Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ภูมิปัญญาท้องถิ่น

Published by sirinanprasarnkarn, 2018-12-12 03:46:55

Description: ภูมิปัญญาท้องถิ่น เมืองพังงา

Search

Read the Text Version

1 บทท่ี 1 บทนาํเหตุผลและความจาํ เปน หอ งสมดุ ประชาชนจงั หวัดพังงา ตงั้ อยใู นบริเวณ ศาลากลางจังหวดั พงั งา ถนนเพชรเกษมตําบลทา ยชา ง อาํ เภอเมือง จังหวัดพังงา เปดใหบ ริการประชาชนมานาน โดยเริม่ เปดใหบรกิ ารแกประชาชนมาตง้ั แต ป 2516 เปนตน มา หองสมุดประชาชนจงั หวัดพงั งา ไดพฒั นาอยา งตอเน่อื ง โดยไดร บั งบประมาณสนับสนุนจากกรมการศกึ ษานอกโรงเรยี นเปนรายป สาํ หรบั จดั ซือ้ หนังสือ วารสาร และสอ่ื ประเภทตาง ๆ ไวจดั บรกิ ารแกประชาชนไดมาศกึ ษาคน ควา ตามมุมตาง ๆ เชน มมุ เด็ก/เยาวชน มุมหนงั สอื พิมพ/วารสาร มุมหนังสือทั่วไป มมุ หนงั สอื อางอิง มมุ กศน. มมุ ขอ มลู ทอ งถ่ินฯลฯ ถงึ แมห อ งสมดุ ประชาชนจังหวดั พังงาจะมกี ารพฒั นาตอเน่ือง แตภ าพลักษณก ไ็ มเ ปล่ยี นแปลงไปจากอดีตมากนกั คอื ยังเปนสถานท่เี ก็บหนงั สือเกาลา สมัย ชั้นหนังสอื เบยี ดแนน รวมทง้ั ความเกา แกของตัวอาคาร ซึ่งอาจเน่ืองมาจากขอ จํากดั ของงบประมาณท่ีไดร บั มีไมเพยี งพอ ป พ.ศ.2548 รฐั บาลมนี โยบายพฒั นาสังคมไทยใหเปนสงั คมแหงการเรยี นรู โดยมงุ เนนใหบ คุ คลไดแ สวงหาความรูจากแหลง การเรียนรูตาง ๆ ดังนนั้ การพฒั นาหองสมดุ ประชาชนใหมคี วามพรอมจงึ เปนนโยบายอนั สําคัญของกระทรวงศึกษาธกิ าร ดวยการพลิกโฉมหอ งสมุดใหม ีบรรยากาศ รมร่ืน สะอาดสวยงาม รปู แบบการบริการท่ีหลากหลาย การสรางหอ งสมุดใหม ีชวี ิตชีวาเปนภารกิจท่ที ีมงานของหอ งสมดุ ประชาชนจังหวัดพังงาต้ังเปาไวเชนเดยี วกนั ทง้ั นีเ้ พื่อทจ่ี ะใหหองสมุดประชาชนเปน แหลง การเรยี นรูตลอดชีวิต ตามพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหงชาติ 2542 และท่แี กไ ขเพม่ิ เติม (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ.2545 มาตรา 25 ระบวุ า รัฐตองสงเสริมการดาํ เนินงานและการจดั ตั้งแหลงการเรยี นรตู ลอดชีวติ ทุกรูปแบบไดแ ก หอ งสมุดประชาชน พิพธิ ภัณฑ หอศลิ ป สวนสตั ว สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร อุทยานวทิ ยาศาสตร และเทคโนโลยี ศนู ยการกฬี าและนนั ทนาการ แหลงขอ มลู และแหลง เรยี นรอู ยางพอเพียงและมปี ระสิทธิภาพ ป 2550 หอ งสมุดประชาชนจงั หวดั พังงา ไดรบั การคดั เลือกเปนหองสมุดมชี วี ิต รุนท่ี 2 ป 2550จาก กศน. หน่งึ ในหาสิบแหงทวั่ ประเทศ ความหมายของหอ งสมดุ มชี ีวติ คือ หองสมดุ ทมี่ ีระบบบรหิ ารจัดการทรัพยากรสารสนเทศใหทันสมยั ครบถวนตรงตามความตอ งการของผใู ชบรกิ าร เพอื่ สรางสงั คมแหงการเรียนรแู ละสรางนสิ ัยรัก

2การอานอยางย่งั ยนื สาํ หรบั บุคคลทกุ เพศทุกวยั ดว ยบรรยากาศที่มีชีวติ ชีวา มีการใชเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมในการเรียนรู สามารถเขา ถึงสารสนเทศไดอ ยา งรวดเร็ว มบี รกิ ารและกจิ กรรมสง เสริมการอา นและการเรียนรูอยา งตอเนื่อง หองสมุดประชาชนจงั หวัดพงั งา ไดดาํ เนนิ การวธิ กี ารใหม ๆ เพอื่ ท่ีจะทําใหหอ งสมดุ เปนหอ งสมุดทม่ี ชี ีวิต โดยใชว ธิ กี ารใหม ๆ ซงึ่ วิธกี ารหนงึ่ ที่ไดใช คือการรวบรวมภมู ิปญญาทองถิน่ เมอื งพงั งา ท้งั ในรปู แบบเอกสารส่ิงพิมพและจัดทาํ เปนหนังสืออิเล็กทรอนิกส (e-Book) ภมู ิปญ ญาทอ งถน่ิ เมอื งพงั งา จดั ไวใหบ รกิ ารแกผูใชบ รกิ ารหองสมดุ ท้งั นี้เพ่ือใหสามารถตอบสนองความตองการการเรียนรูข องประชาชนนสิ ติ นกั ศึกษา ในพื้นท่ีและนกั ทองเท่ยี วจากตา งทองถ่ินไดอ ยา งมีประสิทธภิ าพ เนื่องจากมผี ไู ปใชบริการบริการคน ควา ขอ มูลทองถิน่ ที่หองสมุดประชาชนจังหวัดพงั งาเปน จํานวนมากและมีอยูตอเน่ือง และเพอ่ืสอดคลอ งกับพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง ชาติ พ.ศ. 2542 และทีแ่ กไ ขเพมิ่ เติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2545มาตรา 23 ขอ (3) ใหความรูเกยี่ วกับ ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมไทย การกีฬา และการประยกุ ตใชภ ูมิปญ ญาไทย ในฐานะทหี่ อ งสมุดเปนแหลง เรยี นรูตลอดชีวิต จําเปนตอ งรวบรวม ใหบ ริการและอนุรกั ษภ มู ิปญญาไทย ภมู ปิ ญ ญาทองถ่นิ และวัฒนธรรมไทย โดยไดจดั แยกมมุ ไวต า งหาก ทาํ ใหเกิดการเปลยี่ นแปลงของหองสมุดดานทรพั ยากรสารสนเทศ ซ่งึ ตองประกอบดว ยส่ือสารสนเทศท่หี ลากหลาย ทันสมยั มจี ํานวนเพยี งพอและมีเนื้อหาเพียงพอวตั ถปุ ระสงค 1. เพอ่ื เพิม่ ปริมาณสอื่ ท่มี ีเนื้อหาและขอมลู เก่ยี วกับทอ งถิ่นจงั หวัดพังงา โดยเฉพาะดานภมู ปิ ญญาทองถนิ่ ใหเ พยี งพอสําหรับผใู ชบรกิ าร 2. เพอ่ื รวบรวมองคค วามรูของภมู ิปญ ญาทองถ่นิ ในดา นตาง ๆ ใหแกอนชุ นรนุ หลงั ไดเห็นคณุ คาของภมู ปิ ญ ญาทองถน่ิ และจะไดร วมกนั อนุรกั ษ สืบสาน นําไปใช และถายทอดตอไปชั่วกาลนาน 3. การรวบรวมองคความรูของภมู ิปญญาทองถิน่ เมืองพังงาโดยการจัดทาํ เปนหนงั สืออิเล็กทรอนิกส (e-Book) เปนการเพิม่ ทางเลอื กทห่ี ลากหลายในการเขาถงึ ขอมลู ของผูใชบริการ

3ผลสาํ เรจ็ ของงาน เชิงปริมาณ 1.จากการทีห่ อ งสมุดประชาชนจงั หวัดพังงา ไดรวบรวมภูมปิ ญ ญาทองถิ่นเมืองพงั งา และนาํ เสนอในรูปแบบหนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส (e-Book) ภมู ิปญ ญาทองถิ่นเมืองพงั งา ทําใหห อ งสมุดมสี ือ่ ท่ีใหความรเู ก่ียวกบั ภมู ปิ ญญาทองถิน่ เมืองพงั งา ในดา นตา ง ๆ จาก 12 ตาํ บล โดยมีขอมูล ภาพประกอบ และวิธีการใชห นงั สอื อิเล็กทรอนิกส (e-Book) จากโปรแกรม Flip Album เพื่อใชในการศกึ ษาคนควาอางอิงจํานวน 1 เลม เชิงคุณภาพ 1. หองสมุดประชาชนจงั หวัดพงั งา มีผลงานทเี่ กิดจากผลผลิตเกยี่ วขอ งกับทอ งถนิ่ ของตนเอง 2. หอ งสมุดประชาชนจงั หวัดพงั งา มสี อ่ื ที่ทนั สมัยหลากหลายรปู แบบเปน การจูงใจใหมีผูเขามาใชบรกิ ารในหองสมดุ มากขน้ึ 3. เยาวชนและประชาชนท่วั ไปไดร บั ความรูเกีย่ วกบั ทอ งถิ่นของตนเองและสามารถนาํภมู ิปญ ญาตา ง ๆ ไปพัฒนาอาชพี และวิถชี ีวติ ความเปน อยูของตนเอง 4. การตอบสนองที่รวดเร็วของหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส (e-Book) ทใี่ หสีสัน ภาพและเสียงทาํ ใหเ กดิ ความตื่นเตนและไมเบอื่ หนา ย

4 บทที่ 2ความหมายของภูมปิ ญ ญาทอ งถ่นิ ภูมิปญญาทองถิ่น หรือ ภมู ปิ ญญาชาวบาน หมายถงึ ความรขู องชาวบานในทอ งถิ่น ซง่ึ ไดมาจากประสบการณแ ละความเฉลยี วฉลาดของชาวบา น รวมทง้ั ความรทู ่สี ัง่ สมมาแตบ รรพบรุ ุษสบื ทอดจากคนรนุ หนึ่งไปสคู นอีกรุนหนง่ึ ระหวา งการสบื ทอดมีการปรับประยุกตและเปลยี่ นแปลงจนอาจเกดิ เปนความรูใหมต ามสภาพทางสังคมวัฒนธรรมและส่งิ แวดลอม ภมู ิปญ ญาชาวบา น หมายถงึ \"พ้ืนความรูความสามารถ\" ภูมิปญ ญาทองถน่ิ หมายถงึ ความรูความสามารถของประชาชนในทองถน่ิ ทไี่ ดร ับการถายทอดเปนมรดกมาจากบรรพบุรษุ ซ่ึงมีทงั้ ความรู ความสามารถและประสบการณ ตา ง ๆ*** สรุป ภูมปิ ญ ญา หรอื ภูมิปญญาชาวบาน หรอื ภมู ิปญ ญาทองถ่ิน หมายถึง ความรูค วามสามารถของชาวบานในทองถ่ิน ซงึ่ ไดมาจากความรคู วามสามารถและประสบการณท คี่ ดิ ประดิษฐหรือสรา งสรรคส ่ิงใดสิ่งหนึ่งข้ึนแลวมีการสั่งสม หรอื พัฒนาใหดีขนึ้ สืบทอดจากคนรุนหนง่ึ ไปสคู นอีกรนุ หนง่ึ ในระหวา งการสืบทอดมกี ารปรับ ประยกุ ตและเปลี่ยนแปลงจนอาจเกดิ เปนความรใู หม ๆประเภทของภูมปิ ญ ญาทอ งถ่นิ 1. ภูมิปญญาดา นอาหารและโภชนาการ 2. ภูมิปญญาดา นศาสนา ประเพณี และพิธกี รรม 3. ภูมิปญ ญาดานการเกษตรและการทํามาหากิน 4. ภูมิปญ ญาดา นภาษาและวรรณกรรม 5. ภมู ิปญญาดานศิลปหัตถกรรม 6. ภูมปิ ญญาดานศิลปะการแสดงและดนตรี 7. ภูมิปญญาดานธุรกิจและสวัสดกิ ารชมุ ชน 8. ภูมปิ ญ ญาดา นประวตั ิศาสตรและโบราณคดี 9. ภมู ปิ ญญาดานการกฬี าและการละเลน พนื้ บาน 10. ภูมิปญญาดานการจัดกระบวนการเรยี นรู 11. ภมู ปิ ญญาดา นกจิ กรรมเยาวชน 12. ภูมปิ ญญาดา นสิง่ แวดลอม 13. ภมู ิปญ ญาดานการแพทยแผนไทยและสมุนไพร

5ความสาํ คญั ของภมู ปิ ญ ญาทองถน่ิ ภูมิปญญามปี ระโยชนในฐานะที่เปนความรูดง้ั เดมิ ซง่ึ ถกู คนพบทดลองใชดดั แปลงถา ยทอดกันมาดวยเวลานาน จงึ เปนสิง่ ที่มคี ุณคา ย่งิ ในสงั คมสามารถสรปุ ไดด ังนี้ ดา นการศกึ ษา 1. เปน แหลง ความรใู นแหลงวิทยาการทั้งปวงเพือ่ ใหอยดู ีกินดีเชน ความรูเกีย่ วกบัสมนุ ไพร 2. ใชในการศึกษาระดับความเจริญของมนษุ ยป ระวัตศิ าสตรโบราณคดแี ละความสมั พนั ธทเ่ี ก่ียวของกบั วิชาอ่ืนๆ 3. เปน เครือ่ งส่งั สอนใหมนษุ ยอยูในกรอบอนั เหมาะสมและดีงาม 4. ทาํ ใหเ กิดความซาบซ้ึงเกิดสุนทรียะเพื่อสนองความตองการทางจติ ใจ 5. ทาํ ใหเกดิ รอยตอและเครือขายแหง การเรียนรู ดานสังคม 1. ทาํ ใหเ กดิ ความรกั ความหวงแหน ชืน่ ชมและภมู ิใจในมรดกทางปญญาและวัฒนธรรมทส่ี ังคม สบื สานกนั มาในอดตี 2. ทาํ ใหมีชีวิตอยูรวมกับผูอื่นดวยความสุขโดยปรับตัวใหเ หมาะสมกบั ทอ งถ่นิ 3. เพื่อใหเกดิ ความรวมมือ ความสามัคคี เปนนํ้าหน่งึ ใจเดียวกันทีจ่ ะชว ยสืบสานภูมิปญ ญา ดานเศรษฐกิจ 1. ทาํ ใหมองเห็นชองทางและเกดิ อาชพี ทจี่ ะเลย้ี งตนเองและครอบครวั 2. ทาํ ใหเ กิดผลผลติ เพิ่มพนู รายไดและการมงี านทําของคนในทอ งถ่ิน 3. ทําใหเ กดิ การประหยดั เงนิ ตรา ไมตองไปซ้ือหามาจากทีอ่ น่ื

6 บทท่ี 3 การดําเนินงาน 1. ศกึ ษาความตองการของผใู ชบรกิ ารในจงั หวัดพงั งา โดย สํารวจโดยใชแบบสอบถามความตองการส่ือเกี่ยวกับความรูดานทองถน่ิ และรวบรวมความตอ งการของผใู ชบริการทีต่ องการขอ มลู ภูมิปญญาทองถ่ินเพ่ือใชเ ปนขอมลู ในการอางอิง จากน้ันนําขอมูลทไ่ี ดจากการสาํ รวจมาวิเคราะห 2. วางแผนการดําเนินการ โดยการเสาะหา รวบรวม ขอ มลู จากแหลง ตา ง ๆ เพ่อื จดั ทําหนงั สอือิเล็กทรอนิกส (e-Book) ภูมิปญญาทองถ่ินเมืองพงั งา 3. ขน้ั ดําเนินการ 3.1 ประสานงานเครอื ขาย สํานักงานวัฒนธรรมจงั หวัดพังงา และผทู ่เี กีย่ วขอ งเพื่อขอความรว มมือเก่ยี วกบั ขอมลู ภูมปิ ญ ญาทองถ่นิ 3.2 ศกึ ษาคนควา ขอ มลู พ้ืนฐานเก่ียวกับภูมิปญ ญาทองถ่นิ จากหองสมุดและแหลงเรยี นรูอนื่ ๆ แลว นาํ ขอมูลที่ไดมาวเิ คราะห กาํ หนดวตั ถุประสงค ขอบเขตและคาํ นึงถึงประโยชนท่คี าดวาจะไดรับจากการศึกษาคน ควา รวมทั้งศกึ ษาถงึ วิธีการทาํ หนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส (e-Book) จากโปรแกรม FlipAlbum เพื่อกําหนดรปู แบบของหนังสอื อิเล็กทรอนกิ ส 3.3 ดาํ เนินการรวบรวมขอมูลภูมิปญ ญาทองถ่นิ เมืองพงั งาซึง่ ขอ มูลไดม าจากการสอบถามจากผูร ู การคนควา จากสือ่ ในหองสมดุ และคน ควา จากอนิ เทอรเน็ต โดยแบง ขอมลู ภมู ิปญญาทองถิ่นออกเปนดานตาง ๆ รวมทง้ั มีขอ มูลเก่ยี วกับช่อื ภูมปิ ญญา ประวัตสิ ว นตัว สถานทีต่ ดิ ตอ แนวคิดและอุดมการณ องคค วามรขู องภูมปิ ญญา และภมู ิปญญาบางอยา ง จะมีขอ มูลเก่ียวกับความโดดเดนของภมู ิปญญา การนาํ ภมู ปิ ญญาไปใชป ระโยชน ผูส ืบทอดภูมปิ ญญา, สถานท่เี รยี นรูแ ละกลมุ ผูเรยี นรู

7ภูมิปญญาดา นอาหารและโภชนาการ ชาวพงั งาสว นใหญมีความเปนอยทู เี่ รียบงา ย นยิ มประกอบอาหารรบั ประทานกินเอง โดยใชวัตถดุ ิบที่หาไดใ นทองถิน่ มาประกอบอาหาร ไมนิยมซื้ออาหารสาํ เร็จรปู และไมน ิยมรบั ประทานอาหารนอกบาน อาหารที่รบั ประทานเปน อาหารหลกั มดี ังนี้ 1. อาหารเชา นยิ มรับประทานอาหารประเภท ชา – กาแฟ ซึ่งจะเรยี กวา นา้ํ ชา วา เซลองและเรียกกาแฟ วา โกป  โดยจะรบั ประทานกับขนมชนดิ ตา ง ๆ เชน ขาวเหนียวสงั ขยา ขาวเหนียวกลว ยเปาลั้ง (ขา วเหนียวปง ) นอกจากนช้ี าวพงั งา ยงั นิยมรบั ประทานขนมจนี เปนอาหารเชาอีกดว ย 2. อาหารกลางวัน /เย็น ชาวพงั งานิยมรบั ประทานขา วเปนอาหารหลัก โดยจะประกอบอาหารเอง ท่ีนิยมคอื แกงเหลือง (แกงสม), แกงพงุ ปลา (แกงไตปลา) นํา้ พรกิ ขยาํ , ปลาฉิ้งฉา ง น้ําพรกิ กงุเสยี บ อาหารประเภทแกงจดื นยิ มรับประทาน ตมกะทิหนอไม ตมกะทิผักเหมียง แกงเลียงผักตา ง ๆ 1. ภมู ปิ ญ ญาการทาํ เคร่ืองแกงบางเตยกลาง เจา ของภมู ปิ ญ ญา ชือ่ นายสมทรง พุทธรักษา ปจ จบุ ันอยูท ี่กลมุ ออมทรัพยเ พื่อการผลิตบานบางเตยกลาง ม.2 บานบางเตยกลาง ตําบลบางเตย อําเภอเมือง จงั หวดั พังงา 82000 นายสมทรง พุทธรักษา เกดิ วันท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2505 อายุ 46 ป มีบตุ ร 3 คนจบการศกึ ษาชน้ั ประถมศกึ ษาปท่ี 4 มีประสบการณท ําเครื่องแกงมาตัง้ แตอ ายุ 30 ป •แนวคดิ และอดุ มการณ ตอ งการทาํ เครื่องแกงขายเพื่อประกอบอาชพี สรา งรายไดใ หตนเองและครอบครวั และดว ยเหตุผลทวี่ า “เคร่ืองแกงเปน ส่ิงท่อี ยคู ทู ุกครวั เรือน เกอื บทุกมอ้ื ตองทาํ อาหารทใ่ี ชเคร่ืองแกง เพราะความเผ็ดรอนเปนคุณลักษณะของอาหารปกษใตบานเรา ดังนน้ั จึงคิดทําเครื่องแกงจาํ หนายข้ึน และทส่ี าํ คัญวสั ดุทใี่ ชท าํเครื่องแกงก็มอี ยูใ นชมุ ชน ทั้งยงั เปน การประกอบอาชีพสรางรายไดใหก ับตนเอง, ครอบครัว •องคค วามรูข องภูมปิ ญ ญา นําสวนผสม คือ พริก ขาตะไคร ลูกมะกรูด ใบมะกรดู เกลอื มาบดในเคร่อื งบดใหละเอยี ด แลวบรรจุถุง สงจาํ หนา ย ในราคาทองตลาด เครื่องแกงทท่ี ําจําหนายมี เคร่ืองแกงสม , เครื่องแกงพรกิ , และเครอ่ื งแกงกะทิ •การนําภมู ปิ ญญาไปใชป ระโยชน ใชในการประกอบอาหารคาวประเภทแกงทอ งถน่ิจังหวัดพังงา ไดแก ประเภทอาหารคาว ที่เปนอาหารทอ งถน่ิ จังหวัดพังงา ดังน้ี

8 แกงสม (แกงเหลอื ง) นยิ มใชปลากระพง ปลากระบอก ปลากระมง หรือหัวปลาแกงรว มกบั ผักตา ง ๆ เชน ยอดมะพรา ว หนอไมด อง แกงสมของจังหวัดพังงามรี สชาตทิ ีไ่ มจัดมากนกัจะเนน ความกลมกลอ มมากกวา รับประทานกับขาว แกงพุงปลา (แกงไตปลา) เปน อาหารยอดนยิ มของภาคใต มรี สชาติเผด็ จัดเคร่ืองปรุงที่จะนํามาแกงพงุ ปลาจะไมเหมอื นท่ีอ่ืน ใสปลายา ง กับปลาฉง้ิ ฉา ง และใสผกั ตาง ๆ หลายชนดิเชน ถ่ัวฝก ยาว ถัว่ พู มะละกอ มะเขือเปาะ มะเขือยาว เมด็ มะมว งหมิ พานต ฯลฯ แกงพุงปลานอกจากรับประทานกับขาวแลว ยงั นิยมรับประทานกบั ขนมจีนไดอีกดวย 2. ภูมปิ ญ ญาการทําขนมทองมว น เจาของภูมปิ ญ ญา นางสพุ ณิ พันธส วัสดิ์ ปจจุบนั อยูบานเลขท่ี 43 หมทู ี่ 2 บานปากหราตาํ บลนบปรงิ อําเภอเมือง จังหวัดพงั งา รหัสไปรษณี 82000 โทรศัพท 076 411942, 083 5056651เกดิ วนั ที่ 1 มกราคม พ.ศ 2480 อายุ 71 ป จาํ นวนบุตร 10 คน จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปท ี่ 4มีประสบการณใ นการทําขนมทองมวนทาํ มานาน •แนวคิดและอุดมการณ ตองการทาํ ขนมทองมว นใหมีความความอรอ ยและรปู รางผลติ ภณั ฑข นมทองมวนมีความสวยงาม •องคความรูข องภมู ิปญญา สว นผสม 1. แปงมัน 2. ไขไก 3. กะทิสด 4. นํ้าตาลทราย 5. เกลือ

9 ขนั้ ตอนและวิธกี ารทาํ นาํ สวนผสมเคลาใหเขา กนั ดวยเคร่ืองตีหรอื ใชมือ ตงั้ พิมพบนเตาใหรอนแลว นําสว นผสมหยอดบนแมพิมพประมาณ 1.5 ชอนตวง จับเวลาประมาณ 5 วนิ าที นําเหลก็ / อลมู เิ นยี มกลม มามว นใหกลมพกั ไวใ หเย็นบรรจลุ งหีบหอ สง จาํ หนา ยในทองตลาด •การนาํ ภูมิปญ ญาไปใชป ระโยชน ใชในการรบั ประทานและสามารถผลติ ใหเปน ขนมที่มีชอื่ เสียงของจังหวดั พังงา •ผสู บื ทอดภูมปิ ญ ญา 1.นางยพุ ณิ วอ งกิจ 52/10 บา นปากหรา หมูที่ 2 ตาํ บลนบปริง อําเภอเมอื งพังงา จงั หวัดพงั งา 82000 •กลุมผเู รียนรู 1. ชาวบา นท่ีสนใจการทาํ ขนมทองมว น ซงึ่ จะสอนในเรื่องสว นผสมของขนมทองมวนและขัน้ ตอนวธิ กี ารทาํ โดยการบรรยายและสาธิตขนั้ ตอนวิธกี ารทาํ •สถานทจี่ ัดอบรม ท่บี า นของนางสพุ ณิ พันธสวัสด์ิ บานเลขท่ี 43 หมทู ่ี 2 บานปากหรา ตาํ บลนบปรงิอําเภอเมืองพงั งา จังหวัดพังงา 82000 3. ภมู ิปญญาการทาํ ขาวเกรียบผลไม เจาของภมู ปิ ญ ญา ชอื่ นางวิเลิศ วาสกิ าร ปจจุบนั อยูบา น เลขที่ 19/1 หมูท ี่ 6 บานบางบาตําบลนบปริง อาํ เภอเมืองพังงา จังหวดั พงั งา รหัสไปรษณีย 82000 ภูมลิ ําเนาเดิม ตําบลปากอ อาํ เภอเมือง จงั หวัดพังงา เกิดวนั ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2490 อายุ 61 ป จาํ นวนบตุ ร3 คน จบการศึกษาชัน้ ประถมศึกษาปท ่ี 4 ประสบการณทํางาน ทาํ ขาวเกรยี บขายตงั้ แตอายุ 40 ป •แนวคดิ และอดุ มการณ การทาํ ขาวเกรยี บผลไมข ายเพ่อื ประกอบอาชพี เปนการเพ่ิมรายไดใหตนเองและครอบครัว ซึง่ เปนการนําผลผลติ จากผลไมและแปง มาแปรรปูเปน ขาวเกรียบผลไม •องคค วามรูของภูมปิ ญญา โดยการนําแปงไปคลกุ กบั เกลือนาํ้ ตาล และผลไม แลว ใสกะทะผดั ไมต องสุกมาก นํามาปน เปน แทง ยาวๆ แลว นาํ กระดาษทนความรอนหอ

10ไว นาํ ไปนงึ่ ประมาณ 45 นาที จากนั้นนํามาผง่ึ แดด แลวนํามาห่นั เปนแวน บางๆ ผึ่งแดดอีกครัง้ แลวนําไปทอด ต้งั ท้ิงไวใ หเยน็ ใสบ รรจภุ ัณฑ สง จาํ หนายในราคา หอละ 10 บาท •การนําภูมปิ ญ ญาไปใชประโยชน ใชร ับประทานเปนของอาหารวาง ซ่งึ มคี ณุ คาทางอาหาร และเปนการสงเสรมิ ผลิตภณั ฑทองถนิ่ •กลุมผเู รยี นรู 1. นกั ศกึ ษาวิทยาลยั เทคนคิ พังงา 2. กลมุ แมบ านตําบลถา้ํ น้าํ ผุด 3. นกั เรยี นโรงเรยี นดีบุกพงั งาวทิ ยายน อําเภอเมือง จงั หวดั พังงา ซ่ึงไดถา ยทอดโดยการบรรยายและการสาธติ วิธกี ารทํา 4. ภูมิปญญาการทํากลว ยตากอบเนย เจาของภูมิปญ ญา ชือ่ นางมาลี มินยง อยบู า นเลขที่ 14/3 หมทู ่ี 6 บานบางบา ตาํ บลนบปรงิ อําเภอเมืองพังงา จงั หวัดพังงา 82000 ภมู ิลาํ เนาเดิม เปนคนตําบลโคกเจรญิ อําเภอทบัปุด จงั หวดั พังงา เกิดวันที่ 31 มกราคม พ.ศ 2492 อายุ 59 ป บุตร - ธิดา จาํ นวน 4 คน จบการศึกษาชน้ัประถมศึกษาปท ี่ 4 •แนวคดิ และอุดมการณ ตองการแปรรปู กลว ยน้าํ หวา เพ่อื ใหเกบ็ กลว ยไดน าน โดยยังคงคุณคา สารอาหาร และตองการพัฒนาบรรจุภัณฑ เพื่อใหจัดเกบ็ ไดนานขึน้ และสะดวก ในการพกพาไปรบั ประทานในท่ีตา ง ๆ หรือนําไปฝากญาตสิ นทิ มติ รสหาย ก็เปนของฝาก ที่มคี ณุ ประโยชนต อรา งกาย •องคค วามรขู องภมู ปิ ญญา ผสมนา้ํ 5 ลติ ร กับเกลือปน 50 กรัม นํากลวยนํ้าหวา มาปอกเปลอื กแลวลา งในนํา้ เกลอื นําเขาตอู บ 2 วัน นํากลวยมาทุบใหแบนทาเนยแลว นาํ ไปเขา เตาอบอกี 2 วันจัดเก็บในภาชนะท่แี หงและมีฝาปดสนิท หรือบรรจุถุงจําหนาย •การนําภมู ิปญ ญาไปใชป ระโยชน รบั ประทานเปนอาหาร ซงึ่ กลวยน้ําหวาเปนผลไมทม่ี ีประโยชนต อรา งกาย • กลุมผเู รียนรู 1. กลมุ แมบานบางพฒั น ตาํ บลบางเตย อาํ เภอเมือง จงั หวัดพังงา

11 2. กลมุ แมบาน ตาํ บลตากแดด อาํ เภอเมือง จังหวัดพงั งา 3. กลมุ แมบาน บานเผล อาํ เภอเมือง จงั หวัดพงั งา 4. นกั ศกึ ษาวทิ ยาลยั เทคนิคพงั งา •เนื้อหาการถา ยทอด 1. การคดั เลอื กวัตถดุ ิบ เพ่ือที่จะทาํ กลว ยตากอบเนย 2. วธิ ีการขนั้ ตอนการทาํ กลว ยตากอบเนย •วิธถี า ยทอด 1. การสาธติ วธิ กี ารทํา 2. การบรรยาย •สถานทจ่ี ัดอบรม บา นเลขท่ี 14/3 หมทู ี่ 6 บา นบางบา ตาํ บลนบปรงิ อําเภอเมือง จงั หวัดพังงา 5. ภูมิปญ ญาการทํากะป เจา ของภมู ปิ ญญา นายสมชาย หัสนีย อยูบา นเลขท่ี 29/1 หมทู ่ี 8 บานบางพฒั น ตาํ บลบางเตย อาํ เภอเมืองพังงา จังหวัด พงั งา รหัสไปรษณยี  82000 โทรศัพท 087-2826659 ภูมลิ าํ เนาเดมิ เปนคนตาํ บลบอ แสน อาํ เภอทับปุด จงั หวดั พังงา เกดิ วันที่ 26 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2512 อายุ 39 ป จํานวนบุตร 2 คนจบการศกึ ษาประถมศึกษาปท่ี 6 มปี ระสบการณการทาํ กะปขายสบื เนอื่ งจากตนไดซ้อื ท่ีดินที่เปนท่ีอยูในปจ จบุ ัน เมือ่ ปพ.ศ. 2538 จากนัน้ ไดฝก หัดทํากะปด วยตนเอง ดวยเหตุผลทีว่ าทรัพยากรกงุ เคยหาไดง ายและมมี าก และตอ งการทาํ กะปข ายเพ่อื ประกอบอาชพี หารายไดเลย้ี งครอบครัว •แนวคดิ และอุดมการณ ตอ งการขายปลกี มากกวา ขายสง เพราะมรี าคาแพงกวา โดยขายไดก ิโลกรมั ละ 100 - 120 บาท •องคความรขู องภมู ปิ ญ ญา การคดั เลอื กกงุ เคย นาํ ไปผ่งึ แดด 1 วัน นํามาตาํ ดว ยครกหยาบๆ แลวหมักไวประมาณ 2-3 วนั แลวนํามาบดดว ยเครื่องบดใหล ะเอียด บรรจถุ งุ •การนําภมู ิปญ ญาไปใชประโยชน นําไปประกอบอาหาร เชน การทํานํา้ พรกิ กะป การทาํเครื่องแกงตางๆ แกงเลียง เปน ตน

12 6. ภูมปิ ญญาการทํากะป เจา ของภมู ปิ ญญาชื่อ นางอาลดั วารีศรี บานเลขท่ี 4/13 หมูท่ี 3 บานเกาะไมไผ ตาํ บลทายชา ง อาํ เภอเมอื งพงั งา จงั หวดั พังงา รหสั ไปรษณยี  82000 โทรศัพท 086-0260126 เกิดวนั ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2490 ปจจุบันอายุ 61 ปมบี ุตร 5 คน ประสบการณทํากะป ไดฝกหัดทาํ กะปเม่ืออายุ 30 กวา ป โดยในชวงแรกไดทํากะปขายปลกี ท่ีตลาดนดั ปจจบุ นั ทําสงจําหนา ย •แนวคิดและอดุ มการณ ทํากะปเ ปนอาชีพหลกั เพอ่ื หารายไดม าเลี้ยงครอบครัว •องคค วามรขู องภูมิปญญา โดยนํากุง เคยตากแดด จากน้ันนํามาคลุกเคลากบั เกลือโดยการเนน ในเรื่องความสะอาดไมมีวัตถเุ จือปน ตําดวยครกเพอื่ ใหก ุงเคยกับเกลือผสมกนั จากนัน้ หมักทง้ิ ไว2 - 3 วัน และนํามาบดใหละเอยี ดอกี คร้ังหน่ึง เสร็จแลว นาํ มาบรรจุในบรรจภุ ัณฑ เพ่อื สง จาํ หนายในกโิ ลกรมั ละ 80 - 120 บาท •การนําภมู ปิ ญญาไปใชป ระโยชน นาํ ไปประกอบอาหาร เชนการทาํ นํ้าพรกิ กะป การทําเครื่องแกงตา งๆ แกงเลยี ง เปน ตน 7. ภูมปิ ญ ญาการทํากะป (กงุ นาํ้ ขาว กงุ สารโอ กุง แมลูก) เจา ของภมู ปิ ญญา ชอื่ นางเอยี ด สนั สมทุ ร บา นเลขที่ 17 หมทู ่ี 3 บา นเกาะไมไ ผ ตาํ บลเกาะปนหยี อาํ เภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา รหัสไปรษณีย 82000 ภูมิลําเนาบา นเกาะไมไผ ตาํ บลเกาะปนหยี อาํ เภอเมืองพังงา จังหวดั พงั งา เกิดวนั ที่ 12เดอื นมิถนุ ายน พ.ศ 2482 อายุ 68 ป จาํ นวนบตุ ร 7 คน ประสบการณการทาํ กะป ไดเ รมิ่ ทํากะปข ายเม่ืออายุ 34 ป ซึ่งในชวงนนั้ ตนไมรจู ะประกอบอาชีพอะไรเพ่อื จะใหม ีรายไดเลี้ยงครอบครวั และคดิ วาอาชพี การทํากะป นา จะทาํ ใหมีรายได เพราะกะปเปน สว นประกอบทสี่ าํ คัญของการปรุงอาหารหลายชนดิ เชน การทาํ นํา้ พรกิ ชนดิ ตา ง ๆดังนั้นตนจงึ เร่ิมทาํ ไปขายทั้งปลีกและขายสง •แนวคดิ และอดุ มการณ ทาํ กะปโ ดยใชก ุง เคยสด ๆ และสะอาดซึง่ เปนวตั ถดุ ิบหลกั มาทําโดยไมเ จือปนส่งิ อน่ื ซึง่ ทําใหก ะปม ีรสชาตอิ รอ ยและมกี ลน่ิ หอม เปนท่ีตอ งการของตลาด

13 •องคความรูของภูมปิ ญญา การนาํ กุงเคยสด ๆไปผึง่ แดด ใชเครื่องทําขนมจนี ตีกงุ พอละเอียด นําไปคลกุ เกลอื หมักทง้ิ ไว 2-3 วัน นํามาผ่ึงแดดอกี ครั้งหนงึ่ พอหมาด นาํ มาบดใหล ะเอียดอกี คร้งัหนงึ่ จากนั้นนําไปบรรจุถุงเพ่ือสงขาย •การนาํ ภูมิปญ ญาไปใชป ระโยชน ใชในการปรงุ อาหารประเภทตาง ๆ เชน แกงเผด็แกงพริก แกงสม แกงไตปลา แกงกะทิ และนาํ มาทํานา้ํ พรกิ ชนิดตาง ๆ 8. ภูมิปญญาการทําขนมจนี เจาของภูมปิ ญ ญา ชื่อบคุ คล นางโกศล ปน ฉํ่า ปจ จุบันอยูบา นเลขที่ 3 ถนนบรริ ักษบํารุงตําบลทายชา ง อาํ เภอเมืองพงั งา จงั หวดั พังงา รหสั ไปรษณีย 82000 โทรศพั ท 084-0568259 เกดิ วันที่ 12มีนาคม พ.ศ. 2497 อายุ 54 ป จาํ นวนบุตร 3 คนจบการศกึ ษาในระดับประถมศึกษาปท่ี 4มีประสบการณก ารทาํ ขนมจีน ไดเริม่ ทาํ ขนมจนี มาต้ังแต อายุ 35 ป หรือ พ.ศ.2532 โดยขายขนมจีนดว ยรถเข็น ซง่ึ ในขณะนนั้ ไมมีรานขายขนมจีนเปนของตนเอง •แนวคดิ และอดุ มการณ โดยปกตติ นมคี วามชอบในการทําอาหาร และสาเหตทุ ไ่ี ดขายขนมจีนเพราะใชเวลาในการทําไมมาก เมื่อกอ นตนทุนในการผลิตนอย แตทําแลวไดก าํ ไร และสาเหตุสาํ คญั อกี ประการหนง่ึ คือขนมจนี เปนอาหารทอ งถ่ินของชาวพงั งา ซึง่ นิยมรับประทานกับน้ํายา น้าํ พรกิแกงไตปลาและน้ํายาปา •องคค วามรขู องภูมิปญญา ในการทาํ เสน ขนมจีนชาวพงั งายงั วธิ ีการทําขนมจีนแบบดัง้ เดมิ คือ นาํ ขาวสารมาแชน้ํา 2-3 ช่วั โมง นํามาลา งแลว สีดวยเครื่องสี ใชถ ุงรับ สีจนเต็มถงุ ใชเชือกผูกปากถงุ แลว นํามาทับใหแ หง นาํ แปง ท่แี หง แลว มาตีกบั เคร่ืองทําใหเ ปนกอนกลมๆ นํามาตม ประมาณครึ่งชวั่ โมงนําแปงท่ตี ม แลว มาตอี กี ครง้ั แลว เคลาใหเ ปน กอ นกลม นําใสก ระบอกแลวบดิ ใหเ ปนเสน ซง่ึ เปนภมู ิปญ ญาทีส่ ืบทอดมาตั้งแตบ รรพบรุ ุษ และในการทาํ น้ํายาตาง ๆ น้นั จะใชว ตั ถดุ ิบที่เปนพรกิ สดมากกวา พริกแหงในการทําเครอื่ งแกง

14 •การนาํ ภมู ปิ ญ ญาไปใชป ระโยชน ใชเพ่ือรับประทาน และเพือ่ ประกอบอาชีพหารายไดเล้ยี งครอบครวั ขนมจนี ขนมจนี เปนอาหารทีน่ ยิ มรับประทานในภาคใต ประกอบดว ยเสนขนมกับนํ้าแกง เวลารับประทานจะมีผักเหนาะ (ผักเหนาะ หมายถึงพชื ผักสดท่ใี ชก นิ ควบคกู ับอาหาร) และของกินอ่ืน ๆ แนมดว ย เชน ถั่วงอกดอง ผักเสีย้ นดอง นอกจากนี้อาจจะมพี ริกยาง หรือพรกิ ควั่ ทอดกรอบ สว นของกินแนมมีไขต ม ซ่ึงพังงาจะเรียกขนมจีนวา \"หนมจีน.

15ภมู ิปญ ญาดา นศาสนา ประเพณี และพิธีกรรม ประชาชนในจังหวดั พังงา จะนับถอื ทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาอสิ ลาม ซึ่งทุกศาสนาจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามท่ไี ดรับการสืบทอดกนั มาจากบรรพบรุ ุษ 1. ภูมิปญญาการทาํ ภูมิ (งานบวช งานแตง งาน) เจาของภมู ปิ ญญาชอื่ นายบุญชู มธุรส อยูบานเลขที่ 108 หมูท่ี 3 บานบางแนะ ถนนเพชรเกษม ตําบลนบปริง อําเภอ เมืองพงั งา จงั หวัดพังงา 8200โทรศพั ท 076 411694, 087-3856572เกิดวันท่ี 30 พฤศจิกายน พ.ศ 2472 อายุ 79 ป มบี ุตร 6 คน จบการศึกษาในระดบั ประถมศกึ ษาปที่ 4มีประสบการณใ นการทําภมู ิ (งานบวช งานแตงงาน) 50 ป •แนวคิดและอดุ มการณ ตองการชว ยชาวบา นใหสบายใจ เพราะการทาํ ภมู แิ ตงงานน้นัจะทาํ ใหเ กิดความเปนสริ ิมงคล เกดิ โชคลาภ มง่ั มีศรีสุข และชว ยใหงานพิธสี าํ เร็จลุลว งไปดว ยดี •องคค วามรขู องภมู ปิ ญญา การทําภมู ิ เปน ความเช่ือของคนในทอ งถ่ินทม่ี มี าแตคร้งับรรพบุรุษโดยเช่ือวา การไดทาํ ภูมิบาน , งานแตงงาน น้ันจะทาํ ใหเกิดความเปนสิรมิ งคล เกดิ โชคลาภ มัง่ มีศรีสขุ และชวยใหงานพิธีสาํ เรจ็ ลุลว งไปดวยดี การทาํ ภมู ิเปน พธิ กี รรมที่จดั ขึน้ เพือ่ บวงสรวงพระภูมิผูเปนเทพารกั ษประจาํ พืน้ ท่ีและอาคารบานเรือนเพื่อใหเจา ที่คมุ ครองใหป ลอดภยั และแคลว คลาดจากอนั ตรายท้ังปวง โดยในการทาํ ภมู ิ ตองดูฤกษยามกอ นท่ีจะทําพิธี จากน้นั จัดเตรยี มเคร่ืองเซนไหว ทาํ พธิ ไี หว พธิ กี รรม 1. อปุ กรณ อุปกรณท ี่ใชประกอบพิธีมี อาหารคาวหวานแลว แตจ ะจดั สง่ิ ท่ีตองมีในพิธีทําภูมิ คอื ยาํ เน้ือ ยาํ หยวกยาํ ปลี ขนมขาวขนมแดง สุรา แปงหอม นํ้ามันหอม ขา วจาว ขนมถั่วงา กลวย ออยขา วตอก ปลามหี วั มีหาง หมาก 9 คาํ ดอกไม 9 ดอก เงินรองครู 12 บาท ธปู 16 ดอก เทยี น 21 เลม บตั รพลีพระภมู ิ เทยี ว (ธงรปู สามเหล่ียมเลก็ ๆ) แกว แหวนเงินทอง ดายสาํ หรบั ทําสายสญิ จน

16 2. การประกอบพธิ ี 2.1 จดั เครอ่ื งบูชา โดยใชผ าขาวปลู าดเพ่อื รองบัตรพลี บัตรพลปี ระกอบดว ยบตั รพระภมู ิ 3 ชน้ั บตั รบรถิ วิ กรุงพาลี 9 ชั้น บตั รพญานาคเปนรูป 5 เหลย่ี ม บตั รทศิ เปนรปู 4 เหล่ยี ม 8 บัตรสําหรบั ทศิ ทั้ง 8 บตั รทง้ั หมดทาํ ดว ยใบเตยโดง (เตยขนาดใหญ ในปา) 2.2 การทําพธิ ี จะเร่ิมดวยการบชู าพระรัตนตรัย ราํ ลกึ ถึงคุณบดิ ามารดาครูอาจารยกลาวชมุ นมุ เทวดา กลา วคาํ ไหวสัสดี กลา วคําไหวค รู กลาวคาํ ไหวพ ระภมู ิเชิญเทวดาทั้งหลาย มพี ระอาทิตย พระจันทร พระอังคาร พระพธุ พระหัส พระศกุ ร พระเสาร พระราหู พระเกต ปูยาตายาย พระพรหม พระอศิ วร พระนารายณ พระนางธรณี ทาวมหาลาภทา วมหาชยั พระพายใหมารับเครอื่ งสังเวย ทําน้าํ มนต เรยี กวา\"น้าํ มนตธ รณีสบ\" กันอุบาทว เสร็จแลวขอพรเพื่อเปนสริ ิมงคลแกผูทําพธิ ีและเจาของบานเสรจ็ แลว กลา วสง เทวดา เปน อนั เสรจ็ พิธเี จา ของบานนําบตั รพลไี ปตง้ั ยังท่ีทเี่ ตรียมไว นาํ บตั รทศิ ไปวางในทีซ่ ่ึงเตรยี มไวใ นทิศทง้ั ๘ •การนาํ ภมู ปิ ญ ญาไปใชประโยชน ใชในการประกอบพิธีงานแตงงาน งานบวช 2. ภมู ิปญญา การต้ังศาลพระภมู ิและรกั ษาโรคโดยไสยศาสตร เจา ของภูมิปญ ญาชือ่ นายชนะ มีแกว อยูบานเลขท่ี 15 หมู 3 บา นตนี เขาตําบลทุง คาโงก อําเภอเมือง จังหวัดพังงา 82000 โทรศพั ท 087-883093 เกดิ วันท่ี 12 มกราคม พ.ศ 2482 อายุ 69 ป มีบุตร 1 คน จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปท ี่ 4 มปี ระสบการณใ นการตั้งศาลพระภมู ิและรักษาโรคโดยไสยศาสตร มาประมาณ 25 ป •แนวคดิ และอุดมการณ ตอ งการถายทอดความรใู หกับบุตรหลานเพื่อท่จี ะมีผูสืบทอดการตงั้ ศาลพระภมู ิและรกั ษาโรคโดยไสยศาสตรตอไป •องคความรขู องภูมิปญญา การตั้งศาลพระภูมิมกี ารดทู ิศทางในการต้งั ศาล และมเี คร่ืองบวงสรวง สวนการรักษาทางไสยศาสตรมีการเชญิ ครูอาจารยเขาสูพธิ ี และเรียกวญิ ญาณออกจากผูป วย โดยการใชก านพลูลงอกั ขระ

17 •การนําภูมิปญญาไปใชประโยชน ใชในการตั้งศาลพระภูมิ การตั้งศาลพระภมู ิ ศาลเจา ที่ (หลาพอ ตา) ชาวพังงามคี วามเชอื่ กนั วา แผนดินทกุ แหง มีพระภมู เิ จาที่สิงสถิตอยู การเขา ไปอยูอาศัยตอ งใหความเคารพยําเกรงไมลบหลู และควรมีการตง้ั ศาลเพ่อื เปนที่สิงสถิตของภูมิเจาที่ ซ่ึงคนในทอ งถ่ินจะนยิ มต้งั ศาลพระภมู ิ และศาลเจา ที่กนั แทบทกุ บานโดยมีความเชอื่ กันวาหากไดต ้งั ศาลพระภูมศิ าลเจา ที่แลว จะเกดิ ลาภ ความเปนอยสู ริ มิ งคลกบั ผทู อ่ี ยูอ าศยั พระภมู ิเจาท่ีจะชวยปกปก รกั ษาคุม ครองใหพ นจากภยนั ตรายท้ังปวง โดยเรยี กการต้ังศาลเจาท่ีวาต้งั หลาพอ ตา (คาํ วา \"หลา\"เปน ภาษาถนิ่ ใตท ี่กรอ นมาจากคาํวา “ศาลา”หรอื ศาลน่ันเอง สว นคําวา ถึง “พอตา” หมายถงึ “พระภูมิเจาท่ี” ทส่ี ิงสถิตอยูตามศาลา) ซึ่งหลาพอ ตาน้ีจะแตกตา งจากศาลพระภมู ิในสวนเสาของศาล กลาวคือ ศาลพระภูมิจะมเี สาของศาลพยี งเสาเดยี ว สวนหลาพอตาจะมีส่ีเสา เมอื่ บา นเรือนใดไดตั้งศาลพระภมู ิและหลาพอ ตาแลวจะมกี ารเซนไหวกนั ตามโอกาสอนั ควร

18ภมู ปิ ญ ญาดา นการเกษตรและการทํามาหากนิ การพัฒนาดานการเกษตรจากอดตี จนถงึ ปจจุบนั ตามวิถีชวี ิตของเกษตรกรไทยมีการปรับตัวตามภูมปิ ญ ญาใหเขากับสถานการณทเ่ี ปล่ยี นแปลงไป โดยภาครัฐนําภมู ิปญญาชาวบา นมาประยกุ ตใ ชรวมกับเทคโนโลยสี มัยใหม เพอื่ ใหเกษตรกรนํามาปรบั ใชใ นการประกอบอาชพี และการทํามาหากนิ สาํ หรบั การทําเกษตรกรรมของชาวพังงาน้นั จะเนนภมู ิปญญาทองถิน่ ผสมผสานกบั เทคโนโลยสี มยั ใหมเ ขา ดวยกนัอาชีพหลัก ของชาวจังหวดั พังงา คือ การทาํ สวนยางพารา, การปลกู ปาลมน้ํามัน, การทาํ สวนผลไม, การทําประมง การเลี้ยงกงุ กุลาดํา, การเล้ยี งปลาในกระชงั , การเล้ียงหอยนางรม 1. ภมู ปิ ญญาการทาํ นาํ้ ตาลชก เจาของภูมิปญญา ชอ่ื นายเสนอ ปรดี าผล อยูบ านเลขที่ 10/2หมทู ่ี 7 บานบางเตยใต ตาํ บลบางเตย อาํ เภอเมืองพังงา จงั หวัดพงั งา82000 โทรศพั ท 083-5057651 เกิดวนั ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2494อายุ 57 ป จาํ นวนบุตร 4 คน จบการศกึ ษาช้ันประถมศึกษาปที่ 4 •องคความรูของภูมิปญ ญา สว นประกอบ 1. ใบเตยโดง หรือใบเตยบาน (สําหรับใสน ํ้าตาล) 2. น้ําหวานชก วิธีการทํา 1. นํานํ้าหวานชกมาเคี่ยว 2. กวนน้ําหวานชกใหแ หง พอท่จี ะใสในแวน ได 3. นําใบเตยที่ผา นการรมไฟ การตากแดดใหแหง แลว ทาํ ใหเปน สเี่ หลีย่ ม 4. ตักน้ําตาลชกใสกะลา (มีลักษณะคลา ย ตะบวย) เทใสใ นแวน น้ําตาลที่ไดเตรยี มไว เทคนิคพิเศษ ตองระวงั อยา ใหนา้ํ หวานชกมีรสเปร้ียว •ความโดดเดน ของภมู ิปญญา สามารนําไปใชในการประกอบอาชพี เพมิ่ รายไดใ หครอบครัว ถายทอดใหเปน ท่ีรูจัก ทีส่ าํ คญั ตนชกสามารถใชประโยชนไดหลายอยา ง •ความคาดหวงั ของภมู ปิ ญญา การทํานาํ้ ตาลชกใหเปนที่รูจักกันแพรห ลาย เพ่ือเปนการเพ่ิมรายไดใหกบั ครอบครวั

19 •การนาํ ภมู ิปญ ญาไปใชป ระโยชน 1. เปนอาหารวา ง คาว-หวาน เพราะน้ําตาลทีไ่ ดจากตน ชก เปน นา้ํ ตาลที่ปราศจากสารพษิ เพราะชกเปนพืชธรรมชาติ และในการทํานา้ํ ตาลชกไมไ ดใ สส ารฟอกสี 2.ใชในการประกอบอาชีพหารายไดเ ล้ียงครอบครัว 3. น้ําตาลสดทไ่ี ดจากตนชก ยงั สามารถนําไปทาํ นํา้ สม เรียกวา นา้ํ สม ชก สาํ หรบัใชปรุงอาหารอีกดวย ตนชก ตน ชก เปนพืชชนิดหน่ึงในตระกลู ปาลม บางทอ งถ่ินเรียกชอื่ ตางออกไป เชน สตลู เรียก“โยก” หรือ “ตาว” ตรังเรียก “เนา” ชมุ พร เรียก “กาชก” ในภาษากลางเรียก “ชดิ ” ชอบข้ึนตามเชงิเขา หรือโขดเขาบริเวณดินรว น อากาศชุมช่ืน ลักษณะลําตน ตรงดิ่งขนาดโตกวา ตนตาล ใบมีลักษณะเชน เดียวกบั มะพรา ว สว นประกอบของตนชก สามารถนาํ มาใชป ระโยชนไ ด ดังตอไปน้ี 1.ใบมาใชมงุ หลงั คา ก้ันฝา 2. กานใบนาํ มาเหลารวบทาํ ไมก วาด 3. เสนใยทลี่ ําตน หรือ “รกชก” ใชทาํ แปรง 4. ยอดออนทีข่ ั้วหัวใชปรงุ เปนอาหารแบบผักสด หรอื ดองเปรย้ี วเกบ็ ไวแกงสม แกงกะทิ ชก แพรพ นั ธด วยเมลด็ และเจริญเติบโตตามธรรมชาติ 2. ภูมิปญญาการปลกู ผักปลอดสารพษิ (สวนผกั ไรดินไฮโดรฟารม ) เจา ของภมู ิปญ ญา ชอื่ นายธรรมรักษ มธรุ ส บานเลขที่ 65/4 หมูท ่ี 3บานบางแนะ ถนนเพชรเกษม ตาํ บลนบปรงิ อาํ เภอเมืองพังงา จงั หวัดพงั งา 82000โทรศัพท 076-411730,084-8501366 เกดิ วันที่ 6 เดือนพฤศจกิ ายน พ.ศ. 2488 อายุ 63 ป จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มบี ุตร จาํ นวน 3 คน มีประสบการณทํางาน โดยสามารถสงผลผลติ เขาประกวดไดรางวัลในระดบั จงั หวัดและผลผลติ สามารถสงไปจาํ หนายตา งจังหวัด •แนวคิดและอุดมการณ จากนโยบายของรฐั บาลสง เสรมิ ใหเ กษตรกรผลิตพืชผักปลอดภยัเพื่อการบรโิ ภคและจําหนา ย ครอบครวั มธรุ สจึงมีความคิดในการปลกู ผกั ปลอดสารพษิ โดยศึกษา

20ขั้นตอนวิธกี ารและดาํ เนนิ การ ตอมากิจการเรม่ิ ดีขึน้ เรอื่ ย ๆ โดยพฒั นาใหเปน ผลิตภัณฑมีคณุ ภาพและมีชือ่ เสยี งเปนท่ีรูจกั •องคความรูของภมู ปิ ญ ญา การปลกู ผกั ใหป ลอดสารพษิ 100 % และเปน ผักทสี่ ดสะอาด ขน้ั ตอนและวิธีการปลูกผักปลอดสารพษิ 1. จัดเตรยี มแปลงปลูก และสถานทีป่ ลูกใหพรอ ม โดยตงั้ อยกู ลางแจงท่ีมีแสงแดด 2. เพาะตน กลาลงในถาดเพาะ โดยการใสเมลด็ พันธุท่ีตองการ ลงในฟองนา้ํ 2-3 เมล็ดและรดนํ้าเปลา ใหช มุ แลวนําไปต้ังไวในบริเวณทไี่ มม ี แสงแดด 3. ใชเวลาประมาณ 2 วนั เมลด็ จะแตกใบออ นใหน ํามาตงั้ ในที่มแี ดดออน และใหความชน้ื โดยการรดนา้ํ ใหช ุม (นํ้าทใี่ ชจะใชน ํา้ ทีผ่ สมธาตุ อาหารแลว จะทาํ ใหรากงอกเรว็ ข้ึนใชเวลาประมาณ 3 วัน รากจะงอกจากฟองนํ้า) 4. ยายตน กลา ลงในแปลงปลกู โดยใสตน กลา ลงในแปลงปลกู จนครบ 5. ใสน้ําสะอาดลงในแปลงปลูก แลว เติมธาตุอาหาร ในอัตราสวนอยา งละ 1 ลติ ร ตอนํา้200 ลติ ร 6. หลงั จากนั้นประมาณ 2 สัปดาห ใหทําการค้าํ ยนั รากเพ่ือเพิ่มอากาศใหกับรากของพืช(เมือ่ คา้ํ ยันรากแลวตองดใู หแนใจวา รากยาวถงึ นาํ้ หรือไม) 7. ตนพชื จะเจริญเตบิ โตอยา งรวดเรว็ หลงั จากไดทําการค้ํารากโดยใชเวลา อีกประมาณ10-15วนั ตามชนดิ ของผกั แลวทาํ การเก็บเก่ียว เทคนคิ พิเศษ เอาใจใสด แู ลผักท่ีปลกู อยางใกลชิด

21 •การนําภมู ปิ ญญาไปใชป ระโยชน ใชเพ่ือรับประทาน ซง่ึ เปนผักทป่ี ลอดสารพิษทีส่ ดสะอาด ซงึ่ ไดพัฒนาการปลูกผกั จากแบบเดมิ ๆ มาเปนแบบใหม และลดเนื้อท่ีในการปลกู •กลุม ผูเรียนรู 1. นกั เรยี นโรงเรยี นอรญั ญกิ าวาส •เนอ้ื หาการถายทอด 1.แนะนาํ อปุ กรณใ นการทํา 2.ความหมาย ความสาํ คัญ 3. หลกั การวธิ กี ารทํา •วธิ ีถา ยทอด 1. การบรรยาย 2. การสาธติ วิธกี ารเพาะพนั ธุ 3. การใหทดลองปฏิบัตดิ วยตนเอง 4. การใหนักเรยี นสรปุ ความรูท่ีไดรบั และนําเสนอในช้นั เรียน สถานทีจ่ ดั อบรม บานนายบรรเทิง มธุรส เลขท่ี 65/4 หมูที่ 3 บา นบางแนะตําบลนบปริง อาํ เภอเมืองพงั งา จังหวดั พงั งา 3.ภมู ปิ ญญาการเพาะเห็ดนางฟา เจาของภมู ปิ ญญา ชื่อนางปรีดา ไตรบุญ ปจ จบุ ันอยบู า นเลขท่ี 1 หมูท ี่ 1 บานตากแดดตาํ บลตากแดด อาํ เภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา 82000 โทรศัพท 076-440213, 081 083716เกิดวันท่ี 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 อายุ 57 ป จํานวนบุตร 2 คน จบการศึกษาชน้ั ประถมศกึ ษาปที่ 6มปี ระสบการณในการเพาะเห็ดนางฟา ต้ังแตอายุประมาณ 40 ป

22 •แนวคิดและอดุ มการณ ตองการเพาะเหด็ นางฟา เพอื่ ประกอบอาชีพสรางรายไดใ หแ กครอบครัวเพราะลงทนุ ตา่ํ ไดกาํ ไรสงู •องคความรูของภูมิปญ ญา 1. เอาสว นผสมขี้เลอื่ ย ดเี กลือ ปูนขาว ผสมคลุกเคลาใหเ ขากัน แลวคอ ย ๆ เทนํ้าลงไปคลุกไปเรอ่ื ย ๆ พรอมเทน้าํ จนกวาจะเขาเปนเนื้อเดียวกนั 2. ใสส วนผสมลงในถงุ ตอ งอดั ใหแ นน อยาใหม ลี ม แลว ใสคอขวดใชสาํ ลีอดุ ใหแ นนหลงั จากน้นั ใชก ระดาษเปนเหล่ยี ม ขนาด 5 น้วิ ปด ฝาขวด แลว ใชย างรดั ปากขวด 3. นําไปนึง่ ประมาณ 3 ชว่ั โมง เพือ่ ฆาเชอื้ แลว ต้ังใหเ ย็น หลงั จากน้นั เอาสาํ ลีออกหยอดหวั เช้อื เห็ด แลวปด ไวตามเดมิ บม ไวใหเช้ือเดิน ประมาณ 1 เดอื น 4. นําไปไวท โี่ รงเรือน เปดฝาออก แลว รดนํา้ วันละ 2-3 ครัง้ ประมาณ 1 อาทิตย เห็ดจะออกดอก จากนน้ั ใหเกบ็ ดอกบรรจถุ งุ สง จําหนา ยในทอ งตลาด ทัง้ ขายปลีกและขายสง ซ่ึงในการเพาะเหด็ นางฟามเี ทคนิคพเิ ศษ คอื โรงเรือนท่ีเพาะเหด็ นางฟา ตองอยใู นที่อากาศเย็น •การนาํ ภมู ิปญ ญาไปใชป ระโยชน ในดา นเศรษฐกิจ เห็ดนางฟา เปนสนิ คา ท่ตี ลาดตอ งการ มรี าคาดี ตนทุนตํ่า แตไ ดผลผลิตสงู และสามารถปลกู ไดทุกฤดูกาล นอกจากน้ีใชใ นการประกอบอาหารหลากหลาย อาทิ ตมยํา, ผดั , ทอด เพือ่ รบั ประทานในครวั เรือน ซง่ึ เห็ดนางฟามีคุณคาทางอาหารสงู •กลมุ ผูเรียนรู 1. นกั เรียนโรงเรยี นบา นตากแดด อําเภอเมืองพงั งา จงั หวัดพงั งา 2. นักศกึ ษาวทิ ยาลยั เกษตรและเทคโนโลยพี งั งา 3. ประชาชนผูสนใจทั่วไป •เน้อื หาการถา ยทอด 1. สูตรและสวนผสมเชือ้ เห็ด 2. วิธีการอัดกอน 3. วิธกี ารเพาะเห็ด 4. การดูแลรักษา

23โดยสามารถตดิ ตอเรียนรไู ดฟรที ุกวัน •วธิ ีถา ยทอด 1. การบรรยาย 2. การสาธติ วธิ ีการเพาะเห็ดนางฟา โดยมี สถานทจี่ ดั อบรม โรงเรยี นบา นตากแดด, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพงั งา อาํ เภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา และทีบ่ านเลขท่ี 1 หมูท่ี 1 บานตากแดด ตาํ บลตากแดด อาํ เภอเมอื งพังงา จงั หวัดพงั งา 4. ภูมิปญ ญาการเย็บตับจากมงุ หลังคาจากใบสาคู เจาของภมู ิปญญาชอื่ นางนงเยาว ทองวิจติ ร บานเลขที่ 142 หมูท่ี 3 บา นบางแนะ ตําบลนบปรงิ อาํ เภอ เมืองพงั งา จังหวัดพงั งา 82000 โทรศัพท 089-7235119 เกดิ วนั ท่ี 1 สิงหาคม พ.ศ. 2495อายุ 56 ป จาํ นวนบุตร 3 คน จบการศึกษาชน้ั ประถมศกึ ษาปท่ี 4 มีประสบการณก ารเย็บตบั จากมุงหลังคาจากใบสาคูมาประมาณ 40 ป •แนวคิดและอุดมการณ ตองการสบื ทอดภูมิปญญาดา นการเยบ็ ตับจากมุงหลังคาจากใบสาคใู หแ กเยาวชนรนุ หลงั ตอไป เพราะนับวนั จากใบสาคูนับวันสูญหายไปจากสงั คมไทย •องคความรูของภูมปิ ญญา วัตถุดบิ ทใ่ี ชม ี ใบสาคู ไมไผทที่ ําตบั จาก เชือกจากตนคลา •ขั้นตอนและวิธกี ารทํา 1. คัดเลอื กใบสาคทู แ่ี กพ อเหมาะตดั ออกจากทางมามดั รวมกันไว 2. ตดั ไมไผขนาดกวา ง 1.5 - 2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1.50 เมตร แชน ้าํ ทิ้งไว 7 - 10 วันทําเปนตบั 3. ตัดลาํ ตน คลา มาผึง่ แดดและลอกผิวนอกออก 4. นาํ ใบสาคูจบั ละ 3 - 4 ใบ ซอ นใหส วนหนาของใบหนั ไปทางเดียวกัน ให 2 ใบลา งสุดซอ นกันเพียงคร่งึ ใบ แลวพับกลางใหส วนของหนาใบประกบกัน ใหต บั ชดิ รอยพับ ใชคลา เยบ็ คลอ มบน

241 คร้ัง และคลอมลา ง 1 คร้งั แลวนาํ ใบจากชุดตอ ๆ ไปมาเยบ็ ในทาํ นองเดยี วกนั ไปเรือ่ ย ๆ จนไดความยาวเทากับความยาวของตบั เรียกวา จาก 1 ตบั 5. ถาตอ งการใหคงทนย่งิ ขน้ึ ใหน ําตับจากไปแชน ้ําโคลนทิง้ ไวป ระมาณ 15 - 30 วนั ลา งใหห มดกลน่ิ โคลน ตากใหแหงแลว นาํ ไปใชประโยชน •การนาํ ภูมปิ ญ ญาไปใชประโยชน ใชม งุ หลงั คาเพื่อสรา งโรงเรือนเลยี้ งสัตว สรางบา นเรือนที่พักอาศยั , ซ่ึงใหความรม เยน็ กวา แผน กระเบ้อื งและแผนสังกะสี โดยปกติจะมอี ายุการใชง านประมาณ 6 -10 ป สาคู เปน พชื ตระกลู ปาลม ทชี่ อบขึ้นในทลี่ มุ ท่ชี ้นื แฉะ หรือมีนํา้ ขงั ตลอดป มีการทบั ถมของซากพชื เปน เวลานาน หรือท่เี รียกวา ปาพรุ และเปนทที่ ม่ี นี าํ้ จืดไหลผาน ในประเทศไทยสาคพู บไดตง้ั แตจงั หวดั ชุมพรลงมาถงึ จงั หวดั นราธิวาส สาคูเปน พืชทม่ี ปี ระโยชนและมีความเกยี่ วขอ งกบั วัฒนธรรมพ้นื บานของชาวภาคใตเปนอยา งมาก สาคมู ปี ระโยชนไ ดห ลายประการ ซึ่งแลวแตภ มู ิปญญาของชุมชนในแตละทองถิ่นทีจ่ ะนาํ มาใชป ระโยชน 1.ใบสาคู ใชใ บสาคเู ย็บเปนจาก สาํ หรับมุงหลังคา 2. เน้ือในของสวนลําตน ใชสําหรบั เลี้ยงสัตว 3. สกัดเอาแปงจากสวนของลาํ ตน โดยเลือกตนทีก่ ําลังออกดอก หรือตนที่มคี วามสมบูรณ แปรรูปเปนแปงสาคูสงจําหนาย 4. นําเปลอื กนอกมาทําเชื้อเพลิง โดยนาํ เปลอื กนอกทถี่ ากออกจากลําตน มาตากใหแ หง 5. นาํ เปลอื กนอกมาทาํ ไมป ูพน้ื 6. นําสว นของเปลอื กนอกของลาํ ตน มาทําเปน กระถางปลกู ผักหรอื ปลกู ตน ไม หรือใชบังกระถางไมป ระดับ เพ่อื ใชในการตกแตงอาคารสถานท่ีตาง ๆ ใหม ีความสวยงาม 7. นาํ กานใบมาใชสรา งท่พี ักชว่ั คราว

25 8. นําเปลอื กนอกของกา นใบ มาทาํ เปน ตอกใชส านเครื่องใชตาง ๆ 9. ใชก านใบทาํ ไมก วาด 10.ใชนาํ้ เล้ียง หรอื ยางจากกานใบ (ทางสดของตนสาคู) มาทํากาว ซึง่ จะมสี ขี าวขุน และเหนียว ใชในการประดษิ ฐวาว ใชแ ทนกาวตดิ กระดาษทั่วไป 11. ใชใ บยอ ยมาหอ ขนม เมื่อนาํ “ขนมจาก” ไปปงหรอื ยา ง 12. เกบ็ ตัวออนของดว งสาคูมารบั ประทาน เม่ือตนปาลม สาคตู ายกพ็ บมแี มลงปกแข็งชนดิ หนึง่ มาเจาะกนิ แกนในของลําตนพรอมวางไข เม่ือเปนตวั ออน ก็สามารถนําไปรับประทานไดมีโปรตนี สงู 13. ใชย อดออนทําเปนอาหาร ยอดออนทีม่ ีอายุ 4-5ป นํามารับประทาน 14. ใชรากทํายาพืน้ บา น โดยเฉพาะรากแขนงท่ีเชื่อวารักษาอาการปวดศีรษะได 15. ผลใชรับประทานได ผลมีรสเปรี้ยวและฝาดเลก็ นอ ยสามารถลดความดันโลหติ สูงและบรรเทาอาการเปน โรคเบาหวานได 16. ปลูกเปน ไมประดับ สวนใหญมักนิยมปลูกเปนไมป ระดบั เมอ่ื เปนตนเล็กสวนของกานใบ มีสีแดงสดคลายกบั ตน หมากแดง 5.ภูมปิ ญ ญาการเลี้ยงปนู ่มิ เจาของภูมิปญญา ช่อื นายเอกพล ธญั ญพักตร อยบู านเลขท่ี 37/2 หมทู ี่ 9 บานใต ตําบลบางเตย อําเภอเมอื ง จังหวัดพังงา รหสั ไปรษณยี  82000 โทรศัพท 089-8737402 ภมู ลิ าํ เนาเดมิ เปนคนตําบลมะรยุ อาํ เภอทับปดุ จงั หวดั พงั งา เกิดวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2509 อายุ 42 จํานวนบตุ ร 4 คน จบการศึกษาประถมศึกษาปที่ 6 มีประสบการณในการเลยี้ ง ปนู ่มิ มา 10 ป •แนวคิดและอุดมการณ กอนท่ีจะมีอาชพี เลยี้ งปูนมิ่ นายเอกพลมีอาชีพเล้ยี งปลากรายและหอยนางรม วนั หนึ่งมีโอกาสไปดกู ารเลยี้ งปนู ิ่มท่ีจังหวดั ระนอง ในป พ.ศ 2536 ไดขอคาํ แนะนําพรอมลูกปูมาทดลองเลีย้ ง โดยใชเงนิ ทุนไปกอ นหนงึ่ ใชเ วลาลองผดิ ลองถกู อยู 45 วนั จนไดร ับผลผลิตประมาณ 60 % นาํ ไปขายที่ตลาด

26จังหวดั กระบ่ี ไดผ ลกาํ ไรจึงตัดสนิ ใจเล้ียงปูนิ่มเพื่อประกอบอาชพี หารายไดเล้ียงครอบครัว โดยมแี ผนจะขยายพืน้ ทเี่ ล้ียงเพื่อรองรบั ผูบริโภคท้งั ในและตางประเทศ •องคความรูข องภูมิปญ ญา การเล้ียงปนู ิ่มเปนอีกหน่งึ ภูมิปญญาของเกษตรกร ท่ีคิดคนจนทาํ ใหผลผลติ มีมลู คา เพมิ่ขน้ึ จากปดู าํ ธรรมดา เกษตรกรสามารถคิดคน หาวธิ เี พาะเลี้ยงจนไดเ ปนปูน่ิม ซงึ่ นอกจากราคาจะสงู กวาปูดําปกตแิ ลวกย็ งั เปน ทีต่ องการของตลาด เพราะเปนท่ีนิยมของผูบริโภค เน่ืองจากปญ หาสวนใหญท คี่ นโดยทว่ั ไปไมชอบท่จี ะรบั ประทานปูนน้ั เกดิ จากตองลําบากในการแกะเปลอื กปู แตป ญหาเหลา นัน้ จะไมเกิดขึน้ ในการรับประทานปูน่ิม เพราะทกุ สวนของปูนิ่มสามารถรบั ประทานไดห มด ตดั ปญหาความยงุ ยากในการแกะปูออกไปไดเลย •ข้ันตอนการเล้ียงปนู ม่ิ 1. เลอื กขนาดปทู ่มี ีนํ้าหนกั ตัวขนาด 100 - 200 กรัม 2. ตดั กาม ตัดนว้ิ ปูเหลือไวเพียงกรรเชยี งสองขา ง นําไปปลอยไวใ นตะกรา ตะกราละ10 ตัว ซ่งึ ปจ จบุ ันมตี ะกรา สําหรบั เลย้ี งปูนิม่ อยูกวา 1,000 ตะกรา 3. การใหอาหารในชว งสัปดาหแ รกจะใหตอ เน่ืองทกุ วัน โดยจะเปนเนอ้ื ปลา สปั ดาหท ี่สองจะลดความถีล่ งเหลอื เฉล่ีย 2 - 3 วนั ตอครงั้ 4. ความสะอาดปู โดยใชแปรงสฟี น ขัดเอาตะใครน าํ้ ที่เกาะตัวปูออก เพ่อื สีของปจู ะไดสวยงาม ซงึ่ จะใชเ วลารวม 3 สปั ดาห จากน้ันปูจะลอกคราบออกมากลายเปนปนู ่ิม กอ นจะนาํ มาแชแ ข็งไวเตรยี มสงใหพ อคาท่ีจังหวัดภูเก็ต เฉล่ียกิโลกรมั ละ 200 - 250 บาท •การนาํ ภมู ปิ ญญาไปใชประโยชน ใชป ระกอบอาชพี ซ่ึงปจจุบันมีรายไดเ ล้ียงปนู ิ่มเฉล่ยีเดอื นละ 4 - 5 หม่นื บาท \"ปนู ิม่ \" คอื ปทู ่วั ไปท่นี ํามาเล้ยี งโดยอาศยั การลอกคราบ เนือ่ งจากกระดองของปูเปนสารประกอบพวกหินปูนทมี่ ีความแขง็ แรงมาก จึงไมสามารถยืดขยายตัวออกไปได เมื่อเจริญเติบโตเตม็ ท่ีคอื มีเน้ือแนนเตม็ กระดองจะลอกคราบ เพ่อื ขยายขนาดโดยการสรา งกระดองใหมแทนที่ ระยะเวลาในการลอกคราบจะมีเพม่ิ มากขนึ้ ตามอายุของปู เมอ่ื ปูลอกคราบใหมน้นั กระดองใหมจ ะนิ่ม ผิวเปลอื กยนจงึเรยี กวา ปนู ิ่ม 6. ภูมปิ ญ ญาการทําปุยชีวภาพ เจา ของภูมิปญญาชอ่ื นางวณี ชวยนกุ ูล บานเลขที่ 59 หมทู ่ี 1 บานนบปริง ตําบลนบปริงอําเภอเมืองพงั งา จงั หวัดพงั งา 82000 โทรศพั ท 076 480173 เกดิ วันที่ 1 กรกฎาคม 2482 อายุ 69 ป

27จํานวนบุตร 2 คน จบการศกึ ษาในระดบั ประถมศึกษาปที่ 4 มีประสบการณการทํางาน เปนวิทยากรบรรยายการผลติ ปยุ ชวี ภาพใหแกช าวบาน ตาํ บลถํ้านํา้ ผุด อําเภอเมือง จังหวดั พงั งา •แนวคดิ และอุดมการณ คาดหวังทีจ่ ะใหสมาชกิ ซ่ึงเปนเกษตรกรมีการชว ยเหลือซง่ึ กันและกัน และตองการใหเกษตรผลติ ปยุ หมกั ชวี ภาพใชในครวั เรอื นทําใหล ดตนทุนในการประกอบอาชพีและชวยประหยัดคาใชจายได •องคความรขู องภมู ปิ ญญา ปยุ ชีวภาพ ไดม าจากการนําเอาเศษซากพืช เชน ฟางขา ว ซงัขาวโพด ตน ถัว่ ตาง ๆ หญาแหง, ซากผลไมท ่ีมีในครวั เรือนมาหมกั รวมกับจุลนิ ทรีย (EM) เม่ือหมกั โดยใชระยะเวลาหนึง่ แลว เศษพชื จะเปล่ียนสภาพจากของเดิมเปนผงเปอยยุยสนี ํ้าตาลปนดาํ นําไปใสในไรนาหรือพชื สวน เชน ไมผ ล พชื ผัก หรอื ไมดอกไมป ระดับได วัสดุ 1. ซากพชื เศษผักผลไม, เศษผกั 2. จุลนิ ทรยี  (EM), กากนาํ้ ตาล 3. ภาชนะสําหรับหมัก 4. น้ํา วิธีการ/รายละเอยี ด 1. เกบ็ เศษผักชนดิ ตา ง ๆ และเศษผลไม อาทเิ ชน มะละกอ กลวย ฟกทอง ฯ แชไวใ นกะละมัง ลางใหส ะอาด นํามาสบั กับหญารวมกัน ละลาย อเี อม็ กบั กากนาํ้ ตาล 1 ขันตอ อเี อม็ คร่ึงถังและใสสารเรง 1 (เพ่อื ตองการใหผ กั เปอย) แชไ ว 1 คนื ระวังอยาใหถ กู แสงแดด 2. หลงั จากแชไ ว 1 คนื เปดถงั กวนผักท่แี ชไ วใหจมแลว ปด ฝา โดยตองกวนทุกวัน 3. หมกั ทงิ้ ไว 15 วัน - 20 วนั ก็จะไดปุยชวี ภาพไวใชในครัวเรอื นหรอื จาํ หนา ยได เทคนิคพเิ ศษ สว นผสมของเศษวัสดุ : จุลินทรยี  : กากนา้ํ ตาล ใหม กี ลิน่ หอมหวาน นํ้าเหลว มีรสเปรย้ี วนิด •การนาํ ภูมิปญ ญาไปใชป ระโยชน การถา ยทอดการทําปยุ ชีวภาพใหแกช าวบา นและการผลิตใชเองในครวั เรือน

28 •กลุมผเู รยี นรู 1. กลมุ แมบ า นทา อยู อําเภอตะกั่วทุง จังหวัดพังงา 2 .กลุมแมบ านถ้ําน้าํ ผดุ อําเภอเมือง จงั หวัดพังงา • เนื้อหาการถายทอด 1. เทคนิคและวิธีการทาํ ปยุ ชีวภาพ 2. ใหความรูก ารทําตลาดจากผลิตภัณฑทอ งถ่นิ •สถานท่จี ดั อบรม ศูนยถายทอดเทคโนโลยี หมทู ่ี 2 ตาํ บลถํา้ นาํ้ ผุด อําเภอเมืองพงั งาจังหวัดพังงา ปยุ ชวี ภาพ ปยุ ชีวภาพคือปยุ ธรรมชาติ ชนดิ หนงึ่ ทไี่ ดมาจากการนาํ เอาเศษซากพืช เชน ฟางขา ว ซังขา วโพด ตนถว่ั ตาง ๆ หญา แหง ผกั ตบชวา ของเหลือทิง้ จากโรงงานอุตสาหกรรมตลอดจนขยะมลู ฝอยตามบานเรือนหมักรว มกับมูลสัตวปยุ เคมหี รือสารเรง จลุ นิ ทรยี  เมอื่ หมกั โดยใชระยะเวลาหนึ่งแลว เศษพชื จะเปลีย่ นสภาพจากของเดิมเปน ผงเปอ ยยยุ สีนา้ํ ตาลปนดํานําไปใสในไรน าหรือพืชสวน เชน ไมผ ล พชื ผักหรอื ไมดอกไมป ระดับได ซึง่ มีประโยชนตอสงิ่ ตาง ๆ ดังนี้ 1. ชว ยเพม่ิ ปริมาณอินทรยี วัตถใุ หแ กด นิ ทาํ ใหดินอุดมสมบรู ณ 2. ชว ยเปล่ยี นสภาพของดินจากดินเหนยี วหรือดินทรายใหเปน ดนิ รวน 3. ชว ยสงวนรักษาความชุมชื้นในดนิ ไดดขี ึน้ 4. ทําใหการถายเทอากาศในดินไดด ี 5. ชว ยเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการใชปุยเคมีและสามารถลดการใชป ุย เคมลี งได 6. ชว ยกระตุนใหธาตุอาหารพชื บางอยางในดนิ ที่ละลายนํา้ ยากใหละลายน้ํางา ยเปนอาหารแกพชื ไดด ีขน้ึ 7. ไมเ ปน อันตรายตอ ดินแมจะใชใ นปริมาณมากๆ ตดิ ตอกัน นาน ๆ 8. ชว ยปรบั สภาพแวดลอม เชน กาํ จัดขยะมูลฝอยและวชั พืชนํา้ ทั้งหลายใหห มดไป

29ภมู ิปญ ญาดา นศิลปหตั ถกรรม การทาํ หตั ถกรรมของชาวพงั งาสวนใหญเปนงานจักสานโดยนําวสั ดุธรรมชาตทิ ่มี อี ยใู นทอ งถ่นิ มาทาํ ส่ิงของเครื่องใชต าง ๆ เชน หวาย ไมไ ผ สาํ หรบั ใชในชีวิตประจําวนั และเพอ่ื จาํ หนาย เครื่องจักสานทีช่ าวพังงาประดษิ ฐข ้ึนแบง ตามประเภทและประโยชนของการใชง าน ไดแก 1.เครื่องใชใ นครัวเรือน สานหรอื ทําจากไม ไมไผ หวาย ใบเตย ใบลาน ใบไผ จาก สาคูเชน เขง กระชอน บงุ ก๋ี ไมกวาดดอกออ เสื่อใบเตย ฝาขัดแตะ ครกสขี าว ครกและสากตําขาว กระดงชะลอม ตะแกรง ตะกรา กระเชอ จากมงุ หลงั คา และเครอ่ื งมือในการเกบ็ เกย่ี วพชื ผลทางการเกษตร 2.เคร่ืองมือในการทาํ มาหากิน เปนเคร่ืองมือยงั ชีพในสมัยโบราณ สวนใหญจะทาํ ดวยไมซึ่งมีช่อื แตกตางกนั ไปแลวแตทองถิน่ เคร่ืองมอื ท่ีชาวพงั งานิยมใช คอ มขังไก รังไก ไช ลอบ สุม ตะของละมุ แห โพงพาง จั่น หยองปู นาง ครอบดกั นก นัง่ ได 3.เคร่ืองประดบั ตกแตง นอกจากชาวพังงาจะประดิษฐเครื่องมือเคร่ืองใชใ นครวั เรือนไวใชเ องและจําหนา ยแลว ยงั ประดิษฐดอกไมจ ากเกล็ดปลา ซังขาวโพด และใบยางพารา จําหนา ยเปนสินคาอีกดว ย ที่ทาํ มากคือ ดอกไมใ บยางพารา 1. ภมู ิปญญาการตีมดี เจา ของภมู ิปญ ญา ช่อื นายวิเชียร แกว หาญ ปจ จบุ ันอยูบานเลขท่ี 4/2 หมูท่ี 4 บางเสียดตําบลบางเตย อําเภอเมือง จังหวดั พังงา รหสั ไปรษณยี  82000 โทรศัพท 076-596101

30 ภูมลิ าํ เนา ตาํ บลบางเตย อําเภอเมืองพงั งา จงั หวดั พงั งา เกิดวนั ที่ 24 เดอื นมถิ ุนายนพ.ศ. 2494 อายุ 57 ป จาํ นวนบตุ ร 2 คน จบการศกึ ษาในระดับประถมศกึ ษาปท่ี 4 มีประสบการณใ นการตีมดี โดยไดส บื ทอดมาจากลงุ และไดฝกตีมดี มานาน 15 ป •แนวคดิ และอุดมการณ ตองการใหมีการสบื ทอดภมู ปิ ญญาในการตีมีดตอจากตนเองเพราะนบั วันอาชีพเหลา นีจ้ ะหายไปจากสังคมไทย ซึง่ อาชีพเหลานจี้ ะเปน ทางเลือกใหแ กสังคมไทยได •องคค วามรูของภูมิปญ ญา การตีมดี ใหคม และสามารถใชประโยชนได โดยเนน ความประณตี และคุณภาพ ที่สําคญั เหล็กทนี่ ํามาใชต ีมีดตองเปนเหลก็ คณุ ภาพดีเทานน้ั อุปกรณแ ละเครื่องมือที่ใชใ นการตมี ดี ไดแก เหล็ก เตาเผา ถานไมและเหล็กเข่ยี ถา น ทัง่เหล็กสําหรับใชรองเหล็กที่จะตหี รือตัด คอนเหล็ก เหลก็ สกดั สําหรับตัดเหลก็ ใหไดขนาดตองการ คมี จบัเหลก็ ตะไบเหล็ก เครื่องเจยี ระไนไฟฟา เครื่องสบู ลมไฟฟา อางนาํ้ หรือถังนํา้ หนิ ลับมีด เหล็กตอกลวดลาย (ตุดตู) เศษผงเหล็กสาํ หรับขดั ผิวเหลก็ ใหเ รยี บ โดยมีขัน้ ตอนดังตอไปน้ี 1. การตัดและผา เหลก็ 2. การแบนหรือการตีหลาบ 3. การทําบอ งหรอื เดือย 4. การตแี ตง 5. การตะไบแตง 6. การชุบคม •การนาํ ภมู ิปญ ญาไปใชประโยชน การซอ มแซมมดี ใหช าวบา น เชน พรา, ขวาน, มีด เพื่อนาํ ไปใชในการประกอบอาชีพตา ง ๆ

31ภมู ิปญญาดา นศลิ ปะการแสดงและดนตรี ศิลปะการแสดงของจังหวัดพังงา ท่มี ี คือ มโนราห , หนงั ตะลงุ , รองเงง็ , ลเิ กปา, เพลงดีเกยี , การราํกา หยง, การรํากลองยาว 1. ภมู ปิ ญ ญาการตีกลองยาว เจาของภมู ิปญญาช่ือ นายสุเทพ ยศยิ่ง เลขท่ี 63 หมูที่ 5 บานปา กอ ตําบลปากอ อําเภอเมอื งพงั งา จงั หวัดพงั งา รหัสไปรษณยี  82000 เกดิ วันที่ 2 กมุ ภาพนั ธ พ.ศ 2498 อายุ 53 ป จาํ นวนบุตร 2 คน จบการศึกษาปที่ 6 มปี ระสบการณในการตีกลองยาว เร่มิ ทํามาต้ังแตอายุ 35 ป •แนวคดิ และอุดมการณ เพือ่ พัฒนาใหเปนศิลปะพืน้ บา นโดยตอ งการใหชาวบา น เยาวชนนกั เรยี นไดฝก การตีกลองยาว และตองการใหศ ิลปะการตกี ลองยาว อยูคูกับสงั คมไทยตลอดไป •การนําภมู ปิ ญ ญาไปใชประโยชน - รว มแสดงแหส งกรานตของหมบู าน ตาํ บลปากอ อาํ เภอเมอื งพังงา - รวมงานแขงขันกีฬาสขี องวิทยาลยั เทคนคิ จงั หวัดพังงา •องคค วามรูของภมู ปิ ญญา การแสดงกลองยาวจะแสดงเปนคณะ ซ่งึ ตองใชผูแสดงประมาณ 20 คน มที งั้ การแสดงกลองยาวอยางเดียว และการแสดงดนตรีประกอบดวย การแสดงกลองยาวอยางเดียวจะใชผ แู สดงประมาณ10 คน โดยแสดงตามงานบวช งานกฐนิ ผาปา งานเทศกาลตา ง ๆ โดยมีเครอ่ื งดนตรี อุปกรณท ่ีประกอบการแสดง ดังนี้ กลองยืน กลองหลัก ไมกรับ โหมง ฉง่ิ ฉาบยืน ฉาบหลัก •ผสู ืบทอดภมู ปิ ญญา 1. ด.ช.คฑาวฒุ อักษรศรี หมูท่ี 3 ตําบลปากอ อําเภอเมืองพงั งา 2. ด.ช.จักรพงษ ดรณุ มิตร หมทู ี่ 5 ตําบลปากอ อําเภอเมืองพงั งา 3. ด.ช.ภวู นิ พรหมสอาด หมูท่ี 3 ตําบลปา กอ อําเภอเมอื งพงั งา 4. ด.ช.วิรพงษ วงศแฝด หมูที่ 3 ตําบลปากอ อําเภอเมืองพังงา

32 5. ด.ญ.สนุ ิศา ขมักการ หมทู ่ี 4 ตาํ บลปากอ อําเภอเมอื งพงั งา 6. ด.ญ.สภุ ิญญา ชูปาน หมูที่ 5 ตําบลปากอ อาํ เภอเมืองพงั งา 7. ด.ญ สุมิตตา พฒั แกว หมทู ี่ 3 ตําบลปา กอ อาํ เภอเมอื งพงั งา •กลมุ ผูเรียนรู 1. นกั เรยี นโรงเรียนในหมบู าน 2. เยาวชนในหมูบ าน •เนื้อหาการถา ยทอด 1. จัดอบรมการตกี ลองยาว การราํ ประกอบการตีกลองยาว •วิธถี ายทอด 1. การสาธิตวธิ กี ารตกี ลองยาว 2. การบรรยาย •สถานทีจ่ ดั อบรม -ศาลาประชาคมของหมบู า น ใน ตาํ บลปากอ อาํ เภอเมืองพังงา 2.ภูมปิ ญ ญาศลิ ปะการแสดงพื้นบา นหนังตะลงุ เจาของภมู ิปญญาช่ือ นายเพยี ร กลบั ทับลัง อยบู า นเลขท่ี 27/6 หมูที่ 7 บา นเผลตาํ บลนบปรงิ อําเภอเมืองพังงา จงั หวดั พังงา รหัสไปรษณีย 82000 โทรศัพท 084-8445209 ภมู ิลาํ เนาเดมิเปนคนอาํ เภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดวันที่ 10 เดอื นกันยายน พ.ศ. 2497 อายุ 54 ป จํานวนบตุ ร 2 คน จบการศึกษาในระดบั ประถมศกึ ษาปที่ 4 มปี ระสบการณในการแสดงพ้ืนบานหนงั ตะลงุ มานาน ในปจ จุบันไดรบั การคัดเลอื กใหเ ปน ประธานชมรมศิลปนพนื้ บานจงั หวัดพังงา •แนวคดิ และอดุ มการณ สบื ทอดศิลปะการแสดงพ้นื บา นหนงั ตะลุงตอไป •องคค วามรขู องภูมิปญญา นายเพียร กลบั ทบั ลังจะ เลน หนงั ตะลุงในแนวนทิ านพ้นื บา น และรอ งเพลงเสริมเพ่ือใหเ กิดความบันเทงิ รื่นเรงิ และการเลนหนังตะลงุ ในแนวนทิ านพื้นบา นนี้ ฉายใหเห็น

33ภาพของคนในการดาํ เนนิ ชีวิตจรงิ ทงั้ ในอดีตและปจจบุ ันไดเ ปน อยางดี........ฉะนนั้ ตนจงึ อยากใหช าวไทยทกุ คนโดยเฉพาะ“ชาวใต”ใหชวยกนั อนุรกั ษห วงแหนสิ่งนไี้ ว” •การนาํ ภมู ปิ ญญาไปใชป ระโยชน การแสดงเพ่ือความบันเทิง แกบน งานบวช • ความเปนมาของหนงั ตะลุงพังงา สาํ หรบั หนังตะลุงฝง ตะวันตก คือบริเวณพ้นื ทภี่ ูเกต็ พังงา และตะกว่ั ปา จากคําบอกเลาของนายหนังตะลุง เชอื่ วา หนงั ฝงตะวนั ตกไดรบั อทิ ธิพลมาจากหนงั ใหญภาคกลาง โดยตามประวตั ิเลาวา นายรอด ซึง่ เปนนายหนงั ตะลุงคนแรกของจงั หวดั พังงา เปนผูไปศกึ ษาศิลปะการแสดงหนังมาจากเมืองเพชรบุรี หนังตะลงุ พงั งาเดิมมีชื่อเรียกวา \"หนังปละหลาง\" (ฝา ยถลาง) และจากคาํ เรียกขานดังกลา วเปน เครอ่ื งยนื ยันวาหนงั ตะลงุ ของจังหวดั พังงาไดรบั อทิ ธิพลจากถลาง ภเู กต็ • องคป ระกอบในการแสดงหนงั ตะลงุ ประกอบดวย นายหนัง รปู หนัง เร่ืองทจ่ี ะแสดงโรงหนัง เคร่ืองดนตรี ลูกคูแ ละฉาก ตลอดจนตัวประกอบอ่ืน ๆ

34ภูมปิ ญญาดา นการแพทยแ ผนไทยและสมุนไพร การแพทยแ ผนไทย หมายถึง ปรชั ญา องคค วามรู และวิถีปฏบิ ัตเิ พือ่ การปฏบิ ัตกิ ารดูแลสขุ ภาพและการรักษาความเจบ็ ปว ยของคนไทยแบบดัง้ เดมิ สอดคลองกบั ขนบธรรมเนยี มวฒั นธรรมไทย และวิถีชวี ิต วิธีการปฏบิ ตั ิของการแพทยแผนไทยประกอบดวยการใชส มนุ ไพร หตั ถบาํ บัด การรกั ษา กระทําการใชพ ทุ ธศาสนาหรือพธิ ีกรรม เพือ่ ดูแลการรักษาสขุ ภาพจติ ธรรมชาตบิ าํ บัด ซ่ึงไดจากาการสงั่ สมประสบการณอ ยางเปนระบบ โดยการบอกเลา การสังเกต การบนั ทกึ และการศึกษาผานสถาบันการแพทยแผนไทย ดวยการท่กี ารแพทยแผนไทยมีสวนเก่ยี วขอ งสมั พันธก บั วฒั นธรรม ประเพณีและความเชอื่ ของคนไทยอยมู าก ชาวจังหวดั พงั งาโดยเฉพาะในชนบทจงึ ยงั คงสืบทอดความรูและการปฏบิ ัติของการแพทยแผนไทยมาตลอด ไดรับความรูใ นการใชส มนุ ไพรจากบรรพบรุ ุษทาํ การรักษาโรคตา ง ๆ สวนหน่ึงไดม ีการบนั ทึกเปน ตํารายาพน้ื บาน ซึ่งคนพบไดจ ากสมุดใบลาน หนงั สือขอย หรือหนงั สอื บุด นอกจากนี้ยังใชวธิ ีการนวด และการใชพธิ ีกรรมความเช่ือ เพื่อใหผ ลรกั ษาทง้ั ทางรา งกาย และจติ ใจ ทง้ั น้ี เจาของภูมปิ ญญายังมคี วามคาดหวงั และตอ งการใหม ีผูสบื ทอดกรรมวิธที างภมู ิปญญานี้ตลอดไป มิฉะน้ัน เราจะสูญเสยีเอกลกั ษณ และมรดกอันลาํ้ คาทบ่ี รรพบุรุษไดสะสมเอาไวใหเราอยางนา เสียดาย 1.ภมู ิปญ ญาแพทยสมุนไพรไทย การรกั ษาไขไทฟอยด เจา ของภูมิปญญาช่อื นางนารี เกตุรักษ ปจ จุบันอยูบา นเลขที่ 27/1 หมูท่ี 2 บา นฝา ยทาตาํ บลถาํ้ น้ําผุด อาํ เภอเมอื งพังงา จังหวดั พังงา รหสั ไปรษณยี  82000 เกิดวันท่ี 6 กุมภาพนั ธ พ.ศ. 2501อายุ 50 ป จํานวนบุตร 2 คน จบการศกึ ษาในระดบั ประถมศึกษาปที่ 4 มปี ระสบการณท าํ งาน รกั ษาผปู ว ยไขไ ทฟอยดม านานแลวกวา 5 ป ซึ่งชาวบานเรยี กไขชนดิ น้ีวา ไขขน •แนวคดิ และอดุ มการณ เพื่อรักษาผปู วยไขไ ทฟอยด เนื่องจากผูปวยบางคนรักษากับแพทยแผนปจ จบุ ันเสียคา ใชจายเปน จาํ นวนมากแลว ยังแลว ไมหาย จงึ ทดลองกลับมารักษากบั หมอพนื้ บาน •ผสู บื ทอดภมู ปิ ญ ญา นายวัลภา เกตุรักษ และนายเชาวลิตร เกตุรักษ บา นเลขท่ี 27/1หมูท ่ี 2 ตาํ บลถ้ํานาํ้ ผุดอําเภอเมืองพงั งา จังหวัดพังงา •องคค วามรขู องภมู ิปญญา นําสมุนไพร คอื โดไ มรูลม เถาวัลยเ ปรยี้ ง หญา ขน ทงั้ 5รากหญา เตย เปน ตน มาหนั่ เปน ทอ นๆ แลวใสหมอ ดนิ ใสน ํา้ ใหท วมตวั ยา ด่มื ครั้งละครึ่งถว ยชาวนั ละ 3 คร้งั กอนอาหาร จะหายใน 3-7 วนั

35 •กลมุ ผเู รียนรู 1. ผทู ีเ่ รยี นรสู ว นมากจะเปนกลุมบุคคลทีม่ ารกั ษา •เน้อื หาการถา ยทอด 1. เนอ้ื หาเก่ียวกับการรักษาโรคไทฟอยด โดยใหเ รียนรูจากการรกั ษาจริง ๆ โดยจัดการฝกอบรมท่ีบา นของนางนารี เกตุรกั ษ •การนําภูมปิ ญญาไปใชประโยชน เพื่อรักษาผปู ว ยใหหายดวยยาสมุนไพร 2.ภูมปิ ญญา การทาํ ชาสมุนไพรกะเปก รกั ษาโรคหอบหืด นิว่ เบาหวาน ความดันโลหติ สงู หัวใจ เจาของภมู ปิ ญ ญาชือ่ นางคล่ี สงิ หการ ปจจบุ ันอยบู านเลขท่ี 35/5 หมทู ี่ 1 บานบางเตยเหนือ ตําบลบางเตย อาํ เภอเมืองพังงา จังหวดั พงั งา รหสั ไปรษณีย 82000 โทรศพั ท 076-596265 เกิดวันท่ี1 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2487 อายุ 64 ป จาํ นวนบตุ ร 2 คน จบการศึกษาในระดบั ประถมศกึ ษาปท ี่ 4 มีประสบการณในการทาํ ชาสมุนไพรมา 7 ป โดยไดรบั การถายทอดจากพระอาจารยค ลาด วัดบางเตย ตําบลบางเตย อาํ เภอเมืองพังงา จังหวดั พงั งา •แนวคดิ และอดุ มการณ เพ่ือตอ งการชวยเหลือผทู ีม่ ีโรคประจาํ ตวั โดยใชชาสมุนไพร •องคค วามรขู องภมู ิปญญา ถายทอดความรูมาจากอาจารย โดยไดท าํ เปน แคปซูลและทาํเปน ผงเพื่อบาํ บดั โรค ลดความดัน ลดเบาหวาน ลดไขมนั บาํ บัดภูมแิ พ หดื -หอบ ขับปสสาวะ ลางไต •การนาํ ภมู ิปญ ญาไปใชป ระโยชน รกั ษาผปู ว ยดา นอาหารและโภชนาการ ดานแพทยแ ผนไทยและสมนุ ไพร โดยจําหนายชดุ ละ 200 บาท

36 กะเปก (หนอไมน ํา้ ) “กะเปก”(หนอไมนา้ํ ) เปนพันธุไมจ ากเมอื งจีน มชี อื่ “โคบา” (COBA) หรือเรียกวา“กะเปก” ในภาษาจีน ฮกเก้ียน บางคร้งั เรียกวา หนอไมนาํ้ มีถนิ่ กาํ เนดิ ในประเทศจีน แถบมลฑล กวางตงุซานตง กวางสี และไตหวนั “กะเปก”เริม่ เขา มาในประเทศไทยโดยชาวยนู าน ทอี่ พยพมาปลกู ในภาคเหนือ สวนทางภาคใตน าํ เขามาทางมาเลเซีย สวนในจังหวัดภเู กต็ มีมากวา 60 ป โดย นายหม่ิน เอกวานชิ เปน ผูเริ่มการปลูกตน กะเปกเปนคนแรก ลกั ษณะของ“กะเปก” “กะเปก”เปนพืชทมี่ ีอายุยืนนาน ไมจดั อยูใ นประเภทพชื ลมลุก โดยจะอยลู ักษณะเปนกอๆ เจริญอยูในนาํ้ ไมลึกมาก ลาํ ตนใตดนิ เปน ไหล มรี ากยดึ พ้ืนดนิ ไว ลําตน เหนือดินลักษณะคลา ยตน ขาวขนาดใหญลาํ ตน ตรงบริเวณระดบั นาํ้ จนบวบพอง ตนสูงประมาณ 60 -80 เซนติเมตร ดอกเปนชอใหญ ยาวประมาณ 40 - 50เซนตเิ มตร ประกอบดวยดอกยอ ยขนาดเลก็ จาํ นวนมาก โดยตนกะเปกตวั ผูออกดอกเปนสีขาว สาํ หรบั ตนกะเปกตัวเมยี จะออกฝก ทน่ี ําไปรบั ประทานได และมกี ารปลูกคลา ยกับตนขา ว ประโยชนของ“กะเปก” 1. ใชปรุงอาหาร เชน ผัดกับเนอื้ ไก สกุ ร กุงและของทะเลอื่นๆอาหารท่ีนยิ มกันมาก คือ กะเปกผกั กงุ สด กะเปกผดั นาํ้ มนั หอย กะเปกใสแกงสมปลา 2. สว นท่ีสดของกะเปกทเ่ี ราไมใช เชน กาบ สวนยอดรวมทั้งใบสามารถนาํ ไปเปนอาหารสตั วได สว นเศษทเ่ี ราเฉือนทงิ้ และสวนทแ่ี กย งั สามารถนาํ ไปใหส กุ รกินสด ๆ ก็ได 3. สวนท่ไี มใชถ า เราไมน ําไปเปนอาหารสตั ว ยังสามารถนาํ ไปทําปุยหมกั ไดอีกดวย 4. ใชแกปญหาการใชท่ีดินใหเ กดิ ประโยชนทางเศรษฐกจิ คุณสมบตั ิในการรกั ษาโรค 1. รักษาโรคเบาหวาน 2. รักษาโรคความดนั โลหิตสูง โดย ชวยลดความดันใหมคี าตํา่ ลง 3. บําบดั โรคภมู แิ พ หดื -หอบ 4. ขบั ปส สาวะ ลา งไต 5. บาํ บัดรักษาโรคมะเร็ง

37 3. ภูมิปญญา การนวดอมั พฤกษ อัมพาต (เฉพาะเสน ) เจา ของภูมิปญญาช่ือ นายยาขวาด นพรัตน อยบู านเลขท่ี 14 หมูท่ี 6 บา นกลาง ตําบลบางเตย อาํ เภอเมืองพงั งา จงั หวดั พงั งา รหสั ไปรษณีย 82000 โทรศัพท 076-596253 เกิดวันท่ี 1 มกราคมพ.ศ. 2486 ปจ จุบันอายุ 65 ป จํานวนบุตร 5 คน จบการศึกษาในระดับประถมศึกษาปที่ 4มปี ระสบการณท ํางาน ไดเรยี นรจู ากหมอแมทาน (คาํ เรยี กหมอตําแยของคนภาคใต) โดยไดแ อบพกั ลกั จํามา แลวนํามาปรับปรุง และฝกฝนจนเกดิ ความชํานาญ •แนวคดิ และอุดมการณ ดว ยนสิ ัยด้ังเดมิ เปน คนมีใจรัก ใจชอบทีจ่ ะไดช ว ยเหลือญาติพี่นอ งและชาวบาน ดงั นนั้ เมื่อมผี ูม ารักษาจงึ ตองการรกั ษาใหห ายจากโรค ทั้งนเี้ พ่ือใหเกิดความนาเช่ือถือและเปน ท่รี ูจ ักของผูค น •องคค วามรขู องภมู ปิ ญ ญา เรียนรูและพฒั นาการจบั เสน เพื่อชวยเหลอื ผูป วย โดยจะตองเนน การนวดเพื่อฟน ฟูเสนเอ็นหรือเสน เลอื ดที่มปี ญหา และเปนสาเหตุใหการไหลเวยี นของโลหิตตดิ ขัดการนวดบาํ บัดรักษาจะเปนวิธกี ารคลายเสนเลอื ด เพ่ือละลายไขมันทอ่ี ุดตันใหการไหลเวยี นของโลหิตเปนปกติ สว นระยะเวลาการรกั ษาขึ้นอยูกบั อาการของผูปวย และท่สี ําคัญข้นึ อยูกบั ผูปว ยเองวาจะมกี ําลงั ใจมากนอยแคไ หน ซ่ึงตนไมไดท าํ หนาทเี่ พยี งการรักษาอาการปวยทางกายเทานั้น แตยังทาํ หนาท่ีในการชว ยขจัดความคับขอ งใจในดานอื่น ๆ ของผูปวยท่ีมาหาจะทาํ ใหรสู ึกอบอนุ มคี วามสบายใจ เกิดความเปน กนั เอง •การนําภูมปิ ญญาไปใชประโยชน รักษาผปู วยใหห ายจากอาการบาดเจ็บ •ผูสบื ทอดภูมิปญญา 1.นางประหยัด นพรัตน บานเลขท่ี 14 หมทู ่ี 6 บา นกลาง ตาํ บลนาเตย อาํ เภอเมืองพังงาจังหวดั พงั งา 4. ภมู ิปญญาทอ งถิน่ หมอบีบนวด\"การนวดจับเสน\" เจา ของภูมิปญญาชื่อนายหยา หมาดสตูล อยูบานเลขที่ 26/4 หมทู ี่ 2 บานฝา ยทา ตาํ บลถาํ้ นํ้าผดุ อําเภอ เมืองพังงา จังหวัด พังงา รหัสไปรษณยี  82000 เกิดวนั ที่ 29 มนี าคม พ.ศ 2497

38อายุ 54 ป มบี ตุ ร จํานวน 2 คน จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ปท ี่ 4 มีประสบการณใ นการทําเสน เอน็โดยเรมิ่ ทาํ ตงั้ แตอายุ 25 ป และทาํ มาเรอื่ ย ๆ จนชํานาญ ซึ่งไดรบั วธิ ีการนวดจบั เสนมาจากบรรพบุรุษ(ครมู อบให) •แนวคดิ และอดุ มการณ ตองการหาผูสบื ทอดการรกั ษาโรคกระดกู \"การนวดจับเสน \" แผนโบราณ ซ่ึงจะตองเปน คนสุขุมเยอื กเย็นมคี วามเมตตากรุณา เสียสละ และขยนั หมนั่ เพยี รหรือคนทม่ี ีความสามารถในการเรียนรูการรักษา •องคค วามรูของภมู ปิ ญ ญา การนวดจบั เสน เปน การนวดเพื่อบาํ บดั อาการเม่ือยเฉพาะจุดหรือตามขอ การยึดติดของพังผดื ของรางกายใหท เุ ลา สามารถรกั ษาความเจ็บปวดของเสน ใหห าย โดยข้นั ตอนแรกตนจะตรวจรา งกาย ตรวจดูอาการโดยการซกั ถามและใชม ือคลาํ ดตู รงบริเวณทีเ่ คล็ดขดั ยอกจากน้นั มาถงึ ขั้นตอนของการรกั ษา ใชวิธบี ีบนวดและทานํ้ามันบรเิ วณทเี่ คลด็ ขัดยอก และเม่อื รกั ษาใหหายจากเคล็ดขัดยอกแลวตอ งนาํ เงนิ มาใหหมอ •การนาํ ภมู ิปญญาไปใชประโยชน รักษาผปู วยใหห าย เพื่อใหพ น จากความทุกขจากความเจบ็ ปว ยโดยไมหวังสนิ จา งรางวัลหรือสิ่งตอบแทนใด แตเพอื่ ความเจริญรอยตามบรรพบุรุษ ตามท่ไี ดรับการสั่งสอนสืบทอดกันมา 5. ภูมิปญ ญา การรกั ษาโรคไขไ ทฟอยด เจาของภมู ิปญญา ช่ือนายมานิตต สวสั ดิรกั ษา บานเลขท่ี 27 หมูท่ี 2 บา นบางมา ตําบลทงุ คาโงก อําเภอเมอื ง จงั หวดั พังงา รหสั ไปรษณีย 82000 เกดิ วนั ท่ี 1 มกราคม พ.ศ. 2492 อายุ 59 ปจาํ นวนบุตร 3 คน จบการศึกษาในระดบั ประถมศกึ ษาปที่ 4 มีประสบการณในการรักษาโรคไขไทฟอยดมานาน 10 ป โดยไดรับการถา ยทอดจากญาตพิ ีน่ อง •แนวคิดและอุดมการณ ชว ยรักษาผปู วยใหห ายดวยสมนุ ไพรพ้นื บาน •องคค วามรขู องภูมิปญ ญา การแพทยแ ผนไทยมีววิ ัฒนาการมาชานานเปน มรดกทาง ภูมิปญญาของคนในทองถิ่นโดยการปรุงยารกั ษาโรคไขไทฟอยด (ไขขน) โดยนํายาสมนุ ไพร เชน รากหญา งบั รากหญาคา รากหญาตีนกา เปนตน มาตม ใหผูปวยดื่มคร้ังละคร่ึงชอนชากอนอาหาร เชา - เยน็ จนหมดหมอ

39ในการรกั ษาตวั ผูปว ยตอ งปฏิบตั ติ ัวตามขอ หา มของหมออยางเครง ครัด (ของมนั ของคาวรบั ประทานเปนของแสลงสําหรบั ผปู ว ย) •การนําภมู ิปญญาไปใชป ระโยชน เปนภูมิปญญาท่ีเกิดจากการส่ังสมความรูค วามชาํ นาญมาแตโ บราณ เอ้ือประโยชนต อการดํารงชีวติ ของมนุษย โดยเฉพาะในชนบททัง้ ในอดีตและปจจุบนั ไดร บัประโยชนจากภมู ิปญญาดังกลา ว 6. ภูมปิ ญ ญาการรกั ษาโรคไขไทฟอยด และดีซาน เจาของภมู ปิ ญญาชือ่ นางสจุ ติ ร เสมพืช อยูบานเลขที่ 36 หมู 2 บานปากหราตําบลนบปริง อาํ เภอเมือง จังหวัดพงั งา 82000 โทรศพั ท 076 - 414283 เกิดวันที่ 29 พฤศจิกายนพ.ศ. 2495ปจจบุ ันอายุ 56 ป เปนคนจังหวัดพังงา ประกอบอาชีพนี้มาตง้ั แตอายุ 20 ป ซงึ่ ไดร ับการถายทอดมาจากบดิ าถายทอดใหพ่ีสาว เมื่อพี่สาวเสียชวี ิต นางสจุ ติ ร เสมพชื ไดประกอบอาชีพนี้แทนพี่สาว โดยไดทราบจากคําบอกเลา ของบิดาวา ไดเ รยี นรวู ิชามาจากอากง ซง่ึ มาจากเมอื งจีน แลวมาศกึ ษาวชิ าจากหมอยาสมุนไพรในเมอื งไทย โดยตนนัน้ ไดเรม่ิ เรียนวชิ าแพทยแผนโบราณมาตง้ั แตเ ด็ก คือไดสังเกตและจดจาํจากการท่ีบิดารกั ษาผูปวยท่ีบาน และเร่มิ ฝกฝนมาเร่ือย ๆ จนอายุ 20 ป ก็สามารถชวยเหลอื บิดาจดั ยารกั ษาคนไขไ ด และรบั สบื ทอดตอจากบิดาและพ่สี าวทีเ่ สยี ชวี ติ โดยปจจุบนั มีตาํ รายาสมนุ ไพรแผนโบราณซึ่งเปน สมุดไทยขาว ไดม าจากนายดว ง สมุดไทยขาวเลม นี้ผูหญิงไมส ามารถแตะตองได เมือ่ ถึงเวลาไหวค รูหรอื จะตอ งจดั ยาขนานท่ไี มชาํ นาญตนจะตองใหห ลานชายเปนผเู ปดให นางสุจิตรเลา ถึงแรงบันดาลใจในการเปนหมอยาสมนุ ไพรวา เรม่ิ แรกตนน้นั ไมสบายเลือดลมไมด ี ในขณะน้นั บดิ าเสยี ชีวิตไปแลว วนั หนึ่งไดน อนแลวฝนวา อากงมาหาแลว ลูบหัว 3 คร้ัง และบอกวายาของเรากม็ ใี หตมกินเสยี หลงั จากนน้ั ไดไ ปเปด ตาํ ราดูก็พบวา มตี รงกบั ยาที่ฝนถงึ จงึ ไดนํามาตมกินทําใหหายจากโรคดงั กลาว หลงั จากน้นั จึงมผี ปู วยมาหาใหตม ยาอยูเปนประจํา ยาทเี่ ชยี่ วชาญคือโรคไทฟอยด ดีซา น สว นคุณธรรมทีย่ ดึ ถือปฏิบัติคือความซอื่ ตรง ซือ่ สตั ยสุจรติ และความเมตตากรณุ า ซ่ึงเปน คุณธรรมท่ียึดถือมาตลอด ประสบการณการเปนหมอยาสมนุ ไพร ทํามาตง้ั แตอายุ 20 ป •แนวคดิ และอุดมการณ ตองการรักษาผูป ว ยใหหายจากโรค

40 •องคความรูของภูมิปญ ญา นํายาสมุนไพรประกอบดว ย ไมเทา ยายหมอง, หญายานนาง, รากหมากรากมะพรา ว ชะโดไมร ูลม (หญา พงั กาบ) และหญาใตใบมาผง่ึ แดด ใหแหง และนําสว นผสมเทา ๆกนั ใสลงไปในหมอ ใสน ํา้ ใหท ว ม ตม ใหเ ดอื ดแลวดมื่ วันละ 1 เวลา •การนําภูมปิ ญ ญาไปใชประโยชน ใชรักษาโรค เพ่อื ตองการชวยเหลอื ผทู ่ีตองการมารกั ษาใหหายจากการปว ย 7. ภมู ปิ ญญาการรักษาโรคไขทบั ระดู เจา ของภมู ิปญ ญาช่ือนายชนะ มแี กว อยูบานเลขท่ี 15 หมูท ี่ 3 บา นตีนเขา ตําบลทุงคาโงก อาํ เภอเมืองพงั งา จงั หวัดพงั งา รหัสไปรษณยี  82000 โทรศพั ท 087-8830893 ภูมลิ าํ เนาเดิมตําบลลาํ ภี อาํ เภอทายเหมือง จงั หวัดพังงา เกิดวันท่ี 12 มกราคม พ.ศ. 2482 อายุ 69 ป จาํ นวนบตุ ร 1 คนจบการศึกษาระดับประถมศึกษาปท ่ี 4 มปี ระสบการณก ารรักษาโรคไขท บั ระดมู า 13 ป •แนวคดิ และอดุ มการณ ตองการหาผูทมี่ ีคุณสมบัตเิ หมาะสมมีใจรกั ในอาชีพหมอชาวบานและมีความเสยี สละเพอ่ื ถา ยทอดภูมิปญญาการรกั ษาโรคไขทบั ระดูนาํ ไปรักษาใหป ระชาชนทั่วไป •องคค วามรขู องภูมิปญญา โรคไขทับระดู คือ ผูหญิงที่เกิดปวยไขใ นขณะที่กาํ ลังมีประจาํ เดือน กใ็ หน าํ สมุนไพร เชน พรกิ ไทย กระเทยี ม มาสบั ใหละเอยี ด แลวนําไปตม ใหผ ูปว ยดืม่ •การนําภมู ิปญ ญาไปใชป ระโยชน รกั ษาผูป วยใหหายเปนปกติ 8. ภูมปิ ญ ญาการรกั ษาโรคไขไทฟอยด และไขท ับระดู

41 เจาของภูมิปญญาชื่อนายกําธร สันโลหะ บานเลขที่ 13 หมูท่ี 1 บานทุงคาโงก ตาํ บลทงุ -คาโงก อําเภอเมอื งพังงา จงั หวัดพังงา รหัสไปรษณีย 82000 โทรศพั ท 089-2894013 เกิดวันท่ี 1 มกราคมพ.ศ. 2501 อายุ 50 ป จํานวนบุตร 2 คน จบการศึกษาในระดับชนั้ ประถมศึกษาปท ่ี 4 มีประสบการณใ นการรกั ษาโรคไทฟอยด และไขท บั ระดู มามากกวา 10 ป โดยเรยี นรูมาจากแพทยป ระจําตาํ บล จากนนั้ ไดศกึ ษาเพ่ิมเติมความรจู ากประสบการณของตนเองโดยสงั เกตจากคนไขทมี่ ีลกั ษณะคลาย ๆ กัน •แนวคดิ และอุดมการณ มีความสนใจในการชวยเหลือผูอน่ื ทาํ ดวยใจรกั และอยากรกั ษาผปู วยใหห ายจากโรค •องคค วามรขู องภมู ิปญญา นาํ สมนุ ไพรมาสับใหละเอยี ด โดย กอ นที่จะตมยาทําพิธีปลุกเสก รายมนตค าถากอ น แลวนํายาไปตม ดื่มแทนน้าํ 1. สมุนไพรรักษาโรคไทฟอยด คอื พงุ พิ้ง รากหญา คา มาตมน้ําดืม่ 2. สมนุ ไพรรกั ษาไขทบั ระดู ใชสมนุ ไพร หญา แซมไทร พรกิ ไทย กระเทียม 3 อยาง ๆ ละเทา ๆ กนั เสกดวยคาถา แลวนาํ มาตมกนิ •การนําภมู ิปญญาไปใชป ระโยชน เพื่อชว ยเหลอื ผปู ว ยที่มารักษาใหห ายจากโรค 9. ภมู ิปญญา การรักษาโรคกระดูก จับเสน เจา ของภมู ปิ ญญาชือ่ นายสน่ัน การเรว็ อยบู า นเลขท่ี 22 หมทู ่ี 2 ตาํ บลบางเตย อําเภอเมืองจงั หวัดพงั งา เกิดวันที่ 15 ธนั วาคม พ.ศ. 2494 มีอายุ 57 ป จบการศึกษาในระดบั ประถมศึกษาปท ่ี 4ประกอบอาชพี ทําสวน มปี ระสบการณการรกั ษาโรคกระดูก จบั เสนมามา 23 ป โดยนายสน่ันไดศ กึ ษาจากหลวงลุงวดั ประชาสนั ติ โดยมีการประยกุ ตน ําเฝอกออนและอปุ กรณท ใ่ี ชในโรงพยาบาลมาใชกับการตอกระดูกจัดกระดูกและนาํ้ มันที่ไดจากการเคี่ยววานและสมุนไพร โดยนายสนนั่ กลา ววาการประยกุ ตก ารรกั ษาแบบโบราณกับอุปกรณการรักษาโรคปจ จบุ นั เขา ดว ยกันเพื่อใหผูป ว ยหายจากโรคเรว็ ย่งิ ขนึ้ คุณธรรมที่ยดึ ถอื อยูคือศลี 5 การไมเ ห็นแกลาภในการรกั ษาตองทําจติ ใหบรสิ ุทธ์ิ นายสน่นั กลาวอกี วา ศีล 5 เปน สง่ิ ท่ีสําคัญที่สดุ ถา หมอยาไมมีศีล 5 จะเสกคาถาใดกไ็ มศ กั ดสิ์ ทิ ธ์ิ และตนไมเคยทําพิธไี หวค รูเลย แตตนใสบาตรอุทิศสว นกุศลใหกบั ครูยาทุกวนั เพราะเช่ือวา การใสบาตรจะทําใหค รูยาไดร บั ผลบญุ กศุ ลที่ตนอทุ ิศใหม ากกวาการไหวค รซู ึง่ ทําเพียงแคปล ะครั้ง ซงึ่ ตนคิดวาครยู าทง้ั หลายนาจะพึงพอใจเพราะไมเคยลงโทษตนเลย •แนวคิดและอดุ มการณ ตองการชวยเหลอื ผูป วย ใหห ายจากโรค เพราะเมื่อผปู ว ยมาหา เขาก็จะต้ังความหวังไววาตนตอ งหายจากโรค ฉะน้ันตนจึงพยายามรกั ษาผปู วยเตม็ ทเี่ พ่ือใหค วามหวังของเขาเปน จรงิ และตองการใหต นเปน ท่รี ูจักไดรับความไวว างใจและนับถือของคนในทองถ่ิน

42 •องคความรขู องภมู ปิ ญญา ไดรา ยคาถากอ นที่จะทําการรักษาผปู วย แลว ใชนํา้ มนั สมุนไพรนวดบริเวณท่ีเจ็บปวด นวดติดตอ กนั 3 วัน หลังจากหายปวยแลวผปู ว ยตอ งทําการเซน ไหวค รูหมอดว ย •การนําภมู ปิ ญญาไปใชประโยชน ใชในการรกั ษาผูปว ย 10. ภมู ปิ ญญาการรักษาโรคกระเพาะอาหาร แนนหนาอก, เบาหวานและทํายาบํารงุ รางกาย เจา ของภมู ปิ ญ ญา ชื่อ นายวิโรจน มนิ ยง บานเลขท่ี 15/1 หมทู ี่ 6 บานบางบาตาํ บลนบปริง อําเภอเมืองพงั งา จังหวดั พงั งา รหัสไปรษณีย 82000 โทรศัพท 076-415211 เกิดวนั ที่ 2กมุ ภาพนั ธ พ.ศ. 2477 อายุ 74 ป จาํ นวนบุตร 4 คน จบการศึกษาระดบั ช้ันประถมศกึ ษาปท่ี 4มีประสบการณใ นการทํางาน ตนเองไดเ รยี นรูการรกั ษาจากพระ รักษามา 20 ป •แนวคิดและอดุ มการณ ตอ งการรกั ษาผูปว ยใหพน จากความเจ็บปวด โดยไมหวงัสินจา งรางวัล ซึง่ เปนสาเหตุสําคญั ทท่ี าํ ใหครอบครวั หมอพื้นบานเปน ที่รจู ักไดรับความไวว างใจและนับถอื ของคนในทองถน่ิ •องคความรขู องภมู ปิ ญญา นํายาสมุนไพรเชน ผักแวน (แกโ รคเบาหวาน ความดันสงู )หญา หนวดแมว (แกโ รคเบาหวาน) มาสบั เปนช้ินเล็ก ๆ ผ่งึ แดด นํามาตม ดม่ื 2 เวลา เชา - เย็น •การนําภมู ปิ ญญาไปใชประโยชน ชวยเหลอื ผปู วยทม่ี ารักษาใหหายจากโรค

43 11. ภมู ิปญ ญา การรกั ษาโรคริดสดี วง เจาของภมู ิปญ ญาช่ือ นางนงเยาว อินฉว น บา นเลขท่ี 8 หมูท ่ี 3 บา นเขาเฒา ตําบลบางเตย อาํ เภอเมืองพงั งา จังหวดั พังงา รหัสไปรษณีย 82000 โทรศพั ท 076-596032 เกดิ วนั ท่ี 22 กุมภาพนั ธพ.ศ. 2479 อายุ 72 ป จํานวนบุตร 7 คน จบการศึกษาในระดบั ประถมศึกษาปท ี่ 4 มปี ระสบการณใ นการรกั ษาโรคริดสดี วงโดยทํามาตัง้ แตอายุ 8-9 ป ซง่ึ ไดร ับการถา ยทอดจากบดิ า โดยท่บี ดิ านัน้ ไดร บั จากบรรพบุรษุ สบื ตอกนั มา •แนวคดิ และอดุ มการณ ตองการชว ยเหลือผูปวยและตองการใหมผี สู บื ทอดภมู ิปญญาการรักษาโรคริดสีดวง ตอจากตน •องคความรขู องภมู ปิ ญญา ความรูเร่ืองยาแผนโบราณ ประกอบดว ยตัวยาดงั น้ี หัวขาใหญ หวั ขาเล็ก ไพล ขมนิ้ ออ ย กระชาย ลูกอนิ กานี 5 ลกู ลกู ประคําดีควาย ลูกจันทร ดอกจนั ทร ลกูกระวาน ดีลี หัวขิง พรกิ ไทย หวั กระเทยี ม ใบมะตมู ใบพาโหม รากเจ็ดหมนู เพลงิ วา นนํ้า ยา นผกั ขา ว ยาดาํเทียนทั้ง 5 กานพลู รากชะพลู เกลือไทย และมะพราวงอก 1 ซีก โดยนําสวนผสมท้ังหมดมาตมรบั ประทาน เชา - เยน็ • การนําภมู ิปญ ญาไปใชป ระโยชน การชว ยเหลือผูป ว ยใหหายจากโรคริดสดี วงทวาร 12. ภมู ิปญญา การตอ กระดูก รักษาเสน เอ็นปวดเม่อื ยกลา มเนอ้ื เจา ของภมู ปิ ญ ญาช่ือนางรอมะ โบบทอง อยูบานเลขท่ี 26/3 หมทู ี่ 6 บา นกลาง ตาํ บลบางเตย อําเภอเมืองพังงา จงั หวัดพงั งา รหัสไปรษณีย 82000 เกดิ วันท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 อายุ 65 ปจํานวนบุตร 8 คน จบการศึกษาระดบั ประถมศกึ ษาปท ่ี 4 มีประสบการณการเปนหมอตอ กระดูก รักษาเสนเอ็นปวดเมื่อย กลา มเน้ือ โดยทาํ มาต้ังแตอ ายุ 30 ป โดยไดรบั การถายทอดมาจากยาย •แนวคดิ และอุดมการณ ตองการชวยเหลอื ผูป วย

44 •องคค วามรขู องภมู ปิ ญญา นวดเพ่ือใหรา งกายรสู ึกผอนคลายจากเม่อื ยลา ซึ่งสงผลโดยตรงตอรางกาย และจติ ใจ คือตั้งแตท าํ ใหเกดิ การไหลเวียนของเลอื ดลม คลายกลามเนือ้ ทีต่ ึงลา รกั ษาอาการปวดเมอ่ื ยตามรางกาย คลายเครียด เคล็ดขัดยอก ชว ยใหสขุ ภาพ กระปรกี้ ระเปรา จิตใจผอนคลาย •การนําภูมปิ ญญาไปใชป ระโยชน รกั ษาผปู วยใหห าย เพ่อื ใหพนจากความทุกขจากความเจบ็ ปวยโดยไมห วังสนิ จางรางวัลหรอื ส่ิงตอบแทนใดแตเพ่ือความเจริญรอยตามบรรพบุรษุ ตามท่ีไดร ับการสั่งสอนสบื ทอดกนั มาใชใ นการรักษาผปู วย 4. ข้ันสรปุ ผล 4.1 ทดลองใชแ ละสรุปผล กอนที่จะนาํ หนังสอื อเิ ล็กทรอนกิ ส (e-Book) ภมู ิปญญาทองถิน่ เมอื งพงั งา บริการแกผใู ชบริการไดท ดลองใช และไดจดั ทําแบบสอบถามความคดิ เหน็ เกีย่ วกบัหนงั สอื อิเล็กทรอนิกส (e-Book) ภมู ปิ ญ ญาทองถิ่นเมอื งพังงา ในดานกายภาพของหนงั สือ, ดานคุณภาพของหนังสือ, ผลการนาํ ไปใช ขอ คิดเห็นและขอ เสนอแนะของหนังสือ ทง้ั นเี้ พื่อจะไดน ําขอมลู ทีไ่ ดรบั มาปรบั ปรงุ หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกส (e-Book) ภมู ปิ ญ ญาทอ งถ่ินเมอื งพงั งา ใหมคี วามถกู ตอง นา เชื่อถือ เพ่ือใหผูใชบ รกิ ารสามารถนาํ ขอมูลจากหนงั สอื ไปใชในชวี ิตประจําวันและเปนขอมูลในการอา งอิงได

45แนะนําการใช e-Book จากโปรแกรม Flip Album 1. นําแผน e-Book ภูมปิ ญญาทอ งถิน่ เมืองพังงา ใสใน CD ใสใ น CD ROM ของเคร่ืองคอมพิวเตอร 2. ดบั เบิ้ลคลกิ 3. โปรแกรมจะเปดหนังสืออิเลก็ ทรอนิกส (e-Book) ข้ึนมา 4. วธิ ีการเปด หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส (e-Book) เปดไดห ลายวิธี แลวแตผทู ่จี ัดทาํ จะทําการกาํ หนดคณุ สมบตั ขิ อง Alubum ในการแสดงผล ซึง่ หนงั สือเลมน้ีผจู ัดทําไดควบคมุ โดยใชเมาสเ ปน ตวั ควบคุม วธิ ที ่ี 1 เปดโดยใชเมาสค ลกิ เปดหนา หนังสือไปเรอ่ื ย ๆ ตามตอ งการ วธิ ที ่ี 2 เปด หนังสือไปที่หนาสารบญั ใชเ มาสคลิกเนื้อหาทต่ี องการ ซ่ึงจะคลกิ ไดเมื่อเมาสเปลี่ยนเปน รปู มอื และมีลูกศรช้ี เพอื่ เลือกเนื้อหาทต่ี องการ วธิ ที ่ี 3 ไปท่คี าํ สง่ั menu bar ใชเมาสค ลิกไปท่ี Flip to Menu ประกอบดวยคาํ ส่งั ยอ ย ๆดังน้ี  Overview หมายถงึ เปดหนงั สือไปทีห่ นา ดัชนี  Contents หมายถงึ เปดหนังสือไปทห่ี นา สารบัญ  First Page หมายถึง เปด หนงั สอื ไปทหี่ นา แรก  Index หมายถึง เปด หนังสือไปทห่ี นา ดัชนี  Front Cover หมายถงึ เปดหนงั สอื ไปท่ปี กหนา  Back Cover หมายถึง เปด หนังสือไปทปี่ กหลัง  Back หมายถงึ เปด หนงั สือไปที่หนา ทีเ่ รยี กดหู ลงั สุด  Farward หมายถึง เปด หนงั สือทีห่ นาถดั ไป  Left หมายถงึ เปด หนงั สือไปที่หนาซาย  Right หมายถงึ เปดหนงั สอื ไปทหี่ นาขวา  page no. หมายถงึ เปด หนงั สือดว ยการระบเุ ลขหนา file Name หมายถงึ เปด หนงั สอื ดว ยการกาํ หนดช่อื ไฟลแ ลวเปดไปทีห่ นา แรก

46 บทท่ี 4 ผลการดาํ เนินงาน จากการท่ีหอ งสมดุ ประชาชนจังหวัดพงั งา ตองการพัฒนาหอ งสมดุ ใหเปนแหลง เรยี นรูตลอดชวี ิตของคนในชมุ ชน ซ่ึงหองสมุดก็ไดด ําเนินการพฒั นาเพ่ือใหเปนหองสมดุ ท่ีมีชีวิต เพ่อื สรา งสงั คมแหง การเรียนรูและสรางนิสยั รกั การอานอยา งย่ังยนื สําหรับบุคคลทกุ เพศทกุ วัยดว ยบรรยากาศทมี่ ีชีวิต ชีวา มีการใชเทคโนโลยีทีเ่ หมาะสมในการเรยี นรู สามารถเขา ถงึ สารสนเทศไดอยางรวดเรว็ มีบริการและกจิ กรรมสงเสรมิ การอานและการเรยี นรูอยางตอเน่ือง การเพม่ิ สื่อใหห ลากหลายเพือ่ ใหตรงตามความตองการของผใู ชบ ริการ ดังนัน้ หองสมุดประชาชนจังหวดั พงั งา ไดดาํ เนินการรวบรวมขอ มูลภูมปิ ญ ญาทองถิ่นเมืองพงั งา โดยนาํ เสนอในรปู แบบส่ือเอกสาร และจัดมุมไวใ หบริการทีม่ ุมทองถน่ิ จงั หวัดพังงา จากน้ันไดนําขอ มลู มาจดั ทาํ เปนหนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส (e-Book) ภูมปิ ญ ญาทองถ่นิ เมืองพังงา จากโปรแกรมFlip Album ทง้ั น้เี พ่อื พัฒนาหนังสอื อิเลก็ ทรอนกิ สใ หม ีปริมาณเพม่ิ มากข้ึนและเพื่อเปนทางเลือกหน่งึ ในการศึกษาคน ควา หาขอมูล แกผ ใู ชบ ริการ ใหมคี วามหลากหลายมากยง่ิ ขึ้น โดยแยกภูมปิ ญ ญาทองถน่ิ ในแตละตาํ บลของอําเภอเมืองพังงาจาก 12 ตําบล ออกเปนดานตา ง ๆ ซง่ึ สามารถรวบรวมภมู ิปญ ญาทองถนิ่ทัง้ หมด 29 อยาง ดงั นี้ 1.ภมู ิปญ ญาดานอาหารและโภชนาการ 1.1 การทาํ เครอื่ งแกงบางเตยกลาง 1.2 การทําขนมทองมวน 1.3 การทาํ ขาวเกรียบผลไม 1.4 การทาํ กลว ยตากอบเนย 1.5 การทาํ กะป ฉบับ คุณสมชาย หสั นยี  1.6. การทาํ กะป ของ นางอาลดั วารีศรี 1.7 การทํากะป (กุง นาํ้ ขาว กุงสารโอ กงุ แมนา้ํ ) 2.ภูมิปญญาดานศาสนา ประเพณี และพิธีกรรม 2.1 การทาํ ภูมิ (งานบวช งานแตงงาน) 2.2 การตงั้ ศาลพระภมู แิ ละรักษาโรคโดยใชไสยศาสตร 3.ภมู ิปญ ญาดา นการเกษตรและการทาํ มาหากนิ 3.1 การทําน้าํ ตาลชก 3.2 การปลูกผกั ปลอดสารพิษ (สวนผกั ไรดิน ไฮโดรฟารม )

สูง หวั ใจ 47รางกาย 3.4 การเพาะเหด็ ฟาง 3.5 การเยบ็ ตับจากมุงหลงั คาจากใบสาคู 3.6 การเล้ยี งปนู ิ่ม 3.7 การทําปยุ ชีวภาพ 4.ภูมปิ ญญาดานศลิ ปหัตถกรรม 4.1 การตีมีด 5.ภูมิปญ ญาดา นศิลปะการแสดงและสอ่ื 5.1 การตีกลองยาว 5.2 ศิลปะการแสดงพืน้ บาน หนงั ตะลงุ 6.ภมู ปิ ญญาดานการแพทยแ ผนไทยและสมุนไพร 6.1 การรักษาไขไทฟอยด 6.2 การทาํ ชาสมนุ ไพรกะเปก รักษาโรคหอบหืด นว่ิ เบาหวาน ความดันโลหิต 6.3 การนวดอัมพฤกษ อัมพาต (เฉพาะเสน ) 6.4 หมอบบี “การนวดจบั เสน 6.5 การรกั ษาโรคไขไ ทฟอยด 6.6 การรกั ษาโรคไขไทฟอยด และ ดซี าน 6.7 การรักษาโรคไขท บั ระดู 6.8 การรักษาโรคไขไ ทฟอยด และไขท ับระดู 6.9 การรกั ษาโรคกระดูกจบั เสน 6.10 การรักษาโรคกระเพาะอาหาร แนนหนาอก, เบาหวาน และทํายาบาํ รุง 6.11 การรักษาโรครดิ สีดวงทวาร 6.12 การตอ กระดูก รักษาเสนเอ็น ปวดเม่ือยกลามเน้ือ

48 บทที่ 5สรุปผลการดําเนินงานและขอ เสนอแนะ จากการท่หี องสมดุ ประชาชนจงั หวัดพงั งา ไดส ํารวจความตองการส่ือเกย่ี วกับความรูดานทองถ่นิทใี่ ชบ ริการตองการใหหอ งสมดุ ประชาชนจังหวดั พงั งา ทําการรวบรวมเพื่อใชเ ปน ขอมูลในการอา งองิ ซ่งึผใู ชบ ริการตองการใหหองสมุดประชาชนจังหวดั พังงา รวบรวมขอมูลเกีย่ วกับภูมิปญ ญาทอ งถิน่ เมอื งพงั งามากท่สี ุด ดวยเหตุผลท่ี ภูมิปญญาทองถ่ิน เปนองคค วามรูของคนในทองถน่ิ ทไ่ี ดรบั การสบื ทอดกนั มาเปนมรดกตกทอด จากบรรพบุรุษสูลูกหลาน องคความรขู องภูมปิ ญ ญาบางอยางพัฒนามาจากอาชีพท่ที าํ อยเู ดมิ ใหดีขนึ้ มีคณุ ภาพมากขน้ึ สามารถนาํ องคค วามรขู องภมู ิปญ ญาเหลานั้นมาทําเปนอาชีพสรางรายไดใหก บั ตนเองและครอบครัว นอกจากน้ีผใู ชบ ริการยังสามารถใชเปนเอกสารอา งอิง, ชวยแกปญ หาการขาดแคลนสอื่ ทีใ่ หขอมูลเก่ียวกับภมู ิปญญาทองถนิ่ และเปนการปลูกฝงใหเ ยาวชน , ประชาชน ในชุมชนมคี วามรกั และภูมิใจในทอ งถิน่ ของตนเอง เมือ่ ผูจ ัดทาํ ไดดําเนินการจัดทําหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส (e-book) ภมู ิปญ ญาทอ งถิน่ เมืองพังงา เสร็จเรยี บรอยแลว และไดท ดลองใช กับกลุมเปาหมายท่ีเปน ผูเขา มาใชบ ริการภายในหองสมดุ จํานวน 50 คนไดจดั ทําแบบสอบถามแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกับหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส (e-book) ภูมปิ ญ ญาทองถน่ิ เมืองพงั งา เพือ่ ท่ีจะไดทราบขอผดิ พลาดท่ตี องแกไ ข ซึ่งสรปุ ผลตามประเมินผลตามแบบสอบถามการใชหนงั สือหนังสืออิเล็กทรอนิกส (e-Book) ภมู ปิ ญญาทองถิ่นเมอื งพังงาไดดงั นี้ตอนท่ี 1 ขอ มูลทัว่ ไปของผตู อบแบบสอบถามโดยสรปุ ไดด งั นี้1.1ผใู ชเ ปนเพศหญิง จาํ นวน 30 คน เพศชาย จํานวน 20 คน1.2 อายุ อายรุ ะหวาง 10 – 20 ป จาํ นวน 27 คน คน อายุระหวาง 21 – 30 ป จาํ นวน 11 คน คน อายุระหวาง 31 – 40 ป จาํ นวน 7 คน อายรุ ะหวาง 40 ปข้ึนไป จาํ นวน 5 คน1.3 ระดับการศึกษา ประถมศึกษา จาํ นวน 20 มัธยมศกึ ษาตอนตน จาํ นวน 17

49มธั ยมศึกษาตอนปลาย จํานวน 7 คน 4 คนอนปุ ริญญา จาํ นวน 2 คนปริญญาตรี จํานวน 27 คน 17 คน1.4 สถานภาพของผูตอบแบบสอบถาม 6 คนนกั เรียนในระบบโรงเรียน จาํ นวนนกั ศึกษาการศกึ ษานอกโรงเรียน จํานวนประชาชนทว่ั ไป จาํ นวน ตอนที่ 2 สอบถามการใชห นังสอื สว นท่ี 1 ดานกายภาพของหนังสือ ผใู ชหนังสอื มีความคิดเหน็ เก่ียวกับการนาํ หนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส(e-Book) ภมู ิปญ ญาทอ งถน่ิ เมืองพังงา ไปใชใ นระดบั มากที่สดุ คือ ลาํ ดบั เนือ้ หาเหมาะสม ความคดิ เห็นในระดับมาก คือ ชื่อเรอ่ื งนา สนใจ ขนาดรปู เลมเหมาะสม ภาษาทใี่ ชช ัดเจน เหมาะสม สวนที่ 2 ความคิดเห็นดา นคุณภาพของหนังสอื ผูใชห นังสือมคี วามคดิ เห็นเกี่ยวกบั ความสมบูรณของเนอื้ หาในแตล ะเร่ืองในระดบั มากทีส่ ุด คือ บทที่ 2 ความหมาย, ประเภท, และความสําคัญของภูมิปญญาทองถิน่ บทที่ 3การดาํ เนินงานหองสมดุ ความคดิ เห็นในระดับมาก คือ บทท่ี 1 บทนาํ และ บทท่ี 4 ผลการดําเนินงานความคิดเห็นในระดบั ปานกลางคือ บทที่ 5 สรุปผลการดาํ เนินงานและขอ เสนอแนะ สว นที่ 3 ผลการนาํ หนังสอื ไปใช ผูใชห นังสอื มีความคิดเห็นวา สามารถนําไปใชเ ปนหนังสอื อานประกอบได และสามารถนําขอมูลไปใชใ นการศึกษาได ในระดับมากท่ีสุด และมคี วามเหน็ วา ใชประกอบการศกึ ษาคนควาไดดว ยตนเอง และเปนการสงเสรมิ การศึกษาตามอัธยาศยั ในระดบั มาก ตอนท่ี 3 ขอคิดเห็น และขอเสนอแนะเกี่ยวกบั หนังสืออิเล็กทรอนิกส (e-Book) ภูมปิ ญ ญาทองถน่ิ เมอื งพังงา วาเปน รูปแบบใหมของหนงั สือในหองสมุด ทาํ ใหห อ งสมุดมีส่อื ที่หลากหลายมากย่งิ ขึน้แตจะยุงยากสําหรบั ผูใ ชใ นระยะแรก และสําหรับผทู ่ใี ชค อมพิวเตอรไ มเ ปน ควรจัดทาํ เปน VCD เพื่อใหเปดดูกบั โทรทัศนไ ด สวนในเรื่องรูปรา ง ภาพ เสียง สี เขา กบั ทอ งถน่ิ เมอื งพงั งา

50ความยงุ ยากในการจัดทําหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส (e-Book) ภูมิปญญาทองถิน่ เมอื งพังงา 1. เอกสารที่ใชใ นการศึกษาหาขอมูลมคี อนขางนอย ทาํ ใหตอ งมกี ารศึกษาคนควาขอมลู เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตและผรู ูเก่ยี วกบั ภมู ปิ ญญาทองถน่ิ เมืองพังงา เพอื่ ใหไดขอมูลทถี่ ูกตอ งมากทส่ี ดุ 2. การนาํ เสนอในรูปแบบส่อื อิเลก็ ทรอนิกส บางครัง้ รูปแบบจะเปล่ียนไปเมอ่ื ทดลองใชจ รงิ ซ่งึผูจ ัดทําก็ไดแนะนาํ วธิ ีการใช ตามความเขาใจของผูจัดทํา เพื่อใหส ะดวกตอการใชส ่อื อิเล็กทรอนิกสขอ เสนอแนะ 1. ภูมิปญ ญาทองถนิ่ บางอยา งนบั วันจะไมม ีใหเ ห็นแลวในชมุ ชน จงึ นา จะมีการเกบ็ รวบรวมและนาํ เสนอขอมูลในรปู แบบทห่ี ลากหลายใหแ กเยาวชนและคนรุนหลังไดทราบเพ่ือใหรจู กั ทอ งถน่ิ และเหน็คณุ คา ของภมู ิปญญาทองถิ่น 2. ภูมิปญ ญาทองถิน่ ควรไดรับการยกระดบั และนาํ มาใชใ หเ กิดประโยชนข องคนไทยใหม ากกวา ท่ีเปนอยูโดยการรวบรวม ประมวลจดั ระบบใหอ ยูในสภาพที่เขาถึงหรือคน หาไดโดยงา ย 3. หอ งสมดุ นา จะจัดกจิ กรรมหอ งสมดุ โดยเชญิ ภมู ิปญ ญาทอ งถิ่นทีม่ คี วามชาํ นาญในดานตา ง ๆ มาใหความรูเก่ยี วกบั เรื่องท่ีตนชํานาญ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook