การละเลน่ พ้ืนบา้ นไทย ท่ีนยิ ม 10 อนั ดบั
คำ� นำ� โครงการพฒั นาส่ือสิ่งพิมพก์ ารละเลน่ พ้ืนบา้ น ไทย 10 อนั ดบั ท่ี นิยมเล่มน้ีคณะผจู้ ัดทำ� ไดจ้ ัดทำ� ขึ้นเพื่อใชเ้ ป็ นเอกสารประกอบการเรียน การสอนในกลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทยซ่ึงประกอบไปดว้ ยเนอื้ หาสำ� คญั เกี่ยวกับประวัติความเป็ นมาและความสำ� คัญของการละเล่นพื้นบา้ นของ ไทย เป็ นตน้ คณะผจู้ ดั ทำ� จึงหวงั เป็ นอยา่ งยิ่งวา่ งานพฒั นาสอื่ ส่งิ พิมพเ์ ลม่ น้ี จะเป็ น ประโยชนต์ อ่ นกั เรียนนกั ศึกษาครอู าจารยห์ รือบคุ คลทัว่ ไปที่มีความสนใจ ในการศึกษาการละเล่นพื้นบา้ นของไทยสามารถน�ำไปใชเ้ ป็ นเอกสาร ประกอบการเรียนรแู้ ละเผยแผ่ความรทู้ ี่ใหก้ ับบคุ คลอื่นๆไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง หากมขี อ้ บกพร่องประการใดคณะผจู้ ดั ทำ� ก็ขออภยั ไว้ ณ ที่นด้ี ว้ ย นางสาวชญาดา ตนั เจริญ นายณฐั กฤต ป่ิ นแกว้ นางสาวศศิพิมพ์ แกว้ ทอง
สารบญั บทที่ 1 1 ความเป็ นมาของการละเลน่ พ้ืนบา้ นไทย 2 บทที่ 2 ความสำ� คญั คณุ คา่ และประโยชนข์ อง 3 การละเลน่ พ้ืน บา้ นไทย 4 บทที่ 3 5 การละเลน่ พื้นบา้ นไทย 6 กระโดดเชอื ก 7 ว่ิงเปรี้ยว 8 ขมี่ า้ สง่ เมอื ง 9 มอญซ่อนผา้ 10 รีรีขา้ วสาร 11 ตจี่ บั 12 กระตา่ ยขาเดยี ว 13 เดนิ กะลา ลงิ ชงิ หลกั ตลี กู ลอ้
บทที่ 1 ความเป็ นมาของการละเลน่ พ้ืนบา้ นไทย เป็ นการละเลน่ ท่ีมใี นกลมุ่ สงั คมทอ้ งถ่ินในอดตี มี กฬี าพื้น บา้ น ตา่ งๆใหเ้ ลน่ มากมายตงั้ แตร่ ่นุ กอ่ นๆจน กระทงั่ ถึงร่นุ ปัจจบุ นั ก็ยงั มใี ห้ เห็นอยซู่ ึ่งแตก่ ็นอ้ ยกว่าในสมยั กอ่ น มาก เพราะสมยั ปัจจบุ นั มเี ทคโนโลยี เขา้ มามากจึงทำ� ให้ คนร่นุ ใหมไ่ มค่ อ่ ยไดเ้ ลน่ กนั นกั กจิ กรรมการเลน่ ของ สังคมเป็ นกิจกรรมนันทนาการหนึ่งซ่ึงไดร้ ับการยอมรับร่วมกันใน สงั คม โดยมรี ากฐานมาจากความเป็ นจริงแห่งวิถีชวี ิตของชมุ ชนที่มกี าร ประพฤตปิ ฏิบตั สิ ืบทอดกนั มาจากอดตี สู่ ปัจจบุ นั
บทที่ 2 ความสำ� คญั คณุ คา่ และประโยชน์ ของการละเลน่ พื้นบา้ นไทย การละเล่นพ้ืนบา้ นเป็ นการเล่นที่สืบทอดกันมาแต่โบราณโดยเฉพาะ เด็กๆจะนยิ มเลน่ กนั มากเด็กสมยั กอ่ นจะเรียนรกู้ ารละ เลน่ โดย ไมม่ กี ารเรียน การสอนการละเลน่ พ้ืนบา้ นไมว่ า่ ของภาค ใดลว้ นเป็ นประโยชนเ์ พราะการละ เลน่ ทำ� ใหเ้ ด็กไดเ้ คลอ่ื นไหวได้ ออกกำ� ลงั กายเกดิ ความคลอ่ งแคลว่ วอ่ งไวฝึ ก ความอดทนฝึ กการเป็ นผนู้ ำ� และผตู้ ามที่ดีฝึ กการสังเกตมีปฏิภาณไหวพริบ สรา้ งความสามัคคีในหม่คู ณะพรอ้ งทั้งเกิดความสนกุ สนานการละเล่นจึง ถือว่าเป็ นหัวใจสำ� คัญของเด็กในปัจจบุ ันโรงเรียนควรท่ีจะนำ� เอาการละเล่น พื้นบา้ นมาใชใ้ นการจดั การ เรียนการสอนเพ่ือเป็ นการสืบสานภมู ปิ ัญญาทอ้ ง ถิ่นมาเชื่อมโยงส่กู ารเรียนรโู้ ดยเฉพาะการละเล่นพื้นบา้ นควรใหเ้ ยาวชนร่นุ หลังไดเ้ รียนรแู้ ละอนรุ ักษไ์ วซ้ ึ่งการละเล่นพ้ืนบา้ นเป็ นกิจกรรมรจู้ ักความ ยตุ ิธรรมรจู้ ักการใหก้ ารรับและช่วยพัฒนากลา้ มเนื้อส่วนต่างๆใหเ้ จริญ เตบิ โตผอ่ นคลายความตงึ เครียด ผอบ โปษะกฤษณะ,(๒๕๒๒) ไดส้ รปุ คณุ คา่ ของการละเลน่ พ้ืนบา้ นของ เด็กไทยซึ่งแบง่ เป็ นคณุ คา่ ทางดา้ นวฒั นธรรมดา้ นสงั คม และดา้ นภาษาดงั นี้ ดา้ นวฒั นธรรม
บทที่ 3 การละเลน่ พื้นบา้ นไทย
1. กระโดดเชอื ก 1.สำ� หรบั ผเู้ ลน่ คนเดยี ว ใหผ้ เู้ ลน่ ถือเชอื กดว้ ย มอื ทง้ั สองขา้ ง งอศอกเล็กนอ้ ยใหก้ ลางเชอื กหอ้ ย อยู่ ขา้ งหลงั แลว้ แกวง่ เชอื กใหเ้ ร็วขน้ึ ทกุ ทีจนแทบไม่ เห็นเสน้ เชอื กจึงจะสนกุ 2.นต้ี อ้ งใชเ้ ชอื กยาวสกั หนอ่ ย ใหผ้ เู้ ลน่ สองคนจบั ปลายเชอื กไว้ แลว้ แกวง่ เชอื กขนึ้ -ลง เชอื กจะแกว่ง เป็ นวงกลม ผเู้ ลน่ ท่ีเป็ นคนกระโดดใหย้ ืนรอจงั หวะพอ เห็นเชือกแกว่งลงพ้ืนจึงว่ิงเขา้ ไปในวงเชือกแลว้ กระ โดดขา้ มเชอื กตามจงั หวะการแกวง่ ระวงั อยา่ ใหต้ ดิ เชอื ก พอกระโดดไดส้ กั สบิ ครงั้ ก็ว่ิงออกไปอีกดา้ น หน่ึงแลว้ คนที่สองจึงวิ่งไปกระโดดบา้ งใหผ้ เู้ ล่นว่ิง ทยอยเขา้ ไปกระโดดเชน่ นจี้ นครบทกุ คน
2. ว่ิงเปรี้ยว 1.แบ่งผเู้ ลน่ ออกเป็ น 2 ทีมๆ ละเทา่ ๆกนั อยา่ ง นอ้ ยทีมละ 4 คน ยืนเรียงแถวตอนอยดู่ า้ นหลงั เสา ประจำ� ทีม 2. เมอื่ เริ่มการเลน่ กรรมการจะใหส้ ญั ญาณ ผเู้ ลน่ แตล่ ะฝ่ ายจะตอ้ งวิ่งจากฝัง่ ตวั เองไปออ้ มเสา ประจำ� ทีมของฝ่ ายตรงขา้ ม 3.จากน้ันใหว้ ิ่งวนกลับมาส่งผา้ ใหผ้ เู้ ล่นคนถัดไป ในทีมของตนเอง 4.ผเู้ ลน่ แตล่ ะฝ่ ายจะตอ้ งพยายามเอาผา้ ที่ถืออยู่ ว่ิงไลต่ ฝี ่ ายตรงขา้ มใหท้ นั เมอื่ ฝ่ ายใดฝ่ ายหนงึ่ ไลต่ ี ฝ่ ายตรงกนั ขา้ มไดท้ นั ถือว่าการเลน่ ส้นิ สดุ ลง
3. ขมี่ า้ สง่ เมอื ง 1.มผี เู้ ลน่ เป็ น “เจา้ เมอื ง” 1 คน และแบง่ ผเู้ ลน่ ออกเป็ น 2 ทีม ทีมละ 3-4 คน เทา่ ๆ กนั 2.ใหท้ ีมท่ี 1 เดนิ มากระซิบบอกชอื่ ผเู้ ลน่ ในทีมที่ 2 คนหนงึ่ กบั เจา้ เมอื ง 3.จากนน้ั ใหท้ ีมที่ 2สง่ ผเู้ ลน่ คนหนง่ึ ออกมา หาเจา้ เมอื ง แลว้ พดู ชอื่ ผเู้ ลน่ ในทีมตวั เองออกมา ถา้ ตรงกบั ชอ่ื ที่ทีมที่ 1 บอกไว้ เจา้ เมอื งก็จะรอ้ งวา่ “โป้ ง” 2 3โป้ ง!!เมย์ 4.ผเู้ ล่นที่ถกู โป้ งตอ้ งตกเป็ นเชลยและฝ่ ายใดถกู จบั เป็ นเชลยหมดกอ่ น ก็ตอ้ งแพไ้ ปกลายเป็ น 4“มา้ ” ให้ ฝ่ ายชนะขห่ี ลงั กลบั ไปสง่ ที่เมอื ง
4. มอญซ่อนผา้ 1.จบั ไมส้ น้ั ไมย้ าวเลอื กคนที่เป็ นมอญ 2.คนอ่ืนๆ นงั่ ลอ้ มวง คนที่เป็ นมอญถือผา้ ไวใ้ นมอื เดนิ วนอยนู่ อกวง คนท่ีนงั่ ลอ้ มวงอยจู่ ะรอ้ งเพลงไปดว้ ย 3.ระหวา่ งนน้ั คนท่ีเป็ นมอญจะท้ิงผา้ ไว้ หลงั ใครก็ได้ 4.ถา้ ใครรสู้ ึกตวั คลำ� พบผา้ จะว่ิงไลต่ มี อญไปรอบวง 1 รอบ มอญตอ้ งรีบวิ่งหนมี านงั่ แทนที่ คนไลก่ ็ตอ้ ง เป็ นมอญแทน แตถ่ า้ มอญโดนตไี ดก้ ็จะตอ้ งเป็ นมอญ ตอ่ อีก 1 รอบ
บทรอ้ งประกอบ มอญซ่อนผา้ ตกุ๊ ตาอยขู่ า้ งหลงั ไวโ้ นน่ ไวน้ ่ี ฉนั จะตกี น้ เธอ
5. รีรีขา้ วสาร 1.ใหผ้ เู้ ลน่ 2 คน ยืนเอามอื ประสานกนั เหนือศีรษะเป็ นประตโู คง้ สานกันเหนือศีรษะเป็ น ประตโู คง้ 2.คนอ่ืนๆ ตอ่ แถวเกาะไหลก่ นั เดนิ ลอดใตป้ ระตไู ป เร่ือยๆ โดยเดนิ ออ้ มหลงั คนที่เป็ นประตคู รงั้ ละหน 3.ระหวา่ งเดนิ คนท่ีเป็ นประตจู ะรอ้ งเพลง ไปดว้ ย เมอ่ื จบเพลง สองคนที่เป็ นประตจู ะกระตกุ แขนลงกนั้ คนใหอ้ ยรู่ ะหว่างกลาง ผเู้ ลน่ ที่ถกู กกั ตวั จะถกู คัดออกหรืออาจจะถกู ลงโทษดว้ ยการใหร้ �ำ หรือทำ� ทา่ ทางอะไรก็ได้
บทรอ้ งประกอบ รีรีขา้ วสาร สองทะนานขา้ วเปลอื ก เลอื กทอ้ งใบลาน เก็บเบ้ียใตถ้ นุ รา้ น คดขา้ วใสจ่ าน พานเอาคนขา้ งหลงั ไวใ้ หด้ ี
6. ตจ่ี บั 1.แบ่งผเู้ ลน่ เป็ น 2 ฝ่ ายเทา่ ๆ กนั และจบั ไมส้ นั้ ไมย้ าววา่ ใครจะเร่ิมตก่ี อ่ น 2.ฝ่ ายท่ีตกี่ อ่ น เริ่มเลน่ โดยเลอื กพวกของตนคนหนง่ึ เป็ นคนเขา้ ไปตี่ คนตจ่ี ะออกเสยี ง “ต.่ี ..” หรือ “ห่ึม...” ตลอดเวลาท่ีเขา้ ไปในแดนฝ่ ายตรงขา้ ม แลว้ พยายาม แตะตวั ผเู้ ลน่ ในฝ่ ายตรงขา้ มใหไ้ ด้
7. กระตา่ ยขาเดยี ว 1.กำ� หนดขอบเขตเป็ นวงกลม 2.แบ่งผเู้ ล่นออกเป็ นสองฝ่ ายเท่าๆกนั แลว้ หาฝ่ ายท่ี จะเป็ นกระตา่ ย สว่ นอีกฝ่ ายจะไดเ้ ร่ิมเลน่ กอ่ น 3.ฝ่ ายท่ีได้เล่นก่อนจะเข้าไปยืนอยู่ในวงกลม ทงั้ หมดฝ่ ายกระตา่ ยอยนู่ อกวง 4.ฝ่ ายกระตา่ ยสง่ ตวั แทนครง้ั ละ 1 คน กระโดด กระต่ายขาเดียวเขา้ ไปไล่แตะตวั ผเู้ ล่นในวงซึ่งจะตอ้ ง พยายามวิ่งหนีใหท้ ันผทู้ ่ีถกู แตะจะตอ้ งออกจากวงไป เร่ือยๆ
7.งูกินหาง
8. เดนิ กะลา 1.กำ� หนดจดุ เร่ิมตน้ และเสน้ ชยั ไว้ 2.ใหผ้ เู้ ลน่ ยืนบนกะลา โดยใชน้ ว้ิ หวั แมเ่ ทา้ และนว้ิ ช้ี เทา้ หนบี เชอื ก (เหมอื นใชก้ ะลาแทนรองเทา้ ) และใชม้ อื จบั เชอื กไวด้ ว้ ย 3.เม่ือไดย้ ินสัญญาณใหแ้ ข่งกันเดินไปยังเสน้ ชัย ใครสามารถเดินได้เร็วกว่าและไม่ล้มถือเป็ นผู้ ชนะ(เวลาเดินจะตอ้ งใชม้ ือดึงเชือกตามจังหวะการ กา้ วไปดว้ ยจึงสามารถเดนิ ไดไ้ มส่ ะดดุ
9. ลงิ ชงิ หลกั 1.ใหม้ ผี เู้ ลน่ มากกว่า 4 คนขนึ้ ไป จบั ไมส้ น้ั ไมย้ าว เลอื กผเู้ ลน่ ออกมาเป็ นลงิ 1 คน (คนท่ีเป็ นลงิ จะตอ้ ง ทำ� ทา่ ลงิ ดว้ ย) 2.ผูเ้ ล่นที่ไม่ไดเ้ ป็ นลิงให้ยืนเกาะอยู่กับหลักของ ตนเอง สว่ นคนท่ีเป็ นลงิ ใหอ้ ยู่ ตรงกลาง 3.ผทู้ ่ีมีหลักจะตอ้ งวิ่งเปล่ียนหลักกันในจังหวะนน้ั ผเู้ ล่นที่เป็ นลิงจะตอ้ งใชค้ วามว่องไวพยายามแย่ง หลกั ใหไ้ ด้ ถา้ ผเู้ ป็ นลงิ แยง่ หลกั ไดค้ นท่ีถกู แยง่ ก็จะ กลายเป็ นลงิ แทน
9. ทอยเสน้
10. ตลี กู ลอ้ 1.กำ� หนดจดุ เริ่มตน้ และเสน้ ชยั ไว้ 2.แตล่ ะคนนำ� ลกู ลอ้ ของตนเองมาท่ีจดุ เร่ิมตน้ 3.เม่ือไดย้ ินสัญญาณใหน้ �ำไมต้ ีลกู ลอ้ ใหก้ ล้ิงไป ดา้ นหนา้ ใครถึงเสน้ ชยั กอ่ นเป็ นผชู้ นะ
10. วา่ วไทย
จดั ทำ� โดย นางสาวชญาดา ตนั เจริญ นายณฐั กฤต ป่ิ นแกว้ นางสาวศศิพิมพ์ แกว้ ทอง
วิทยาลยั อาชวี ศึกษาสงขลา 74 ถ.รามวิถี ต.บอ่ ยาง อ.เมอื ง จ.สงขลา 90000โทร 0-7431-1202 0-7431-3080
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: