​มา​จาก​ศิลปะ​ภาค​ กลาง รอบฐ​ านอ​ าคารช​ นั้ บ​ นป​ ระดบั ล​ วดลายร​ปู ส​ ตั วใ​์ นจ​ นิ ตนาการต​ า่ งๆ เชน่ สงิ ห์ กเิ ลน อยู่​ใน​กรอบ​แปด​เหลี่ยม ตัว​อาคาร​และ​ส่วน​รองรับ​หลังคา ตลอด​จน​ส่วน​ที่​เป็น​คอสอง ล้วนป​ ระดบั ล​ วดลายพ​ รรณ​พฤกษา​ประดิษฐ​ส์ ​ีทองบนพ​ ืน้ แ​ ดง​ชาด การท​ ำห​ ลังคา​ซ้อน​ สอง​ชั้น​ออก​มุข​ท้ัง​ด้าน​หน้า​และ​ด้าน​หลัง​เป็น​รูป​แบบ​ที่​รับ​มา​จาก​รัตนโกสินทร์7 หรือ​ท่ี​ เรียกก​ นั ​ใน​ท้อง​ถน่ิ ว​ า่ “ฮด​สองช​ ัน้ ” มีบ​ นั ได​นาค​ท้ังส​ อง​ดา้ น​ซึ่งท​ ำ​ไว้ เพอ่ื ค​ วาม​สวยงาม แต่​ไมไ่​ดเ้​พอื่ ​ใช้ง​ าน บาน​ประตท​ู าง​เขา้ เ​ขียนร​ ปู ​เทวดาผ​ พ้​ู ิทักษร์​ ักษา​พระค​ มั ภรี ์ (ทวาร​ บาล) ลวดลาย​ท่ี​หน้า​บัน​ไม้​สลัก​ปิด​ทอง​ประดับ​กระจก​แบ่ง​เป็น​ช่อง​ขนาด​ต่างๆ ช่อง​ ประธาน​ทำ​เป็น​หน้า​กีรติ​มุข​บน​พ้ืน​กระจก​สีน้ำเงิน ระหว่าง​เสา​รองรับ​หลังคา​มุข​หน้า​ และ​หลัง​ประดับ​โก่ง​คิ้ว​เปรียบ​เทียบ​ได้​กับ​ท่ี​วัด​พระ​สิงห์ มี​นาค​ทัณฑ์​ตาม​เสา​รองรับ​ 7สันติ เลก็ ส​ ขุ มุ , ศลิ ปะ​ภาคเ​หนือ : หร​ภิ ุญไ​ ชย - ลา้ นน​ า, 58.

หอไตร เมอื งล​ ำพนู 145 หลงั คาด​ ้านข​ ้าง​อาคาร กรอบห​ น้าบ​ นั ​เป็นน​ าคย​ ดื ​ตรง (รวย) ไม​ท่ ำ​เป็น​นาคส​ ะดุง้ ​ดังท​ ​่ี นิยม​ทำ​กัน​ใน​วัด​ทาง​ภาค​กลาง ลักษณะ​ช่อฟ้า เป็น​หัว​นาค​ท่ี​มี​หงอน​สะบัด​ปลาย​ใกล้​ เคียงก​ ับ​ท่ี​พบใ​น​สกลุ ​ช่าง​กรงุ เทพฯ ขอ้ ส​ ังเกต​สำคัญ​ทเ่​ี ปน็ ​ลักษณะเ​ฉพาะ​ในศ​ ลิ ปะ​ล้าน​ นา คอื การป​ ระดบั บ​ ราลเ​ี ปน็ ร​ะยะอ​ าจเ​พอ่ื แ​ สดงถ​ งึ ส​ ญั ลกั ษณข​์ องเ​ขาส​ ตั ต​ บร​ภ​ิ ณั ฑ์ ตรง​ กงึ่ กลางส​ นั ห​ ลงั คาท​ ำเ​ปน็ ร​ ปู เ​จดยี ม์​ พ​ี ระพทุ ธร​ ปู ป​ ระทบั ย​ นื อ​ ยใ​ู่ นซ​ มุ้ เ​รอื นธ​ าตทุ​ ง้ั ส​ ด​่ี า้ น ซึ่ง​น่า​จะ​หมาย​ถึง​เจดีย์​จุฬา​มณี​บน​สวรรค์​ชั้น​ดาวดึงส์ มี​ความ​สำคัญ​เพื่อ​ความ​เป็น​ ศูนยก์ ลางจ​ กั รวาล ใน​เบ้ือง​ต้น​อาจ​จะ​นำ​ไป​เปรียบ​เทียบ​กับ​หอไตร​วัด​พระ​สิงห์ เชียงใหม่ ท่ี​อาจ​ จะ​สร้าง​ก่อน​หอไตร​วัด​พระ​ธาต​ุหริ​ภญุ ช​ัย และ​ท​่ีสำคัญ​คือ​หอไตร​วดั ​พระ​สงิ ห​์มี​รูป​แบบ​ ทางศ​ ลิ ปกรรมท​ ส​ี่ ามารถก​ ำหนดอ​ ายไ​ุ ดว​้ า่ น​ า่ จ​ ะม​ อี ายจ​ุ ากห​ ลกั ฐ​ านก​ ารส​ รา้ งค​ รงั้ ส​ ำคญั ​ ใน​ปี พ.ศ. 2354 และ​งาน​ประดับ​ตกแต่ง​จาก​การ​บูรณะ​ครั้ง​สำคัญ​ใน​ปี พ.ศ. 24698 หอไตรท​ ัง้ ​สองแ​ หง่ เ​ป็น​อาคาร​กอ่ ​อฐิ ​ถือปนู ช​ ั้น​ลา่ ง​และช​ ัน้ บ​ น​เปน็ ​เครื่อง​ไม้ หอไตร​ลักษณะ​น้ี​ได้​พบ​อยู่​หลาย​แห่ง​ส่วน​ใหญ่​เป็น​งาน​ที่​สร้าง​ใน​เขต​เมือง​ ลำพูน เช่น หอไตร​วัด​ชา้ ง​รอง วัดเ​มือง​ยู้ อำเภอเ​มือง จงั หวัด​ลำพูน เป็นต้น 8ดใู​น จ​ิระศ​ ักด์ิ เดช​วงศ์​ญา และค​ ณะ, หอไตรว​ ดั ​พระส​ งิ ห์ ประวัต​ิลักษณะ​ศลิ ปกรรม​ และแ​ นวทาง​การ​อนรุ กั ษ,์ (เชยี งใหม่ : สถาบนั วจิ ยั ​และ​พฒั นา มหาวทิ ยาลยั เ​ชยี งใหม,่ 2539), 104.

146 ดำรงวิชาการ หอไตร วดั ช​ า้ งร​ อง อำเภอเ​มอื ง จงั หวัดล​ ำพนู (รปู ​ที่ 8) จัด​อยู่​ใน​กลุ่ม​อาคาร​ที่​มี​ความ​ งาม​เปรียบ​เทียบ​ได้​กับ​หอไตร​วัด​พระ​ ธาตห​ุ รภ​ิ ญุ ไ​ชย กลา่ วค​ อื มร​ี ปู แ​ บบศ​ ลิ ปะ​ ไทย​ล้าน​นา บาน​ประตู​หน้าต่าง​ไม้​แกะ​ สลัก​รูป​เทวดา​พนม​มือ​ยืน​บน​ดอกบัว กรอบ​ซุ้ม​หน้าต่าง​ทำ​รูป​แบบ​ศิลปะ​พื้น​ บา้ นล​ ้าน​นา รวงผ​ ึ้งห​ รอื ​ที่ทางภ​ าค​เหนือ​ เรียก​ว่า “โกง่ ​ควิ้ ” ฉลลุ ายน​ าคท​ า่ มกลาง​ พรรณพ​ ฤกษา หลงั คาท​ รงเ​ครอื่ งไ​มซ​้ อ้ น​ สอง​ช้ัน หน้า​บัน​ไม้​แกะ​สลัก​ประดับ​ กระจกแ​ บง่ เ​ปน็ ช​ อ่ งๆ ลายพ​ รรณพ​ ฤกษา​ รูป​ท่ี 8 หอไตร​วัดช​ ้าง​รอง อ. เมือง ลำพูน ประดษิ ฐร์​ ปู แ​ บบท​ น​่ี ยิ มท​ างภ​ าคก​ ลางใ​น​ สมยั ร​ ชั กาลท​ ่ี 3 กลา่ วค​ อื ลายด​ อกโ​บตน๋ั แ​ ตกก​ งิ่ อ​ อกช​ อ่ ต​ อ่ เ​นอ่ื งเ​ปน็ เ​ถาค​ ลมุ พ​ นื้ ท่ี นาค​ ประดบั ก​ รอบห​ ลังคาห​ น้า​บัน​ทำ​เปน็ ​นาค​ล้าน​นา ซง่ึ ​มีล​ กั ษณะเ​ดยี วกนั ก​ บั น​ าค​คนั ท​ วย​ รองรับ​หลงั คา​และ​ท่​กี รอบซ​ ุ้ม​หน้าตา่ ง

หอไตร เมอื งล​ ำพนู 147 กลุ่ม​ท่ี 2.2 หอไตร​ท​ส่ี รา้ ง​เป็น​อาคารส​ อง​ชนั้ ก​ ่อ​อฐิ ถ​ ือปนู ​รูป​แบบต​ ะวนั ​ตก ทรง​ หลังคาเครือ่ งไ​ ม้ หอไตร​ใน​กลุ่ม​นี้​เกี่ยวข้อง​กับ​อิทธิพล​ ศิลปะ​ตะวัน​ตก ท่ี​ทำ​เป็น​ตึก​สอง​ชั้น​ก่อ​ อิฐ​ถือปูน หลังคา​เป็น​เคร่ือง​ไม้​มุง​ กระเบอื้ งแ​ บบไ​ทยพ​ น้ื บ​ า้ น หอไตรท​ ว​ี่ ดั ​ ป่าซาง​งาม อำเภอ​ป่าซาง (รูป​ท่ี 9) จัด​เป็น​ตัวอย่าง​ท่ี​มี​ลักษณะ​โดด​เด่น​ ของ​การ​ผสม​ผสาน​รูป​แบบ​ศิลปะ​ไทย ใน​อาคาร​แบบ​ตะวัน​ตก​ประดับ​ตกแต่ง​ รปู ​ท่ี 9 หอไตร วัด​ปา่ ซางง​ าม อ. ป่าซาง ลำพูน ลวดลาย​อิทธิพล​ศิลปะ​พม่า​ได้​อย่าง​ นา่ ช​ ม อาคารก​ อ่ อ​ ฐิ ถ​ อื ปนู ส​ องช​ นั้ ชน้ั ล​ า่ งท​ ำป​ ระตเ​ู ขา้ ด​ า้ นห​ นา้ ป​ ระตเ​ู ดยี ว ดา้ นข​ า้ งเ​ปน็ ​ ประตห​ู ลอกส​ ามบ​ านร​ปู แ​ บบ​ อารค์ โ​คง้ ประดบั ป​ นู ป​ น้ั ใ​บไมป​้ ระดษิ ฐแ​์ บบศ​ ลิ ปะต​ ะวนั ต​ ก เหนอื ป​ ระต​ูทางเ​ข้าด​ า้ นห​ น้าม​ ล​ี ายป​ ูนป​ นั้ ท​ าสป​ี ดิ ท​ องร​ ปู ​หงสค​์ ​ู่ใน​ศลิ ปะ​พมา่ อาคารช​ ้ัน​ บน​เจาะ​ช่อง​ประตู​ทรง​ฝรั่ง​ด้าน​หน้า ด้าน​ข้าง​เจาะ​ช่อง​หน้าต่าง​ส่ีเหลี่ยม​จัตุรัส​ด้าน​ละ​ สาม​บาน ที่​สำคัญ​คือ​การ​ประดับ​ลาย​ปูน​ป้ัน​ช่อ​ใบ​อะ​แคน​ตัส​ใน​แจกัน​อยู่​เหนือ​ขอบ​ หนา้ ตา่ ง การป​ ระดบั ล​ วดลายท​ เ​่ี ปน็ อ​ ทิ ธพิ ลพ​ มา่ ท​ ส​่ี ำคญั ค​ อื รปู เ​ทวดาผ​ พ​ู้ ทิ กั ษท​์ อ​ี่ ยต​ู่ าม​ มุม​อาคาร​ท้ัง​ส่ี​และ​ตาม​เสา​ช้ัน​บน​ของ​อาคาร ซ่ึง​เป็น​ลักษณะ​การ​ตกแต่ง​ใน​ศิลปะ​พม่า ผ้าน​ ุ่งเ​ทวดา​ทำ​เป็น​ลาย​ใบอ​ ะ​แคนต​ ัสฝ​ ร่งั สนั นษิ ฐานว​ ่า​ใน​ระยะแ​ รก​หอไตร​หลัง​นีค้​ งจะม​ ีค​ วาม​งาม​เปน็ ​พเิ ศษ เนื่องจาก​ มี​ร่อง​รอย​การ​ทาสี​ท้ัง​หลัง​และ​เขียน​ลวดลาย​เป็น​สี​ทอง​หลง​เหลือ​ตาม​ส่วน​ต่างๆ​ของ​ อาคาร ดัง​ท่ี​ปรากฏ​บริเวณ​เหนือ​หน้าต่าง​และ​พื้น​ด้าน​หลัง​เทวดา​ผู้​พิทักษ์ นอกจาก​นี้ ยงั ​พบร​ ่องร​ อย​การป​ ระดบั ล​ วดลาย​ท​่ีคิ้ว​อาคาร หรอื ​ทป​่ี ระต​ูดา้ นห​ น้า​ของ​อาคาร​ช้ัน​บน ตลอดจ​ น​หนา้ บ​ นั ห​ ลังคา​ด้วย​กระจก​ส​ีรปู ท​ รงต​ า่ งๆ ประกอบก​ นั ​เป็น​ลวดลาย เช่น ลาย​ ดอกพ​ กิ ลุ ท​ ค​่ี รง่ึ ล​ า่ งข​ องห​ นา้ บ​ นั สว่ นห​ นา้ บ​ นั ช​ น้ั บ​ นย​ งั ค​ งท​ ำล​ วดลายร​ปู แ​ บบศ​ ลิ ปะไ​ทย คือ เป็น​ลาย​เถา​ดอก​โบตั๋น​ประดับ​กระจก​สี หลังคา​ลด​สอง​ช้ัน​รูป​แบบ​เรียบ​ง่าย​มุง​ กระเบื้อง​ดนิ ​ขอ ประดับช​ ่อฟา้ ใบระกา หาง​หงส์ ใน​รปู ​แบบ​พ้ืนบ​ ้าน​ล้านน​ า

148 ดำรงวิชาการ ความ​คิด​สร้างสรรค์​ของ​ช่าง​ใน​ การ​ผสม​ผสาน​รูป​แบบ​ศิลปะ​ไทย​กับ​ศิลปะ​ ตะวัน​ตก​และ​ศิลปะ​พม่า​น้ัน ยัง​สะท้อน​ให้​ เหน็ จ​ ากห​ อไตรท​ ว​ี่ ดั ล​ า่ มช​ า้ ง เขตอ​ ำเภอ​ เมอื ง (รปู ท​ ่ี 10) เปน็ อ​ าคารก​ อ่ อ​ ฐิ ถ​ อื ปนู บ​ น​ ฐาน​สงู อาคารช​ ้ัน​บนเ​ปน็ ​ไม้ หลงั คา​เครือ่ ง​ ไม้​รูป​แบบ​ท่ี​นิยม​ใน​กลุ่ม​ชาว​ยอง ประดับ​ ชอ่ ฟา้ ใบระกาห​ าง​หงส์ ฐาน​อาคาร​มี​ความ​ สงู เ​ปน็ พ​ เิ ศษ เจาะช​ อ่ งป​ ระตร​ู อบอ​ าคาร แต​่ ใช้​งาน​เพียง​ด้าน​หน้า​ด้าน​เดียว มี​ลักษณะ​ ของ​อาคาร​ใน​ศิลปะ​ตะวัน​ตก เช่น การ​ทำ​ ประตู​โค้ง​มี​หัว​เสา หรือ​การ​ประดับ​เสา​ รปู ​ท่ี 10 หอไตร วัด​ลา่ มช​ า้ ง อ. เมือง ลำพูน หลอก แต่​มี​การ​ปรับ​ลวดลาย​ไทย​มา​ใช้​ใน​ การต​ กแตง่ อารค์ ​โคง้ ​แหลมเ​ปน็ ​รปู ​นาค​สอง​ตวั ท​ อดห​ ัว​ลงม​ า​ทง้ั ส​ อง​ขา้ ง​และ​หันห​ วั ​เขา้ ​ ดา้ นใ​นว​ งโ​คง้ บานป​ ระตไ​ู มส​้ ลกั ล​ ายค​ ลน่ื น​ ำ้ ร​บั ก​ บั ต​ วั น​ าคด​ า้ นบ​ น หนา้ บ​ นั ซ​ มุ้ ป​ ระตแ​ู ละ​ พ้ืนท่ี​เหนือ​กรอบ​ซุ้ม​ประดับ​ปูน​ป้ัน​ทาสี​เขียน​ลาย​ทอง​เป็น​รูป​เครือ​เถา​ดอกไม้ เสา​ ระหว่าง​ประตู​ประดับ​เสา​หลอก​เป็น​เกลียว​ตลอด​ทั้ง​ต้น หัว​เสา​ทำ​ซ้อน​กัน​สอง​ชั้น ประดับ​ประติมากรรม​ลอยตัว​ของ​หัว​ช้าง​ที่​เสา​ด้าน​บน​ที่​ติด​กับ​ขื่อ​หลังคา​กัน​ฝน​สาด ที่​กำแพงท​ างเ​ข้าด​ ้าน​หน้า​มีก​ ารป​ ระดับ​ลวดลายช​ ้างส​ าม​เศียร ซึ่งอ​ าจ​จะ​เกี่ยวข้องก​ ับ​ พระอินทร์ อย่างไร​ก็​ดี การ​เน้น​ประดับ​รูป​ช้าง​ก็​น่า​จะ​เกี่ยวข้อง​กับ​ชื่อ​วัด​ล่าม​ช้าง ซึ่ง​สัมพันธ์​กับ​ความ​เป็น​อยู่​ของ​ชาว​บ้าน​ใน​ท้อง​ถิ่น ที่​สำคัญ​คือ​การ​ประดับ​พระ​เกี้ยว​ พระ​บรมราชสัญลักษณ์ของ​พระบาท​สมเด็จ​พระ​จุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ไว้​ที่​ซุ้ม​ประตู ซ่งึ ​ช่วยใ​ห้​กำหนดอ​ าย​หุ อไตร​ด้วย​เชน่ ก​ ัน (รูปท​ ี่ 10ก, 10ข)

150 ดำรงวิชาการ หลงั คาข​ องห​ อไตรแ​ หง่ ​ นี้​เป็น​เพียง​แห่ง​เดียว​ที่​ทำ​ทรง​ ป้ัน​ห​ยา ซ่ึง​เป็น​รูป​แบบ​ของ​ สถาปัตยกรรม​แถบ​เมือง​มลายู ซ่ึง​มัก​พบ​ใน​การ​สร้าง​เรือน​แบบ​ ขนมปังข​ งิ ท​ส่ี ำคญั ท​ ่ีสดุ ​คอื การ​ เขียน​จิตรกรรม​ฝา​ผนัง​ภายใน​ อาคาร​ชั้น​ล่าง​โดย​ช่าง​ชาว​พม่า บุคคล​ใน​เรื่อง​เน้น​เขียน​ลาย​เส้น​ รปู ท​ ี่ 11 หอไตร วดั ​หนองเ​งือก อ. ป่าซาง ลำพูน ส่วน​องค์​ประกอบ​สำคัญ เช่น ปราสาท เจดีย์ บนพ​ ้นื ​เรยี บ​ขาว มีท​ ้ังพ​ ุทธป​ ระวัติ​ตอน​เสดจ็ ​ลงจ​ าก​สวรรคช์​ น้ั ด​ าวดึงส์ แสดงพ​ ระพุทธเจ้า​ถอื ​บาตร​ประทับบ​ นด​ อกบวั มีเ​ทวดา​กาง​ฉัตร​อยู่​เบอื้ ง​หลงั ตามด​ ว้ ย​ ขบวนพ​ ระส​ าวกถ​ อื บ​ าตร เบอื้ งห​ นา้ พ​ ระพทุ ธอ​ งคม​์ บ​ี รรดาก​ ษตั รยิ ์ บคุ คลช​ นั้ ส​ งู ม​ าร​อร​บั ​ เสดจ็ เ​พอ่ื ถ​ วายอ​ าหารแ​ ละด​ อกไม้ ซง่ึ เ​ปน็ เ​รอื่ งข​ องก​ ารท​ ำบญุ ต​ กั บาตรเ​ทโ​วใ​นเ​ทศกาล​ วัน​ออก​พรรษา​ใน​สมัย​หลัง ท่ี​เก่ียวข้อง​กับ​พุทธ​ประวัติ​ตอน​เสด็จ​ลง​จาก​สวรรค์​ชั้น​ ดาวดึงส์ ซง่ึ ส​ ามารถ​สงั เกต​ไดจ​้ าก​ภาพ​เจดยี จ​์ ฬุ า​มณ​ีทว​่ี าด​ไวท​้ าง​ตอนบ​ น เยื้องไ​ป​ทาง​ ด้านข​ วา​ของ​พระพทุ ธอ​ งค์ (รูปท​ ี่ 11ก และ 11ข) นอกจาก​น้ี ยัง​มี​ภาพ​เล่า​เรื่อง​ทศชาติ​ตอน​มหา​ชนก และ​ภาพ​จับ​เล่า​เรื่อง​ รามเกยี รตต​์ิ อนท​ ศก​ ณั ฐล​์ กั น​ างส​ ด​ี า สภาพข​ องจ​ ติ รกรรมใ​นป​ จั จบุ นั บางส​ ว่ นล​ บไ​ปม​ าก​ แลว้ สว่ น​ท่​เี หลอื ​อยไ่​ู ด้ร​ ับก​ าร​เขยี นซ​ อ่ มแซมใ​หม่ รปู ​ท่ี 11ก ภาพร​ามเกยี รต์ิ ทศก​ ณั ฐแ​์ ละน​ าง​ส​ดี า รูป​ท่ี 11ข พุทธ​ประวัติ​ตอน​เสด็จ​ลง​จาก​สวรรค์​ วดั ​หนองเ​งอื ก ชนั้ ​ดาวดงึ ส์ วดั ​หนอง​เงือก

หอไตร เมอื งล​ ำพนู 151 หอไตร วดั แ​ มแ่ รง อำเภอ​ป่าซาง (รปู ท​ ี่ 12, 12ก) รูป​ท่ี 12 วดั ​แม่แรง อ. ปา่ ซาง ลำพนู รปู ท​ ี่ 12ก องค​์ประกอบห​ ลงั คา วัด​แมแ่ รง ตวั ​อาคาร​อยู่​ใน​รปู ​แบบ​อิทธิพล​ตะวนั ​ตก ประต​ูและ​หนา้ ตา่ ง​ทำท​ ร​งอาร์ค​โค้ง​ ครึ่ง​วงกลม ประดับ​เสา​เรียบ​และ​มี​ลวดลาย​ใบไม้​ประดิษฐ์​แบบ ตะวัน​ตก​ที่​วง​โค้ง​ของ​ ประตข​ู องอ​ าคารช​ น้ั ล​ า่ ง ประตด​ู า้ นข​ า้ งท​ ำเ​ปน็ ป​ ระตห​ู ลอกท​ งั้ ส​ นิ้ อาคารช​ น้ั บ​ นเ​จาะช​ อ่ ง​ หนา้ ตา่ งท​ ศิ ล​ ะห​ นงึ่ บ​ าน ขนาบข​ า้ งด​ ว้ ยห​ นา้ ตา่ งจ​ ำลอง หลงั คาเ​ครอ่ื งไ​มเ​้ ปน็ แ​ บบ ศลิ ปะ​ พ้นื ​บ้านล​ ้าน​นา กลา่ วค​ ือ หลังคา​ลดช​ น้ั ​สอง​ระดับ ปกี ห​ ลังคาท​ ัง้ ​สองข​ ้าง​ยน่ื ป​ กคลุมต​ วั ​ อาคารด​ ้าน​บนล​ งม​ า​มาก ลาย​หนา้ ​บนั เ​ป็นง​ าน​ไมแ้​ กะส​ ลกั ป​ ระดับก​ ระจกห​ งุ ​องั ​วะ หรอื ​ ทีเ่​รยี ก​วา่ “กระจกเ​กรียบ” ลวดลาย​ดอก​โบต๋ัน ดอก​ประธาน​ตรง​กลางแ​ ตกก​ ่ิง​ออก​ช่อ​ ดอก ตอ่ ​เนอื่ ง​เป็น​ขนาด​เลก็ ​ลด​หลัน่ ​กนั และ​ผูก​ก่งิ ​ตอ่ ​เนอื่ ง​เปน็ ​ตาขา่ ย​เต็ม​พื้นท​่ีกรอบ​ หน้า​บนั แ​ ละส​ ว่ น​ทีเ​่ ปน็ ป​ กี นก ซ่งึ ​เปน็ ล​ ักษณะ​ที​่นยิ มท​ ำ​ใน​สมัยร​ ชั กาลท​ ี่ 5 ต่อ​เนื่อง​ถึง​ รชั กาลท​ ี่ 7 นาคก​ รอบ หนา้ บ​ นั ต​ วั เ​หยยี ดต​ รง ไมท​่ ำเ​ปน็ น​ าคส​ ะดงุ้ ด​ งั ท​ พ​่ี บใ​นศ​ ลิ ปะภ​ าค​ กลาง หัว​นาค​แสดง​ราย​ละเอียด​ชัดเจน ช่อฟ้า​ทำลาย​สะบัด​ไหว​แตก​ต่าง​จาก​ทาง​ กรงุ เทพฯ ตวั อ​ าคารต​ กแตง่ แ​ บบเ​รยี บๆ ประกอบเ​ครอื่ งไ​มห้​ ลงั คาท​ รงไ​ทยพ​ ืน้ บ​ า้ นเ​ชน่ ​ น้ี ทำให​ห้ อไตรแ​ หง่ ​น้​มี ค​ี วาม​งาม​แบบท​ ​ล่ี งตวั ​พอ​เหมาะพ​ อดี นา่ ​เสยี ดาย​ท่​ีปรากฏร​ อย​ ร้าว​ตลอด​รอบ​ตัว​อาคาร ส่ง​ผล​ให้​หอไตร​แห่ง​น้ี​อยู่​ใน​สภาพ​น่า​เป็น​ห่วง โดย​อาจ​จะ​มี​ สาเหตป​ุ ระการห​ นงึ่ ท​ อ​่ี าจจ​ ะเ​กย่ี วขอ้ งก​ บั ป​ ระเภทข​ องว​ สั ดท​ุ ใ​ี่ ชใ​้ นก​ ารบ​ รู ณะป​ ฏสิ งั ขรณ์ หรือเ​ปน็ ​เรอื่ ง​ความผ​ ดิ พ​ ลาด​ใน​ขั้นต​ อน​การ​บรู ณะ

152 ดำรงวชิ าการ ใน​ปัจจุบัน หน้าท่ี​ของ​หอไตร​ใน​ศาสน​สถาน​ท่ี​สร้าง​เพื่อ​เก็บ​รักษา​หนังสือ ​ พระธ​ รรม คมั ภรี ต​์ า่ งๆ มค​ี วามส​ ำคญั ท​ ล​ี่ ดน​ อ้ ยล​ งอ​ ยา่ งม​ าก หรอื อ​ าจจ​ ะก​ ลา่ วไ​ดว​้ า่ ไมม่ ​ี ความ​จำเป็น​ใน​การ​สร้าง​หอไตร​ดัง​เช่น​สมัย​ก่อน ทั้งน้ี ความ​สะดวก​รวดเร็ว​ใน​การ​จัด​ พิมพเ์​อกสาร และ​อาคาร​ศาสน​สถานต​ ่างๆ ล้วนส​ ร้าง​ดว้ ยก​ าร​กอ่ ​อฐิ ถ​ อื ปนู แ​ ทบ​ทง้ั ​สน้ิ ทำให้​สามารถ​ขจัด​ปัญหา​การ​ระวัง​มด ปลวก เพียง​แค่​จัด​เก็บ​ใน​ตู้​พระ​ธรรม​ท่ี​ต้ัง​ไว้​ใน​ อาคาร​ก​็สามารถ​ชะลออ​ าย​ุของห​ นังสือ​ไดอ​้ กี น​ าน ใน​ยุค​สมัย​กอ่ น​ทต​่ี ้อง​ใช​เ้ วลาม​ าก​พอ​ สมควรใ​น​การจ​ ารพ​ ระ​ธรรม คัมภีรบ์​ นใ​บล​ าน​จำ​นว​นร้อยๆ พบั ทั้ง​ยงั ​ตอ้ ง​ระวงั ป​ ลวก​ที​่ สามารถ​ทำลาย​เอกสาร​เหล่า​น้ี​ภายใน​ระยะ​เวลา​อัน​ส้ัน หอไตร​ย่อม​มี​ความ​สำคัญ​ มากกว่า​ใน​ยุค​ปัจจุบัน เหลือ​เพียง​สิ่ง​หนึ่ง​ท่ี​ควร​คำนึง น่ัน​คือ​การ​อนุรักษ์ ทำนุ​บำรุง​ รักษาส​ ง่ิ ท​ เี่​หลือจ​ าก​วนั ว​ าร​น้ี ใหต​้ กทอด​สู่​ลกู ​หลาน​ต่อไ​ป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook