Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Ebook5

Ebook5

Published by supaneeprachan, 2021-09-08 13:59:19

Description: Ebook5

Search

Read the Text Version

ศูนยอ์ าชีวศึกษาทวิภาคี สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา

หนว่ ยการเรยี นท่ี 5 การประเมินผลการฝกึ อาชพี กรอบแนวคิด การประเมินผลนักเรียนนักศึกษาฝึกอาชีพที่จะทาให้ได้ผลการประเมินที่มีคุณภาพ จาเป็นทจี่ ะต้องได้ชนิด ของเคร่อื งมอื ทส่ี ามารถวัดความรู้ ทกั ษะ และจิตพสิ ยั ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ จดุ ประสงค์ เพื่อให้ครฝู ึกในสถานประกอบการ 1. อธิบายความหมายของการประเมนิ ผลการฝกึ อาชพี 2. วัดความรแู้ ละการประเมินผลเชงิ ประจักษ์ 3. สร้างเครอ่ื งมือการประเมินผลประเภทตา่ งๆ 4. จดั ทาบันทึกการฝกึ อาชีพและจัดทาสรุปผลการฝึกอาชีพ สาระการเรยี นรู้ 1. แนวคดิ เกี่ยวกับการประเมินผล 2. การวัดความรูแ้ ละการประเมินผลเชิงประจักษ์ 3. การสรา้ งเครอื่ งมือการประเมินผล 4. การจดั ทาบันทึกการฝึกอาชพี และการจดั ทาสรปุ ผลการฝกึ อาชีพ แนวการจัดกจิ กรรม 1. ใหค้ วามรูเ้ ก่ยี วกับชนดิ ของเครอื่ งมอื วดั และประเมนิ ผลการฝึกอาชีพในสถานประกอยการ 2. สรา้ งเครื่องมือวดั และประเมนิ ผลตามจดุ ประสงค์การฝึกอาชีพในสถานประกอบการจากกจิ กรรมตาม ใบงานท่ี 3 ดว้ ยวิธี - การอภปิ รายกล่มุ ย่อย (Group Discussion) - การระดมความคิดในกลุ่ม (Brain Storming) - การนาเสนอแนวคดิ ต่อท่ปี ระชุม (Presentation) - การแลกเปล่ียนเรียนรู้ (Share & Learn)

สื่อ นวัตกรรมหรือแหลง่ การเรยี นรู้ 1. Power Point 2. ใบเน้อื หา 3. ใบงาน ระยะเวลาในการพฒั นา จานวน 4 ชั่วโมง ใบเนอ้ื หาท่ี 5.1 แนวคิดเกี่ยวกบั การประเมนิ ผล 1. องค์ประกอบของการจดั การศกึ ษา ประกอบดว้ ย หลักสูตร ซ่ึงเป็นมวลประสบการณ์ที่จัดขึ้นเพ่ือพัฒนาผู้เรียน ได้บรรลุตามความมุ่งหวังและเป็นสิ่งท่ี กาหนดกิจกรรมในการจดั การเรยี น การสอนหรอื การฝึกในสถานประอบการ กระบวนการจัดการเรียนการสอน เปน็ กลวธิ ีในการกระตนุ้ ผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้และแสดงพฤติกรรมท่ี พงึ ประสงค์ โดยใช้ เทคนคิ วธิ ีสอน การจดั กิจกรรมการเรียนการสอน และส่ือการสอน กระบวนการวัดผลและประเมินผล เป็นกลวิธีตรวจสอบสภาพผเู้ รียนตามคุณลักษณะหรือวัตถุประสงคท์ ่ี กาหนดไว้ รวมทง้ั ช่วยตรวจสอบประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลของสภาพการจดั การเรียนการสอน 2. ความหมายของการวัดผลและประเมินผล การวัดผล (measurement) และการประเมินผล (evaluation) เป็นสง่ิ ทีต่ อ้ งดาเนินการคู่กันเสมอเนือ่ งจาก การวัดผล เป็นกระบวนการกาหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณหรือคุณภาพของคุณลักษณะหรือ คณุ สมบตั ขิ องสิ่งทต่ี อ้ งการวดั โดยสง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั เปน็ ผลจากการฟังหรอื การเรียนรขู้ องผู้เรียน การประเมินผล เป็นกระบวนการต่อเน่ืองจากการวัดผล คือ นาตัวเลขหรือสัญลักษณ์ท่ีได้จากการวัดผล มาตีค่า โดยเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กาหนดไว้ ตัวอย่างเช่น นักเรียนทาคะแนนได้ 80% ข้ึนไป ได้เกรด 4 ถ้าต่า กว่า 50% ไดเ้ กรด 0 เป็นต้น 3. วัตถุประสงค์ของการวัดผลและประเมินผล สามารถทาได้ตลอดเวลาในระหว่างท่ีครูดาเนินการจัดการเรียน การสอนหรือการสอนงานเพราะครสู ามารถนาผลการประเมินไปใช้ในวตั ถุประสงคต์ ่างๆ ได้แก่ 1) เพ่ือการจัดตาแหน่ง ว่านกั เรียนคนไหนเก่ง ปานกลาง อ่อน 2) เพื่อการปรบั ปรุงกระบวนการจัดการเรียนการสอน ว่ามีจุดไหนท่ตี ้องการปรับปรงุ 3) เพื่อการตดั สินผลการเรียนวา่ ผู้เรยี นควรไดร้ ะดับคะแนนหรือเกรดใดๆ ซ่งึ ตามระเบยี บการวดั ผลในหลักสตู รของคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา ถ้าได้คะแนน 80-100 คะแนน ไดเ้ กรด 4

ถ้าได้คะแนน 75-79 คะแนน ไดเ้ กรด 3.5 ถ้าได้คะแนน 70-74 คะแนน ไดเ้ กรด 3 ถ้าได้คะแนน 65-69 คะแนน ได้เกรด 2.5 ถ้าได้คะแนน 60-64 คะแนน ได้เกรด 2 ถ้าได้คะแนน 55-59 คะแนน ไดเ้ กรด 1.5 ถ้าได้คะแนน 50-54 คะแนน ไดเ้ กรด 1 ถ้าได้คะแนนต่ากว่า 50 คะแนน ได้เกรด 0 การวดั ผลดา้ นตา่ งๆ ในการจัดการเรียนการสอนครุต้องวัดพฤตกิ รรมการเรียนรู้ของผ้เู รียนว่าผเู้ รียนประสบความสาเรจ็ ในการ เรยี นหรือไม่ ซ่ึงนกั การศึกษาช่อื Bloom ไดแ้ บ่งพฤตกิ รรมการเรยี นรู้ออกเปน็ 3 ด้าน คือ 1) ด้านพทุ ธิพสิ ยั (Cognitive Domain) 2) ดา้ นทกั ษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) 3) ดา้ นจติ พสิ ัย (Affective Domain) พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย เป็นพฤติกรรมทางสิติปัญญาท่ีบ่งบอกความสามารถทางสมอง คือ ความคิดท่ี จาแนกแบ่งเป็นระดับพฤติกรรมย่อย 6 ด้าน คือ ด้านความรู้ความจา (knowledge) ความเข้าใจ (comprehension) การนาไปใช้ (application) การวิเคราะห์ (analysis) การสังเคราะห์ (synthesis) และการ ประเมนิ คา่ (evaluation) การวัดผลพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ส่วนใหญ่ใช้แบบทดสอบท่ีมีหลายรูปแบบ ได้แก่ แบบกาถูก – ผิด แบบจบั คู่ แบบเติมคา แบบเลือกตอบ แบบตอบสั้นๆ แบบอัตนัยหรอื ความเรียง พฤติกรรมดา้ นทกั ษะพสิ ยั เป็นพฤตกิ รรมที่เก่ียวขอ้ งกับความสามารถในการปฏิบตั งิ านซ่งึ สามารถจาแนก ระดบั ของการฝกึ ปฏิบตั ิ เปน็ 5 ลกั ษณะ คือ การเลยี นแบบ (imitation) การทาตามแบบ (manipulation) การทา อยา่ งถกู ตอ้ ง (precision) การทาอยา่ งประสงค์ (articulation) และการทาอย่างเปน็ ธรรมชาติ (naturalization) การวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสัย เป็นการวัดที่ให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการปฏิบัติโดยใช้ความสามารถ ทางสมองหรือทางกาย หรือท้ังสองอย่าง เพ่ือให้ผู้สอนได้ตัดสินระดับความสามารถในการปฏิบัติของผู้เรียนว่ามี ความถกู ตอ้ งในกระบวนการปฏบิ ัติหรอื ไม่ ซึ่งธรรมชาติของการวดั ทกั ษะพิสยั คอื 1) เป็นการวดั โดยใชส้ ถานการณเ์ ป็นโจทย์เพื่อทดสอบการปฏิบตั ขิ องผู้เรียน 2) วธิ กี ารวัดย่อยแตกตา่ งกัน ตามลกั ษณะงานทีท่ า 3) เปน็ การวดั กระบวนการในการปฏิบัติ (process) และผลผลติ (product) 4) ผู้สอนตอ้ งสงั เกตพฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นอยา่ งใกล้ชิด

วิธีทใ่ี ชใ้ นการวดั ทกั ษะพิสัย มหี ลายวิธี ไดแ้ ก่ - การสงั เกต - การจัดอนั ดับคณุ ภาพ - การใหผ้ ู้เรยี นรายงานตนเอง - การสมั ภาษณ์ ในเร่ืองของการประเมินกระบวนการทางานและผลผลิต การสังเกตเป็นวิธีท่ีดีท่ีสุดท่ีครูสามารถประเมิน ผู้เรยี นวา่ มที ักษะในการเรียนน้นั ๆ หรอื ไม่ ซึ่งขั้นตอนการสร้างเครอ่ื งมือในการประเมินผลดา้ นทกั ษะ คือ 1) กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2) กาหนดงานใหผ้ ูเ้ รยี นปฏบิ ตั ิ 3) วเิ คราะห์งานเพ่ือกาหนดคณุ ลกั ษณะท่ีใช้ในการวัดทักษะ 4) กาหนดวิธีการวัดและเครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการวดั 5) กาหนดวธิ ีการประเมินผลและรายงานผล 6) สรา้ งเคร่ืองมือที่ใช้ในการวดั ตัวอย่าง การประเมินทกั ษะการแกะสลักผลไม้ ตัวบง่ ชี(้ คุณลกั ษณะ) เกณฑก์ ารประเมิน 1. เลอื กใช้เครอ่ื งมือวดั ได้ถกู ต้อง ปฏิบัตไิ ด้ 5 ขอ้ = 5 คะแนน 2. ตัดแบ่งผลไม้ได้ถกู วิธี ปฏิบัตไิ ด้ 4 ข้อ = 4 คะแนน 3. ขนั้ ตอนการแกะสลกั ถกู ตอ้ ง ปฏิบตั ิได้ 3 ข้อ = 3 คะแนน 4. ผลงานสวยงาม ปฏบิ ัติได้ 2 ข้อ = 2 คะแนน 5. จดั เกบ็ อุปกณ์และผลงานถูกตอ้ ง ปฏิบตั ไิ ด้ 1 ข้อ = 1 คะแนน พฤติกรรมด้านจิตพิสัย เป็นคุณลักษณะด้านจิตใจ หรือความรู้สึก (feeling) ที่บ่งบอกพฤติกรรมความ สนใจ เจตคติ ค่านิยม และลักษณะนิสัยของผู้เรียน สามารจาแนกเป็นพฤติกรรมได้ 6 ระดับ คือ การรับรู้ (receiving) การตอบสนอง (responding) การสร้างคุณค่า (valuing) การจัดระดับคุณค่า (organization of values) และการสร้างลักษณะนิสัย (characterization by a value) ซึ่งพฤติกรรมทางจิตพิสัยในการปฏิบัตินิยม วัดด้านความสาเร็จ เจตคติ ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม (moral and ethics) ตลอดจนคุณลักษณะที่พึง ประสงค์

วธิ ีการวดั พฤตกิ รรมด้านจิตพิสยั อาจใชว้ ธิ ีการประเมินตนเอง เช่น การตอบแบบวดั เจตคติ การตอบแบบ สารวจความสนใจในวิชาชพี หรอื ให้ผู้อืน่ ประเมนิ ได้แก่การสังเกตโดยครู และ/หรอื การสงั เกตโดยเพ่ือน การสรา้ ง เครอ่ื งมือวดั คณุ ภาพด้านจิตพสิ ัย มีขั้นตอนดงั นี้ 1) กาหนดคณุ ลกั ษณะท่ีต้องการวัด 2) กาหนดตัวบ่งชี้ของคณุ ลักษณะทีต่ ้องการวดั 3) กาหนดวธิ กี ารวัดและสร้างเคร่อื งมอื 4) กาหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายผลการวัด เคร่ืองมือในการวัดด้านจิตพิสัยที่เป็นแบบสังเกต (Observation form) เป็นเครื่องมือที่สามารถวัดได้ตรง กบั สภาพความเปน็ จริงมากท่สี ดุ แบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 ลักษณะ คือ 1. แบบสังเกตทม่ี ีโครงสรา้ ง ประกอบดว้ ยรายการหรอื ข้อความทมี่ ี 2 ลักษณะ คือ 1.1 Check list มี/ไมม่ ี, เกดิ /ไมเ่ กดิ , ทา/ไม่ทา, ใช/่ ไม่ใช่ 1.2 Rating Scale เป็นรายการที่ผู้สังเกตระบุว่า ส่ิงที่สังเกตได้มีปริมาณมากน้อยเพียงใด เช่น ทุกครัง้ บ่อยๆ บางครัง้ นานๆ ครงั้ ไม่เคยปฏบิ ตั ิ 2. แบบสังเกตท่ีไม่มีโครงสร้าง เป็นแบบสังเกตที่มีแต่หัวข้อ ไม่มีรายละเอียด ข้อมูลที่ได้จะตรงหรือไม่ ขน้ึ อยู่กับประสบการณแ์ ละความชานาญของผ้สู งั เกต ตัวอย่าง การประเมนิ คุณลกั ษณะความรบั ผิดชอบ ตวั บง่ ช้ี การตรวจสอบรายการ เกณฑ์การประเมิน 1. ทางานทีไ่ ด้รบั มอบหมายเสรจ็ ทนั 2. ติดตามแกไ้ ขและปรบั ปรงุ ขอ้ บกพรอ่ ง ใช่ / ไม่ใช่ เวลาทาครบทุกข้อได้ 5 คะแนน ในการทางาน ใช่ / ไมใ่ ช่ ทาได้ 3 ข้อ ได้ 3 คะแนน 3. เตรียมอปุ กรณ์ครบถว้ นและเกบ็ รักษา ใช่ / ไมใ่ ช่ ทาได้ 2 ข้อ ได้ 2 คะแนน อุปกรณ์หลงั เสร็จงานแลว้ 4. ยอมรับความผดิ หากพบข้อผดิ พลาด ใช่ / ไมใ่ ช่ ทาได้ 1 ขอ้ ได้ 1 คะแนน ทาไมไ่ ดเ้ ลย ได้ 0 คะแนน โดยไม่ป้ายความผิดใหผ้ ู้อื่น

ใบเน้อื หาท่ี 5.2 การวัดความร้แู ละการประเมนิ ผลเชิงประจกั ษ์ การวัดผลและการประเมินผลเชิงประจักษ์ ในกระบวนการวัดความรู้และการประเมินผลเชิงประจักษ์ นัย ว่ามีความสาคัญอย่างหนึ่ง คือ การประเมินผลพฤติกรรมการเรียนรู้ ทั้งน้ีเพราะถ้าการประเมินผลไม่ครอบคลุมทั้ง สามด้าน เครื่องมือไม่มีคุณภาพดีพอ ขาดความเช่ือม่ัน การวัดผลท่ีได้มาน้ันก็จะเช่ือถือไม่ได้ อย่างไรก็ตามการ เรียนรู้ วิธีการวดั ผลจงึ เป็นสง่ิ จาเป็นท่ีทกุ คนควรเรียนรู้ให้เขา้ ใจ ในรายละเอียดดังนี้ 1. การวดั ผลกบั การประเมนิ ผล 1.1 ความหมายของการวดั ผล (measurement) การวัดผล หมายถึง กระบวนการซึ่งได้มาซึ่งตัวเลขหรือสัญลักษณ์ ที่มีความหมายแทนคุณลักษณ์หรือ คณุ ภาพส่ิงที่วัดโดยใชเ้ คร่อื งมือท่ีมีประสิทธภิ าพ หารายละเอยี ดสิง่ ที่วัดว่ามีจานวน หรอื ปริมาณเท่าใด เชน่ การวัด ระยะห่างจากรุงเทพฯ ถึง จังหวัดนครนายก เป็นการแปลงระยะห่างของสถานท่ีออกมาเป็นตัวเลขระยะห่างก่ี กโิ ลเมตร เป็นตน้ 1.2 ความหมายของการประเมนิ ผล (evaluation) การประเมินผล หมายถึง กระบวนการที่กระทาต่อจากการวัดผลและวินิจฉัยลงสรุปคุณค่าที่ได้จากการ วัดผลอย่างมีกฎเกณฑ์และมีคุณธรรม เพื่อพิจารณาตัดสินใจ ว่าส่ิงน้ันดีหรือไม่ดี ได้หรือหรือตก เป็นต้น การ ประเมินผลพฤติกรรมการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย 1. ดา้ นพุทธิพิสยั (Cognitive Domain) 2. ดา้ นทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) 3. ดา้ นจิตพิสัย (Affective Domain) พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา ความรู้และความคิด หรือ พฤติกรรมทางด้านสมองของบุคคล ที่มีความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็น ความสามารถทางสติปญั ญา แบ่งออกไดเ้ ปน็ 6 ระดบั ไดแ้ ก่ 1. ความรู้ความจา หมายถงึ ความสามารถในการจาแนกเนื้อหาความรู้ เก็บรักษามวลประสบการณ์ต่างๆ และระลึกได้เมื่อตอ้ งการนามาใช้ 2. ความเข้าใจ หมายถงึ การเข้าใจความหมายของเน้ือหาสาระ และความสามารถแสดงออกมาในรูปของ การแปลความหมาย ตีความ ขยายความ หรือการกระทาอื่นๆ 3. การนาไปใช้ หมายถึง การนาเน้ือหาสาระ หลักการ ความคิดรวบยอด และทฤษฎีต่างๆ ไปใช้ใน รปู แบบใหม่

4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกเนื้อหาให้เป็นส่วนย่อยเพ่ือค้นหาองค์ประกอบ โครงสรา้ ง หรือหาความสมั พันธใ์ นสว่ นยอ่ ยน้นั ๆ 5. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการท่ีจะนาองค์ประกอบหรือส่วนย่อยๆ น้ันมารวบรวมกัน เพ่อื ให้เปน็ ภาพท่ีสมบรู ณจ์ นเกิดความเขา้ ใจ ในสง่ิ เหลา่ นั้นอย่างชดั เจน 6. การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาคุณค่าของส่ิงต่างๆ โดยผู้กาหนดตัดสินข้ึนมา เอง จิตพิสัย (Affective Domain) เป็นจุดประสงค์ท่ีเก่ียวกับความรู้สึกทางจิตใจ อารมณ์ เจตคติ ค่านิยม และคุณธรรม จรยิ ธรรม จะเกดิ ขน้ึ ตามลาดบั ขัน้ ตอนดงั น้ี 1. การรับรู้ คอื การรบั รู้ของนกั เรียน นกั ศึกษา โดยรับประสบการณ์จากส่งิ แวดล้อม 2. การตอบสนอง คือ การมีปฏิกิรยิ า โต้ตอบกบั สิง่ แวดล้อมท่เี ข้ามาดว้ ยความเต็มใจ 3. การสร้างคุณค่า เป็นสิ่งที่เกิดภายหลังจากท่ีรับรู้ส่ิงแวดล้อมแล้ว และมีปฏิกิริยาตอบโต้สังเกตได้จาก พฤติกรรมท่ยี อมรับสงิ่ ใดสิง่ หนึ่ง 4. การจัดระบบคุณค่า เป็นการรวบรวมพิจารณา ค่านิยมให้เขาเป็นค่านิยม หรือสร้างมโนทัศน์ของ ค่านยิ ม 5. สร้างลักษณะนิสัย เป็นเร่ืองของความประพฤติ คุณสมบัติ และคุณลักษณะของแต่ละบุคคลที่เป็นผล ของความรสู้ กึ ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นจุดประสงค์ท่ีเกี่ยวกับทักษะในการเคล่ือนไหวของอวัยวะ ต่างๆ ของร่างกายมีลาดบั การพฒั นา ดังน้ี 1. การเลียนแบบ เปน็ การทาตามอย่างหรอื ดแู บบจากของจริง 2. การทาตามแบบ หรือลงมือกระทาตามตวั อย่างทีใ่ ห้ 3. ความถูกต้อง หรือการมีความถูกต้องแม่นยา เป็นการกระทาโดยอาศัยความรู้ท่ีเคยทามาก่อนแล้ว เพ่มิ เติม 4. การกระทาอย่างตอ่ เนอื่ ง เปน็ การกระทาในเรอ่ื งคลา้ ยๆ กนั และแยกรูปแบบไดถ้ กู ตอ้ ง อย่างตอ่ เน่อื ง 5. การทาจนเคยชินและเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นการทาซ้าๆ ให้เกิดความชานาญ และสาเร็จในเวลา อันรวดเรว็ การวัดความรู้และประเมินผลเชิงประจักษ์ในเร่ืองของการประเมินทางด้านจิตพิสัย (Affective Domain) และการประเมินทางด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) เป็นส่ิงสาคัญมาก ดังนั้น ก่อนเข้าสู่การประเมิน จะต้องเข้าใจความหมายของคา่ นิยม คุณธรรมและจรยิ ธรรมว่ามคี วามแตกต่างกันอยา่ งไร

2. ค่านยิ ม คุณธรรม และจริยธรรม ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่บุคคลหรือสังคมยึดถือ เป็นเคร่ืองช่วยตัดสินใจและกาหนดการกระทาของตนเอง ค่านิยมอาจแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ค่านิยมเฉพาะตัว (Individual Value) หมายถึง ค่านิยมส่วนบุคคลเป็นการตัดสินใจเลือกในสิ่งหรือ สถานการณ์ทีต่ นตอ้ งการหรอื พอใจนัน้ ถอื ว่าเปน็ ค่านยิ มของบคุ คลน้ัน 2. ค่านิยมสังคม (Social Value) หมายถึง ค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับว่าเป็นส่ิงดีงามหรือ ควรแก่การปฏิบตั ิ หรือสถานการณน์ ้ันๆ ก็จะกลายเป็นค่านยิ มของสงั คม ชนิดของคา่ นิยมประกอบดว้ ย 1. คา่ นยิ มทางวัตถุ 2. คา่ นิยมทางสงั คม 3. ค่านยิ มทางความจริง 4. คา่ นยิ มทางจรยิ ธรรม 5. คา่ นยิ มทางสนุ ทรียภาพ 6. คา่ นยิ มทางศาสนา คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดี หรือหน้าที่อันพึงมีอยู่ในตัวซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 ความหมาย คอื 1. ความประพฤติดีงาม เพื่อประโยชน์สุขแก่ตนและสังคมซึ่งมีพ้ืนฐานมาจากหลักศีลธรรมทางศาสนา คา่ นยิ มทางวฒั นธรรม ประเพณี หลักกฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชพี 2. การรูจ้ กั ไตร่ตรองวา่ อะไรควรทา ไมค่ วรทา และอาจกล่าวไดว้ า่ คณุ ธรรม คือ จริยธรรมที่นามาปฏิบัติ จนเปน็ นสิ ัย เช่น การเปน็ คนซ่อื สตั ย์เสีย สละ อดทนมี ความรับผิดชอบ เปน็ ต้น จริยธรรม หมายถึง ธรรมท่ีเป็นข้อประพฤติ ศีลธรรมอันดี เป็นส่ิงที่ควรประพฤติปฏิบัติ เป็นส่ิงท่ีถูกต้องท่ี สงั คมยอมรับ เพ่ือสังคมจะได้มีความสขุ จริยธรรมเป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นสาหรับครูท่ีมีภาพลักษณ์ของปูชนียบุคคล หลักจริยธรรมท่ีควรยึดมี 8 ขอ้ คอื 1. การใฝ่ใจสัจธรรม ถือเป็นจริยธรรมพื้นฐานที่สาคัญที่สุดท่ีเน้นการใฝ่หาความจริง โดยยึดมั่นกับ กระบวนการคดิ อย่างมเี หตุผลและศรัทธาอาจเทียบไดก้ บั แนวคิดวทิ ยาศาสตร์ คือ 1.1 เป็นวธิ ีแสวงหาขอ้ มูล 1.2 การกาหนดปญั หา 1.3 การสรา้ งทางเลือกในการแก้ปัญหา 1.4 การวเิ คราะหว์ ิธีท่ดี ใี นการสรุป 1.5 การยดึ มัน่ ในกระบวนการวทิ ยาศาสตร์

2. การใช้ปญั ญาในการแก้ปญั หา เน้นการปลูกฝังปัญญาใหเ้ ป็นผมู้ ีเหตุผล 3. เมตตา กรุณา เป็นจริยธรรมพ้ืนฐานทีส่ าคญั 4. สติ สัมปชัญญะ เป็นจริยธรรมท่ีสาคัญที่เน้นการควบคุมตนเองให้มีการรับรู้ทางประสาทสัมผัสการ ตดั สินใจ และการกระทาพฤตกิ รรมอย่างเหมาะสม 5. ความไมป่ ระมาท เน้นการพิจารณาสถานการณแ์ วดลอ้ มพจิ ารณาผลที่จะตามมาของการกระทา 6. ความซอ่ื สตั ย์สจุ ริต เป็นความซ่อื ตรงตอ่ หน้าท่ีตอ่ ตนเองอนั เปน็ ความถกู ต้องดงี าม 7. ความขยันหมั่นเพียร เป็นความพอใจ ความเพียร ความมีใจจดจ่อและการไตร่ตรองการควบคุมตนเอง อนั เปน็ ท่ีมาของความมีระเบยี บวินัย 8. หิริโอตัปปะ เป็นการควบคุม กาย วาจา และความคิดให้มีความเหมาะสมถูกต้องตามทานองคลอง ธรรม การประเมินผลการพัฒนาจริยธรรม การประเมินผลการพัฒนาจริยธรรม คือ การวัดระดับจริยธรรมทางจิตใจ หรือทางพฤติกรรมหรือท้ังสอง อย่างพรอ้ มกัน อาจทาเปน็ รายบคุ คล หรอื กลุ่มการเรยี นกไ็ ด้ 2.1 การประเมนิ ผลทางจริยธรรม ในการประเมินผลทางจริยธรรมนน้ั ผู้ประเมนิ ตอ้ งคานงึ ถึงข้อการประเมินดงั ต่อไปน้ี 1. การประเมินอะไร 2. ประเมนิ อย่างไร 3. ประเมนิ ใคร 4. ประเมินเมอื่ ไหร่ 2.2 เทคนิควิธวี ดั และประเมนิ จรยิ ธรรมของผ้เู รยี น การวัดและประเมินจริยธรรมของผู้เรยี นนนั้ ควรวัด 4 องคป์ ระกอบคือ 1. ความรู้ทางจริยธรรม 2. เจตคติเชิงจรยิ ธรรม 3. การใชเ้ หตผุ ลเชิงจรยิ ธรรม 4. พฤตกิ รรมทางจริยธรรม การประเมินอาจใช้ทั้งวิธีการประเมินผู้อ่ืน และประเมินตนเองร่วมกันโดยต้องพิจารณาเลือกใช้เคร่ืองมือ ให้เหมาะสมในแงค่ วามสะดวกในการใช้และประเมินประสทิ ธภิ าพในการวดั การวัดความรู้ทางจริยธรรม เพื่อวัดเน้ือหาหรือความรู้ (Knowledge) ได้แก่ ความจาความเข้าใจการ นาไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และประเมินค่าเกี่ยวกับเนื้อหาของจริยธรรม เครื่องมือที่ใช้ในการวัดอาจใช้ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น แบบเลอื กตอบ อธบิ าย เติมคา หรือจบั คู่ เป็นตน้

การวัดเจตคติทางจริยธรรม เพอื่ วัดระดับความรสู้ กึ ทางจริยธรรมวา่ มมี ากน้อยเพียงใดเคร่ืองมอื ทีใ่ ชว้ ัดอาจ ใชแ้ บบวดั เจตคติแบบ Likert Osgood หรอื Thurstone การวัดการใช้เหตุผลเชงิ จริยธรรม เพ่ือวัดระดับการใช้เหตุผลทางจริยธรรมซ่ึงเปน็ การวัดการใช้เหตุผลเชงิ จริยธรรมของบุคคลต่อสถานการณ์ที่เป็นปัญหาทางจรยิ ธรรม เคร่ืองมือท่ีใช้วัดอาจใช้แบบทดสอบเชงิ สถานการณ์ การสัมภาษณโ์ ดยใช้สถานการณ์ หรือการใหท้ างานแกป้ ญั หาโดยใชส้ ถานการณ์ เปน็ ตน้ การวัดพฤติกรรมทางจริยธรรม เพ่ือวัดพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกทางจริยธรรมที่สังเกตและบันทึกได้ ชดั เจนวา่ มีระดบั มากน้อยเพียงใด เครือ่ งมือที่ใช้วดั อาจใชแ้ บบสงั เกตพฤติกรรม หรอื สมั ภาษณ์ เป็นต้น ตัวอย่าง แนวการวัดและประเมินจริยธรรมด้านความรับผิดชอบของผู้เรียนในระบบทวิภาคีควรพิจารณา ตามข้นั ตอนการประเมนิ ดังนี้ 1. กรอบตัวบ่งชค้ี วามรบั ผดิ ชอบประกอบดว้ ย 1.1 ความขยันหม่ันเพยี รและมุ่งมน่ั ตงั้ ใจปฏิบตั ิด้านความพยายาม 1.2 การตรงตอ่ เวลา 1.3 การเอาใจใสต่ ่อการงาน มคี วามละเอียดรอบคอบและเคารพกฎระเบยี บ 1.4 การยอมรบั ผลของการกระทา 2. องค์ประกอบของการประเมนิ จริยธรรมต้องกระทาให้ครบท้งั 4 องคป์ ระกอบ 3. การสร้างเครื่องมือท่ีใช้และแนวทางการพัฒนาเคร่ืองมือให้มีความสอดคล้องกับองค์ประกอบของ จริยธรรม 4. การนาไปใช้ และแปลผลการประเมนิ เพื่อการพัฒนาครแู ละผู้เรียน 3. วธิ กี ารประเมินตามสภาพจรงิ สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2542) ได้กล่าวถึงวิธีที่ใช้ในการประเมินตามสภาพ จรงิ ไว้ดังนี้ 3.1 การสังเกต เป็นวิธีการท่ีดีมากวิธีหนึ่ง ในการเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมด้านการใช้ความคิด การ ปฏิบัตงิ าน และโดยเฉพาะดา้ นอารมณ์ ความรู้สึกและลักษณะนสิ ยั สามารถทาได้ทุกเวลาทุกสถานทีท่ ้งั ในห้องเรียน และนอกหอ้ งเรยี น หรือในสถานการณอ์ นื่ นอกโรงเรียน ซ่ึงวธิ ีการสังเกตทาได้โดยตง้ั ใจและไม่ตง้ั ใจ การสังเกตโดยต้ังใจ หรือมีโครงสร้าง หมายถึง ครูกาหนดพฤติกรรมท่ีต้องสังเกต ช่วงเวลาและวิธีการ สังเกต ส่วนการสังเกตแบบไม่ต้ังใจ หรือไม่มีโครงสร้าง หมายถึง ไม่มีการกาหนดรายการสังเกตไว้ล่วงหน้า ครูอาจ มีกระดาษแผ่นเล็กๆ ติดตัวไว้ตลอดเวลาเพื่อบันทึก เม่ือพบพฤติกรรมการแสดงออกท่ีมีความหมาย หรือสะดุด ความสนใจของครู การบันทกึ อาจทาได้โดยย่อก่อน แล้วขยายความสมบูรณภ์ ายหลังซง่ึ การสังเกตทด่ี ีควรใช้ท้ังสอง วิธี เพราะการสังเกตโดยต้ังใจ อาจทาให้ละเลยมองข้ามพฤติกรรมท่ีน่าสนใจไปเพราะไม่มีรายการ ส่วนการสังเกต

โดยไม่ต้ังใจอาจทาให้ครูขาดความชัดเจนว่าพฤติกรรมใด ท่ีควรแก่การสนใจและท่ีสาคัญการสังเกตนั้นควรสังเกต หลายๆ ครัง้ เพ่อื ยืนยนั ข้อมลู ของสง่ิ ทีไ่ ด้สงั เกต 3.2 การสัมภาษณ์เป็นวิธีการเก็บข้อมูลเชิงพฤติกรรมด้านต่างๆได้ดีเช่นความคิดสติปัญญาความรู้สึก กระบวนการในการทางานวิธแี กป้ ัญหาอาจใช้ประกอบสังเกตเพ่ือให้ได้ข้อมลู ท่ีมั่นใจมากย่ิงขนึ้ และในการสัมภาษณ์ นัน้ ครูต้องเตรียมตัวดงั นี้ 3.2.1 ก่อนสัมภาษณ์ควรหาข้อมูลเก่ียวกับภูมิหลังของนักเรียนก่อนเพ่ือให้การสัมภาษณ์เจาะตรง ประเดน็ และไดข้ อ้ มลู ครบถว้ น 3.2.2 เตรยี มข้อคาถามลว่ งหน้า และจัดลาดับคาถามเพือ่ ช่วยใหก้ ารตอบไม่กากวม 3.2.3 ขณะสัมภาษณ์ครูใช้วาจา ท่าทางน้าเสียงที่อบอุ่นเป็นกันเอง ทาให้นักเรียนเกิดความรู้สึก ปลอดภยั และมีแนวโนม้ ให้นักเรยี นอยากพดู อยากเลา่ 3.2.4 การใชค้ าถามพ่นี ักเรียนเข้าใจง่าย 3.2.5 อาจใช้วิธีสัมภาษณ์ทางอ้อม คือ สัมภาษณ์จากบุคคลท่ีใกล้ชิดนักเรียน เช่น เพ่ือนสนิท ผปู้ กครอง เป็นตน้ 3.3 การตรวจงาน เป็นการวัดและประเมินผลที่เน้นการนาผลการประเมินไปใช้ทันที ใน 2 ลักษณะคือ เพ่ือการช่วยเหลือนักเรียนและเพื่อปรับปรุงการสอนของครู จึงเป็นการประเมินที่ดาเนินการตลอดเวลา เช่นการ ตรวจแบบฝึกหัด ผลงานภาคปฏิบัติ โครงการ/โครงงานต่างๆ เป็นต้น งานเหล่าน้ีควรมีลักษณะที่ครูสามารถ ประเมินพฤติกรรมระดับสูงของนักเรียนได้ เช่น แบบฝึกหัดที่เน้นการเขียนตอบ เรียบเรียง สร้างสรรค์ และงานที่ เน้นความคิดข้ันสูงในการวางแผนจัดการ ดาเนนิ การและแก้ปญั หาส่ิงท่ีควรประเมินควบคู่ไปด้วยเสมอในการตรวจ งาน (ท้ังงานเขียนตอบและปฏิบตั ิ) คือ ลักษณะนิสัยและคุณลักษณะที่ดีในการทางาน และในการตรวจงานครูควร มีความยืดหยุ่นการประเมนิ ดังน้ี 3.3.1 ครูไม่จาเป็นต้องนาชิ้นงานทุกช้ินมาประเมิน อาจเลือกเฉพาะชิ้นงานที่นักเรียนทาได้ดีและ บอกความสามารถของนกั เรียนตามลักษณะท่ีครูต้องการประเมินได้ วธิ ีการนี้เนน้ “จดุ แขง็ ” ของนกั เรียน เพ่ือเป็น การเสริมแรงให้นกั เรียนเกดิ ความพยายามทาผลงานท่ดี ีๆ ออกมา 3.3.2 จากข้อ 1 ชิ้นงานของนักเรียนที่หยิบมานั้นไม่จาเป็นต้องเป็นเรื่องเดียวกันขึ้นอยู่กับนักเรียน แต่ละคนว่าทาช้ินใดได้ดี 3.3.3 ชิ้นงานที่นามาประเมินนกั เรยี นอาจทานอกเหนือจากที่ครูกาหนดให้ก็ได้ แต่ตอ้ งม่นั ใจว่าเป็น สิง่ ทน่ี ักเรียนทาเองจริงๆ 3.3.4 ผลการประเมิน ไม่ควรบอกเป็นคะแนนหรือระดับคุณภาพ ที่เป็นเฉพาะตัวเลข อย่างเดียว แต่ควรบอกความหมายของผลคะแนนนั้นดว้ ย

3.4 การรายงานตนเอง เป็นการให้นักเรียนเขียนบรรยายหรือตอบคาถามสั้นๆ หรือ ตอบแบบสอบถามที่ ครูสร้างข้ึน เพื่อสะท้อนถึงการเรียนรู้ของนักเรียนทั้งความรู้ ความเข้าใจ วิธีคิด วิธีทางานความพอใจในผลงาน ความตอ้ งการพฒั นาตนเองใหด้ ียง่ิ ขนึ้ 3.5 การใช้บันทึกจากผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นท่ีเก่ียวข้องกับตัวนักเรียนผลงาน นักเรียน โดยเฉพาะความก้าวหนา้ ในการเรียนรขู้ องนกั เรียนจากแหล่งตา่ งๆ 3.6 การใช้ข้อสอบแบบเน้นการปฏิบัติจริงในกรณีท่ีครูต้องการใช้แบบทดสอบซ่ึงแบบทดสอบควรมี ลักษณะดงั ต่อไปน้ี 3.6.1 ปัญหาต้องมีความหมายต่อผู้เรียน และมีความสาคัญเพียงพอท่ีจะแสดงถึงภูมิความรู้ของ นักเรียนในระดับชนั้ นนั้ 3.6.2 เปน็ ปญั หาท่ีเรียนแบบสภาพจริงในชวี ิตของนักเรยี น 3.6.3 แบบสอบถามตอ้ งครอบคลุม ท้งั ความสามารถและเนื้อหาตามหลกั สตู ร 3.6.4 นักเรียนต้องใช้ความรู้ความสามารถ ความคิดหลายๆ ด้านมาผสมผสาน และแสดงวิธีคิดได้ เป็นขน้ั ตอนทีช่ ัดเจน 3.6.5 ควรมคี าตอบถกู ได้หลายคาตอบ และมีวิธีการหาคาตอบได้หลายวธิ ี 3.6.6 มเี กณฑ์การให้คะแนนตามความสมบูรณ์ของคาตอบอย่างชัดเจน 3.7 การประเมินโดยใชแ้ ฟ้มสะสมงาน ซึ่งเปน็ สงิ่ ที่ใช้สะสมงานของนักเรยี นอย่างมจี ุดประสงค์ ทีแ่ สดงถึง ความพยายาม ความก้าวหน้า และผลสัมฤทธิ์ในเร่ืองนั้นๆ และนักเรียนมีส่วนร่วมในการเลือกเนื้อหา เกณฑ์การ เลือก เกณฑ์การตัดสิน ความสามารถหรือคุณสมบตั ิ หลักฐานการสะท้อนตนเองซ่ึง การประเมินแบบน้ีได้รับความ นิยมเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการประเมินที่ผูกติดกับการสอนและ มีนักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน ที่ชดั เจน 4. ข้นั ตอนการดาเนินการประเมินตามสภาพจรงิ การดาเนินการประเมินตามสภาพจรงิ มขี นั้ ตอนดังต่อไปนี้ 4.1 กาหนดสิง่ ท่ีตอ้ งการประเมนิ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ (Standard) เป็นการกาหนดสงิ่ ทผี่ ู้เรียนควรจะ รู้ หรือสามารถทาได้จากการพิจารณาจุดประสงค์รายวิชา (objective learning) และสมรรถนะรายวิชาเมื่อสนิ้ สุด การเรียนการสอน 4.2 กาหนดกิจกรรมท่ีสอดคล้องกับชีวิตจริง (authentic task) เพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุมาตรฐานเป็นการ กาหนดกจิ กรรมทส่ี อดคล้องกับชีวิตจริงใหเ้ กิดการเรียนร้เู พอ่ื ใหผ้ เู้ รียนนาไปปฏบิ ตั ิ 4.3 กาหนดพฤติกรรมบ่งชี้ (indicator) หรือเกณฑ์การปฏิบัติ (performance criteria) เป็นการกาหนด วา่ ผ้เู รยี นต้องปฏบิ ตั ิหรอื กระทากจิ กรรมท่ดี เี สมือนจรงิ อยา่ งไรบ้าง

4.4 กาหนดการให้คะแนน (rubric scoring) เป็นการกาหนดระดับการปฏิบัติของผู้เรียนว่าดีมากน้อย เพยี งใด 4.5กาหนดเกณฑข์ ้ันตา่ (cut off score) เปน็ การกาหนดวา่ ผูเ้ รียนควรปฏิบตั ไิ ด้ดีในระดบั ใด 4.6ปรับปรุงการเรยี นการสอน (adjust instruction) เป็นการนาผลการประเมนิ ผ้เู รียนมาเปน็ แนวทางการปรบั ปรุง การเรียนการสอน กาหนดสง่ิ ทีผ่ ู้สอนควรทาเพอ่ื ปรบั ปรุงการเรียนการสอน 5. รายละเอียดการดาเนนิ การของแต่ละขน้ั ตอน มีดงั ต่อไปน้ี ขน้ั ท่ี 1 กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้หรือสมรรถนะ (Standard/competency) กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้หรือสมรรถนะ (Standard/competency) เป็นการกาหนดข้อความที่บ่งบอกว่า ผู้เรียนควรจะรู้อะไรมีสมรรถนะหรือสามารถทาส่ิงใดได้บ้าง ซึ่งจะได้จากการวิเคราะห์จุดประสงค์รายวิชาและ คาอธิบายรายวชิ า วิธีการกาหนดมาตรฐานการเรยี นรู้ มีดงั นี้ 1. คิดใคร่ครวญ (reflect) ก่อนว่าต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อะไรและสามารถทาอะไรได้บ้าง เมอื่ ผา่ นการเรียนรายวิชาหรือจบการศกึ ษา 2. ทบทวน (review) ทบทวนมาตรฐานที่ผู้อ่ืนใช้มาก่อน และทดลองนามาเป็นแนวทางในการ ปรับปรุงมาตรฐานของตนเอง 3. เขียนมาตรฐาน (write) เขียนมาตรฐานของตนเองแล้วถามตนเองหรือเพื่อนร่วมงานว่า มาตรฐานนี้เป็นไปไดห้ รอื ไม่ สามารถประเมนิ ไดจ้ ริง ความรทู้ ักษะตามมาตรฐานมีความสาคัญต่อผูเ้ รียนในชีวิตและ อนาคต การเขียนมาตรฐานการเรียนรหู้ รือสมรรถนะ (Standard/competency) มีหลักการเขยี นดงั นี้ 1. สามารถวดั ได้ สังเกตได้ 2. เขียนด้วยคาท่ีแสดงถึงพฤติกรรมท่ีผู้เรียนต้องแสดงออก (action) เช่น ใช้คาว่าวิเคราะห์ สา ธติ ิ ค้นหา แสดง 3. เขยี นด้วยภาษาที่อา่ นเขา้ ใจงา่ ยส่ือสารไดต้ รงตามจดุ มงุ่ หมาย ตัวอยา่ ง 1. สามารถใชโ้ ปรแกรมสาหรับงานสานกั งาน การใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ และไปรษณยี ์อเิ ล็กทรอนิกส์ เพ่อื งานอาชีพ 2. สามารถติดตง้ั อุปกรณ์และระบบปฏบิ ตั ิการคอมพวิ เตอร์ 3. สามารถจัดทาเอกสารตารางทาการและนาเสนอผลงาน 4. สืบค้นขอ้ มูลโดยใช้อินเทอรเ์ นต็ และรับ-สง่ จดหมายอเิ ล็กทรอนกิ ส์

ขั้นที่ 2 การเลือกกิจกรรมเสมือนจริง (Authentic task) เป็นการออกแบบประสบการณ์เพ่ือให้ผู้เรียน ไดแ้ สดงพฤติกรรมออกมา สถานการณค์ วรมคี วามเกีย่ วขอ้ งกับชวี ติ จริงหรอื เสมือนจริง โดยมแี นวทางดังน้ี 1. เป็นสถานการณ์ท่ีเร้าให้ผูเ้ รยี นต้องทาหรอื แสดงออก 2. เป็นสถานการณ์ทเ่ี กี่ยวขอ้ งในชีวติ จริง 3. กิจกรรมอาจเปน็ การสร้างข้ึนใหมห่ รอื ประยกุ ตม์ าจากสง่ิ เดมิ 4. ผเู้ รียนเปน็ ผูล้ งมือกระทา 5. กิจกรรมสอดคล้องกับสง่ิ ท่ีตอ้ งวัดและประเมินการเรียนรู้และสามารถวัดไดป้ ระเมินได้ ข้ันที่ 3 กาหนดเกณฑ์การปฏิบัติ (performance criteria) เป็นคาอธิบายส่ิงที่ผู้เรียนต้องแสดงออก หรือพฤติกรรมที่บ่งชท้ี ่ีแสดงออกหรือทักษะการปฏบิ ัตอิ ันจะนาไปสู่มาตรฐานการเรียนรู้ ที่กาหนดไว้ซึ่งมาจากการ วิเคราะห์จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ตามมาตรฐานอย่างชดั เจน ผู้ที่กาหนดเป็นผทู้ ่ีมีความรู้ในงานนั้นเป็นอย่างดี เกณฑ์ ท่ีใช้ในการประเมินต้องเป็นเกณฑ์การประเมิน “แก่นแท้” (essentials) ของการปฏิบัติงาน เกณฑ์ท่ีเป็นแก่นแท้นี้ เป็นเกณฑ์ที่เปิดเผยและรับรู้กันท้ังผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้อง โดยการให้ผู้เรียนรู้ล่วงหน้าว่าตนเองต้องทาภารกิจอะไร และมีเกณฑ์อย่างไร จะทาให้ การเรียนรู้ของผู้เรียนและการสอนของผู้สอนส่งเสริมซ่ึงกัน และกันลักษณะการ กาหนดเกณฑก์ ารปฏบิ ตั ทิ ่ีดมี ีดงั น้ี 1. ขอ้ ความสอื่ ความหมายชัดเจนว่าใหผ้ ู้เรียนทาอะไร 2. สามารถสงั เกตได้ 3. บ่งบอกพฤติกรรมทตี่ ้องการ 4. แต่ละคนแยกเปน็ อิสระจากกัน 5. มีรายการเท่าทีจ่ าเปน็ ท่ีสะทอ้ นซ่ึงถึงความสามารถท่ีแทจ้ ริงของผู้เรียนไมจ่ าเป็น ต้องประเมิน ทุกๆ สิ่งเพราะอาจเปน็ ไปได้ในการประเมินทางปฏิบัติจริง 6. สอดคล้องกบั กจิ กรรม หากกจิ กรรมมคี วามสาคัญนอ้ ย กไ็ ม่ควรมากรายการ ตวั อย่าง มาตรฐานการเรียนรู้ : ผู้เรียนสามารถเขียนใบสมัครงานท่ดี ีได้ กจิ กรรม : ใหเ้ ขียนใบสมัคร กาหนดเกณฑก์ ารปฏบิ ัติ : - ค้นหาโฆษณาประกาศรบั สมัครงานจากหลายแหลง่ - คัดเลอื กโฆษณาประกาศการรบั สมัครงานที่เหมาะสมกับคุณวุฒขิ องตนเอง - เขียนใบสมคั รงานและประวัตติ นเองตามแบบฟอรม์ ท่กี าหนด - ขอร้องใหผ้ ้เู กี่ยวขอ้ งเขยี นจดหมายสนบั สนนุ ความสามารถของตนเอง - สง่ เอกสารท่เี กี่ยวขอ้ งไปถงึ สถานทร่ี บั สมคั รงาน

ข้ันท่ี 4 เลอื กรูปแบบเครอื่ งมือท่ีเหมาะสมและสร้างข้อรายการตรงตามพฤติกรรมที่ต้องการวดั ข้ันตอนน้ีผู้ว่าต้องตัดสินใจว่าจะใชเ้ คร่อื งมือแบบใดในการวดั ประเมินการเรียนรู้เช่นแบบสังเกตท่ี เป็นแบบมาตรฐานส่วนประมาณคา่ หรือแบบตรวจสอบรายการ แบบทดสอบ ท้ังนี้ต้องพจิ ารณาให้เหมาะสมกับสิ่ง ท่ีตอ้ งการวดั หากพฤตกิ รรมทต่ี อ้ งการวัดมงุ่ วดั ลาดับข้ันตอนการทางาน กอ็ าจใช้แบบตรวจสอบรายการ หากเนน้ ที่ ระดับคณุ ภาพของการทางานมาใช้แบบมาตราส่วนประมาณค่าซงึ่ รายละเอยี ดเคร่ืองมือแตล่ ะชนดิ จะได้กล่าวต่อไป ขั้นที่ 5 การกาหนดเกณฑก์ ารให้คะแนนควรคานึงถึงส่งิ นี้ 1. การวัดผลการเรียนรขู้ องผู้เรียน เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเครื่องมอื และวธิ ีการต่างๆ ซ่ึง จะต้องให้ค่าคะแนน (score) อันเป็นข้อมูลท่ีได้จากการวัด เป็นดัชนีแสดงถึงปริมาณความรู้ความสามารถของ บุคคล เป็นข้อมูลบ่งบอกความสาคัญของการเรียนการสอน และการประเมินผลการเรียนรู้และประเมิน ความก้าวหนา้ ด้วยการกาหนดเกณฑ์การให้คะแนน (scoring rubrics) 2. การประเมินด้วยเกณฑ์การให้คะแนน เป็นเครื่องมือท่ีใช้ในการประเมินคุณภาพผลงานหรือ การปฏิบัติงาน โดยมีคาอธิบายคุณภาพของงานในแต่ละระดับ หรือมีตัวช้ีวัดผลงานไม่แต่ละส่วนแต่ละระดับไว้ อย่างชัดเจน 3. เคร่อื งมือในการให้คะแนน ประกอบด้วยเกณฑ์ดา้ นต่างๆ ท่ใี ช้พจิ ารณาช้ินงานหรือการปฏิบัติ รูบริคการให้คะแนน คือแนวทางการให้คะแนนอย่างละเอียดซึ่งพัฒนาขึ้นโดยผู้สอนหรือผู้ประเมิน เพื่อเป็น แนวทางในการวิเคราะห์ผลงานหรือกระบวนการที่เกิดจากความพยายามของนักเรียนรูบริคเป็นมาตราส่วน ประมาณค่า (rating scales) ท่ีมีคาอธิบายรายละเอียดของการให้คะแนนแต่ละระดับ ใช้ประเมินการปฏิบัติ โดย ปกติจะเรียกว่าแนวทางการให้คะแนน (scoring guides) ประกอบด้วยเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติที่มี ลักษณะเฉพาะ ใช้ในการประเมินการปฏิบัติงานของนักเรียน หรือประเมินผลผลิตซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติงาน (Mertler, Craig A, 2006) เกณฑ์การให้คะแนนเป็นส่ิงสะท้อนคุณภาพ ความสามารถในการทางาน เกณฑ์การให้คะแนนท่ีมีความ เปน็ ปรนยั มากทสี่ ดุ คือเกณฑ์การให้คะแนน (scoring rubrics) การสร้างค่มู ือเพื่อยึดเปน็ กฎเกณฑใ์ นการให้คะแนน เปน็ สง่ิ ทตี่ อ้ งกระทาเปน็ อยา่ งย่ิง เพอื่ ใหก้ ารใหค้ ะแนนมีความเปน็ ปรนยั มากทีส่ ุด 6. วิธีการกาหนดเกณฑ์การใหค้ ะแนน มี 2 ประเภท คอื 1. คณุ ภาพท่ีกาหนดเป็นขอ้ ความทวั่ ไป ไมย่ ึดตดิ กับเนอื้ หา (general scoring rubrics) 2. คณุ ภาพท่ีกาหนดเป็นข้อความทเี่ จาะจงยดึ ตดิ กบั เนื้อหาท่ีต้องการวดั (specific scoring rubrics) ลักษณะของเกณฑ์การให้คะแนน มดี งั นี้ 1. ประกอบด้วยมาตราวดั (scale) ท่ีแสดงระดบั คณุ ภาพ เพือ่ ให้คะแนนผลงาน 2. มคี าอธิบายแตล่ ะระดับการปฏิบตั ิเพื่อชว่ ยให้การใหค้ ะแนนมีความเช่ือมั่นไม่ลาเอียง

3. มาตราวัดอาจมีลักษณะเป็นการให้คะแนนแบบรวม (holistic scoring rubrics) หรือแบบ แยก (analytic scoring rubrics) หรือใช้รว่ มกนั ทัง้ สองแบบมรี ายละเอยี ดดังน้ี 3.1 การกาหนดเกณฑ์แบบองค์รวม (holistic rubrics) เป็นการกาหนดเกณฑ์แบบรวมๆ กวา้ งๆ ไม่แยกการให้คะแนนตามแตล่ ะองค์ประกอบย่อย 3.2 การกาหนดเกณฑ์แบบแยกส่วน (analytic rubrics) เป็นการกาหนดเกณฑ์การให้ คะแนนแตล่ ะองค์ประกอบย่อย ตัวอย่าง : การให้คะแนนแบบองคร์ วม เร่ือง การประกอบอาหาร ระดับคะแนน เกณฑ์การให้คะแนน 4 (ดีเย่ยี ม) ปรงุ อาหารสาเร็จ สะอาดรสชาตอิ ร่อยและตกแตง่ สวยงามนา่ รบั ประทาน 3 (ด)ี ปรงุ อาหารสาเรจ็ สะอาดรสชาตอิ ร่อยแต่ไมม่ กี ารตกแตง่ สวยงาม 2 (พอใช้) ปรุงอาหารสาเร็จ สะอาดรสชาตไิ ม่อร่อย 1 (ปรับปรงุ ) ปรงุ อาหารไม่สาเรจ็ หรอื สาเร็จแตไ่ ม่สะอาดและไมอ่ ร่อย ตัวอย่าง : การให้คะแนนแบบแยกสว่ น เร่อื ง การประกอบอาหาร องคป์ ระกอบ เกณฑ์การให้คะแนน การประเมนิ 0123 1. การเตรยี ม วสั ดุอุปกรณ์ ไม่ผ่าน ต้องปรบั ปรุง พอใช้ได้ ยอดเย่ียม 2. การเตรียม ไม่มีการเตรียมวัสดุ เตรียมวัสดุอุปกรณ์ เตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์ เตรียมวัสดอุ ุปกรณ์ วัตถุดบิ ในการ ประกอบอาหาร อุปกรณ์ มาไมค่ รบ มาครบแต่ไม่ได้ทา มาครบและมกี ารทา 3. การ ความสะอาด ความสะอาดก่อนใช้ เตรยี มการ ประกอบอาหาร ไม่มีการเตรยี ม มีการเตรยี มวตั ถดุ ิบ มกี ารเตรียมวัตถุดบิ มกี ารเตรียมวัตถดุ บิ 4. คุณภาพของ อาหารทปี่ รุง วัตถุดิบในการ ในการประกอบ ในการประกอบ ในการประกอบ ประกอบอาหาร อาหารแต่ไม่ครบ อาหารครบแต่ไม่มี อาหารและมคี ุณภาพ คุณภาพ ไม่มีการลา้ งก่อนห่นั หน่ั แลว้ จงึ นามาล้าง มีการล้างก่อนห่นั มีการล้างก่อนห่นั และไม่แยกประเภท แต่ไม่แยกประเภท และมกี ารแยก ประเภท ปรงุ อาหารไม่สาเร็จ ปรงุ อาหารสาเร็จ ปรุงอาหารสาเร็จ ปรงุ อาหารสาเร็จ สา และสะอาด สะอาดและรสชาติ อด รสชาตอิ ร่อยและ อรอ่ ย ตกแตง่ สวยงาม

7. เครื่องมือในการวัดและประเมินตามสภาพจรงิ การวัดและประเมินตามสภาพจริง ที่สะท้อนความรู้ความสามารถตามสภาพจรงิ ของผู้เรียน ซึ่งครอบคลุม ท้ังด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัยและทักษะพิสัย ควรใช้เคร่ืองมือในการวัดผลท่ีสอดคล้องตรงตามส่ิงท่ีต้องการวัด ซ่ึง เครื่องมือแต่ละชนิดมีความเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลที่ต้องการวัดแตกต่างกันไป ดังมีรายละเอียดในตาราง ตอ่ ไปน้ี เครอื่ งมอื ลกั ษณะของข้อมูล แบบทดสอบ (test) วดั ความรู้ความสามารถของผู้เรียน ตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ แบบสงั เกต ใชส้ ังเกตเหตุการณบ์ รรยายพฤตกิ รรม หรอื การปฏิบตั งิ านท่ีผสู้ งั เกตได้กาหนดไว้ (observation) โดยผู้ถูกสงั เกตรูต้ ัวหรือไม่รตู้ ัวกไ็ ด้ แบบบนั ทึกเหตุการณ์ บันทกึ เหตกุ ารณเ์ กยี่ วกบั การเรียนการสอน กิจกรรมในชั้นเรยี น ปฏิกริ ิยาของ หรอื ระเบยี นพฤติการณ์ ผเู้ รยี น การมสี ่วนร่วมในชั้นเรียน กระบวนการกลุ่ม การจดั กลุม่ บรรยากาศ สภาพ (anecdotal record) ทางกายภาพ เป็นการบนั ทกึ ของครูถงึ เหตุการณ์ต่างๆ ทเ่ี กิดขึ้นระหว่างการจดั การ เรยี นการสอน การบนั ทึกเหตุการณเ์ ป็นสิง่ จาเป็นสาหรับครูทจี่ ะสะท้อนวา่ การเรยี น แบบสอบถาม การสอนมปี ระสิทธภิ าพมากน้อยเพียงใด (questionnaire) เป็นขอ้ คาถามที่เตรียมขึ้นไวใ้ หผ้ ตู้ อบเขียนตอบ ใชเ้ ก็บขอ้ มูลท่ีต้องการความรู้สกึ แบบสัมภาษณ์ ความคิดเหน็ ความตอ้ งการ (interview) ใชเ้ กบ็ ข้อมูลด้วยการซักถามด้วยวาจา มกี ารเผชญิ หน้า เป็นขอ้ มลู ท่ีต้องการความ แบบประเมินด้วย ลกึ ซ้งึ ลงลกึ ในรายละเอยี ด เกณฑ์ใหค้ ะแนน เปน็ เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการประเมินคณุ ภาพผลงาน การปฏิบตั ิงาน โดยมคี าอธิบาย (scoring rubrics) คุณภาพของงานในแต่ละระดับ หรอื มีตวั ช้วี ดั ผลงานในแต่ละสว่ นแตล่ ะระดบั ไว้ อยา่ งชัดเจน 7.1 แบบทดสอบ แบบทดสอบ คอื ชุดของส่ิงเร้าทนี่ าไปกระตนุ้ ใหบ้ ุคคลตอบสนองออกมา ชดุ ของสงิ่ เหลา่ นีจ้ งึ อยู่ใน รูปของข้อคาถามท่ีอาจให้เขียนตอบ ให้แสดงพฤติกรรม ให้พูดในส่ิงท่ีสามารถวัดได้ สังเกตได้ แบบทดสอบนิยมใช้ วดั ความรูท้ ักษะและสมรรถนภาพทางสมอง ทเ่ี รยี กวา่ ด้านพทุ ธพิ สิ ัย (cognitive domain) จุดประสงคข์ องการเรียนรดู้ า้ นพทุ ธิพสิ ยั จุดประสงค์การเรยี นรู้ด้านพุทธิพิสัยเป็นจุดประสงค์ทางการศึกษาที่เก่ียวกลบั การเรียนรู้ทางด้านปัญญา คือความรู้ ความเข้าใจการใช้ความคิด พทุ ธิพิสยั แบง่ เป็น 6 ระดับดังนี้

1. ความรูห้ มายถึงความสามารถในการจาเนอ้ื หาความรแู้ ละระลึกได้เมอื่ ต้องการนามาใช้เช่น - นกั เรยี นสามารถบอกกระบวนการปฏิบัตงิ านเชือ่ มได้ - นกั เรียนสามารถอธิบายหลักการดา้ นความปลอดภัยในการทางานได้ 2. ความเข้าใจ หมายถงึ การเรยี บเรยี งความหมายของเนื้อหาสาระโดยท่ไี มไ่ ด้จา สามารถแสดง พฤตกิ รรม ความเข้าใจในรูปแบบของการแปลความหมาย ตีความ สรปุ ความ เช่น - นักเรยี นสามารถเขยี นรูปเรขาคณติ จากโจทย์ที่กาหนดให้ไดถ้ ูกตอ้ ง - นกั เรียนสามารถยกตวั อยา่ งการอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มได้ 3. การนาไปใช้หมายถึงการนาเอาเนื้อหาสาระ หลักการความคิดรวบยอดและทฤษฎีต่างๆ ไปใช้ได้ใน รูปแบบใหม่ เช่น นักเรียนสามารถออกแบบการเดินสายไฟฟ้าและต่อวงจรไฟฟ้าเบ้ืองต้น ตามหลักการและ กระบวนการได้ 4. การวิเคราะห์หมายถึงความสามารถในการแยกเน้ือหาให้เป็นส่วนย่อยเพื่อค้นหาองค์ประกอบ โครงสรา้ งความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่วนย่อยน้ัน หรือบอกความเป็นเหตุเป็นผลได้ ซึ่งนกั เรียนจะสามารถ วิเคราะห์ได้ก็ ต่อเมอ่ื นกั เรยี นเข้าใจ เชน่ - นักเรยี นสามารถจาแนกชนิดและคุณสมบัตพิ ืน้ ฐานของเสน้ ใยได้ถูกต้อง 5. การสังเคราะห์หมายถึงความสามารถที่จะนาองค์ประกอบหรือส่วนย่อยๆ เข้ามารวมกันเพ่ือให้ เป็น ภาพทสี่ มบรณู แ์ ละเกดิ ความกระจ่างในสิง่ นัน้ เช่น - นักเรียนสามารถจัดระบบการทางานเพ่ือความปลอดภัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับ สถานการณ์ 6. การประเมินค่า หมายถึงความสามารถในการพิจารณาตัดสินคุณค่าความดีงามของสิ่งต่างๆ โดย ท่ีผู้ ตัดสินกาหนดเกณฑ์ข้ึนมาเองหรือองิ กับกฎเกณฑ์ทส่ี งั คมกาหนดไว้ เช่น - นักเรียนสามารถบอกไดว้ า่ การกระทาเช่นใดผดิ จรรยาบรรณวชิ าชีพ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนทนี่ ยิ มใช้มี 3 รูปแบบ คอื 1. แบบปากเปล่า (oral test) เป็นแบบทดสอบท่ีอาศัยการซักถามเป็นรายบุคคลใช้ได้ผลดีกบั ผู้เข้าสอบที่ มี จานวนน้อย 2. แบบเขยี นตอบ (paper - pencil test) แบ่งได้ 2 แบบ คือ 2.1 แบบความเรียง (essay type) หรือข้อสอบอัตนัยแบบทดสอบชนิดน้ีมีจุดประสงค์เพ่ือ วัด ความสามารถในการบรรยายอธิบายและแสดงเหตุผลตามความคิดเห็นของผู้ตอบสามารถวัดพฤติกรรมด้าน การ สงั เคราะหไ์ ด้ดี แตก่ ารให้คะแนนเกดิ ความลาเอียง (Bias) ไดม้ ากหากไม่มเี กณฑก์ ารให้คะแนนทชี่ ัดเจน 2.2 แบบจากดั คาตอบ (fixed response type) หรอื ขอ้ สอบปรนัยเป็นแบบทดสอบท่มี ี คาตอบ ท่ถี ูกต้อง ภายใต้เงื่อนไขทีก่ าหนดให้อย่างจากัด แบง่ ออกเป็น 4 ชนิดคอื 1) แบบถูกผิด (true-false)

2) แบบเติมคา (completion) 3) แบบจับคู่ (matching) 4) แบบเลือกตอบ (multiple choice) 3. แบบทดสอบการปฏิบัติ (performance test) เป็นการทดสอบที่ให้ผู้เข้าสอบได้แสดงพฤติกรรมหรือ การกระทาเปน็ การลงมือปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ เชน่ การใช้เคร่ืองมือชา่ ง การปฏบิ ัติการใช้คอมพิวเตอรเ์ ปน็ ต้น หลักการสรา้ งแบบทดสอบ 1. กาหนดวัตถุประสงค์การสอบ ซึ่งตอ้ งใชช้ นิดของแบบทดสอบให้สอดคลอ้ งกบั พฤติกรรมที่ต้องการวัด 2. วิเคราะห์หลักสูตร วิเคราะห์งาน หรือการวิเคราะห์คุณลักษณะ (trait) กาหนดเป็นจุดประสงค์การ เรยี นรูท้ ่ีม่งุ วดั 3. สร้างผังข้อสอบ (test blueprint) หรือตารางจาแนกเนื้อหาและพฤติกรรมและจุดประสงค์ทางการ ศกึ ษาท่ีเกย่ี วกับการเรยี นรทู้ างด้านปัญญา 6 ระดบั 4. เขยี นข้อคาถามใหส้ อดคล้องกับจุดประสงค์ของการเรียนรู้จาแนกตามระดับพฤติกรรม การเรยี นรู้ด้าน พทุ ธิพิสยั 5. เขียนข้อสอบและปรบั ปรงุ 7.2 แบบสงั เกต การสงั เกตเปน็ เทคนิคในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ทต่ี อ้ งอาศัยประสาทสัมผสั หลายอยา่ ง ใชไ้ ด้ดีกบั การศกึ ษา คณุ ลักษณะและพฤตกิ รรมของบุคคลอาจจะใช้วธิ ีการสังเกตโดยมสี ่วนร่วมหรอื ไม่มสี ว่ น รว่ มก็ได้ หลกั การเกบ็ ขอ้ มลู โดยวิธีสงั เกต การสงั เกตท่ดี ตี อ้ งมกี ารวางแผนสังเกตการณ์อย่างมีจุดมุ่งหมายซง่ึ มีหลักการทว่ั ไป ดังนี้ 1. กาหนดจุดมุ่งหมายในการสังเกตไว้ให้แนน่ อน 2. ตอ้ งศกึ ษาเรอ่ื งทต่ี ้องการสงั เกตเพ่อื ให้มีพืน้ ความรู้ในเรื่องน้นั ๆ 3. วางแผนการสังเกตอย่างมีข้ันตอนและเป็นระบบ เช่น กาหนดไว้ว่าพฤติกรรมน้ันควรสังเกต ภายใน เวลากีน่ าที 4. ตอ้ งจดบันทกึ ให้ไดข้ ้อมลู เพอ่ื ทน่ี าไปแปลงเป็นข้อมูลเชิงปริมาณหรอื นาไปวเิ คราะหผ์ ลได้ 5. ผูส้ งั เกตตอ้ งกาจัดความรสู้ ึกและอคติออกให้หมด 6. ผู้สงั เกตตอ้ งไดร้ บั การฝกึ ฝนในเรื่องทีจ่ ะสงั เกตมาเปน็ อย่างดี 7. ตอ้ งให้ความสาคัญ ความถกู ต้องของเหตุการณด์ ้วยความละเอยี ดถี่ถ้วน 8. ควรใช้เคร่ืองมืออื่นๆ ประกอบในการสังเกตด้วย เช่น แบบตรวจสอบรายการเคร่ืองมือที่ช่วย บันทึก ผลการสงั เกต เคร่ืองมือที่ใช้ในบนั ทึกการสังเกตที่นิยมใช้ในชน้ั เรยี น คือแบบสังเกตที่มีโครงสร้างเปน็ แบบสังเกตที่ ประกอบด้วยรายการข้อคาถามแบง่ ออกเปน็ 2 ลกั ษณะ

1. แบบตรวจสอบรายการ แบบตรวจสอบรายการเป็นเครื่องมือท่ีใชใ้ นการวัดพฤติกรรมที่ต้องการ โดยเน้นท่กี ารบันทึกข้อมลู ท่ีแสดง ถึงพฤติกรรมการปฏิบตั ิของผู้ถูกประเมนิ ว่าได้ปฏิบัติงานตามข้อรายการท่ีแสดงไว้ หรอื ไม่มกั ใชก้ ับกิจกรรมของงาน ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการปฏิบัตทิ ่เี ปน็ ลาดับข้นั ตอน เช่น การให้ประกอบอปุ กรณ์ จากชิ้นสว่ นวัสดทุ ่ีกาหนดใหซ้ ่ึงมีขั้นตอน ของการประกอบที่มีลาดับก่อนหลังเม่ือผู้ถูกทดสอบปฏิบัติงาน ผู้วัดจะสังเกตการปฏิบัติแล้วตรวจเช็คโดยทา เครื่องหมายขีดถูกในช่องที่ต้องการ หลังจากบันทึกข้อมูลเสร็จ ผู้ถูกทดสอบมักจะได้รับข้อมูลอันเป็นผลจากการ สังเกตของผู้ประเมิน เพ่ือทราบทักษะการปฏิบัติงานของตนเอง อันจะเป็นประโยชน์กับการปรับปรุงแก้ไขต่อไป เป็นการให้ขอ้ มลู ปอ้ นกลบั กับผ้ปู ฏิบัติ แบบตรวจสอบรายการเหมาะกับการวัดทักษะการปฏิบัติงาน ในส่วนท่ีเป็นกระบวนการซ่ึง มีขั้นตอนการ ปฏิบัติงานที่ค่อนข้างแน่นอนตายตัว ข้อสังเกตการใช้แบบตรวจสอบรายการมักไม่ใช่ในรูปการ ประเมินคุณภาพ ของการปฏบิ ตั ิ น่นั คือ ผปู้ ระเมนิ มีหนา้ ทีส่ ังเกตดวู า่ ผู้ปฏิบตั ิงานได้ทางานในข้นั ตอนท่ีกาหนดหรือไม่ และทาได้หรือ ไม่ได้ แต่จะไม่ตัดสินว่าทาได้ดีหรือไม่ สวยหรือไม่สวยเพียงใดการตัดสินผลการวัดขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่วางไว้บางคร้ัง หากทักษะท่ใี ห้ปฏบิ ตั ิงานมีความสาคัญ ทกุ ข้นั ตอน ผปู้ ฏิบัตทิ ไี่ ม่ ผา่ นการประเมินในข้ันตอนใดข้ันตอนหน่ึงอาจถือ วา่ ไมม่ ที ักษะในการปฏบิ ตั ิงานนน้ั ท้ังหมด ตัวอยา่ ง: แบบตรวจสอบรายการการปฏิบตั งิ าน ชือ่ นักเรยี น..............................................วันที่...............เดือน..........................................พ.ศ............................... การปฏิบัติกิจกรรม................................................................................................... ............................................ วิชา........................................................................................................................................................................ ทา ไม่ทา ข้อสังเกตเพ่ิมเติม ⃞ ⃞ 1. ตรวจสอบและปรับแตง่ เครื่องมือ ................................................ ⃞ ⃞ 2. เตรียมวสั ดอุ ุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นการทางาน ................................................ ⃞ ⃞ 3. ศึกษาขน้ั ตอนและวิธกี ารปฏบิ ัติงาน ................................................ ⃞ ⃞ 4. ดาเนนิ การปฏิบตั งิ านจนสาเรจ็ ................................................ ⃞ ⃞ ⃞ ⃞ 5. ทาความสะอาดเครื่องมือเมื่อเสร็จ ................................................ ⃞ ⃞ งาน ................................................ 6. นาเครื่องมือไปจดั เกบ็ ให้ถูกต้อง ................................................ 7. ทาความสะอาดบริเวณทปี่ ฏบิ ตั งิ าน

จะสงั เกตเห็นว่าเน้ือหาทปี่ รากฏในเคร่ืองมือที่ใชว้ ดั การปฏิบตั ิงาน มักแสดงขอ้ รายการเก่ียวกบั พฤตกิ รรม ที่วัดโดยเฉพาะในแบบตรวจสอบรายการ ผทู้ สี่ รา้ งเคร่อื งมือต้องตดั สนิ ใจในเร่อื ง ตอ่ ไปน้ี 1. ข้อรายการทุกข้อท่ีปรากฏในแบบตรวจสอบรายการมีความสาคัญเท่ากันทุกข้อหรือไม่ ถ้าเท่ากัน คะแนนท่ีให้ย่อมเท่ากันทุกข้อ แต่ถ้าไม่เท่ากันต้องกาหนดว่าจะให้น้าหนักในรายการใดมากกว่าหรือ น้อยกว่าตาม ตวั อยา่ งท่ใี ห้มาทกุ ขอ้ มีคะแนนเท่ากัน 2. ในการกาหนดน้าหนกั ความสาคญั ใหก้ บั แตล่ ะรายการน้ัน ต้องพิจารณาดูวา่ รายการใดทีม่ ีความ จาเปน็ หรือสาคัญต่อทักษะท่ีปฏิบัติมากท่ีสุดตามตัวอย่าง หากผู้สร้างเครื่องมือเห็นว่า การปฏิบัติงานที่ดีนั้น การล้างมือ กอ่ นลงมือทางานเป็นเครอื่ งท่ีมคี วามสาคัญมากทีส่ ุดก็ควรกาหนดนา้ หนัก ความสาคญั ให้มากกว่าข้ออื่น อาจเป็น 2 หรือ 3 เท่าของขอ้ อ่นื ๆ 3. จากคะแนนทใี่ ห้กับพฤติกรรมที่วัดต้องกาหนดเกณฑ์ ทแ่ี สดงถงึ ระดบั ของทกั ษะความสามารถ ท่ีถือว่า อยู่ในข้ันท่ีปฏิบัติได้หรือรอบรู้จากแบบตรวจสอบรายการดังกล่าว ซ่ึงมีอยู่ 4 ข้อ ผู้วัดอาจกาหนดเกณฑ์ว่าผู้ท่ีผ่าน การวดั ต้องได้คะแนน 3 คะแนนขน้ึ ไปในกรณีท่ที ุกข้อมนี ้าหนกั เท่ากัน 2. แบบมาตรประมาณคา่ แบบมาตรประมาณค่าหรือมาตราสว่ นประมาณค่าเป็นเคร่ืองมือที่สามารถนามาใชว้ ัด ทักษะการ ปฏบิ ัติไดท้ ้ังในการวัดกระบวนการและผลงาน โดยการแสดงรายการพฤติกรรมท่วี ัดและตวั บ่งชี้ คุณภาพของระดับ การปฏิบัติ ซ่ึงกาหนดเป็นโครงสร้างและมีช่วงของมาตรท่ีมีค่าเป็นตัวเลขหรือระดับของ พฤติกรรม ให้ผู้ประเมิน เลือกตามการตัดสินของตนเอง จะประกอบด้วยรายการที่ให้ผู้สังเกตระบุว่าสิ่งท่ี สังเกตได้มีปริมาณมากน้อย เพียงใด หรือบอกความถ่ีของการเกิด เช่น ทุกคร้ัง บ่อยๆ บางคร้ัง นานๆ คร้ัง หรือไม่ทาเลย ทาเล็กน้อย ทา ค่อนขา้ งมาก ข้ันตอนการสร้างมาตรประมาณค่าท่ีสาคัญ คือ การระบุจุดมุ่งหมายของการวัด เพื่อหาตัว บ่งชี้ พฤติกรรมที่จะวัดให้ได้ หลังจากน้ันเลือกรูปแบบของมาตรท่ีจะใช้ แล้วกาหนดว่าจะแบ่งช่วงของมาตร วัดเป็น เท่าใด การเลือกมาตรวัดอาจใช้รูปแบบผสมคือใช้แบบแสดงด้วยตัวเลขกับแบบกราฟฟิก ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับความ เหมาะสมและลกั ษณะของพฤตกิ รรมทวี่ ัด มาตรวัดท่ีกาหนดจะมีช่วงคะแนน ซ่ึงอาจเป็น 3,5,7,9 ช่วงแต่ละแบบจะมีคะแนนเท่ากัน การ ตรวจให้คะแนนจะรวมคะแนนจากแตล่ ะข้อรายการเป็นคะแนนรวมท้ังหมด หากเหน็ วา่ พฤติกรรมใดมีความสาคัญ กว่าขอ้ ใดข้อหนึ่ง ผู้ประเมนิ อาจใหน้ า้ หนกั คะแนนมากกว่าข้ออ่ืน ดังนัน้ ในการรวมคะแนนนา้ หนักของแต่ละข้อจะ ถูกนามาคิดคานวณด้วยการกาหนดน้าหนักคะแนน ท่ีแทนความสาคัญของรายการ พฤตกิ รรมจะทาโดยผู้ที่มีความ ชานาญในกิจกรรมหรืองานน้นั ๆ

มาตรประมาณค่าจะใช้ในกรณีที่ พฤติกรรมท่ีวัดสามารถเห็นได้ชัดเป็นรูปธรรมและสามารถระบุ ระดับหรอื ขนาดของคุณภาพได้อย่างชัดเจนและเปิดเผย อย่างไรกต็ ามการวัดโดยใช้มาตราสว่ นประมาณค่ายังหลีก หนีอคติจากผู้ประเมินได้ยากเพราะการกาหนดระดับของคุณภาพข้ึนอยู่กับการตัดสินของผู้ประเมินมาตราส่วน ประมาณคา่ จงึ มักใช้โดยกาหนดผ้ปู ระเมินมากกวา่ หน่งึ คน เพอ่ื ปอ้ งกนั ความ ลาเอยี งในการประเมิน ตัวอย่าง : แบบประเมนิ การแก้ปัญหา กลมุ่ ท่ี.........................รายชอ่ื นกั เรียนในกล่มุ 1).................................................2)................................................ วนั เดอื น ป.ี .............................................................................................................................................................. คาช้ีแจง : บนั ทกึ การปฏิบตั งิ านของนักเรยี นแตล่ ะคนในกล่มุ ตามเกณฑ์ตา่ งๆ โดยเขียนเปน็ เลขระดบั คุณภาพ เมือ่ : 4 ยอดเยีย่ ม 3 ดี 2 พอใช้ 1 ปรับปรงุ รายช่ือนกั เรียน (กรอกเลขท่ขี ้างบน) รายการ เลขท่ี เลขที่ เลขท่ี เลขท่ี เลขท่ี เลขที่ 12 3 456 1. นักเรยี นวิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหา 2. นักเรยี นคน้ หาวิธีการแกป้ ัญหาได้อยา่ งเหมาะสม 3. นกั เรียนวางแผนและลงมอื แก้ปญั หา 4. นักเรียนมีความเพียรพยายามในการทางานให้บรรลุ เปา้ หมาย 5. นักเรียนสามารถอธิบายวิธกี ารแก้ปัญหา 6. นักเรียนแสดงผลการทางานไดอ้ ย่างเหมาะสม 7. นกั เรียนสร้างปญั หาทค่ี ล้ายคลึงกบั โจทย์ปัญหาท่ีทาไป รวมคะแนน (คะแนนสงู สดุ 28) .../28 .../28 .../28 .../28 .../28 .../28


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook