บทท่ี 3 ทฤษฎที ่ีเก่ียวของ 3.1 ปฏกิ ริ ยิ าไฮเดรช่นั (Hydration Reaction) 3.1.1 ปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบ ปฏิกริ ิยาระหวา งปนู ซเี มนตกับนาํ้ เรียกวา ปฏิกิรยิ าไฮเดรชั่น ซ่ึงจะทําใหเกิดการกอตัวและ แข็งตัว โดยจะขึ้นอยูกับปริมาณสารประกอบในปูนซีเมนต สารประกอบน้ีจะทําปฏิกิริยาและมี อิทธิพลซ่ึงกันและกัน ดังนั้นปฏิกิริยาระหวางปูนซีเมนตกับน้ําสามารถเร่ิมตนดวยปฏิกิริยาของแต ละสารประกอบในปูนซเี มนต 1. ปฏกิ ิรยิ าไฮเดรชั่นของแคลเซียมซลิ เิ กต (C3S, C2S) แคลเซียมซิลิเกตจะทําปฏิกิริยากับนํ้า กอใหเกิด Ca(OH)2 และแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรต (Calcium Silicate Hydrate, C-S-H) ดังสมการท่ี (3.1) และ (3.2) โดยมลี ักษณะดงั ภาพท่ี 3.1 2 ( 3CaO.SiO 2 ) + 7H 2O → 3CaO.2SiO2 4H 2O + 3Ca ( OH ) (3.1) 2 (3.2) 2(2CaO.SiO2 ) + 5H2O → 3CaO.2SiO2.4H2O + Ca (OH2 ) ภาพท่ี 3.1 ปฏกิ ริ ยิ าของแคลเซยี มซิลเิ กต (C3S, C2S) (ชัชวาลย เศรษฐบตุ ร, 2544) 17
18 จากภาพจะเห็นไดวา C-S-H จะอยูในภาพของอนุภาคเล็กๆ มีขนาดเทากับสารแขวนลอย (เล็กกวา 1 μm) มีลักษณะปรากฏเปนอสัณฐาน (Amorphous) และมีผลึกท่ีหยาบมาก (Poorly Crystalline) โดยอัตราสวนของแคลเซียมตอซิลิเกตใน C-S-H ไมคงที่ขึ้นอยูกับอายุ อุณหภูมิและ ปริมาณนํ้า สัญลักษณทางเคมีของไตรแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรตท่ีมีอัตราสวน C3S2H3 เปนเพียง คา เฉล่ยี เทานน้ั 2. ปฏิกิรยิ าไฮเดรชน่ั ของไตรแคลเซียมอะลมู ิเนตและยปิ ซัม่ ปฏกิ ริ ยิ าไฮเดรชัน่ ของไตรแคลเซียมอะลูมิเนต (C3A) จะเกิดทันทีทันใด และกอใหเกิดการ แขง็ ตัวอยา งรวดเร็วของซีเมนตเพสต ดังสมการที่ (3.3) 3CaO.Al2O3 + 6H2O → 3CaO.Al2O3.6H2O (3.3) เพื่อหนวงไมใหปฏิกิริยาเกิดอยางรวดเร็ว จึงใสยิปซัมเขาไปในระหวางขบวนการบดปูน เม็ดยิปซัมจะเขาไปทําปฏิกิริยากับกอใหเกิดชั้นของเอ็ททริงไกด (Ettringite) ในภาพที่ 3.2 บนผิว ของอนุภาค C3A ดงั สมการท่ี (3.4) 3CaO.Al2O3 + 3(CaSO4.2H2O) + 26H2O → 3CaO.Al2O3.3CaSO4.32H2O (3.4) ชั้นของเอ็ททริงไกด (Ettringite) กอใหเกิดการหนวงการกอตัวของ C3A และทําใหการกอ ตวั ในชว งแรกนี้ข้ึนอยกู บั ปฏิกริ ยิ าไฮเดรชั่นของแคลเซียมซลิ ิเกต (C3S, C2S) ภาพที่ 3.2 ลักษณะของเอ็ททรงิ ไกด (Ettringite) มรี ูปทรงอสณั ฐาน (Amorphous) ซ่งึ มลี กั ษณะคลายกับเขม็ ผลกึ (Nevile, A.M., 1995)
19 3. ปฏกิ ริ ิยาไฮเดรช่ันของเตตระแคลเซียม อะลูมิโนเฟอรไ รต (C4AF) ปฏิกิริยาของ C4AF คลายกับปฏิกิริยาท่ีเกิดข้ึนใน C3A แตปฎิกิริยาจะเกิดชากวาและมี ความรอนทเ่ี กิดจากการทาํ ปฏิกิรยิ าทน่ี อยกวา ยิบซั่มจะหนวงปฎิกิริยาของ C4AF มากกวาที่หนวง ใน C3A ปฏิกิริยาระหวาง C4AF และ ยิบซ่ัมจะทําใหเกิดแคลเซียมซัลโฟอะลูมิเนต (Calcium Sulfoaluminate) และแคลเซยี มซัลโฟเฟอรไรต (Calcium Sulfoferrite) ดงั สมการที่ (3.5) 4CaO.Al2O3.Fe2O3 + CaSO 4 .2H 2 O + Ca ( OH ) → 3CaO (Al2O3, Fe2O3 ).3CaSO4 (3.5) 2 3.1.2 กลไกของปฏิกริ ยิ าไฮเดรชน่ั ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นที่เกิดข้ึนในปูนซีเมนตปอรตแลนดจะประกอบดวยปฏิกิริยาเคมีของแต องคประกอบแคลเซยี มซลั เฟต (CaSO4.2H2O) และนํา้ ท่ีตอ เนื่องกัน โดยปกติสารประกอบที่เขาทํา ปฏกิ ิรยิ าไดแก เอไลด (ไตรแคลเซียมซิลิเกตซ่ึงโครงสรางถูกแทนที่ไอออนอื่น) เบไลด (ไดแคลเซียม ซิลิเกตซ่ึงโครงสรางถูกแทนที่ไอออนอ่ืน) ไตรแคลเซียมอะลูมิเนต แคลเซียมอะลูมิโนเฟอรไรด แคลเซยี มออกไซดอ สิ ระ ซัลเฟตของอัลคาไลด แคลเซยี มซลั เฟต และนํ้า ปฏิกิริยาของเพสตในปูนซีเมนตปอรตแลนดท่ีอุณหภูมิแวดลอมประกอบดวย 4 ข้ันตอน พบวามลี ักษณะท่ีคลายกบั ปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี กดิ ข้ึนในไตรแคลเซียมซลิ เิ กต ดังตอไปนี้ 1. ระยะ Pre-induction (นาทีแรก) โดยเม่ือปูนซีเมนตสัมผัสกับนํ้าจะมีการแตกตัวอยางรวดเร็วของไอออนบางชนิดไปยัง สถานะของของเหลวและมีการฟอรมตัวของไฮเดรต ซัลเฟตของอัลคาไลดจะแตกตัวอยางสมบูรณ ภายในไมก่ีวินาทีทําใหในสารละลายมีท้ังไอออนของโพแทสเซียม (K+) โซเดียม (Na+) และซัลเฟต ไอออน (SO42-) ในขณะท่ีแคลเซียมซัลเฟตก็มีการแตกตัวจนกระทั่งอ่ิมตัวดวยไอออนแคลเซียม ไอออน (Ca2+) และซัลเฟตไอออน (SO42-) เชนเดยี วกัน ไตรแคลเซียมซิลิเกตจะมีการแตกตัวอยางตอเน่ืองและจะมีช้ันของแคลเซียมซิลิเกตไฮ เดรตเกดิ ข้นึ บนผิวของอนุภาคปูนซีเมนต เม่ือพิจารณาอัตราสวนของแคลเซียมออกไซดตอซิลิกอน ไดออกไซด (CaO/SiO2) ของผลิตภัณฑไฮเดรตนี้จะมีคาต่ํากวาในไตรแคลเซียมซิลิเกตซึ่ง ปฏิกิรยิ าไฮเดรชัน่ ทส่ี ภาวะน้ีจะเพิม่ ขึ้นตามความเขมข้ึนที่เพ่ิมขึ้นของแคลเซียมไอออน (Ca2+) และ ไฮดรอกไซดไอออน (OH-) ในขณะท่ีไตรแคลเซียมอะลูมิเนตจะแตกตัวและทําปฏิกิริยากับ แคลเซียมไอออน (Ca2+) และซัลเฟตไอออน (SO42-) ไดผลิตภัณฑเปนเอ็ททริงไกท (Ettringite) ซ่ึง
20 ปริมาณของไตรแคลเซียมอะลูมิเนตท่ีทําปฏิกิริยาจะตางกันตามชนิดของปูนซีเมนต เชน เดียวกับเฟอรไรดท่ีใหผลิตภัณฑอยางเดียวกัน สวนเบตาไดแคลเซียมซิลิเกต (β-C2S) จะให แคลเซยี มซิลเิ กตไฮเดรต 2. ระยะ Induction หรอื ระยะดอรแมนท (Dormant) (ในช่วั โมงแรก) หลังจากชวงสั้นๆของปฏิกิริยาไฮเดรช่ันท่ีผานไปอยางรวดเร็ว อัตราเร็วของปฏิกิริยา โดยรวมจะลดลงในชวงชั่วโมงแรก สาเหตุที่ปฏิกิริยาลดลงเปนผลเน่ืองมาจากความเขมขนของ แคลเซียมไฮดรอกไซด (Ca(OH)2) ในของเหลวที่เร่ิมเขาสูจุดสูงสุดและกําลังจะลดลง ในขณะที่ ความเขมขนของ ซัลเฟตไอออน (SO42-) อยูในระดับท่ีคงที่ตามสัดสวนที่ใชในการเกิดของเอ็ททริง ไกท (Ettringite) 3. ระยะเรง (Acceleration Stage) (3 – 12 ชวั่ โมงหลังการผสม) ในชวงน้ีจะมีการพัฒนาของปฏิกิริยาไฮเดรช่ันที่เพ่ิมข้ึนอีกครั้งและจะถูกควบคุมโดยการ เกิดและพัฒนาโครงสรางของผลิตภัณฑไฮเดรช่ัน ผลึกของแคลเซียมไฮดรอกไซดจะเร่ิมตกผลึกทํา ใหความเขมขนของแคลเซียมไอออน (Ca2+) ลดลง ในขณะที่แคลเซียมซัลเฟตจะกลับมาแตก ตัวอยางสมบูรณแตความเขมขนของซัลเฟตไอออน (SO42-) จะลดลงเนื่องจากการฟอรมตัวของ เอท็ ทรงิ ไกท 4. ระยะหลังการเรง (Post – Acceleration Period) ในระยะน้อี ตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าไฮเดรชั่นจะลดลงตามปริมาณของสารตั้งตนของปฏิกิริยา ที่ ลดลง ในขณะที่แคลเซียมซิลิเกตไฮเดรต (C–S–H) มีการฟอรมตัวอยางตอเนื่องซ่ึงเปนผลมา จากปฏิกิริยาไฮเดรช่ันที่ตอเนื่องของไตรแคลเซียมซิลิเกตและเบตาไดแคลเวียมซิลิเกต และเมื่อ แคลเซียมซัลเฟตถูกใชหมดไปมีผลทําใหความเขมขนของซัลเฟตไอออน (SO42-) ลดลง ตามมา ดวยเอ็ททริงไกทจะฟอรมตัวขึ้นจะเร่ิมทําปฏิกิริยากับไตรแคลเซียมอะลูมิเนต (C3A) และได แคลเซียมซ่ึงมีโมเลกุลของอะลูมิเนียมและ/หรือเฟอรไรดไดโมโนซัลเฟต ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นของ ปนู ซเี มนตป อรตแลนดแ สดงไดใ นภาพที่ 3.3 และ 3.4
ป ิรมาณของสารต้ังตนในปฏิกิ ิรยา 21 ไฮเดรช่ัน ( รอยละ) เวลาในการเกดิ ปฏิกริ ยิ าไฮเดรชั่น (วนั ) ป ิรมาณของผลิตภัณฑในปฏิกิ ิรยาภาพที่ 3.3 การพัฒนาของปฏิกริ ิยาไฮเดรชน่ั ในแตล ะสารประกอบหลัก ไฮเดรช่ัน ( รอยละ) (Nevile, A.M., 1995) เวลาในการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาไฮเดรชนั่ (วนั ) ภาพที่ 3.4 ปรมิ าณของผลิตภณั ฑจ ากปฏกิ ริ ยิ าไฮเดรชนั่ ทเ่ี กดิ ขึ้นที่เวลาตางๆ (Nevile, A.M., 1995) 3.2 ปฏกิ ริ ยิ าปอซโซลานิก 3.2.1 ความหมายของสารปอซโซลาน วัสดุปอซโซลาน (Pozzolanic Material) ตามมาตรฐาน ASTM C 618 ไดใหคําจํากัด ความของวสั ดปุ อซโซลานไวว า วสั ดทุ ีม่ ีสว นประกอบเปน ซิลิคอน (Siliceous) หรือมีท้ังซิลิคอนและ
22 อะลมู ินา (Siliceous and Alumineous) ซ่งึ ทอี่ ณุ หภูมจิ ะไมท ําปฏิกริ ยิ าแตเ ม่อื ทําการบดใหมีความ ละเอยี ดเพม่ิ ขึน้ จะสามารถทาํ ปฏกิ ิริยากับแคลเซยี มไฮดรอกไซด (Ca(OH)2) ได 3.2.2 ปฏิกิริยาปอซโซลานิกของสารปอซโซลาน ปฏิกิริยาปอซโซลานิกคือ ปฏิกิริยาของซิลิคอนไดออกไซด (SiO2) และ/หรืออะลูมิเนียม ออกไซด (Al2O3) ในสารปอซโซลานทําปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด (Ca(OH2)) ซึ่งเปน ผลิตภณั ฑจากการไฮเดรชั่นของไตรแคลเซียมซิลิเกต และไดแคลเซียมซิลิเกต โดยท่ีผลิตภัณฑของ ปฏิกิริยาปอซโซลานิกของซลิ ิคอนไดออกไซดไ ดแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรต ในขณะที่ปฏิกิริยา ปอซ โซลานิกของอะลูมิเนียมออกไซด ไดแคลเซียมอะลูมิเนตไฮเดรต (C3A2H3) ดังสมการที่ (3.6) และ (3.7) 2SiO2 + 3Ca (OH) ⎯H⎯2O⎯→ 3CaO.2SiO2.3H2O (3.6) 2 (3.7) 2Al2O3 + 3Ca (OH) ⎯H⎯2O⎯→ 3CaO.2Al2O3.3H2O 2 3.2.3 กลไกของปฏิกริ ยิ าไฮเดรช่นั ท่ีมสี ารปอซโซลาน จากภาพที่ 3.5 กลไกของปฏิกิริยาไฮเดรชั่นในระบบซ่ึงมีท้ังไตรแคลเซียมซิลเกต (C3S) และสารปอซโซลานเร่ิมขึ้นจากไอออนของแคลเซียม (Ca2+) จะละลายออกจากสารประกอบ ไตรแคลเซียมซิลิเกต (C3S) อยางอิสระลงไปในของเหลว แตไอออนดังกลาวจะถูกดักจับดวย อนุภาคที่มปี ระจุลบจากสารปอซโซลานโดยอาศัยการชนกนั และถกู ดดู ซบั ท่ีไวทผ่ี ิวของอนภุ าคปอซ โซลาน แคลเซียมซิลิเกตไฮเดรตท่ีไดจากปฏิกิริยาไฮเดรช่ันของไตรแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรตจะเกิด การตกตะกอนทีอ่ ัตราสว นแคลเซยี มออกไซดต อซลิ ิกอนออกไซด (CaO/SiO2) สูง ในขณะที่ บนผิว ของสารปอซโซลานจะเกิดข้ึนเชนเดียวกันแตจะไดผลิตภัณฑจากปฏิกิริยาไฮเดรช่ันที่มีอัตราสวน ระหวางแคลเซียมออกไซดตอซิลิกอนออกไซดตํ่าและมีความพรุนสูง โดยปกติเม่ืออนุภาคปอซโซ ลานสัมผัสกับน้ําผิวของสารปอซโซลานจะมีคุณสมบัติเปนประจุบวกอันเนื่องมาจากการดึงดูด ไฮโดรเนียมไอออน (H3O+) ที่ไดจากการแตกตัวของนํ้าไวและจะทําใหมีการแตกตัวของโซเดียม ไอออน (Na+) และโพแทสเซียมไอออน (K+) และไอออนอื่นๆ ทีละนอยตามมา เปนผลใหเกิดชั้นท่ี ผิวของอนุภาคปอซโซลานซึ่งมีสวนประกอบของซิลิกอนและ/หรืออะลูมิเนียมเปนสวนใหญ การ ละลายของโซเดียมไอออนและโพแทสเซียมไอออนจะชวยเรงการแตกตัวของนํ้าใหมีปริมาณของ
23 ไฮโดรเนียมไอออนเพ่ิมข้ึนซึ่งเปนการเรงการแตกตัวของซิลิเกตไอออน (SiO44-) และอะลูมิเนียม ไอออน (AlO2-) ดวยและเมื่อรวมกับผลของแคลเซียมไอออนจึงทําใหความหนาของชั้นบนอนุภาค ปอซโซลานเพ่มิ ข้นึ และแตกออกในทสี่ ุด ภาพท่ี 3.5 ปฏิกิรยิ าไฮเดรชน่ั ทีเ่ กดิ รว มกับปฏิกิรยิ าปอซโซลานกิ (Nevile, A.M., 1995) 3.3 ทฤษฎเี กย่ี วกับคณุ สมบัติทท่ี าํ การทดสอบ 3.3.1 การกระจายขนาดคละของอนุภาค (Particle Size Distribution) การกระจายขนาดคละของอนุภาคเปนคุณสมบัติทางกายภาพที่มีผลตอคุณสมบัติของ คอนกรีตท้ังในสภาวะสดและแข็งตัวแลว โดยมีเทคนิคในการทดสอบการกระจายขนาดคละหลาย วิธีอาทิเชน วิธีการรอน (Sieve) วิธีการตกตะกอน (Sedimentation Method) และการแทรกสอด ของเลเซอร (Laser Diffraction Method) เปนตน ซ่ึงในวิธีการแทรกสอดของเลเซอรมีขอไดเปรียบ
24 กวาสองวิธีแรกหลายกลาวคือ จํานวนตัวอยางนอยและทดสอบไดเร็ว ความแมนยําสูง แตก็มี ความ ซับซอ นมากตง้ั แตเครือ่ งมอื ดังแสดงในภาพที่ 3.6 ซ่งึ ประกอบดวยแหลง กําเนดิ แสง ระบบ การตรวจวัดระบบการกระจายอนุภาคตลอดจนกระจกและโปรแกรมในการวิเคราะห นอกจากนั้น จะมีการเตรียมตัวอยา ง และการวเิ คราะหผลการทดสอบ เปนตน สําหรับการวิเคราะหผลการทดสอบจะใชทฤษฎีทรงกลมเทียบเทา (Equivalent Sphere Theory) ซึ่งมีหลักการท่ีการเปลี่ยนปริมาตรของรูปทรงตางๆ (โดยปกติจะบอกขนาดดวยของกวาง ยาว และสูง) ใหมีปริมาตรเทียบเทากับทรงกลมแลวแสดงขนาดในรูปของจํานวนเดียว (Unique Number) ซ่งึ กค็ อื รัศมีหรือเสนผา นศนู ยกลางของทรงกลม ภาพท่ี 3.6 เครื่อง Laser Particle Size Analyzer (บญั ชา ธนบุญสมบตั ิ, 2544) 3.3.2 ทฤษฎคี วามเปนผลกึ ของสาร การวิเคราะหความเปนผลึกดวยเทคนิค X-Ray มีประโยชนในการระบุชนิดและปริมาณ ของเปนผลึกของสารท่ีเปนองคประกอบของวัสดุ โดยจากหลักการท่ีวาธาตุหรือสารประกอบมี คุณสมบัติในการแทรกสอดตางกันทําใหสามารถระบุธาตุหรือสารประกอบน้ันได นอกจากนั้น สามารถพิจารณาไดวาผลึกประกอบดวยชั้นหรือระนาบของอะตอมซ่ึงสามารถสะทอ นเคล่ือนท่ีตก กระทบ โดยมุมตกกระทบเทากบั มุมสะทอ น ซึง่ ขน้ึ อยูกับเงื่อนไขวาลําคล่ืนที่ตกกระทบตองมีความ เขมสูงและความแตกตางของระยะเดินทาง (Path Difference) ของคลื่นท่ีสะทอนจากระนาบที่อยู ขา งเคียงกนั มีคา เปนจํานวนเทา ของความยาวคลื่นที่ตกกระทบดงั แสดงในภาพท่ี 3.7 และสมการที่ (3.8)
25 2dhlk sin θ = nλ (3.8) เมือ่ λ คือ ความยาวคลน่ื (เมตร) n คอื ลําดบั ของการสะทอนซึ่งมคี า เทา กับ 1, 2, 3,…, n dhlk คือ ระยะหางระหวางระนาบ (เมตร) θ คือ มมุ ตกกระทบและมุมสะทอ นเมื่อวัดจากแนวระนาบทก่ี ําลงั พิจารณา คลน่ื ตกกระทบ คล่นื สะทอน ภาพที่ 3.7 แบบจําลองสําหรับการแทรกสอดของคลืน่ ตามสมการ 2dhlk sin θ = nλ (บัญชา ธนบญุ สมบัติ, 2544) 3.3.3 คณุ สมบตั ขิ องคอนกรีตสด คอนกรีตสด (Fresh Concrete) คือ คอนกรีตท่ีเพ่ิงผสมใหมๆ ซ่ึงยังเหลวพอเทได ในงาน คอนกรตี ใดๆ คอนกรตี สดจะตองมคี ณุ สมบัติที่สําคัญท่ีถือวา เปนคอนกรีตทดี่ ี ดังน้ี - ผสมไดน านเพียงพอจนมีเน้อื สมํา่ เสมอเหมือนกนั - มคี วามสามารถเทได - ไมเ กิดการแยกตวั ระหวางการลําเลยี งหรือขณะเทคอนกรีต - ไมเกิดการเย้มิ มากเกินไป จนทําใหการแตงผิวหนาไมสะดวก และมีผลกระทบตอคุณภาพ ของคอนกรีตเมอื่ แขง็ ตัวแลว - มีเวลาในการกอ ตัวนานพอทส่ี ามารถทํางานได - ควรมปี ริมาณฟองอากาศพอเหมาะ ซง่ึ มผี ลตอ ความสามารถเทได
26 - สําหรับคอนกรีตที่ใชเทฐานรากขนาดใหญ คุณสมบัติที่สําคัญคือ มีคายุบตัวสูง Slump loss ชา และใชป รมิ าณปูนซเี มนตตาํ่ เพื่อหลกี เลีย่ งความรอนจากปฏกิ ริ ยิ าไฮเดรชนั่ 3.3.3.1 ความสามารถเทได (Workability) ความสามารถเทไดของคอนกรีตคือ “ผลรวมของพลังงานหรือกําลังงานที่จะเอาชนะแรง เสียดทานระหวางอนุภาคของสวนผสมในเนื้อคอนกรีตสดอันกอใหเกิดการอัดแนนของคอนกรีต อยางสมบูรณ” ดังน้ัน คอนกรีตสดท่ีดีควรท่ีจะมีความขนเหลวท่ีพอเหมาะ ที่จะสามารถเทลงแบบ ไดเปนอยางดี ถาหากคอนกรีตมีสัดสวนความขนเหลวมากจนเกินไปทําใหเกิดการแยกตัวในขณะ ทําการลําเลียงและเท ทั้งยังทําใหกําลังและความคงทนตํ่ามีโอกาสแตกราวไดงาย นอกจากน้ี ความสามารถในการเทขึ้นอยูกับ ขนาดหนาตัดหรือแบบหลอ และระยะหางของเหล็กเสริมอีกดวย ซ่งึ การวดั ความสามารถในการทาํ งานไดของคอนกรตี มีอยูหลายวิธีดังแสดงใน ตาราง ซ่ึงวิธีที่ใชใน การทํางานในครั้งนี้คือ วธิ กี ารทดสอบคายุบตัว (Slump Test) โดยปกติคอนกรีตสดจะแข็งตัวตามเวลาท่ีผานไป ที่เปนเชนน้ีเพราะน้ําที่ผสมอยูใน คอนกรีตบางสวนถูกดูดซับไปโดยมวลรวม บางสวนระเหยไป และนํ้าบางสวนถูกใชไปใน ปฏกิ ริ ิยาไฮเดรช่นั การสญู เสียคา การยุบตัวของคอนกรตี รกู ันในชือ่ วา “Slump Loss” ตารางท่ี 3.1 การทดสอบความสามารถเทไดข องคอนกรตี การทดสอบ มาตรฐาน ขอบขา ยการทดสอบ 1.การทดสอบวีบี BS EN 12350-3 ใชกบั คอนกรตี ทเี่ นือ้ แหงถึงแหง มาก (VB Test) 2.ระดบั ของความสามารถอัดแนน BS EN 12350-4 ใชก ับคอนกรีตทเี่ นอ้ื แหง (Degree of Compactability) 3.การทดสอบคายุบตัว ASTM C 143 ใชก ับคอนกรีตสดโดยทว่ั ไป (Slump Test) BS EN 12350-2 4.การทดสอบโตะ การไหล BS EN 12350-5 ใชก บั คอนกรตี ทเี่ นอื้ เหลวมาก (Flow Table Test)
27 3.3.3.2 คา การยบุ ตัว (Slump) ความสามารถในการทํางานได (Workability) คือ คุณสมบัติของคอนกรีตหรือมอรตาร ในสภาวะสด (Fresh State) ซ่ึงคุณสมบัติเปนเน้ือเดียวกันตั้งแตการผสม เทเขาแบบ การยุบตัว และการตบแตง (ACI 116R-90) โดยสามารถทดสอบไดหลายวิธี แตวิธีและงายในทางปฏิบัติคือ การทดสอบคาการยุบตวั (Slump) และปจจัยท่ีมีผลตอคาการยุบตัวของคอนกรีต (สมนึก ตั้งเติม สริ กิ ุล, 2542) ประกอบดวย 1. อตั ราสวนปริมาตรเพสตต อปรมิ าตรชองวา งระหวางมวลรวมทอ่ี ดั แนน (γ) โดยคอนกรีต ท่ีมีปรมิ าณเพสตม ากหรือคา γ สูงจะมีคาการยุบตัวมากกวา คา γ ตํ่า 2. พ้ืนท่ีผิวทั้งหมดของมวลรวม ซ่ึงคอนกรีตที่มีพ้ืนที่ผิวท้ังหมดของมวลรวมมากมี ความสามารถในการเทไดนอยกวาคอนกรีตท่ีมีพ้ืนท่ีผิวทั้งหมดของมวลรวมนอย ทั้งน้ีเพราะการที่ มพี ื้นทีผ่ วิ ทัง้ หมดของมวลรวมมากจะทําใหแรงเสียดทานระหวางผวิ อนภุ าคมากข้ึน 3. พื้นที่ผิวทั้งหมดของปูนซีเมนตและ/หรือสารปอซโซลาน โดยมีผลกระทบเชนเดียวกับ มวลรวม นอกจากน้ันอนุภาคดังกลาวจะมีความสามารถในการกักเก็บนํ้าอิสระไดซึ่งจะเปนผลให ความสามารถในการเทไดลดลง 4. ปริมาณนาํ้ อสิ ระ (Free Water) โดยปกตินํา้ คอนกรีตจะแบง ออกเปน 2 สวนคือ นํ้าท่ีถูก กักเก็บในอนุภาคซึ่งสามารถเคลื่อนที่ไดเมื่ออนุภาคเคล่ือนที่และน้ําอิสระ คอนกรีตจะมีคาการ ยุบตวั มากจะตอ งมีนาํ้ อสิ ระมาก 3.3.3.3 การสญู เสยี คาการยบุ ตัว (Slump Loss) การสูญเสียคาการยุบตัว คือ การสูญเสียความขนเหลวของคอนกรีตสดเม่ือเวลาไป การ สูญเสียคาการยุบตัวเนื่องจากจากผลของการแข็งตัวของซีเมนตเพสต การสูญเสียนํ้าอิสระ (Free Water) ท่เี กดิ จากปฏิกริ ยิ าไฮเดรช่ัน จากการดูดซึมของมวลรวมและการระเหย ดังน้ันเม่ือคอนกรตี ถูกผสมขนึ้ มาแลว ควรรบี ลําเลียง เท และแตงผวิ ใหท นั กบั เวลาท่ีคอนกรีตยงั สามารถทํางานไดเพื่อ หลีกเล่ียงการสูญเสียคาการยุบตัว โดยมีปจจัยท่ีมีผลตอการสูญเสียคาการยุบตัวคือ อุณหภูมิ ปรมิ าณไตรแคลเซียมอะลมู เิ นต (C3A) หรอื อัลคาไลนสูงในปนู ซีเมนต และสารผสมเพม่ิ
28 ปจจัยที่มีผลตอการสูญเสียคา การยุบตัว 1. อุณหภูมิ อุณหภูมิของคอนกรีตขณะท่ีคอนกรีตถูกผสม ลําเลียง ยิ่งสูงมากเทาไร ระยะเวลาการสูญเสยี คา การยบุ ตวั ยง่ิ เร็วขึ้น ดังนั้นในสถานที่ที่อากาศรอน มวลรวมท่ี ใชในการผสมควรทําใหมีอุณหภูมิตํ่าท่ีสุดเทาที่สามารถทําได เชนการพรมน้ํา หรือ การกองเกบ็ ในบริเวณทีร่ ม 2. องคประกอบของปนู ซีเมนต การสูญเสียคาการยุบตัวจะมีคามากเมื่อปูนซีเมนตท่ีใชมี สวนผสมของไตรแคลเซียมอะลมู ิเนต (C3A) หรอื มีสวนประกอบท่ีมอี ัลคาไลนส งู 3. สารผสมเพ่ิม คอนกรีตที่ใสน้ํายาลดน้ําจํานวนมาก (Superplasticizer) มีแนวโนมท่ี จะเกิดการสญู เสยี คา การยบุ ตวั มากกวาคอนกรีตปกติ ท้ังน้ีเพราะน้ํายาดังกลาวจะทํา ใหผลปูนซีเมนตกระจายตัวอยางมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะสงผลใหอัตราการ เกิดปฏิกิริยาไฮเดรชั่นมีมากข้ึน ดังน้ันในการใชนํ้ายาชนิดดังกลาวควรใชในปริมาณท่ี เหมาะสมตามขอกาํ หนดของผูผ ลติ 3.3.4 คุณสมบัตทิ างดา นกาํ ลงั รบั แรงอดั ของคอนกรตี กําลังรับแรงเปนคุณสมบัติของคอนกรีตในสภาวะแข็งตัวแลว (Hardened State) หมายถึงคอนกรีตที่พัฒนาการของกําลังรับน้ําหนักไดเต็มท่ีตามที่ออกแบบไว โดยทั่วไปคือ คอนกรีตทอี่ ายุ 28 วนั เปน ตนไป คอนกรตี ในสภาวะแข็งตวั แลว ตอ งมีกําลังทดี่ ี โดยข้ึนอยูกับปจจัย ทส่ี าํ คัญ 3 ประการคือ 1. กําลังของมอรตารซ่ึงข้ึนอยูกับอัตราสวนน้ําตอปูนซีเมนตและระดับของปฏิกิริยาไฮ เดรชั่น 2. กําลังและโมดูลัสยืดหยุนของมวลรวมซ่ึงโดยท่ัวไปกําลังของมวลรวมจะมากกวามอร ตารหลายเทา ดังน้นั การเพม่ิ ปรมิ าณของมวลรวมลงในสว นผสมจะเปนการเพ่ิมกําลัง อดั ของคอนกรตี 3. แรงยึดเหน่ียวระหวางมอรตารกับผิวของมวลรวม โดยแรงยึดเหนี่ยวนี้จะขึ้นอยูกับ ลักษณะทางกายภาพเชน รูปราง ลักษณะผิวของมวลรวม และปฏิกิริยาเคมีระหวาง ปูนซีเมนตกบั แรธาตใุ นเนอ้ื มวลรวม
29 ในทางปฏิบัติปจจัยท่ีผลตอกําลังของคอนกรีตจะมีตั้งแต คุณสมบัติของวัสดุผสม การทํา คอนกรตี และการบมคอนกรตี กลาวคือ 1. คุณสมบัติของวัสดุผสมซึ่งประกอบดวย ปูนซีเมนต มวลรวม และน้ําที่จะตองเปนไป ตามมาตรฐานกําหนดจงึ จะไดคอนกรีตทมี่ ีคุณภาพ 2. การทําคอนกรีตตั้งแตการชั่งสวนผสม การผสมคอนกรีตและการเทคอนกรีตเขาแบบ หลอและการอัดแนน 3. การบมคอนกรีต ซ่ึงเปนท่ีทราบดีวาความช้ืนมีผลตอกําลังอัดของคอนกรีต อัน เน่ืองมาจากปฏิกิริยาไฮเดรช่ันตองการน้ําอยางตอเน่ือง นอกจากน้ันยังขึ้นอยู อณุ หภมู แิ ละเวลาที่ใชในการบม สําหรบั การพฒั นากําลังของคอนกรีตแสดงในภาพที่ 3.8 กําลังอัด (กก./ซม.2) 3 7 14 28 90 180 อายุ (วนั ) ภาพที่ 3.8 การพฒั นากําลงั ของคอนกรตี ทอี่ ายตุ า งๆ (ชัชวาลย เศรษฐบตุ ร, 2544) 3.3.5 คณุ สมบตั ทิ างดา นความทนทานของคอนกรตี 3.3.5.1 การหดตัวแบบแหง การหดตัวแบบแหงเปน การหดตัวทเี่ กดิ จากการสญู เสียนาํ้ ของซเี มนตเ พสตไปสบู รรยากาศ ท่ีมีสภาวะความช้ืนต่ํา ซึ่งเกิดจากการสูญเสียนํ้าทั้งจากโพรงคะปลลารี (Capillary Pore) และ โพรงเจล (Gel Pore) ในซีเมนตเพสตดังแสดงในภาพที่ 3.9 ใหกับส่ิงแวดลอมเน่ืองจากความ แตกตางกันของความชื้นสัมพัทธระหวางคอนกรีตและสิ่งแวดลอมเพ่ือทําใหระบบอยูในภาวะ
30 สมดุล ซ่ึงความช้ืนที่สูญเสียไปไมสามารถกลับคืนมาได (Irreversible Process) โดยที่ปริมาตร ของซีเมนตเพสตท่ีหดตัวมีคาไมเทากับปริมาตรของนํ้าท่ีสูญเสียไป อันเนื่องจากการยึดรั้งของ โครงสรา งของแคลเซยี มซิลิเกตไฮเดรต น้ํา โพรงคาพิวลารี ภาพที่ 3.9 การสญู เสียความชืน้ ผา นทางโพลงคาพวิ ลารแี ละเจล ( Nevile, A.M., 1995 ) ปจจัยทม่ี ีผลตอ การหดตวั แบบแหง เน่ืองจากการหดตัวแบบแหงเกิดจากการสูญเสียน้ําออกจากคอนกรีตไปสูบรรยากาศ แวดลอ ม ดังน้นั ปจ จยั ทงั้ ภายในและภายนอกท่ีมีผลตอการสญู เสยี ความช้ืนออกจากคอนกรีต จึงมี ผลตอการหดตัวแบบแหง ทั้งสนิ้ ปจจัยดังกลา วมีดงั ตอไปนี้ 1. ปริมาณน้ําตอลูกบาศกเมตรของคอนกรีต คอนกรีตท่ีมีปริมาณน้ําตอลูกบาศกเมตร ของ คอนกรีตมาก จะมีปริมาณนํ้าอิสระ (Free Water) มาก น้ําอิสระเปนนํ้าที่ สามารถจะระเหยออกจากคอนกรตี ไปได 2. อัตราสวนน้ําตอปูนซีเมนต คอนกรีตท่ีมีอัตราสวนนํ้าตอปูนซีเมนตสูง จะทําใหมี ชองวางคะปลลารี (Capillary Pores) มาก ปริมาณนํ้าอิสระก็จะมากดวย การที่ คอนกรตี มีชอ งวางคะปล ลารีมาก จะทําใหน า้ํ ระเหยออกจากคอนกรีตไดส ะดวก 3. ปริมาณมวลรวม โดยปกติแลวการหดตัวจะเกิดในซีเมนตเพสต ดังนั้นคอนกรีตท่ีมี ปริมาณซีเมนตเพสตนอ ยหรือ อีกนยั หนึง่ มปี ริมาณมวลรวมมาก ก็จะทําใหเ กดิ การหด ตัวนอ ยลงดวย 4. ชนิดและคุณภาพของมวลรวม เนื่องจากมวลรวมมักจะเปนสวนที่ไมมีการ เปล่ียนแปลงในเร่ืองของปริมาตร ดังน้ันมวลรวมจึงมีคุณสมบัติท่ีจะชวยตอตานการ หดตวั ในคอนกรตี ได โดยเฉพาะอยางยิ่งถามวลรวมมีโมดูลสั ของความยดื หยนุ สงู การ แตะกันของมวลรวมเปนกลไกท่ีสําคัญอันหน่ึงของการตานทานการหดตัวซ่ึงเกิดจาก ซีเมนตเพสตไ ด มวลรวมท่มี ีการดูดซึมน้าํ มาก ก็มักจะกอใหเกิดการหดตัวแบบแหงใน
31 คอนกรีตมากตามไปดวย ตัวอยางมวลรวมท่ีมีการดูดซึมน้ํามาก เชน มวลรวมเบา (Light Weight Aggregate) เปนตน ซ่ึงปกติแลวมวลรวมที่มีคาการดูดซึมน้ําสูงก็ มักจะมีคา โมดูลสั ของความยดื หยนุ ตา่ํ ดวย ทําใหแ รงตน ทานการหดตัวต่าํ ตามไปดวย ขนาดคละของมวลรวมที่ดี ก็จะเปนสวนหนึ่งที่ชวยใหการหดตัวของคอนกรีตลดลง เนื่องจากจะทาํ ใหค อนกรตี ตอ งการปรมิ าณซีเมนตเพสตน อ ยลง 5. ชนิดและปริมาณของวัสดุผสม การใชสารปอซโซลาน หรือวัสดุผงบางชนิด ก็มีผลตอ การหดตัวของคอนกรีต เชน เถาลอยสามารถชวยลดการหดตัวแบบแหงได เน่ืองจาก ชวยลดความตองการนํ้าของคอนกรีต และเถาลอยบางชนิดก็ยังมีคุณสมบัติชวยให คอนกรีตขยายตัวเล็กนอย ทําใหชดเชยการหดตัวไดบางสวน การใชผงซิลิกาฟูมก็ สามารถชว ยลดการหดตัวแบบแหง ไดเ นือ่ งจากชวยเพ่มิ ความแนน ใหก บั คอนกรตี การ ใชผงฝุนหินก็อาจสามารถชวยลดการหดตัวแบบแหงดวยเชนกัน ถาการใชนั้นไมเปน การเพิ่มปริมาณปูนซีเมนตต อ ลูกบาศกเมตรของคอนกรตี เปน ตน 6. อุณหภูมิและความช้ืนของส่ิงแวดลอม สิ่งแวดลอมท่ีมีอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ ต่ํา จะทาํ ใหค อนกรตี สญู เสยี นาํ้ ไดเ รว็ ขนึ้ จงึ ทาํ ใหเกิดการหดตวั แบบแหงมากขึ้น 7. มติ ิและรปู รา งลักษณะของโครงสรา งคอนกรีต โครงสรางที่มีพื้นท่ีผิวตอปริมาตรมากก็ จะสูญเสียความชืน้ ไดเร็ว จงึ ทาํ ใหเ กดิ รอยแตกราวเนือ่ งจากการหดตวั แบบแหง ได 3.3.5.2 การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าคารบ อเนชน่ั ปฏิกิริยาคารบอเนช่ันเปนขบวนการที่เปล่ียนผลิตผลบางชนิดของปฏิกิริยาไฮเดรช่ัน ซ่ึง โดยปกตมิ ักจะเปน แคลเซยี มไฮดรอกไซด(Ca(OH)2) และแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรท (C-S-H) ใหเปน ผ ลิ ต ภั ณ ฑ ค า ร บ อ เ น ต โ ด ย ป ฏิ กิ ริ ย า จ ะ เ กิ ด ข้ึ น ไ ด ก็ ต อ เ มื่ อ ต อ ง มี ค ว า ม ชื้ น แ ล ะ ก า ซ คารบ อนไดออกไซด คารบอเนชั่นเกิดจากการที่กาซคารบอนไดออกไซดในอากาศ ทําปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮ ดรอกไซด (Ca(OH)2) หรือแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรท (C-S-H) บริเวณผิวหนาหรือใกลผิวหนังหนา ของคอนกรตี ตามสมการของปฏกิ ริ ยิ าดังตอ ไปนี้ Ca(OH)2 + CO2 CaCO3+H2 O (3.9) หรอื 3CaCO3 . 2SiO2 . 3H2O (3.10) 3CaO . 2SiO2 . 3H2O + 3CO2
32 ซึ่งสวนใหญแลวจะเปนปฏิกิริยา (5.4.1) มากกวา (5.4.2) และในความเปนจริงแลว ทั้ง สองปฏิกิริยาก็ตองการนํ้าในการทําปฏิกิริยาดวย เน่ืองจากปฏิกิริยาคารบอเนชั่นเปนปฏิกิริยาท่ี เกิดในสภาพของสารละลาย คอนกรีตท่ีถูกคารบอเนตไปแลวจะมีความพรุนนอยลงเนื่องจาก แคลเซียมคารบอเนตซ่ึงเปนผลิตผลจากปฏิกิริยาคารบอเนชั่นจะชวยอุดชองวางสวนหนึ่งใน คอนกรตี ลักษณะของการทาํ ปฏกิ ริ ิยาจะเกิดในบริเวณใกลผวิ หนาของคอนกรีตที่มีโอกาสสัมผัสกับ กาซคารบอนไดออกไซด (CO2) ในอากาศ และกาซคารบอนไดออกไซดก็จะซึมผานเขาไปใน คอนกรีตไดดีโดยผานทางชองวางที่ไมอ่ิมตัว (Unsaturated Pores)เขาไปทําปฏิกิริยาในบริเวณ ใกลผิวหนาของคอนกรีตได ดังน้ันคารบอเนช่ันจะคอยๆ คืบหนาเขาไปในเนื้อคอนกรีตดวยอัตราที่ ชาลงเรื่อยๆ เพราะกาซคารบอนไดออกไซดตองแพรผานโครงสรางชองวาง (Pore Structure) ของ คอนกรีตและผานสวนที่ถูกคารบอเนตไปแลวซึ่งจะมีความพรุนนอยลง ทําใหซึมผานเขาไปไดยาก ข้นึ เนอื่ งจากการทาํ ปฏกิ ิริยาคารบอเนช่ันตองการทง้ั กาซคารบอนไดออกไซดแ ละนาํ้ ดังนนั้ ใน คอนกรีตท่ีอ่ิมตัวดวยน้ําหรือคอนกรีตท่ีแหงสนิทจะไมเกิดคารบอเนชั่น เน่ืองจากในคอนกรีตที่ อ่ิมตัวดวยนํ้าจะไมมีกาซคารบอนไดออกไซดซึมผานเขาไปไดมาก สวนในคอนกรีตที่แหงสนิทก็จะ ไมม นี ํา้ ในการทําปฏกิ ิริยา ดังนั้น คารบอเนชน่ั จะรุนแรง ในกรณที ม่ี ีความช้ืนสัมพัทธของอากาศอยู ระหวางก่ึงช้ืนแหง (Semi-Dry) นั่นคอื ความชื้นสัมพัทธอยูระหวางรอยละ 40 ถึงรอยละ 60 และมี กาซคารบ อนไดออกไซดใ นอากาศมาก ผลของคารบ อเนชน่ั คารบอเนชัน่ ทําใหเกดิ ผลที่สําคัญ 3 ประการคือ 1. ทําใหค วามพรนุ ของคอนกรตี บรเิ วณท่ีเกดิ คารบอเนชั่นตํ่าลง 2. ทําใหความเปนดางของคอนกรีตในบริเวณที่เกิดคารบอเนช่ันตํ่าลง เน่ืองจาก แคลเซียมไฮดรอกไซด (Ca(OH2)) ถูกใช ไปในปฏิกิริยาคารบอเนชั่น ผลในประการ แรกอาจจะเปน ผลดีตอ คอนกรตี ในเรื่องของความคงทน แตผลประการหลังจะสามารถ ทําใหเหล็กเสริมเปนสนิมได ถาคารบอเนชั่นเกิดเขาไปจนถึงตําแหนงเหล็กเสริมจนทํา ใหความเปน ดา งของคอนกรตี รอบเหลก็ เสรมิ ลดตา่ํ ลงจนใกลห รอื ต่าํ กวา ระดบั วกิ ฤต 3. ทําใหเกิดการหดตัว (Carbonation shrinkage) ซ่ึงเปนผลมาจากการท่ี กาซ คารบอนไดออกไซด ทําปฏิกิริยากับ แคลเซียมไฮดรอกไซด (Ca(OH)2) ภายใตหนวย
33 แรงอัด ทีเ่ กิดจากการหดตัวแบบแหง หรอื จากการทําใหแ คลเซียมซลิ ิเกตไฮเดรท (C-S- H) เกดิ การสญู เสียน้าํ (Dehydrate) ซ่ึงสง ผลใหเกดิ การหดตวั ผลของคารบ อเนช่นั ท้งั 3 กรณี ในกรณีที่ 2 คือกรณีท่ีทําใหความเปนดางในคอนกรีตลดลง จะเปนกรณีทีม่ ีผลเสยี ตอ ความคงทนของคอนกรีตมากท่ีสุด สวนในกรณีท่ี 1 คือ กรณีท่ีทําใหความ พรนุ ของคอนกรตี ลดลง จะเปนกรณีท่ีเปนผลดีตอความคงทนของคอนกรีต อยางไรก็ดี ในกรณีของ คอนกรตี เสรมิ เหล็กคารบ อเนช่ันจะมผี ลเสียมากกวาผลดีที่ไดจากการลดความพรุน ปจจยั ท่ีมีผลตอ การเกดิ คารบ อเนชั่น 1. ความช้ืนสัมพัทธของอากาศ ดังท่ีไดอธิยายไปแลวขางตนวา ความช้ืนสัมพัทธที่ไมช้ืนและ แหงเกินไปจะทาํ ใหเกิดคารบ อเนชนั่ รนุ แรง 2. ปริมาณกาซคารบ อนไดออกไซดในอากาศ ยง่ิ มากกจ็ ะทาํ ใหเ กิดคารบ อเนช่นั รนุ แรง 3. อุณหภูมสิ งู จะทาํ ใหป ฏิกริ ิยาคารบ อเนช่ันดําเนินไปเร็ว 4. ความพรุนของคอนกรตี คอนกรตี ทม่ี ีความทบึ นา้ํ ต่ําจะเกดิ คารบ อเนชน่ั ไดเร็วและมาก 5. การใชสารปอซโซลานบางชนิด จะทําใหเกิดคารบอเนช่ันมากข้ึนถาใชในปริมาณมาก เกนิ ไป 3.3.5.3 การทําลายโดยซัลเฟต เกลือซัลเฟต (SO42) ที่อยูในรูปของสารละลายสามารถทําอันตรายตอซีเมนตเพสตใน คอนกรีตได ตัวอยางของเกลือซัลเฟตท่ีพบมากในธรรมชาติและเปนอันตรายตอคอนกรีต เชน โซเดยี มซลั เฟต (Na2SO4) แมกนเี ซยี มซลั เฟต (MgSO4) และแคลเซยี มซลั เฟต (CaSO4) เปน ตน แหลง ของเกลอื ซลั เฟต เกลือซัลเฟตจะมอี ยูม ากในน้าํ ทะเล น้ํากรอย ในดนิ บรเิ วณรมิ ทะเล หรอื ในดนิ ท่ัวไป เกลือ ซัลเฟตชนิดท่ีพบมากที่สุดมักจะเปนเกลือโซเดียมซัลเฟต รองลงมาก็คือแมกนีเซียมซัลเฟต เกลือ ซลั เฟตยงั มกั จะพบอยใู นน้ําเสยี จากบานเรือน หรือตามแหลง นาํ้ พรุ อนธรรมชาติดว ย กลไกของการทําลายโดยซลั เฟต ในการศึกษาเร่ืองราวการทําลายโดยซัลเฟต สามารถทําไดโดยการนําตัวอยางซีเมนต เพสตมารตา หรือคอนกรีตไปแชในสารละลายโซเดียวซัลเฟต หรือ แคลเซียมซัลเฟต แตเน่ืองจาก
34 แคลเซียมซัลเฟตมีความสามารถในการละลายน้ําไดนอยมาก ดังน้ันจึงใชสารละลายโซเดียว ซัลเฟต (NS) และแมกนีเซียมซัลเฟต (MS) แทน เมื่อสารท้ังสองดังกลาวปรากฏอยูในดิน นํ้าทะเล น้ําเสีย ก็มีความจําเปนที่จะตองเขาใจกลไกลการทําลายโดยซัลเฟต เพี่อที่จะไดปองกันโครงสราง คอนกรีตจากส่งิ แวดลอมท่อี นั ตรายดงั กลา ว การทาํ ลายโดยโซเดียมซัลเฟต กลไกน้ีเริ่มตนเม่ือเกิดปฏิกิริยาระหวางโซเดียมซัลเฟต (NS) กับ แคลเซียมไฮดรอกไซด (CH) ทีเปนผลผลิตจากปฏิกิริยาไฮเดรช่ัน ดังแสดงในสมการ (3.11) ทําใหไดโซเดียมไฮดรอกไซด (NH) ซึ่งทําใหคา pH ของซีเมนตเพสตสูงข้ึนเปน 13.5 ซึ่งมากกวาคา pH ของสารละลาย CH อิ่มตัวท่ีมีคาเพียง 12.4 ดังนั้นจึงเปนการรักษาเสถียรภาพของ C-S-H และ Ettringite (C6ASH32) ไมใหทําปฏิกิริยากลายไปเปนผลิตผลอื่น สารยิปซั่ม (CSH2) ที่ไดจากสมการ (3.11) จะทํา ปฏิกิริยากับผลผลิตไฮเดรช่ันบางตัว เชน แคลเซียมอลูมิเนตไฮเดรต (C4AH13) โมโนซัลเฟต (C4ASH12) และ/หรือไตรแคลเซียมอลูมิเนต (C3A) ท่ีเหลือจากปฏิกิริยาไฮเดรชั่น ทําใหได Secondary Ettringite อีกดังแสดงในสมการ (3.12) ถึง (3.14) เน่ืองจากโดยธรรมชาติแลว Ettringite จะมีความหนาแนนต่ํากวาผลิตผลของปฏิกิริยาไฮเดรชั่นชนิดอ่ืนมาก จึงทําใหเกิดการ ขยายตัว ดังน้ันผลที่เกิดจากการทําลายโดยโซเดียมซัลเฟตจึงเปนการขยายตัวและการแตกราว ของคอนกรีต CH + NS + 2H CSH2 + NH (3.11) (3.12) C4AH13 + 3CSH2 + 14H C6ASH32 + CH (3.13) (3.14) C4ASH12+ 2CSH2 + 16H C6ASH32 C3A + 3CSH2 + 26H C6ASH32 โดยที่ C = CaO, N=Na2O, M=MgO, S=SiO2, S=SO3, H=H2O กลาวโดยสรุป การทําลายโดยโซเดียมซัลเฟตนั้นข้ึนอยูกับการเกิด Secondary Ettringite ดังแสดงในสมการ (5.7.2) ถึง (5.7.4) สารตั้งตนในสมการดังกลาวมีองคประกอบของอลูมิเนต ดังน้ันในการผลิตปูนซีเมนตจานทานโซเดียมซัลเฟต จึงมีเหตุผลท่ีตองจํากัดปริมาณ C3A ใหนอย กวารอยละ 5 ถาปริมาณ C3A มีอยูระหวางรอยละ 5 ถึง 8 การทําลายโดยซัลเฟตจะมีความเปนไป ไดท น่ี า จะเกดิ ขึ้น
35 นอกจากน้ียังมีองคประกอบอีกสองประการ ที่มีอิทธิพลตอการทําลายในลักษณะน้ีคือ ปริมาณ C4AF ซ่ึงแมวาจะทําปฏิกิริยากับโซเดียมซัลเฟตไดนอยกวา C3A แตมีกลไกการพัฒนา คลายกับการเกิด Ettringite แตมีการขยายตัวนอยกวา สวนองคประกอบอีกประการหน่ึงคือ NH ที่ เปนผลผลิตจากสมการ (3.11) ซ่ึงทําให Ettringite มีเสถียรภาพ ดังนั้นจึงทําใหการขยายตัวมีมาก ขนึ้ นอกจากนี้ ยิปซัม่ ท่ไี ดจ ากสมการ (3.11) ยงั มีปริมาตรมากกวาสารตงั้ ตน ดังน้ันถา ตองการผลิต ปูนซีเมนตท่ีตานทานซัลเฟตตองลดปริมาณ CH ลง พรอมๆกับการจํากัดปริมาณ C3A และ C4AF ในการลดปรมิ าณ CH ทําไดโ ดยการลดอัตราสว น C3S/C2S ลง หรือใชป ูนซีเมนตผสม การทาํ ลายโดยแมกนีเซยี มซลั เฟต กลไกการทําลายเร่ิมตนจากปฏิกิริยาในสมการ (3.15) อยางไรก็ตาม MH ที่เกิดข้ึนนี้ไม เหมือนกัน NH ตรงที่มีความสามารถในการละลายนํ้าท่ีนอยมาก และคา pH ของสารละลาย MH ทอี่ ม่ิ ตัวมคี า 10.5 ดงั น้นั จึงทําใหทงั้ C-S-H และ Ettringite ไมมีเสถยี รภาพ CH + MS + 2H CSH2 + MH (3.15) xMH + 0.5yS2H (3.16) CXSYHZ + xMS + (3x+0.5y-z)H xCSH2 M4SH8..5+ (n-4.5) H (3.17) 4MH + SHn ผลกระทบจากการทม่ี ีคา pH ต่าํ มีดังนี้ 1.Secondary Ettringite จะไมเกดิ ขน้ึ 2.MS จะทําปฏิกิริยา กับ C-S-H ดังแสดงในสมการ (3.16) ไดยิปซั่ม (CSH2) Brucite (MH) และ Silica Gel (S2H) ซ่ึง Gel น้จี ะมคี วามสามารถในการประสานไดนอยกวา ของ C-S-H 3.C-S-H มีแนวโนมแตกตัวให Lime ทําใหคา pH สูงข้ึน โดย Lime น้ีจะไปทําปฏิกิริยา กบั MS ทําใหได MH มากขน้ึ ดงั แสดงในสมการ (3.15) 4.ความเขมขนของยิปซ่ัมและ Brucite ในซีเมนตเพสตท่ีแข็ง มีมากขึ้น ในขณะที่ C-S-H ยังสญู เสยี Lime ตอ เนอ่ื ง และมีความสามารถในการประสานนอยลง 5.การลดลงของ MH นั้นมาจากการท่ี MH ทาํ ปฏกิ ิรยิ ากบั S2H ดงั แสดงในสมการ (3.17) ได M-S-H ซึง่ ไมมีความสามารถในการประสานเลย ดังน้ันกลไกในการทําลายโดยแมกนีเซียมซัลเฟตจะเร่ิมตนจากสมการ (3.16) ถึง (3.17) โดยการเปล่ียน C-S-H เปน M-S-H ซึ่งไมมีความสามารถในการประสานเลย การทําลายดังกลาว
36 จะทําใหเกิดการออนตัวและเส่ือมสภาพของผิวซีเมนตเพสตที่แข็งตัว และเกิดการสะสมของยิปซั่ม และ Brucite อยางไรก็ดีในท่ีสุด Brucite จะถูกเปล่ียนไปเปน M-S-H ดังแสดงในสมการ (3.17) โดยทีไ่ มเกิดการขยายตัวมากอยางกรณกี ารทําลายโดยโซเดียมซลั เฟต ปจ จัยที่มีผลตอการทําลายโดยซลั เฟต 1.ส่งิ แวดลอมทีม่ ีซลั เฟต ตลอดจนความเขมขนของซัลเฟต ถาความเขมขนของซัลเฟตสูง ก็จะมกี ารทาํ ลายท่รี ุนแรงมากขึ้น 2.ความทึบนํ้าของคอนกรีต คอนกรีตท่ีมีความทึบน้ําสูงจะทําใหซัลเฟตซึมผานเขาไปใน คอนกรีตไดยากขึ้น ทําใหระดับความรนุ แรงลดลง 3.ปริมาณ C3A และ C4AF ในปนู ซเี มนต ปนู ซีเมนตท ีม่ ีปริมาณ C3A และ C4AF นอ ยจะมี แนวโนมท่ีจะตานทานการทําลายของซัลเฟตไดดีกวาปูนซีเมนตท่ีมีปริมาณ C3A และ C4AF สูง และปนู ซเี มนตท ่มี ีอัตราสว น C3S ตอ C2S ต่ําก็จะมีความตานทานซัลเฟตดขี ึน้ 4.ปริมาณ Ca(OH)2 .ในคอนกรีต ถาสามารถลดปริมาณ Ca(OH)2 ในคอนกรีตไดก็จะ ชวยลดความรุนแรงลงไดดวย วิธีการลด Ca(OH)2 ในคอนกรีตอาจทําไดโดยการใชสารปอซโซลาน แทนทีป่ นู ซีเมนตบ างสวน 3.3.5.4 การทาํ ลายโดยคลอไรด สภาวะแวดลอมท่ีมีคลอไรดเปนสาเหตุหน่ึงที่ทําใหเกิดการกัดกรอนของเหล็กเสริมได โดยอิออนของคลอไรด (Chloride Ions) เปนตัวการที่ทําใหความเปนดางของคอนกรีตที่ปองกัน เหล็กเสริมไมใหเกิดสนิมลดลง และหลังถึงจุดวิกฤตแลว ถามีน้ําและออกซิเจนเพียงพอ ก็จะทําให เหล็กเกดิ สนิมได คลอไรดอาจมีอยใู นคอนกรีตเอง เชน มีอยูในนํ้าท่ีใชผสมคอนกรีต หิน ทราย (โดยเฉพาะ อยางย่ิง ในทรายจากแหลงใกลทะเล) หรือน้ํายาผสมคอนกรีตบางชนิด เชน แคลเซียมคลอไรด (CaCl2) ที่มักมีอยูในสารเรงการกอตัว อยางไรก็ตาม ไดมีการกําหนดมาตรฐานไวสําหรับปริมาณ คลอไรดที่ยอมรับไดในคอนกรีตสด (วสท. 1014-40) แตปญหาของคลอไรดท่ีกระทบตอความ ทนทานของคอนกรีตน้ัน สวนมากจะมาจากภายนอกคอนกรีตในชวงท่ีใชงาน เชน จากนํ้าทะเล จากดิน หรือจากเกลือที่ใชละลายนํ้าแข็งในประเทศที่มีอากาศหนาว (De-Icing Salt) ซ่ึงคลอไรด อาจจะเขา สคู อนกรีตไดโ ดยวิธี ดังตอ ไปน้ี
37 1. การซึมผา นเขา ไปในคอนกรีตท่แี หง ของน้าํ ทม่ี คี ลอไรด (Capillary Suction) 2. การแพรของอิออนของคลอไรด (Chloride Ions) จากภายนอกที่มีความเขมขนของ คลอไรดส งู กวา ภายในของคอนกรตี 3. การซึมผานเขาไปในคอนกรีตของนํา้ ท่มี ีคลอไรด โดยแรงดนั ของนํ้า โดยทั่วๆ ไปแลวแหลงของคลอไรด ท่ีมีผลกระทบตอโครงสรางคอนกรีตน้ันมาจากน้ําทะเล สําหรับคอนกรีตท่ีแชอยูในน้ําทะเลตลอดเวลาน้ัน ถึงแมคลอไรดสามารถซึมผานเขาไปในคอนกรีต ไดดี แตถาไมมีออกซิเจน การเกิดสนิมของเหล็กเสริมก็ไมสามารถเกิดขึ้นได จึงไมเปนปญหานัก ความเสี่ยงที่จะเกิดการกัดกรอนของเหล็กเสริมมากท่ีสุด มักพบในบริเวณคลื่นและละอองนํ้า (Splash Zone) รองลงมาเปนบริเวณใตนํ้าทะเล (Submerged Zone) จะมีความเสี่ยงตอการกัด กรอนเหล็กเสริมนอยมาก ในบริเวณใตน้ําทะเลความเส่ียงตอการเกิดสนิมของเหล็กเสริมมีนอย เนื่องจากมีความเขมขนของออกซิเจนนอย และอัตราการแพรของออกซิเจนเขาไปในคอนกรีตต่ํา มาก เนื่องจากชองวางภายในคอนกรีต เปนชองวางอิ่มตัวดวยน้ํา ซึ่งออกซิเจนละลายน้ําไดนอย มาก ทําใหอัตราการแพรเกิดขึ้นนอย ถึงแมวาจะมีปริมาณออกซิเจนมาก ในบริเวณน้ําขึ้นน้ําลง แต การเกิดสนิมก็ถูกจํากัด โดยอัตราการแพรท่ีต่ําของออกซิเจน ผานชองวางท่ีอิ่มตัวดวยน้ําของ คอนกรีตในชว งทคี่ อนกรีตเปยก 4 3 ระดบั นํา้ สงู สดุ 2 ระดับนา้ํ ตา่ํ สดุ 1 ภาพท่ี 3.10 ความเสย่ี งทจี่ ะเกิดการสนมิ ตามสงิ่ แวดลอมยอ ยโดย 1. บรเิ วณใตน ํ้า 2.บริเวณนาํ้ ขึน้ นาํ้ ลง 3.บรเิ วณคล่นื และละอองนา้ํ ทะเล 4.บริเวณบรรยากาศของทะเล (คณะอนุกรรมการคอนกรตี และวัสดุ วสท., 2543)
38 ในกรณีของสภาพเปยกสลับแหงนั้น นํ้าทะเลจะเขาสูคอนกรีตท่ีแหงโดย Absorption หรือ Capillary Suction จนกระท่ังคอนกรีตอยูในสภาพอิ่มตัว (Saturated) เม่ือสภาพภายนอก เปล่ียนเปนแหง น้ําที่ผิวคอนกรีตก็จะระเหยออกไป ท้ิงไวแตคราบเกลือ เม่ืออยูในสภาพเปยกอีก ความเขมขนของคลอไรดที่ใกลผิวกจ็ ะสูงข้ึน ดังน้ัน อิออนของคลอไรด (Chloride Ions) ซึ่งมีความ เขมขนสูงท่ีบริเวณผิว จะซึมเขาสูภายในโดยการแพร ซ่ึงในแตละรอบของการเปยกและการแหงจะ ทําใหคลอไรดบริเวณใกลผิวมีความเขมขนสูงข้ึนเร่ือยๆ และจะเขาไปสูภายในคอนกรีตและสู บริเวณ เหล็กเสริมมากข้ึน โดยปกติแลวคอนกรีตจะเปยก (Saturated) ไดเร็ว แตจะแหงไดชากวา มาก และภายในของคอนกรตี นน้ั ไมสามารถทําใหแ หงไดโ ดยสมบูรณ ดงั น้ัน การแพรข องอิออนของ คลอไรดเขาไปในคอนกรีตที่แชอยูในน้ําทะเลตลอดเวลาจึงชากวาการเขาไปของคลอไรดโดยการ เปย กสลับแหงโดยน้าํ ทะเล การเคลอ่ื นตัวของออิ อนของคลอไรดไปในคอนกรีตนน้ั ขนึ้ อยูกบั ระยะเวลาของสภาพเปยก และแหง ซ่ึงขึ้นอยูกับสถานที่และสภาพแวดลอม เชน อุณหภูมิ ความชื้น การไหลของน้ําทะเล ทิศทางลม ทศิ ทางแสงอาทิตย และการใชงานของโครงสราง เปนตน ทําใหในโครงสรางเดียวกันแต ละสวนอาจจะประสบกับสภาวะเปยกและแหงไดไมเหมือนกัน โดยทั่วไปแลวคอนกรีตที่สภาพแหง นานกวาสภาพเปยกมักจะเรงใหอิออนของคลอไรดเ ขาสูคอนกรีตไดเร็วข้ึน ดังน้ันคอนกรีตที่ถูกนํ้า ทะเลเปนบางครั้ง (ชวงแหงนาน) จะมีโอกาสเกิดปญหาการกัดกรอนของเหล็กเสริม มากกวา คอนกรตี ทปี่ ระสบกับสภาวะชว งแหงส้ัน การกัดกรอนจะเริ่มเกิดขึน้ ก็ตอเม่ือ ปริมาณอิออนของคลอ ไรด (Chloride Ions) มีมากพอที่ผิวของเหล็กเสริม (Threshold Content of Chloride Ions) ซ่ึงทํา ใหคา ความเปน ดา งของคอนกรีตลดลงจนถงึ ระดับวิกฤต สภาวะของคลอไรดใ นคอนกรีต คลอไรดเมื่ออยูในคอนกรีตนั้น จะมีคลอไรดบางสวนที่ถูกจับยึด (Fixed Chloride) โดย กลไกดงั ตอไปนี้ 1. Chemical Binding คลอไรดบางสวนจะถูกจับโดยผลผลิตของปฏิกิริยาไฮเดรชั่น เชน ผลผลติ ของหรอื แมแตอ ยูในโครงสรางของผลติ ผลของปฏกิ ิรยิ าไฮเดรชัน่ 2. Physical Binding คลอไรดบางสวนสามารถถูกยึดดวยแรงทางกายภาพ (Surface force) ไดบนผิวของผลผลิตไฮเดรชั่น เชน C-S-H และ C-A-H เปนตน อีกท้ังยัง สามารถถูกยดึ อยูบนผวิ ของวสั ดทุ เ่ี ปน ของแขง็ ที่ไมม ปี ฏิกริ ยิ า เชน มวลรวม หรอื ผงฝนุ หินไดดวย ถึงแมจะเปนปรมิ าณนอ ยมากกต็ าม
39 คลอไรดสวนที่ไมถูกจับยึดเรียกวา คลอไรดอิสระ (Free Chloride) ซ่ึงจะมีสภาพเปน สารละลายอยใู นน้าํ ท่ีอยูใ นชองวา งของคอนกรีต (Pore Solution) คลอไรดอิสระน้ีเปนสวนของคลอ ไรดท่ีสามารถแพรเขาไปยังคอนกรีตที่มีความเขมขนของคลอไรดอิสระต่ํากวา และเปนสวนท่ีทําให ความเปนดางในคอนกรีตลดลง ดังนั้นถาสามารถจับยึดคลอไรดไวเปนจํานวนมาก ก็จะสามารถ ยดื เวลาของการเกิดสนมิ ในเหลก็ เสรมิ ออกไปได การเพ่ิมขึ้นของความเขมขนขอบคลอไรดบรเิ วณใกลผิวท่ีสมั ผสั กับส่ิงแวดลอ มคลอไรด ความเขมขน ของคลอไรดบริเวณผวิ ของคอนกรีตท่ีสัมผัสกับส่ิงแวดลอมคลอไรด เชน ทะเล เปน เวลานาน จะมคี วามเขม ขนของคลอไรดในสารละลายท่อี ยใู นชอ งวางของคอนกรตี สูงกวาความ เขม ขนของคลอไรดในสิ่งแวดลอมได ปรากฏการณนี้เรียกวา Chloride Condensation ซ่ึงเกิดไดใน 2 ลักษณะดังนี้ 1. ในกรณีของสภาวะเปยกสลับกับแหงดวยนํ้าทะเล ในขณะท่ีบริเวณผิวคอนกรีตแหง คอนกรีตจะสูญเสียเฉพาะนํ้าซง่ึ จะระเหยออกจากผิวของคอนกรีต ทิ้งเกลือไวในบริเวณผิวคอนกรีต ท่ีแหง แตพอคอนกรีตเขาสูสภาวะเปยก น้ําเกลือจะซึมเขาไปในคอนกรีตอยางรวดเร็ว เม่ือสภาวะ เปยกสลับแหงดําเนินไปหลายๆรอบ ก็จะทําใหความเขมขนของคลอไรดในบริเวณผิวของคอนกรีต สงู กวา ในส่ิงแวดลอมได 2. ในกรณีของสภาวะเปยกตลอดเวลาในนํ้าทะเลหรือนํ้าใตดินที่มีเกลือ ในกรณีน้ีคลอไรด ในส่ิงแวดลอมสามารถถูกดึงเขาไปในชองวางของคอนกรีตไดดวยแรงทางประจุไฟฟา เนื่องจากผิว ของชองวางในคอนกรีตซึ่งมักจะเปนผลผลิตทางไฮเดรช่ัน เชน แคลเซียมซิลิเกตไฮเดรท (C-S-H) จะมีคุณสมบตั ิทางศักยไฟฟาเปนบวกซึ่งสามารถดึงคลอไรดในส่ิงแวดลอมซึ่งมีประจุเปนลบเขาไป ได อยางไรก็ดี ในสภาพของสิ่งแวดลอมท่ีเปยกตลอดเวลา ถึงแมคลอไรดจะเขาไปในคอนกรีตได มากก็มักไมเปนอันตรายตอเหล็กเสริม เน่ืองจากไมมีออกซิเจนเพียงพอในการเกิดสนิม ยกเวนแต วา ในบรเิ วณที่ติดกับคอนกรีตจะมีสวนท่ีมีสภาวะแหงไดดวย เชน บริเวณผิวดิน ซึ่งคลอไรดที่เขาไป อาจแพรเขาไปสูบริเวณท่ีสามารถแหงได ทําใหปริมาณคลอไรดในคอนกรีตบริเวณผิวดินมีมากขึ้น และในบรเิ วณผิวดนิ ซ่ึงมอี อกซเิ จนมากเพียงพอ จึงอาจนําพาใหโครงสรางบริเวณผิวดินเกิดสนิมใน เหลก็ เสรมิ ได
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: