Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Ebook2

Ebook2

Published by supaneeprachan, 2021-09-08 13:55:11

Description: Ebook2

Search

Read the Text Version

ศูนยอ์ าชีวศึกษาทวิภาคี สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 2 การกากับ ดูแล นกั ศกึ ษาอาชวี ศึกษาทวภิ าคี กรอบแนวคดิ แนวทางการกากับ ดูแล นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาทวิภาคี เพ่ือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ในการปฏิบัติงาน ครูฝึกต้องมีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาวัยรุ่นและจิตวิทยาในการทางาน ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางาน จรรยาบรรณวิชาชีพ ความมีคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ความมีมนุษยสัมพันธ์ การมีวินัยในการทางาน ความรู้ดังกล่าวส่งผลให้ครู ฝึกในสถานประกอบการมีความเข้าใจพฤติกรรมวัยรุ่น สามารถกากับดูแลนักศึกษาอาชีวศึกษาทวิ ภาคไี ดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ จดุ ประสงค์ทั่วไป เ ส ริ ม ส ร้ า ง ใ ห้ค รู ฝึก ใ น สถ า นป ระก อ บ ก า ร มี ค วา ม รู้ค วา ม เ ข้ าใ จ เก่ี ย วกั บ จิต วิท ยาวัยรุ่น และจติ วิทยา ในการทางานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย จรรยาบรรณวิชาชพี คณุ ธรรม จริยธรรม คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ ความมีมนุษยสมั พันธ์ การมีวนิ ัย และมเี จตคติที่ดตี ่อการกากบั ดูแลนักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษาทวภิ าคี จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. อธบิ ายหลกั การทางจติ วทิ ยาวัยรนุ่ และจติ วทิ ยาในการทางาน 2. อธิบายหลกั ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางาน 3. อธิบายหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ คุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของนักเรยี นนกั ศกึ ษา 4. อธิบายหลักการเสริมสร้างวินยั นักเรยี นนกั ศกึ ษา 5. อธิบายหลกั มนษุ ยสัมพันธ์ในการทางาน

2.1 จติ วิทยาวยั รุ่นและจติ วิทยาในการทางาน 2.1.1 ความหมายและความสาคญั ของหลักจติ วทิ ยา ชีวิตมนุษย์ดาเนินไปด้วยสัญชาตญาณ และวิจารณญาณในตนเอง การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เปน็ สงั คมนัน้ จาเป็นต้องจัดการความคิดและพฤติกรรมของตนใหเ้ หมาะสมกับการปฏิสัมพนั ธ์กับผู้อื่น ตามสถานภาพ และบทบาทอันเป็นผลจากการกล่อมเกลาทางสังคม การจัดการพฤติกรรมได้ดี จาเปน็ ต้องใช้หลักจิตวทิ ยา เพอื่ เข้าใจตนเองและผูอ้ นื่ ความหมายของจิตวทิ ยา จิตวิทยา (Psychology) มาจากรากศัพท์ Psyche หมายถึงจิตวิญญาณ กับคาว่า Logos หมายถงึ ศาสตร์ วทิ ยาการ ดังนน้ั จติ วทิ ยา จงึ หมายถึง วชิ าทีว่ ่าด้วย จิต เปน็ วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง ว่าด้วยปรากฏการณ์พฤตกิ รรมและกระบวนการของจิตมนุษย์ ความสาคญั ของหลักจติ วทิ ยา จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ เพื่อเข้าใจสาเหตุพฤติกรรมของบุคคล เพราะบุคคล แต่ละคน ย่อมมีบุคลิกภาพ ทัศนคติต่างกัน การเข้าใจบุคคล การเข้าใจตนเอง จึงมคี วามสาคัญต่อการอยูร่ ว่ มกัน การศกึ ษาหลักจิตวิทยาน้ัน มี 5 ประการ ดังน้ี 1) ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจตนเอง ยอมรับตนเอง จัดการตนเองเหมาะสม กับสถานการณ์ 2) เกิดการเขา้ ใจผู้อน่ื ช่วยในการปรบั ตัวของบคุ คลในสถานการณ์ทีป่ ระสบ 3) เปน็ พ้ืนฐานการคิดในการบญั ญัติกฎหมาย และสร้างกฎเกณฑ์ทางสังคม 4) หลักจิตวิทยา เมื่อมีการนามาปรับใช้ จะช่วยลดปัญหาพฤติกรรม และปัญหา สังคมได้ 5) ความร้ทู างจิตวิทยา มผี ลตอ่ คุณภาพชวี ติ ของบคุ คล ทาใหม้ คี วามรู้ในการพัฒนา ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสตปิ ัญญา ทาใหก้ ารดาเนนิ ชวี ิตถูกตอ้ งและเป็นประโยชน์ ทง้ั นี้ หลักจิตวิทยา มหี ลายสาขา มุ่งเน้นศึกษาพฤตกิ รรมตามเปา้ หมายและวัตถปุ ระสงค์ของ แต่ละสาขา เชน่ จิตวิทยาสังคม จติ วทิ ยาองคก์ าร จิตวิทยาอุตสาหกรรม จติ วทิ ยาวยั รุ่น เป็นต้น กรณี การศึกษาเพื่อกากับดูแล นักศึกษาอาชีวศึกษาซ่ึงอยู่ในช่วงวัยรุ่นให้มีพฤติกรรมการฝึกงาน ได้บรรลุ วัตถปุ ระสงค์ ครูฝึกในสถานประกอบการจงึ จะตอ้ งมีความรูเ้ รื่องจิตวทิ ยาวยั ร่นุ

2.1.2 คุณลกั ษณะของวัยรุ่นกบั การรบั ร้พู ฤตกิ รรมในการทางาน วัยรุ่นเป็นวัยช่วงต่อระหว่างวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่ เป็นช่วงระยะแห่งการเปลี่ยนแปลง ทัง้ ร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสงั คม จึงมผี ลตอ่ พฤตกิ รรมการรบั รใู้ นการทางาน พัฒนาการทางสังคม จิตวทิ ยาในวัยรุ่น แบง่ เป็น 3 ชว่ งวยั คอื วัยร่นุ ตอนต้น อายุ 10-13 ปี วัยร่นุ ตอนกลาง 14-17 ปี และ วยั รุน่ ตอนปลาย 18-21 ปี มคี ุณลักษณะทวั่ ไปดงั น้ี คุณลกั ษณะของวัยรนุ่ นักจติ วิทยาได้วิเคราะห์พัฒนาการทางจิตวิทยาของวัยร่นุ ทงั้ 3 ชว่ งวยั ไวด้ ังนี้ 1) วัยรนุ่ ตอนต้น อายุ 10 – 13 ปี ลกั ษณะท่ัวไป (1) ด้านรา่ งกาย เจรญิ เตบิ โต เพิม่ ขนาด ความสูง น้าหนัก สรรี ะเข้าสูว่ ยั เจริญพนั ธ์ุ (2) ด้านอารมณ์ สนใจเร่ืองเพศ ซ่ึงผู้ใหญ่ควรให้ความรู้ท่ีถูกต้องทั้งทางโลก และทางธรรม เพราะชว่ งนอี้ ารมณอ์ ่อนไหวปรวนแปร (3) พัฒนาการทางสังคม วัยรุ่นช่วงนี้จะให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมกับพ่อ แม่น้อยลง เร่ิมต่อต้านฝ่าฝืนคาส่ัง ทั้งที่ลึกๆ ในใจยังต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้ใหญ่ กลุ่มเพื่อนจะมีบทบาทมาก และเป็นเพศเดียวกัน พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้เด็กมีความเป็นสว่ นตัวและ คอยสงั เกตการณ์อยู่ห่างๆ เพราะวัยนี้จะยดึ ตนเองเป็นศูนยก์ ลาง 2) วัยรนุ่ ตอนกลาง อายุ 14 -17 ปี ลักษณะทว่ั ไป (1) ดา้ นร่างกาย อัตราความเจรญิ เติบโตลดลง มคี วามเป็นหนุม่ เป็นสาวเกอื บ เท่าผ้ใู หญ่ มคี วามพร้อมด้านรา่ งกายเข้าส่รู ะยะเจรญิ พันธุ์ (2) ด้านอารมณ์ สนใจตนเอง มีค่านิยมตามเพ่ือนในกลุ่ม จะมีความขัดแย้ง กบั พอ่ แมม่ ากทีส่ ุด เพราะตอ้ งการอิสระและเปน็ ตัวของตนเอง (3) ด้านพฤติกรรมพัฒนาการทางสังคม เริ่มเรียนรู้สังคมภายนอกห้องเรียน นอกครอบครัวมากข้ึน เริ่มมีกิจกรรม และมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม มีการฝ่าฝืนกฎระเบียบ กติกาสงั คม เน่ืองจากทดลองเรยี นรสู้ ง่ิ ใหม่ๆ เพอื่ ทดสอบตนเอง ชว่ งวัยนี้ไม่ชอบใหม้ ีการบังคับหรือส่ัง การ แต่ชอบทากจิ กรรมกลุม่ กับเพอื่ น วยั นเ้ี พือ่ นมีอิทธพิ ลมากท่สี ุด ซ่ึงอาจชักจูงไปทางถกู หรือผิดก็ได้ ข้นึ อยูก่ บั การประคับประคองของผู้ใหญ่ ควรสร้างเสริมใหว้ ยั รนุ่ เห็นคุณคา่ และภาคภูมใิ จในตนเอง

3) วัยรุน่ ตอนปลาย อายุ 18-21 ปี ลักษณะท่ัวไป (1) ด้านร่างกาย มีความสมบูรณ์เป็นผู้ใหญ่เต็มท่ี พร้อมในการเจริญพันธุ์ ทง้ั เพศหญงิ และเพศชาย (2) ด้านอารมณ์ มีความรู้สึกอิสระ เป็นตัวของตัวเอง จากการต่อต้านผู้ใหญ่ เปลี่ยนเป็นเข้าใจถึงความรกั ความปรารถนาดขี องผใู้ หญ่ (3) พัฒนาการทางสังคม เร่ิมเห็นคุณค่าของพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ สร้างความ สัมพันธ์กับพ่อแม่ ลักษณะผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ แต่วัยรุ่นบางคนอาจมีความสับสนไม่ม่ันใจตนเอง ในการ แยกตัวอิสระตามวัย ทาให้เกิดปัญหาชีวิตได้ นักจิตวิทยาเรียกภาวะน้ีว่า “Crisis of 21” อาจเกิด ภาวะซึมเศร้า แก้ปัญหาไม่ได้ ฆ่าตัวตาย ช่วงนี้วัยรุ่นจะมีความคิด ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล มีวิจารณญาณมากขึ้น เพ่ือนจะมีบทบาทน้อยลง เนื่องจากวัยรุ่นช่วงปลายจะมีความรู้สึกนึกคิด และ มีค่านิยมที่เป็นตัวของตัวเอง มีเอกลักษณ์ของตน จะมีเพ่ือนสนิทรู้ใจ เป็นตัวบุคคล มากกว่า กลุ่มเพื่อนสนใจ เพศตรงข้าม มีความรับผิดชอบ มีการวางแผน คานึงถึงวัฒนธรรม บางคนอาจ วางแผนชีวติ สรา้ งครอบครัว ช่วงน้สี ามารถปลูกฝงั คุณธรรมจรยิ ธรรมไดด้ ี กรอบแนวคิดคุณลักษณะ 3 ช่วงวัยของวัยรุ่นมีพัฒนาการต่างกัน เป็นช่วงเวลาท่ีวัยรุ่น จาเปน็ ตอ้ งมีการปรบั ตัว เรียนรู้ ฝึกทกั ษะด้านต่างๆ เพ่ือเปน็ พื้นฐานชวี ติ ในอนาคต เมอ่ื เข้าสวู่ ัยผใู้ หญ่ ท้ังนผ้ี ปู้ กครอง ครู และวัยรนุ่ เองควรสนใจเอาใจใส่ เพอื่ ให้ผ่านระยะเวลาทถ่ี ือวา่ เปน็ มรสมุ ของชีวิตได้ อย่างปลอดภัย เพอ่ื การเป็นผใู้ หญท่ ด่ี ีและมคี ุณภาพตอ่ ไปในอนาคต 2.1.2 วยั รนุ่ กับการรบั รู้พฤติกรรมในการทางาน การฝึกอาชีพหลักสูตรทวิภาคีในสถานประกอบการ เป็นการเตรียมชีวิตวัยรุ่นเข้าสู่ โลกอาชีพ ครูฝึกจาเป็นต้องปลูกฝังทัศนคติที่ดีให้กับนักเรียนนักศึกษา โดยครูฝึกต้องศึกษาหลักการ รบั รู้ เพอ่ื ปรบั พฤติกรรมในการทางานของนักเรียนนักศึกษาในความรับผิดชอบ ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ 1) องค์ประกอบของพฤตกิ รรมท่ีพึงประสงคใ์ นการทางาน มี 7 ประการดงั น้ี (1) ทางานเชงิ รุก (2) มีเปา้ หมายและแผนงานก่อนเรมิ่ ลงมอื ทา (3) จัดประเภทและจดั ลาดบั การทางาน (4) ใชว้ ธิ กี ารทางานแบบ ชนะ - ชนะ (5) พยายามเขา้ ใจผอู้ ่ืนกอ่ นทจ่ี ะให้ผู้อืน่ เข้าใจตน (6) ทางานดว้ ยความสร้างสรรค์ เพิ่มพูนประสบการณ์ (7) พฒั นาสมรรถภาพในการสรา้ งผลงาน

ครูฝึกต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อพฤติกรรมที่พึงประสงค์ในการทางาน 7 ประการ ให้กับนักเรียน นักศึกษาในการปกครองดูแลโดยตระหนักถึงคุณลักษณะของวัยรุ่น และสร้างแรงจูงใจในการทางาน โดยการใช้ทักษะท่ีหลากหลาย สร้างเอกลักษณ์ในงาน ให้ความสาคัญและให้อิสระในการทางานที่ มอบหมาย และต้องให้ข้อมูลสะท้อนกลับแก่นักเรียนนักศึกษาในทันที เพ่ือให้พวกเขารู้สึกวา่ เป็นสว่ น หน่งึ ของงานและร้สู ึกว่างานที่ได้รบั มอบหมายนั้นมีความสาคัญ ซึง่ ถือเปน็ การยอมรับในตัวตนของเขา ซงึ่ เป็นสงิ่ ทวี่ ยั รุ่นทุกคนต้องการ 2) การเพิม่ ทักษะการทางานดว้ ยการเรียนรโู้ ดยการใชป้ ัญญา ประกอบด้วยหลักปฏิบัติ 4 ประการ ดงั นี้ (1) เรียนรู้จากความรสู้ ึกของตน (2) เรยี นร้จู ากการสังเกตงานทท่ี า (3) เรียนรู้จากการคดิ ในกระบวนการทางาน (4) เรียนรู้จากการทดลองทาดว้ ยตนเอง การเรียนรู้ชิ้นงานของนักเรียนนักศึกษา ครูฝึกต้องลาดับข้ันการฝึกตามหลักจิตวิทยาวัยรุ่น ด้วยการสอื่ ภาษาข้อมลู งาน ใหร้ บั ร้ดู ว้ ยเหตุผล ประกอบการใช้ทักษะทางกาย และการมเี จตคติที่ดีใน การสอนงาน เพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้อยู่กับความสามารถในการเรียนรู้ ประสบการณ์ใน สภาพแวดล้อมที่ได้เรียนรู้ และกระบวนการใช้ปัญญาของแต่ละบุคคล หากใช้วิธีการน้ีย่อมฝึกทักษะ งานในวัยรุ่นให้ไดร้ บั ผลสาเร็จเป็นอยา่ งดี 3) การรับรู้ และการเรยี นรู้ การเรียนรู้งานตามหลักการต้องอาศัยการสร้างแรงจูงใจให้กับนักศึกษา ครูฝึก ต้องปฏบิ ัตติ ามขนั้ ตอน 3 ประการ เพ่ือผลแหง่ การเรยี นรู้ ได้แก่ (1) การประเมินสถานการณ์ก่อนการฝึกอบรม ครูฝึกต้องศึกษาความ ต้องการและคณุ สมบตั ขิ องนกั เรียนนักศกึ ษารายบุคคล (2) การสร้างวัตถุประสงค์การฝึกในแต่ละชิ้นงานโดยคานึงถึงความรู้สึก พฤตกิ รรมของ ผฝู้ กึ อบรม (3) การสร้างบรรยากาศทดี่ ีในการฝกึ อบรม ดว้ ยรอยยิ้มและมติ รภาพ

การรับรู้ และการเรยี นรู้ พิจารณา ข้อมูลดังต่อไปน้ี ตารางท่ี 1 การรบั รแู้ ละการเรยี นรู้ ทกั ษะ ประสาทสัมผสั ลักษณะกจิ กรรม การมองเห็น ตา การอา่ น สังเกต ใชอ้ ปุ กรณ์ โปรแกรมการเรียน การไดย้ ิน หู การบรรยาย ฟงั อภปิ ราย ทบทวน การไตร่ตรอง ปัญญา การคิด ทดสอบ สรา้ งความสัมพนั ธ์ วจิ ยั การพูด หู การบอกเลา่ คาถาม อภปิ ราย โตแ้ ยง้ การเขียน สมั ผสั การจด จดั ระเบยี บความคดิ วาดภาพ การปฏิบัติ สมั ผสั การเลยี นแบบ ทาแบบฝกึ มสี ว่ นร่วม การบญั ญัติ การรับรู้ การพสิ จู น์ การจนิ ตนาการ ค้นพบ ทดลอง ทดสอบ การมอบหมายชิ้นงานและฝึกทักษะด้วยประสาทสัมผัส ย่อมก่อให้เกิดการรับรู้ในงานและ สามารถปฏิบัติงานที่มอบหมายได้สาเร็จลุล่วง โดยครูฝึกต้องคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ในการทางานวัดจากความฉลาดด้านภาษา เหตุผล การคานวณ มิติสัมพันธ์ ดนตรี กายภาพ การมองเห็นตนเอง และการมีสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะหรือบุคลิกภาพของ นกั เรยี น นักศกึ ษาผู้นัน้ กล่าวได้ว่า ครูฝึกต้องรู้จักตนเองและบุคลิกภาพของนักเรียนนักศึกษารายบุคคล ถือเป็น ปัจจัยเบ้ืองต้นในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังนี้พัฒนาการในแต่ละช่วงอายุของวัยรุ่นแต่ละคน จะแตกต่างกันไปตามปัจจัยเกื้อกูล ได้แก่ ลักษณะทางพันธุกรรม การเลี้ยงดู ภาวะโภชนาการ ปัญหา สุขภาพร่างกายและสังคมแวดล้อม เป็นสิ่งท่ีครูฝึกควรนาข้อมูลมาใช้ในการทาความเข้าใจผเู้ รียนเปน็ รายบุคคล เพือ่ ผลแห่งการสอนงานได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ มีความสขุ และบรรลเุ ป้าหมายของงาน 2.1.3. พฒั นาการทางสังคมจติ วทิ ยาของวยั รุ่น ครูฝึกเม่ือมีความรู้เก่ียวกับคุณลักษณะโดยท่ัวไปของวัยรุ่นที่มีอิทธิพลต่อการสอนงาน และ การรับรู้งานแล้วจาเป็นต้องประมวลความรู้ ให้เข้าใจพัฒนาการทางสังคมจิตวิทยาของวัยรุ่น เพื่อจะ ได้มีปฏสิ มั พันธอ์ นั ดตี ่อกันตลอดไป สรุปพฒั นาการดงั กล่าวมดี งั น้ี 1) พัฒนาการทางสังคมแต่ละช่วงวัยของวัยรุ่นตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลาย จะแตกต่างกันใน ระยะต้น เป็นพัฒนาการทางด้านสรีระ และสัญชาตญาณ วัยรุ่นตอนกลางจะเริ่มมี ความคดิ เป็นอิสระในตนเอง ต้องการออกจากกรอบ มีปญั หาท่ีให้เพื่อนเป็นกลุ่มชว่ ยรับฟัง และมีการ ร่วมมือในกลุ่มสูงกว่าปัจเจกบุคคล ส่วนวัยรุ่นตอนปลายจะมีวิจารณญาณสูงข้ึนกว่าสัญชาตญาณ

เร่ิมใช้เหตุผลที่ถูกต้องในการพิจารณาสิ่งที่ประสบด้วยปัญญาและมีความรับผิดชอบ ใช้อารมณ์ น้อยลง มีความเปน็ ผู้ใหญเ่ กอื บสมบูรณ์ 2) พัฒนาการทางด้านการรับรู้สิ่งต่างๆ เพื่อความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและงาน อาชีพ โดยวัยร่นุ ช่วงตน้ มเี ปา้ หมายชีวติ ไมแ่ น่นอน คล้อยตามกลุ่มเพ่อื นเปน็ สว่ นใหญ่ วัยรุ่นชว่ งกลาง เริ่มมองโลกอาชีพของตน แต่ยังต้องการคาแนะนาจากผู้ใหญ่ ส่วนวัยรุ่นช่วงปลาย สามารถกาหนด วถิ ีชวี ิตในอนาคตของตนได้จากประสบการณก์ ารเรียนรู้ และฝึกอบรม กล่าวได้ว่าความรู้เร่ืองจิตวิทยาวัยรุ่นของครูฝึกในสถานประกอบการจะเป็นพื้นฐานความ เข้าใจวยั รุ่นซ่งึ เปน็ ช่วงวยั ที่อาจก่อปัญหาช่องวา่ งระหวา่ งวัย ระหว่างวยั รุ่นกบั ผูใ้ หญ่ การตระหนักรู้ใน ความสาคัญของจิตวิทยาวัยรุ่น จึงถือว่าเป็นปัจจัยพื้นฐานในการสอนงานและทางานร่วมกันอย่างมี ความสุข 2.2 จิตวทิ ยาในการทางาน จิตวิทยาในการทางานเป็นการศึกษาและนาหลักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการทางาน ของบุคคลโดยมุ่งเน้นศึกษาพฤติกรรมของพนักงาน เจตคติ ค่านิยม การสร้างแรงจูงใจ เพื่อให้ พนักงานมีความสุขและความพึงพอใจในการทางาน ซ่ึงจะมีผลต่อการปฏิบัติงานอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ซ่ึงองค์การคือสถานที่ท่ีประกอบข้ึนด้วยบุคคลหลายคนหรือศูนย์รวมกลุ่มบุคคลหรือกิจกรรมที่ ประกอบกันขึ้นเป็นหน่วยงานเดียวกัน เพื่อดาเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ ดังน้ันครูฝึก ในสถานประกอบการจงึ จาเป็นต้องศึกษาจิตวิทยาในการทางานตามหัวข้อดงั ต่อไปน้ี 2.2.1 ธรรมชาตขิ องคนและองคก์ ร 2.2.2 บทบาทหนา้ ทคี่ วามรบั ผิดชอบของบคุ คลในองค์กร 2.2.3 การพฒั นาความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q) เพ่ือการร่วมงานในองค์กร 2.2.4 การพัฒนาตนเองและทีมงานให้มปี ระสทิ ธิภาพ 2.2.5 การสรา้ งแรงจงู ใจเพ่อื ตนเองและองค์กร

2.2.1 ธรรมชาตขิ องคนและองคก์ ร มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เมื่อเข้าสู่องค์การจะถูกจัดเข้ากลุ่มโดยการกาหนดอย่างเป็น ทางการจากองค์การเป็นกลุ่มงาน เช่น หน่วยงานธุรการ หน่วยงานผลิต หน่วยงานบัญชี หน่วยงาน ฝึกอบรม โดยบุคคลแต่ละคนจะมีความสนใจ ความสามารถในการทางานได้ไม่เท่ากัน มีความพึง พอใจในการทางานแตกต่างกัน ดังนั้นการทางานร่วมกันในองค์กรจึงต้องมีความเข้าใจความแตกต่าง ระหว่างบคุ คล เพ่ือการทางานที่มปี ระสิทธิภาพ ซึง่ ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คลมดี ังน้ี 1) ความแตกต่างทางร่างกาย เป็นความแตกต่างด้านกายภาพ ซ่ึงมีผลต่อ ความสามารถในการทางาน เช่น ความแข็งแรง ความอดทนต่อความยากลาบาก รูปร่างหน้าตา ทเ่ี หมาะสมกับงาน ความมีเสนห่ ์ การสร้างความประทบั ใจให้ผ้รู ว่ มงานหรอื ผูม้ าตดิ ตอ่ งาน 2) ความแตกต่างทางสังคม ได้แก่ ความแตกต่างของเช้ือชาติ ภาษา ศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม ภาวะของเศรษฐกิจและการอบรมเล้ียงดู 3) ความแตกต่างด้านอารมณ์ อารมณ์เกิดจากการเรียนรู้และมีความซับซ้อน อารมณ์มีหน้าที่ไปกระตุ้นให้เกิดพฤตกิ รรม บุคคลท่ีมีอารมณ์ดี จะมีการรับรู้สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ใน ด้านดี อารมณม์ สี ่วนสาคญั ในการทางานรว่ มกันในองค์การ 4) ความแตกต่างด้านสติปัญญา ธรรมชาติของมนุษย์มีความสามารถทาง สติปัญญาที่แตกต่างกัน เป็นความสามารถในการเรียนรู้ ความคิด การวางแผน และการแก้ปัญหา ต่าง ๆ 5) ธรรมชาตขิ ององค์การ องค์การมีองคป์ ระกอบหลกั 4 ประการ ดงั น้ี (1) วัตถุประสงค์หรือจุดมุ่งหมายในการก่อตั้งขึ้นมาเพ่ือเป็นแนวทางใน การปฏิบัติกจิ กรรม (2) โครงสร้าง องคก์ ารต้องมีการจดั แบ่งหน่วยงานภายในโดยมกี ารกาหนด อานาจ หน้าทกี่ ารแบง่ งานกนั ทาความชานาญเฉพาะอย่างและการบงั คบั บัญชาตามลาดับข้นั (3) กระบวนการปฏิบัติงาน หมายถึง แบบอย่างหรือวิธีปฏิบัติกิจกรรม หรืองานทกี่ าหนดข้ึนไว้อย่างมีแบบแผน เพื่อใหท้ กุ คนในองค์การใชเ้ ป็นหลกั ในการปฏบิ ตั ิงาน (4) บุคคล องค์การต้องประกอบด้วยกลุ่มบุคคลท่ีเป็นสมาชิก โดยกาหนด หน้าท่ีตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และกระบวนการปฏิบัติงานท่ีกาหนดไว้ให้สาเร็จตาม วตั ถปุ ระสงค์

2.2.2 บทบาทหน้าท่คี วามรับผิดชอบของบุคคลในองค์การ บุคคลในองค์การมีหน้าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบทางานให้กบั องค์การ ดังน้ี 1) หน้าทร่ี ับผิดชอบในงานหลัก เชน่ งานด้านผลิต งานด้านการบรกิ าร 2) หน้าท่ีรับผิดชอบในการประยุกต์ใช้ความรู้ความสามารถ เช่น งานด้าน การประสานงาน การแก้ปัญหาในการทางาน การเจรจาตอ่ รอง 3) หน้าท่ีความรับผิดชอบด้านการพัฒนางาน เช่น หาวิถีทางในการทางานให้มี ประสทิ ธิภาพ ไม่ยอมใหเ้ กิดความบกพร่องในหนา้ ทหี่ รือเกิดการละเลยหนา้ ท่ี และไม่เพิกเฉยต่อสังคม สว่ นรวม 2.2.3 การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (E.Q) เพอื่ การร่วมงานในองค์การ ความฉลาดทางอารมณ์ หมายถึง ความสามารถทางอารมณ์ท่ีจะช่วยให้การดาเนิน ชีวิตและการทางานเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีความสุข บุคคลในองค์การต้องมีการพัฒนาความ ฉลาดทางอารมณ์เพอ่ื การร่วมงานในองคก์ ารดังน้ี 1) ความดี หมายถึง ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และความต้องการของ ตนเอง มกี ารแสดงออกทางอารมณ์ทเี่ หมาะสม 2) ความเก่ง หมายถึง ความสามารถในการรู้จักและเข้าใจตนเอง สร้างขวัญและ กาลงั ใจใหต้ นเองได้ มีความมุง่ มัน่ ในการไปสเู่ ปา้ หมายในชีวติ มีวิธกี ารแกป้ ัญหาทีเ่ หมาะสม 3) ความสุข หมายถึง มีการจูงใจในตนเอง เห็นคุณค่าและเช่ือมั่นในตนเอง มีความพงึ พอใจในชวี ิตและการทางานตลอดจนการมองโลกในแงด่ ี 2.2.4 การพัฒนาตนเองและทีมงานให้มีประสิทธภิ าพ การพัฒนาตนเองและทมี งานใหม้ ีประสิทธิภาพ มีแนวทางต่อไปน้ี 1) การสารวจงาน คือ การหาข้อมูลว่างานท่ีต้องทามีลักษณะอย่างไร มอี งคป์ ระกอบอะไรบา้ ง มีความสัมพนั ธเ์ กีย่ วขอ้ งกบั หนว่ ยงานใด 2) สร้างทัศนคติที่ดีตอ่ การทางาน เช่น สร้างแรงจูงใจให้กับตนเอง มีความมุ่งมน่ั ในการฝา่ ฟันอุปสรรคและความยากของงาน 3) สร้างองค์ความรู้ในการทางาน หมายถึง ศึกษาวิชาการ หลักการและแนวคิด รวมถึงข้ันตอนและวิธีการปฏิบัติงาน เพราะการทางานอย่างมีประสิทธิภาพน้ันต้องใช้ความรู้เป็น พื้นฐานในการทางานและการพัฒนางาน 4) ต้องกล้าเผชิญปัญหา การกล้าเผชิญปัญหาทาให้ผู้ปฏิบัติงานมีสติ มีกาลังใจ ท่ีจะแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากการทางานให้หมดไป อีกทั้งยังสามารถใช้ปัญหาให้เป็นโอกาสของ การปรบั ปรงุ ตนเอง หนว่ ยงานหรอื วิธีการทางาน

5) ต้องมีการฝึกฝน ทาซ้า ทบทวน จนกว่าจะเกิดทักษะในการทางาน ซ่ึงมีผลทา ให้การปฏบิ ตั งิ านรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 6) มีจินตนาการและมีความคิดริเร่ิม ทาให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความคาดหวัง หรือมองเห็นภาพผลงานในอนาคต ซ่ึงมีส่วนร่วมสร้างความม่ันใจ ซึ่งส่งผลไปถึงประสิทธิภาพของ การทางานและการบรรลุเปา้ หมายขององค์กร 7) การพัฒนาการทางานเป็นทีม มีการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ สมาชิก ทุกคนมคี วามผูกพนั ทจ่ี ะทางานรว่ มกนั มีการประสานงานกนั เป็นอย่างดี มกี ระบวนการแกป้ ัญหาและ การตดั สินใจเปน็ ทมี โดยรบั ผิดชอบตอ่ ผลทเี่ กิดข้นึ ร่วมกนั 2.2.5 การสรา้ งแรงจงู ใจเพือ่ ตนเองและองคก์ าร แรงจูงใจ หมายถึง แรงผลักดันภายในบคุ คลอันเกิดจากกลไกภายในร่างกายที่ไดร้ บั การกระตุ้น จนกลายเป็นเหตุจูงใจให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมาโดยมุ่งไปสู่เป้าหมาย แรงจูงใจมี อิทธิพลต่อคุณภาพและปริมาณของงาน การสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานต้องสอดคล้องกับ หลกั การดงั น้ี 1) มกี ารกาหนดเป้าหมายชัดเจน มเี กณฑก์ ารเสริมแรงที่มีเกณฑ์จดั อย่างยตุ ิธรรม เช่น เปน็ ตาแหน่งหนา้ ที่ เงิน หรอื การไดร้ บั การยกย่องในสังคม 2) ผลตอบแทนหรอื รางวัล ต้องสอดคล้องกบั ความสาเรจ็ ในการปฏิบตั ิงานเท่าน้ัน คอื บรรลเุ ป้าหมายให้ผลตอบแทนมาก 3) ผลตอบแทนคือรางวัลท่ีให้ต้องเป็นสิ่งที่มีความสาคัญต่อพนักงาน หัวหน้างาน ต้องร้จู กั พนกั งานแต่ละคนเป็นอย่างดี 4) พนักงานมีความเชื่อถือในข้อตกลงที่กาหนดกัน และทุกฝ่ายรักษาสัญญาท่ีให้ ไวต้ อ่ กนั จติ วทิ ยาในการทางานจะมีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรมในการทางานและผลงานของบุคคลอันส่งผล ตอ่ ประสิทธภิ าพในการทางาน และส่งผลใหบ้ คุ คลในองค์การมคี วามสุขในการทางาน

2.2 ความปลอดภยั และอาชีวอนามยั ในการทางาน คาว่า “อาชีวอนามัย” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Occupational Health” โดยมีรากฐานมา จากคาสองคาผสมผสานกัน คือ อาชีวะ (Occupational) หรืออาชีพ หมายถึงบุคคลที่ประกอบ อาชีพการงาน กับ อนามัย (Health) หรือสุขภาพอนามัย ตามความหมายที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้คาจากัดความไว้ หมายถึง สภาวะท่ีสมบูรณ์ท้ังร่างกาย (Physical Health) ทางจิตใจ (Mental Health) และสามารถดารงชีพอยู่ในสังคมได้ด้วยดี (Social well – being) สาหรับคาว่า “ความปลอดภัย” (Safety) หมายถึง สภาพที่ปราศจากภัยคุกคาม (Hazard) ไม่มีอันตราย (Danger) และความเสีย่ งใดๆ (Risk) ลกั ษณะงานความปลอดภยั และอาชวี อนามยั ในการทางาน คณะกรรมการร่วมระหว่างองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization; ILO) และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) ได้ กาหนดจุดม่งุ หมายหรอื วัตถุประสงค์ของงานความปลอดภยั และอาชีวอนามยั ไวด้ งั นี้ คือ 1. การส่งเสริมและดารงไว้ (Promotion and Maintenance) ซึ่งความสมบูรณ์ที่สุดของ สขุ ภาพ รา่ งกาย จิตใจ และความเป็นอยทู่ ีด่ ีของผูป้ ระกอบอาชีพในทกุ อาชีพ 2. การป้องกัน (Prevention) ไม่ให้ผู้ประกอบอาชีพมีสุขภาพอนามัยเส่ือมโทรมหรือผิดปกติ อันมสี าเหตมุ าจากสภาพหรือสภาวะในการทางานต่างๆ 3. การป้องกันคุ้มครอง (Protection) ผู้ประกอบอาชีพไม่ให้ทางานที่เสี่ยงอันตราย ซ่ึงจะ ทาให้เกิดอันตรายตอ่ สขุ ภาพข้ึนได้ 4. การจัดงาน (Placing) ให้ผู้ประกอบอาชีพได้ทางานในสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมกับ ความสามารถของร่างกายและจิตใจของเขา 5. การปรับ (Adaptation) งานให้เหมาะสมกับคน และการปรับคนให้เหมาะสมกับสภาพ การทางาน ขอบเขตของงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางาน การดาเนินงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยจะมีขอบเขตท่ีเกี่ยวข้องเฉพาะ ปัญหาสุขภาพอนามัย (Health problems) ของคนทเ่ี กิดจากการทางาน ดังนี้ 1. คนในขณะทางาน (Workers) ผู้ท่ีปฏิบัติงานอาชีพต่างๆ จะได้รับการดูแลสุขภาพอนามัย การค้นหาโรคและอันตรายที่เกิดข้ึนท่ีเป็นผลมาจากการทางาน การส่งเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกันโรค อันตรายและอุบตั ิเหตทุ ีอ่ าจเกิดจากการทางาน 2. สภาพส่ิงแวดล้อมของการทางาน (Working Environment) เป็นการศกึ ษาสภาพแวดลอ้ มของ งานแตล่ ะประเภทว่ามสี ่ิงใดทที่ าให้เกิดอันตรายและมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร

การศึกษาสภาพแวดล้อมในการทางานโดยใช้หลักการทางอาชีวสุขศาสตร์ (Occupational Hygiene) มี 3 หลกั การ คือ 1. การสืบค้น (Identify) โดยศึกษาสภาพแท้จริงของงาน เพื่อค้นหาปัญหาว่าในงานนั้นๆ มีส่ิงใดบ้างท่ีเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนงาน เช่น อันตรายจากสิ่งแวดล้อมทางด้านกายภาพ อันตรายจากสารเคมี อันตรายทางด้านชวี ภาพ และปญั หาทางดา้ นกายภาพ 2. การประเมินอันตราย (Evaluation) เมื่อทราบปัญหาจะต้องมีการประเมินระดับอันตรายท่ี อาจเกิดขึ้นว่ามีผลต่อสุขภาพคนงานหรือไม่และมากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถกระทาได้โดยการ ตรวจสอบ การตรวจวัด หรือการวิเคราะห์ปัญหา โดยนาค่าที่ได้มาเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานที่มี การกาหนดไว้ 3. การควบคุม (Control) เป็นงานท่ีต่อเน่ืองจากสองขั้นตอนข้างต้น เมื่อทราบว่างานนั้นมี ส่ิงใดท่ีเป็นอันตรายหรือมีผลต่อสุขภาพ และความรุนแรงของอันตรายแล้วจะนามาสู่การดาเนินการ ควบคุมและป้องกันอันตราย โดยการใช้มาตรการ วิธีการท่ีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการควบคุม อนั ตรายดังกลา่ ว องค์กรภายในสถานประกอบการ ภายในโรงงานแต่ละแห่งจะมีองค์กรท่ีรับผิดชอบงานความปลอดภัยและอาชีวอนา มยั ทส่ี าคญั 2 องค์กร ดังนี้ 1. คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทางาน เป็น คณะกรรมการที่กฎหมายแรงงานกาหนดให้มีการแต่งตั้งข้ึนในสถานประกอบการท่ีระบุไว้และมี ลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนข้ึนไป คณะกรรมการชุดนี้จะประกอบด้วยตัวแทนลูกจ้าง มาทางานในรูปแบบ ทวิภาคีเพอื่ สรา้ งความปลอดภยั ในการทางาน โดยมอี งคป์ ระกอบและสดั ส่วน ดงั นี้ ตารางท่ี 2 ขนาดสถานประกอบการท่ีอยู่ในข่ายบังคับให้มีเจ้าหน้าท่ีความปลอดภัยในการทางาน ในระดบั ตา่ งๆ จานวนลกู จ้าง ระดับพื้นฐาน เจา้ หนา้ ท่ีความปลอดภยั ในการทางาน ระดับวิชาชพี (คน)  ระดบั หัวหนา้ งาน ระดับบริหาร  1 - 49  50 ขึ้นไป 

2. งานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ในการทางาน ในโรงงานขนาดใหญ่ จะมี “ฝ่ายอาชีวอนามัย และความปลอดภัย” รับผิดชอบงาน ด้านนโ้ี ดยตรง สว่ นใหญ่นิยมเรียกเปน็ “ฝา่ ยความปลอดภัยและสง่ิ แวดล้อม” โรงงานขนาดกลาง สว่ น ใหญจ่ ะมอบหมายให้ ฝา่ ยทรพั ยากรมนษุ ย์หรอื ฝ่ายบุคคลเปน็ ผู้ดูแลงาน ความเปน็ มาของกฎหมายด้านความปลอดภยั และอาชีวอนามัยในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2507 เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยที่มีส่วนสาคัญให้เกิดการผลักดัน กฎหมายด้าน อาชีวอนามัย คือ ลูกจ้างของโรงงานผลิตถ่านไฟฉายแห่งหนึ่ง ได้มาร้องเรียนต่อกอง แรงงาน ซงึ่ ในขณะน้ันอยู่ในสังกดั กรมประชาสงเคราะห์ เก่ยี วกบั อาการอ่อนเพลีย หน้ามืด ปวดหลงั มือ เท้าชาจากการตรวจสอบโรงงานพบว่า โรงงานแห่งนี้มีคนงาน 500 คน ลูกจ้างที่เจ็บป่วยท่ีมาร้องเรียน น้ันทางานในแผนกห้องแร่ ได้รับแมงกานีสเข้าสู่ร่างกายเนื่องจากไม่มีมาตรการและเครื่องป้องกันฝุ่น ละออง ลูกจ้างต้องสัมผัสแมงกานีสอยู่เป็นประจา จึงเกิดอาการป่วยดังกล่าว หลังจากมีการศึกษา เพิ่มเตมิ และพบปัญหาโรคจากการทางานท่เี กดิ จากการใช้สารเคมตี ่างๆ อกี ในปี พ.ศ. 2510 จึงมีการออก พระราชบัญญัติวัตถุมีพิษ เป็นฉบับแรก และออกฉบับที่ 2 ตามมาใน พ.ศ. 2516 ในส่วนของ กระทรวงมหาดไทย ได้อาศัยอานาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับท่ี 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2515 ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อกาหนดสวัสดิการเกี่ยวกับสุขภาพอนามัย และ ความ ปลอดภยั สาหรบั ลูกจ้าง โดยมีหลักการและสาระสาคัญกา้ วหน้าเทียบเท่ามาตรฐานสากล มดี ว้ ยกนั หลาย ฉบับ ทยอยออกมาต้ังแต่ ปีพ.ศ. 2519 – 2534 ซ่ึงในปัจจุบันยังคงบังคับใช้อยู่ทั้งสิ้น 5 ฉบับ กล่าวคือ ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 2 เป็นต้นมา รัฐบาลได้พยายามออกกฎหมายด้าน ความปลอดภัยและอาชีวอนามยั มาโดยตลอด จนถึงขณะน้ี หากพจิ ารณารายช่ือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะ พบว่ามีกฎหมายท่ีบังคับใช้อยู่มากมายหลายฉบับ รวมทั้งกฎหมายลูก เช่น กฎกระทรวงและประกาศ กระทรวงท่ีประกาศใช้เพ่ิมเติมและกฎหมายเหล่าน้ี อยู่ภายใต้ การดู แลของห น่วยงานภาครั ฐและ หน่วยงานราชการสว่ นท้องถ่ิน ปัญหางานด้านความปลอดภัยและอาชวี อนามัยในการทางาน 1. ปญั หาดา้ นจิตใจ 2. ปัญหาดา้ นสังคม 3. ปัญหาดา้ นสขุ ภาพรา่ งกาย 4. ปัญหาความยากจน 5. ปัญหาการว่างงาน และสภาพความเปน็ อยู่

อนั ตรายจากสภาพแวดลอ้ มในการทางาน อันตรายจากสภาพแวดลอ้ มในการทางาน แบง่ ได้ 4 ดา้ น ดังน้ี 1. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางเคมี ( Chemical Environmental Hazards) เกิดจากการนาสารเคมีมาใช้ในการทางาน หรือมีสารเคมีท่ีเป็นอันตรายเกิดขึ้นจาก กระบวนการผลติ รวมทง้ั วตั ถุพลอยได้จากการผลิต 2. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environmental Hazards) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ประกอบอาชีพน้ัน จะอยใู่ นลักษณะของการ ได้รับหรอื สัมผสั กบั สภาพแวดล้อมในลักษณะที่ไม่พอดหี รือผดิ จากปกตธิ รรมดา 3. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ (Biological Environmental Hazards) เกิดจากการทางานท่ีต้องเส่ียงต่อการสัมผัสและได้รับอันตรายจากสารทางด้านชีวภาพ (Biohazardous Agents) แล้วสารชีวภาพนั้นทาให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย หรือมีอาการ เจ็บปว่ ยเกิดขึ้น 4. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางด้านกายศาสตร์ (Ergonomics) เป็นอันตรายที่เกิดจากการใช้ท่าทางทางานที่ไม่เหมาะสม วิธีการปฏิบัติงานท่ีไม่ถูกต้อง การปฏิบตั ิงานทซี่ ้าซาก และความ ไม่สัมพันธ์กนั ระหวา่ งคนกับงานท่ีทา การวิเคราะหอ์ นั ตรายและความเสย่ี ง การวิเคราะห์อันตราย หมายถึง การแจกแจงอันตรายต่างๆ ที่มีอยู่และที่แอบแฝง หรือสภาพการณ์ต่างๆ ทีเ่ ป็นสาเหตุหรืออาจทาให้เกดิ อันตราย ก่อใหเ้ กดิ อุบตั ิเหตุ ความเส่ียง หมายถึง กระบวนการวเิ คราะห์ถงึ ปัจจยั ท่ีเป็นสาเหตทุ าให้เกดิ อันตราย หรือ ผลของอนั ตรายที่อาจเกดิ ขน้ึ กับโอกาสในการเกดิ อันตรายนนั้ การสอบสวนอบุ ตั ิเหตุ การสอบสวนอุบัติเหตุ หมายถึง การนาผลของการสอบสวนหาสาเหตุท่ีทาให้เกิด อุบัติเหตุ มาดาเนินการเป็นมาตรการปรับปรุงแก้ไข สาหรับโรงงานท่ีมีลักษณะกิจการใกล้เคียงกัน กาหนดมาตรการป้องกันเพิ่มเติมท่ีอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุเช่นเดียวกันอีก ปรับปรุงพัฒนาทาง เทคโนโลยีและวิศวกรรมทที่ าให้ปลอดภัยมากขน้ึ การฝกึ อบรมให้มีวิธกี ารปฏบิ ตั ิงานที่ดี 1. สร้างมาตรฐานการปฏิบัติงานสาหรับการประกอบกิจการบางประเภทที่มีอัตราการ บาดเจบ็ สงู 2. สรา้ งจิตสานึกและความตระหนกั ให้คานึงถงึ ความปลอดภัยในการทางาน 3. กระตุน้ เตอื นให้มีการปรบั ปรุงการทางานท่ีมีความปลอดภยั ย่ิงขนึ้

การบังคบั ใชก้ ฎหมาย 1. มีการตรวจสอบโรงงานเป็นประจา เก่ียวกับเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น สภาพอาคาร ราวกั้น 2. ดาเนินการให้มีการตรวจทดสอบตามที่กฎหมายกาหนด เช่น ระบบไฟฟ้า หม้อนา้ ภาชนะรับแรงดัน 3. มีบุคลากรท่ีมีความรู้เฉพาะด้านตามท่ีกฎหมายกาหนด เช่น ผู้ควบคุมหม้อน้า ผ้คู วบคมุ สารกัมมันตรังสีและนกั วทิ ยาศาสตร์ อุบัติเหตุจากการทางาน (Occupational Accident) อุบัติเหตุจากการทางาน หมายถึง อุบัติเหตุที่เกิดข้ึนในภาวะการจ้างงาน ก่อให้เกิด ความสูญเสียต่อชีวิตคน เครื่องจักร ส่ิงของ ในเวลาทันทีทันใด ช่วงเวลาถัดไปในสถานท่ีทางาน หรือ นอกสถานที่ทางาน สาเหตกุ ารเกดิ อุบัติเหตุ H.W. Heinrich กล่าวว่า สาเหตขุ องการเกิดอุบัตเิ หตุ มี 3 ประการ คอื 1. สาเหตจุ ากคน (Human Causes) มจี านวนถึง 88 % 2. สาเหตจุ ากความผดิ พลาดของเคร่ืองจักร (Mechanical Failure) มจี านวนถึง 10 % 3. สาเหตทุ ี่เกิดจากดวงชะตา (Act of God) มีเพียง 2 % สรุปสาเหตุการเกดิ อบุ ัติเหตุ ที่สาคัญมี 2 ประการ คอื 1. การกระทาที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) เป็นสาเหตุใหญ่ คิดจานวนเป็น 85 % ของ การเกดิ อบุ ตั เิ หตทุ ั้งหมด 2. สภาพการณ์ท่ีไม่ปลอดภัย (Unsafe Condition) เป็นสาเหตุรอง คิดจานวนเป็น 15% ของการเกดิ อุบัติเหตทุ ้งั หมด การกระทาท่ีไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) หมายถึง การกระทาหรือการปฏิบัติงานของคนท่ี มผี ลทาให้เกิดความไม่ปลอดภยั กับตนเองและผู้อ่นื เชน่ 1. การทางานไม่ถูกวิธี หรอื ไม่ถูกขั้นตอน เชน่ ยกของด้วยทา่ ทางทีผ่ ิด 2. ความประมาท พล้ังเผลอ เหม่อลอย 3. ถอดเครื่องกาบงั เครื่องจกั ร 4. ใช้เครือ่ งมือไมเ่ หมาะสมกับงาน 5. การไมป่ ฏิบตั ติ ามกฎระเบียบ 6. การมีทศั นคติทีไ่ มถ่ ูกตอ้ ง เช่น อบุ ตั ภิ ยั เป็นเรือ่ งของเคราะหก์ รรมแกไ้ ขป้องกันไม่ได้ 7. การทางานโดยท่ีร่างกายและจิตใจไม่พร้อมหรือผิดปกติ เช่น ไม่สบาย มึนเมา มี ปัญหาครอบครวั ทะเลาะวิวาท เป็นตน้

8. การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ ไม่เหมาะสมกับงาน เช่น การใช้ขวดแก้วตอก ตะปแู ทนการใช้ค้อน สภาพงานที่ไมป่ ลอดภยั (Unsafe Condition) 1. สภาพงานที่ไม่ปลอดภัย หมายถึง สภาพของโรงงานอุตสาหกรรม เคร่ืองจักร กระบวนการผลติ เครือ่ งยนต์ อุปกรณ์ในการผลติ ไม่มคี วามปลอดภัยเพียงพอ 2. การออกแบบโรงงาน แผนผังโรงงาน 3. ระบบความปลอดภัยไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ส่วนท่ี เป็นอันตราย (ส่วนทเ่ี คล่ือนไหว) ของเคร่อื งจักรไม่มีเครือ่ งกาบังหรืออุปกรณป์ ้องกันอันตราย 4. เครื่องจักรกล เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ชารุดบกพร่อง ขาดการซ่อมแซมหรือ บารงุ รกั ษาอย่างเหมาะสม 5. สภาพแวดล้อมในการทางานไม่เหมาะสม เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงดังเกิน ควร ความร้อนสูง ฝนุ่ ละออง ไอระเหยของสารเคมที เี่ ป็นพิษ เปน็ ต้น การสูญเสยี เน่ืองจากการเกดิ อุบตั เิ หตุ 1. การสูญเสยี โดยทางตรง เปน็ การสูญเสยี ท่ีคิดเป็นเงินทตี่ ้องจา่ ยโดยตรง 2. การสูญเสยี โดยทางอ้อม เป็นการสูญเสียที่แฝงอยู่ ไม่ปรากฏเดน่ ชดั การป้องกันและควบคมุ อุบัตเิ หตจุ ากการทางาน 1. การจัดการดา้ นบรหิ าร (Management) 2. การจดั การด้านสถานท่ที างาน (Workplace) 3. การจดั การดา้ นพนักงานหรอื ลกู จา้ ง (Employee) หลักการท่ัวไปในการควบคุมและป้องกันอันตราย หลักการท่วั ไปในการควบคุมอันตรายจากการทางาน มี 3 วิธีหลัก คือ 1. ควบคุมทต่ี ้นตอหรือแหล่งกาเนิด (Source) 2. ควบคุมทท่ี างผา่ น (Path) 3. ควบคมุ ท่ีตัวบุคคล (Reciever)

หลักการควบคุมป้องกันอันตรายจากการประกอบอาชีพด้านบุคคล โดยวิธีการจัดการ และโดยวิธีการด้านการแพทย์ โดยวธิ ีการจัดการ อันตรายจากการประกอบอาชพี ด้านบคุ คล 1. จดั ให้มีการปฐมนิเทศ 2. ให้ความรดู้ า้ นสุขศึกษาและสวสั ดิศึกษา 3. สับเปล่ยี นหมนุ เวียนคนงาน 4. คัดเลือกคนให้เหมาะสมกับงาน 5. จดั หาอุปกรณป์ อ้ งกันอนั ตรายสว่ นบคุ คล โดยวิธีการด้านการแพทย์ อันตรายจากการประกอบอาชีพด้านบุคคล โดยจัดให้มีการตรวจ สุขภาพเป็นประจา 1. กอ่ นเข้าทางาน 2. ประจาทุกปี 3. พเิ ศษเฉพาะกลุม่ 4. กลุ่มทีเ่ ส่ียงต่ออนั ตรายมาก (ตรวจบ่อยกว่ากลุ่มอน่ื ) 5. ตรวจรักษาเมื่อเจบ็ ป่วย (ฟื้นฟสู มรรถภาพการทางาน) กฎหมายท่เี ก่ียวขอ้ งและการประเมินการสญู เสียสมรรถภาพจากการทางาน กฎหมายที่เกยี่ วข้อง 1. พรบ. แรงงาน พ.ศ. 2499 2. ประกาศกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2515 3. พรบ. ค้มุ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หลักเกณฑ์การวินิจฉัย และการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพของผู้ป่วยหรือบาดเจ็บด้วยโรค จากการทางาน ให้นายจ้างจัดให้มีการตรวจร่างกายลูกจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีท่ีกาหนดในกฎกระทรวง อย่างน้อยปีละ 1 คร้ัง โดยแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหน่ึงซ่ึงนายจ้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ให้มีการเก็บ รักษาผลการตรวจไว้อย่างน้อย 2 ปี งานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย ต้องรายงานผลการตรวจภายใน 30 วัน นบั แต่วนั ท่ที ราบผล 1. มีหลักฐานทางการแพทย์แสดงการเจ็บป่วย ประกอบด้วย เวชระเบียน ผลและรายงาน การชันสูตรต่างๆ ที่เก่ียวกับโรค ใบรับรองแพทย์ ความเห็นของแพทย์ผู้เช่ยี วชาญ การวนิ ิจฉยั ดว้ ยการ รักษาทางการแพทย์พิสูจน์สาเหตุของโรค อาการป่วยบางระยะสัมพันธ์กับการสัมผัสสิ่งแวดล้อมท่ีมี ปัจจัยคกุ คามในพ้นื ท่ีสงสยั อาการป่วยบางระยะเปลยี่ นแปลงไปในทางทีด่ ีขน้ึ เมื่อเวน้ จากสง่ิ แวดล้อม

ทีเ่ ปน็ ปัจจยั คุกคาม มผี ปู้ ว่ ยในกลุ่มผ้สู ัมผัสลักษณะเดียวกันมากกว่า 1 ราย หรอื มรี ายงานการสอบสวน ทางระบาดวทิ ยาสนับสนนุ สอดคล้องกับการศึกษา/รายงานในคนและสตั ว์ กอ่ นหนา้ น้ี 2. หลักเกณฑ์การวินิจฉัยโรค ให้อ้างอิงเอกสารทางการของ WHO, ILO และ เกณฑ์สากล ขององคก์ รตา่ งประเทศทเ่ี ป็นทย่ี อมรับและเอกสารต้องเปน็ ฉบบั ปัจจุบัน การประเมินการสูญเสียสมรรถภาพให้ใช้ “คู่มือกาหนดแนวทางการประเมินการสูญเสีย สมรรถภาพทางกายและจิต”ของคณะกรรมการที่ปรึกษาพนักงานเงินทดแทน กรมแรงงาน พ.ศ. 2525 หรือจนกว่าจะมฉี บบั ใหม่ หรอื เกณฑ์จากต่างประเทศ การปอ้ งกันโรคจากการทางาน 1. การสารวจปจั จัยทีอ่ าจก่อให้เกิดโรคจากการทางาน 2. การตรวจสุขภาพคนงาน เมอ่ื แรกรับเขา้ ทางาน 3. การจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบคุ คลใหส้ วมใสข่ ณะทางาน 4. การฝึกอบรมด้านการดูแลสขุ ภาพอนามัยตนเองของคนงาน 5. การใหภ้ มู คิ ุ้มกันโรคจากการทางาน และการจดั สวัสดิการเพอื่ สุขภาพคนงาน หลกั การปอ้ งกันและควบคมุ โรคจากการประกอบอาชพี สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท 1. การจัดบริการทางการแพทยท์ ่ีเก่ียวข้องกับการค้นหาอันตรายและการประเมินความเส่ียง ด้านสขุ ภาพของคนทางาน 2. กจิ กรรมที่ควบคมุ ปจั จัยสภาพการทางานและสิ่งแวดลอ้ มในการทางาน ความหมาย ขอบเขต และความสาคัญของการจดั บริการอาชวี อนามยั การบริการอาชีวอนามัย หมายถึง การดาเนินการโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพ่ือดูแลสุขภาพ อนามัยและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน ให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดโรค ปลอดภัยมีสภาวะท่ี สมบูรณ์ทง้ั ทางรา่ งกายและจิตใจ และสามารถปฏิบัตงิ านได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพและประสทิ ธิผล การบรกิ ารท่ีจดั ขึน้ ในสถานประกอบการโดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะส่งเสริมและดารงไว้ซ่ึงสุขภาพ อนามัยท่ีดีของผู้ประกอบอาชีพ รวมทั้งการควบคุมโรคตลอดจนอันตราย อันเกิดจากอุปกรณ์และ เครอ่ื งจักรในการปฏิบัติงาน ขอบเขตการบรกิ ารอาชวี อนามยั ของ WHO และ ILO ประกอบดว้ ย 1. การสง่ เสรมิ สขุ ภาพ และดารงไวซ้ ึง่ ความมสี ุขภาพดี 2. การปอ้ งกันโรคอนั เน่ืองจากการทางาน 3. การปกปอ้ งค้มุ ครองคนทางานหรือลกู จา้ งไม่ให้ทางานทเ่ี สย่ี งอันตราย 4. จัดคนงานให้ทางานในส่ิงแวดล้อมที่เหมาะสมกับความสามารถของร่างกาย และจิตใจ 5. ปรับงานใหเ้ หมาะสมกบั คน และปรบั คนใหเ้ หมาะสมกับสภาพการทางาน

องคป์ ระกอบของการจดั บรกิ ารอาชีวอนามัยในสถานประกอบการ 1. กฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภยั และสขุ ภาพในการทางาน 2. นโยบายของสถานประกอบการ 3. ประเภทและขนาดของกิจการ 4. ข้อตกลงเก่ียวกับสภาพการจ้าง แนวทางในการจัดบริการอาชวี อนามยั การจัดบริการอาชีวอนามัยภาครัฐบาล ส่วนกลาง การออกกฎหมาย มาตรฐานสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยในการทางาน การตรวจตราให้เป็นไปตามกฎหมาย สนับสนุนงบประมาณการ ศกึ ษาวิจัยและการฝกึ อบรม ระดับภาคหรอื เขต สบื คน้ ปัญหา OHSE และบรกิ ารทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร รปู แบบองค์กรในการจดั บริการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย 1. รูปแบบอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (Big Industry Model) เป็นรูปแบบของสถานประกอบการ ขนาดใหญจ่ ัดบรกิ ารเองให้บรกิ ารในสถานประกอบการ 2. รปู แบบให้บรกิ ารแบบกลุ่ม (Group Services Model) เป็นรูปแบบการรวมตวั กันของ สถานประกอบการขนาดกลางและเลก็ 3. รูปแบบให้บริการแบบสถานบริการเอกชน (Private Health Center Model) เอกชนจัดขึ้น และเสนอขายบรกิ ารแก่สถานประกอบการ 4. รปู แบบใหบ้ ริการเวชกรรมชุมชน (Community Health Center Model) ให้บรกิ าร โดยหน่วยงานรฐั บาล เช่น เดยี วกันกบั งานอนามยั แมแ่ ละเดก็ งานอนามัยโรงเรยี น 5. รูปแบบให้บริการอาชีวอนามัยระดับชาติ (National Health Service Model) เหมือนกบั Big Industry Model แต่บคุ ลากรและการบริหารโดยภาครัฐ 6. รูปแบบให้บริการจากการประกันสังคม (Social Security Institution Model) เหมือนกับ Group Service Model แต่จัดบริการโดยสานักงานประกันสังคม เป็นผู้ดาเนินการและให้เงิน สนบั สนุน เช่น ประเทศตุรกี และประเทศอสิ ราเอล บทบาทและคณุ สมบัติของผใู้ ห้บริการความปลอดภัยและอาชวี อนามัย 1. เจา้ หนา้ ทค่ี วามปลอดภัยในการทางาน 2. นักสุขศาสตร์อตุ สาหกรรม 3. แพทย์อาชีวอนามัย 4. พยาบาลอาชีวอนามยั 5. วิศวกรความปลอดภยั 6. นักพษิ วทิ ยา 7. คณะกรรมการความปลอดภยั และอาชวี อนามัย

8. สภาพแวดล้อมในการทางาน การจดั การดา้ นสขุ ภาพอนามยั และสภาพแวดล้อมในการทางานทป่ี ลอดภัย 1. บริการด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมในสถานประกอบการ 2. การปรบั ปรุงงานใหเ้ หมาะสมกับผ้ปู ฏบิ ัติงาน การจัดบริการดา้ นความปลอดภัยในการทางาน 1. ความปลอดภยั ของเคร่อื งจักร 2. การจัดหาอปุ กรณป์ ้องกันอนั ตรายส่วนบุคคล 3. การจัดใหม้ ีการฝกึ อบรมและส่งเสรมิ ความปลอดภัย 4. การทบทวนการบรหิ ารงานความปลอดภัย 5. ออกกฎระเบียบ ขอ้ บังคบั ตา่ งๆ 6. เก็บรวบรวมสถติ เิ กย่ี วกับการบาดเจบ็ และเจบ็ ป่วย ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กาหนดสวสั ดิการเกยี่ วกับสุขภาพอนามัยสาหรับลูกจา้ ง การจัดสวัสดิการด้านการรกั ษาพยาบาล มีลูกจ้างทางานตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ถา้ มลี กู จา้ งทางานในขณะเดียวกัน 200 คนข้ึนไป มลี ูกจา้ งทางานในขณะเดยี วกนั 1,000 คนขึ้นไป จานวนพยาบาลในสถานประกอบการ กรณลี ูกจ้าง 200 คน - 999 คน ตอ้ งจดั ใหม้ พี ยาบาลประจา 1 คน ตลอดเวลาทางานปกติไม่ น้อยกว่าวันละ 8 ชม. หากมีลูกจ้างเพิ่ม ให้มีพยาบาลเพ่ิม 1 คน : ลูกจ้างท่ีเพ่ิมข้ึนทุกๆ 1,000 คน กรณีลกู จา้ ง 1,000 คนขึน้ ไป ตอ้ งจัดใหม้ ีพยาบาลประจาอย่างน้อย 2 คน เวลาทางานปกติของแต่ละ คน ไม่น้อยกวา่ วันละ 8 ชม. จานวนแพทย์ในสถานประกอบการ กรณีลูกจ้าง 200 - 499 คน ต้องจัดให้มีแพทย์ประจาไม่น้อยกว่า 8 ชม./เดือน กรณีลูกจ้าง 500 – 999 คน ต้องจัดให้มีแพทย์ประจาไม่น้อยกว่า 4 ชม./สัปดาห์ กรณีลูกจ้าง 1,000 คนข้ึนไป ตอ้ งจัดให้มแี พทยป์ ระจา ไมน่ ้อยกวา่ 6 ชม./สัปดาห์

2.3 จรรยาบรรณวิชาชีพ คุณธรรม จรยิ ธรรม และคุณลักษณะที่พงึ ประสงค์ของ นกั เรียนนกั ศึกษาอาชีวศึกษา จรรยาบรรณวชิ าชีพ คุณธรรม จริยธรรมและคณุ ลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ของนักเรียนนักศึกษา อาชีวศึกษา เป็นหลักปฏิบัติที่ครูฝึกจาเป็นต้องสอดแทรกแก่นักเรียนนักศึกษาในขณะ สอนงาน เพื่อให้เปน็ ผปู้ ระกอบวิชาชีพทีด่ ี 2.3.1 จรรยาบรรณวิชาชีพ ความหมายของจรรยาบรรณวชิ าชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ หมายถึง ประมวลความประพฤติท่ีผู้ประกอบวิชาชีพแต่ละ วิชาชีพ ซ่ึงกาหนดขึ้นเพื่อรักษา ส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียง และฐานะของสมาชิกในวงการวิชาชีพ นัน้ ซง่ึ อาจเขียนเป็น ลายลกั ษณอ์ กั ษรหรอื ไม่ก็ได้ องค์ประกอบของวชิ าชพี ลักษณะของความเป็น “วิชาชีพ” ซึ่งแต่เดิมคนให้ความยกย่องในวิชาชีพ เพราะมุ่ง ช่วยเหลือเพื่อมนุษย์มากกว่ามุ่งหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพ คร้ันต่อมาโลกและวิทยาการต่าง ๆ เจริญมาก ยิ่งขน้ึ เกดิ มีวิชาชพี ใหมท่ ่ีสอนใหค้ นประพฤติและปฏิบัตมิ ากข้ึน เพ่อื ให้บรกิ ารช่วยเหลอื เพอื่ นมนุษย์ให้ พ้นจากความทุกข์ที่เพิ่มมากข้ึนตามความซับซ้อนของสังคมท่ีเจริญข้ึน คนจึงเปล่ียนทัศนคติยกย่อง วิชาชีพ เพราะเป็นอาชีพท่ีต้องใช้ความสามารถข้ันสูง แต่การมีหลักวิชาความรู้สูงอย่างเดียวก็ยังไม่ เพียงพอท่ีจะทาให้อาชีพหนึ่งๆ กลายเป็นวิชาชีพขึ้นมาได้เพราะผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องใช้ความรู้ ความสามารถในวิชาชีพของตนอย่างมีความรับผิดชอบ คือ มีจรรยาบรรณในวิชาชีพของตนด้วย มิฉะนั้นจะถือว่ามีความบกพร่องในวิชาชีพ เช่น วิศวกรที่ควบคุมการก่อสร้างตึก ยอมให้ ผู้รับเหมาก่อสร้างตึกใช้เหล็กขนาดเล็กกว่ามาตรฐานท่ีกาหนดไว้ ปล่อยให้มีการสร้างตึกอย่างผิด ขั้นตอนทางวิชาการ จนเป็นเหตุให้ตึกนั้นไม่แข็งแรงเท่าท่ีควร อาจจะชารุดแตกร้าว และพังทลายลง มาได้ในทีส่ ดุ ไม่วา่ เพราะวศิ วกรจะไดร้ บั อามิสสินจา้ งจากผู้รับเหมากอ่ สร้าง หรอื รบั งานมากจนเกินไป ไม่มีเวลาในการควบคุมงานอย่างถี่ถ้วนและท่ัวถึง หรือไม่ละเอียดรอบคอบก็ตามล้วนเป็นความ บกพร่องในแง่จรรยาบรรณวิชาชพี ของวศิ วกรทง้ั ส้นิ องคป์ ระกอบของวิชาชพี โดยท่วั ไปมีองค์ประกอบ 5 ประการ คือ 1. ความร้ทู างวิชาการช้ันสูง ปัจจบุ นั ความรทู้ างวชิ าชีพเฉพาะทางชนั้ สูง ที่เรียนกันในระดับ มหาวทิ ยาลัย และสามารถเรียนจนถึงขั้นปริญญาเอกได้ 2. จรรยาบรรณวิชาชีพ หมายถึง อุดมคตแิ ละหลกั ปฏิบัติแห่งวิชาชีพ 3. การรับผิดชอบต่อวิชาชพี มีความสาคัญมากกว่าและต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตน 4. การฝึกอบรมและคัดเลือกเข้าสู่วิชาชีพ คือ กระบวนการฝึกหัดอบรมและการเรียนรู้ทาง วชิ าชพี ตลอดจนมีการคัดเลอื กและยอมรับเข้าสวู่ ชิ าชพี

5. สมาคมวิชาชีพ แต่ละวิชาชีพจะมีสมาคมวิชาชีพของตน เพื่อส่งเสริมความรับผิดชอบ ของวิชาชีพต่อสังคม และเพ่ือควบคุมมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งกระทาโดยการควบคุมมาตรฐานในการ ยอมรับเข้าสวู่ ชิ าชีพและมาตรฐานในการปฏิบัติวชิ าชีพ องค์ประกอบ ข้อ 1 และ 2 เป็นองค์ประกอบท่ีใชใ้ นการวัดมาตรฐานและการปฏิบัติวิชาชพี ตอ่ ไป ลักษณะความแตกตา่ งระหวา่ งจรรยาบรรณวิชาชพี และกฎหมายควบคุมวชิ าชีพ 1. จรรยาบรรณวิชาชีพเกิดจากความต้องการของกลมุ่ ผู้ที่อยู่ในวงวิชาชีพน้นั ๆ รว่ มกนั สร้าง จรรยาบรรณ สาหรบั วชิ าชีพของตนมาควบคมุ กนั เอง มิใช่ข้อบังคบั ภายนอกเหมอื นกฎหมาย 2. จรรยาบรรณวิชาชีพ เกิดจากความสมัครใจของผู้อยู่ในวิชาชีพน้ัน แต่กฎหมายทุกคน ตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม 3. จรรยาบรรณวิชาชีพเป็นอุดมคติท่ีสูงกว่าข้อบังคับของกฎหมาย กฎหมายเป็นข้อบังคับ ขน้ั ตา่ ทที่ กุ คนต้องปฏิบัติตาม 4. จรรยาบรรณวิชาชีพต่างจากศีลธรรม และจรยิ ธรรม ศีลธรรมเปน็ ข้อบังคับควบคุมความ ประพฤติของคนท่ีมีรากฐานมาจากศาสนา ใช้ควบคุมความประพฤติแก่สมาชิกที่นับถือศาสนาน้ันๆ ส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากประเพณี และวัฒนธรรมของคนในแต่ละสังคม จรรยาบรรณวิชาชีพ ใช้ สาหรับควบคมุ ความประพฤติ และแนวทางปฏิบตั ิสาหรบั กลุ่มคนในวชิ าชีพหน่ึงๆ เทา่ น้นั ประโยชน์ของจรรยาบรรณวิชาชพี 1. ต่อผู้ประกอบวิชาชีพ การมีจรรยาบรรณวิชาชีพมีประโยชน์ต่อผู้ประกอบวิชาชีพ คือ สร้างความภาคภูมิใจในตนเอง และวิชาชีพ และใช้เป็นเหตุผลสาหรับให้ไม่ต้องทาตามคาส่ังท่ีไม่ ถูกต้องของนายจา้ ง หรือผบู้ ังคบั บัญชา 2. ต่อผู้รับบริการวิชาชีพ หัวใจสาคัญของวิชาชีพ คือ ความไว้วางใจของผู้รับบริการจาก วิชาชีพทผ่ี ปู้ ระกอบวิชาชพี จะรักษาผลประโยชนข์ องผรู้ ับบรกิ ารเหนือส่งิ อื่นใด สิง่ ที่ผมู้ ารบั บริการแลว้ มอบความไว้วางใจให้ ผู้ประกอบวิชาชีพดูแลผลประโยชน์ของผู้รับบริการ ผู้รับบริการกล้าเปิดเผย ความลับของตนที่จาเป็นในการรับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น คนไข้ไว้วางใจในการให้ข้อมูล เก่ียวกับการเจ็บป่วยกับแพทย์ ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพต้องมีความรู้ ความสามารถตามมาตรฐาน วิชาชีพ และมีจรรยาบรรณวิชาชีพท่ีจะรักษาผลประโยชน์ของคนไข้เหนือส่ิงอื่นใด และเหนือ ผลประโยชน์ของตนเอง 3. ต่อสังคม การมีจรรยาบรรณวชิ าชพี เป็นประโยชนต์ ่อสังคมสว่ นรวม ซึ่งสังคมไว้วางใจใน สถาบันวิชาชีพให้ทาหน้าท่ีของตนเองอย่างถูกต้อง และไว้ใจได้ เมื่ออาชีพใดสามารถยกฐานะตนเอง ข้ึนเป็นวิชาชีพ โดยสามารถควบคุมกันเอง ให้ปฏิบัติตามอุดมคติ และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพแล้ว

วิชาชีพน้ันก็จะเป็นสถาบันที่เป็นประโยชน์ และเป็นท่ีพึ่งแก่สังคมได้ เช่น สถาบันแพทย์ สถาบัน ทนายความ สถาบันหนังสือพิมพ์ สถาบันสถาปนิก สถาบันวิศวกร สถาบันครู เป็นต้น รัฐบาลเปล่ียน บทบาทจากการเป็นผู้ควบคุมมาเป็นการกากับ ดูแล เพราะสถาบันวิชาชีพจะควบคุมกันเอง โดยไม่ ตอ้ งออกกฎหมาย 2.3.2 คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดี คุณสมบัติที่ดี หรือคุณสมบัติที่เป็นรูปธรรมของ บุคคลอันเกิดจากการส่ังสอนของบิดามารดา ครู อาจารย์ หรือเกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณีท่ี ถา่ ยทอดกนั มา จรยิ ธรรม หมายถงึ ความประพฤติ การกระทาและความคดิ ท่ถี ูกต้องเหมาะสม การทาหน้าที่ ของตนอย่างสมบูรณ์ เว้นในส่ิงที่ควรเว้น กระทาในสิ่งท่ีควรกระทาด้วยความฉลาดและรอบคอบรู้ เหตุผลถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล คุณธรรม จริยะ สภาพคณุ งามความดี ความประพฤติ กริ ยิ าท่คี วรประพฤติ จรยิ ธรรม ธรรมทีเ่ ป็นขอ้ ประพฤติปฏบิ ตั ิ ศลี ธรรม กฎหมายศลี ธรรม แผนภมู ทิ ี่ 2 แสดงความหมายและลักษณะของจรยิ ธรรม 2.3.3. คณุ ลกั ษณะทพี่ งึ ประสงค์ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของผู้สาเร็จการศึกษา ตามระดับคุณวุฒิอาชีวศึกษาแต่ละระดบั มีดังนี้ ตารางท่ี 3 คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์

คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะ พฤติกรรมบ่งช้ี ท่ีพงึ ประสงค์ 1. รบั ผดิ ชอบ หมายถึง การยอมรับผลการกระทาของตนเองทั้งในส่ิงท่ีดี 1.1 ปฏบิ ัติงานตามทม่ี อบหมายสาเรจ็ ตามท่ี และไม่ดี และสามารถควบคุมตนเองได้ มีความมุ่งมั่น กาหนด และเพียรพยายาม ในการเรียนและการปฏิบัติงานให้ 1.2 ปฏิบัติงานโดยคานึงถึงความปลอดภัย บรรลุวัตถุประสงค์ทันกาหนดเวลา มีการวางแผนการ ต่อตนเองและผู้อื่น ปฏิบัติงาน การใช้เวลาอย่างมีระบบและเหมาะสม ตลอด 1.3 ยอมรับผลการกระทาของตนเอง ทั้งการปฏิบัติอย่างครบถ้วน โดยคานึงถึงความปลอดภัย ตอ่ ตนเอง ผอู้ ่ืนและสงั คม 2. ขยนั หมายถึง ความต้ังใจเพียรพยายามทาหน้าท่ีการงานอย่าง 2.1 ศึกษาค้นคว้า แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ต่อเนอื่ ง สม่าเสมอ อดทน ไมท่ อ้ ถอยเมอ่ื พบอุปสรรค ดว้ ยตนเอง ความขยันต้องปฏิบัติควบคู่กับการใช้สติปัญญาแก้ปัญหา 2.2 แสวงหาประสบการณ์เพ่ือพัฒนาการ และหรอื พัฒนาสง่ิ ใหม่ๆ จนเกิดผลสาเรจ็ ตามความมงุ่ หมาย ปฏิบตั ิงานอาชีพ 2.3 ต้ังใจทาหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่องจน เกดิ ผลสาเรจ็ 2.4 คิดริเร่ิมสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ท่ีเป็น ประโยชน์ตอ่ ตนเองและสังคม 2.5 มีความคดิ หลากหลายในการแกป้ ญั หา 3. ประหยัด หมายถึง การรู้จักเก็บออมถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของแต่ 3.1 ใช้วัสดุถูกต้อง พอเพียงและเหมาะสม พอควร พอประมาณ ให้เกิดประโยชน์ คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย กบั งาน ฟงุ้ เฟ้อ 3.2 ปิดน้า ปดิ ไฟทกุ คร้งั เม่ือเลกิ ใช้ 3.3 เก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของให้ เกิดประโยชน์คุ้มค่า 3.4 ดาเนินชวี ติ เรียบงา่ ยตามสถานภาพของตน 4. ซื่อสตั ยส์ จุ รติ หมายถงึ ความประพฤติท่ตี รงและจริงใจ ทง้ั ตอ่ หนา้ ที่และ 4.1 ประพฤตติ รง ทั้งต่อหน้าท่ีและต่อวิชาชีพ วิชาชีพ ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ไม่เอน 4.2 ไม่โกหก

คณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะ พฤตกิ รรมบ่งช้ี ทพ่ี ึงประสงค์ เอียง ไม่มีเล่ห์เหล่ียม ปลอดจากความรู้สึกลาเอียงหรือ 4.3 ไมล่ กั ขโมย อคติ 4.4 ไม่ทุจริตในการสอบ 4.5 ไม่นาผลงานของผู้อ่ืนมาแอบอ้างเป็น ของตนเองท้งั ดา้ นวชิ าการและวชิ าชพี 4.6 ปฏิบัติหน้าที่และรักษาประโยชน์ของ องคก์ ร 4.7 ไม่เพิกเฉยต่อสิ่งท่ีได้รับรู้และการกระทา ทไ่ี ม่ถกู ต้อง 5. จติ อาสา หมายถึง การมีจิตใจเป็นผู้ให้ มีน้าใจ เห็นอกเห็นใจใน 5.1 ช่วยเหลอื ผู้อนื่ ดว้ ยกาลังแรงกายและ เพื่อนมนุษย์ เอ้ืออาทรช่วยเหลือด้วยกาลังแรงกาย สตปิ ญั ญา สติปญั ญา และเสียสละเพือ่ ส่วนรวม 5.2 อุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อสังคมและ สว่ นรวม 5.3 แบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อ ทาประโยชนแ์ ก่ผอู้ ่ืน 5.4 อาสาชว่ ยเหลอื งานครูอาจารย์ 6. สามคั คี หมายถึง ความพร้อมเพรียงกัน ความกลมเกลียวกัน 6.1 ร่วมมือในการทางานด้วยความกลม ความปรองดองกัน ร่วมใจกันปฏิบัติงานให้บรรลุผลตามท่ี เกลียวและปรองดอง ต้องการ เกิดการงานอย่างสรา้ งสรรค์ปราศจากการทะเลาะ 6.2 รบั ฟังความคดิ เหน็ ของผู้อืน่ วิวาท ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นการยอมรับความมีเหตุผล 6.3 ปฏบิ ตั ิตนตามบทบาทผู้นาและผตู้ ามท่ีดี ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความ 6.4 ยอมรับความแตกต่างทางวัฒนธรรม หลากหลายในเร่อื งเชื้อชาติ ความคิด ความเช่ือท่ีหลากหลาย พร้อมท่ีจะ ปรบั ตวั เพ่อื อยู่รว่ มกันอย่างสนั ติ 6.5 ไมท่ ะเลาะววิ าท 7. มวี ินัย 7.1 ปฏิบัตติ ามกฎ ระเบียบ ข้อบงั คับของ สถานศึกษาและสังคม

คณุ ธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะ พฤติกรรมบ่งชี้ ที่พึงประสงค์ หมายถึง การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อ 7.2 ปฏบิ ตั ติ ามกตกิ าและมารยาทของสังคม ปฏิบัติซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสถานศึกษา 7.3 ประพฤติตนตามหลักศลี ธรรมอนั ดงี าม สถาบนั องคก์ ร สังคมและประเทศ 7.4 ประพฤติตนตรงตอ่ เวลา 8. สะอาด หมายถึง การปราศจากความมัวหมองท้ังกาย ใจ และ 8.1 คดิ ดี พูดดี ทาดี สภาพแวดลอ้ ม ความผ่องใสเป็นทเี่ จริญตา ทาให้เกดิ ความ 8.2 รกั ษาสขุ ภาพร่างกายตามหลกั สบายใจแกผ่ ู้พบเห็น สขุ อนามัย 8.3 รักษาที่อยอู่ าศัย ส่งิ แวดล้อมตาม สขุ ลักษณะที่ดี 9. สุภาพ หมายถึง ความเรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม มีกริยา 9.1 ประพฤติตนสภุ าพ เรยี บร้อย อ่อนน้อม มารยาทที่ดีงาม มีสัมมาคารวะ และสร้างความสัมพันธ์ ถ่อมตนตามสถานภาพและกาลเทศะ ทางสังคมระหว่างบคุ คล 9.2 ประพฤติตนเหมาะสมตามมารยาทของ วฒั นธรรมไทย 9.3 ไม่ประพฤติก้าวร้าวรุนแรง วางอานาจ ข่มผู้อนื่ ทัง้ โดยวาจาและทา่ ทาง 9.4 ควบคุมกริ ิยามารยาทในสถานการณท์ ่ีไม่ พงึ ประสงค์ 9.5 แสดงสมั มาคารวะตอ่ ครู อาจารยอ์ ยา่ ง สม่าเสมอ ทงั้ ตอ่ หนา้ และลบั หลัง 9.6 แสดงความมมี นษุ ยสัมพันธ์ 10. ละเว้นอบายมุข หมายถงึ การประพฤติปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงหนทางแห่ง 10.1 ไม่เสพสิ่งเสพติดและของมนึ เมา ความเสอื่ ม 10.2 ไม่เล่นการพนัน 10.3 หลกี เลีย่ งการเข้าไปอยู่ในแหล่งม่ัวสุม 2.4 การเสรมิ สรา้ งวินยั นกั เรียนนกั ศกึ ษา

ความมีวินัย เป็นส่ิงสาคัญในการดาเนินชีวิตและการทางาน โดยทั่วไปจะควบคู่ไปกับความมี ระเบียบ เพยี งแตว่ ่าระเบียบจะเป็นข้อบังคับใหป้ ฏิบัติ แต่วนิ ยั เป็นแนวทางปฏิบัติท่ียึดมั่นโดยไม่คิดว่า เปน็ การบงั คับ เปน็ หนา้ ทีท่ ีต่ อ้ งปฏิบตั ิ เหน็ คุณคา่ ท่ีเกดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ัตนิ ้ัน การกากับ ดแู ลนักศกึ ษา ในสถานประกอบการ ครูฝึกจาเป็นต้องทราบรายละเอียดเก่ียวกับการสร้างวินัยในการทางานเพ่ือ ประโยชนใ์ นการสอนงานได้อย่างมีประสิทธภิ าพ ความหมายของวินยั วินัย หมายถึง การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและ วนิ ยั ตอ่ สถานศึกษา สถาบนั องคก์ ร สังคม และประเทศ ความสาคญั ของวนิ ยั 1. วินัยมีพ้ืนฐานมาจากวัยเด็ก เกิดการเรียนรู้ เลียนแบบและฝึกฝนจากบุคคลและ ส่ิงแวดลอ้ ม ปฏิบตั ิต่อเนื่องจนเกดิ การซมึ ซบั คณุ ธรรมข้ึนภายในตนเอง 2. วินัยเกิดจากการดูแล กากับในวัยเด็ก ผู้ปกครอง ต้องทาตนเป็นแบบอย่างท่ีดี บอกกล่าว เหตุผลโดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ให้เด็กมีส่วนร่วมในการกาหนดข้อตกลง กฎเกณฑ์หรือระเบียบ และ ชว่ ยดแู ลในขอ้ ตกลงน้นั ๆ อันนาไปสคู่ วามภาคภมู ใิ จและเหน็ คุณค่าของตนเอง 3. ใช้วินยั ภายนอกเข้าร่วมกบั วินัยภายใน อาจใชค้ าสงั่ กฎ หรือกฎหมายตา่ งๆ เพื่อใหป้ ฏิบัติ ตามข้อตกลง โดยการโน้มนา้ วให้เข้าใจเหตผุ ลก่อนใชก้ ฎระเบียบพร้อมกับความเปน็ กัลยาณมิตร แนวทางการสรา้ งวนิ ยั 1. การทาให้เกิดพฤติกรรมเคยชิน ได้เห็น ได้ปฏิบัติในสิ่งท่ีดี กระทาอย่างต่อเน่ืองจะเป็น พนื้ ฐานของวนิ ัยต่อไป 2. การใช้วัฒนธรรมในสังคมผสมผสานกับวัฒนธรรมในองค์กร เป็นแนวทางการปฏิบัติอย่าง ต่อเนื่อง อันนาไปสู่พฤติกรรมเคยชิน เช่น การไหว้ การเคารพผู้อาวุโสในองค์กร การปฏิบัติตาม ระเบยี บขององค์กร โดยมุง่ ใหพ้ นกั งานได้เห็นแบบอยา่ งท่ีดแี ละถอื ปฏบิ ัติอยา่ งต่อเน่ือง 3. สรา้ งความเข้าใจ ในวินัย กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ขอ้ บังคับ ฯลฯ ที่ตอ้ งกระทาเพื่อให้เกดิ ความ พึงพอใจ การยอมรับ และนาไปสู่การปฏิบัติด้วยความเต็มใจ การใช้กฎเกณฑ์บังคับจะก่อให้เกิดวินัย ได้ช่ัวขณะหนึ่งเทา่ นน้ั เมอื่ ไมม่ กี ารควบคุมวนิ ัยกจ็ ะหายไป 4. เสริมแรงหนุนด้านอุดมการณ์ การต้ังจิตม่ัน ความมุ่งมั่นท่ีจะปฏิบัติตามวินัยให้บรรลุตาม เปา้ หมาย อันนาไปสูค่ วามภาคภูมใิ จในผลการปฏิบัติ

ขน้ั ตอนการพัฒนาวนิ ยั ข้ันท่ี 1 การให้ความรู้ ความเข้าใจการปฏิบัติ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ การประเมินค่า เกยี่ วกบั ความมวี ินยั ขนั้ ท่ี 2 การสร้างให้เห็นคณุ คา่ การยอมรับ และพร้อมทีจ่ ะปฏบิ ัติงานเก่ยี วกบั ความมวี ินยั ขั้นที่ 3 การวางแผนปฏิบัติตน การควบคุมตนเอง การปฏิบัติตามแผนความมีวินัยและการ สร้างระบบความมวี ินยั ของตนเอง หน่วยงาน และสงั คม หลักสาคัญของวนิ ัย ระเบยี บกฎเกณฑ์ทก่ี าหนดที่มาจากภายนอกเพอื่ การควบคุมจะคงอย่ภู ายนอก จิตวญิ ญาณของพนักงาน แต่ระเบียบกฎเกณฑ์ทีเ่ กดิ จากความเคารพ ให้เกยี รติรว่ มมือ ซึ่งกันและกนั จะหย่งั รากฝังลึกภายในจิตใจของพนกั งานตลอดไป 2.5 มนุษยสมั พนั ธใ์ นการทางาน การทางานในหน่วยงานประกอบด้วยบุคคลท่ีทาหน้าที่แตกต่างกันไป ซ่ึงต่างก็มีขอบเขต รับผิดชอบเพ่ือทาหน้าที่ตามโครงสร้างขององค์กร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร การทา บทบาทหน้าที่ของบุคลากรในด้านต่างๆ ย่อมต้องมีการประสานสัมพันธ์กันเพื่อให้การปฏิบัติงานมี ประสิทธภิ าพสงู สุด 2.5.1 มนุษยสมั พันธใ์ นการทางาน ครูฝึกในสถานประกอบการเป็นผู้ที่ทาหน้าท่ีสอนและฝึกอบรมผู้เรียนอาชีวศึกษาทวิภาคี จงึ มคี วามจาเปน็ อยา่ งยิง่ ที่จะต้องเรียนรู้ถงึ กระบวนการมนุษยสัมพนั ธใ์ นการทางานเพ่อื นาความรู้ด้าน การสร้างมนษุ ยสัมพนั ธ์ในการทางานไปกากบั ดแู ล นกั เรยี น นกั ศกึ ษาอาชีวศกึ ษาทวิภาคี หลักมนุษย สมั พันธ์ในการทางานท่ีครฝู กึ ในสถานประกอบการควรศึกษาเรียนรู้มีดงั นี้ คือ 1. การสร้างมนษุ ยสัมพันธ์กบั ผูใ้ ต้บงั คบั บัญชา 2. การสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธก์ บั ผู้บงั คบั บญั ชา 3. การสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์กบั เพือ่ นร่วมงาน 2.5.1.1 การสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา ในการบริหารงานให้ประสบ ความสาเร็จได้ดี ต้องอาศัยร่วมมือจากผู้ใต้บังคับบัญชา จึงจะทาให้นโยบายและเป้าหมายของ กจิ กรรมตา่ งๆ ดาเนนิ ไปได้อย่างประสทิ ธภิ าพ การสรา้ งมนุษยสัมพนั ธก์ บั ผ้ใู ตบ้ งั คับบญั ชา ทาได้ดังนี้ 1) ประพฤติตนเปน็ แบบอยา่ งท่ีดี การดาเนินชีวติ การทางานดว้ ยความขยนั หมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ สามารถควบคุมอารมณ์ หนักแน่น มีเหตุผล ค้นคว้าหาความรู้ ทันต่อการ เปลย่ี นแปลงในด้านตา่ งๆ เชน่ ดา้ นเทคโนโลยี อตุ สาหกรรมการผลติ และการบริการ เปน็ ต้น

2) ให้เกียรตผิ ูใ้ ตบ้ ังคับบัญชา โดยเช่ือม่นั ในคุณค่า ความสามารถของผใู้ ตบ้ ังคับบัญชา และควรยกย่องชมเชย ให้รางวัล หรือพิจารณาความดีความชอบ ในกรณีผู้ใต้บังคับบัญชาทางานได้ ดีเด่นหรือสร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน ในกรณีท่ีผู้ใต้บังคับบัญชาทางานผิดพลาดบกพร่องไม่ควร ตาหนิให้เกิดความอับอาย ควรให้โอกาสในการแก้ตัว การว่ากล่าวควรทาเป็นการส่วนตัวไม่ควร กระทาตอ่ หน้าผอู้ นื่ 3) ให้การสนับสนุนความก้าวหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชา เช่น การส่งเสริมเข้ารับการ อบรม ศึกษาดูงานภายในประเทศและต่างประเทศ การส่งเสริมให้ศึกษาต่อเพ่ือที่จะได้นาความรู้มา พฒั นาองคก์ ารและยังเปน็ การสร้างขวญั และกาลังใจในการทางาน 4) มีการวางแผนการทางานร่วมกับผู้ใต้บังคับบัญชา เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมและ รับผิดชอบต่อการทางาน เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นคุณค่าและความสาคัญของตนเองท่ีมีต่อ ความสาเร็จขององคก์ าร 5) แจง้ นโยบายและวัตถปุ ระสงค์ขององค์การ ให้ผู้ใต้บังคบั บัญชาทราบโดยท่ัวถงึ และ การส่งั งานตอ้ งชดั เจน มขี อ้ แนะนาเพ่อื ให้ปฏบิ ัตงิ านได้ถูกต้องเกิดประสิทธิภาพในการทางาน 6) ปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคบั บัญชาอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ลาเอียงให้ความยุติธรรมและความ เสมอภาคในการพิจารณาความดีความชอบและการเลื่อนตาแหน่งให้สูงข้ึนโดยคานึงถึงผลของการ ทางาน ความขยันหม่ันเพยี รเปน็ สาคญั 7) รู้จักเลือกใช้คนให้เหมาะสมกับงาน คานึงถึงความถนัดและความสามารถเพื่อให้ การทางานประสบความสาเรจ็ 8) สนใจดูแลทุกข์สุขของผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยการพูดคุยซักถามถึงความเป็นไปใน ครอบครัวเร่ืองส่วนตัวและการทางาน ให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือตามโอกาสอันควร เช่น ให้ คาปรึกษาแนะนา แก้ปญั หาในการทางาน การไปเย่ียมเม่ือเจ็บป่วย เปน็ ตน้ 9) ส่งเสริมเร่ืองสวัสดิการและผลประโยชน์ต่างๆ ของผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดจนดูแล สภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทางาน เช่น ภายในห้องทางานต้องคานึงถึงแสงสว่างที่เหมาะสม อากาศถ่ายเทได้ดี อุณหภูมิเหมาะสมกับการทางาน ดูแลเร่ืองประโยชน์และสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้ ผู้ใต้บงั คบั บัญชาเกดิ ขวญั และกาลังใจในการทางาน และเกดิ ความรูส้ ึกท่ดี ตี อ่ ผู้บงั คับบญั ชา 10) สร้างโอกาสในการทาความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชา การประชุมช้ีแจงเพื่อ สรา้ งความเข้าใจอันดีตอ่ กนั การเขา้ รว่ มกจิ กรรมต่างๆ กับผู้ใตบ้ งั คบั บญั ชา เช่น งานเล้ยี งฉลองปีใหม่ การรณรงค์รักษาความสะอาดของหน่วยงาน การศึกษาดูงานนอกสถานที่ ซึ่งในการเข้าร่วมกิจกรรม ผบู้ งั คบั บัญชาตอ้ งสร้างความคุ้นเคย ความรกั ใคร่ ไวว้ างใจ ให้เกดิ แกผ่ ู้ใต้บงั คบั บญั ชา 2.5.1.2 การสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา การทางานร่วมกับผู้บังคับบัญชาซ่ึงเป็น ผู้ที่มีความสาคัญต่อความก้าวหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชา การทางานให้ประสบความสาเร็จ

นอกจากมีความสามารถความรู้ความเชี่ยวชาญในการปฏบิ ตั ิงานแล้ว ผู้ปฏิบตั งิ านต้องสร้างความไว้ใจ ความเช่ือถือให้เกิดกับผู้บังคับบัญชา จึงจะได้รับสนับสนุนการส่งเสริมในด้านการงาน การเลื่อนข้ัน เล่ือนตาแหน่ง และเกิดความมั่นคงในการงาน แนวทางการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ทา ไดด้ ังนี้ 1) ศึกษาลักษณะนิสัยของผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาควรเรียนรู้ลักษณะนิสัย ตา่ งๆ ของผ้เู ป็นหวั หน้า ซึ่งแต่ละคนจะมีความแตกต่างในแนวทางการปฏิบัติงาน เช่น บางคนเป็นคน ละเอียดถี่ถ้วน ผู้บังคับบัญชาบางคนเป็นคนใจร้อน เมื่อสั่งงานแล้วลูกน้องควรปฏิบัติตามคาสั่งทันที การเรียนรู้ลักษณะนิสัยของผู้บงั คบั บญั ชาทาให้สามารถปฏิบัติงานรว่ มกับผบู้ ังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี และทาใหผ้ ู้ใตบ้ งั คบั บญั ชามีการปรบั ปรงุ และพัฒนาตนเอง 2) ปฏิบัติงานดว้ ยความตั้งใจ มีความขยันหมนั่ เพยี รในการทางาน รับผดิ ชอบต่องานท่ี ได้รับมอบหมาย ทาให้ประสบผลสาเร็จและมีประสิทธิภาพ จนเกิดความเช่ือถือและไว้วางใจต่อ ผู้บังคับบัญชา และถ้าผู้บังคับบัญชามีงานให้ช่วยเหลือก็ควรสนับสนุนและช่วยงานของผู้บังคับบัญชา อยา่ งเต็มความสามารถ 3) เคารพนับถือผู้บังคับบัญชาด้วยความจริงใจ ควรให้เกียรติและยกย่อง ผบู้ งั คบั บัญชาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไมน่ นิ ทาหรือว่าร้ายผู้บังคับบัญชา ตามหลักขนบธรรมเนยี มของ คนไทยท่ีให้ความเคารพต่อผู้อาวุโสหรือเป็นผู้บังคับบัญชา ถึงแม้ว่าผู้บังคับบัญชาทุกคน ย่อมต้องมี ข้อดีและข้อเสียก็ตาม หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงข้อเสียของผู้บังคับบัญชาต่อเพ่ือนร่วมงานและบุคคลอืน่ ถ้าคิดว่าควรปรับปรุงก็ต้องใช้วิธีการท่ีเหมาะสม การยกย่องให้เกียรติผู้บังคับบัญชาย่อมทาให้เกิด สมั พนั ธภาพทด่ี รี ะหว่างผู้บงั คบั บัญชากบั ผู้ใต้บังคับบญั ชา 4) ขอคาปรึกษาและแนะนาของผู้บังคบั บัญชา ในการทางานเมื่อเกิดปัญหาเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวท่ีไม่สามารถแก้ไขเองได้ ก็ควรขอคาแนะนาจากผู้บังคับบัญชาให้ความช่วยเหลือ ทาให้สามารถแก้ปัญหาได้ อีกท้ังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้เกิดแก่ผู้บังคับบัญชาเพราะบุคคล โดยทั่วไป จะเกิดความพอใจเม่ือมีคนมาขอคาปรึกษาแนะนาเพราะแสดงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาให้ความ ไวว้ างใจและเห็นคณุ คา่ ของตน 5) ปฏิบัติตามคาส่ังและรับฟังความคิดเห็นของผู้บังคับบัญชา การท่ีผู้บังคับบัญชา ช้ีแจงนโยบายเพื่อผู้อธิบายวิธีการดาเนินงาน ตลอดจนคาส่ังในการปฏิบัติงานหรือแสดงความคิดเหน็ ใดๆ ก็ตาม ควรรับฟังด้วยความสงบและปฏิบัติตามคาสั่ง ไม่ควรโต้เถียง คัดค้านหรือแสดงความ ขัดแย้งต่อต้าน ซ่ึงจะไม่เป็นผลดีต่อการทางาน ถ้าสงสัยหรือมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ควรซักถาม แสดงความคดิ เหน็ ดว้ ยความสุภาพ

6) พัฒนาเทคนิคและวิธีการทางานให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน เสนอแนวความคิด สร้างสรรค์ในการทางาน หรือวิธีการทางานแบบใหม่ๆ ที่ทาให้ประหยัดเวลาในการทางาน ลดการ ซ้าซ้อนสิ้นเปลืองการใช้ทรัพยากร ทาให้องค์การเกิดการพัฒนาและทาให้ได้รับการยอมรับจาก ผ้บู งั คบั บญั ชา 7) แสวงหาความรู้และประสบการณ์เพ่ือนามาใช้ในการทางาน ควรศึกษาเรียนรู้ ความรู้และวิทยาการใหม่อยู่เสมอ ตลอดจนเพิ่มพูนประสบการณ์ในการทางานเพ่ือให้เกิดความ เชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานให้เกิดผลดี ซึ่งจะทาให้องค์การประสบความสาเร็จตามเป้าหมายและมี ความเจรญิ กา้ วหนา้ 8) ควรหาโอกาสมีส่วนร่วมในการทางานและไม่ย่อท้อต่อความยากลาบาก ควรหา โอกาสเข้าร่วมเปน็ ส่วนหน่ึงของการทางาน แมบ้ างครั้งจะเป็นงานท่ีนอกเหนือหน้าที่ แตถ่ า้ เหน็ ว่าการ อาสาเข้าช่วยเหลืองานอ่ืนโดยไม่เกิดความเสียหายต่องานในหน้าที่แล้วเป็นสง่ิ ท่ีควรทา ซึ่งทาให้ได้รับ การยอมรับจากผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน และในการทางานแม้งานจะมีความยากลาบาก ก็ ควรหาทางแกไ้ ขหรือขอคาแนะนา ความชว่ ยเหลือจากผู้ร่วมงานหรือผ้บู ังคบั บัญชาไมค่ วรบ่นถึงความ ยากลาบากในการทางาน ควรภมู ิใจทผ่ี ้บู ังคับบญั ชาให้ความไวว้ างใจเพราะเชือ่ ในความสามารถ ของเรา 9) เข้าร่วมกิจกรรมอ่ืนๆท่ีนอกเหนือจากการทางาน เม่ือหน่วยงานจัดกิจกรรมเพ่ือ สาธารณประโยชน์ เช่น การร่วมมือกับชุมชนดูแลรักษาส่ิงแวดล้อม การเล้ียงอาหารเด็กกาพร้า หรือ กิจกรรมสงั สรรคร์ น่ื เริง ไดแ้ ก่ งานเลีย้ งปใี หม่ การมีส่วนร่วมในกจิ กรรมอยา่ งสม่าเสมอ ยอ่ มทาให้เป็น ที่รู้จักของผู้บังคับบัญชา ทาให้เห็นถึงความสามารถเป็นท่ียอมรับของผ้ใู หญ่ และการเข้าร่วมกิจกรรม ย่อมเปน็ การสร้างสมั พนั ธภาพทดี่ ีกับบคุ คลต่างๆ รวมทง้ั ผูบ้ งั คบั บัญชา 10) ประเมินตนเองและพัฒนา ควรมีการประเมินตนเองอยู่เสมอ ในด้านบุคลิกภาพ ด้านปฏิบัติงานและด้านสัมพันธภาพกับผู้อ่ืนว่าตนมีข้อบกพร่องที่ควรปรับปรุงและพัฒนาในด้าน ใดบ้าง เพ่ือที่จะนามาแกไ้ ขปรบั ปรงุ ในการสร้างความพอใจกับผู้บังคบั บัญชา 2.5.1.3 การสร้างมนษุ ยสมั พนั ธ์กับเพอื่ นรว่ มงาน การทางานให้มีประสิทธิภาพเกิดความสาเร็จด้วยดีย่อมเกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลและ กลุ่มต่างๆนอกเหนือจากผู้บงั คับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาแลว้ ยังมีเพื่อนรว่ มงานหรือบุคคลที่ทางานใน ระดับเดียวกัน การสร้างมนุษยสัมพันธ์ให้เกิดข้ึนย่อมทาให้มีการช่วยเหลือเก้ือกูล ร่วมมือร่วมใจกัน ปฏิบัติงาน เกิดความสามัคคีในหมู่คณะบรรยากาศของการทางานมีความสุขและเกิดความมั่นคงใน จติ ใจ การสรา้ งมนุษยสมั พันธ์กับผู้ร่วมงาน มีรายละเอยี ดดังน้ี (บญุ มั่น,2539:146) 1) แสดงความเป็นมิตร ด้วยการยิ้มแย้ม ทักทาย พูดคุยสนทนาด้วยอารมณ์แจ่มใส แสดงความเปน็ มิตรอย่างบริสุทธิ์ใจ ซึง่ ทาใหเ้ กิดความรู้สึกทดี่ ีตอ่ เพอื่ นร่วมงาน

2) มีความปรารถนาดีและจริงใจต่อเพ่ือนร่วมงาน บรรยากาศของการทางานท่ีเป็น มติ ร สามารถรับร้คู วามปรารถนาดีและความจรงิ ใจจากคาพูด กริ ิยาท่าทางและการกระทาตา่ งๆทาให้ เกิดความไว้วางใจ มคี วามสุจรติ ใจ เกดิ ความรักใคร่นับถือนาไปสมู่ นุษยสมั พันธท์ ่ีดีกบั เพ่อื นรว่ มงาน 3) ยกย่องให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน สร้างความรู้สึกให้เห็นว่าเพื่อนร่วมงานเปน็ บุคคลที่ มีความสาคัญต่อความสาเร็จของงาน เป็นผู้ซ่ึงมีคุณค่าและความหมาย เช่น เม่ือเพ่ือนทางานได้ดี ก็ กล่าวยกยอ่ งชมเชย ใหก้ าลังใจให้การสนบั สนุนด้วยความจริงใจ 4) ให้ความร่วมมือในการทางานกับเพ่ือนร่วมงานเสมอ การช่วยเหลือและให้ความ ร่วมมือในการทางาน ทั้งงานที่เป็นหน้าที่ตามโครงสร้างขององค์การ ถึงแม้ว่าจะมีการแบ่งหน้าท่ีการ ทางานกันแล้วก็ตาม แต่ถ้าเพ่ือนทางานล่าช้า เกิดปัญหาและอุปสรรคในการทางานควรให้ความ ช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ ถ้าเป็นงานท่ีขอความร่วมมือแม้ว่าเป็นงานที่นอกเหนือจากหน้าท่ี ถ้าช่วย ไดก้ ็ควรทาตนให้เกิดประโยชนต์ อ่ เพ่ือนร่วมงานจะย่งิ ทาให้ความเปน็ เพ่ือนมีความผูกพนั และแนน่ แฟน้ ยงิ่ ขึ้น 5) หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง บคุ คลยอ่ มมีความคิด เหตผุ ล และการกระทาที่แตกต่างกัน ซ่ึงบางครั้งความแตกต่างกันในด้านความคิด ความเชื่อ และวิธีการทางานนาไปสู่ความขัดแย้ง ซ่ึงไม่ เปน็ ผลดตี ่อการทางานและเกิดผลกระทบต่อความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกัน 6) แสดงความสุภาพต่อเพื่อนร่วมงานเสมอ ถึงแม้ว่าจะมีความสัมพันธ์กับเพ่ือน ร่วมงานมากแค่ไหนก็ตาม ต้องระมัดระวังกิริยา วาจา การกระทา ที่ทาให้เพ่ือนเกิดความ กระทบกระเทือนใจ เช่น การหยอกล้อที่เกินขอบเขต ซ่ึงทาให้เพ่ือนเกิดความเสียหายและอับอาย หลีกเลี่ยงการนินทาให้ร้าย หรือพูดจาโอ้อวดยกตนข่มท่าน ควรคานึงถึงการถนอมน้าใจ และมีความ เกรงใจ ถ้าเราไม่ชอบสิ่งใดไม่ควรประพฤติปฏิบัติส่ิงนั้นต่อเพื่อน การแสดงความสุภาพต่อเพ่ือน รว่ มงานทาใหค้ วามสัมพันธร์ าบร่นื และย่ังยืน 7) ให้การสนับสนุนและสง่ เสริม เม่อื มโี อกาสในการให้การสนบั สนุนเพื่อนร่วมงานให้มี ความก้าวหน้าในตาแหน่งหน้าที่ หรือสามารถส่งเสริมและสนับสนุนเพ่ือนให้ประสบความสาเร็จใน การทางาน กค็ วรท่จี ะทาอยา่ งเต็มสตกิ าลงั ดว้ ยความปรารถนาดี 8) ให้คาปรึกษา แนะนา และช่วยเหลือ เม่ือเพ่ือนร่วมงานเกิดปัญหาและอุปสรรคใน การทางาน ชีวิตส่วนตัวหรือประสบปัญหาได้รับความเดือดร้อน เกิดความขาดแคลนอาจช่วยเหลือ ด้วยการแบ่งปันตามความจาเป็น เมื่อเกิดปัญหาด้านจิตใจก็ควรให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนให้เกิด กาลงั ใจ แต่ถ้าไม่สามารถชว่ ยเหลือได้ กค็ วรหาผู้ที่มคี วามชานาญ ผู้ทีม่ ีความสามารถใหช้ ่วยเหลอื ตอ่ ไป 9) เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม เพ่ือเป็นการสร้างความเป็นมิตรให้ผูกพันและ แน่นแฟ้นควรเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เช่น การพบปะสังสรรค์กันตามโอกาสอันสมควร ไมค่ วรเก็บตวั การเข้าร่วมกจิ กรรมทาใหเ้ กดิ ความสนทิ สนมกนั มากข้ึน

10) ปฏิบัติตนต่อเพ่ือนด้วยความเหมาะสม ในความเป็นเพื่อนร่วมงานควรมีการ แสดงน้าใจและมีความเป็นมิตรด้วยความเป็นกันเองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้ว่าบทบาทหน้าที่ อาจจะเปลี่ยนแปลงไป เพราะเพื่อนร่วมงานบางคนอาจได้รับการเล่ือนตาแหน่งเป็นหัวหน้างานหรือ ผู้บังคับบัญชา ซึ่งไม่ควรให้ความแตกต่างทางหน้าท่ีการงานเป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นเพื่อน ร่วมงานทด่ี ตี อ่ กัน ควรมกี ารปฏบิ ตั ิตอ่ เพอ่ื นดว้ ยความเหมาะสมตามกาลเทศะ เพื่อนทม่ี ีหนา้ ท่ีการงาน ต่ากว่า ไม่ควรแสดงความสนิทสนมคุ้นเคยต่อเพื่อนที่มีหน้าที่การงานสูงกว่า ซ่ึงการกระทาดังกล่าว เป็นการให้เกียรติเพื่อน การแสดงความสนิทสนมคุ้นเคยควรให้เพื่อนที่มีตาแหน่งสูงกว่าแสดงความ เป็นกันเองกับเพ่ือนท่ีอยู่ในตาแหน่งต่ากว่า การปฏิบัติตนต่อเพื่อนด้วยความเหมาะสมทาให้ ความสัมพันธ์ฉนั ท์เพอ่ื นมีความยืนนาน การมีมนุษยสัมพันธ์ในการทางาน ทาให้งานขององค์กรดาเนินไปด้วยความราบรื่น มีประสิทธิภาพ และบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ซ่ึงในแต่ละฝ่ายต่างมีความรับผิดชอบในบทบาท หน้าท่ี ที่แตกต่างกันออกไปตามโครงสร้างขององค์กร มนุษยสัมพันธ์ในการทางานเปรียบเสมือน เครื่องมือเชื่อมโยงการปฏิบัติงานให้เกิดความคล่องตัว มีความเข้าใจกัน และเกิดความร่วมมือ ร่วมใจ ในการทางานของทุกฝ่ายในองคก์ ร การเรียนรู้และฝึกปฏิบัติเก่ียวกับการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในการทางาน จะทาให้ครูฝึกใน สถานประกอบการได้นาความรู้ ความเข้าใจไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอน และฝึกอบรมผู้เรียน อาชวี ศึกษาทวิภาคอี ยา่ งมีประสิทธิภาพต่อไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook