หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 ทกั ษะการสอื่ สารเพอ่ื การนิเทศ 3.1 เทคนคิ การส่ือสารเพ่ือการนิเทศ กรอบแนวคิด การสื่อสารเป็นเครื่องมือสาคัญในการดาเนินกิจกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์ การสื่อสารเป็นพ้ืนฐานของ การติดตอ่ ของมนษุ ย์และเปน็ เคร่อื งมือสาคญั ของกระบวนการทางสงั คม วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือให้ครนู ิเทศมีความรู้ ความเขา้ ใจในความสาคัญของการสอ่ื สารกบั การนเิ ทศ 2. เพอ่ื ให้ครูนิเทศมีทักษะพื้นฐานในการส่อื สารสาหรับการนเิ ทศ 3. เพือ่ ให้ครูนเิ ทศสามารถนาเทคนิคI Message มาใชใ้ นการนิเทศไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ สาระสาคญั 1. การสื่อสารมีความสาคัญต่อการนิเทศเนื่องจากเป็นช่องทางในการสร้างความเข้าใจและระบบทวิภาคี ความสัมพนั ธ์ทด่ี รี ะหวา่ งสถานศึกษา สถานประกอบการและผู้มีส่วนเกีย่ วข้องในการจัดการศึกษา 2. ทักษะพ้ืนฐานที่ครนู เิ ทศควรมีสาหรบั การทาหน้าทน่ี เิ ทศไดแ้ ก่ การฟัง การถาม และ การสรุปความ 3. การใช้เทคนิคการสื่อสารพ้ืนฐานร่วมกับ I Message สามารถช่วยให้ครูนิเทศประสบความสาเร็จในการ ส่อื สารและสรา้ งความสมั พนั ธ์ท่ีดีกบั ผมู้ สี ่วนเก่ียวข้องทุกฝ่าย
รายละเอยี ดการจัดกจิ กรรม กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื / อปุ กรณ์ เวลา กระบวนการ 180 นาที องคป์ ระกอบ กลุม่ /เวลา ความคดิ รวบยอด 1. ผ้เู ข้ารบั การอบรมชมวีดที ัศนเ์ กยี่ วกับการส่อื สาร 1. วดี ที ัศน์ 8 นาที กลุ่ม ใหญ่ 15 นาที ท่ดี ีและไม่ดี 2. Power Point 2. วิทยากรสรุปประเด็นเก่ียวกับความสาคัญของ การส่ือสารกบั การทาหนา้ ท่ีครนู ิเทศ ประสบการณ์และ ผู้เข้ารับการอบรมฝึกทักษะการฟัง ทักษะการ ใบกจิ กรรมที่ 3.1/1 22 นาที สะทอ้ นการอภปิ ราย ถาม และทกั ษะการสรุปความเป็นมา 3แบบโดยให้ มีการเสนอทักษะ ฝึกและประเมินก่อนท่ีเราจะเริ่ม กล่มุ ละ 3- 4 คน ทกั ษะตอ่ ไป 45 นาที AB ฝึกทักษะการฟงั มี C เปน็ ผสู้ ังเกต BC ฝึกทกั ษะการถามมี A เป็นผสู้ ังเกต CA ฝกึ ทกั ษะการสรปุ มี B เป็นผู้สงั เกต ความคดิ รวบยอด วิทยากรนาเสนอเทคนิคการส่ือสารทักษะพ้ืนฐาน Power Point 20 นาที กลมุ่ ใหญ่ ร่วมกับ I Message ในการทาหน้าท่ีครูนิเทศสาธิต 40 นาที ทัง้ แบบบวกและแบบลบ ประสบการณ์ สาธิตการสื่อสารโดยการใช้ I Message กลมุ่ ใหญ่ วดี ีทศั น์ 5 นาที ประยกุ ตใ์ ช้ 1. ผู้เข้ารับการอบรมจับคู่กันแสดงบทบาทสมมติ 45 นาที กล่มุ 5 - 6 คน จากกรณีศกึ ษาทก่ี าหนด 3 กรณีศกึ ษา ดังน้ี ใบกจิ กรรม 3.1/2 กรณีครนู ิเทศกับผูเ้ รยี น กรณคี รูนิเทศกับครฝู กึ กรณคี รูนิเทศกับหัวหน้าแผนกวชิ า รองผอู้ านวยการฝ่ายวชิ าการ กรณคี รนู เิ ทศ ppt.กบั ผู้ประสานงาน
การนิเทศในสถานประกอบการ 2. วิทยากรสุ่มเลือกตัวแทนกลุ่ม 3 กลุ่ม สาธิต การแสดงบทบาทสมมติ ใบเนื้อหา หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 ทกั ษะการส่อื สารเพ่ือการนิเทศ หวั ขอ้ ย่อยท่ี 3.1 เทคนิคการสื่อสารเพ่ือการนเิ ทศ 1. สาระสาคญั พื้นฐานเกี่ยวกับการสือ่ สาร 1.1 ความหมายแสดงความสาคญั ของการส่อื สาร 1.2 ความสาคญั ของการสอ่ื สารกบั การนเิ ทศ 1.3 องค์ประกอบของกระบวนการตดิ ตอ่ ส่อื สาร 1.4 รปู แบบของการส่ือสาร 2. ความสาคญั ของการสื่อสารกบั การนเิ ทศ 3. ทักษะพน้ื ฐานในการส่ือสารเพ่อื การนเิ ทศ 3.1 ทกั ษะการฟงั 3.2 ทกั ษะการถาม 3.3 ทักษะการสรปุ ความ 4. การสอื่ สารแบบใชภ้ าษาฉนั (I Message) 1. ความหมายและความสาคัญของการสอ่ื สาร การส่ือสาร (Communication) เป็นพฤตกิ รรมทางสงั คมของมนุษย์ทมี่ จี ดุ มุ่งหมายเพอื่ ถ่ายทอดข่าวสารขอ้ เท็จจริง ความรู้สึกแนวความคิดความต้องการการกระทาจากบุคคลหน่ึงไปยังอีกบุคคลหน่ึงให้เข้าใจและเปล่ียนแปลง พฤติกรรมตามความประสงค์ของผู้ส่งสารโดยอาศัยสื่อหรือเครื่องมือในการส่ือสาร เช่น คาพูดท่าทางข่าวสารใน รูปแบบต่างๆเพ่ือให้สาเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไวซ้ ึ่งต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ในการส่ือสารใหเ้ กิดความเข้าใจอนั ดี ต่อกนั สง่ ผลตอ่ ประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลของงาน การส่อื สารจึงมีความจาเป็นอย่างย่งิ ในการตดิ ต่อกนั ระหว่าง บคุ คลหากการส่อื สารไม่ดีมักจะเกิดอุปสรรคและปญั หาทาใหง้ านล่าชา้ ผิดพลาดเกดิ ข้อขัดแยง้ ทาใหง้ านหยุดชะงัก ไม่ประสบผลสาเร็จดังน้นั ถ้าต้องการให้การดาเนินงานบรรลุสมความมุ่งหมายด้วยความเรยี บร้อยและราบรนื่ การ สื่อสารเป็นส่ิงหนง่ึ ท่จี ะชว่ ยส่งเสรมิ ให้การปฏิบัตงิ านสัมฤทธ์ิผลได้ 2. ความสาคัญของการส่ือสารกับการนเิ ทศ : กรณกี ารสอ่ื สารระหวา่ งบคุ คล (ครูนเิ ทศและบุคคลที่เกยี่ วขอ้ ง) การนิเทศเป็นงานท่ีจะต้องปฏิบัติร่วมกันระหว่างครูนิเทศและผู้เก่ียวข้อง เช่น ครูนิเทศกับนักเรียน ครูนิเทศกับ ผู้ปกครอง ครูนิเทศกับสถานประกอบการ และครูนิเทศกับบุคคลากรในสถานศึกษา ซ่ึงการนิเทศจะต้องใช้การ
สื่อสารเปน็ เครื่องมอื ชว่ ยในการนิเทศให้บรรลุผลตามเป้าหมายทว่ี างไว้หากการนิเทศขาดความเข้าใจขาดความเอา ใจใส่หรือขาดประสิทธิภาพในการติดต่อส่ือสารย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาข้ึนหลายประการหากครูนิเทศขาดทักษะ การส่ือสารไม่สามารถพูดหรือติดต่อกันให้เข้าใจ กลยุทธ์เทคนิควิธีการต่างๆที่เตรียมไว้เพื่อใช้ในการดาเนินการ นเิ ทศสมั ฤทธ์ิผลตามวตั ถุประสงค์ทว่ี างไว้กอ็ าจลม้ เหลวได้ ในการนิเทศนอกเหนือจากครูนิเทศจะเข้าใจองค์ประกอบรูปแบบและลักษณะของส่ือเพ่ือ การสื่อสารแล้ว สิ่งจาเป็นสาหรับครูนเิ ทศท่ีจะขาดเสยี ไมไ่ ด้คือเทคนิคการสื่อสารสาหรับการนิเทศเชน่ เทคนิคการพูดเทคนคิ การฟัง เทคนคิ การถาม เทคนิคการสรุปความ เทคนคิ การเสนอแนะ เปน็ ต้น คณุ ลักษณะของครูนิเทศทีจ่ ะประสบความสาเรจ็ ในการสอื่ สาร 1. มีความรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกับเรื่องการนเิ ทศ 2. มที ักษะในการสอื่ สาร 3. เปน็ คนช่างสงั เกต เรียนรไู้ ดเ้ ร็ว และมีความจาดี 4. มคี วามคดิ รเิ ร่ิมสรา้ งสรรค์ 5. คิดและแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ไดด้ ี 6. มคี วามสามารถแยกแยะและจัดระบบขอ้ มูลในการนิเทศ 7. มีความสามารถในการเขียนได้รวดเร็วและมีประสทิ ธิภาพ 8. มศี ิลปะและเทคนคิ การจงู ใจคน 9. ร้ขู น้ั ตอนการทางาน 10. มมี นุษย์สัมพนั ธ์ดี องคป์ ระกอบของกระบวนการติดต่อสือ่ สารระหวา่ งบคุ คลในการสอ่ื สารทเ่ี ป็นทั้งผู้รับและผูส้ ง่ สารใน เวลาเดยี วกนั 1. ผู้ส่งคือผู้ทาหน้าท่ีกระจายข้อมูลเร่ิมต้นในการสื่อสารเช่นครูถ่ายทอดเน้ือหาวิชาของบทเรียนแก่ นกั เรยี น 2. ผู้รับคือผู้ที่รับข้อมูลจากผู้ส่งโดยผ่านตัวกลางท่ีเรียกว่าสื่อชนิดต่างๆในทางปฏิบัติจริงๆ แล้วจะพบว่า การสื่อสารเพ่ือจะให้ได้ผลดีต้องเข้าใจว่าเราเปน็ ท้ังผู้รับและผู้สง่ สารในเวลาเดยี วกัน การแลกเปลย่ี นข้อมลู จะทาให้ การส่ือสารมีความสมบรู ณม์ ากยงิ่ ขึ้น รูปแบบของการสือ่ สาร รปู แบบของการส่อื สารแบ่งเป็น 2 แบบคือ
1. การสอื่ สารโดยการใช้คาพูดหรอื ตัวอักษรเรยี กว่า Verbal Communication 2. สอื่ ทม่ี ีลักษณะอื่นที่ไม่เป็นภาษาไม่ใชค่ าพดู หรือภาษาเขยี นเช่นการใชส้ ายตา สหี นา้ นา้ เสยี ง ท่าทาง ระยะห่างและสมั ผัส สัญญาณอื่นๆการส่ือสารลกั ษณะน้ีเรยี กวา่ Nonverbal Communication 3. ทักษะพ้นื ฐานในการสื่อสารเพื่อการนเิ ทศ 1. ทักษะการฟัง 2. ทักษะการถาม 3. ทกั ษะการสรปุ ความ 3.1 ทักษะการฟงั การฟงั เป็นกระบวนการทส่ี ร้างประสิทธภิ าพในการสอื่ สารถ้าครูนิเทศฟังโดยไม่ตง้ั ใจและไมส่ นใจในขณะท่ี รับฟังกจ็ ะจบั ใจความที่ฟังไมไ่ ด้ท้งั หมดซึง่ จะทาให้เสยี โอกาสที่จะไดร้ ับข้อมูลข่าวสารที่เปน็ ประโยชน์จากผู้รับการ นเิ ทศและยอมรับว่าการฟงั เปน็ ปัญหาอย่างหนึ่งในการสื่อสารของการนเิ ทศซงึ่ เกดิ จากครนู ิเทศขาดสมรรถภาพใน การฟังก่อให้เกิดปัญหากับผู้เก่ียวข้องในการนิเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้นิเทศก็สามารถปรับปรุงการฟังให้ดีและมี ประสิทธภิ าพไดถ้ า้ หากเข้าใจในหลกั การฟังสนใจทจี่ ะปรับปรงุ การฟงั ของตนใหม้ ีคณุ ภาพเพ่ือเพ่ิมประสิทธภิ าพใน การนเิ ทศต่อไป การเป็นผฟู้ ังทดี่ ีของครนู ิเทศ การฟังเป็นส่ิงท่ีสาคัญของครูนิเทศที่จะทาให้ได้รับข้อมูลท่ีช่วยให้การนิเทศบรรลุตาม วัตถุประสงค์ ครู นิเทศควรมีลกั ษณะการเปน็ ผูฟ้ ังท่ดี ีดังนี้ 1. ฟังอยา่ งละเอยี ดลุม่ ลึก การฟงั อย่างละเอยี ดลมุ่ ลึกจะเกิดข้ึนได้ ครูนเิ ทศจะต้อง 1.1 มีสมาธิในการฟัง สมาธิเป็นส่ิงจาเป็นในการฟงั ครูนิเทศต้องหม่ันฝึกตนเองให้มีสมาธิ เพื่อให้เกิดสติ พยายามพุ่งความสนใจไปในเรอ่ื งที่ตนกาลังฟังนั้น 1.2 ตั้งจุดมุ่งหมายในการฟังสนใจและจับประเด็นสาคัญของเรื่องที่ฟังให้ได้เช่น ขณะฟังต้องรู้จักใช้ สตปิ ญั ญาวเิ คราะห์ ฟังเพ่อื จับใจความสาคญั ประเด็นสาคัญและสรปุ ความคิดรวบยอดให้ได้ 1.3 วิเคราะหเ์ จตนาของผ้พู ูด คือตอ้ งรู้จักวิเคราะห์เจตนาของผู้พูดว่า ผพู้ ูดมคี วามประสงค์อย่างไร มสี ง่ิ ใดแอบแฝงซอ่ นเรน้ อยใู่ นเรื่องทีพ่ ูดหรือไม่
1.4 ต้องวางใจเป็นกลางไม่มีอคติใดๆต่อผู้พูดฟังด้วยความอดทนและตั้งใจฟังฟงั อย่าง มีกัลยาณมิตร ให้ เกียรตผิ ้พู ูด และมีมารยาทอนั ดงี าม 2. การไตรต่ รองความคดิ 2.1 ใช้ศิลปะในการฟังครูนิเทศที่ดีไม่ควรฟังอย่างเดียวควรใช้ไหวพริบในบางโอกาสเพ่ือช่วยให้ผู้พูด สามารถถ่ายทอดความรู้ ความคิดของตนไปสู่จดุ มุง่ หมายปลายทาง ตามทค่ี รูนเิ ทศต้องการโดยใชค้ าถามนาไปสู่จุด ทีค่ รูนเิ ทศต้องการ 2.2 ขณะฟงั ควรบันทกึ สิ่งสาคัญหากสงสัยหาโอกาสซกั ถามให้เหมาะสม 3. การนาเสนอความคิด หลังการฟัง ครูนิเทศควรคิดทบทวนเร่ืองราวต่างๆ ท่ีฟังไปนั้นตรงกบั ข้อเท็จจริง และมี เหตุผลน่าเชื่อถือเพียงใด มีส่ิงใดจะนาไปปฏบิ ัติให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ และรู้จักนาความรู้หรือข้อคิดต่างๆท่ไี ด้ จากการฟงั ไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปญั หาและพัฒนาการนิเทศตอ่ ไป ทกั ษะการฟงั จึงประกอบดว้ ย 1. ฟังอยา่ งใสใ่ จ โดยสบตา พยักหน้าสีหน้า รบั ฟัง ลว้ นแต่เป็นNonverbal Communication 2. ฟังได้ทั้งความคิดและความรู้สึก ความคิดได้จากคาพูด ส่วนความรู้สึกได้จากการสังเกต Nonverbal Communication ของผ้สู ือ่ สาร
ทักษะการพูด การถาม การพูด การถามเป็นการสอื่ สารโดยวาจาการนเิ ทศส่วนใหญ่จะใช้การพูด การถาม ในการตดิ ต่อสอ่ื สารกับ ผู้เก่ียวข้อง เช่นทาความคุ้นเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ก่อนการนิเทศให้คาปรึกษาหารือวิเคราะห์วางแผนการนิเทศ รว่ มกันตลอดจนการใหข้ อ้ มลู ย้อนกลับเพื่อการปรบั ปรงุ การนเิ ทศเป็นต้นดงั นั้นการมเี ทคนคิ ในการพูด การถาม ทีด่ ี จงึ เป็นคุณสมบัติประการสาคัญของครูนเิ ทศในการนิเทศ การพดู การถามทีด่ คี วรมลี ักษณะดงั ตอ่ ไปน้ี 1. พูดถามในลกั ษณะท่ีไม่คุกคาม 1.1 ใชน้ ้าเสยี งท่นี ุ่มนวล นา่ ฟงั 1.2 หลีกเลย่ี งการพูดตาหนิ 1.3 หลีกเล่ยี งคาหยาบหรอื ด่าทอ 2. พดู ถามเพอ่ื สร้างความเข้าใจ 2.1 ไม่ควรพดู ให้คนอน่ื รสู้ ึกอาย 2.2 ไมพ่ ูดวกวนเล่นลน้ิ เล่นสานวน 2.3 พูดในเร่ืองทผี่ ฟู้ งั ชน่ื ชมยินดชี อบใจถูกใจและสบายใจ 2.4 หลกี เล่ียงการดุด่าบน่ วา่ ใชก้ ารแนะนาหรือการเลา่ ให้ฟังและใช้การถามท่ีบ่งบอกถงึ ความห่วงใยและใส่ใจตอ่ ผฟู้ ังและควรใช้คาถามปลายเปิด 2.5 อย่าพดู ผูกขาดคนเดียว 3. ฟงั คาตอบอย่างใสใ่ จ 3.1 ให้ความสนใจโดยใช้สายตามองผู้ฟังแสดงการเรยี นรโู้ ดยการพยกั หนา้ หรอื ยม้ิ 3.2 การรู้จกั วิเคราะหผ์ ฟู้ งั สถานท่ีเวลาโอกาสและความมุ่งหมายในการพูดนอกจากนั้น การพดู ควรเสนอ ความคิดเห็นเปน็ ขน้ั ตอนมรี ะเบยี บเขา้ ใจง่ายมองเหน็ ภาพพจน์ได้ชัดเจน 3.3 ทักษะการถาม ประกอบดว้ ย 1) ถามปลายเปิด ด้วยคาถาม เช่น When What Where Why ฯลฯ เป็นคาถาม ทีส่ ร้างความเข้าใจ และเขา้ ใจเร่อื งราวใหล้ ึกซ้งึ 2) ถามปลายปดิ ดว้ ยคาถาม ไปไหน หรอื ใช่ ไมใ่ ช่ ซึง่ ต้องใชต้ ่อเมอ่ื จาเปน็ เพ่ือต้องการยืนยันความ ชดั เจน ทกั ษะการสรปุ ความ การสรุปความ คือ การจับใจความสาคัญจากเร่ืองทีฟ่ ังแลว้ นามาเรียบเรียงใหม่อยา่ งส้ัน ๆ ใหร้ วู้ ่าเป็นเรือ่ ง อะไร มีใครทาอะไร ทไ่ี หน เมอื่ ไร อย่างไร ซ่ึงเปน็ ทกั ษะทคี่ รนู เิ ทศจาเปน็ ตอ้ งใช้หลงั จากการนเิ ทศโดยมขี นั้ ตอนที่ ครูนเิ ทศควรมีทกั ษะในการสรุปความดงั น้ี
1. ข้ันรบั สารให้เขา้ ใจ เมอ่ื ฟงั และดูเรอื่ งใดแลว้ ต้องทาความเขา้ ใจ จบั ประเดน็ แนวคิดสาคัญ ของเรอ่ื ง ขนั้ Key Message ทง้ั ความคิดและความรู้สกึ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจสาระสาคัญของเรื่องท้งั หมดดว้ ยการตัง้ คาถามตอ่ จากการจับประเดน็ สาคัญของเร่ืองว่าเก่ยี วกับใคร ทาอะไร ทไ่ี หน เมอื่ ไร และอย่างไร โดยสรุป เปน็ ใจความสาคัญ 2. ข้ันเขียนสรุป การนาใจความของเรอ่ื งมาเรยี บเรียงใหม่ ดว้ ยสานวนของผู้สรปุ เองโดยครอบคลมุ ทั้งความคดิ และ ความรู้สึกของผู้พูด การแนะนาด้วยการสอ่ื สารโดยใช้ภาษาฉัน (I Message) ในการสื่อสารเพื่อลดปัญหาข้อขัดแย้ง ต้องสื่อสารด้วยการใช้ภาษาฉัน (I Message) และไม่ควรใช้ภาษา แก (You Message) เพราะจะทาให้ผู้รับสารเกิดความรู้สึกเหมือนถูกตาหนิหรือถูกจับผิด จะส่งผลให้การสื่อสาร ล้มเหลวการสื่อสารแบบภาษาฉัน มักขนึ้ ตน้ ประโยคด้วยตัวผพู้ ดู เอง เชน่ ฉนั หรอื ผม แลว้ ตามดว้ ยความหว่ งใยที่ ตนมีตอ่ ผฟู้ ัง หลักการสื่อสารด้วยภาษาฉัน เป็นเทคนิคการส่ือสารเชิงสร้างสรรค์ เป็นการสื่อสารที่สร้างความรู้สึก นมุ่ นวล นา่ ฟงั และส่งผลในทางบวก เปน็ การสื่อสารที่บอกถงึ ความรู้สึกของผูพ้ ูดท่ีแฝงด้วยความห่วงใย ไม่ใชม่ ีใน ลกั ษณะของการออกคาสงั่ หรือใช้อารมณห์ รือการคุกคาม ทาให้ผฟู้ งั รู้สึกว่าตนเองมีคุณคา่ รบั ร้ถู ึงความรู้สึกหว่ งใย จากผู้พูดอันจะทาให้ผู้ฟังรู้สึกคล้อยตามไปในที่สุดซ่ึงจะแตกต่าง โดยสิ้นเชิงจากการส่ือสารแบบภาษาแก เพราะการสือ่ สารประเภทน้จี ะมุ่งไปในทางคกุ คาม ตาหนิ หรือจบั ผดิ ซ่งึ การพดู ในลกั ษณะนีผ้ พู้ ูดมักจะมอี ารมณไ์ ม่ พอใจหรือโกรธรว่ มดว้ ย โดยอาจจะมีการเหน็บแนม ซ่งึ การส่ือสารแบบภาษาฉนั มกั จะขึ้นต้นประโยคด้วยตัวผู้พูด เอง เช่น ฉัน หรอื ผม แลว้ ตามดว้ ยความรู้สกึ หว่ งใย ทาให้ผ้ฟู ังรสู้ กึ อบอ่นุ ใจ และนมุ่ นวลกวา่ ประโยคทีข่ ึ้นต้นด้วย คาว่า เธอ หรอื คณุ แล้วตามด้วยคาพูดในเชิงตาหนกิ ารกระทาของคเู่ จรจา การสอื่ สารแบบภาษาฉัน มีหลักการดังนี้ 1. เปน็ การสื่อสาร หรือการพูดที่เนน้ ความรู้สึกของตัวผ้พู ดู เปน็ หลัก หรือเปน็ ประโยคแรกในการพูด 2. ผูพ้ ูดควรจะตอ้ งบง่ บอกถงึ ความรู้สกึ หว่ งใย หรือกังวลทีผ่ พู้ ูดมีตอ่ ผูฟ้ งั โดยผพู้ ูดควรจะตอ้ งชี้แจง เหตผุ ลให้ผู้ฟงั เข้าใจว่าทาไมผูพ้ ดู จะตอ้ งพูดออกมา 3. รบั ฟังความเหน็ ของคูเ่ จรจา ตวั อย่าง ภาษาแก (You Message) ตัวอยา่ ง ภาษาฉนั (I Message) คาพูด ทาไมเธอไปทางานสายบ่อย ๆ ครู เป็นหว่ งที่เราไปทางานไม่ทนั หลายครัง้ มอี ะไร
ผล รสู้ กึ ว่าถกู ตาหนิ ทาให้ไม่ยากเปิดเผย หรือเปล่า ปญั หาตวั เอง ผล รสู้ ึกวา่ ครูห่วงใย เกดิ ความไว้วางใจและอยาก ปรึกษาปญั หา ทกั ษะการสอื่ สารท่ใี ชภ้ าษาฉัน เร่ิมจากทกั ษะพ้นื ฐาน คอื ฟงั อย่างใส่ใจ ถามเน้นความชัดเจน สรปุ ความ จากน้ัน 1. ดคู วามร้สู กึ ของตนเองทเี่ กดิ ขึ้นจากการสนทนา 2. เร่มิ คาพดู ด้วยคาถาม ฉัน (รู้ว่า)..........ท่ีเธอ.............. 3. รบั ฟงั และแลกเปลย่ี น
ใบงาน หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 ทักษะการส่ือสารเพ่อื การนิเทศ หวั ข้อย่อยที่ 3.1 เทคนิคการส่ือสารเพ่อื การนเิ ทศ ใบงานท่ี 3.1/1 สรุปและอภปิ รายเทคนคิ การสอื่ สารเพอื่ การนเิ ทศ คาช้ีแจง ผู้เขา้ รับการอบรมจับกลุ่ม กลมุ่ ละ 3 คน (A B และ C) แต่ละคนผลัดกนั แสดงบทบาทเป็น ผ้ถู ามผฟู้ ังและผสู้ งั เกต และสะท้อนผลการทากจิ กรรมดังนี้ กิจกรรมรอบท่ี 1 A เลา่ เร่ืองเก่ียวกับความยุ่งยากใจในการนเิ ทศ เป็นเวลา 3 นาที B ทาหนา้ ทใ่ี นการฟัง C ทาหนา้ ที่สังเกตและสรุปเนอ้ื หาทีไ่ ดจ้ ากการทากจิ กรรม กิจกรรมรอบท่ี 2 B เล่าเรอ่ื งเกีย่ วกบั ปัญหาในการนเิ ทศนกั เรียนฝึกอาชพี เป็นเวลา 3 นาที C ทาหน้าที่ในการฟงั และถาม A ทาหนา้ ท่ีสงั เกตและสรปุ เนอ้ื หาท่ีได้จากการทากิจกรรม กจิ กรรมรอบที่ 3 C เล่าเรอื่ งเกย่ี วกบั ขอ้ คิดเห็นต่อการจัดทวิภาคขี องสถานศึกษา เป็นเวลา 3 นาที A ทาหนา้ ท่ีในการฟงั ถามและสรุปความ B ทาหน้าที่สงั เกตและสรปุ เนือ้ หาทไี่ ด้จากการทากจิ กรรม
กจิ กรรมรอบท่ี 1 (สรปุ เนอื้ หาที่ไดจ้ ากกิจกรรม) .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................... กจิ กรรมรอบที่ 2 (สรปุ เนื้อหาที่ได้จากกิจกรรม) ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... กจิ กรรมรอบท่ี 3 (สรุปเนือ้ หาท่ีไดจ้ ากกิจกรรม) ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................
ใบงาน หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 ทกั ษะการส่อื สารเพ่อื การนเิ ทศ หัวข้อยอ่ ยท่ี 3.1 เทคนิคการส่อื สารเพอ่ื การนเิ ทศ ใบงานท่ี 3.1/2 สรุปและวเิ คราะห์กรณศี กึ ษา คาชแี้ จง 1. ผเู้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมแบ่งกลุ่มๆละ 6 คน จากนน้ั จับคู่ 3 คู่ โดยแต่ละคแู่ สดงบทบาทสมมติตาม กรณศี ึกษา 3 กรณีทก่ี าหนดดา้ นลา่ ง 2. ในขณะทีค่ ู่ที่ 1 แสดงบทบาทสมมติ ให้ 4 คนที่เหลอื เป็นผู้สงั เกตตามแบบบันทึกทก่ี าหนด 3. วิทยากรสุ่มเลือกตวั แทนกลมุ่ 3 กลุ่มแสดงบทบาทสมมติ 3 กรณี (กลุม่ ละ 5 นาท)ี 4. วิทยากรสรุปโดยเชื่อมโยงการใชเ้ ทคนิคเพือ่ การสอ่ื สาร คูท่ ่ี 1 : กรณีครนู ิเทศกับนกั เรยี น ประเด็น นายรักเกียรติ ไม่รักตัว นักเรียนระบบทวิภาคี ระดับ ปวช.3 สาขาช่างไฟฟ้ากาลัง อยู่ระหว่าง การฝึกอาชีพ ณ บริษัทแสงสว่างผลิตหลอดไฟ จากัด ต้งั แตเ่ ร่มิ ฝกึ อาชพี มาเปน็ เวลา 1 เดอื น นายรกั เกียรตไิ ม่เคย บันทึกการปฏิบัติงานรายวันในสมุดบันทึกการฝึกอาชีพและไม่ได้นาเสนอครูฝึกลงนามรับรองการฝึกอาชีพ เมื่อ คุณครูสมศรไี ปนิเทศและได้รับการแจ้งปญั หาดงั กล่าวจากครูฝึก เพ่อื แกป้ ัญหาดงั กล่าวคุณครูสมศรีจะมีวธิ ีการพูด กบั นายรักเกยี รตอิ ยา่ งไรใหป้ รบั เปล่ียนพฤตกิ รรมและเห็นความสาคัญของการจดบนั ทึกการปฏบิ ัตงิ านรายวนั คทู่ ี่ 2 : กรณคี รนู ิเทศกบั ครฝู ึก ประเดน็ วทิ ยาลัยหนองหมาว้อได้ส่ง นางสาวสดสวย งามจริง นกั เรียนระดบั ปวช. 3 สาขาการบญั ชีไปฝึก อาชีพ ณ สานักงานบัญชีสมควร เมื่อคุณครูมยุรีไปนิเทศท่ีสานักงานนางสาวสดสวย ได้เล่าให้ฟังว่าต้ังแต่มาฝึก อาชีพทางสานักงานใช้ให้ทาแต่งานถ่ายเอกสาร เสริฟกาแฟ และบางครั้งต้องทาความสะอาดสานักงาน โดยยัง ไม่ได้เข้ารบั การฝึกอาชีพตามรายวิชาท่ีกาหนดตามแผนการฝึกอาชีพ ในกรณีดังกล่าวคุณครูมยุรีในฐานะครนู เิ ทศ จะต้องพดู อย่างไรกบั ครูฝึกซง่ึ ทาหน้าที่กากับดแู ลนกั เรยี น ฝึกอาชีพเพือ่ แกป้ ญั หานี้ คู่ที่ 3 : กรณีครนู เิ ทศกบั หวั หนา้ แผนกวิชา ประเด็น วิทยาลัยอันดามันได้ทาความรว่ มมือกับโรงแรมแหลมพรหมเทพจัดการเรียนการสอนระบบทวิ ภาคสี าขาการโรงแรม โดยในภาคเรยี นท่ี 2/2558 ทางโรงแรมไดโ้ ทรศัพทแ์ จง้ มายงั คณุ ครูสยมุ พร กรณีนางสาวรัก ดี ชอบเรียน นักเรียนชั้น ปวช. 3 สาขาการโรงแรม มีพฤติกรรมขาดงานบ่อยโดยไม่แจ้งให้ทางโรงแรมและครฝู กึ ทราบ และคุณครูสยุมพรไดร้ ายงานให้หัวหน้าแผนกวิชาทราบในกรณีดังกล่าว แต่หัวหน้าแผนกวชิ ากลับไมส่ นใจ ชว่ ยแก้ปัญหาท่เี กดิ ขึ้น โดยมอบให้คุณครูสยุมพรไปพบและแกไ้ ขปญั หานกี้ ับทางโรงแรมเอง ซึ่งคุณครูสยุมพรเห็น
ว่ากรณีนี้เป็นเรอื่ งระบบการบริหารของแผนกวชิ าที่จะต้องช่วยแก้ปัญหากับครูนิเทศ ในกรณีนี้คุณครูสยุมพรควร พดู กับหวั หนา้ แผนกวชิ าอยา่ งไร
คทู่ ่ี 4 : กรณีครูนเิ ทศกบั ผู้ประสานงานการนเิ ทศในสถานประกอบการ คุณครูสมชาย เดินทางไปนิเทศนักศึกษาฝึกอาชีพในวันจันทร์ขณะเดินทางได้โทรศัพท์แจ้งไปยังผู้ ประสานงานของบริษัทว่าจะเข้านิเทศ แต่ได้รับการตอบกลับว่าบริษัทไม่สะดวกให้เข้านิเทศในกรณีดังกล่าวนี้ คุณครูสมชายจะพดู กบั ผู้ประสานงานอยา่ งไร
แบบบนั ทกึ ของผู้สังเกต 1. การฟงั ฟังอยา่ งเขา้ ใจ (สบตา พยกั หนา้ ) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ฟงั ได้ท้ังความคิดและความรู้สึก ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การถาม ปลายเปิด (เพื่อค้นหา/เข้าใจ) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปลายปิด (เทา่ ที่จาเปน็ ) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การสรุปความ ฟังไตรต่ รอง ถาม สรปุ (Key Message) ความคิด................................................................................................................................................. ความร้สู กึ .............................................................................................................,…………………….......... 4. สรปุ ผลของการสังเกต ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………….…
……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 3 ทักษะการสื่อสารเพือ่ การนิเทศ 3.2 เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการนเิ ทศ กรอบแนวคิด เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือสาคัญในการดาเนินกิจกรรมให้บรรลุวัตถุประสงค์ การสื่อสารเป็น พนื้ ฐานของการติดตอ่ ของมนษุ ย์และเป็นเครือ่ งมอื สาคญั ของกระบวนการทางสงั คม วตั ถุประสงค์ 1. เพือ่ ให้มคี วามรู้พนื้ ฐานเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารทท่ี นั สมัย 2. เพอ่ื เลอื กใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารท่ีเหมาะสมเพือ่ การนเิ ทศ 3. เพ่ือพฒั นารูปแบบการนิเทศผสมผสานแบบออนไลนก์ บั การนิเทศแบบเดมิ สาระสาคัญ 1. ความรู้พนื้ ฐานเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สารเป็นสง่ิ จาเป็นช่วยในการส่อื สารระหว่างกันได้อย่าง สะดวกรวดเร็ว ลดอปุ สรรคเกย่ี วกบั เวลาและระยะทางเพิ่มการปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างครนู เิ ทศกบั กลุ่มเปา้ หมาย 2. เลือกใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารทเ่ี หมาะสมเพอ่ื การนิเทศเป็นการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ และการส่อื สาร เขา้ มาใชใ้ นกระบวนการนิเทศการฝึกอาชีพและ การประเมินผลการฝึกอาชพี 3. การนิเทศการฝึกอาชีพเป็นสิ่งที่มีความสาคัญมากในกระบวนการฝึกอาชีพมีการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารท่ีหลากหลายเป็นพัฒนารูปแบบการนิเทศผสมผสานแบบออ นไลน์กับการนิเทศแบบ ปกติเพ่อื ให้มีประสทิ ธภิ าพ
รายละเอียดการจัดกจิ กรรม กระบวนการ 90 นาที องคป์ ระกอบ/กลุม่ กจิ กรรม ส่ือ ใบกจิ กรรมท่ี 3.2/1 ประสบการณ์/ 2 คน 1.ในฐานะท่ีทา่ นเป็นครูนเิ ทศ“ท่านคดิ วา่ 5นาที ท่านมีปัญหาอะไรในการเดนิ ทางไปนเิ ทศ ที่สถาน ประกอบการบ้าง” ความคดิ รวบยอด/ กลุ่มใหญ่ 2. อภปิ รายปัญหาในการเดินทาง - กระดาษ flip chart - ปากกาเคมี 10 นาที ไปนิเทศทีส่ ถานประกอบการ สะทอ้ นความคิดและ 3. ท่านคิดว่า คุณลักษณะ(features) ใด - Facebook อภิปราย/4 คน ใน Facebook สามารถนามาใช้ในการ ใบกจิ กรรม 3.2/2 20 นาที นิเทศการฝึกอาชีพในสถานประกอบการ บ้าง ความคดิ รวบยอด/ กลุม่ ใหญ่ 1. นาเสนอเกี่ยวกบั คุณลักษณะ(features) ใบกิจกรรม 3.2/2 15นาที ใดในFace book สามารถนามาใช้ในการ - PTT (การใช้ facebook) นเิ ทศการฝึกอาชพี ในสถานประกอบการ 2. วทิ ยากรบรรยายการใช้ Face book ประยุกต/์ 4คน 3. ครูนิเทศได้นาคุณลักษณะ(features) - Facebook 30 นาที ใน Face bookมาใชใ้ นการนิเทศของคณุ ใบกิจกรรม 3.2/3 ใน 1 ภาคเรยี น อย่างไร - แบง่ กลุ่มตามความสนใจ โพล วีดโี อ กตกิ ามารยาท
ความคดิ รวบยอด/ กล่มุ ใหญ่ 4. วิทยากรสรุป 10 นาที ใบเนื้อหา หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 ทักษะการส่ือสารเพอื่ การนเิ ทศ หวั ขอ้ ยอ่ ยท่ี 3.2 เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการนเิ ทศ แนวคดิ 1. ความก้าวหนา้ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้มีการพฒั นาคิดค้นสงิ่ อานวยความสะดวกต่อ การดารงชวี ิตของมนษุ ย์ เทคโนโลยไี ดเ้ ขา้ มาเสรมิ ปจั จยั พื้นฐานทาให้มนุษย์มีชวี ิตความเปน็ อยูท่ ่ดี ขี ึ้น เทคโนโลยที า ให้การติดต่อส่ือสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว การสื่อสารที่เชื่อมโยงกันอย่างท่ัวถึงทาให้ติดต่อส่ือสารกนั ได้ ทั่วทกุ มมุ โลก 2. เทคโนโลยี หมายถึงการนาเอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการ ดารงชวี ิตของมนุษย์ สารสนเทศ หมายถงึ ข้อมูลทผ่ี า่ นการประมวลผลแล้วและเป็นประโยชนต์ ่อการดาเนินชีวติ ของมนุษย์ เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง อุปกรณ์หรือเครือ่ งมือท่ีเกีย่ วข้องกบั การรวบรวมประมวลผล เก็บรักษา และเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศ โดยรวมทั้งฮารด์ แวร์ ซอฟตแ์ วร์ ฐานขอ้ มูล และการส่อื สารโทรคมนาคม 3. เทคโนโลยสี ารสนเทศมีประโยชน์ตอ่ การพฒั นาประเทศชาติ ใหเ้ จรญิ กา้ วหน้าเทคโนโลยสี ารสนเทศทา ให้วิถคี วามเป็นอยู่ของสังคมเปลย่ี นไปอย่างมาก เทคโนโลยสี ารสนเทศมีผลกระทบต่อทกุ ส่ิงทุกอย่าง ทัง้ การดาเนิน ชีวิต เศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง การศึกษาและอ่ืนๆ เทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ การประยุกต์เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยสี อ่ื สารในรปู แบบต่างๆ 4. ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทอย่างกว้างขวางในทุกวงการ และเทคโนโลยี สารสนเทศ กลายเป็นเครื่องมือสาคัญของการทางานทุกด้าน ต้ังแต่ด้านการศึกษา พาณิชยกรรม เกษตรกรรม อุตสาหกรรม
สาธารณสุข การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนด้านการเมืองและราชการ จะเห็นได้จากทุกหน่วยงานจะนาเทคโนโลยี สารสนเทศเข้าไปช่วยในการทางานด้านตา่ งๆ เพราะทาให้งานมปี ระสทิ ธภิ าพย่งิ ขนึ้
สาระการเรียนรู้ / เนอ้ื หา 1. บทบาทความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความกา้ วหนา้ ทางดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ทาใหม้ ีการพฒั นาคดิ ค้นสิ่งอานวยความสะดวกต่อการ ดารงชวี ติ ของมนุษย์ เทคโนโลยไี ด้เข้ามาเสริมปจั จัยพืน้ ฐานทาให้มนุษย์มีชวี ิตความเปน็ อยู่ที่ดีข้นึ เชน่ การสร้างท่ี พกั อาศัยทม่ี คี ณุ ภาพมาตรฐาน การผลิตสินค้าและการใหบ้ รกิ ารตา่ ง ๆ ท่ีตอบสนองความต้องการของมนษุ ยไ์ ด้มาก ข้ึน เทคโนโลยีทาให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมากและมีราคาถูกลง เทคโนโลยีทาให้การ ติดต่อส่ือสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว การส่ือสารท่ีเช่ือมโยงกันอย่างท่ัวถึงทาให้ประชากรในโลกสามารถ ตดิ ตอ่ สอ่ื สารและรับฟงั ข่าวสารจากท่ัวทกุ มมุ โลกได้ตลอดเวลา ในอดีตท่ีมนุษย์ยังเร่ร่อน มีอาชีพเกษตรกรรม ล่าสัตว์ การเปล่ียนแปลงสังคมความเป็นอยู่ของมนุษย์ เป็นไปอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดการเปล่ียนแปลงการปฏิวัติสองคร้ังครั้งแรกเกิดจากการ ที่มนุษย์รู้จักใช้ระบบ ชลประทานเพือ่ การเพาะปลูก สังคมความเป็นอยู่ของมนษุ ย์จึงเปล่ียนจากการเร่ร่อนมาเป็นการตั้งหลักแหล่งเพอื่ ทาการเกษตรต่อมาหลังจากที่เจมส์วัตต์ ได้ประดิษฐ์เครื่องจักร ไอน้า มนุษย์รู้จักนาเอาเคร่ืองจักรมาช่วยใน อุตสาหกรรมการผลิตและช่วยในการสร้างยานพาหนะเพ่ืองานคมนาคมขนส่ง ผลท่ตี ามมาทาให้เกิดการปฏวิ ัติทาง อุตสาหกรรม ทเ่ี นน้ การผลิตจานวนมากสงั คมความเปน็ อยู่ของมนุษย์จึงเปลี่ยนจากสงั คมเกษตรมาเป็นสังคมเมือง ที่มอี ตุ สาหกรรมเขา้ มาเกีย่ วข้องและรวมกันเปน็ เมอื งอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ ในช่วง พ.ศ. 2530 เป็นต้นมาความเจริญก้าวหน้าทางด้านคอมพิวเตอร์และระบบ สื่อสารข้อมูลเป็นไป อย่างรวดเร็ว ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้มีการพัฒนาคิดค้นส่ิงอานวยความ สะดวกสบายต่อการดาเนินชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดารงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทาให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐานสามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนอง ความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยที าให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจานวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ ระบบส่ือสารโทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์ก้าวหน้ามาก ทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงเข้าสู่ยุค สังคมสารสนเทศ ชีวิตความเป็นอยู่เกย่ี วข้องกับขอ้ มูลข่าวสารจานวนมาก การสื่อสารโทรคมนาคมกระจายทั่วถงึ ทาให้ข่าวสารแพร่ กระจ่ายไปอยา่ งรวดเรว็ ทาใหส้ งั คมในปัจจบุ ันเปน็ สงั คมไร้พรมแดนเพราะเรอ่ื งราวของประเทศ หน่ึงสามารถกระจายแพร่ออกไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วการเดินทางเช่ือมโยงถึงกันทาให้ประชากรใน โลกตดิ ต่อกันได้ตลอดเวลา
รปู ท่ี 1.1 ความเจริญก้าวหน้าทางดา้ นเทคโนโลยีเก่ียวกบั ระบบการส่ือสาร (ทม่ี า : http://203.154.140.4/ebook/files/lesson1_15.htm) พฒั นาการของเทคโนโลยีทาให้ชวี ิตความเปน็ อย่เู ปล่ยี นไป ในอดีตโลกมกี าเนิดมาประมาณ 4,600 ลา้ นปี เช่ือกันว่าสิ่งมีชีวิตถือกาเนิดบนโลกประมาณ 500 ล้านปีท่ีแล้ว เม่ือห้าแสนปีท่ีแล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณ ท่าทางส่ือสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือและจารึกไว้ตามผนึกถ้า เม่ือประมาณ 5,000 ปีท่ีแล้วจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่ามนษุ ย์สามารถจัดพิมพห์ นงั สือได้เม่อื ประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีมีการพัฒนามาอย่างต่อเนือ่ งจนสามารถสื่อสารกันโดยส่งข้อความเป็นเสียงทาง สายโทรศพั ท์ มีการแพรภ่ าพทางโทรทัศน์ผา่ นดาวเทยี มเพ่ือรายงานเหตุการณ์สด เหน็ ได้ชดั ว่าเทคโนโลยไี ดเ้ ข้ามา มีบทบาทอย่างมาก และรวดเร็วขึน้ เม่ือมกี ารพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพวิ เตอร์และส่วนประกอบ ในชีวิตประจาวัน นักเรียนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมากมาย เช่น เมื่อต่ืนนอนนักเรียนอาจได้ยินเสียงจาก วิทยุซงึ่ กระจายเสยี งข่าวสารหรอื เพลง นักเรียนใช้โทรศัพทส์ อ่ื สารกับเพื่อน ดูรายการทีวี วีดโี อ เมอื่ มาโรงเรียนเดิน ทางผ่านถนนที่มีระบบไฟสัญญาณท่ีควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ถ้าไปศูนย์การค้าขึ้นลิฟต์ ขึ้นบันไดเล่ือนซ่ึงควบคุม การทางานด้วยคอมพิวเตอร์ที่บ้านนักเรียนนักเรียนอาจอยู่ในห้องที่มีเคร่ืองปรับอากาศท่ีควบคุมอุณหภูมิโดย
อัตโนมัติ คุณแม่ทาอาหารด้วยเตาอบซึ่งควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าจะเห็นว่าชีวิตใน ปจั จุบันเกีย่ วข้องกบั เทคโนโลยีเปน็ อนั มาก อุปกรณ์เหล่าน้ีส่วนใหญใ่ ชร้ ะบบคอมพวิ เตอร์เป็นส่วนประกอบในการ ทางาน
2. นยิ ามเกี่ยวกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยี หมายถึง การประยุกตเ์ อาความรทู้ างด้านวทิ ยาศาสตร์มาใช้ใหเ้ กิดประโยชน์ การศึกษาพัฒนา องค์ความรูต้ ่าง ๆ เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของสง่ิ ต่าง ๆ และหาทางนามาประยกุ ต์ใหเ้ กิดประโยชน์ เทคโนโลยี หมายถึง การนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์มา ใช้ให้เป็น ประโยชน์ในการพฒั นาและปฏิบัติงานอยา่ งเป็นระบบ เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง การนาเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมมา ประยุกต์เข้าด้วยกันเพ่ือให้สิ่งต่าง ๆ มปี ระโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม เชน่ ชปิ (Chip) ทถ่ี กู สรา้ งมาจาก ทรายหรอื ซลิ กิ อนแลว้ นามาผา่ นกรรมวิธพี เิ ศษจนเป็นอุปกรณ์ทีม่ รี าคาสูงและสามารถใช้ประโยชน์ได้อยา่ งมาก จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า เทคโนโลยี หมายถึง การนาเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มา ประยกุ ตใ์ ช้เพ่อื สร้างสงิ่ ตา่ ง ๆ เพ่ืออานวยความสะดวกให้แกม่ นุษย์ ลองจนิ ตนาการวา่ ทรายที่เราเหน็ อย่บู นพืน้ ดิน ตามชายหาด ชายทะเลเป็นสารประกอบของซลิ ิคอน ทราย เหลา่ นนั้ มีราคาตา่ งและเรามองข้ามไป คร้ันมีบางคนสามารถแยกสกดั สารซลิ ิคอน ให้บริสุทธิแ์ ละเจอื สารบางอย่าง ให้เกิดเป็นสิ่งท่ีเรียกว่า สารกึ่งตัวนา นามาผลิตเป็นทรานซิสเตอร์และไอซี (Integrated Circuit : IC) ไอซีน้ีเป็น อุปกรณ์ที่รวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์จานวนมากไว้ด้วยกนั ใช้เป็นส่วนประกอบสาคัญของคอมพิวเตอร์ สารซิลิคอน ดงั กล่าวเมือ่ ผ่านกรรมวิธที างเทคโนโลยแี ล้วจะมีราคาสูง ดังน้ันเทคโนโลยีจึงเป็นหัวใจของการสร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพราะเรานาเอา วัตถุดิบมาผ่านเทคนคิ การดาเนินการจนได้วัตถุสาเร็จรูป สนิ คา้ เหลา่ น้จี ะมมี ูลค่าเพิ่มจากวัตถุดบิ น้นั มาก ประเทศท่ี มีเทคโนโลยมี ักจะเปน็ ประเทศทพี่ ฒั นาแล้ว เทคโนโลยจี งึ เป็นหนทางหนง่ึ ที่ช่วยในการพัฒนาสนิ คา้ และบริการให้มี มลู คา่ เพม่ิ ข้นึ ทุกประเทศจึงให้ความสาคญั ของการใชว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยเี ขา้ มาช่วยงานดา้ นต่างๆ สารสนเทศ หมายถงึ ขอ้ มูลทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อการดาเนนิ ชีวิตของมนษุ ย์ สารสนเทศ (Information) หมายถงึ ข้อมูลทีม่ ีสาระอยู่ในตัว สามารถสื่อความหมายให้เกิดการเข้าใจกับ ผูท้ ีต่ ้องการใช้ขอ้ มลู นัน้ และสามารถท่ีจะนาไปใช้ประโยชน์ตอ่ ไปได้ สารสนเทศ คือ ส่ิงที่ได้จากการประมวลผลข้อมูลและสามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน การวางแผน การ ตดั สนิ ใจ การคาดการณ์ในอนาคต สารสนเทศ (information) เปน็ ผลลพั ธข์ องกระบวนการและการจัดการข้อมูล โดยการรวมความรู้เข้าไป ตอ่ ผ้รู ับสารสนเทศนั้น สารสนเทศมคี วามหมายหรือแนวคิดที่กวา้ งและหลากหลาย ต้งั แต่การใชค้ าว่าสารสนเทศใน ชีวิตประจาวันจนถึงความหมายเชงิ เทคนิค
สรุป สารสนเทศ หมายถึง ผลลัพธ์ทีไ่ ด้จากการประมวลผลขอ้ มลู เป็นขอ้ มลู ท่ีมีประโยชน์ต่อองค์กรใช้ ในการตดั สนิ ใจ
มนุษย์แต่ละคนต้ังแต่เกิดมาได้เรียนรู้ส่ิงต่างๆ เป็นจานวนมาก เช่น เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่ กฎเกณฑ์และวิชาการ ลองจินตนาการดูว่าภายในสมองของเราเกบ็ ข้อมูลอะไรบ้างและสามารถเรยี กเอาข้อมลู มา ใช้ได้ ข้อมูลท่ีเก็บไว้ในสมอง เป็นส่ิงท่ีสะสมกันมาเป็นเวลานาน ความรอบรู้ของแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับการเรียกใช้ ข้อมลู นัน้ ดังนัน้ จะเหน็ ไดว้ ่าความรูเ้ กดิ จากขอ้ มลู ขา่ วสารต่างๆ ทุกวนั น้ี มขี ้อมลู อยรู่ อบตวั เรามาก ข้อมูลเหล่านม้ี า จากสือ่ เช่น วิทยุ โทรทศั น์ หนังสือพมิ พ์ อนิ เทอรเ์ นต็ หรือแม้แต่การสอื่ สารระหวา่ งบุคคล จงึ มผี ้กู ล่าวว่ายุคนี้เป็น ยุคของสารสนเทศยุคสารสนเทศทาให้เกดิ งานบริการที่อานวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน เช่นการฝาก ถอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม (Automatic Teller Machine : ATM) การจองต๋ัวดูภาพยนตร์ การลงทะเบียนเรยี น ในโรงเรียน เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หมายถึง เทคโนโลยีท่ีมีความเกี่ยวข้องกับการ เกบ็ วเิ คราะหข์ อ้ มลู และประมวลผลสารสนเทศ ทาใหส้ ารสนเทศนัน้ มีประโยชน์ และสามารถใช้งานได้หลากหลาย มากขนึ้ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Information and Communication Technologies : ICT) ก็คือ เทคโนโลยีสองด้านหลักๆ ท่ีประกอบด้วย เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมท่ีผนวกเข้าด้วยกัน เพื่อใช้ในกระบวนการจัดหา จัดเก็บ สร้าง และเผยแพร่สารสนเทศในรูปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียง ภาพ ภาพเคลื่อนไหว ข้อความหรือตวั อกั ษร และตัวเลขเพอ่ื เพม่ิ ประสิทธิภาพ ความถูกตอ้ ง ความแม่นยา และความรวดเร็วใหท้ ันต่อการนาไปใช้ประโยชน์ สรุปเทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีท่ีใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยี ท่ีเกี่ยวข้องต้ังแต่ การรวบรวม การจัดเก็บข้อมูล การประมวลผล การพิมพ์ การสร้างรายงาน การส่ือสารข้อมูล ฯลฯ เทคโนโลยี สารสนเทศจะรวมไปถึงเทคโนโลยีทที่ าใหเ้ กิดระบบการให้บริการ การใช้ และการดูแลข้อมูล เทคโนโลยีสารสนเทศ มีความหมายกวา้ งขวางมากเราจะพบไดก้ ับสิง่ รอบๆ ตวั ที่เกย่ี วกบั การใช้สารสนเทศ ดงั น้ี 2.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลเข้าสู่ระบบ ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่นพนักงานการ ไฟฟ้าบันทึกข้อมูลการใช้ไฟฟ้าลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเพื่อให้เครื่องอ่านเก็บรวบรวมข้อมูลได้ ห้างสรรพสินค้าใช้รหสั แท่ง (bar code) ตรวจสนิ คา้ เพอื่ อ่านข้อมูลการซื้อสินค้าท่บี รรจใุ นรหัสแทง่ 2.2 การประมวลผล ข้อมูลที่เก็บมาได้มักจะเก็บในสื่อต่าง ๆ เช่น แผ่นบันทึก แผ่นซีดี หรือเทป เป็นต้น ข้อมูลเหล่าน้ีจะถูกนามาประมวลผลตามต้องการ เช่น แยกแยะข้อมูลเป็นกลุ่ม เรียงลาดับข้อมูล คานวณ หรือ จดั การคัดแยกข้อมลู ที่จัดเกบ็ นัน้ 2.3 การแสดงผลลพั ธ์ คือ การนาผลจากการประมวลผลที่ได้มาแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบต่าง ๆ อุปกรณ์ที่ ใช้เทคโนโลยีในการแสดงผลลัพธ์มีมาก สามารถแสดงเป็นตัวหนังสือเป็นรปู ภาพ ตลอดจนพิมพอ์ อกมาท่ีกระดาษ การแสดงผลลพั ธม์ ีท้งั ทีแ่ สดงเปน็ ภาพ เปน็ เสยี ง เปน็ วีดที ัศน์
2.4 การทาสาเนาเป็นการทาสาเนาข้อมูลหรือสารสนเทศท่ีจัดเก็บไว้ในสื่ออิเลคทรอนิกส์ชนิดต่างๆ ให้มี หลายชุดเพ่ือสะดวกต่อการเกบ็ รกั ษา และการนาไปใช้อุปกรณ์ที่ใช้ทาสาเนา เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร แผ่นบนั ทึก ฮาร์ดดิสก์ หรือ CD-ROM รูปท่ี 1.2 การทาสาเนา (ทมี่ า: สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี) 2.5 การส่ือสารโทรคมนาคม เป็นวิธีการที่ส่งข้อมูลข่าวสารจากท่ีหนึ่งไปยังอีกท่ีหนึง่ ปัจจุบันมีอุปกรณ์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคมหลายประเภท ตั้งแต่โทรเลข โทรศัพท์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในรปู แบบของส่ือเชน่ เส้นใยนาแสง เคเบิลใตน้ า้ คลื่นวทิ ยุ ไมโครเวฟ และดาวเทียม
รปู ท่ี 1.3 การสื่อสารโทรคมนาคม (ทมี่ า: สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย)ี 3. ลกั ษณะสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยพ้ืนฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าทาให้วิถี ความเป็นอยู่ของสังคมเปล่ียนไป มีผลกระทบต่อทุกส่ิงทุกอย่างท้ังการดาเนินชีวิต เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การศกึ ษา ลกั ษณะเดน่ ทีส่ าคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศมี ดงั นี้ 3.1 เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพ่ิมประสิทธิภาพในการทางาน การประกอบการทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม จาเป็นต้องหาวิธีในการเพ่ิมผลผลิต ลดต้นทุน เพิ่ม ประสิทธิภาพในการทางาน มีข้อมูลที่ถูกต้อง เพ่ือการดาเนินการและตัดสินใจ คอมพิวเตอร์และระบบส่ือสารเขา้ มาชว่ ยทาให้เกดิ ระบบอัตโนมัติ ทาให้การทางานมีความรวดเรว็ ถกู ต้อง และแม่นยา เชน่ การฝากถอนเงนิ สดผ่าน เคร่อื งเอทเี อม็ ระบบจดั เก็บเงนิ สด จองตั๋วเคร่ืองบิน เปน็ ตน้ รปู ที่ 1.4 ความสาคญั ของเทคโนโลยี (ท่ีมา : http://203.154.140.4/ebook/files/lesson1_1.htm)
3.2 เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย เมอื่ มกี ารพฒั นาระบบเก็บและใช้ ขอ้ มูลทาใหม้ ีการบริการตา่ ง ๆ อยู่ใน 3.3 เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นส่ิงท่ีจาเป็นสาหรับการดาเนินการในหน่วยงานต่างๆ ปัจจุบันทุก หน่วยงานเห็นความสาคัญในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาระบบรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเพ่ือใช้ องค์กร เชน่ มีการจดั ทาระบบทะเบยี นราษฎร์ดว้ ยระบบคอมพวิ เตอร์ ระบบเวชระเบยี นในโรงพยาบาล ระบบการ จัดเกบ็ ข้อมูลภาษี 3. ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศ การกาเนดิ ของคอมพิวเตอร์ เป็นก้าวสาคัญท่นี าไปสู่ยุคสารสนเทศ ในชว่ งแรกมกี ารนาเอาคอมพวิ เตอร์มา ใช้เปน็ เครอ่ื งคานวณแต่ต่อมาไดม้ ีความพยายามพฒั นาให้คอมพวิ เตอร์เปน็ อุปกรณ์สาคญั สาหรบั การจัดการข้อมูล เม่ือเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้ก้าวหน้ามากขึ้นทาให้สามารถสร้างคอมพวิ เตอรท์ ี่มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพ สูงข้ึน สภาพการใช้งานจึงใช้งานกันอย่างแพรห่ ลาย ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อชีวิตความเปน็ อยู่ และสงั คมมีมาก มกี ารเรยี นรูแ้ ละใชส้ ารสนเทศกันอยา่ งกวา้ งขวาง ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศมีดังนี้
4.1 ผลกระทบทางบวกของเทคโนโลยีสารสนเทศ 1) การสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยทาให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ดีข้ึน ช่วยส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพในการทางาน มีเคร่ืองมือส่ือสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ทาให้ติดต่อถึงกันได้สะดวก มีระบบคมนาคมขนส่งท่ีรวดเร็ว มีการนาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับเครือ่ งอานวยความสะดวกภายในบ้าน เช่น ใชค้ วบคุมเคร่ืองปรับอากาศ เครอื่ งซกั ผ้า ใช้ควบคุมระบบไฟฟา้ ภายในบ้าน การใช้จา่ ยผ่านบตั รเครดิต 2) เสริมสร้างความเท่าเทียมในสังคมและการกระจายโอกาส เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดการ กระจายไปทวั่ ทุกหนแหง่ แมแ้ ต่ถน่ิ ทรุ กันดารทาใหม้ กี ารกระจายโอกาสการเรียนรู้ มีการใชร้ ะบบการเรยี นการสอน ทางไกล การกระจายการเรียนรู้ไปยังถิ่นห่างไกล 3) การเรียนการสอนในโรงเรียน การเรียนการสอนในโรงเรียน มีการนาคอมพิวเตอร์และเครื่องมือ ประกอบช่วยในการเรียนรู้ เช่น วีดีทัศน์ เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการศึกษา จัดตารางสอน คานวณระดับคะแนน จัดชั้นเรียนทารายงานปัจจุบันมีการเรียนการสอนทางด้านเทคโนโลยี สารสนเทศในโรงเรียนมากขึ้น 4) เทคโนโลยีสารสนเทศกับส่ิงแวดล้อม การจัดการทรัพยากรธรรมชาติหลายอย่างจาเป็นต้องใช้ สารสนเทศ เช่น การดูแลรักษาป่า การใช้ภาพถ่ายดาวเทียมติดตามข้อมูลสภาพอากาศ การพยากรณ์อากาศ การจาลองรูปแบบสภาวะสิ่งแวดล้อมเพื่อปรับปรุงแก้ไข การเก็บรวมรวมข้อมูลคุณภาพน้าในแม่น้าต่าง ๆ การ ตรวจวดั มลภาวะ เปน็ ต้น 5) เทคโนโลยีสารสนเทศกับการป้องกันประเทศ กิจการทางด้านการทหารมีการใช้เทคโนโลยีอาวุธ ยทุ โธปกรณส์ มัยใหม่ล้วนแต่เก่ยี วขอ้ งกับคอมพิวเตอร์ เชน่ ระบบควบคุม มกี ารใช้ระบบป้องกันภัย ระบบเฝา้ ระวัง ทีม่ คี อมพวิ เตอรค์ วบคมุ การทางาน 6) การผลติ ในอุตสาหกรรม และการพาณชิ ยกรรม การใช้เทคโนโลยีเป็นเรอื่ งที่ จาเป็นต่ออตุ สาหกรรม กิจการค้า ธุรกิจต่างๆ การแข่งขันทางด้านการผลิตในอุตสาหกรรมจาเป็นต้องหาวิธีการในการผลิตให้ได้สินค้า จานวนมาก ราคาถกู มีคณุ ภาพมาตรฐาน การผลิตในปัจจุบันจงึ ใช้เครอ่ื งจักรทางานอย่างอัตโนมัติ สามารถทางาน ได้ตลอดยี่สิบส่ีช่ัวโมง สินค้าท่ีได้มีคุณภาพและปริมาณพอเพียงกับความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบันมีความ พยายามท่ีจะสร้างหุ่นยนต์เข้าม าช่วย ในอุตสาหกรรมก ารผลิตอุ ตสาห กรรมโดยรว มจา เป็น ต้องอาศั ย ก าร แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันมีการใช้ข้อมูลข่าวสารเพ่ือการบริหารจัดการ การดาเนินการ และการให้บริการกับ ลูกคา้ เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมผี ลตอ่ การผลติ มาก 7) ช่วยส่งเสริมให้เกิดการค้นคว้าวิจัยส่ิงใหม่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบส่ือสาร ช่วยให้งาน คน้ คว้าวจิ ัยมคี วามก้าวหน้า เช่น งานสารวจทางด้านอวกาศ งานพัฒนาคดิ คน้ ผลติ ภัณฑ์และสารเคมตี ่างๆ ทาให้ได้ สตู รยารักษาโรคใหม่ๆ เกดิ ข้ึนมากมาย ปัจจุบนั งานคน้ คว้าวิจยั จาเปน็ ตอ้ งใช้คอมพวิ เตอรช์ ่วยในการคานวณตา่ ง ๆ
การจาลองรูปแบบของส่ิงท่ีมองไม่เห็นตัวและค้นหาข้อมูลท่ีแพรก่ ระจายอยทู่ ่ัวโลก ทาให้งานวิจัยมีความก้าวหนา้ ยิ่งข้ึน เพราะเทคโนโลยีเขา้ ไปมสี ่วนเกี่ยวขอ้ งอยา่ งมาก 8) ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ท่ีเก่ียวกับเทคโนโลยี สารสนเทศ ทาให้กิจการทางด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้าเครื่องมือเครื่องใช้ทางการแพทย์ล้วนแล้วแต่ใช้ คอมพวิ เตอร์เปน็ การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เช่น ระบบการรกั ษาพยาบาลจากทห่ี า่ งไกล คนไข้อยู่ ที่จังหวัดชายแดนและขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง แพทย์ผู้ทาการรักษาสามารถส่งคาถามมาปรึกษาหารือกับ แพทย์ผู้ชานาญการเฉพาะได้นอกจากน้ียังมีการพัฒนาเคร่ืองมือช่วยคนพกิ ารต่างๆ เช่น การสร้างแขนเทียม ขา เทียม การสร้างเครือ่ งกระตุ้นหัวใจสร้างเคร่ืองช่วยฟงั เสียง หรือมีการพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกถ่ายอวยั วะสาคัญ ต่างๆ รวมทง้ั การผลติ ยา และวคั ซีนสมัยใหมท่ ใ่ี ช้เทคโนโลยขี ้นั สูงเขา้ ชว่ ยดว้ ย 9) ช่วยส่งเสริมสติปัญญาของมนุษย์ คอมพิวเตอร์มีจุดเด่นที่ทาให้การทางานต่างๆ ทางานได้รวดเร็ว และมีความแม่นยา สามารถเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้ได้มาก การแก้ปัญหาที่ซับซ้อนบางอย่างกระทาได้ดีและรวดเร็ว การนาคอมพิวเตอรม์ าจาลองเหตุการณ์ต่างๆ เพ่ือให้มนุษยห์ าทางศึกษาหรอื แก้ไขปัญหา เช่น การจาลองสภาวะ ของสงิ่ แวดลอ้ ม การจาลองระบบมลภาวะ จาลองการไหลของเหลวการควบคุมระบบจราจร หรือแม้แต่การนาเอา คอมพิวเตอร์มาจาลองในสภาพที่เหมือนจริง เช่นจาลองการเดินเรือ จาลองการขับเคร่ืองบิน การขับรถยนต์ สิ่ง ต่างๆ เหลา่ น้ีทาใหเ้ หมอื น จริงได้ คอมพวิ เตอรจ์ ึงเป็นเครอ่ื งมือท่ชี ่วยในการเรยี นรู้ของมนษุ ยไ์ ด้ดี ปจั จบุ ันมีการนา บทเรียนมาไว้ในคอมพิวเตอร์ และให้เรียนรู้ผ่านคอมพิวเตอร์ ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) นอกจากนี้คอมพิวเตอร์ยังเป็นเคร่ืองมือท่ีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาเช่ือมโยง ตดิ ต่อกันทางอินเทอรเ์ นต็ สามารถเรยี กคน้ ขอ้ มูลขา่ วสารทางเครอื ขา่ ยสามารถเรยี นรกู้ ารใชค้ อมพวิ เตอรห์ รือเรียน จากท่ีห่างไกลได้ คอมพิวเตอร์จึงมีบทบาทที่ทาใหม้ นุษยไ์ ดร้ ับข่าวสารมากขนึ้ กว่าเดิม และเปน็ หนทางที่ทาให้เกิด สตปิ ญั ญาอย่างแทจ้ รงิ 10) ช่วยใหเ้ กดิ ความเข้าใจอนั ดรี ะหวา่ งกัน การส่ือสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ช่วยยอ่ โลกให้เลก็ ลง โลกมี สภาพไรพ้ รมแดน มีการเรยี นรวู้ ฒั นธรรมซง่ึ กนั และกนั มากข้นึ เกดิ ความเขา้ ใจซึ่งกนั และกนั ได้ดที าให้ลดปัญหาใน เรื่องความขดั แยง้ สังคมไรพ้ รมแดนทาให้มคี วามเป็นอยู่แบบรวมกล่มุ ประเทศมากขึน้ 11) ช่วยส่งเสริมประชาธิปไตย ในการเลือกต้ังสมาชิกผู้แทนราษฎรทุกคร้ัง มีการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศเพื่อกระจายข่าวสาร เพอ่ื ใหป้ ระชาชนไดเ้ ห็นความสาคญั ของระบบประชาธปิ ไตย แมแ้ ต่การเลือกตงั้ ก็มี การใช้คอมพิวเตอร์รวมผลคะแนน ใชส้ อ่ื โทรทัศน์ วทิ ยุ แจ้งผลการนบั คะแนนทีท่ าให้ทราบผลได้อยา่ งรวดเรว็ 4.2 ผลกระทบทางลบของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 1) ทาให้เกิดอาชญากรรม เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนามาใช้ในการก่อให้เกิดอาชญากรรมได้ โจร ผู้ร้ายใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการวางแผนการปล้นวางแผนการโจรกรรม มีการลักลอบใช้ข้อมลู ข่าวสาร มีการ โจรกรรมหรือแก้ไขตัวเลขบัญชีด้วยคอมพิวเตอร์ การลอบเข้าไปแก้ไขข้อมูลอาจทาให้เกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น
การแก้ไขระดบั คะแนนของนักศึกษา การแกไ้ ขข้อมลู ในโรงพยาบาลเพ่ือให้การรกั ษาพยาบาลคนไข้ผดิ ซ่งึ เปน็ การ ทาร้ายหรอื ฆาตกรรม 2) ทาให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์เส่ือมถอย การใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่ือสารทาให้สามารถ ติดต่อส่ือสารกันได้โดยไม่ต้องเห็นตัว การใช้งานคอมพิวเตอร์หรือแม้แต่การเล่นเกมมีลักษณะการใช้งานเพยี งคน เดียว ทาใหค้ วามสมั พันธ์กับผูอ้ ่นื ลดน้อยลง ผลกระทบนีท้ าให้มีความเช่อื ว่า มนษุ ย์สัมพนั ธ์ของบคุ คลจะลดนอ้ ยลง สงั คมใหมจ่ ะเปน็ สงั คมทไ่ี มต่ ้องพง่ึ พากนั มาก 3) ทาให้เกิดความวิตกกังวล เป็นผลกระทบทางด้านจติ ใจของกลมุ่ บุคคลบางกลุ่มทม่ี ีความวิตกกงั วลว่า คอมพิวเตอรอ์ าจทาให้เกิดการจ้างงานนอ้ ยลงมีการนาเอาหุ่นยนต์มาใช้ในงานมากขึ้น มีระบบการผลิตทอ่ี ัตโนมัติ มากข้ึน ทาให้ผู้ใช้แรงงานอาจตกงาน หรือหน่วยงานอาจเลิกว่าจ้างได้แต่ถ้าบุคคลน้ันมีการปรับตัวให้เข้ากับ เทคโนโลยี หรอื มกี ารพัฒนาใหม้ ีความรูค้ วามสามารถสูงขึน้ แล้วปญั หานจ้ี ะไมเ่ กดิ ขึน้ 4) ทาให้เกิดความเสี่ยงภัยทางด้านธุรกิจ ธุรกิจในปัจจุบันจาเป็นต้องพ่งึ พาอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศ มากข้ึน ข้อมูลข่าวสารท้ังหมดของธุรกิจฝากไว้ในศูนย์ข้อมูล หากเกิดการสูญหายของข้อมูล อันเน่ืองมาจากเหตุ อุบัติภัย เช่น ไฟไหม้ น้าท่วม หรือด้วยสาเหตุใดก็ตามทาให้ข้อมูลหายหมด ย่อมทาให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจ โดยตรง 5) ทาให้การพัฒนาอาวุธมีอานาจทาลายสูงมาก ประเทศที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยี สามารถนาเอา เทคโนโลยีไปใช้ในการสร้างอาวุธท่ีมีอานุภาพการทาลายสูง ทาให้เสี่ยงต่อการเกิดสงครามที่มีอานาจการทาลาย ล้างสงู เกิดขึน้ เช่น ระเบดิ ปรมาณใู นสงครามโลก ครงั้ ท่ี 2 6) ทาให้เกิดการแพร่วัฒนธรรมและกระจายข่าวสารที่ไม่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว คอมพิวเตอร์เป็น อุปกรณ์ที่ทางานตามคาสั่งอย่างเคร่งครัด การนามาใช้ในทางใดจึงข้ึนอยู่กับผู้ใช้ จริยธรรมการใช้คอมพวิ เตอร์ซ่ึง เป็นเร่ืองสาคัญ เช่น การใช้อินเทอร์เน็ต จะมีผู้สร้างข้อมูลข่าวสารในเรื่องภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น ภาพอนาจาร หรือภาพท่ีทาให้ผู้อนื่ เสียหายทาให้ผู้ใช้ได้รับส่งิ ที่ไม่เหมาะสม และเปน็ เหตุให้มปี ัญหาตา่ ง ๆ ตามมา 7) ทาให้ข้อมูลหรือโปรแกรมถูกทาลายได้ง่าย เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้ข้อมูลถูกทาลายได้ง่าย อาจ ถูกทาลายด้วยไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่สามารถแพร่ไปยังระบบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ ได้โดยผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ไวรัสคอมพิวเตอร์บางชนิดทาลายโปรแกรมหรือข้อมูลต่าง ๆ บางชนิดทาให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ทางานช้าลง เยาวชนจึงควรมจี ิตสานึกทีด่ ี ไมท่ าลายขอ้ มลู ผู้อ่ืนซึง่ ทาใหเ้ กดิ ความเสียหายได้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ใบงาน หัวข้อยอ่ ยท่ี 3.1 ทกั ษะการสอ่ื สารเพ่อื การนิเทศ ใบงานท่ี 3.2/1 เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการนเิ ทศ สรุปปญั หาและแลกเปลย่ี นในการเดินทางไปนเิ ทศ คาช้ีแจง 1. ใหค้ รนู ิเทศ จับคู่ทากิจกรรม 2. ให้ท่านชว่ ยเสนอความคิดเห็นจากคาถามดงั ต่อไปนี้“ในฐานะที่ทา่ นเปน็ ครนู ิเทศ ทา่ นมีปัญหาใดบา้ งใน การเดนิ ทางไปนิเทศ” 3. สรปุ รว่ มกันในกล่มุ ใหญ่ ให้ท่านชว่ ยเสนอความคิดเหน็ จากคาถามดังต่อไปน้ี ในฐานะทท่ี ่านเป็นครนู เิ ทศ“ท่านคิดว่าทา่ นมีปัญหาอะไรในการเดนิ ทางไปนิเทศ ท่ีสถานประกอบการ บ้าง” ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบงาน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ทักษะการสื่อสารเพื่อการนเิ ทศ หวั ขอ้ ย่อยท่ี 3.1 เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การนิเทศ ใบงานท่ี 3.2/2 แลกเปลีย่ นเรียนรู้ประสบการณ์การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การนิเทศ คาชี้แจง 1. แบ่งกลุม่ สมาชกิ กลุ่มละ 4 คน 2. ใหส้ มาชกิ แลกเปลย่ี นเรยี นรปู้ ระสบการณก์ ารใช้ Facebook ให้ตอบคาถามดังน้ี “ท่านคิดวา่ คุณลกั ษณะ (features) ใดใน Facebook สามารถนามาใช้ในการนิเทศ การฝกึ อาชีพในสถานประกอบการได้” 3. ตวั แทนกลุ่มนาเสนอ 4. สรปุ ขอ้ มลู รว่ มกัน ใหส้ มาชกิ แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ประสบการณก์ ารใช้ face book ใหต้ อบคาถามดังน้ี “ท่านคดิ ว่าคุณลักษณะ (features) ใดใน face book สามารถนามาใช้ในการนิเทศการฝกึ อาชีพในสถาน ประกอบการได้” ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ใบงาน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 ทักษะการส่ือสารเพอื่ การนเิ ทศ หัวข้อยอ่ ยท่ี 3.1 เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการนิเทศ ใบงานท่ี 3.2/3 สรุปและวเิ คราะหก์ ารใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่อื การนเิ ทศ คาช้แี จง 1. แบ่งกลมุ่ สมาชกิ กลุ่มละ 4 คน 2. เขยี นข้อมลู จากการใช้คณุ ลกั ษณะ (features) ใน Facebook ในการนเิ ทศการฝกึ อาชีพในสถาน ประกอบการใน 1 ภาคเรยี น 3. ตัวแทนนาเสนองาน 4. สรุปข้อมลู ในกล่มุ ใหญ่ เขยี นขอ้ มลู จากการใชค้ ุณลักษณะ (features) ใน Facebook ในการนเิ ทศการฝึกอาชพี ในสถาน ประกอบการใน 1 ภาคเรยี น ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………..…… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
Search
Read the Text Version
- 1 - 40
Pages: