Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Best Practice กศน

Best Practice กศน

Published by suphatchaya0909155946, 2020-09-18 09:30:18

Description: Best Practice กศน

Search

Read the Text Version

Best Practice กศน.ตำบลดงมะไฟ ไตรมำส ๓ – ๔ ประจำปงี บประมำณ ๒๕๖๓ ชื่อผลงำน กำรศึกษำเพ่ือพฒั นำสงั คมและชุมชน โครงกำร หน้ำบำ้ นสวย หลังบ้ำนสวน ในเรือนงำม กศน.ตำบลดงมะไฟ ศนู ย์กำรศึกษำนอกระบบและกำรศกึ ษำตำมอัธยำศยั อำเภอสุวรรณคูหำ ๑.ควำมสำคญั และควำมเปน็ มำ กำรศกึ ษำเพือ่ พฒั นำสังคมและชมุ ชนเปน็ กำรจัดกำรศกึ ษำเพ่ือพฒั นำทกั ษะควำมสำมำรถและ ศกั ยภำพของ คนในชมุ ชน รวมทัง้ กลไกทุกภำคสว่ นในชมุ ชนใหร้ ่วมกนั รับผดิ ชอบและเห็นถงึ ควำมสำคัญใน กำร ฟน้ื ฟพู ัฒนำสงั คม และชุมชนของตนเอง โดยหน่วยงำนสถำนศกึ ษำกำรศกึ ษำนอกระบบโรงเรียนตอ้ งให้ ควำมสำคญั ต่อกำรใช้ กระบวนกำรทำงกำรศึกษำส่งเสรมิ ใหป้ ระชำชน ชุมชน เกดิ กำรเรียนรู้และบรู ณำกำร ควำมรู้ ประสบกำรณ์ เขำ้ มำใช้ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ กำรพัฒนำสงั คมและชุมชนโดยรวม และบริบทของชมุ ชน แต่ละพน้ื ทโี่ ดยเน้นกำรสร้ำงจิตสำนกึ ควำมเปน็ ประชำธิปไตย ควำมเป็นพลเมืองดี กำรบำเพญ็ ประโยชน์ กำร เสรมิ สร้ำงคำ่ นิยมควำมรกั ชำติ ควำมภูมใิ จ ในควำมเป็นไทย ใฝห่ ำควำมรู้ หม่นั ศึกษำเลำ่ เรียนทัง้ ทำงตรงและ ทำงอ้อม และกำรมจี ติ อำสำสมคั ร ใช้ควำมรู้ ควำมสำมำรถของตน ควำมรักควำมสำมคั คี กำรให้ กำรแบง่ ปัน กำรมสี ่วนร่วมในกำรพัฒนำชุมชน สงั คม และ เฝำ้ ระวัง และหวงแหนสมบตั ขิ องชำติ โดยเหน็ แกส่ ว่ นรวมเปน็ สำคัญ กศน.ตำบลดงมะไฟ จึงได้นำยทุ ธศำสตรแ์ ละจุดเนน้ กำรดำเนนิ งำนข้ำงต้นไปส่กู ำรปฏบิ ัติเพอื่ จดั กำรศกึ ษำเพื่อพัฒนำสังคมและชุมชน โครงกำรหนำ้ บ้ำนสวย หลงั บ้ำนสวน ในเรือนงำม ตำมนโยบำยผูว้ ่ำ รำชกำรจงั หวดั หนองบัวลำภู เพ่อื ให้ประชำชนในชมุ นมีส่วนรว่ มในกำรจัดกจิ กรรมและเพ่อื เปน็ กำรสร้ำงควำม มนั่ คงทำงด้ำนอำหำร ตำมสถำนกำรณ์กำรแพร่ระบำดของไวรัสโคโรน่ำ ๒๐๑๙ ๒.วตั ถุประสงค์ ๑.เพื่อเปน็ กำรเสริมสรำ้ งกระบวนกำรเรียนรู้ และพัฒนำสังคมและชุมชนให้มคี วำมเขม้ แข็งสำมำรถพง่ึ พำ ตนเองได้ ๒.เพ่อื เป็นกำรค้นหำปัญหำ และกำหนดแนวทำงในกำรแก้ปัญหำรว่ มกนั ในชุมชนตำมวถิ คี วำมพอเพียง ๓.เพ่ือสรำ้ งจิตสำนกึ ควำมเป็นประชำธิปไตย ควำมเป็นพลเมอื งดเี ศรษฐกิจชุมชน และกำรอนุรักษ์พฒั นำ ทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดลอ้ ม ๓.หลกั กำรและแนวคิด จำกสภำวะสงั คมปัจจุบันทเี่ ต็มไปดว้ ยกระแสวตั ถนุ ิยมแนวทำงหน่ึงทีป่ ระชำชนไทยควรยดึ ถือคือกำร พง่ึ ตนเอง รู้จกั ควำมพอประมำณ และมีควำมตระหนกั ในกำรเพอ่ื ใหเ้ กดิ กำรจดั กำรสุขภำวะภำยในบำ้ น รวมทง้ั สร้ำงบรรยำกำศให้มีควำมน่ำอยู่ มสี ่ิงแวดล้อมทด่ี ี โดยจัดพื้นท่ีบรเิ วณบำ้ น โดยปรบั ภมู ิทศั นห์ น้ำบำ้ นให้มี ควำมสะอำด สวยงำม เป็นระเบียบและหลังบ้ำนจดั ทำสวนปลกู พืชต่ำงๆ เพ่ือบริโภคและใช้ประโยชน์

อ่ืนๆ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อครอบครวั และชมุ ชน ตำมแนวปรชั ญำ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบำทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหำภูมิพลอดุลยเดช รัชกำลท่ี ๙ ท่ที รงมองเหน็ ถงึ ควำมสำคัญของกำรสรำ้ งภมู ิคุม้ กันให้กับ ตัวเองรู้จกั ควำมพอมีพอกนิ พอมีพอใช้ โดยกำรปรบั พืน้ ท่ีหลงั บ้ำนให้เปน็ สวนเพอ่ื ลดรำยจำ่ ยในกำรนำสิง่ ท่ี ปลูกในสวนนั้น มำบริโภคและหนำ้ บำ้ นสวยงำม มสี ภำพแวดลอ้ มทีด่ ีต่อไป ดังนั้นจำกหลกั กำรและแนวคิดน้ี ทำให้ กศน.ตำบลดงมะไฟ ไดส้ ำรวจกล่มุ เป้ำหมำยผุ้ท่ีสนใจในกำร เขำ้ ร่วมโครงกำรเพื่อที่จะไดน้ ำไปพฒั นำตนเอง ชุมชน สังคม โดยมหี ลักกำรและกำรดำเนินตำมขั้นตอน ดงั ต่อไปน้ี ๔.กระบวนกำรขนั้ ตอนกำรดำเนนิ งำน ๔.๑ สำรวจควำมต้องกำรของประชำชนกลุ่มเปำ้ หมำย ๔.๒ จดั ทำแผนปฏิบัตกิ ำร ๔.๓ แตง่ ตั้งคณะกรรมกำรดำเนนิ งำน ๔.๔ ประสำนงำนวทิ ยำกรและกลมุ่ เปำ้ หมำย ๔.๕ ดำเนินกจิ กรรมตำมแผนปฏทิ นิ กำรปฏบิ ัตงิ ำน

กำรดำเนนิ งำนโครงกำรหนำ้ บำ้ นสวย หลงั บำ้ นสวน ในเรือนงำม สำรวจควำมต้องกำรของกลมุ่ เป้ำหมำย จดั กิจกรรมตำมโครงสรำ้ งหลักสตู ร ภำคทฤษฎี / ภำคปฏบิ ตั ิ บรรลุ ปรบั ปรงุ / ตรวจสอบ วัตถปุ ระสงค์ หรือไม่ ประเมินผลรวม สรุปผลกำรดำเนินงำน เผยแพร่

หลกั กำรพฒั นำชมุ ชน กำรดำเนนิ งำนพัฒนำชมุ ชนนัน้ มหี ลักกำรสำคัญท่ีเปน็ รำกฐำนในกำรดำเนนิ งำนอยู่ 3 ประกำรดว้ ยกันคือ ๑. ควำมคิดริเริ่มมำจำกประชำชน กจิ กรรมทุกกจิ กรรมและทุกขนั้ ตอนจะต้องเกิดจำกกำรคิด ตดั สนิ ใจ วำงแผน และดำเนินกำรโดยประชำชน นักพฒั นำต้องไมเ่ ป็นผู้กำหนดกจิ กรรม แผนงำน หรอื โครงกำรไว้ ลว่ งหน้ำ แตน่ กั พฒั นำมหี น้ำท่ีกระตนุ้ ให้ชำวบำ้ น กล้ำคดิ สำมำรถคน้ หำปัญหำและควำมตอ้ งกำร และ ตัดสนิ ใจรเิ ริม่ โครงกำรต่ำง ๆ ได้เอง ซ่ึงกำรทน่ี ักพฒั นำจะทำไดจ้ ำเปน็ ต้องเข้ำไปหำประชำชน กระตนุ้ ยวั่ ยุโดย ใช้มำตรกำรตำ่ ง ๆ (กำรฝกึ อบรม, ประชุมกล่มุ อภปิ รำย กลมุ่ สัมพนั ธ์ กำรแสดงบทบำท ฯลฯ) ให้ชำวบ้ำนกล้ำ คดิ กล้ำแสดงออก โดยนกั พัฒนำอำจใหข้ ้อมูลหรือกำรช้ีแนะทจ่ี ำเปน็ เพ่อื ประกอบกำรตัดสินใจของชำวบ้ำน สัญญำ สญั ญำววิ ตั น์ ไดร้ ะบุวำ่ มมี ำตรกำรตำ่ ง ๆ ทีอ่ ำจนำไปใชไ้ ด้ในกำรกระตุ้นให้ประชำชนเกิดควำมคดิ และตัดสนิ ใจ ได้ ดังต่อไปนี้ ๑. กำรใหก้ ำรศึกษำ ทำได้ทง้ั ในระบบ (กำรจดั กำรศึกษำอยำ่ งเป็นทำงกำร) และนอกระบบ ซงึ่ เกิด จำกกำรเรียนรู้จำกประสบกรณ์ ๒. กำรอภปิ รำยกลุม่ โดยมีกำรรวมกลมุ่ กนั ระหวำ่ งคนท่ีสนใจ หรือคนทม่ี ผี ลประโยชนร์ ่วมกัน โดยนักพฒั นำ ต้องกระตุ้นให้สมำชกิ ในกลุ่มมกี ำรอภิปรำยแสดงควำมคดิ เหน็ แลกเปล่ยี นแนวคิด และประสบกำรณ์ซึง่ กนั และ กนั โดยต้องสรำ้ งบรรยำกำศในกำรประชมุ ให้มคี วำมเป็นมิตร ใหเ้ กยี รติและเคำรพควำมเหน็ ซึง่ กันและกัน กำร ลงมติจะต้องเปน็ ไปโดยไม่มอี ิทธพิ ลครอบงำ และควรให้สมำชิกสว่ นใหญ่พอใจ ๓. กำรสำธติ เป็นวธิ ที ี่จะแสดงใหเ้ ห็นถงึ ขัน้ ตอน และผลของกำรปฏิบัติ โดยอำจเป็นวิธีกำรใหม่ ๆ ท่ี ชำวบำ้ นยังไมร่ ู้จัก หรอื รจู้ ักแล้วแตย่ ังทำไม่ได้ หลักสำคัญในกำรสำธิตใหเ้ กิดผล ก็คือจะต้องมีทรพั ยำกรหรอื ผู้ สำธติ ทม่ี ีควำมรู้ ควำมชำนำญในเรอ่ื งนัน้ ๆ และเรือ่ งท่ีสำธิตต้องตรงกบั ควำมตอ้ งกำร เกิดประโยชน์ และ ประชำชนสำมำรถนำไปปฏิบตั ิได้ ๔. กำรประชุม เป็นกำรเรยี กประชุมใหช้ ำวบ้ำนมำรับทรำบขำ่ วขอ้ มูล ควำมรหู้ รอื เพือ่ ปรึกษำหำรือ กนั ใน กำรจดั กิจกรรมกำรพฒั นำ ๕. กำรจัดนิทรรศกำร เปน็ กำรนำสง่ิ ของ กระบวนกำร และอุปกรณ์ต่ำง ๆ มำแสดงให้ชม เพือ่ ให้ผชู้ มได้เห็น และเกดิ ควำมคิดท่ีจะนำไปใช้ประโยชน์ ท้งั น้กี ำรจดั นิทรรศกำรทีด่ นี ้ัน ผจู้ ดั จะต้องกำหนดวัตถปุ ระสงค์ให้ ชัดเจน ในปัจจบุ นั กำรจดั นิทรรศกำรใหญ่ ๆ ระดบั ชำติ จะใช้บรษิ ัทเอกชนทเ่ี ป็นมืออำชีพเป็นผู้จดั ซึ่งผลทไ่ี ด้ จะเกิดควำมสวยงำม น่ำดู เช่น นิทรรศกำรสินค้ำ OTOP ๖. ทัศนศกึ ษำ เป็นวธิ ีกำรท่ีใชม้ ำในปจั จุบนั มีกำรนำประชำชนกลุม่ หน่งึ ไปดงู ำนยังตำ่ งพ้นื ที่ ทง้ั ในประเทศ และตำ่ งประเทศ เพ่ือให้เกิดควำมรู้ และควำมคดิ ไดเ้ ห็นแบบอยำ่ งท่ีมีคนทำและประสบควำมสำเร็จ ซึ่งจะเป็น แรงกระต้นุ ให้นำไปใช้ในกำรพัฒนำชมุ ชนของตนเอง ปจั จบุ ันวิธีนี้เปน็ ทีแ่ พร่หลำย และนยิ มของชำวบำ้ นมำก ชำวบ้ำนกลุ่มต่ำง ๆ มีกำรเดนิ ทำงไปดูงำนแลกเปล่ียนควำมรู้ และประสบกำรณก์ นั มีกำรสร้ำงเครือข่ำยกำร ทำงำนร่วมกนั เช่น เครือขำ่ ยกลุม่ ทอผำ้ ในเขตจังหวัดภำคเหนือ สิง่ สำคัญที่ต้องพิจำรณำคอื วธิ ีกำรทีท่ ำแลว้ ประสบควำมสำเรจ็ ในพน้ื ท่ีหน่งึ อำจใชไ้ ด้หรือใชไ้ ม่ได้กับอีกพ้ืนท่หี นึ่งก็ได้ ดังน้ันผ้ทู ี่จะนำไปใชจ้ ะต้องพิจำรณำ และปรับใช้ใหเ้ หมำะสมกบั ชมุ ชนของตน

๗. กำรรณรงค์ เหมำะสำหรับกิจกรรมท่ีต้องกำรเร่งรดั ให้เกิดผลสำเร็จในระยะเวลำอนั สน้ั ซึ่งผู้เกีย่ วข้อง จะตอ้ งใหค้ วำมรู้ โฆษณำ ประชำสัมพันธ์อย่ำงดีในระดับหนึง่ ถึงควำมจำเป็น และลกั ษณะกจิ กรรมนั้นให้ ชำวบ้ำนรบั รู้ รับทรำบ เมอื่ มีกำรเริ่มดำเนินกำร ชำวบ้ำนจะได้ให้ควำมร่วมมือ กำรรณรงค์น้ันอำจใช้วธิ ีเกล้ีย กล่อม กำรสร้ำงกระแสนยิ มรักชำติ กำรใหผ้ ู้นำท่ีมีอิทธิพลเป็นผู้ริเรม่ิ ทำก่อนเปน็ ตัวอยำ่ ง รวมไปถงึ กำรโฆษณำ ประชำสมั พนั ธ์ ผำ่ นสื่อตำ่ ง ๆ เช่น โทรทศั น์ วิทยุ หนังสอื พิมพ์ เสียงตำมสำย ปำ้ ยประกำศ ใบปลวิ กำรแสดง มหรสพ ฯลฯ ๒. หลักกำรใหป้ ระชำชนมสี ว่ นร่วม กำรทป่ี ระชำชนเข้ำมำมีส่วนร่วมในโครงกำรต่ำง ๆ จะกอ่ ให้ เกดิ ควำมรู้สึกเปน็ เจ้ำของ มีควำมรกั ผูกพันธ์ต่อโครงกำรนนั้ ๆ จะช่วยเนน้ ย้ำใหเ้ กิดควำมรู้สึกวำ่ โครงกำรน้นั เปน็ ควำมรบั ผิดชอบ และเกดิ จำกนำ้ พักนำ้ แรงของพวกเขำเอง ซึง่ ในกระบวนกำรพัฒนำชุมชนน้นั ประชำชนจะมี ส่วนร่วมในขน้ั ตอนต่ำง ๆ ดงั ต่อไปนี้ ๒.๑ มีสว่ นร่วมในกำรคดิ ค้นหำปญั หำและศึกษำสำเหตขุ องปญั หำ ขน้ั ตอนน้ีถงึ เปน็ ข้ันตอนแรกทีม่ ี ควำมสำคัญมำก เพรำะบำงครั้งปญั หำตำ่ ง ๆ ของชำวบ้ำน เป็นส่ิงท่ีชำวบ้ำนตอ้ งพบสัมผัสอยู่ทุกวันจนเกิด ควำมเคยชินไม่คดิ วำ่ สง่ิ นนั้ เป็นปัญหำ จึงไม่กระตือรนื ล้นที่จะหำทำงแก้ปญั หำ ๒.๒ มีสว่ นรว่ มในกำรวำงแผนดำเนนิ กิจกรรม โดยทว่ั ไปแลว้ นักพฒั นำหรอื นักวชิ ำกำรมกั จะคดิ วำ่ ชำวบ้ำน ไมม่ ีศักยภำพพอที่จะวำงแผนดำเนินกจิ กรรมดว้ ยตัวเองได้ ซ่งึ ก็อำจมคี วำมเป็นจรงิ แต่เพียงบำงส่วน แตห่ ำก นักพัฒนำมีควำมเชือ่ มั่นในศักยภำพของควำมเป็น “คน” ของทุกคนว่ำมีศักยภำพท่ีจะพัฒนำได้ ก็เปน็ หน้ำที่ ของนักพัฒนำทจ่ี ะเสรมิ ควำมรู้ หรอื ใช้เทคนคิ ต่ำง ๆ เพ่ือหำแนวทำงในกำรจัดระบบควำมคิดของชำวบ้ำนให้ สำมำรถวำงแผนได้ ๒.๓ มสี ว่ นรว่ มในกำรลงทนุ และปฏิบตั ิ คำว่ำทุนในที่นี้อำจไม่ได้หมำยถึงเฉพำะเงนิ ทนุ เทำ่ นน้ั แตช่ ำวบ้ำนยัง มีทรพั ยำกรท่ีอำจหำมำได้เอง เชน่ ทรพั ยำกรธรรมชำติ (ทรำย หนิ ไมไ้ ผ่ ฯลฯ) หรือวัสดุตำมธรรมชำตใิ น หมู่บำ้ น และรวมถึงแรงงำนของชำวบำ้ นเอง ส่วนในกำรปฏบิ ตั นิ นั้ กเ็ ช่นกนั ชำวบำ้ นสำมำรถทีจ่ ะเขำ้ ร่วม ดำเนินกำรในกจิ กรรมต่ำง ๆ ได้ ส่ิงเหลำ่ นี้จะส่งผลให้เกิดควำมรสู้ กึ มีส่วนร่วม เป็นเจ้ำของและเหน็ คุณคำ่ พร้อมที่จะดูแลรกั ษำ รวมทง้ั กำรไดเ้ รียนรู้กำรทำงำนในกจิ กรรมน้นั ด้วย ๒.๔ มีสว่ นรว่ มในกำรตดิ ตำมและประเมนิ ผลงำน ซึ่งเป็นขน้ั ตอนสดุ ท้ำยท่ีจำเป็นเพรำะ กำรประเมินผลงำน จะชว่ ยให้ทรำบถึงขน้ั ตอนกำรทำงำน ผลสำเร็จและหรือปัญหำอุปสรรคต่ำง ๆ ทำให้สำมำรถปรับเปลย่ี นแผน ใหเ้ กดิ ผลงำนทดี่ ีท่ีสุด ตอบสนองควำมต้องกำรของชุมชนอยำ่ ถูกจุด ๓. หลักกำรช่วยตวั เอง กำรพฒั นำชุมชนนน้ั หลักสำคญั ท่ีสดุ และเปน็ เป้ำหมำยสูงสุดดว้ ย ก็คือกำรทจี่ ะให้ ประชำชน มีควำมเปน็ อยู่ทดี่ ี สำมำรถพ่ึงตวั เองได้อย่ำงย่ังยืน อยำ่ งไรก็ตำมกำรสง่ เสรมิ ให้ชำวบ้ำนช่วยตัวเอง ไดน้ ้นั กจ็ ำต้องคำนงึ ถึงข้อจำกัดของชำวบ้ำนเองด้วย โดยเฉพำะข้อจำกัดด้ำนเศรษฐกจิ กำรดำเนินงำนพัฒนำ ควรเรม่ิ จำกโครงกำรทไี่ ม่ใหญ่จนเกินกำลังชำวบำ้ น ชำวบำ้ นมศี ักยภำพพอท่ีจะดำเนินโครงกำรนั้นจนประสบ ควำมสำเรจ็ อำทิ เช่น พัฒนำตวั เองและครอบครวั กอ่ น และในบำงกรณรี ัฐบำลหรือหนว่ ยงำนท่รี ับผิดชอบ โครงกำรนั้น อำจต้องให้ควำมช่วยเหลือสนบั สนุนด้ำนงบประมำณลงทุนประเดมิ ให้ก่อน เชน่ กำรสนบั สนนุ พันธว์ ัว ต้นกล้ำผลไม้ และเมื่อชำวบำ้ นดำเนินโครงกำรประสบควำมสำเร็จก็ชดชดใช้ทุนคืน

ปจั จยั แวดลอ้ มทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ กำรพฒั นำชมุ ชน กำรพัฒนำทจี่ ะประสบควำมสำเร็จได้ จำต้องอำศยั สภำพแวดล้อมทเ่ี อ้ือต่อกำรพฒั นำ อนั ไดแ้ ก่ ๑. ลกั ษณะทำงกำยภำพ ได้แก่ สภำพแวดล้อมดำ้ นวตั ถุ อนั ได้แก่ สง่ิ ก่อสรำ้ งพืน้ ฐำน : ถนน สะพำนคลอง ส่งนำ้ และสภำพแวดล้อมตำมธรรมชำติ เชน่ ลกั ษณะภูมิประเทศ อนั ได้แก่ สภำพดนิ แหลง่ ต้นนำ้ ลำธำร อณุ หภูมิ สิ่งเหลำ่ นจ้ี ะต้องส่งเสริมและเอื้อให้กำรพัฒนำประสบควำมสำเร็จ เชน่ พนื้ ท่ีอุดม มภี มู ิอำกำศ เหมำะสมกบั กำรปลูกพืช มีระบบกำรชลประทำน และแหล่งน้ำหลอ่ เลีย้ งให้พืชเจริญเตบิ โต มถี นนลำเลียง ขนสง่ ผลผลติ และสนิ คำ้ ออกสู่ตลำด ๒. ลักษณะทำงเศรษฐกจิ หมำยถงึ ภำวะกำรถือครองท่ีดิน ระบบกำรขำย-ซ้ือผลผลติ ระบบรำคำ, ภำวะ หนส้ี นิ ระบบกำรกยู้ ืมและแหล่งสินเชอื้ ควำมยำกจนของประชำชนในพื้นท่ี จะส่งผลต่อกำรลงทนุ ในกำรผลิต และนำไปสูภ่ ำวะกำรสูญเสียกรรมสิทธิท์ ดี่ นิ ซึ่งเป็นผลให้เกิดควำมรู้สกึ ผูกพนั ต่อกำรพฒั นำ ๓. สภำพแวดลอ้ มทำงกำรเมือง ไดแ้ กน่ โยบำยกำรพัฒนำของรฐั บำล ซง่ึ อำจแตกตำ่ งกันไปตำมยุคสมยั เชน่ สมัย พณ.จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ เนน้ กำรพัฒนำรำกฐำนของกำรพฒั นำประเทศ มกี ำรลงทุนในสำธำรณูปโภค สำธำรณูปกำร สร้ำงถนนสำยสำคญั สรำ้ งเขือ่ นกนั้ น้ำ โรงไฟฟำ้ ฯลฯ ส่วนในยคุ ของ พณ. พลเอกชำตชิ ำย ชุณหวัณ ก็เนน้ ดำ้ นเศรษฐกิจ “แปรสนำมรบให้เปน็ สนำมค้ำ” สมยั พณ. พลเอก ชวลิต ยงใจยทุ ธ เน้นควำม สงบร่มเยน็ จำกปัญหำผู้ก่อกำรร้ำย “ใตร้ ม่ เย็น-อสี ำนเขียว” สมยั พณ. นำยชวน หลกี ภยั เน้นกำรจดั ท่ดี นิ ทำ กินและสมัย พต.ท. ดร.ทกั ษิณ ชนิ วัตร “เน้นกำรฟ้นื ฟเู ศรษฐกิจ” เป็นต้น ๔. สภำพแวดล้อมทำงสังคมอันเป็นเร่ืองท่ีเก่ียวกบั ควำมเช่ือ ค่ำนิยมของคนในสงั คม ควำมสมั พันธ์ระหว่ำง บุคคล กำรรวมกลุ่ม และอทิ ธิพลของกลมุ่ ซงึ่ มีผลตอ่ กำรดำเนินชีวติ พฤตกิ รรมและควำมสมั พนั ธ์ของคนใน ชมุ ชน ๕. สภำพแวดล้อมทำงเทคโนโลยี เปน็ ส่ิงทีเ่ กดิ จำกกำรสร้ำงสรรค์ปรงุ แต่งของมนษุ ย์ ที่จะนำมำใช้ในกำร พฒั นำควำมเปน็ อยูข่ องประชำชนให้มคี วำมสะดวกสบำยขึ้น สงิ่ สำคญั คือต้องเลือก และนำเทคโนโลยที ี่ เหมำะสม (Appropriate technology) ไปใช้ โดยไม่ให้เกิดผลเสียตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ประชำชน และ ควำมสมั พันธ์ระหว่ำงประชำชน ซึ่งในสงั คมไทยเรำมีเทคโนโลยีเหมำะสมมำกมำย อันได้แก่ “ภูมปิ ญั ญำ ชำวบ้ำน” ที่นักพัฒนำจะต้องรู้จกั นำมำใชแ้ ละผสมผสำนกับเทคโนโลยสี มัยใหม่ให้เกิดประโยชนส์ งู สุด สภำพแวดล้อมท่ีควรเปน็ กำรพฒั นำตอ้ งคำนงึ ถึงกำรพัฒนำที่สอดคล้องกับสภำพควำม เรำอำจเปรยี บ ภูมิ ปญั ญำชำวบำ้ นเสมอื น ตน้ ไม้ผลท้องถ่นิ ท่ีมรี ำกแก้ว มคี วำมทนทำนต่อสภำพสิ่งแวดล้อม ส่วนเทคโนโลยี สมัยใหม่ เปรียบไดเ้ สมอื น ก่ิงตอนช้นั ดี ท่ีเอำเขำ้ ไปติดตำทำบกิง่ เพื่อให้ออกดอกออกผลท่ีดี ๖. สภำพแวดลอ้ มท่ีควรเป็น กำรพัฒนำต้องคำนงึ ถึงกำรพัฒนำทีส่ อดคล้องกับสภำพที่เปน็ จริงและเกิด ประโยชน์แก่ประชำชนในชุมชนนั้นเปน็ สว่ นใหญ่ อันเกดิ จำกกำรผสมผสำนระหวำ่ งสภำพแวดลอ้ มท้งั 5 ข้อท่ี กลำ่ วมำแล้ว ในขณะทีป่ ระชำชนมคี ุณภำพชวี ิตท่ดี ี สังคมและสง่ิ แวดล้อมก็ตอ้ งไม่เสื่อมโทรม ประชำชน สำมำรถพึ่งตนเองได้ในท่ีสุด

หลกั กำรสำคัญ ๕ ประกำรของปรชั ญำเศรษฐกจิ พอเพยี งคือ ๑.ควำมพอประมำณ คือ ควำมพอดีๆ ไมน่ อ้ ยเกินไป ไมม่ ำกเกินไป ไม่เติบโตเร็วเกนิ ไป ไมช่ ้ำเกินไป และไม่สุดโตง่ ๒.ควำมมีเหตผุ ล คือ ทุกอย่ำงตอ้ งมีท่ีมำที่ไป อธิบำยได้ กำรส่งเสริมกันในทำงทด่ี ี สอดคลอ้ งกบั หลกั กำรพุทธธรรม คอื หลกั ปฏจิ จสมปุ บำท และอิทปั ปจั จยตำ ทีก่ ล่ำวถงึ ควำมเป็นเหตุเป็นผล เพรำะมสี ่ิงนี้ทำ ใหเ้ กิดสิ่งนี้ ทุกส่งิ เกดิ ขน้ึ ตำมเหตปุ ัจจัย ๓.ควำมมภี มู ิคุ้มกนั ท่ีดี จะตอ้ งปกป้องคุ้มครองไม่ใหเ้ กิดควำมเสีย่ งที่ไม่ควรจะเป็น เช่น เกิดควำมเส่ยี ง เพรำะมีควำมโลภมำกเกินไป หรือเสีย่ งเพรำะปล่อยก้มู ำกเกินไป หรือกักตุนสนิ ค้ำเพื่อเก็งกำไรมำกเกนิ ไป จน กอ่ ใหเ้ กิดควำมเสย่ี ง ๔.ควำมรอบรู้ ต้องมคี วำมรอบคอบ มกี ำรใช้ควำมรู้ใชว้ ชิ ำกำรดว้ ยควำมระมดั ระวัง ไม่บุ่มบำ่ ม มกี ำร จัดกำรองคค์ วำมรู้ทดี่ ี ดำเนนิ กำรอย่ำงรอบคอบถว้ นทว่ั รอบด้ำนครบทุกมิติ ๕.คณุ ธรรมควำมดี เปน็ พ้ืนฐำนของควำมม่ันคง หำกเปรยี บเปน็ ต้นไม้ใหญ่ถอื เป็นรำกแก้วและรำก แขนงท่ีมขี นำดและคุณภำพเพียงพอ โดยมีเศรษฐกิจเปน็ รำกฝอยคอยหล่อเลี้ยง ที่ประกอบดว้ ยควำมซ่ือสตั ย์ สุจรติ มำนะอดทนและพำกเพยี ร เรำจะเหน็ ว่ำปรชั ญำเศรษฐกิจพอเพียงเปน็ หลกั กำรง่ำยๆ เปน็ เรอ่ื งท่เี ขำ้ ใจได้ไมย่ ำก แม้จะไมส่ ำมำรถ นำไปใช้ไดส้ มบูรณร์ ้อยเปอรเ์ ซน็ ต์ แตเ่ มื่อใชไ้ ด้ส่วนหนึ่งกเ็ ปน็ สง่ิ ที่ดีแลว้ นอกจำกนี้ เรำต้องสืบคน้ ค้นหำภูมิปญั ญำทด่ี ีท่ีมอี ยู่และสำมำรถสืบค้นสิง่ ที่ไมด่ ีทีเ่ ป็นปัญหำด้วย ซงึ่ จะนำไปสู่กระบวนกำรแลกเปลย่ี นเรยี นร้รู ะหวำ่ งชุมชน สังคม หรอื ระดบั จงั หวัดตอ่ ไป ไมว่ ่ำเรือ่ งกลุ่มออม ทรัพย์ กลุ่มสวสั ดกิ ำร รวมทั้งกำรจดั กำรภำยในครัวเรอื น ในเร่ืองของส่ิงทด่ี ีและส่งิ ท่ีเปน็ ปญั หำ ซ่ึงจะเกิดกำร ขยำยตวั ขยำยควำมร่วมมือต่อไป รวมทั้งสำมำรถเรยี นรู้ได้อยำ่ งต่อเน่ืองดว้ ย และยงั มี ๔ ทศิ ทำงสำคัญเพื่อสรำ้ งควำมอยเู่ ย็นเป็นสขุ รว่ มกันและเป็นกำรสรำ้ งสังคมที่ พึงปรำรถนำ รวมท้งั สอดรบั กับปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงดว้ ย คือ ๑.สังคมทีไ่ ม่ทอดท้ิงกัน เรำควรทำใหส้ งั คมไทยเป็นสงั คมทีม่ องเหน็ ควำมทุกขแ์ ละควำมสขุ ของคนอ่ืน ร่วม กนั มีควำมเออื้ อำทรไมน่ ิ่งดูดำยเม่ือเห็นผูอ้ ่ืนเป็นทกุ ข์ รว่ มทุกขร์ ว่ มสุขกนั ซงึ่ จะเห็นกำรเกดิ ขึน้ ของ กองทุนสวัสดกิ ำร, แนวทำงอำสำสมคั ร จัดว่ำอยใู่ นกลมุ่ นี้ ๒.สังคมทเี่ ขม้ แข็ง เป็นสังคมทม่ี ีชมุ ชนท้องถ่นิ ทเ่ี ข้มแขง็ ภำคประชำสงั คมทเี่ ข้มแขง็ ตำมลกั ษณะภูมิ นิเวศ กลมุ่ คนและประเดน็ ซ่ึงจะพบงำนทเี่ กย่ี วขอ้ งคือกำรทำงำนเรอื่ งเดก็ และชมุ ชน ๓.สงั คมคุณธรรม เป็นสงั คมทเ่ี ป็นปึกแผ่น ร่มเยน็ เป็นสุข โดยกำรใชศ้ ำสนธรรม มำรว่ มกนั คดิ มำ ร่วมกันทำในชมุ ชน แม้จะมีควำมแตกตำ่ งกนั ของกำรนบั ถือศำสนำ แต่ก็เคำรพคุณคำ่ ระหวำ่ งกนั มีควำมเข้ำใจ

กนั ระหว่ำงศำสนำ และหลีกหนีออกจำกวตั ถนุ ยิ ม ๔.สงั คมประชำธิปไตย เป็นสงั คมที่ประชำชนมีสว่ นในกำรกำหนดกลไกตำ่ งๆ ทำงสงั คม มเี คำรพใน คุณค่ำของควำมเป็นมนุษย์ เป็นสงั คมประชำธิปไตยท่ีดี ไม่ใช่เพยี งแค่ตำมรปู แบบหรอื กฎหมำย แตป่ ระชำชน เป็นผู้มบี ทบำทในเน้อื หำสำระอย่ำงแท้จรงิ ไม่ใช่บอกว่ำมกี ำรเลอื ก ตงั้ แลว้ บอกว่ำน่แี หละประชำธิปไตย ทง้ั ท่ี กำรเลือกตง้ั เป็นเพียงแคส่ ว่ นหนึ่งของประชำธิปไตย ไม่ใช่สำระสำคญั แต่กำรให้ทุกภำคส่วนเขำ้ มำมสี ว่ นร่วม คือสงิ่ สำคัญท่ีสุด ๕.ผลกำรดำเนินงำน ๑.ผลทีเ่ กิดกับตนเอง (กศน.ตำบลดงมะไฟ) ๑.๑ เกิดแนวคดิ ในกำรพฒั นำอยำ่ งต่อเนอ่ื ง ๒.ผลท่เี กดิ กบั ผูเ้ รยี น ๒.๑ ผู้เรียนเกิดพฤตกิ รรมทีจ่ ะพัฒนำกระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ ๒.๒ ผ้เู รยี นไดม้ ีกำรแลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบกำรณ์กำรทำหนำ้ บำ้ นสวย หลังบ้ำนสวน ใน เรือนงำม ๒.๓ ผเู้ รียนได้รบั กำรสนับสนุนพัฒนำด้ำนกำรศึกษำอย่ำงต่อเนื่อง ๒.๔ ผเู้ รยี นไดแ้ สดงออกถึงศักยภำพ สำมำรถลงมอื ปฏบิ ัติ และนำควำมร้ทู ่ีไดร้ ับไปใช้ใน ชวี ติ ประจำวัน ๒.๕ ผู้เรียนได้ตระหนัก และเหน็ ควำมสำคัญในคุณค่ำ คุณประโยชนจ์ ำกกำรฝึกอบรม โครงกำรหน้ำบำ้ นสวน หลังบำ้ นสวย ในเรอื นงำม และสำมำรถนำควำมรู้ที่ไดไ้ ปพัฒนำตนเอง ครอบครวั และชุมชน สง่ ผลต่อควำมเชื่อมนั่ ศรัทธำ และนำไปปฏบิ ัตพิ ฒั นำตนเองจนเป็นนิสัย ๓.ผลทเ่ี กดิ กบั ประชำชน ๓.๑ ประชำชนตระหนกั เหน็ ควำมสำคญั ของกำรดำเนินโครงกำรหนำ้ บ้ำนสวย หลงั บำ้ น สวน ในเรือนงำม

๓.๒ ได้เรยี นรวู้ ธิ ีกำรทำหน้ำบำ้ นของตนให้สวยงำม ทำหลังบ้ำนให้เปน็ สวน และในบ้ำนให้ สะอำด ๓.๓ มีส่วนรว่ มกับภำคเี ครอื ข่ำยจดั กจิ กรรม เชน่ สำนกั งำนพัฒนำชุมชน ๔.ผลทเี่ กดิ กบั สงั คม ๔.๑ สงั คมมีแหลง่ เรยี นรู้ ทสี่ อดคลอ้ งกับควำมตอ้ งกำรของประชำชนในท้องถิน่ ๕.ปจั จยั ควำมสำเรจ็ ๕.๑ ประชำชนในพน้ื ท่ตี ำบลดงมะไฟใหค้ วำมสนใจและมีควำมกระตือรอื ลน้ ในกำรนำ ควำมรทู้ ่ีได้ไปพฒั นำบำ้ นเรือนของตนเองทำให้ ๕.๒ ได้รับควำมร่วมมือจำกภำคีเครือขำ่ ย ได้แก่องค์กำรบริหำรส่วนตำบลดงมะไฟ พัฒนำ ชุมชนอำเภอสุวรรณคหู ำ ผู้นำชุมชนตำบลดงมะไฟ เพอื่ สร้ำงสงั คมแหง่ กำรเรยี นร้แู ละควำมเข้มแข็งใหก้ ับ ชมุ ชน ๖.ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั ๖.๑ เปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเอง ชมุ ชน สังคม ๖.๒ ผ้เู ข้ำรว่ มโครงกำรสำมำรถเผยแพร่ ส่งเสรมิ สำธิตข้ันตอนกำรดำเนินงำน สำมำรถ แลกเปลยี่ นเรียนรู้กำรปฏบิ ตั ิงำน และชว่ ยชุมชนหรือหมู่บ้ำนที่ต้องกำรใหม้ ีกำรจดั กิจกรรมต่ำงๆ ให้มีควำม เหมำะสมแกก่ จิ กรรม

ภำคผนวก








Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook