51 สรปุ คาบรรยาย การวิจยั กฎหมายแนวสตรนี ยิ ม โดย รศ. สมชาย ปรชี าศลิ ปกลุ ช่วงเช้าผมจะพูดเร่ืองสุดท้ายท่ีคิดว่าเป็นประเด็นท่ีสาคัญและนักกฎหมายมักไม่ค่อยเรียนรู้เท่าไหร่ ผม จะพูดเร่ืองการวิจัยกฎหมายด้วยมุมมองแบบสตรีนิยม (Feminism) คนเรียนกฎหมายผมคิดว่าส่วนใหญ่ใน มหาวทิ ยาลัยไม่ค่อยได้เรียนเรื่องน้ี ตอนผมเรียนไม่มีเลยครับ ผมเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ไม่เคยมีใครพูด เร่ืองนี้ให้เข้าหูเลย คือตอนหลังผมมาอ่าน ๆ เจอ ตอนแรกก็แปลกใจทาไมไม่มีใครสอนเลย ตอนน้ีไม่แปลกใจ แล้วเพราะว่านักกฎหมายไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ ถ้านับนักกฎหมายที่สนใจประเด็นเรื่องสตรีนิยม (Feminism)ในทางทฤษฎีนักกฎหมายในเมืองไทยจนกระทั่งถึงตอนนี้เท่าที่ผมนับน้ิวดูผมคิดว่ามีอยู่ 2-3 คน นัยนา สุภาพึ่ง , อาจารย์มาลี พฤกษ์พงศาวลี อยู่ที่ธรรมศาสตร์, อาจารย์วิระดา สมสวัสด์ิ เกษียณจาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ่ีนัยนา อายุ 50 กว่า ๆ อาจารย์มาลี เกษียณไปแล้ว อาจารย์วิระดา เกษียณแล้ว เอาเข้าจริงๆ คนท่ที างานในเชิงทฤษฎเี หลือมาลี วิระดา สองคน พี่นัยนาไม่ค่อยเท่าเท่าไหร่ จะทาในเรื่องของ activist มากกว่า เม่ือมาลี และ วิระดา ได้จุดครบเพลิงแห่งการศึกษาว่าด้วยนิติศาสตร์แนวสตรีนิยมใน สังคมไทยจุดคบเพลิงแล้วเดินไป เดินไป 30 ปี หันหลังไปจะส่งคบเพลิงให้แห่งความเข้าใจเร่ืองน้ีต่อไปพอหัน หลังไปพบว่ามันไม่ใช่ผู้หญิง (หันมาเจอผม) แนวคิดสตรีนิยมไม่มีผู้หญิงสนใจทางานทางทฤษฏีต่อในเมืองไทย มันแร้นแค้นขนาดน้ี คือผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นสตรีนิยม (Feminism) ผมเป็นคนท่ีสนใจแนวคิดสตรีนิยมใน การวิเคราะห์ระบบกฎหมายและลองทดลอง คือผมลองใช้แนวคิดแบบสตรีนิยมมาวิเคราะห์ระบบกฎหมาย อย่างเช่นงานเพศวิถีในคาพิพากษาที่ผมแจกให้ทุกคนดู เป็นการพยายามทดลองทางานแบบสตรีนิยม ใน เมอื งไทยไม่ยังค่อยมงี านสตรีนิยมเปน็ ชน้ิ เป็นอันให้เห็นเท่าไหร่ผมก็เลยลองทาดู ในเมืองไทยความสนใจแนวคิด สตรนี ยิ มยังนอ้ ยอยู่ หวงั ว่าวันนีท้ ม่ี าพดู เผือ่ มีใครรับคบเพลงิ แบบนต้ี ่อไป เราลองนกึ ถงึ นักกฎหมายช้ันนาในสังคมไทย เวลาเรานึกถึงนักกฎหมายชั้นนาในสังคมไทยเราจะนึกถึง ใครบ้าง ใครคือคนทีเ่ รามักนึกถึง ดี/ไม่ดี เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย ค่อยว่ากัน อันน้ีใครครับอันน้ีเป็นคนที่บอก ว่า \"ลงเรือแป๊ะต้องตามใจแป๊ะ\" วิษณุ เครืองาม ต่อมาสายหยุด แสงอุทัย เดิมชื่อสายหยุด ในช่วงจอมพล ป เริ่มรณรงคใ์ หช้ ือ่ ต้องบ่งบอกเพศได้ ก่อนหน้าสมัยจอมพล ป. เราจะพบว่าชื่อกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นผู้ชาย ช่ือคนสมัยก่อนจะไม่สามารถบ่งบอกเพศได้ มาสมัยจอมพล ป. มีนโนบายว่าชื่อต้องบ่งบอกเพศได้ ตอนนั้น สายหยุดก็เลยไปเปล่ยี นชอ่ื เป็น หยุด แสงอทุ ยั ถ้าเกดิ เราไปดูคนสมยั น้นั ชื่อจะไม่ค่อยบ่งบอกเพศ ช่ือ สมชาย น่าจะแพร่หลายหลัง พ.ศ. 2500 ส่วนใหญ่คนที่ช่ือสมชาย จะเป็นลูกคนจีนท่ีไม่มีการศึกษาเพราะว่าจะให้มาต้ัง ช่ือยาก ๆ แม่ผมไม่ได้เรียนหนังสือจะให้ตั้งชื่อว่าอะไร ธรทรร ,ดามร คงไม่ใช่แล้ว แบบคนจีนนึกชื่ออะไรไม่ ออกก็ใหช้ อ่ื สมชาย พอญาตพิ ี่น้องมีลูกอีกกช็ อ่ื สมชาย คือเป็นช่ือท่ียอดนิยมมาก ตอนผมเรียนมีคนชื่อสมชาย เตม็ เลย พอโตมาผมพบว่าส่วนใหญ่เปล่ยี นช่ือหมด แต่ผมไม่เคยเปล่ียนชื่อเพราะผมคิดว่าช่ือและนามสกุล มัน บง่ บอกอะไรได้ แล้วถา้ ไปดูนามสกุล ถ้านามสกลุ ใครที่ยาว ๆ ลงท้ายด้วยมี กุล, เจริญ, ไพศาล คนจีนแน่นอน แตถ่ า้ ไม่ใชค่ นจีน นามกลุ ก็จะแบบพวกนามสกุล สั้น ๆ งา่ ย ๆ บา้ น ๆ เชน่ ทองแดง ทองแท้ คาไตร ตรง งาม พวกน้เี ดิมคอื ไพร่ จริงๆ ครับ ต้นตระกูลเขาคือไพร่ สูงสดุ คอื พวกขุนนางหัวเมืองไม่ใช่ระดับสูงนะเป็น
52 ขนุ นางระดบั ต่า ๆ อยูห่ วั เมือง ไม่ตอ้ งซเี รียสครบั สว่ นใหญค่ นในสงั คมไทยเราเปน็ ไพร่ คนต่อไปจิตติ ติงศภัทิย์ คนน้ีสัญญา ธรรมศักด์ิ คือคนที่พลิกฟื้นสถานของตุลาการหลัง พ.ศ. 2510 ใหก้ ลบั มายิ่งใหญ่อีกครัง้ หนงึ่ คนนี้ ทองใบ ทองเปาด์ ทนายคนจนเป็นทนายแมกไซไซที่ทาคดีให้คนจน คดี การเมอื งทถ่ี ูกคกุ คามจากเผด็จการ อ.ทองใบ ช่วงบ้านปลายชีวิตเข้าไปช่วยมหาลัยขอนแก่นเยอะ อันน้ี อาจารย์ คณิต ณ นคร คาถามคือนักกฎหมายช้ันนาท่ีเป็นผู้หญิงเอาแบบคนที่เรียนกฎหมาย ทางานด้านกฎหมายมีใครบ้าง จะก็อาจารย์พันธ์ุทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร แต่ถ้าเอาไปเทียบกับอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ยังห่างอีก หลายช่วงตัว คือนกั กฎหมายชนั้ นาต้องหมายถึงพอพูดถงึ ทกุ คนจะต้องร้องอ๋อ หรือลีน่าจัง เป็นคนมีช่ือเสียงแต่ มีใครอยากมีภาพลักษณ์เหมือนลีน่าจังบ้าง ลีน่าจังมีช่ือเสียงแต่ไม่ถูกยอมรับในฐานะนักกฎหมาย มีชื่อเสียง ทางดา้ นอ่ืน ๆ ในฐานะนักกฎหมายทาไมจึงไม่มผี หู้ ญงิ ท่ีเป็นนกั กฎหมายชั้นนา ลองคดิ แบบน้เี วลาเรียนหนังสือ ตั้งแต่รุ่นผมช่วงทศวรรษปี 2530 ผมเรียนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายแล้วผมก็พบว่าพอมาถึงวันน้ีคนรุ่น ๆ ผมที่มี ชื่อเสียงเอาเฉพาะนักกฎหมาย คนก็จะมี วรเจตน์ ภาคีรัตน์ , ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ถ้าผู้หญิงก็ วาสนา เกล้านพรัตน์ คาถามทาไมจึงไม่มีผู้หญิงท่ีเป็นนักกฎหมายช้ันนาหรือมีก็มีอยู่น้อย ไม่เพียงเฉพาะนักกฎหมาย ตาแหน่งทอ่ี ืน่ ๆ กเ็ หมอื นกัน คาถามคอื ทาไม ทาไมเปน็ แบบนัน้ คาตอบข้อแรกโดยธรรมชาติน้ันผู้ชายเก่งกว่าผู้หญิง มีความสามารถมากกว่าผู้หญิงโดยธรรมชาติ ผู้หญิงต่อให้เรียนกฎหมายเยอะโดยธรรมชาติแล้วก็สู้ผู้ชายไม่ได้มันเป็นความสามารถที่ต่ากว่าลงไปถึงดีเอ็นเอให้ ขยนั เรียนยงั ไงก็ไดป้ ระมาณนนั้ แหละใช่ไหมครับ โดยธรรมชาติ โดยดีเอ็นเอแล้วผู้ชายเก่งกว่าผู้หญิง (ไม่ใช่ครับ) ทาไมเราถึงคดิ แบบนนั้ หรือว่าเป็นเพราะว่าผู้หญิงถูกทาให้ถูกทาให้ด้อยกว่า โง่กว่า มีความสามารถน้อยกว่า เป็นการถูกทาไม่ใช่เพราะธรรมชาติ แต่ผู้หญิงถูกทาให้เป็นแบบนั้น สตรีนิยม (Feminism) เชื่อว่าผู้หญิงถูกทา ให้เป็นแบบนั้น อันน้ีคือพื้นฐานท่ีสาคัญของสิ่งที่เรียกว่าแนวความคิดแบบสตรีนิยม (Feminism) ก็คือว่า การที่ ผู้หญิงตา่ กวา่ ผู้หญงิ ด้อยกว่าไม่ใช่เรื่องธรรมชาติเป็นเรื่องท่ีผู้หญิงถูกทาให้เป็นแบบน้ัน เบื้องต้นประเด็นท่ีต้อง คิดแบบน้สี ิ่งทสี่ ตรนี ิยมทาในเบื้องตน้ และผมเชอ่ื ว่าเร่ืองน้ีเป็นเร่ืองที่สาคัญเป็นพื้นฐานเลย คือว่าสตรีนิยมจะแยก ระหว่างสิ่งที่เรียกว่า gender กับ sex ถ้าแปลในท่ีนี้ gerder คือ เพศสภาพหรือเพศภาวะ sex คือ เพศ แนวความคิดสตรีนิยมเร่ิมต้นด้วยการแยก sex กับ gender sex คือ เพศกาเนิด เพศตามร่างกายที่ ตอนเกิดมาเป็นยงั ไง ผชู้ ายผู้หญิงมีความแตกต่างกัน gerder คือเพศภาวะ gerder คือ ความคาดหวังหรือว่า เช่ือต่อบทบาทของผู้เป็นชายและหญิง ความเช่ือหรือความคาดหวังที่มีต่อคนท่ีมี sex แบบหน่ึงว่าเขาควรทาไม่ ควรทาอะไรบ้างโดยธรรมชาติ แต่ gender คือ ความคาดหวังท่ีเรามีแต่ละเพศ อันนี้ไม่เหมือนกันเป็นคนละ เรือ่ งกนั คอื ถา้ พดู แบบงา่ ย ๆ เช่น โดยธรรมชาตผิ ู้หญงิ คลอดลูก แตก่ ารเลย้ี งลกู ความคาดหวังว่าผู้หญิงต้องเล้ียง ลูก อันน้ีไม่ใช่ ไม่ใช่ธรรมชาติ อันนี้เป็นความคาดหวังท่ีจะคาดหวังว่าถ้าใครเป็นแม่ของลูกแล้วต้องเล้ียงลูก บางสังคมบางชนเผ่าผู้ชายต้องทาหน้าท่ีเล้ียงลูก ผู้หญิงคลอดลูก แต่ผู้ชายจะรับหน้าท่ีหลักเพราะฉะนั้นผู้หญิง คลอดลูกอันน้ีโดยธรรมชาติแน่ ๆ แต่การเลี้ยงลูก ความคาดหวังว่าใครควรเล้ียงลูก คือความเชื่อความเข้าใจ อนั นี้แหละเขาเรยี กว่าเพศภาวะ หรอื ถ้ายกตวั อย่างเพิ่มเติม เช่น พอเวลาเป็นผู้หญิง เราก็จะมีความคาดหวังทั้งใน แง่ของรูปร่างหน้าตา การแต่งกายตามมา ถ้าเป็นผู้หญิงต้อง ผมยาว สมมุติว่าเราเห็นผมยาววันรุ่งข้ึนตัดผม เหมือนทอมเลย มันจะอะไรเกิดขึ้น กลับเข้าบ้านโดนพ่อด่าทาไมตัดผมส้ัน อันนี้แหละสังคมคาดหวังว่าผู้หญิง
53 ควรต้องผมยาว สมมุติถ้าผู้หญิงตัดผมส้ันสันนิษฐานได้สามอย่าง 1. เป็นทอม 2. อกหัก 3.เป็นเหา คือถ้า ผหู้ ญงิ ตดั ผมส้ันเราจะรสู้ กึ ว่านี้เปน็ เรื่องแปลก อันนีค้ อื สง่ิ ทีเ่ รยี กวา่ เพศภาวะแบบหน่งึ คือ การที่มี sex แบบใด แบบหน่ึงแล้วถูกคาดหวังว่าจะต้องทาแบบใดแบบหน่ึง ซ่ึงครอบคลุมไปทั้งหมดตั้งแต่เนื้อตัวร่างกาย ท่าทีการ ปฏิบัติตัวในสังคมควรจะต้องปฏิบัติอย่างไร เช่น ยุทธวิธี 5 ข้อแรกในการมีเดทครั้งแรกผู้ชายควรทาอย่างไร ผู้หญิงควรทาอย่างไร สมมุติถ้าผู้ชายไปกินข้าวกับผู้หญิงพอบิลมาเก็บเงิน 248.50 บาท ผู้ชายบอกเราออกคน ละ 124 บาทแล้วกันอีก .50 สตางค์ผมเล้ียง เราก็กินเท่าๆ กัน หารกันไง ถ้าเดทแรกเจอผู้ชายแบบนี้เป็นไง เราจะบอกไหมว่าผู้ชายคนนี้ยุติธรรมมาก อันนี้แหละคือเพศภาวะความคาดหวังว่าเวลาเดทกัน มันมีส่ิงท่ีถูก คาดหวังว่าฝ่ายหน่ึงต้องทาแบบหน่ึง sex กับ gender ไม่เหมือนกันกินข้าวแล้วจ่ายครึ่งราคาไม่ได้มาพร้อมกับ กาเนดิ ของมวลมนษุ ยชาติ มนษุ ยย์ คุ หินไมไ่ ด้บอกว่ากินเสรจ็ แลว้ ผูช้ ายต้องเลยี้ งไม่ใชค่ รบั อันนไี้ ม่ไดม้ าพร้อมมวล มนุษยชาติ มันถูกสร้างขึ้นสตรีนิยม (Feminism) เร่ิมต้นด้วยการคิดถึงเรื่องแยกระหว่าง gender กับ sex ซึ่ง เป็นหวั ใจสาคญั แล้ว gender เป็นสิง่ ท่ีถกู สรา้ งขนึ้ ความเปน็ ชายความเป็นหญิงมันถูกสร้างขึ้น constructed ถูกสร้างไม่ใช่ความจริงจริง ๆ แต่เป็นความจริงท่ีถูกสร้างและท่ีสาคัญคือความจริงชนิดท่ีถูกสร้างขึ้นแบบน้ีมัน มักจะถูกสร้างโดยทาให้ผู้หญงิ ตกอยู่ในสถานะท่ีต่ากว่า ด้อยกว่า เสียเปรียบกว่า ความจริงชุดน้ีเป็นความจริง ที่ถูกสร้าง สิ่งที่เรียกว่า gender มันถูกสร้าง แล้วทาให้ผู้หญิงตกอยู่ในสถานะต่ากว่า เสียเปรียบ ด้อยกว่า ถ้าคิดแบบสตรีนิยม (Feminism)ความจริงแบบน้ีจะปรากฏอยู่ในทุกท่ี อยู่ในทางวัฒนธรรม อยู่ในความเชื่อ อย่ใู นทางศาสนา ทาไมผ้หู ญิงบวชไม่ได้ ทาไมผู้หญิงเข้าเขตพระธาตุชั้นในไม่ได้ หรือเวลาผู้หญิงเข้าไปเป็นผู้ พิพากษาสว่ นใหญ่จะไปอยู่ศาลเด็กและเยาวชน จุดหมายปลายทางของผู้หญิงไปดูคดีของผัว ๆ เมีย ๆ คดีลูก ศาลทรัพย์สินทางปัญหาและการค้าระหว่างประเทศผู้หญิงเยอะมาก ในแวดวงผู้พิพากษาเวลาใครจะขึ้นสู่ ตาแหน่งสูง ๆ ส่วนใหญ่จะต้องพิจารณาว่าต้องผ่านนอกจากอายุงานแล้ว สอบแล้ว ต้องผ่านศาลสาคัญ ๆ ศาลสาคญั ที่เขานบั ถือกนั คอื ศาลแพง่ ศาลอาญา คือในแวดวงผูพ้ พิ ากษาเวลาใครข้ึนสู่ตาแหน่งสูงขึ้นเขาดูว่าไป อยศู่ าลประเภทไหนดว้ ย อาจจะไม่ได้เป็นขอ้ บัญญัติแต่มันจะปรากฏในทางปฏิบัติมาแบบนี้ เพราะฉะน้ันเราจึง พบวา่ เวลาผู้พิพากษาที่ขึ้นสู่ตาแหน่งสูง ๆ ผู้พิพากษาศาลฎีกา เราจะพบว่ามีผู้หญิงเป็นจานวนน้อยมาก ไม่ได้ เป็นเพราะผหู้ ญงิ โงก่ ว่าแต่เปน็ เพราะพอผ้หู ญิงเขา้ ไปมันจะถกู เบีย่ งเบนไป อันน้ีเป็นหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งพวกสตรีนิยม (Feminism) จะวิจารณ์อยู่พอสมควร Neymar from mars nemain a from venus เป็นหนังสือท่ีบอกว่าผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ และเป็นหนังสือ ชนิดหน่ึงท่ี Feminism ไม่ค่อยชอบเพราะหนังสือเล่มนี้จะบอกว่าผู้ชายโดยธรรมชาติแล้วมีคุณลักษณะบางอย่าง ผู้หญิงมีคุณลักษณะบางอย่าง เป็นคุณลักษณะโดยการเกิด หมายความว่า พอเกิดเป็นผู้หญิงคุณลักษณะเป็น แบบนี้ พอเกดิ เปน็ ผู้ชายมคี ณุ ลักษณะเป็นแบบนี้ หนงั สือเลม่ นีบ้ อกว่าที่ผู้หญิงกับผู้ชายทุกวันนี้ทะเลาะกันหรือมี อะไรไม่ตรงกันกเ็ พราะว่าโดยธรรมชาตแิ ล้วผู้หญิงมาจากดาวดวงหนงึ่ ผู้ชายมาจากดาวดวงหนึ่ง ถา้ ไม่ทาความ เข้าใจซ่ึงกันและกันมันก็จะทะเลาะกัน เพราะฉะนั้นต้องทาความเข้าใจว่าโดยธรรมชาติแล้วผู้หญิงเป็นยังไง ผู้ชายเป็นยงั ไง เช่น เขาบอกวา่ เวลาผชู้ ายกบั ผหู้ ญิงเจอปัญหาจะตอบสนองต่อปัญหาไม่เหมือนกัน เวลาผู้ชาย เจอปัญหาผู้ชายเข้าถ้า หมายความว่า ผู้ชายจะคิดกับตัวเอง แก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยอะไร ส่วนผู้หญิงพร่าพรรณนา หมายความว่า เวลามีปัญหาผู้หญิงจะ Talk for Talk พูดเพื่อพูดไม่ได้ต้องการ คาแนะนา Feminism ไมค่ อ่ ยชอบเทา่ ไหร่ Feminism เชอ่ื วา่ การพรา่ พรรณนาหรือการเข้าถ้ามันคือ gender มัน คือเพศภาวะ ผู้หญิงอาจจะพูดมากก็จริง ผู้ชายอาจจะเงียบก็จริงแต่ไม่ใช่เพราะโดยการเกิดทาให้เป็นแบบน้ัน
54 เช่น ผู้หญิงอาจจะพูดมากก็เพราะว่าผู้หญิงไม่ค่อยมีที่ระบายเหมือนผู้ชาย ผู้ชายเวลามีปัญหาอย่างน้อยก็ไปกิน เหลา้ ผู้ชายอาจมีที่ระบายออกเยอะในขณะท่ผี ้หู ญงิ อาจจะไม่ค่อยกล้าเล่าเรื่องน้ีให้กับคนอ่ืนฟัง ถ้าอธิบายแบบ Feminism ผู้หญิงอาจจะเป็นแบบน้ันก็ได้ แต่ไม่ได้เป็นแบบน้ันโดยธรรมชาติแต่เป็นเพราะกลไกทางสังคมทาให้ ผหู้ ญิงไม่มีทพี่ ูดเยอะเลยตอ้ งพูดกับคนใกล้ตัว ในขณะท่ผี ชู้ ายพอเมาเหล้าเผลอ ๆ พูดกับหมาได้ หนังสือน้ีเป็น ตวั อย่างการอธบิ ายทนี่ ่าสนใจ Feminist Jurisprudence นิติศาสตร์แนวสตรีนิยมคือการเอาแนวความคิดแบบสตรีนิยมมาใช้วิเคราะห์ กฎหมาย มันคือการนาเอามุมมองแว่นตาแบบสตรีนิยมมาอธิบายกฎหมาย เพราะฉะนั้นแนวความคิดแบบน้ีก็ เช่นเดียวกันกับการใช้แนวคิดแบบ Feminism ไปมองเร่ืองทางศาสนา วรรณกรรม ชีวิตประจาวัน กฎหมาย ไมไ่ ดเ้ ปน็ กลางทางเพศแนวความคดิ Feminism เชือ่ แบบน้ี กฎหมายมคี วามเอนเอียงและอันน้ีถือว่าเป็นประเด็น ท่ีสาคัญแต่ถูกละเลย Feminism เช่ือว่ากฎหมายนุ่งกางเกง ไม่ว่าเราจะตระหนักรู้หรือไม่ก็ตามกฎหมายนุ่ง กางเกง แต่เรามกั จะไมค่ ่อยตระหนักกนั เวลาเราเรียนกฎหมายเราก็จะเรียน พูด ๆ ไป ไม่มีเรื่องเพศอยู่ แต่ใน ความเป็นจริง Feminism เชื่อว่ากฎหมายนุ่งกางเกง ถ้าใครสนใจที่จะทาความเข้าใจเร่ืองสตรีนิยมมีภาษาไทย ของอาจารย์วารุณี ภูริสินสิทธ์ิ พูดถึงสตรีนิยมโดยรวมเร่ือง สตรีนิยมขบวนการและแนวคิดทางสังคมแห่ง ศตวรรษที่ 20 พิมพ์โดยสานกั พิมพ์ครบไฟ เล่มนจี้ ะชว่ ยให้เข้าใจท่มี าของแนวความคดิ แบบสตรนี ยิ มได้ แนวคดิ สตรีนิยมมีหลายกลมุ่ สตรนี ยิ มไม่จาเป็นต้องคิดเหมือนกันท้ังหมด สตรีนิยมบางคนเกลียดกันก็มี เขา ว่ากันว่าถ้าสตรีนิยมพวก Feminism มานั่งกัน 5 คน จะแบ่งเป็น 6 ฝ่าย สตรีนิยมที่เด่น ๆ ผมคิดว่าเป็น อเมรกิ าเท่าที่ผมอ่านงานสว่ นใหญ่จะเปน็ งานของฝ่งั อเมริกา งานยโุ รปชว่ งหลงั ๆ ไมค่ ่อยเห็น แนวความคิดสตรี นิยมถ้าแบง่ เปน็ กลุ่มแบบหยาบ ๆ อันนี้เป็นการแบ่งตามหนังสือเล่มหน่ึงที่ผมอ่านมาเขาแบ่งเป็น 3 กลุ่มท่ีเข้าใจ งา่ ยสดุ แล้ว คือ กลุ่มท่ี 1 เนน้ ความเสมอภาค Quality กลุ่มท่ี 2 เนน้ ความแตกตา่ ง different กลุ่มที่ 3 เน้นความหลากหลาย diversity 3 กลมุ่ ใหญ่ ๆ ที่นิติศาสตร์แนวสตรีนิยมเอาสตรีนิยมมาวิเคราะห์กฎหมาย พวกท่ีเน้นความเสมอภาค คือ แนวความคิดแบบน้ีเรียกพวกเสมอภาค ผู้ชายผู้หญิงเหมือนกัน ผู้ชายทาอะไรได้ผู้หญิงก็ทาได้ไม่แตกต่างกัน แนวความคดิ แบบน้ีเชอื่ วา่ โดยการเกิดเป็นผู้หญิงและผู้ชายเราไม่แตกต่างกัน บางทีเรียกอีกแบบว่าเป็นแบบพวก สตรีนิยมแนวเสรีนิยม ปัญหาท่ีสาคัญคือ แม้ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายจะมีอะไรท่ีเหมือนกันแต่ว่าส่ิงท่ีเรียกว่า ความ คาดหวงั เพศภาวะ มันทาให้พนื้ ที่หรอื ตาแหน่งท่ีมคี วามสาคัญถูกครอบครองไว้โดยผู้ชาย แนวความคิดแบบน้ีจะ แยกแยะให้เห็นพื้นที่ 2 แบบด้วยกัน พ้ืนที่แบบแรกเรียกว่า Public sphere อีกพื้นท่ีเรียกว่า Private sphere พื้นสาธารณะกับพื้นท่ีส่วนตัว พื้นที่สาธารณะหมายความถึงตาแหน่งแห่งท่ีท่ีมีความสาคัญต่อการตัดสินใจใน นโยบาย ในทิศทาง ในเส้นทางของคนส่วนใหญ่ในสังคม ส่วนพ้ืนท่ีส่วนตัวเป็นพื้นท่ีในครอบครัวเป็นพ้ืนท่ีของ ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในวงท่ีมันจากัดลง ผู้หญิงส่วนใหญ่อยู่ในพ้ืนท่ีแบบ Private sphere เลยทาให้ โอกาสในการพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงน้อยลง เพราะฉะน้ันในแง่ที่พอไปคิดถึงตาแหน่งแห่งที่ท่ีมันใหญ่ทาง สังคมผู้หญิงจึงไม่ได้มีโอกาสแบบน้ีมาก บางคนอาจจะบอกว่าเป็นสุภาษิตอันหน่ึงซ่ึงผมคิดว่าเป็นสุภาษิตท่ีกด
55 ผู้หญงิ คือ ประเภทดาบกแ็ กว่ง แปลก็ไกว งานบ้านก็ทาได้ งานนอกก็ทาได้ คือต้องใช้เวลาท้ังสองอย่างมัน เหน่ือยครับ หญิงไทยดาบก็แกว่ง มือก็ไกว เฉพาะแค่มือก็ไกวน้ีก็เหน่ือยแล้วน้ียังดาบก็แกว่งอีกอะไรจะขนาด น้ัน คอื แนวความคดิ แบบน้จี ะเช่ือว่าผ้หู ญิงต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือน ผู้หญิงต้องทากับข้าวเป็น ผู้หญิงต้องเลี้ยง ลกู เปน็ คาเหล่าน้ดี งึ ให้ผู้หญงิ ไมส่ ามารถพัฒนาศักยภาพตัวเองได้ แนวความคิดแบบสตรีนิยมจึงเรียกร้องว่าเรา ต้องพยายามที่จะเปล่ียนความเช่ือหรือความเข้าใจที่ว่าเพศหน่ึงต้องทาแบบหนึ่ง เพศหนึ่งต้องทาอีกแบบหน่ึง ผู้หญิงต้องทาแบบนี้ ผู้ชายต้องทาแบบน้ี เราต้องทะลายความเช่ือแบบนี้ พูดง่าย ๆคือผู้หญิงคลอดลูกน้ันใช่ แต่การเล้ียงลูกเป็นเรื่องที่ท้ังสองเพศต้องช่วยกันและรวมถึงผู้หญิงสามารถเข้าถึงตาแหน่งแห่งที่ในทางสาธารณะ ได้ด้วย ต้องไม่มีอะไรที่เป็นเง่ือนไขหรืออุปสรรคในการเข้าถึงความเสมอภาคในการเข้าถึงพื้นท่ีสาธารณะ ใน การเข้าถึงตาแหน่งแห่งท่ีในทางสังคม เช่น สมัยก่อนผู้พิพากษาในเมืองไทยเป็นได้เฉพาะผู้ชายเท่าน้ัน ผู้หญิง เป็นไม่ได้ อันนี้ก็เป็นข้อเรียกร้องของพวกที่เรียกร้องความเสมอภาคท่ีต้องทาให้ท้ังหมดมันเท่าเทียมกัน หมายความว่า ผู้ชายก็เข้าถึงได้ ผู้หญิงก็เข้าถึงได้ ต้องไม่แตกต่างกัน กฎหมายต้องไม่ใช่เหตุผลท่ีวางอยู่บน เพศภาวะมาทาใหเ้ กดิ ความแตกตา่ ง และเพศภาวะต้องไมท่ าใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งระหวา่ งหญิงชายในการเข้าถึง ตาแหน่งแห่งที่ในทางสาธารณะ เพราะฉะน้ันแนวความคิดแบบแรกที่เน้นความเสมอภาคมจึงพุ่งไปท่ีกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ทาให้ผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกันเรียกร้องความเท่าเทียมกัน ผู้หญิงผู้ชายต้องเหมือนกันต้อง เท่ากัน อะไรที่ไม่เหมือนกันไม่เท่ากันต้องแก้ เช่น เหตุในการหย่าก่อน พ.ศ. 2550 เหตุในการหย่าท่ีก่อนหน้าน้ี เหตุในการหยา่ ของผูช้ ายกับผู้หญิงจะตา่ งกันพงึ่ มาถกู แก้ใหเ้ หมือนกัน ก่อนหน้านั้นถ้าเกิดผู้ชายจะหย่ากับผู้หญิง ท่มี ีชกู้ ห็ ย่าไดเ้ ลย แตถ่ ้าเกดิ ผหู้ ญงิ จะหย่าผู้ชายทมี่ ชี คู้ ือต้องออกนอกหนา้ นอกตา พึง่ จะก็ถกู ปรับแก้ ต่อมาเป็น ข้อเรียกร้องเรื่องการใช้คานาหน้านาม เร่ืองนามสกุลก่อนหน้าน้ีผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องใช้นามสกุลผู้ชาย แต่ ตอนนี้ผหู้ ญิงแต่งงานแล้วใช้นามสกุลตวั เองกไ็ ด้ อนั นีเ้ ปน็ ขอ้ เรียกร้องตง้ั บนฐานเรือ่ งความเสมอภาคของกลุ่มท่ี 1 กลุ่มที่ 2 เป็นพวกที่เน้นความแตกต่าง หญิงชายไม่เหมือนกัน กลุ่มน้ีเชื่อว่าผู้หญิงมีคุณลักษณะ บางอย่างต่างกับผู้ชาย กลุ่มท่ี 2 จึงต้ังคาถามกับแบบแรกว่าการเรียกร้องความเสมอความที่กลุ่มที่ 1 เรียกร้อง มนั เปน็ การใช้มาตรฐานผ้ชู ายมาเปน็ หลักหรอื เปลา่ เน่อื งจากแบบทห่ี นง่ึ เรียกร้องความเสมอภาคชนิดท่ีผู้ชายเป็น มาตรฐาน คอื เรยี กร้องความเท่าเทียมกนั แต่เป็นความเท่าเทยี มท่ีเอาผูช้ ายเป็นฐานแล้วให้ผู้หญิงไปถึงจุดนั้น การ เรียกร้องแบบน้ีมีปัญหายังไง เช่น เวลาผมสอนหนังสือผมจะต้ังคาถามว่าเหตุผลในการขอขาดสอบ ส่วนใหญ่ นกั ศึกษาขาดสอบมีเหตุผลชนิดใดท่ีขอขาดสอบได้บ้าง เช่น พ่อตาย เกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือเหตุการณ์ที่ ใหญห่ ลวง คาถามคอื ถา้ ผ้หู ญิงจะขอขาดสอบเพราะวา่ มีประจาเดอื นได้ไหม การมีประจาเดือนของผู้หญิงแต่ละ คนไม่เหมือนกัน ผู้หญิงบางคนไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย แต่บางคนปวดมาก สมมุติว่ามีกฎเกณฑ์อนุญาตให้ นักศึกษาผู้หญิงขาดสอบด้วยเหตุผลว่ามีประจาเดือนปวดท้องมากขอเล่ือนสอบได้ เหตุผลเช่นนี้มันคงแปลก ๆ เพราะผู้ชายไม่เคยมาขอขาดสอบเพราะการปวดประจาเดือน แต่ความจริงมันเป็นสิทธิ์ของผู้หญิง อันนี้เป็นข้อ อ่อนของความคิดที่เอาผู้ชายมาเป็นมาตรฐาน เพราะถ้าเอาผู้ชายเป็นมาตรฐานแบบน้ีผู้หญิงอยากได้ความเท่า เทียมกันแบบน้ีผู้ชายไม่มีใครขอขาดสอบด้วยการปวดประจาเดือนเพราะฉะน้ันผู้หญิงก็จึงทน เร่ืองนี้จึงเป็น ปัญหาท่ีกลุ่มที่ 2 ชี้ให้เห็นว่าถ้าเอามาตรฐานผู้ชายเป็นหลักมันจะเจอปัญหาแบบนี้ แนวความคิดที่ 2 เช่ือว่ามี อะไรบางอย่างที่ผู้หญิงต่างไปจากผู้ชายเพราะฉะน้ันกฎเกณฑ์จึงเหมือนกันหมดไม่ได้ ผู้หญิงผู้ชายต่างกัน ถ้า คิดแบบแรกแบบเสรนี ิยมไปให้สดุ ๆ เลย กผ็ ชู้ ายไม่มสี ทิ ธิล์ าคลอด แลว้ ผหู้ ญิงจะมสี ิทธ์ิไดอ้ ยา่ ไร เอาผู้ชายเป็น
56 มาตรฐานให้ผู้หญิงได้เท่ากับผู้ชาย เป็นข้ออ่อนของการคิดแบบแรก เวลาพูดถึงความเสมอภาคกลุ่มที่ 2 วจิ ารณ์กล่มุ ท่ี 1 ว่าทาไมจึงไมเ่ อาผู้หญิงเป็นศูนย์กลางแล้วผู้ชายทามาตรฐานให้เหมือนผู้หญิง เช่น ก็ผู้หญิงมีลา คลอดไง ผู้ชายอยากลาคลอดลาเลย ไม่ปิดก้ัน คือถ้าคิดแบบกลับกันเอาผู้หญิงเป็นมาตรฐานก็ผู้หญิงก็ลาคลอด ได้ ผู้ชายก็ลาได้ผู้ชายไม่ใช้สิทธิ์เอง ทาไมเวลาเราคิดถึงกฎเกณฑ์กฎหมายต่าง ๆ ผู้หญิงจึงไม่เป็นศูนย์กลาง แบบที่ 2 จะเช่ือว่าผู้หญิงผู้ชายต่างกันแน่ ๆ แบบท่ี 2 จะเชื่อแบบน้ี ความทุกข์ ผู้หญิงผู้ชายทุกข์ในเรื่อง เดียวกันไหม ส่วนใหญ่ผู้ชายทุกข์เร่ืองอะไร ส่วนใหญ่เร่ืองงาน ชีวิตส่วนตัว ความรัก อกหัก ผู้หญิงเวลาทุกข์ ส่วนใหญ่ทุกข์เร่ืองผู้ชาย สถิติในการฆ่าตัวตายผู้ชายในสังคมไทยพุ่งสูงหลังวิกฤตเศรษฐกิจหลัง พ.ศ.2540 หมายความว่าผู้ชายเวลาทุกข์กับเรื่องสาคัญ ๆ เรื่องนั้นคือเรื่องงาน เรื่องเงิน ส่วนผู้หญิงฆ่าตัวตายส่วนใหญ่ เร่ืองอกหัก เรื่องลูก เรื่องผัว เรื่องผู้ชาย เร่ืองแฟน ผู้หญิงส่วนใหญ่เวลามีปัญหาเรื่องน้ีเป็นเรื่องใหญ่ แนวความคดิ แบบท่ี 2 เชื่อวา่ ผู้หญงิ ผู้ชายต่างกัน เราจงึ ไม่สามารถใชม้ าตรฐานที่ผู้ชายเปน็ ศูนย์กลางได้ แบบที่ 3 เนน้ ความหลากหลาย จะมีกลิ่นอายของ postmodern เข้ามาอยู่ แบบท่ี 3 ก็คือจะไม่เน้น ความเสนอภาคหรือความแตกต่างเพราะพวกน้ีเป็นพวกเหมารวม คือหมายความวา่ ทาให้ผ้หู ญิงมีลักษณะเหมือน ๆ กันท้ังหมดเป็นก้อน มีคุณลักษณะบางอย่างร่วมกัน แบบที่ 3 เน้นความแตกต่าง โดยคิดว่าผู้หญิงมีความ หลากหลายมากและโดยเฉพาะอย่างยิง่ ขอ้ เรียกร้องของพวกกลุ่มท่ี 1 กลุ่มท่ี 2 ส่วนใหญ่เป็นข้อเรียกร้องของกลุ่ม ท่ี 3 วิจารณ์ เปน็ พวกข้อเรยี กรอ้ งเรอ่ื งนานมสกลุ คานาหนา้ นาม สทิ ธิในการทางานอันนี้ในอเมริกามันเป็นข้อ เรยี กรอ้ งของผ้หู ญิงผิวขาวชนชนั้ กลางท่ีเรียนจบปริญญาตรีซ่ึงผู้หญิงในสังคมในอเมริกามีคนหลายกลุ่ม อเมริกา เขาเรียกวา่ เป็นประเทศท่เี ปน็ melting point การหลอมผ้หู ญงิ เหมือนกนั หมดนเ้ี ปน็ ความคดิ ที่ไมส่ ามารถอธิบาย ความเป็นจริงได้ แต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกนั ใหค้ วามสาคัญกบั ปัญหาท่ไี ม่เหมอื นกนั เร่ืองนามสกุล การจ้าง งาน มันเปน็ ความกงั วลของบางกลมุ่ ในขณะทบี่ างกลุ่มจะกงั วลเรือ่ งอ่นื แนวคิดแบบท่ี 3 น้ีจงึ เชื่อว่าผู้หญิงแต่ ละกลุ่มเผชิญเร่ืองที่แตกต่างกันไม่เหมือนกัน เวลาจะวิเคราะห์ผู้หญิงในกฎหมายจึงต้องคิดถึงผู้หญิงอย่าง หลากหลาย ยกตวั อยา่ งเช่น ห้องน้าผชู้ ายโดยปกตผิ ้หู ญิงห้ามเขา้ แต่มผี ้หู ญงิ บางกลุ่มต้องเข้าไปในห้องน้าผู้ชาย คือ แมบ่ ้าน คนทาความสะอาด เราคิดว่าเขาจะสะดวกใจหรอื เปล่า อาจคิดวา่ คนทตี่ อ้ งเขา้ มาทาความสะอาด ชินแล้วเพราะว่าเขาไม่มีทางเลือก แต่จริงๆแล้วเขาไม่สามารถส่งเสียงร้องให้สังคมได้ยินได้ สมมุติว่าถ้าเกิด แม่บ้านเปน็ เด็กผหู้ ญิงที่มาจากกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ไุ ม่มีความรู้อน่ื ไม่มที างเลือกทีจ่ ะไปทางานอ่ืน เด็กผู้หญิงอายุ 18- 19 ที่มาจากครอบครัวท่ีเป็นชาติพันธุ์เขาจะรู้สึกอย่างไร เขาต้องทาใจให้ชินเราไม่เคยรู้เลยว่าเขาลาบากใจมาก น้อยขนาดไหน ไม่มี Feminism กลุม่ ไหนออกมาเรยี กร้อง ไม่มใี ครออกมาพดู เรอ่ื งความรูส้ ึก ความรสู้ ึกในการ ทต่ี อ้ งเข้าไปในพ้ืนท่ีเพราะเขาไม่มีทางเลือก ถ้าเกิดเราไม่มองผู้หญิงแบบหลากหลายเราจะมองไม่เห็นในแง่การ มองแบบนี้ กลุ่มท่ี 3 เสนอเรยี กว่า การพินจิ ปญั หาหรอื การวเิ คราะห์ปัญหาเชิงซ้อน การวิเคราะห์ปัญหาเชิงซ้อน หมายความว่าเราไมส่ ามารถแยกปัญหาของผู้หญิงออกจากเข่ือนไขหรือปัจจัยอื่น ๆ ได้ เช่น Multiply Analysis หรอื พินิจเชิงซ้อน คือเมื่อเราพิเคราะห์ปัญหาของผู้หญิงเราต้องพิเคราะห์ถึงสัมพันธ์กับเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น สถาน ทางเศรษฐกจิ เชื้อชาติ ศาสนา เงอื่ นไขอน่ื ๆ ท่ที าให้เขามีตวั ตนของเขาที่ตา่ งจากคนอน่ื ๆ เราต้องตระหนัก ถึงเร่ืองพวกนี้มากขึ้น ผู้หญิงไม่ได้เหมือนกันหมด ผู้หญิงมีเง่ือนไขหรือมีความแตกต่างกัน เพราะฉะน้ันเวลา คิดถึงกฎหมายก็เหมือนกัน กลุ่มที่ 3 เสนอว่าเราต้องพินิจกฎหมายหรือวิเคราะห์กฎหมายของผู้หญิงที่ไม่ใช่แต่ เพียงภาพเหมารวมต้องคานึงถึงความแตกต่างด้วย เรียกว่า feminist jurisprudence นิติศาสตร์แบบสตรีนิยม คือ การนาเอามุมมองของสตรีนยิ มมาวิเคราะห์ระบบกฎหมาย
57 สิ่งท่ีเรียกว่า Feminist Jurisprudence หรือ Feminist Legal Theory มันคือการนาเอามุมมองแบบที่ ผมพูดมาวิเคราะหร์ ะบบกฎหมาย สถาบันทางกฎหมาย ด้วยมมุ มองของ gender ใช้ gender เขา้ ไปจับเข้ามา วิเคราะห์ซ่ึงเวลาเรียนกฎหมายส่วนใหญ่เรามักจะไม่ค่อยตระหนัก พอไม่ค่อยตระหนักเรารู้สึกว่ากฎหมายมันก็ เปน็ กลาง กฎหมายไมเ่ ห็นมอี ะไรที่มนั เอารดั เอาเปรียบกันเลย กฎหมายก็เท่าเทียมกัน รัฐธรรมนูญก็รับรองว่า สิทธิชายหญงิ ไม่อาจเลอื กปฏิบัตไิ ด้ด้วยเหตทุ างเพศ แต่ว่าเอาแนวความคิดแบบ Feminist มาวิเคราะห์กฎหมาย แลว้ เราจะพบว่ามันมปี ญั หาอยู่ในกฎหมาย เม่อื กีท้ พี่ ดู ไปไม่ไดค้ ดิ เองนะครับส่วนใหญ่มาจากการอ่าน ผมอ่านจากเล่มนี้ Introduction to feminist legal theory ผมแปลเปน็ ภาษาไทยไว้แต่เก็บไว้ที่ไหนไม่รู้ ถ้าจาไม่ผิดผมแปลเล่มนี้แล้วผมได้ขอตาแหน่ง รศ. แต่ตอนแรกทแี่ ปลผมสนใจมาก กลางคืนไม่รู้จะทาอะไรผมก็แปล 5 หน้า 10 หน้าก็น่ังแปลไปเร่ือย ๆ ผมก็เลย เอาไปขอตาแหน่ง จรงิ ๆ เป็นแบบน้ี การทางานวิชาการผมเข้าใจว่าการทางานวิชาการมันเหมือนวิ่งมาราธอน คอื หมายความวา่ มนั จะไมเ่ สรจ็ ภายใน 3 วัน7 วนั มันเปน็ การวง่ิ มาราธอนคอ่ ย ๆ สะสมทล่ี ะเร่อื ง ๆ ทีละนิด ๆ พอผ่านไปถึงช่วงจังหวะหน่ึงท่ีเราอ่านมามันก็ไม่น้อย เพราะฉะนั้นคือผมก็จะอ่านหนังสือสะสมไปเร่ือย ๆ เล่มไหนเหน็ ว่าดแี ลว้ คอ่ ยแปล ตอนนัน้ การทางานวชิ าการมันยังเหมือนวิ่งมาราธอน คือค่อย ๆ วิ่ง ถ้าใครสนใจ เดีย๋ วผมจะพยายามหาตน้ ฉบบั มาให้ ส่วนใหญ่เวลาผมทางานมันจะมีงานจานวนหน่ึงซ่ึงในแง่หน่ึงนอกจากเราทางานแล้ว ผมคิดว่าควรให้ เดก็ ๆ รุ่นใหม่ๆ เรยี นรู้การทางานวิชาการ ถ้าใครทากับเราแล้วรู้สึกว่าเขาอยากจะพัฒนาตัวเองต่อไปได้ เขา จะคอ่ ย ๆ เรยี นรู้การทางานไปพร้อม ๆ กับทเี่ ราทา ในแงน่ ้เี ปน็ กระบวนการทีเ่ ราจะทาใหเ้ ดก็ รุน่ ใหม่ ๆ เกิดขึ้น ไดแ้ ละเติบโต ผมจะลองพูดสั้น ๆ เก่ียวหนังสือที่ที่ผมแจกไปเรื่อง เพศวิถีในคาพิพากษา คือแบบน้ีครับพอเวลาเรียน เวลาทาความเข้าใจมันเอามาทางานวิจัยได้อย่างไร คือเวลาเรียนผมคิดว่าเรียนแนวคิดทฤษฏี ไม่ได้เรียนแนวคิด ทฤษฎีเพ่ือแค่เข้าใจอย่างเดียว ความสาคัญคือ แล้วเราจะใช้แนวคิดทฤษฏีน้ันมาวิเคราะห์กฎหมายได้อย่างไร ซง่ึ ผมคิดวา่ ขอ้ น้ีสาคัญ ถา้ เราเรยี นเสรจ็ แลว้ กจ็ า ๆ ว่าเปน็ แบบน้ี แต่เอามาวิเคราะห์ไม่ได้อันนี้ผมคิดว่าไม่เป็น ประโยชน์มากเท่าไหร่ งานทผี่ มทาจริงๆ ผมทาเรือ่ งการขม่ ขนื นอกจากแนวคิดเรื่อง Feminist นี้แล้วผมใช้อีก แนวคิดหนึ่งชื่อภาษาอังกฤษว่า American legal realism เรียกย่อ ๆ ว่า ALR ที่เช่ือว่า กฎหมายคือสิ่งท่ี กฎหมายทา law if what law dark หมายความว่า แนวคดิ น้ไี มเ่ ช่ือว่าความหมายของกฎหมายอยู่ในตัวหนังสือ แต่อยู่ท่ีว่ามันมีปฏิบัติการจริงถูกตีความอย่างไร American legal realism เป็นแนวคิดสัจจะนิยมทางกฎหมาย แบบอเมรกิ า แนวความคดิ แบบน้ีมันอธิบายโดยกฎหมายไม่ไดด้ ูว่ากฎหมายนี้บทบัญญตั เิ ขียนว่าไงหรือถูกตีความ โดยนักกฎหมายว่าไง แต่มันสนใจในความเป็นจริงว่าเป็นอย่าไง เพราะฉะนั้นแนวความคิดท่ีผมทา ผมสนใจ เรื่องข่มขืนคือผมใช้แนวความคิดแบบ Feminist มามองเร่ืองการข่มขืนแต่ไม่ได้มองท่ีตัวบท ผมไปมองว่าศาล ตัดสินยังไง เพราะเนื่องจากในประมวลกฎหมายอาญา เวลาพูดถึงการข่มขืน มันเป็นคากว้าง ๆ ผู้ใดกระทา ชาเราผ้อู น่ื เดิมบัญญัติไว้ว่าชายใดกระทาชาเราหญิงซ่ึงมิใช่ภรรยาตน คาถามคือว่า การกระทาชาเรามัน หมายความวา่ ยังไง มีคาพิพากษาที่อธบิ ายว่าเปน็ เร่อื งระหว่างอวัยวะเพศกับอวัยวะเพศ แต่ผมคิดว่านั้นมันแคบ อยู่ สิ่งท่ีผมอยากรู้ถ้าเราอ่านคาพิพากษาเราเห็นร่องรอยอะไรหรือเปล่า ผมเลยไปนั่งอ่านคาพิพากษาศาลฎีกา
58 ย้อนหลัง 50 ปี เร่ืองการข่มขืนและการทาร้ายร่างกายระหว่างผู้หญิงและผู้ชาย ย้อนหลัง 50 ปี สิ่งท่ีผมทาผม ไม่ดูตัวบทอย่างเดียวเพราะตัวบทมันไม่ได้บอกอะไรมาก ผมจะดูว่าเวลาคดีข่มขืนและทาร้ายร่างกายข้ึนสู่ศาล ศาลบอกยังไงเก่ียวกับเร่ืองนี้บ้าง เพราะว่าคดีข่มขืนและการล่วงละเมิดทางเพศมันเป็นเร่ืองท่ีเรียกว่า มันเป็น คดีชนิดท่ีไม่ได้เกิดกลางสนามหลวง เวลาเท่ียง หมายความว่าไม่ได้เป็นคดีมีประจักษ์พยานเห็นอยู่เยอะแยะ ส่วนใหญ่เกิดในท่ีลับ ไม่ค่อยมีพยาน เพราะฉะนั้นคดีพวกนี้ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า word against word คาพดู กบั คาพูดเถียงกัน ผ้หู ญงิ กจ็ ะบอกวา่ ผชู้ ายขม่ ขนื ผูช้ ายก็จะบอกว่าผู้หญิงสมยอม คาพูดกับคาพูดจึงมา เถียงกัน สิ่งที่ศาลจะทาก็คือว่าศาลจะฟังเร่ืองราวของสองคนเรื่องไหนดูสมเหตุสมผลมากกว่ากันท่ีจะเป็นการ ขม่ ขนื หรอื ไม่เป็นการข่มขืน ฟังเร่ืองเล่าของสองคนแล้วก็ตัดสินว่าเร่ืองเล่าชนิดไหนน่าสนใจ เร่ืองเล่าชนิดไหน น่าจะถูกต้อง เพราะฉะนั้นเมื่อฟังเร่ืองเล่าสิ่งที่พอฟังได้ว่าเป็นการข่มขืนศาลต้องมีความเข้าใจหรือการให้ ความหมายเกี่ยวกับการข่มขืนชนิดหน่ึงเอาไว้เก่ียวกับการข่มขืน แล้วศาลก็จะตัดสินว่าเร่ืองน้ีเช่ือได้ เรื่องนี้เช่ือ ไม่ได้ จริง ๆ ช่วงเร่ิมต้นท่ีผมสนใจไม่ได้มีอะไรมาก ตอนน้ันมีคดีดร.นิด้า หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่าเอาไม้ กอล์ฟตีภรรยา แต่พอข้ึนศาลอัยการฟ้องว่าใช้ร่มตี ตอนศาลฎีกาตัดสินกะโหลกร้าวแตกตาย พอศาลฎีกา ตัดสินมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ ดร.นิด้า บอกว่าทุกวันนี้คิดถึงเมียอยู่ ยังรักอยู่เหมือนเดิมและตอนน้ีเลิกเล่นกอล์ฟ แล้ว เร่ืองมันมีว่าผู้หญิงไปรับผู้ชายช้า ผู้ชายขึ้นรถมาได้กล่ินเหมือนผู้หญิงกินเหล้ามา ก็เถียง ๆ กัน พูดถึง แฟนเก่า ผู้ชายก็โกรธพอโกรธก็เอาร่มตี และเตะ ต่อย พอผู้หญิงสลบ ผู้ชายก็เอาไปส่งโรงพยาบาล เสร็จ แลว้ ผ้ชู ายก็ไปเขมรตอ่ มากก็ ลบั มามอบตัวขึ้นศาล มกี ารฟอ้ งว่าทารา้ ยร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อ่ืนถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นก็ตัดสินว่าการทาร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ความตายตัดสินโทษจาคุก 4 ปี แต่เนื่องจากจาเลยเป็นผู้มี การศึกษาสูงอีกท้ังยังได้รับผลกระทบเน่ืองจากต้องสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไปและเข้ามอบตัว ทั้งต้องเล้ียงลูก จึงลดโทษเหลือ 2 ปแี ตเ่ มอื่ พเิ คราะหแ์ ลว้ จาเลยไมเ่ คยกระทาผดิ อะไรมาจึงให้รอลงอาญาและให้บาเพ็ญประโยชน์ 50 ช่วั โมง ศาลชัน้ ตน้ ศาลอุทธรณ์ ศาลฏีกาตัดสินออกมาเป็นแบบน้ีหมดเลย ตอนนั้นผมเขียนบทความสั้น ๆ ชิน้ หนึ่งลงหนังสอื พิมพ์มตชิ นชอ่ื บทความว่า กฎหมายนงุ่ กางเกงคาดโรเล็กซ์ หมายความว่ากฎหมายเป็นของ ผู้ชาย แล้วผู้ชายรวย เพราะในคาพิพากษาบอกว่าเนื่องจากจาเลยเป็นผู้มีการศึกษาสูงยังสามารทาประโยชน์ ให้กบั ประเทศชาตไิ ด้ ถา้ ชาวนาทาแบบน้บี ้างละ ศาลจะบอกว่าเน่ืองจากจาเลยเป็นชาวนา ทาคุณประโยชน์ให้ ประเทศชาตปิ ลกู ข้าวใหป้ ระชาชนชาวไทยกินมาอย่างยาวนานเพราะฉะนั้นจึงลดโทษให้ ซึ่งไม่มีหรอกครับ ผม จึงเขยี นบทความสัน้ ๆ ลงมตชิ น พอลงมคี นอา่ นแล้วชอบก็เลยชวนผมไปพูดที่คณะกรรมการสิทธิ์ ผมก็ไปพูด โชคดีมีตัวแทนจากองค์กรสิทธิสตรีของสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ มาน่ังฟัง พอผมพูดเสร็จเขาก็เดินมาบอก อาจารย์ ๆ อยา่ ทาคดีเดียว อาจารย์ทาใหญ่เลยไดไ้ หม จากบทความช้ินเดียวบนหน้าหนังสือพิมพ์ จากเรื่องน้ี แหละทท่ี าใหผ้ มทาออกมาเปน็ หนังสือเล่มน้ี งานวิจัยที่ทาคือถ้าเอาคาพิพากษา 50 ปี มาเรียง ๆ กัน มันจะได้ไม่เห็นอะไร แต่ส่ิงที่ผมพบแล้วผมคิดว่าเป็น ขอ้ สรปุ ทที่ าให้ผมพูดได้ พออ่านไป 50 ปี คดีข่มขืนท่ีข้ึนศาลส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ คือ รู้ได้อย่างไรว่าเป็นการ ข่มขืน ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเธอยินยอม อีกฝ่ายบอกว่าใช้กาลังบังคับ พออ่านคาพิพากษา ผมพบว่ามันมีปัจจัย สาคัญที่ศาลจะนามาเป็นเหตุขบคิดและตัดสินว่านี้คือการข่มขืนหรือมิใช่การข่มขืน เวลาอ่านคาพิพากษาไป แนน่ อนความเชื่อนี้จะสะท้อนความเช่ือส่วนหน่ึงของคนในสังคมด้วย เท่าที่ผมอ่านผมพบว่ามีปัจจัย 3 เร่ือง ซึ่ง ในคาพิพากษา 50 ปี สะท้อนใหเ้ ห็นร่องรอยอันนี้ ขอ้ ท่ี 1 บาดแผล หมายความว่า ถ้าคดีไหนเกิดขึ้นโดยผู้หญิงมีบาดแผล บาดแผลจะเป็นส่ิงท่ีบ่งบอก
59 ว่าผู้หญิงต่อสู้ หมายถึงผู้หญิงไม่ยินยอมในเพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น บาดแผลเท่าที่ผมอ่านคาพิพากษาย่ิงรุนแรง ยิ่งดี ประเภทว่าผู้หญิงต่อสู้จนคอห้อยต่องแต่ง ๆ อันน้ียิ่งชัวร์เลยว่าไม่ได้ยินยอม ถ้าไปถึงศาลแล้วมีบาดแผล เลอื ดทว่ มกาย หวั หอ้ ยต่องแต่ง ๆ เพศสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นแสดงว่าผู้หญิงไม่ได้ยินยอม ต้องมีบาดแผลยิ่งรุนแรง ยง่ิ ดี คอื ถ้าใครแจ้งความว่าขม่ ขืนตารวจจะส่งตอ่ ไปทางโรงพยาบาลเพ่อื ให้บนั ทึกไว้ ปัญหาคือ ถ้าใจไม่ได้อยากถูกกระทา(ข่มขืน)แต่ถูกบังคับจิตใจให้ต้องนอนน่ิงๆ ขยับตาย บาดแผลตามเน้ือตัว จึงไมเ่ กดิ สะอาดเกล้ียงเกลา สามารถมีการข่มขืนชนิดท่ีไม่มีร่องรอยบาดแผลนี้เกิดขึ้นได้หรือไม่ ตามอันเดิมที่ ผมดู คอื ชายใดกระต่อหญิงอ่นื มคี าพพิ ากษาฎกี าวางแนวไว้วา่ กรณกี ารขม่ ขนื ต้องเป็นการกระทาระหว่างอวัยวะ เพศกบั อวัยวะเพศตามแนวเดยี วกนั หมด แต่บาดแผลไมไ่ ดบ้ ญั ญัตเิ อาไว้ ไมม่ ีการพูดถงึ บาดแผลทางจติ ใจ ขอ้ ท่ี 2 ระยะเวลาหลงั จากเกิดเหตุ คอื ผเู้ สียหายใช้เวลานานขนาดไหนในการที่จะเอาเร่ืองน้ีไปบอกกับ คนใกล้ชิด ไปแจ้งความ หรือไปให้แพทย์ตรวจ ตามแนวคาพิพากษาของศาล คือ ย่ิงไปเร็วยิ่งดี ย่ิงไปเร็วยิ่ง สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงไม่ได้ยินยอม เพราะฉะน้ันถ้าใครเป็นประเภทแบบถีบผู้ชายไปแล้ววิ่งไปโรงพักเลยยิ่งดี ถา้ คดไี หนทท่ี ้งิ เวลาไว้นาน 1 เดือน หรอื 2 เดือน คาพพิ ากษามรหลายคดีท่ศี าลจะวินิจฉัยว่ากรณีเช่นนี้เป็นพิรุธ ว่าเพราะเหตใุ ดจึงไม่ได้รีบดาเนินการกลับปล่อยเวลาให้ผ่านไปเนินนาน มีคดีหลายคดีที่ผู้เสียหายปล่อยให้เวลา ผ่านไปสกั 2 เดอื นแล้วจึงไปแจง้ ความแล้วก็สู้กันถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาก็หยิบประเด็นนี้มาวินิจฉัย ในความเห็น ของศาลถ้าผูห้ ญิงถูกขม่ ขืนพ้นจากอานาจของผู้ชายแล้วต้องรีบแจ้งความ แต่คาถามคือในความเป็นจริงเวลาถูก ข่มขืนเสร็จแล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ไปแจ้งความทันที เช่น สมมุติคนที่ข่มขืนเป็นมาเฟียแล้วเด็กท่ีถูกข่มขืน กลับบ้านบอกพ่อกับแม่ก่อน พ่อแม่ก็คิดก่อนว่าจะคุ้มไหมถ้าแจ้งความจับเขา ซ่ึงมันใช้ระยะเวลาและเรามี หลักฐานอะไรไปเอาผิดเขา เป็นการใช้ระยะเวลากับความกลัวอยู่ช่วงเวลาหน่ึงถึงจะไปแจ้งความ ตามคา พิพากษาย้อนหลัง 50 ปี ที่ผมศึกษาตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ถึง พ.ศ.2545 ผมเข้าใจว่าผู้หญิงพอถึงช่วงระยะเวลา หน่ึงท่ีจะตัดสินใจเรื่องนี้น่าจะมีปัญหา มีความยุ่งยากพอสมควร อย่างน้อยเขาคงต้องปรึกษาใครใกล้ตัวก่อน เคยมีลูกศิษย์ผมคนหน่ึงถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้วมาปรึกษาผมว่าจะไปแจ้งความดีหรือเปล่าหลังจากเหตุการณ์ เกดิ ขน้ึ ประมาณ 2 สัปดาห์แลว้ ผมถามว่าคุยกับที่บ้านหรอื ยัง เขาบอกว่าที่บา้ นไม่เหน็ ด้วยที่จะไปแจ้งความคือ ถา้ มนั เป็นคดีแลว้ ยังเรยี นอยจู่ ะทาให้ลูกเสียชื่อเสียง คิดซะว่าให้หมามันกิน เขาก็เลยมาปรึกษาผม คือ ผมก็ไม่ รู้ผมคงตัดสินใจแทนเรื่องจะดาเนินการต่อหรือไม่ไม่ได้เป็นเร่ืองของเขา แต่ส่ิงที่ผมจะบอกได้คือ เราจะเจอ อะไรบ้างถ้าตัดสินใจฟ้องคดี ผมบอกว่าตารวจจะทาอะไรบ้าง อัยการจะทาอะไรบ้าง ไปศาลเป็นไงบ้าง ผม บอกอย่างนี้สุดท้ายแล้วให้เขาตัดสินใจเอง แต่คือที่แน่ ๆ เวลาเกิดเรื่องข้ึนแล้วผู้หญิงท้ังหมดไม่ได้ว่ิงไปโรงพัก ทนั ที อยา่ งน้อย ๆ เขาต้องปรึกษาคนใกล้ตัวที่เขารู้สึกว่าพอจะไว้ใจได้ ใครที่พอจะให้คาปรึกษาได้ แต่ในแง่น้ี ของศาลถา้ ใครไปแจ้งความชา้ จะถูกสนั นฐิ านไปอีกแนวทางหนงึ่ ข้อท่ี 3 ภูมิหลังของความสัมพันธ์ระหว่างหญิงกับชาย ผมมีคาพิพากษาบนปกหลังหนังสือท่ีอย่างจะ ยกตัวอย่างฟงั เร่ืองมอี ย่วู ่า ผูห้ ญิงไปเท่ยี วงานวัดขาไปไปกับญาติ พอไปที่งานวดั เจอแฟนเกา่ ขากลบั ผู้หญิงซ้อน ท้ายมอเตอร์ไซค์แฟนเกา่ กลับ วันรุ่งข้นึ ผหู้ ญิงไปแจง้ ความกับตารวจว่าถูกแฟนเก่าข่มขืน แต่ผู้ชายบอกว่าผู้หญิง สมยอม ศาลตัสนิ ว่าวันเกดิ เหตคุ ดีนผี้ ูเ้ สียหายกับนาง ร พากนั ไปเท่ียวรถจักรยานยนต์ ขากลับปรากฏว่ายางใน รถจักรยานยนต์ของนาง ร แตก ผู้เสียหายจึงซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจาเลยกลับบ้าน ผู้หญิงก็เลยโทรไป บอกให้นาง ร จูงรถจักรยานยนต์กลับบ้านกับเพ่ือนบ้าน ระหว่างทางจาเลยจอดรถและใช้มีดพกจี้คอผู้เสียหาย
60 พาไปข่มขืนกระทาชาเราที่เพิงนาข้างถนนรวม 2 ครั้ง แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เสียหายกับจาเลยเคยได้เสียกัน ด้วยความสมัครใจมาก่อนและการที่ผู้เสียหายไม่ยอมกลับบ้านพร้อมกับนาง ร โดยให้นาง ร กลับบ้านไปก่อน หนา้ ทงั้ ๆ ท่ไี ม่มีเหตุจาเป็นที่ต้องไปกับจาเลยซ่ึงเป็นแฟนเก่านั้น แสดงว่าผู้เสียหายมีอุบายที่จะกลับบ้านพร้อม กับจาเลยมากกว่า (คาพิพากษาฎีกาท่ี 4465/2530) แสดงว่าศาลดูท่ีความสัมพันธ์ภูมิหลังระหว่างผู้เสียหายกับ จาเลยว่าเคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อนหรือเปล่า ถ้าเคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อนแล้วมามีความสัมพันธ์กันข้ึน ใหมอ่ ีก ศาลจะมีแนวโนม้ เชื่อว่าเปน็ การสมยอมไมใ่ ชข่ ่มขื่น 3 ข้อน้ีเป็นปัจจัยสาคัญถ้าคดีไหนเกิดข้ึนแล้วมี factor 3 อันน้ี คดีน้ันแพ้สนิท คือ ถ้าสมมุติว่าถูก ขม่ ขืนแลว้ มานอนคิดอย่ปู ระมาณ 1 เดอื นและคนท่ีข่มขนื เราเป็นแฟนเกา่ ถ้าเข้า 3 ข้อนี้ก็จบถ้าคิดจากแนวโน้ม ของคาพพิ ากษาแพแ้ น่ ๆ ถ้ามปี จั จัยเดยี วพอจะสคู้ ดีกันได้แต่ถ้ามี 3 ปัจจัยโอกาสชนะคดีมีต่ามาก อันน้ีแหละ คือความหมายของการข่มขืนตามกฎหมาย ซงึ่ ถามว่ามันถูกเขียนไว้ในมาตรา 276 ประมวลกฎหมายอาญาหรือ เปล่า ไมม่ ีครบั แต่จากอา่ นคาพพิ ากษาเพ่อื ทาความเข้าใจความหมายของการข่มขืนในหัวสมองของผู้พิพากษา ว่าคิดอย่างไร ผมก็เดาว่า 3 ข้อน้ีคือส่วนหน่ึงที่ผู้พิพากษาและสังคมคิดเก่ียวกับการข่มขืน ถ้าถือตามปัจจัย 3 ขอ้ ทก่ี ลา่ วมา ส่ิงท่ีเราจะเห็นจากการข่มขืนท่ีเกิดขึ้นตามแนวคาพิพากษาของศาลฎีกามันมีนัยยะแบบน้ี คือ จะ เปน็ การขม่ ขืนก็ต่อเมอ่ื เปน็ เรอ่ื งของคนแปลกหนา้ เพราะถา้ เคยมคี วามสมั พันธก์ ันมาก่อนศาลไม่ถือว่าเป็นข่มขืน ต้องเป็นคนแปลกหน้า ใช้กาลัง แล้วพอผู้หญิงพ้นจากการข่มขืนต้องรีบไปแจ้งความทันที ถ้าคิดตามตรรกะน้ี คาถามคือ เกณฑ์แบบนี้มันใช้กับการข่มขืนท่ีเกิดขึ้นในความเป็นจริงได้หรือไม่ เนื่องจากสถิติการข่มขืนในคา พพิ ากษาศาลฎกี าการข่มขนื ตอ้ งเป็นเร่อื งของคนแปลกหน้า สว่ นใหญก่ ารขม่ ขืนเกดิ ขนึ้ โดยคนใกล้ชิดหรือคนใกล้ ตัว ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ แม้กระทั่งเจ้าอาวาส สถิติของการข่มขืนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ คือคนใกล้ ตัว และเป็นการใช้อานาจบังคับ ไม่ได้ใช้กาลังบังคับด้วยนะครับ อานาจบังคับ หมายถึง อานาจท่ีเหนือกว่า เช่น ระหว่างนายจ้าง ผู้บังคับบัญชากับอีกฝ่ายหนึ่ง จะเป็นอาจารย์ก็ใช้อานาจบังคับได้นะครับไม่ได้ใช้กาลัง การใช้กาลังบงั คับ หมายถงึ การเข้าไปชกทอ้ ง ทารา้ ยรา่ งกาย การขม่ ขืนท่ใี ช้อานาจทีเ่ หนือกวา่ คือ ถ้าไม่ยอม บั้นปลายจะมีผลกระทบตามมา การขม่ ขืนจานวนไม่น้อยเปน็ การใช้อานาจท่ีเหนอื กว่าบังคับและเป็นเร่ืองของคน ใกลต้ ัว เวลาทีผ่ มทาทฤษฎเี ร่ืองสตรนี ยิ ม (Feminist) เราคงไม่ได้ใช้มนั เพ่ือมาอธบิ ายว่าทฤษฎีน้ีเป็นอย่างไร แต่ หมายความว่าเราต้องสามารถเอาทฤษฎีไปวิเคราะห์ระบบกฎหมายได้ ผมทางาน 2 เร่ืองใหญ่ ๆ เรื่องหนึ่งคือ เรื่องข่มขืน อีกเร่ืองหน่ึงเป็นเร่ืองการทาร้ายร่างกาย คือผมคิดว่าพอเราทาแบบนี้เราจะเห็นอะไรเยอะข้ึน อย่างเช่นในเร่ืองการทาร้ายร่างกายมีคดีหน่ึงเป็นคดีระหว่างสามีกับภรรยาทาร้ายกัน คือแบบน้ีการทาร้าย รา่ งกายกันถา้ เป็นคนธรรมดาทาร้ายกนั ศาลกจ็ ะใหค้ วามหมายแบบหน่ึง แต่พอเป็นสามีภรรยาทาร้ายร่างกายกัน ก็ให้ความหมายในอีกแบบหน่ึง คดีนี้สามีทาร้ายภรรยาด้วยไม้หลักแจวเรือ ภรรยาหนีเข้าห้องสามีติดตามไป จะทาร้ายร่างกายให้ได้ ภรรยาจึงใช้ปืนยิงสวนไปหนึ่งนัดถูกสามีตาย ศาลฎีกาตัดสินว่า นาย ฉ มิใช่ใครอ่ืน แท้จริงแลว้ เป็นสามีของจาเลยอยู่กินกันมาช้านาน เคยมีเรื่องกันทุบตีกันเสมอ ๆ แต่ไม่ปรากฏว่านาย ฉ ได้เคย ทาอันตรายแก่จาเลยถึงขนาดรุนแรงหรือมากมายแต่อย่างใด ท้ังขณะนั้นในภายในห้องก็มีบุตรสาวของจาเลยอยู่ เป็นเพื่อนด้วย จาเลยน่าจะทราบดีว่าแม้นาย ฉ ถึงจะตามเข้าไปได้ก็คงไม่ทาอันตรายต่อจาเลยย่ิงไปกว่าที่เคย ๆ กันมา การที่จาเลยใช้วิธีป้องกันตัวโดยหมายเอาชีวิตนาย ฉ เช่นน้ีราวกับว่ามิใช่ภรรยานาย ฉ และหนักไป มาก จึงต้องนับว่าเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ การตัดสินแบบนี้หมายความว่า ศาลกาลังคิดว่า
61 เมอื่ ไหร่ทผ่ี ัวเตะเมยี ระดับไหน มนั กจ็ ะเตะระดบั อยา่ งน้ไี ปเรือ่ ย ๆ ไมม่ ีวันเตะเกนิ กว่านี้ คาพิพากษาแบบน้ีเป็น การรับรองความชอบธรรมของส่ิงที่นักสตรีนิยม (Feminist) เรียกว่า Domestic Violence ความรุนแรงภายใน ครอบครัว แทนท่ีมันจะเป็นเรื่องการทาร้ายร่างกายมันดันกลายเป็นเร่ืองของสามี ภรรยา ที่ยังไงมันก็เกิดขึ้นได้ ภายใต้สุภาษิตล้ินกับฟันย่อมกระทบกันเป็นธรรมดา ท่ีผมเลือกใช้วิธีการอ่านคาพิพากษาของศาลก็เพราะว่าตัว บทกฎหมายในปัจจุบันผมเช่ือว่าจานวนมากมันถูกปรับแก้ให้เท่ากัน แต่ว่าพอเราไปดูคาพิพากษา คาวินิจฉัย ของศาลผมคิดว่านี้คือพื้นที่ท่ีจะทาให้เราเห็นอะไรมากข้ึน เพราะฉะนั้นงานช้ินน้ีผมจึงเลือกวิเคราะห์ผ่านคา พิพากษา พอเวลาอ่านไปเยอะ ๆ ผมก็พบว่ามันน่าสนใจมาก ผมคิดว่าแนวคิดสตรีนิยม (Feminist) เป็น เครื่องมืออนั หนึ่งในการช่วยให้เรามองเรื่องต่าง ๆ ได้เห็นมากขึ้น เรามักจะชอบคิดว่ากฎหมายเป็นกลาง เป็น ธรรม ไม่มีเพศ การคิดแบบนี้เป็นการคิดท่ีไม่มีมุมมองทางด้านเพศผู้หญิงมาประกอบ แนวคิดสตรีนิยม (Feminist) จะเร่ิมต้นด้วยการใช้ส่ิงท่ีเรียกว่า gender มาวิเคราะห์ gender คือ เพศภาวะ ซึ่ง sex กับ gender เป็นคนละเรื่องกัน มันเกิดขบวนการเคลื่อนไหวท่ีใช้วิธีการเรื่อง gender มาวิเคราะห์กฎหมายหรือส่ิง ตา่ งๆ เกิดขึน้ ในชว่ งปลายศตวรรษที่ 20 นามาสู่กระบวนการที่เรียกว่า LGBT คือ เพศหลากหลาย นอกจาก เหนือจากแนวคดิ สตรนี ยิ ม (Feminist) แล้ว ตอนน้ีเป็นขบวนการ LGBT เป็นขบวนการที่ใช้ gender มาเป็นฐาน ในการวิเคราะห์เหมือนกัน L คือ Lesbian, G คือ Gay , B คือ Bisexual , T คือ Transgender และตอน หลังก็มีขยับเพ่ิมไปเป็น I คือ Interfec , Q คือ Qest ฯลฯ หมายความว่า พอเอาเร่ืองของ gender มา วิเคราะห์ เราสามารถมีเพศวิถีท่ีไม่ตรงกับ sex ได้ ซ่ึงเพศวิถีหรือเพศภาวะไม่ได้เป็นเพียงผู้ชายผู้หญิงเท่านั้น มันมแี บบอนื่ ๆ อกี ได้ กลุ่มบคุ คลเพศหลากหลายจงึ เกดิ ข้นึ นามาสู่การเคลื่อนไหวของอีกกลุ่มหน่ึง ซึ่งตอนน้ี กาลังเคล่ือนไหวกันอยู่มากพอสมควร ผมเขียนเก่ียวกับเพศหลากหลายไว้เล่มหนึ่งไปดาวน์โหลดได้ช่ือ บุคคล เพศหลากหลายในระบบกฎหมาย สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี เรื่องบุคคลเพศหลากหลายในระบบกฎหมายก็จะ มเี ร่อื งการแตง่ งาน การรับรองเพศภาวะในทางกฎหมาย ส่ิงที่จะพูดกค็ อื ว่าตอนนก้ี ารใช้แนวความคดิ สตรนี ยิ ม (Feminist) แบบนี้ไปทาวจิ ัยเท่าทีผ่ มเห็นโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในวิทยานิพนธ์อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ที่เห็น ในวิทยานิพนธ์ท่ีใช้แนวความคิดแบบสตรีนิยม (Feminist) ไปศึกษาในกฎหมาย ดูเหมือนเรื่องที่เจอเยอะสุด คือ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงในครอบครัว เช่น เร่ืองสทิ ธกิ ารหย่า การใช้ชือ่ -นามสกลุ เปน็ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผู้ชายผหู้ ญงิ เมื่ออยู่ในครอบครัวเดียวกัน การ ล่วงละเมิดทางเพศระหว่างสามีภรรยาก็เป็นเรื่องข่มขืนได้ การคุกคามทางเพศ เรื่องสิทธิอนามัยในการเจริญ พันธ์ของผู้หญิง คือว่าผู้หญิงควรมีความสามารถในการที่จะตัดสินเร่ืองอนามัยเจริญพันธ์ของตัวเองได้มากน้อย ขนาดไหน พูดง่าย ๆ คือ ผู้หญิงควรสามารถตัดสินใจทาแท้งได้หรือไม่ ผู้หญิงควรมีอานาจขนาดไหนในการ ตัดสินใจเกี่ยวกับการทาแท้งหรือการตั้งครรภ์ หรือการศึกษาผู้หญิงในฐานแรงงาน เน่ืองจากผู้หญิงมีลักษณะ บางอย่างเป็นพิเศษ หรือผู้หญิงและสิทธิในการเข้าถึงศาสนาเป็นวิทยานิพนธ์เรื่องเกี่ยวกับการบวช สิทธิในการ บวช เสรีภาพในการบวชของผู้หญิง ควรมีกว้างขวางขนาดไหน ผู้หญิงควรเข้าถึงศาสนาได้ขนาดไหน การ ห้ามผู้หญิงเข้าเขตชั้นในของศาสนสถานเป็นสิ่งท่ีสมควรหรือไม่ อีกเรื่องหน่ึงที่ตอนหลังผมเห็นมีคนทา วิทยานิพนธ์เยอะข้นึ คือ เรื่องการค้าหญิงขา้ มพรมแดน การค้ามนุษย์ เท่าท่ีผมไปน่งั ไล่ ๆ ดูวิทยานิพนธ์มีเร่ือง เก่ยี วขอ้ งกับสตรีนยิ มประมาณ 30-40 เลม่ เลยจับกลุ่มมาให้เห็นว่าเป็นแบบนี้ แต่ผมอยากบอกว่ายังทาเร่ืองอื่น ๆ ได้อีกเยอะแยะ การใช้วิธีมองแบบสตรีนิยม (Feminist) และรวมถึงการใช้วิธีมองที่เรียกว่า บุคคลเพศ หลากหลาย บุคคลเพศหลากหลายผมคิดว่ามันอยู่ในช่วงฟักไข่ในเมืองไทยการศึกษาวิจัยเก่ียวกับเพศ
62 หลากหลายในระบบกฎหมายไทยเป็นระยะเริ่มต้น ถ้าเป็นงานศึกษาแบบสตรีนิยม (Feminist) มีมายาวนานแล้ว ตอนนี้ขอ้ สงั เกตบางประการ เกี่ยวกับงานวิจัยที่ใช้แนวความคิดแบบสตรีนิยม (Feminist) ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ แนวคิดสตรีนิยมแบบเสรีนิยมเป็นหลัก หมายความว่า พยายามเรียกร้องสิทธิให้เท่ากับผู้ชาย มักจะใช้หลักการ สิทธิมนษุ ยชน ความเสมอภาคระหว่างชายหญิงมาเป็นขอ้ โต้แย้งว่าเมอ่ื ผู้ชายไดแ้ ลว้ ทาไมผหู้ ญงิ ไม่ได้ เช่น สิทธิ ในการบวช ทาไมผูห้ ญิงจึงมีสิทธติ า่ ตอ้ ยกวา่ ผู้ชาย งานส่วนมากจะใชแ้ นวความคิดสตรีนิยมแบบเสรีนิยม เพ่ือ เน้นว่าผู้ชายทาได้ผู้หญิงก็ควรทาได้ และข้อสังเกตประการที่ท่ีสองงานสตรีนิยม (Feminist)ท่ีผมเห็นจะนิยม พิจารณากฎหมายท่เี ปน็ ทางการ โดยพิจารณาจากตวั บท ซ่งึ ถ้าพจิ ารณาจากตวั บทบัญญตั หิ ลงั ๆ งานชนิดนี้จะ ทายากขน้ึ เพราะกฎหมายท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรส่วนใหญ่จะถูกปรับแก้ให้เหมือนกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง แต่ ผมคดิ ว่าสถานท่ีท่จี ะทาให้เราเหน็ ความไมเ่ ทา่ เทยี มกันมันจะไปอยู่ท่ีทางปฏบิ ตั ใิ นการให้เหตผุ ลในคาพิพากษาของ ศาลซึ่งความไม่เท่าเทยี มกันเคลื่อนไปอยแู่ ถวนั้น การศึกษาจากคาพิพากษาจึงน่าสนใจมากกว่า อย่างเช่นมีคน ให้ผมวิจารณ์งานวิจัยชิ้นหนึ่ง เก่ียวกับพรบ.ค่าชดเชย ค่าเยียวยา ผู้เสียหายในคดีอาญา งานวิจัยชิ้นนี้จะ จาแนกผู้เสยี หายในคดีประเภทอะไรบ้าง ตอนหลังที่ได้รับการเยียวยาเขาพบว่าคดีข่มขืนคือทุกคนจะได้ 30,000 บาทหมด ไดเ้ ทา่ กันหมดเท่ากับคดีประเภทอ่ืน คาถามคือวา่ ศาลเอาหลักการอะไรมาคิด มีแต่ตัวเลขไม่มีหลัก อะไรเลย การเยี่ยวยาหรือการพิจารณาความเสียหายท่ีเกิดข้ึนบางทีก็ไม่มีการวางหลักการไว้ ซึ่งมีพื้นที่ที่ น่าสนใจอีกมากแต่อย่าไปดูที่ตัวบท ถ้าไปดูที่ตัวบทจะหาอะไรไม่ค่อยเจอให้ไปดูพ้ืนท่ีท่ีออกไปจากตัวบทผมคิด วา่ จะเหน็ ปัญหาตา่ งๆได้อกี เยอะจริงๆ มีหลายเรื่องที่ผมสนใจแต่ตอนหลังผมขยับไปทาเรื่องอ่ืนเพ่ิม ข้อสังเกต ประการทส่ี ามงานศกึ ษาสตรนี ิยม (Feminist) ทางกฎหมายของนักกฎหมายไมค่ ่อยน่าสนใจเท่าไหร่ มันจืด ส่วน ใหญ่จะเป็นการเทียบตัวบท งานที่น่าสนใจไปพบอยู่ที่ชิ้นงานของพวกกลุ่มสตรีศึกษา งานของนักสตรีศึกษาท่ี สนใจเก่ียวกับกฎหมายหรือเกี่ยวข้องกับกฎหมายมีหลายชิ้นน่าสนใจ มีชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ เขาไปศึกษา ผู้หญิงในชนเผ่ากับการใช้กฎหมายของรัฐ เขาศึกษาผู้หญิงชนเผ่าหน่ึงท่ีชนเผ่านี้โดยจารีต โดยธรรมเนียมแล้ว ผู้ชายจะกดขี่ผู้หญิงมาก ส่ิงท่ีเกิดข้ึนในชนเผ่าน้ีคือว่า ผู้หญิงชนเผ่าคนหน่ึงลุกขึ้นมาใช้กฎหมายของรัฐมาเป็น เครื่องมือสู้กับผู้ชายในชนเผ่า เป็นผู้หญิงท่ีมาอบรมกฎหมายท่ีศูนย์สตรีศึกษาพอมีความรู้กฎหมายของรัฐก็ นาไปใช้เปน็ เคร่ืองมือตอ่ สู้กับจารตี ของชนเผา่ ตน เพอ่ื ปกปอ้ งสทิ ธิของตัวเองและผู้หญิงในชนเผ่าให้มากขึ้น ผม คิดว่างานศึกษาแบบนี้น่าสนใจ เพราะทาให้เห็นว่ามีผู้หญิงกลุ่มหน่ึงท่ีไม่ได้อยากอยู่ใต้จารีตประเพณีด่ังเดิมท่ี ไม่ได้เป็นธรรมสาหรับพวกเขา ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งซึ่งสามารถเรียนรู้กฎหมายและใช้มันเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ การต่อส้ขู องเขามกี ลไกอะไรบ้าง ผมคิดว่าในปจั จุบันมีกฎหมายเกี่ยวกับผู้หญิงเป็นจานวนมากที่ออกมาแต่ไม่ได้ ถูกใช้ พอออกมาก็ออกมาท้ิงไว้แล้วเป็นไงต่อ หรือแม้กระท่ังคดีข่มขืนท่ีมีการแก้ไขกฎหมายเป็น ผู้ใดกระทา ชาเราผู้อ่ืน หลังจากมีการแก้ไขมีผู้หญิงคนไหนไปฟ้องว่าสามีตัวเองข่มขืนไหม ผมอยากจะเดาว่าไม่มีด้วยซ้า เรือ่ งนไ้ี ม่ใชป่ ญั หาในทางกฎหมายแตเ่ พยี งอยา่ งเดยี วมนั เป็นปัญหาในทางวฒั นธรรมและปัญหาในด้านอ่ืน ๆ ด้วย แสดงให้เห็นว่าการพยายามผลักดันกฎหมายแต่เพียงอย่างเดียวเป็นเร่ืองท่ีไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่ ทั้งหมดนี้ ข้อสังเกตของผมเปน็ เร่อื งสตรีนยิ ม (Feminist) แบบพ้นื ฐานคร่าว ๆ ที่นามาเล่าให้ฟังเพ่ือดูว่าเวลาใช้แนวคิดสตรี นิยม (Feminist) มาวจิ ัยกฎหมายจะทาได้อยา่ งไรบ้าง และยังทาไดอ้ กี เยอะนะครบั คาถาม : ผชู้ ายไปฟ้องวา่ ผหู้ ญิงข่มขืนมไี หม ตอบ : ในเมืองไทยผมยังไม่เห็น คืออันน้ีต้องทาต่อแต่ถ้าเกิดไปดูถึงศาลฎีกาเท่าที่ผมศึกษาก็คงยังไม่ เห็นหรอก เพราะว่ามีแก้ไขกฎหมายเร่ืองการข่มขืนในปี พ.ศ. 2550 หรือ พ.ศ. 2551 ผมจาไม่ได้ ซึ่งมันยัง
63 เดินทางไมถ่ งึ ศาลฎีกา แต่ถา้ สมมตุ วิ ่ามีจะเป็นล่วงละเมิดทางเพศในเรือนจาในงานศึกษาของฝรั่ง มีงานหนึ่งที่ ผมเคยอ่านผมคดิ วา่ มันนา่ สนใจเขาทาเร่ืองนท้ี าเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศในเรือนจาและเป็นการล่วงละเมิดทาง เพศท่ผี ชู้ ายทากบั ผชู้ าย คาถาม : ขอย้อนไปประเด็นที่ว่ากรณีมีผู้ชายไปฟ้องว่าผู้หญิงข่มขืนหรือไม่ มันมีอยู่จานวนหนึ่งถ้า อาจารยจ์ ะทางานวจิ ัยผมคิดว่าคาพพิ ากษาศาลฎกี ามีน้อยมาก แต่สว่ นใหญ่ทีผ่ มเคยทามาบ้างจะเป็นผู้หญิงจะมี วฒุ ภิ าวะมากกว่าผู้ชายและกระบวนการจะไปจบในข้ันตอนการเจรจาหรือขั้นตอนที่ศาลช้ันต้นว่ารับ คดีจึงไม่ข้ึน ถึงช้ันศาลฎีกา แต่มีคดีอยู่จานวนพอสมควร ส่วนใหญ่ผู้ชายเป็นเด็ก ผู้หญิงเป็นแม่ เมื่อมีเรื่องก็จะไปเจรจา กันท่ีตารวจและสรุปได้ 2 อย่าง ข้ันตอนของตารวจอาจจะจบในกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นที่ไม่ข้ึนไปสู่ศาลสูง หรือให้นาคดีไปสู่การฟ้องร้องกันก็มี ถ้าอาจารย์จะวิจัยผมคิดว่าต้องไปตามต้ังแต่ในข้ันตอนต่าง ๆ ว่ามันมี เงื่อนไขอะไรบ้างในการนาคดีสู่ศาลสงู คาตอบ : คืออันนี้ความยุ่งยากมันอยู่ท่ีการเก็บข้อมูล คาถามคือเราจะรู้ว่ามีคดีก็ยากนะครับแล้วย่ิงเป็นคดีเด็ก อยู่ดีๆ ขอเสนอหน้าไปนั่งฟังก็ไม่ได้ จริง ๆคาพิพากษาถ้าถามผมที่น่าสนใจเป็นคาพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยซ้า แต่ปัญหาคือว่าในเมืองไทยคาพิพากษาศาลชั้นต้นถ้าไม่ได้เป็นคู่ความในคดีจะเข้าถึงไม่ได้ ฉะนั้นตอนท่ีผมทา วจิ ยั ผมจงึ เลอื กศึกษาคาพพิ ากษาของศาลฎกี าเพราะว่าเราสามารถเข้าถึงได้ บางส่วนมีการพิมพ์เผยแพร่ 30-40 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นคาพิพากษาท่ีถูกเขาคัดเลือกมาแล้วว่ามีคุณภาพเขาถึงเผยแพร่ คาพิพากษาไหนที่ไม่มี คุณภาพเก็บไวอ้ กี เยอะนะครับ อันนี้เป็นตัวอย่างงานวิจัยที่ผมทาและงานวิจัยอ่ืนท่ีพูดมาก็ลองไปหาดูได้ มีงานวิจัยอยู่จานวนมากแต่ ผมกช็ ้ีใหเ้ ห็นวา่ งานวจิ ยั ชนดิ ไหนที่มันจะตัน คอ่ นข้างตนั งานวจิ ัยไหนที่มันน่าจะทาได้อยู่ เพ่ือเป็นอีกแนวทาง หนง่ึ ทีเ่ ราจะทาวิจยั ทางกฎหมายด้วยสายตาแบบสตรนี ยิ ม (Feminist) ซ่ึงเป็นการมองกฎหมายแบบท่ีใช้สายตาที่ ผมเรียกว่า คนชายขอบ คือคนที่ไม่ได้อยู่ในกระแสหลักของสังคมมองเข้าไปในกฎหมาย ซ่ึงจริง ๆ มันไม่ได้ เฉพาะผู้หญิงนะครับ ยังมีคนจน กลุ่มชาติพันธุ์ คนมุสลิม ฯลฯ เพียงแต่ว่าในเมืองไทยกระแสพวกน้ี หรือ การทางานมันยังไม่เยอะ ผมคิดว่าวิธีการมองถ้าเรามองกฎหมายจากสายตาของคนอื่น คนที่ไม่ได้เป็น มาตรฐานของสงั คม มองเขา้ ไปอันนี้เปน็ งานทผ่ี มว่าน่าสนใจ เช่น กลุ่มชาตพิ นั ธุ์เวลาข้ึนศาล เขาพดู ภาษาไทย ไมไ่ ด้ มนั มีปญั หาอะไรเกิดบ้างถ้ามองด้วยสายตาแบบอ่ืน ๆ ผมคิดว่ากฎหมายจะถูกกะเทาะ กฎหมายจะถูก มองในแงม่ มุ ทห่ี ลากหลายมากข้ึน และเป็นงานท่ีผมคิดว่าน่าสนใจ มีงานแบบน้ีเป็นงานที่ผมเช่ือว่ามันจะท้าทาย ความเช่ือท่ีเรามีเกี่ยวกบั กระบวนการยตุ ิธรรม หรือความเช่อื เกีย่ วกับระบบกฎหมายอกี เปน็ จานวนมาก คาถาม : ผมขอนอกเร่ืองไปอยู่ใน Legal realism คือ ในเมืองไทยมีการศึกษาพวกบทบาทของศาลใน การปรับใชก้ ฎหมายในเรื่องท่ีศาลเอาตวั ตนของความเป็นศาลเข้าไปแล้วทาให้การใช้กฎหมายในความเป็นจริงมัน ได้รับข้อมูลตรงนี้มากน้อยแค่ไหน คือผมเห็นจากคาพิพากษา 2-3 วันก่อนของศาลช้ันต้นเร่ืองไปฉีดสีสเปย์ที่ หนา้ ปา้ ยศาลอาญา แล้วศาลลงโทษจาคุกปีหน่ึง ผมว่ามันยังมีเร่ืองอื่น ๆ อีก ท่ีเราเห็นการที่ศาลใช้ตัวตนของ ตวั เองให้ความหมายในกฎหมายอยา่ งเช่น คดี 112 หรอื เรอ่ื งอะไรอีกหลาย ๆ อยา่ ง มันมีการศกึ ษาเร่ืองพวกนี้ มากนอ้ ยแคไ่ หน และถ้ามันมหี รือไม่มี มนั มีปจั จยั อะไรบ้างครบั ในความคิดของอาจารย์ คาตอบ : การศึกษาแบบน้ีเรียกว่า American legal realism สัจจะนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกาในประเทศ ไทยยังไม่ค่อยมีคนทา ผมคิดว่าในหลาย ๆ เรื่องท่ีอาจารย์พูดมาน่าสนใจเช่น การตัดสินคดี 112 แล้วศาลให้
64 เหตุผลว่าเรอ่ื งนีเ้ ปน็ เรอ่ื งของจติ วิญญาณประชาชาติ คนไทยใหก้ ารเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากจนเป็น จิตวิญญาณสหประชาชาติ ผมคิดว่าน่าสนใจถ้าเกิดเราศึกษาคาพิพากษากลุ่มหน่ึงเพ่ือสะท้อนให้เห็นว่าศาลมี ทัศนะยังไงเกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซ่ึงยังไม่มีคนศึกษาอย่างจริง ๆ จัง ๆ แต่มันมีคดีเกิดข้ึน แตค่ นทจ่ี ะทาและวเิ คราะห์ไม่มี เพราะถา้ จะทาเรือ่ งนตี้ อ้ งมีจิตใจนักรบ คือถ้าถามว่ามันละเมิดอานาจศาลหรือ เปลา่ ความเห็นผมไม่ละเมิดอานาจศาล เพราะคาพิพากษาไดจ้ บไปแลว้ อันที่ 2 คือว่าการละเมิดอานาจศาล หลักใหญ่ ๆของมัน คือ ต้องไม่ใช่การกระทาท่ีการรบกวนวิธีพิจารณาความ หรือเราเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ใน ระหว่างท่ีคดีกาลังดาเนินการอยู่ ถ้าเกิดเราศึกษาคดีท่ีมันจบไปแล้ว เราไม่ได้ขัดขวางกระบวนวิธีพิจารณาโดย หลกั การ อาจารย์นทั มนแสดงความเห็น : พ่ีอยากอยากจะร่วมแลกเปลี่ยนกับที่อาจารย์เอ มีนักศึกษาคนหนึ่งช่ือ สรชา พ่ึงจบปีที่แล้วทาเร่ืองเก่ียวกับการละเมิดอานาจศาล ก็คือว่าแนวคิดท่ีเขาเอามาใช้มันไม่ถึงขนาดเป็น American legal realism ตอนแรกท่ีเราคุยกนั ออกแบบงานวิจัยกม็ พี ี่กับอาจารย์สมชายเป็นกรรมการสอบ ตอน แรกเขาใช้แนวคิดในเชิง postmodern ปัญหาคือมันยากในการเข้าไปดู fail ของผู้พิพากษา ถามว่าเราจะรู้ได้ ยังไงวา่ ตอนทีต่ ดั สินคดีผ้พู ิพากษาคิดอะไรอยู่ แลว้ จะไปตามหาคนที่ตัดสินคดีนี้เพ่ือที่จะสัมภาษณ์ไหม ถ้าตาม เจอตัวกจ็ ะมคี วามย่งุ ยากในการเกบ็ ข้อมูลการทาวิจัย คือว่าคาพิพากษาจานวนเยอะมันย่ิงยาก แต่ถ้าเราจะทา เชงิ ลึกจานวนคาพิพากษาอาจจะไม่ตอ้ งเยอะแต่ว่าความยากมันอยู่ที่ว่าเราจะสามารถดึงเอาตัวตนของผู้พิพากษา ทต่ี ดั สนิ คดีเกีย่ วกบั ละเมดิ อานาจศาลออกมาไดอ้ ย่างไร เพราะเขา(นักศกึ ษาท่ีทาวิจยั เร่อื งการละเมดิ อานาจศาล) มีสมมุติฐานว่าการที่กระทาในพระปรมาภิไธยมันเหมือนมีอะไรเข้ามาสิงทาให้ฉันถูกละเมิดอานาจไม่ได้ ตอน แรกเขาตั้งแนวคิดแบบนี้ ตอนหลังเราก็สรุปออกมาคือเน่ืองจากความยากเพราะเราไม่สามารถดึงเอาความเป็น ตวั ตนของผูพ้ พิ ากษาในคดกี ารละเมดิ อานาจศาลออกมาได้ จะเข้าไปดูในการอ่านคาพิพากษาแล้วดึงเอา Legal listening ในแตล่ ะฎกี าออกมา เราก็ยังไปจบท่ฎี ีกาอยู่ ซึง่ ถ้าเราออกแบบงานวจิ ัยวา่ เราจะเกบ็ ข้อมลู จากฎีกาเรา จะเห็นได้ว่ามันคือยอดของภูเขาน้าแข็งเท่านั้น ทีน้ีก้จะมีวิธีการเก็บข้อมูลอีกแบบหนึ่งคือแบบของอาจารย์เดวิด ทต่ี อนแรกมาเก็บคดลี ะเมิดทีศ่ าลจังหวัดเชียงใหมเ่ มื่อประมาณ ค.ศ.1975 อาจารย์เดวิดมาเก็บข้อมูลคดีของศาล และหลังจากน้ันอีก 10 ปี กก็ ลับมาเก็บคดีจากศาลจงั หวัดอีก คาถามคือ อาจารย์เดวิดก็จะให้นักศึกษาช่วยงาน เก็บคดี 3 ขอให้นักศึกษาไปนั่งอ่าน นั่งดูคดีในศาลจังหวัด เป็นตัวอย่างอีกอันหนึ่งท่ีทาให้เห็นว่าพอเราเก็บ ขอ้ มลู ในเชิงสถิตอิ ย่างท่ีอาจารย์ปกป้องพดู เม่ือวาน หรืออีกตัวอย่างหนึ่งเป็นประสบการณ์ตรงจากการที่พี่เคยทา คดีป่าชุมชนก็จะพบว่ามันไม่มีสาระบบที่เก็บข้อมูลคดีป่าชุมชนไว้ ฉะน้ันเราต้องตามหาตัวช่วยอย่างเช่นไป อิม เปค ไป Enlaw แล้วเราก็ได้เลขคดีจากคนท่ีรู้จักอันน้ีก็เป็นยอดภูเขาน้าแข็งอีกเพราะมันมีคดีอีกเป็นร้อยท่ีเขา อาจจะเป็นสทิ ธิชุมชน แต่เราไม่รู้จักเขาเราก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลตรงน้ีได้ ทีน้ีพี่ก็ไปได้ข้อมูลจากพ่ีแย้มา ทนายสุมิทชัย ก็ได้เลขคดีมาก็ได้ไปยื่นท่ีศาลจังหวัดบอกอยากดูเลขคดี ในคดีน้ันมีเลขของพะตีมงคล มีเลข ของปางแดงอยู่ ตอนแรกก็ไม่ค่อยรู้พอไปนั่งเปิดสานวนคัดสานวนไปเรื่อย ๆ คดีพะตีมงคลไม่มีปัญหา พอมา เจอคดีปางแดง คือเจ้าหน้าที่ศาลเขาไม่ให้ดูเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง มันก็เลยกลายเป็นว่าความยาก ถึงแม้ว่าเราจะย่ืนหนังสือของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ส่งไป ตอนน้ันทาเป็นในนามนักศึกษาจากที่แคนาดาทา วิทยานิพนธ์ แต่ว่าด้วยความท่ีเราเป็นอาจารย์ท่ีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่น้ีการเข้าถึงข้อมูลก็จะเป็นอีกแบบหน่ึง ถึงแม้วา่ เราจะทาเร่อื งขออนญุ าตไปคดั สานวนท่ี 3 เปน็ การคน้ คว้าเชิงวชิ าการ บางทีพอเขารู้ตัวก็จะกลายเป็นว่า เขาสงสัยเราเข้ามาแทรกซึมหรือมาทาอะไรในศาลหรือเปล่า หัวหน้าศาลเป็นคนส่ังมาว่าอนุญาตให้ค้นข้อมูลได้
65 แตเ่ จ้าหนา้ ทท่ี ีเ่ ป็นคนคมุ สานวนเองมอี านาจที่จะไม่ให้ดูก็เลยไมเ่ หน็ คดีบางแดงจากสานวนในรายละเอียด อาจารยส์ มชายแสดงความเห็น : เวลาคดิ ถึงข้อมลู มขี ้อมลู หลายอย่างซึ่งทาแล้วมันจะดี ศึกษาหลาย ๆ อย่าง คืออย่างเช่นกรณีข้อมูลจากที่ตารวจ แต่ถ้าเกิดเราจะทาวิจัยต้องตระหนักถึงความยากในการจัดการกับ ขอ้ มลู เช่น คดีในศาลชั้นตน้ จะเอาคาพพิ ากษาจากไหน คดที ่ตี ารวจจะเอาข้อมูลได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเวลา จะทาวิจัยเราต้องคิดถึงแหล่งข้อมูลท่ีเราจะเข้าถึงได้ด้วย เพราะมันจะเป็นปัญหามากตอนเก็บข้อมูล อย่างผม เลือกคาพิพากษาศาลฎีกาเพราะว่าก็มันเผยแผ่ แล้วผมก็สรุปจากคาพิพากษาจากศาลฎีกา เวลาที่เราเลือกว่า เราจะศึกษาอะไรเราต้องดูถงึ วา่ เราสามารถเข้าถงึ ข้อมลู ได้ยาก มาก น้อย ขนาดไหน
66 สรปุ การแลกเปลยี่ นความคดิ เหน็ ตอนบ่ายทจี่ ะทามี 2-3 เรือ่ ง เรอื่ งแรกคือผมอยากจะแนะนาหนังสือซ่ึงเป็นหนังสือที่เป็นพ้ืนฐานท่ีน่าจะ เป็นประโยชน์ ผมจะแนะนาแต่ละเล่มสั้น ๆ ถ้าใครสนใจแนวคิดสตรีนิยม (Feminist) เล่มนี้ที่ช่ืออาจารย์วารุณี ภรู ิสนิ สทิ ธ์ิ เปน็ ไอเดยี พนื้ ฐานของพวกแนวความคิดสตรนี ยิ ม ชอ่ื หนงั สือคือ “สตรีนิยมขบวนการและแนวคิดทาง สังคมแห่งศตวรรษท่ี 20” อีกเล่มหน่ึงผมชอบมาก “เมื่อผู้หญิงคิดจะมีหนวด” ของอาจารย์ชลิดาภรณ์ ใน ความเห็นผมอาจารย์ชลิดาภรณ์ในปจั จบุ ันน่าจะไดเ้ ปน็ Feminist ลาดับตน้ ๆ ของเมอื งไทยและเป็น Feminist ที่ ผมวา่ คมคาย งานน้จี ะเปน็ การศกึ ษาเกย่ี วกับข้อโต้เถยี งในการแก้ไขกฎหมายครอบครัว คือ ตอนเขาแก้กฎหมาย ครอบครัวหลังปี พ.ศ. 2517 และการออกพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี จะดูว่าในสภาผู้แทนราษฎรเขา เถียงเร่ืองน้ีกันอย่างไรบ้าง เล่มน้ีสนุกอาจารย์ชลิดาภรณ์ไม่ใช่นักกฎหมายแต่เป็นนักรัฐศาสตร์ เล่มต่อไป “subject siam” ของ Tamara Loos เล่มนี้ของอาจารย์จรัญ โฆษณานันท์ “ นิติปรัชญาแนววิภากษ์” ใน ทศั นะของผม ผมคดิ ว่าอาจารย์จรัญคือมือหนึ่งของนติ ิปรัชญาในเมอื งไทย เล่มน้ีเป็นนิติปรัชญาแนวใหม่ ๆ ซึ่ง จะมีแนวสตรีนิยมรวมอยู่ด้วย เล่มต่อไปจะอ่านง่ายหน่อยพึ่งได้มาจากอาจารย์ปกป้อง เมื่อวาน “ Philosophy of law ”แปลมากจาก Lemon wax จะเป็นฉบับย่อ ช่วยทาความเข้าใจปรัชญากฎหมายซึ่งเราอาจจะหยิบไปใช้ ทาเครือ่ งมอื วจิ ยั ได้ ปรัชญากฎหมายนคี้ นแปลคือ พเิ ศษ สอาดเย็น กบั ธงทอง จันทรางศุ ปรัชญากฎหมายเล่ม ละ 265 บาท เล่มตอ่ ไปท่อี าจารย์ปกป้องพดู ถงึ “ความยตุ ิธรรม” ของ Michael J Sandel เป็นอาจารย์สอนด้วย วิชาว่าด้วยความยุติธรรมท่ีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมีเด็กลงเรียนคร้ังหนึ่งเป็นพันคน ต้องสอนในหอประชุม อนั นี้มีคลิป ใครไม่อยากอา่ นหนังสือลองไปหาดนู ี้คนทสี่ อนหนังสือทีเป็นพันคนเขา สอนแบบตรึงผู้เรียนได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกมีตัวอย่างที่ทาให้เกิดข้อถกเถียงประเด็นปัญหาเยอะแยะเลย เราอาจจะมาเทียบเคียงกับ ปัญหาท่ีเราเจอได้ หนังสือ ความยุติธรรมจะเป็นข้อถกเถียงว่าด้วยความยุติธรรม ความยุติธรรมเป็นยังไง ความยุติธรรมตามกฎหมายเปน็ ยงั ไงเราควรจะตัดสินความยุติธรรมเป็นยังไงบา้ ง ฐานเกณฑค์ วรมีหรือเปล่า เล่ม ต่อไปมีคนไปอเมริกาแล้วซ้ือมาฝากช่ือว่า “Postmodern legal movements” ความเคลื่อนไหวของกฎหมาย แบบ Postmodren เล่มนี้ให้ไอเดียผมเยอะมากเกี่ยวกับแนวคิดทางกฎหมายใหม่ ๆ หรือการปรับใช้กฎหมาย ใหม่ ๆ มนั จะเป็นแนวความคิดทางปรัชญากฎหมายแบบค่อนข้างใหม่ หลาย ๆ เรื่องท่ีผมพูดเอามาจากเล่มน้ี แนวคิดสตรีนิยมผมก็อ่านจากเล่มนี้ แนววิพากษ์ก็อ่านจากเล่มน้ี เล่มนี้เป็นของ New York University Press สานกั พิมพ์ของมหาลยั นิวยอร์ก คนเขียนชอ่ื Gary minda อ่านไมย่ าก ถ้าใครสนใจประวตั ิศาสตร์ อันน้ีเป็นรวม บทความหนังสือชื่อ “ปรัชญาประวัติศาสตร์” เล่มนี้คิดว่าไม่มีวางขายแล้วพิมพ์ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2527 คือก่อนผม เขา้ มหาลยั เล่มนี้จะรวมบทความประวัติศาสตร์พ้ืนฐานจะมีบทความที่สาคัญของ นิธิ เอียวศรีวงษ์ ของ ชาญ วิทย์ เกษตรศิริ และนักประวัติศาสตร์อีกหลายคนทาให้เราทาความเข้าใจเก่ียวกับประวัติศาสตร์ในเชิงภาพ กว้างได้ จะมีชุดของอ.นิธิ ซึ่งเป็นชุดท่ีคลาสิค มติชนพิมพ์รอบแรก พิมพ์ปี 2538 มี 4 เล่ม มีชุดชาติไทย เมืองไทย แบบเรียน และอนุสาวรีย์ บทความที่พูดถึงเช่น ที่ว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เอาแต่จาขี้ปาก ฝรั่งมา ชื่อบทความรัฐธรรมนูญฉบับที่ว่าทาอยู่ในเล่มนี้ ถ้าใครในใจประวัติศาสตร์ให้อ่านชุดนี้ และจะทาให้ เข้าใจวิธีคิดทางประวัติศาสตร์เพ่ิมมากข้ึน ส่วนท่ีพูดถึงมาก ๆ คือ รอแลงกาต์ มี 2 เล่ม อันนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว ถือเป็นงานประวัติศาสตร์กฎหมาย ดาวน์โหลดได้ฟรี เข้าไปดาวน์โหลดท่ีโครงการตาราสังคมศาสตร์และมนุษย์ ศาสตร์ และอีกเลม่ ทีอ่ าจารยน์ ทั มน พูดถึงบอ่ ยมาก ๆ อ.เดวดิ เองเกล “Custom and Karma” เลม่ น้ีพูดถึง
67 ความเปล่ียนแปลงเกี่ยวกับการฟ้องคดีที่เชียงใหม่ ถ้าใครสนใจเศรษฐศาสตร์ท่ีอาจารย์ปกป้อง เล่มน้ี เศรษฐศาสตร์รัฐธรรมนูญมี 3 เล่ม เล่มท่ี 1 ส่วนหน้าจะว่าด้วยทฤษฎีที่เอามาใช้ว่าที่เรียกว่าเศรษฐศาสตร์ รัฐธรรมนูญคือหมายความว่า เอาเศรษฐศาสตร์มาวิเคราะห์รัฐธรรมนูญมันทายังไง จะอยู่ในส่วนต้น ๆ ของ หนังสือเล่มที่ 1 ถ้าใครสนใจเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์กฎหมายเล่มนี้เป็นตัวอย่าง และก็อ่านงานของ อ. ปกป้อง และท่ีผมพูดถึง Feminist ไอเดยี หลกั ๆ มาจากเล่มนคี้ รบั “introduction to feminist legal theory” เล่มต่อไปช่ือว่า “a critical introduction to law” คือกฎหมายเบื้องต้นเชิงวิพากษ์ เล่มนี้ดี เล่มน้ีผมได้ไอเดีย จากการวิพากษ์กฎหมายจากเล่มน้ีเยอะมาก กฎหมายเบื้องต้นเชิงวิพากษ์อันนี้เป็นความเข้าใจธรรมชาติของ กฎหมาย กฎหมายกบั ชนกลุ่มนอ้ ย กฎหมายกบั สตรี กฎหมายของรฐั ภายใต้ยุคโลกาภิวัฒน์มีประเด็นที่เขียนดี มาก ถ้าใครสนใจมากวิพากษ์กฎหมาย การวิจารณ์กฎหมายเล่มนี้ผมแนะนาให้อ่าน อ่านยากนิดหนึ่งแต่อ่าน แล้วดี อันน้ผี มคิดว่าเป็นตาราหลกั ๆ พน้ื ฐานสาหรับทฤษฎที ่เี ราจะทาความเขา้ ใจ เปน็ แนวทางที่จะทาวิจยั ต่อ ทฤษฎมี นั มอี ยูเ่ ยอะหนังสือท่ีแนะนาไปจะฉายภาพกว้าง ทฤษฎีบางเล่มอาจจะลงลึกในทฤษฎีผมเข้าใจ ว่าแบบน้ี คือ ทฤษฎีเราไม่จาเป็นต้องรู้ทุกเร่ือง เรื่องไหนที่เราสนใจเราค่อยทุ่มกับมัน ผมไม่ได้รู้ทุกเร่ือง นิติ เศรษฐศาสตร์ผมรู้ผิวเผินมาก ผมยังไม่เคยวิจัยกฎหมายในเชิงนิติเศรษฐศาสตร์ แต่ผมคิดว่าเดี๋ยวผมจะลอง อ่านเพ่ิมขึ้นว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง เราไม่จาเป็นต้องรู้ท้ังหมด ถ้าสนใจลองอ่านอะไรที่เป็นเริ่มต้นจะทา ให้เรามีพื้นฐานในความเข้าใจเรื่องน้ันเพิ่มข้ึน ซึ่งผมคิดว่าอันน้ีน่าจะเป็นประโยชน์ แต่ว่าทฤษฎีไม่ได้มีเพียง เท่านี้ยังมีอีกเยอะ อันนี้เป็นทฤษฎีท่ีผมเห็นว่ามันถูกใช้มากพอสมควรหรือบางอันยังไม่ได้ถูกใช้ แต่ผมคิดว่า น่าสนใจก็เลยหยิบมันข้ึนมาพูดพร้อมกับมันมีเอกสารพร้อมกับอ่านได้พอสมควรก็จะแนะนาทฤษฎีไม่จาเป็นต้อง อา่ นหมด อา่ นท่ตี ัวเองสนใจเบ้ืองต้น ส่ิงที่สาคัญคือไม่ใช่แค่อ่านแล้วรู้นะครับ เราจะนาใช้มันเป็นเคร่ืองมือใน การมองต่อได้อย่างไร อธิบายกฎหมายอย่างไร อธิบายในการวิจัยอย่างไร ผมคิดว่าเร่ืองนี้เร่ืองสาคัญ อันนี้ เป็นประเดน็ ทีผ่ มลองลสิ มา ดูวา่ ประเด็นของพวกเราทพ่ี อจะ เทา่ ทผี่ มมองเห็นและนึกออกมีประมาณน้ี ตอนนเี้ รอื่ งทจ่ี ะชวนคุยเปน็ เรอ่ื งสดุ ท้ายคือว่า เราจะทาอย่างไรให้มันมีการขยับไปข้างหน้ามากกว่าแค่มา ประชุมแล้วก็ต่างคนต่างแยกย้ายกลับไป จะเป็นยังไงที่เราจะสร้างงานแบบการวิจัยกฎหมายโดยใช้แง่มุม ผม คาดเดาว่าส่วนใหญ่จะเข้าใจแนว ๆ นี้อยู่ แล้วเราจะทาอย่างไรที่จะขยับให้เห็นอะไรกันบ้างต่อไปข้างหน้า นอกจากประชุมอบรมสัมมนาครั้งน้ีแล้วเราควรจะทาอะไรกันต่อ เช่น สักปีหน่ึงเราพอจะมีโจทย์วิจัยของตัวเอง หรือในปีหน่ึงข้างหน้าพัฒนามาเป็นบทความ โครงการวิจัยหรืออะไรแบบนี้ แล้วคล้าย ๆ อาจจะมานาเสนอกัน แล้วถ้าเกิดมีนาเสนอก็หาคนมาวิจารณ์ให้ เพ่ือให้มันยกระดับงานของแต่ละคนมากขึ้นไป ยกระดับคือทาให้เรา ทางานเป็นระบบมากขน้ึ ที่ผมคดิ อยปู่ ระมาณนแี้ ต่ไมไ่ ดเ้ ป็นรูปธรรม เรอื่ งสดุ ทา้ ยทชี่ วนคุยคอื เร่ืองประมาณนีค้ รับ ผเู้ ข้าร่วม คอื เอาประสบการณ์ตัวเองเลยตอนนี้ก็คือว่า ขอตาแหน่งทางวิชาการ เนื่องจากว่าถ้าเราจะขอตาแหน่ง วิชาการสาขานิติศาสตร์ เพียว law ต้องมาเต็มร้อยเลย ถ้าผมไปเขียนงานแนวนิติสังคมศาสตร์ พูดง่าย ๆ ว่า โอกาสทจ่ี ะไม่ได้ตาแหนง่ ทางวิชาการสูงมาก คอื ผศ. คือเรามีงานด้านนีอ้ ยูแ่ ลว้ แต่ต้องกัดฟันเอางานทางด้านท่ี มันเปน็ กฎหมายแท้ ๆ เขา้ ไปขอทัง้ ทเี่ รามีงานด้านนติ ศิ าสตร์สังคมศาสตร์เยอะ ก็เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ ว่าตราบใดทปี่ ระเทศไทยยงั เปน็ ระบบแบบเป็นแท่ง ๆ ตามศาสตรส์ าขาวิชาความลึกการขอตาแหน่งทางวิชาการ แบบน้ีมันก็จะเป็นแบบน้ีอยู่ แต่ผมดีใจที่ว่าพอไปอ่าน กพอ.03 เจอคาว่าผลงานวิชาการรับใช้สังคม ตรงใหม่
68 ล่าสุดเลยผมก็เลยเอางานไป พอเราไปดูงานวิชาการรับใช้สังคมก็ยังไม่มีหลักเกณฑ์ท่ีแน่นอน ยังไม่มี ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาน้ัน ยังไม่มีวารสารที่จะเอามารองรับตีพิมพ์ เห็นแล้วปัญหาและอุปสรรค์ที่คนจะย้ายจาก ด้านกฎหมายเพียวๆ มาเป็นด้านกหมายแบบสหวิทยาการก็ยังมีคนทาน้อยอยู่ ก็คือว่าอันน้ีเป็นปัญหาที่ผมเจอ เองตรง ๆ เราทาทางด้านสหวิทยาการหรอื นิตสิ งั คมศาสตร์ในด้านน้อี ยู่แลว้ เคยส่งเข้าไปเขียนแล้วช้ินหนึ่งเรามี เราทาทุกปีเรามาให้อาจารย์เราอ่านก่อน คนท่ีมีรายชื่อ ที่เป็น ศ. ในด้าน กพอ. นิติศาสตร์ เราก็ไปอ่านก่อน อาจารย์บอกว่าถ้าบอลส่งไปยังไง ก็ยากถ้าจะขอสาขานิติศาสตร์ก็ยาก กระแสหลักก็ยังมาอยู่ อาจารย์ถ้ายังน้ี เรามูฟไปทางด้านวิชาการรับใช้สังคมได้ไหม ก็ได้แต่บอลจะเป็นหนูทดลองไหม เพราะหลักเกณฑ์พ่ึงออกมา ยัง ไม่มีใครใช้หลักเกณฑ์นี้ในการขอเลย ก็รอดูไปก่อนไหมซัก 5-10 ปีก่อนว่าใครจะกล้าเอาผลงานตัวเองไปขอใน ตาแหนง่ วชิ าการรบั ใช้สงั คม ในตอนนี้ท่เี ชค็ กนั ม.อุบล กาลังจะขอ 1 คน ในสาขานี้ กาลังจะเป็นหนูทดลอง แต่ เป็นทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านสายสังคมยังไม่มี คืออันน้ีประสบการณ์ใจชอบอย่างน้ีอยู่แล้ว ทา เพราะมันรักในทางด้านนิติสังคมศาสตร์ทาเพราะเรารักจริง ๆ แต่งานที่ผลิตออกมามันไปขัดกับกระแสหลัก คือ ยงั ตอ้ งเปน็ pure law อยู่ตอ้ งเอากฎหมายมาวเิ คราะหต์ อ้ งอยา่ งน้ี ถ้าคุณจะเอา ผศ.นิติศาสตร์ เอา รศ. เอา ศ. นิติศาสตร์ ผมเลยต้องทางานสองชิ้น ชิ้นหน่ึงคือทาเพ่ือตอบสนองในความก้าวหน้าของตนเอง แต่อีกชิ้นหนึ่งทา เพื่อใจรักของเราจริง ๆ คือทางด้านมันเป็นอย่างน้ี อย่างเช่นผู้ชายขายน้า ทาเพื่อเรารักของมันทางด้านนิติ สังคมศาสตร์แต่ก็ต้องไปเขียนบทความวิชาการงานวิจัยท่ีต้องวิเคราะห์ตัวบทกฎหมาย เพื่อจะขอตาแหน่งทาง วิชาการถ้าไมขอก็อยู่ไมไ่ ด้ เขาก็จะไลอ่ อกไมต่ ่อสัญญาจ้างก็เลยน้ีเป็นปัญหาท่ีผมจะแชร์ และเจอเองจริง ๆ ผูเ้ ขา้ รว่ ม พอดีได้เคยทางานท่มี หาลยั ศรีปทมุ ตอนนก้ี ็ช่วยอยเู่ สาร์-อาทิตย์ เคยเป็นเลขานุการหลักสูตรนิติศาสตร์ มหาบัณฑิต ก็พบปัญหาของที่อาจารย์พูดมา จริง ๆ นิติศาสตร์กระแสหลักก็ยังมีอยู่ค่อนข้างมาก บางหัวข้อที่ นักศึกษาต้องการจะทา อาจารย์แค่จะบอกว่านี้ไม่ใช่หัวข้อนิติศาสตร์ พอผมมาศึกษาในวันน้ีความจริงวิธีการ ศึกษาวิจัยแบบน้ีมันเพ่ิมขึ้นไปอีกเยอะเลย American legal realism วิธีการศึกษาในมุมมองต่าง ๆ ใช้คา พิพากษาย้อนหลัง 50 ปี ผมมองว่ามันเป็นส่ิงที่เปิดมิติของนิติศาสตร์มาก ก็เลยคิดว่าผมคิดกรณีท่ีเป็นจุด เชอ่ื มโยงของพวกเราได้แบบวา่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่อาจจะต้องเป็นคน movement เป็นหลัก จะมีเร่ืองของการ เปิดเวทีในการเสนอแนวความคิดด้านนี้ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์จะขอตาแหน่งวิชาการในอนาคต รวมถึงนิสิต นกั ศึกษาทัว่ ๆ ดว้ ย กลุ่มความคดิ ตัวนม้ี นั จะไปไดไ้ หม อาจารยจ์ ะเปน็ แกนนาของพวกเราได้ไหม อาจารย์สมชาย งานน้ีผมขอ รศ. นะ นิติศาสตร์ไทยเชิงวิพากษ์ จะกฎหมายเอกชนก็ไม่ใช่ มหาชนก็ไม่ใช่ อาญาก็ ไม่ใช่ กฎหมายอะไรก็ไม่รู้ นิติปรัชญาก็ไม่ใช่ แต่ผมตั้งชื่อว่านิติศาสตร์ไทยเชิงวิพากษ์ ตอนเสนอไปผมใช้ เป็นเอกสารไปผมใช้ช่ือว่า ตาราประกอบวิชาเอกกฎหมายกับสังคมซึ่งเขาไม่ใช่กระแสหลัก ตอนท่ีผมของ ผศ. ผมใช้บทความเร่ือง “ความยอกย้อนในประวัติศาสตร์ของพระองค์เจ้ารพี” ถามผมผมว่าน่าจะเปิดกว้างอยู่ พอสมควร เพราะผมย่ืนไป ผมก็ไม่ขอดูด้วยว่ารายชื่อใครอ่าน ผมคิดว่าน่าจะเปิดกว้างนะ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ ผมเป็นผู้ทรงคณุ วุฒิอ่านไดห้ รอื เปลา่ ถา้ สมมตุ ิใครจะขอตาแหนง่ และคิดว่างานเป็นแบบนใ้ี ส่ชื่อผมไปเลย ผู้เขา้ รว่ ม
69 อนั นี้อาจจะแสดงความเหน็ สว่ นตัว ในส่วนของงานวิชาการบางครั้งถ้าสมมุติมันจะมีความเป็นไปได้ไหม ไหมว่า อย่าของอาจารย์เล็กทีจ่ ัดในครงั้ น้ีมันเป็น pilot project แล้วถ้าสมมุติว่าในอนาคตถ้ามองจากการดาเนิน กระบวนการหรือการจดั กจิ กรรม มันจะเปน็ ไปไดไ้ หมถ้าสมมตุ วิ า่ ผู้เข้ารว่ ม ท่เี ราจะสามารถถ้าเราจะต่อยอดได้ถ้า สมมุติในมุมมองของต่ายเอง ในระยะเวลา 1 ปี บางทีความต่อเนื่องหรือว่าการต่อยอดในกระบวนการบางทีมัน อาจจะชา้ ไป นกั วิชาการหรอื อาจารย์บางคนเขาอาจจะมีต้นทุนอยู่แล้ว แล้วการกระตุ้นบางทีเราอาจจะต้องมีการ จัดงานต่อเน่ือง แต่เรายังไม่รู้หรอกว่ามันตีมคืออะไร ก็อาจจะเป็นว่าเราอาจจะมีการนาเสนออาจจะจัดมา แลกเปล่ียนผลงานทางวิชาการซ่ึงโดยส่วนตัวแล้ว คือทางมหาลัยอาจจะจัดบ่อย แต่ในส่วนตัวก็คือมาจากที่เป็น สถาบันเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนซึ่งที่จริงแล้วต้องยอมรับจริง ๆ เลยว่า เราพึ่งเร่ิมเข้ามาทางานในองค์กรพัฒนา เอกชนแตก่ อ่ นหน้านี้เคยทางานในสายวิชาการมากอ่ น แตเ่ รามองวา่ องคก์ รพัฒนาเอกชนสิง่ ที่องค์กรพัฒนาเอกชน มีก็คอื มีศักยภาพในการทางานในเก็บข้อมูลในการลงพื้นท่ีแต่ว่าองค์กรพัฒนาเอกชนมีจุดอ่อน อาจจะเป็นองค์กร พัฒนาของไทยก็คือการไม่มี database และการไม่มีการทางานวิจัยและการศึกษาข้อมูลเขาเรียกว่าไม่มี systematic ในการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นระบบ ในส่วนน้ีเรารู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์มาก ถ้าสมมุติว่าเราจะพัฒนา ต่อไปได้แล้วมันมองถึงในความยั่งยืนในการแลกเปลี่ยนแล้วก็การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการโดยเฉพาะงาน ทางด้านสิทธิมนุษยชนเป็นส่ิงที่น่าสนใจมาก การเปิดมุมมองแบบ inter dismanary ทั้งในมุมมองในเชิงที่เป็น pactite แล้วมุมมองในการแลกเปลี่ยนของคนในสายวิชาการเอง ในอนาคตมันน่าจะเป็ นมุมมองในการ พฒั นาการยกระดบั งานวิจัยหรอื วา่ การศึกษา การทางานในด้านอ่ืน ๆ ได้ ตรงจุดน้ีเราอาจจะต้องถามความเห็น หรือความร่วมมอื กันอกี ทหี น่ึง อาจารยส์ มชาย ส่วนหนึ่งที่ผมชวนคือจริง ๆ ผมชวนก็ชวนทั้ง คปก. ชวนหน่วยงานรัฐหรือชวนแม้กระท่ังองค์กรเอกชน มา เพราะผมคิดว่าในแงห่ น่ึงอาจจะทาใหม้ กี าร่วมมือกัน ผมคิดว่าแต่ละส่วนอาจมีจุดเด่นอะไรบางอย่าง คือบาง ทีอาจหรืออาจจะเป็นการทางานรว่ มกนั ระหวา่ งคนท่อี ยใู่ นสถาบนั การศึกษากับองค์กรพัฒนาเอกชนก็ได้ เพราะว่า อย่างจรงิ ๆ อยา่ งผมกบั พี่ทอม มูลนธิ ิ Enlaw จุดจบของกฎหมาย ก็มีโครงการวิจัยช้ินหน่ึงก็คือส่วนหน่ึงเวลาทา พ่ีทอม ก็หาทุนมาให้ แล้วเราก็ทาก็มีข้อมูล ผมคิดว่าการที่มาเจอแบบน้ีทาให้เราเห็น คนท่ีอยู่ในแวดวงและมี ข้อมูลหรือพร้อมจะแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้กับเรา อันท่ีไม่ใช่เอาเฉพาะอาจารย์เพียงอย่างเดียวผมคิดว่าอันน้ี น่าจะเป็นประโยชน์ เขาอาจจะให้ข้อมลู ที่เปน็ ประโยชน์เบ้ืองต้นและในขณะเดียวกันอาจจะพัฒนางานร่วมกันก็ได้ ผมคิดว่าอันนี้เป็นเง่ือนไขท่ีคิดว่าเชิญชวนกันมาหลาย ๆ ฝ่าย คุณต่ายเสนอมาว่า 1 ปี มันจะยาวไปหรือเปล่า อาจารยบ์ างคนอาจจะมีต้นทุนมศี กั ยภาพพร้อมท่ีจะทาเสร็จภายใน 3 เดือนอย่แู ลว้ ผเู้ ขา้ รว่ ม ผมอยากเสนอการจัดครั้งต่อ ๆ ไป อยากให้มีประเด็นแบบ Hot Issue หมายถึงอย่างเร่ืองการปฏิรูป อย่างนี้ เรื่องท้องถิ่น สมมุติยกเป็นหัวข้อ แล้วพูดในหลาย ๆ มิติ มิติทางเศรษฐศาสตร์ มิติทางด้านรัฐศาสตร์ กฎหมายอะไรประมาณน้ี เพราะว่าปัญหาที่มันเกิดข้ึนจริงมันเป็นอย่างไร แล้วก็มันควรจะต้องปรับอย่างไร เท่าที่ ผมฟงั ดรู ะหว่างข้าราชการและนกั การเมืองทอ้ งถ่ินเขากถ็ กเถียงกันนา่ ดู โดยเฉพาะเรือ่ งของการปฏิรูปเห็นอาจารย์ ข้ึนหัวข้อท้องถ่ิน ผมก็เลยจัดซักหัวข้อหน่ึงมันเป็นประเด็นมันอาจกระทบเร่ืองชุมชนด้วยหรือเปล่า เพราะว่ามี องค์กรหลาย ๆ อย่าง ซึ่งอาจจะเป็นท้องถิ่น และมีองค์ชุมชนที่เขาร่างปี 51 เข้าไปทางานในลักษณะท่ีไม่มี
70 เงินเดือนประจาตาแหน่ง ก็เขาไปถือว่าเป็นองค์กรตรวจสอบอย่างหน่ึง มันมีหลาย ๆ ภาคเช่นภาคประชาชน ภาคตัวแทน ภาคของข้าราชการเพอ่ื ใหร้ วู้ ่ามอี ะไรบ้าง อย่างเช่นบางเร่ืองทีผ่ มศกึ ษาดอู ยา่ งเรื่องของการศึกษา ผม อา่ นบางตาราเขาบอกว่าการศกึ ษาเป็นสิทธขิ ้ันพนื้ ฐานซึ่งรัฐจะตอ้ งมอบให้ แตว่ า่ ทางชมุ ชนบอกว่าไมใ่ ช่ การศึกษา มันมาจากชุมชน เพราะเมื่อก่อนมันมีคาว่า บวร คือ บ้าน วัด โรงเรียน เพราะฉะนั้นโรงเรียนมันของชุมชนอยู่ แลว้ คณุ จะมาพูดไดไ้ งว่ามนั เปน็ ของรัฐ ลึก ๆ แล้วตกลงมนั เปน็ เรื่องอะไร ประเด็นท่ีผมเขียนวันนี้ นี้เป็นประเด็นท่ีคล้าย ๆ ว่ามันเป็นประเด็นร่วม ๆ กันอยู่บ้างพอสมควร เผ่ือ ใครสนใจจะทาลองแลกเปลี่ยนหรือคุย เช่น กฎหมายการข้ามพรหมแดนอันน้ีผมคิดว่าเป็นประเด็นซ่ึงหลายพื้นที่ ถ้าสนใจมันก็จะเป็นประเด็นหน่ึง ไม่ว่าจะเร่ืองคนข้ามพรหมแดน แรงงาน การปกครองท้องถ่ินจะขยายตัวเพิ่ม มากข้ึนเป็นทิศทางที่ต้องเดินไปครับ ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็หยุดไม่ได้ การปกครองส่วนท้องถ่ินผมเช่ือว่าการ ศึกษาวิจัยที่ผ่านมา เท่าท่ีผมอ่านมันเป็นการศึกษาวิจัยเชิงนิติสถาบัน คืออธิบายว่ากฎหมายเป็นยังไง มีอานาจ มากน้อยขนาดไหน แต่ไม่ได้ไปศึกษาว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทาให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในท้องถ่ินในมิติ ต่าง ๆ อย่างไร หรือแม้กระท่ัง อบต. เทศบาลตาบลส่งผลให้การเมืองของนักการเมืองท้องถิ่นเปลี่ยนไปอย่างไร ผมคดิ ว่า อปท. มผี ลเเยอะเทา่ ทผี่ มลงไปเก็บข้อวิจยั ตอนนีผ้ มพบความเปลยี่ นแปลงเยอะมาก การรับรองสิทธิของ กลุ่มชาติพันธ์หรือชนกลุ่มน้อย ผมคิดว่านี้เป็นประเด็นที่หลาย ๆ พื้นที่เห็น เราควรจะมีระบบกฎหมายเกี่ยวกับ การรับรองกลุ่มชาติพันธ์ชนกลุ่มน้อยอย่างไร มาเลเชียมีตัวแบบพหุนิยมทางกฎหมาย regal pooler reslism จะ ปรับมนั มาใช้อย่างไรการรับรองสิทธิทางวัฒนธรรม ในทางอัตลักษณ์ หรือถ้าใครสนใจประวัติศาสตร์ เรื่องหน่ึงท่ี ผมคิดว่าน่าสนใจร่วมกันได้คือ การขยายตัวกฎหมายส่วนกลางกับท้องถ่ิน อันนี้ไม่ค่อยมีคนศึกษา การขยายตัว ของอานาจรัฐส่วนกลางเข้าไปในท้องถิ่นต่าง ๆ เข้าไปแล้วเกิดการโต้ตอบการยอมรับ การโต้แย้งอย่างไรบ้าง กฎหมายของกรงุ เทพฯ ท่ีเข้ามาหวั เมืองต่าง ๆ เชยี งใหม่ อสี านเข้าไปแล้ว เขา้ ไปแล้วเกิดการโต้แย้งการปรับปรุง การเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างไรบ้าง เท่าที่ผมอ่านดูยังไม่มีคนทา ส่วนใหญ่ทาในเชิงมิติทางการเมืองในการปรับใช้ กฎหมายยังไม่มี อันน้ีเป็นประเด็นที่ผมคิดว่าเป็นประเด็นร่วม ๆ กัน มันขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละท่านว่า เป็นยังไง ก็มีข้อเสนอของอาจารย์ดิเรก น่าจะมีประเด็นแบบร่วม ๆ กันสนใจอะไรแบบนี้ซักหน่อย ประเด็น ขณะน้นั ผู้เข้ารว่ ม บอกตรง ๆ นะครับ เผ่ือว่าใครมีโครงการวิจัยดี ๆ แล้วยังขาดลูกมือ ขาดความรู้ความสามารถ โดย ส่วนตัวผมสนใจประวัติศาสตร์กฎหมาย แต่ว่าก็สนใจในระดับที่ยังไม่ลึกอย่างที่เม่ือวานน่ังฟังอาจารย์อรรถจักร์ก็ รสู้ ึกวา่ ไดอ้ ะไรเยอะ ซ่งึ เราจะต้องไปทาการบ้านอีกเยอะ ก็คิดว่าประเด็นตรงน้ีถ้าจะต่อยอดจากความรู้เท่าท่ีพอมี ก็น่าจะเอาไปต่อยอดทาประโยชน์อะไรได้บ้าง ทีนี้ไม่แน่ใจว่าท่านอื่น ๆ มีท่านใดสนใจ เรื่องของประวัติศาสตร์ อยากจะทาในเชิงร่วมมือการศึกษาในต่างพื้นท่ีหรืออะไรก็แล้วแต่ก็ยินดี หรือแม้กระท่ังเป็นประเด็นอ่ืน ๆ ถ้าพอ ทาได้ก็สนใจ อาจารยส์ มชาย คือปีหน้าจัดมันก็คล้าย ๆ เดิม เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนวิทยากรบางคนไป คือผมคิดว่าการท่ีเราพูด 2-3 วันท่ีผา่ นมา แบบน้ผี มคงจัดอีกซัก 2-3 ปี คอื ก็พดู แลว้ เราจะมาอกี
71 ผเู้ ขา้ รว่ ม ถ้าอบรมคนใหมก่ อ็ บรมไปแตว่ า่ น่าจะมีสกั วันหน่ึงซงึ่ มันเหมือนกับว่าเป็นสนามท่ีวันน้ีเรามาได้ไอเดียแล้ว ให้เวลาเราปีหน่ึง ลองดูว่าปีหน้าเรามีอะไรท่ีอยากมานาเสนอ บางคนอาจจะนาไปเขียนประยุคใช้ในการเขียน ตารา บางคนเอาไปทาเป็นบทความ บางคนทาวิจยั บางคนเอาไปทาเป็นโครงการเอาไปจัดเป็นเรื่องของการเรียน การสอนในเชิงท่ีเอาเร่อื งพวกนี้เขา้ ไปด้วย ผมคิดว่าเราน่าจะมเี วทีแลกเปลี่ยนกัน พวกเราอาจจะเป็นวันสุดท้ายก็ ได้ ช่วงวันแรก ๆ เราอาจจะไปเท่ียวของเราก่อน เช่นพ่ีจัด 4 วัน 3 วันแรกให้เด็กรุ่นท่ีสอง ในเวลาในหนังสือพ่ี เชิญไป กเ็ ชญิ พวกผมไปตงั้ แตว่ นั แรก เช่นจดั 4 วนั ก็คอื วันท่ี 1-4 กเ็ ชญิ พวกผมทั้ง 4วัน แต่จริง ๆ วันของพวก เราคือวันสุดท้าย 3 วันแรกก็ให้รุ่นน้องต่อไป พอวันท่ี 4 ก็ให้รุ่นน้องมาฟังพวกผมนาเสนอเขาก็จะได้ความรู้ด้วย เราก็นาเสนองานของเราทเ่ี ก่ยี วกับนิติสังคมศาสตร์ ให้รุ่นท่ี 2 มาดูว่ารุ่นท่ี1 หลังจากที่เรามาฟังแล้วปุ๊บ อาจจะ ไม่มาท้งั หมดก็ได้ ก็อาจจะส่งemail มากอ่ นก็ได้ อาจจะมาเตรียมไว้ สาหรับวันสุดท้าย คุณจะนาเสนอบทความ เหรอ งานวิจัย งานตาราเป็นตัวอย่าง ให้รุ่นที่ 2 เขาได้ดู แล้วก็มีผู้วิพากษ์แล้วเราก็นาเสนอ แล้วเขาก็จะได้เห็น ภาพดว้ ยวา่ รุน่ แรกเขาทากันอยา่ งน้ีนะ อาจจะไม่ได้มาทงั้ หมดก็ได้ ผู้เขา้ ร่วม ก็ขอสนับสนุนดร.วรรณ จริงๆ ขอพรีเซ็นต์ตัวเอง จริง ๆ ไม่ได้เคยรู้เรื่องของการวิจัยกฎหมายเชิง สังคมศาสตร์ท่ีเราเรียนหรือใช้งานก็คือจะเป็นเร่ืองของตัวบทกฎหมาล้วน ๆ หรือการวิเคราะห์กฎหมายพอได้มา เรียนวันน้ี มีความรสู้ กึ วา่ มีความภูมใิ จและกต็ ้องขอบคณุ อาจารย์สมชาย ทีท่ าใหเ้ ราได้รู้ว่าการที่เราจะใช้กฎหมาย ทาใหเ้ ราไดม้ มี ิติที่รวู้ ่าการท่เี ราจะนากฎหมายไปใช้มันควรท่ีจะมีความแข็งแรงไปการประยุกต์ใช้ หรือว่าการที่จะ วนิ ิจฉัย มันจะได้มคี วามรู้ลกึ ซง้ึ มากขนึ้ และอีกส่ิงหนึ่งที่ได้เพิ่มเติมมากกว่าเดิมก็คือ การท่ีเราเห็นปัญหามากมาย ในสังคม แต่เราไม่สามารถท่ีจะหยิบยกกฎหมายให้ไปแก้ปัญหาในเรื่องของสังคมจริง ๆ และก็ได้แต่มาแก้ใน ปลายเหตุหลังจากท่ีเขามีปัญหาแล้ว แล้วก็มาหาเรา ในสิ่งน้ีอย่างน้อย ๆ ก่อนท่ีจะมีปัญหาเกิดข้ึนเรารู้แล้วว่า ถ้าเราได้ทาวิจัยเกี่ยวกับสังคมต้ังแต่ประวัติศาสตร์มา หรือชุมชนที่เขามีความเป็นอยู่ อย่างน้อย ๆ เราได้ใช้ แนวคดิ ยังไงถ้ามโี ครงการต่อไปเป็นรนุ่ ที่สอง เผอ่ื จะมีงานวิจัยมาเสนออาจารย์สมชาย ผู้เขา้ รว่ ม คือหนูคิดว่าท่ีมันน่าสนใจ ในปกติเวลาจัดวันวิชาการของมหาวิทยาลัยมันจากัดอยู่ในวง ส่วนใหญ่คือ อาจารย์ อย่างของมช. ก็เปน็ วทิ ยาศาสตร์ เปน็ สายโนน้ สายนี้อะไรต่าง ๆ มากมาย เฉพาะสายสังคมศาสตร์ มัน ไม่ค่อยมีเวทีเปิดให้แต่ละคนมาอัพเดทความรู้ใหม่ ๆ ในสายท่ีเราไม่ได้สนใจมาก่อน แต่ว่ามันก็เป็นความรู้ สมมุติว่าเราเปิดเวที เหมือนให้พรีเซนต์บทความทางวิชาการอาจไม่ใช่วิจัยใหญ่มาแลกเปล่ียนกันว่าหัวข้อแนวนี้ เปน็ อย่างไร มผี ทู้ รงคณุ วฒุ สิ ามารถมาแลกเปลยี่ นไอเดียมาแลกเปล่ียน มันก็จะเป็นการพัฒนาขับเคล่ือนทางด้าน วชิ าการ ใหศ้ าสตรท์ ีเ่ ราไม่สนใจแต่เรากไ็ ดร้ บั ร้ดู า้ นอน่ื สองกค็ ือไดม้ กี ารมาฝกึ พรเี ซ็นท์ทาวจิ ัย แล้วจะได้รู้การเก็บ ข้อมลู ท่แี ตกตา่ งกันไปในแต่ละสายวิชา อยา่ งนนี้ ิติเศรษฐศาสตร์ ถ้าไมไ่ ดม้ าฟงั อาจารยป์ กปอ้ ง เราก็จะไม่ได้รู้เลย ว่า มนั เปน็ แบบนี้ แต่จรงิ ๆ เรายงั ไมไ่ ด้รเู้ ลยวา่ วิธกี ารเกบ็ ข้อมลู ของอาจารย์เกบ็ ยังไง เพราะทางสกว. ทาหนังสือ ไปหรือเปล่าเราถึงได้ข้อมูลในสถานีตารวจ ปกติมันยากที่เราจะไปขอ อาจารย์ไปขอในช้ันศาลได้ยังไงคือวิธีการ ปฏิบัติมันอาจจะเป็นเร่ืองที่เราสนใจมากกว่า อาจจะต้องเวทีเชคชั่นให้แลกเปล่ียนความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับ งานวิจยั
72 อาจารย์สมชาย คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายคงต้องทางานในลกั ษณะแบบน้ี ในแง่หน่ึงคงต้องแลกเปลี่ยน ในความเห็น ผมคณะกรรมการปฏริ ปู กฎหมายควร TDR ในภาคกฎหมาย คอื ผมเคยไปsale idea กบั ผบู้ รหิ าร คปค. ผ้เู ข้ารว่ ม เห็นด้วยกับอาจารย์ในประเด็นน้ี ท่านอดีตประทานเพราะเราเองเป็นองค์กรใหม่เจ้าหน้าท่ีหลายคนก็มา จากหลากหลาย ท่านก็ย้าเสมอว่าเจ้าหน้าท่ีเองควรจะมีเวลาอยู่กับหนังสือ ศึกษางานวิจัยและเขียนงานพวกนี้มา เป็นองค์ความรู้อย่างหน่ึงในการที่เราจะเอาไปปรับปรุงร่างกฎหมายเสนอแนะข้อกฎหมาย แต่ว่าเนื่องจากเป็น องคก์ รใหม่ อะไรหลาย ๆ อย่าง และผบู้ ริหารท่มี แี นวนโยบายมแี นวคดิ งานหลาย ๆ ท่านก็อาจจะทราบว่างาน ในราชการส่วนใหญจ่ ะอยกู่ บั การอบรม ถ้าไม่อบรมก็สัมมนา ไม่สัมมนาก็ประชุม ผมคิดว่าพอมีการเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ก็คงจะต้องรอดูระยะหนึ่งว่าเขาเป็นระบบเป็นไปตามท่ีอาจารย์ได้เสนอแนวคิดไหม ผมคิดว่าน่าจะ เปลย่ี นแปลงไปในทางท่ีดีกห็ วงั เป็นเชน่ นัน้ อย่างท่ีท่านอาจารย์สมชายพูดงานของคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย มันเป็นงานท่ีไม่ได้จากัดอยู่ในมิติ ของกฎหมายกระแสหลกั คือมนั ตอ้ งดทู ้ังมิติการแปรกฎหมาย การใช้กฎหมาย การวินิจฉัยกฎหมาย การติดตาม ผลการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นงานมันจาเป็นต้องอาศัยความรู้จากสหวิทยาการ แต่ด้วยข้อจากัดของการปฏิรูป กฎหมายทม่ี ันไม่สามารถมชี ่องทางตรงไปยังรฐั สภาได้เลย เพราะมนั ตดิ ที่คอขวดว่าคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เองไม่มอี านาจหนา้ ที่ในการเสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ก็เลยจาเป็นที่จะต้องสู้โดยการอาศัยองค์ ความรูจ้ ึงมขี ้อพิจารณาว่าทายงั ไงองคค์ วามรู้ทเ่ี ปน็ ระบบสหวิทยาการมันจะสามารถนาเสนอออกมาในรูปข้อเสนอ เพื่อการปฏิรูปกฎหมายได้ ก็เลยต้องอาศัยทั้งภาควิชาการ ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ แล้วก็ส่วนราชการมา ประสานกนั จะเหน็ ดว้ ยว่าตอ้ งทางานร่วมกนั ระหว่างภาควิชาการกับภาคปฏบิ ตั ิ คืออยากจะขอปรกึ ษาอาจารยเ์ กีย่ วกับเรื่องการพฒั นาหัวข้อทเี่ ราสนใจให้มันกลายเป็นบทความวิชาการท่ี แข็งแกร่งหรือว่าเป็นงานวิจัยท่ีมันดูแข็งแกร่ง เพราะว่าปัญหาที่เกิดข้ึนกับตัวเอง ผมรู้สึกว่าเวลาสนใจอะไรซัก ประเดน็ หนึง่ มันจะมปี ญั หาหลกั ๆ 2 อยา่ งคือ เราสนใจเราจะเขยี นอย่างเร็ว ก็คือเราจะอ่านอย่างเร็ว เขียนอย่าง เร็ว เรามันก็จะเกิดข้อผิดพลาดเกิดขึ้นคือ รู้สึกว่ามันไม่แน่น ประเด็นที่ 2 ก็คือ พอเขียนเสร็จแล้ว มาทบทวนที หลงั ไอ่ท่ีเราทาไปไม่มีคน..... อันที่ 2 คือ รู้สกึ ว่ามนั มคี นทาเยอะมากเลย บางทีเราก็หลุดไปหลาย ๆ งาน ว่ามัน มีคนทางานคล้าย ๆ ลักษณะน้ีเยอะมากเลย เรารู้สึกว่าเราจะเดินไปต่อได้ไหม หรือเราไม่ควรเดินไปต่อแล้ว อย่างท่ีผ่านมาสนใจหลายเร่ือง ตั้งแต่เรื่องมลภาวะ เร่ืองการจัดการที่ดินบ้าง สิทธิชุมชนบ้าง ก็ศึกษาม่ัวไปหมด ตอนหลังสนใจเรื่องการพัฒนาที่มันส่งผลต่อเรื่องวิถีชีวิตท่ีมันเปล่ียนแปลงไป และค้นพบว่างานเหล่าน้ีคนเขาทา กันหมดเลย กร็ สู้ กึ วา่ ทาไมเราคิดอะไร มคี นทาหมดแลว้ อาจารยส์ มชาย คาถามวิจัย โจทย์วิจัย เราคงไม่ใช่คนแรกท่ีตั้งคาถามในเร่ืองน้ัน ๆ ยกเว้นว่าเราฉลาดมากที่เราจะต้ัง คาถามแบบเด็ดดวงได้ เพราะฉะน้ันอันน้ีเป็นสิ่งที่โจกับผม ก็จะทาเป็นประจา คือ ทบทวนวรรณกรรม ปัจจุบัน เราไมต่ อ้ งไปเข้าหอ้ งสมดุ เม่ือเราคดิ อะไรได้สงิ่ ท่ีต้องทาก็คอื มันจะมีข้อมูล น้ีคือแหลง่ ขอ้ มูลที่มีเอกสารให้เราอ่าน เยอะมาก จะมีตั้งแต่ สกว. รัฐสภา พระปกเกล้า ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา คาวินิจฉัยของศาล
73 รัฐธรรมนญู อนั นห้ี นังสอื งานวจิ ยั ท่ีมี แล้วเราก็จะมีหนังสือให้ หมื่นเล่ม อันนี้เป็นฐานข้อมูล คือสิ่งท่ีอาจารย์เห วิ่นถามเวลาเราคิดอะไรได้ปุ๊บ ทบทวนวรรณกรรม ในการทาวิทยานิพนธ์ การทาวิจัยมันคือ การทบทวนสถาน ความรู้ในเรอื่ งนัน้ ๆ วา่ มีการศกึ ษาอย่ใู นประเดน็ ไหน อยู่แค่ไหน คาถามที่เราถามไป เขาทาไปหรือยัง ถ้าเขา ทาไปแล้วเขาตอบดไี หม ตอบไมเ่ ขา้ ถ้าเราอยากจะตอบใหม่ อนั น้ีกจ็ ะมหี นงั สอื ดี ๆ เยอะ ของโครงการตารา อยา่ งเวลาอาจารยเ์ ร่ิมประเด็นอะไรแต่ละครงั้ อาจารยใ์ ชเ้ วลาทบทวนนานขนาดไหน ปริมาณขนาดไหน อาจารยส์ มชาย ถ้าเวลาผมทาทบทวนขนาดไหน คือเวลาผมทางานวจิ ัยแต่ละเลม่ อย่างเช่น ปีนี้ผมเขียนหนังสือ 2 เล่ม ผมเขยี นเรอื่ งการวิจัยกฎหมายทางเลอื กจรงิ ๆ กบั ให้งานนี้แตเ่ ขากาลังจดั รูปเล่มอยู่ไม่ทัน อีกซักเดือนน่าจะเสร็จ ผมทาวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง คือเน่ืองด้วยความแก่ อ่านหนังสือมาเยอะเราก็จะรู้ว่าประเด็นนี้มีคนทา ไม่มีคนทาและ ประเด็นสนใจคือเรื่องนั้น และเรื่องที่ผมทาอีกเร่ืองหนึ่ง ทาเรื่องข้อถกเถียงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ ในองค์กร จัดทารัฐธรรมนูญของไทย ตั้งแต่ 2475 ถึง 2550 อันนี้เป็นด้วยประสบการณ์การอ่านหนังสือไม่มีคนทา คือใน สภาร่างรัฐธรรมนูญเขาเถยี งเรือ่ งหมวดสถาบันกษตั ริย์อยา่ งไรบ้าง ผมนั่งไล่ดูตั้งแต่ 2475 มาถึง 2550 ประมาณ น้ี 75 ปี อ่านเรื่อย ๆ ครบั คอื ที่ร้เู พราะวา่ ผมเรียนจบมหาชนแล้วผมสนใจรัฐธรรมนูญและผมก็ตามงานพวกนี้มา ผมกจ็ ะรู้ว่าเรอ่ื งนี้ไม่มีคนทาอยู่ เพราะฉะน้นั ในแง่หน่ึงหมายความว่าถ้าเกิดเราสนใจงานในด้านไหน เราต้องอ่าน งานในด้านนั้นให้แบบเกือบหมด แล้วเวลาเราคิดถึงโจทย์วิจัยเราก็จะรู้ถึงโจทย์วิจัยท่ีเราคิด แต่ถ้าเราเห็นว่าอันนี้ ไม่มีคนทา อย่างเช่นในเมืองไทยคือเน่ืองจากเมืองไทยช่วงหลัง ๆ มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องสถาบัน พระมหากษัตริย์เยอะ คือผมไม่เถียง แต่ผมดูว่าในสภาร่างรัฐธรรมนูญเถียงกันว่าอย่างไรบ้างเรื่องหมวด พระมหากษตั ริย์ คอื เม่ือเรายิ่งแกข่ ้นึ เราจะรู้วา่ งานอนั ไหนมีคนทาไว้มากน้อยขนาดไหน แต่หมายความว่าเราต้อง เกาะติดกับเร่อื งนน้ั ๆ เกาะติดกับประเดน็ ท่เี ราสนใจ อย่างเชน่ เรื่องเพศวิถี ผมก็รู้อีกเหมือนกันว่าส่วนใหญ่ทาแค่ ตัวบท ไม่มีใครอ่านคาพิพากษาจริง ๆ ผมก็อ่าน อย่างน้ีเราก็จะรู้ อีกอย่างงานเฟรมินิสทางด้านกฎหมายใน เมืองไทยมันน้อย พอมันน้อยมันก็เหลือพ้ืนที่ให้เราเล่นเยอะ ถ้าเกิดเร่ืองไหนมีพ้ืนท่ีให้คนเล่นเยอะ ไม่ทาดีกว่า เพราะฉะน้นั ต้องอ่าน 2.คยุ กับคนทีส่ นใจเรอ่ื งนน้ั ๆ แล้วมาก่อนเรา ใครที่มาก่อนเราคล้าย ๆ เป็นผู้รู้ในเรื่องน้ัน ๆ ถามคนน้นั ก็จะทาให้เรารูข้ อบงานมากขนึ้ บางทีคนรู้มนั ก็ไม่ยอมบอก คอื ผมเคยทาโครงการวิจัยช้ินหนึ่งไปทากับอาจาย์ม่ิงสรรค์ เขาก็แค่หลอกด่า ผมไปเร่ือย ทีนี้ผมก็งง ทาไมอาจารย์ก็ไม่บอกผมเลย ว่ามันมีงานชิ้นไหนหรืออาจารย์ทาอะไรมาแล้วช่วยบอก หน่อยได้ไหม เพราะบางอย่างเราไม่รู้ว่ามันไปอยู่ตรงไหนอะไรยังไง แกก็บอกว่าแกจะส่งงานวิจัยให้ดู ผมก็งง แล้วกด็ า่ ผมไปเรอ่ื ย วา่ ตอ้ งไปทบทวนดดู ี ๆ มเี รือ่ งอะไรบา้ งผมก็งง อาจารย์สมชาย อันนีย้ าก อันนี้เป็นหน้าที่เราถ้าเขาไม่ตอบเราต้องไปค้นงานมาเอง คือเราต้องออกแรง เช่นงานอาจารย์ มิ่งสรรค์ ผมคดิ วา่ ส่วนใหญ่มนั ตพี ิมพ์ ยกเวน้ งานทแ่ี กเขียนไว้ 20 หนา้ ให้นกั ศึกษาอา่ น ถ้าแกบอกเราอาจจะบอก ว่าไม่รู้ได้ แต่ถ้างานอันไหนตีพิมพ์สาธารณะแล้วมันเกี่ยวข้องกับเราอันนี้ถือว่าถ้าเราจะทาเร่ืองนั้นเราต้องรู้ ต้อง ผา่ นหผู า่ นตามา มบี ทความอันไหนไหมที่อาจารย์ไหมที่อาจารย์อยู่ดี ๆ เกิดประเด็นหัวข้อขึ้นมาป๊ับแล้วอาจารย์เขียนปุ๊บ
74 แลว้ มนั เสรจ็ อยา่ งรวดเร็วเลย อาจารยส์ มชาย ถ้าหนังสือพิมพ์รายวันไม่มี ถ้านึกปุ๊บแล้วเขียนป๊ับเป็นหนังสือพิมพ์รายวันได้ อย่างเช่น ผมขับรถไป เห็นคนข้ามถนน เวลาเราหยุดรถให้เขา เขาหันมาโคง้ คานับให้เรา ผมก็นึกทันทีเลย อยู่ญ่ีปุ่นเวลาเราข้ามถนนไม่ ต้องคานับให้คนขบั รถ เพราะวา่ อะไรทกุ คนเป็นเจา้ ของถนน แตใ่ นเมืองไทยเวลาใครจอดรถให้เราข้ามเป็นไง โค้ง จนกราบแล้วมง่ั เพราะในเมอื งไทยคนขับรถคือเจ้าของถนน อย่างน้ีถ้าบทความรายวันถ้าผมคิดแบบน้ีปุ๊บ แบบนี้ ประมาณ 2 ช่ัวโมงเสร็จ สมยั ก่อนผมเขียนลงมติชน ตอนที่อินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลาย พอตอนหลังอินเตอร์เน็ต แพร่หลาย ผมก็เลกิ เขียนทั้งมตชิ นและอินเตอรเ์ น็ต คือถ้าเป็นแบบรายวนั ถา้ เปน็ แบบยาว ๆ ต้องค้น คืออาจารย์เป็นมนุษย์คนหนึ่งท่ีเขียนงานเยอะมาก ผมสงสัยว่าอาจารย์เอาเวลาท่ีไหนเขียนแล้วถ้าเกิด อาจารยม์ หี วั ข้อสนใจซกั 20 หัวขอ้ แล้วอาจารย์จะเขียนพรอ้ มกนั ทาได้ไหมครบั อาจารยส์ มชาย ไม่ได้ตอนน้ีผมทาอยู่ หนังสือทาเสร็จไปแล้วเล่มหน่ึง แล้วก็ข้อถกเถียงแค่ edit เสร็จไปแล้ว ตอนนี้ผม เหลอื งานวิจัยเรื่องความเปล่ียนแปลงในชนบทชิ้นหน่ึง แล้วกาลังทาการรับรองคานาหน้านามอีกชิ้นหนึ่ง ...คือถ้า ใครเขียนบทความจะรู้ว่า การเขียนบทความ คืองานของเรา คอื เปน็ งานท่ีเราชอบทา คือเขยี นบทความลงวารสาร มันกจ็ ะมคี นโต้แยง้ แสดงความคิดเหน็ คือผมเขา้ ใจวา่ ผมโชคดี ผมทางานแบบที่ผมไมค่ ิดว่ามันเป็นงาน ต้องใช้เวลา เขียนงานต้องใช้เวลาไม่ใช่ไม่ใช้เวลา ยิ่งงานวิจัยต้องใช้เวลา ข้อถกเถียงท่ีผมอ่านรายงาน การประชุมมาปี กวา่ ช่วงระหวา่ งทา กอ่ นน้ีผมอา่ นมาประมาณ 2-3 เดือน แล้วผมก็คิด ๆ ทาเลย งานวิชาการ วงิ่ มาราธอน อันนเ้ี ปน็ แหล่งข้อมูลจะทาให้เราเขา้ ถงึ ข้อมูล ระบบอนิ เตอร์เน็ตมันก็ดี ตอนแรกท่ีผมไปกรุงเทพแล้ว ผมบอกว่าผมอา่ นรายงานการประชุมข้อถกเถียงเก่ียวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกคน อาจารย์บอก อาจารย์มา น่ังอ่านท่ีรัฐสภาเหรอ ป่าวครับดาวน์โหลดมาเลย หมื่นกว่าหน้าแล้วก็น่ังอ่านในน้ี ก็อ่าน ๆ น่ังอ่านมันดี คือ เครื่องมือไหนท่ีผมใช้ประโยชน์ได้ซ้ือเลยครับ เคร่ืองมือไหนที่มันช่วยให้เราทางานได้เร็วผมซ้ือเลยรายงานการ ประชมุ ผมใชใ้ นน้ี อ่านในนเ้ี ลย คอื อันน้ีมันดีคอื ว่า ผมซอื้ เครอื่ งมอื มุ่งเนน้ สาหรับทางาน ผมไม่สนใจอย่างอื่น ผม สนใจท่ีมนั เขยี นลงไปได้ มันมีรายงานการประชุมมาเขียนไปได้ ส่ิงท่ีผมทาก็คือผมขีดเส้น และผมก็หาผู้ช่วยมา พิมพ์ออกมา ก็เหมือนสอนเด็กทางาน คือมันเครื่องมือท่ีช่วยเราได้เยอะ เพราะฉะน้ันต้องใช้เครื่องมือ มันก็มี รายงานการประชุม พวกน้ดี าวน์โหลดได้หมด ผมคิดว่าในโลกปัจจุบัน ในโลกทกุ วันน้เี ราเข้าถึงขอ้ มลู ไดด้ กี ว่าอดีต เยอะ สมมุตถิ า้ ผมคิดเรอื่ งน้ีเมอ่ื 20 ปีที่แล้วนะ ผมต้องไปนั่งอยู่รัฐสภาเผลอ ๆ ถ่ายเอกสารคิดแผ่นละ 10 บาท ค่าเดนิ ทางอกี ตายกวา่ จะทาเร่ืองน้จี บ เร่ือย ๆ ผมคิดว่าปีน้จี ะเขียนหนงั สอื สองเล่ม ปีนี้จะทางานวิจัย 1 ช้ิน ผมคิดแค่นี้แหละและก็ทามันไป เรอื่ ยๆ ........ไมถ่ งึ ขนาดชัดเจน กค็ ิดว่าปีน้ีน่าจะพอทาอะไรได้บ้าง อย่างปีท่ีแล้วผมทาอะไรไม่ค่อยได้ เพราะปีท่ี แล้วมนั มีรัฐประหาร ไม่มอี ารมณ์ พอดีทีต่ ่ายฟงั จากเหวิ่น คือในส่วนนี้มานึกขึ้นได้อีกประเด็นหน่ึง คือถ้าหากสมมติว่าอาจารย์เพิ่มเชคช่ัน ในส่วนของการวิจัยการอบรมตรงนี้มันโอเคแต่นักวิจัยหรือนักวิชาการส่วนใหญ่ ท่ีจริงเรามีข้อมูลพ้ืนฐานเยอะมาก เรารู้ แต่มีส่ิงหนึ่งที่เราหาทาไม่ได้คือ knowledge management ต่ายคิดว่าเรามีเชคชั่นหน่ึงสาหรับ แล้วเรามี
75 เพิ่มในส่วนน้ีที่เป็นแบบว่า เรามีสอนอบรมเพ่ิม แต่สุดท้ายเราก็ต้องมีสอน knowledge management ต่ายคิด วา่ มนั น่าจะเปน็ เรอื่ งทน่ี ่าจะเปน็ ประโยชน์ อาจารยส์ มชาย อนั นี้เป็นเรือ่ งที่สาคญั การจดั การขอ้ มูลที่มนั เข้ามาเยอะแยะมาก จะเกบ็ ขอ้ มูลจะใช้ข้อมูลอะไรยังไง คือ ปัจจบุ ันถ้าพดู ตรง ๆ การจัดการขอ้ มลู ของผม คือผมอยากได้อะไร ๆ ก็โจ (โจ ๆ งานวิจัยที่ผมส่งไปเม่ือ 3 ปี แลว้ เอามาดูหนอ่ ยเถอะ) เมื่อเราจดั การขอ้ มูลไม่ดี เราตอ้ งมคี นช่วยที่ดี น้แี หละครับ knowledge management คือถ้าเกดิ พวกเราเรียนรู้ไว้เป็นประโยชน์คือการเข้าถึงข้อมูลหรือการเก็บข้อมูล คือผมเก็บข้อมูลบางส่วนแต่ผมยัง ทาได้ไม่ดีเท่าไหร่ ผมแยกแยะเป็นประเด็นแต่ละเร่ือง ๆ เช่นตอนน้ีผมศึกษาเรื่อง ตุลาการศึกษา ผมก็จะแยก ตลุ าการศึกษาไว้ จะมีเปน็ หนังสือเปน็ บทความกจ็ ะแยกไว้เวลาเขา้ ไปอา่ น ผมจดั การข้อมูลได้ไม่ดีมากเท่าไหร่ แต่ โอเค ผมคดิ ว่าเร่ืองนีน้ ่าสนใจคอื การจัดการข้อมลู ของแต่ละคนหรอื วธิ ีการจัดการ ซง่ึ เด๋ยี วอนั นอี้ าจจะลองมีโมเดล หรือมีตวั อย่างมาให้ดู ผมเขียนไว้คือระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพสาหรับงานวิจัยทางนิติศาสตร์ ผมเสนอไว้เลยผมเขียนไว้ใน ข้อเสนอแนะแล้วว่าหัวขอ้ ต่อไปทคี่ วรจะจดั คอื ระเบยี บวิจัยเชงิ คุณภาพสาหรับการวิจัยทางนิติศาสตร์ ก็อาจจะไป อ่าน หลัก ๆ ก็ให้มอบหมายงานให้.....ไปอ่านก่อน เล่มดา ๆ หนา ๆ สุภา จันทวานิช อะไรพวกนี้ คือเราจะ เข้าใจแต่ commentary research แต่พอมันมเี ครือ่ งมือเยอะมากเป็นร้อยกวา่ เครือ่ งมือ ใช่ไหมครับ แผนภูมิชีวิต แผนผงั ชุมชน อะไรพวกนที้ างนิตศิ าสตรเ์ ขาไมร่ ้เู ร่ืองผมกเ็ ลยเสริมมาเป็นหัวข้ออีกหัวขอ้ หน่ึง เกยี่ วกับระเบียบวธิ วี จิ ัย เคร่อื งมอื ในการวจิ ยั การวิชัยเชิงปริมาณเชิงคณุ ภาพ แผนท่ีเดินดนิ ท่ีจริงในเวปไชต์ของมหาลัยจะเข้าใจว่าเวลาเราเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมันจะมีเวปไชต์ของ มหาวิทยาลัยซื้อเข้าไปในสานักหอสมุด มันจะมี lexisnexis มันใช้ได้ดีมากในการหาตาราหรือว่าในการเขียน บทความหรือว่าในการหา......ใหม่ ๆ และก็ท่ีจริงถ้าหากอยากได้ตาราท่ีมันเป็นเชิง cycology มันจะมีของฝ่าย สังคมวิทยาแต่ว่ามันจะเป็นมุมมองที่แบบ legal approach แล้วก็ humanitarian หรือว่า humanity เพราะวา่ ตอนทเ่ี รยี นตอ่ อยกู่ ็ไดใ้ ชเ้ ยอะมาก อนั นเี้ ป็นเร่ืองของแหล่งข้อมูล การบริหารจัดการข้อมูล แล้วก็ระเบียบวิธีวิจัยที่เป็นเคร่ืองมือในการวิจัย เชิงปริมาณ เชิงคุณภาพ ซ่ึงผมก็คงเน้นเชิงคุณภาพ เพราะเชิงปริมาณผมไม่มีความรู้ ไม่รู้ว่าท่านอื่นมีความเห็น อะไรไหมครับ จรงิ ๆ แล้วทีม่ าอบรมท่ีน้ี กร็ ู้ว่ามาเปิดโลกทัศน์ จรงิ ๆ เราอยู่ในโลกแคบ ๆ อยู่ในตัวบทกฎหมาย ทีน้ี พอมาศึกษาเพื่อไม่อยากให้มันเสียของน่าจะมีโครงการต่อเนื่อง แต่ผมว่าน่าจะมีองค์กรท่ีเข้ามาช่วยเหลือได้ อย่างเชน่ คร้งั นที้ ม่ี าเยอะ ๆ ก็สานักคณะกรรมการปฏริ ปู กฎหมาย ซึ่งจริง ๆ แล้ว คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ถ้าบอกว่าเป็นกฤษฎีกา กฤษฎีกาไม่ค่อยได้ศึกษาในเร่ืองบังคับใช้กฎหมาย และไปมีผลกระทบกับสังคมยังไง ดังน้ันผมว่าคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายน่าจะท่ีมีอยู่ เพื่อที่จะเสนอว่าจริง ๆ แล้ว กฎหมายนี้มันขัดไหม ถาม กฤษฎีกา แต่กฤษฎีกาไม่เคยตอบเลยว่ามันมีปัญหากับสังคมยังไง แน่นอนอัตลักษณ์ของนิติศาสตร์ของมหาลัย เชียงใหม่น้ีมันชัดเจน ว่าเป็นนิติทางสังคมศาสตร์ ทีนี้อยากจะชวนแลกเปล่ียน ถ้าในปีต่อไปทางมช. จะจัดมีรุ่น ใหมเ่ ข้ามา แตก่ ็น่าจะมีซักวนั หนง่ึ แต่ทีนี้ว่าอาจารย์ท่ีเขามาอบรมในคร้ังน้ีเขาไปได้ประเด็นในหัวข้อไม่ว่าจะเป็น
76 paper หรอื งานวิจยั เพือ่ ทม่ี านาเสนอ และก็จะเป็นการสร้างเครอื ขา่ ยมันก็จะมีการติดต่อกันต่อ ๆ ไป คือที่พี่เล็กแบ่งกลุ่ม กาลังสนใจว่าอยากจะลองมองในมุมประวัติศาสตร์กฎหมายไทย คือมันมีความ พยายามกอ่ นทา Theses ป.เอก แต่ว่ามันไปไม่ถึง จริง ๆ เราอยากดูเร่ืองของการรับรองสิทธ์ิของคนน้ี คนซ่ึงมี ปัญหาสถานะน้ี โดยดูจากต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบันแต่มันยังไปไม่ถึง แต่ตอนนี้คิดว่าอยากจะโฟกัสแค่เร่ืองของ ทะเบียนราษฎร ว่าต้ังแต่อดีตถึงปัจจุบันพอฟังท่ีอาจารย์อรรถจักรบอก มันมีบริบทยังไง มันส่งผลอะไรยังไง คือ ตอนน้ีมันมีโจทย์ปลายทาง อย่างโรฮิงญา อุยกูร์ ท่ีเข้ามาเขาควรจะมีช่ืออยู่ในทะเบียนราษฎรไหม ด้วย กฎหมายฉบับไหน จริง ๆ กฎหมายมันเปิดช่องให้เพียงแต่ว่าเรายังไม่ได้บังคับใช้ ซึ่งถ้าเกิดเป็นเมื่อก่อน ถ้าคุณ ไม่มีสทิ ธท์ิ ี่อาศยั คณุ เป็นคนตา่ งดา้ ว คุณไม่สามารถมีชอื่ ในทะเบียนราษฎร แตเ่ ดย่ี วนม้ี ันไม่จาเป็นแล้วแต่มันยังไป ไม่ถึงกลุ่มคนโรฮิงญา มันมีเหตุผลอะไรยังไง รู้สึกว่าโจทย์ท่ีเรียนมาสตรีศึกษามันยาก ไม่ค่อยอินเลย ที่น่าสนใจ เร่อื งของประวัติศาสตร์ แล้วของอาจารย์เปียกกย็ าก จริงๆ ก็ได้รับโจทย์มาว่าอยากจะมาทาวิจัยเรื่องประสิทธิภาพในการออกกฎหมายแต่ว่าของงานจุฬา ต้ังแต่มีการทาวิจัยท่ีอาจารย์บวรศักด์ิ อุวรรณโน เป็นท่ีปรึกษา ตั้งแต่ 2475 ถึง 2537 หรือ 2539 ตอนนี้โจทย์ท่ี ได้มา ก็คืออยากจะดูประสิทธิภาพของการออกกฎหมายในช่วงปี 49 - 50 อาจจะเป็น 10 ยุทธศาสตร์ ซึ่งเรา สนใจ เช่นความเสมอภาคทางเพศ กฎหมายเอกชนธุรกิจ กระจายอานาจรัฐ ตรวจสอบอานาจรัฐ อย่างนี้เป็นต้น แล้วผมก็พยายามจะคิด desing model มันเช่นอย่างสมมุติเอา logistic มาช่วยอย่าง sipoc มาจาก s คือ supplier ก็คือ กระทรวง ทบวง กรม ในการเสนอกฎหมายหรือภาคประชาชน , i ก็คือ input ก็คือตัวร่าง กฎหมาย, p คอื process ของมนั เป็นยงั ไง, o ก็คือ output ก็คือกฎหมาย สุดท้ายก็คือ c คือ customer ก็คือ ประชากรที่ได้รบั ผลกระทบ แลว้ กจ็ ะดเู รอื่ งของ REA ทอี่ าจารยป์ กปอ้ งพดู เม่อื วาน เร่ืองของเปิด regulatory เปิด impact analysis หรือว่า assessment คือการประเมินผลกระทบซึ่งจากงานวิจัย TDRI ก็มีการพูดถึงกฎหมายว่า มีการทา RA แค่ 44 และก็ทายังไม่จริงจังมาก ตอนนี้ก็เลยคิดว่าถ้าเราไปทบทวนเราก็อยากจะ.... ตอนนั้นก็ได้ ปรึกษาอาจารย์สมชายแล้วว่าเป็นงานที่ใหญ่เหมือนกันต้องดูอีกที ก็พยามยามปรึกษาอาจารย์ว่ามีเคร่ืองมียังไง บ้าง ก็ขอขยายประเดน็ ตรงน้ี โดยรวม ๆ ผมเข้าใจว่าแบบน้ีคือ ทางผมคือถ้าไม่โดนไล่ออกซะก่อน คือคิดว่าก็จะจัดปีหน้า 3 วันแรก คงคลา้ ย ๆ แบบนี้ แตอ่ าจจะเพมิ่ เตมิ เน้อื หาบางส่วนไป เพิ่มเติมอาจจะเร่ืองเคร่ืองมือในการวิจัยหรืออาจจะเร่ิม ถงึ การจัดการข้อมลู อะไรพวกน้ีเพ่ิมไป ถ้าสนใจคิดว่าอยากจะทาอะไรแต่ละคนอาจจะมีประเด็นไรท่ีอยากจะลอง พฒั นา ถ้ามันจะมีขึ้นก็อาจจะต่อท้ายต่อโครงการน้ี ผมเสนอแบบนี้ได้ไหมครับ ผมเห็นต่างประเทศเขาทากันผม คิดว่าดี อย่างญ่ีปุ่นที่ทาผมคิดว่าสมมุติเขาจะจัดงานปีหน้า submit paper เป็นแบบส้ัน ๆ เป็นแบบ concept paper ส้นั ๆ ซักหนา้ หนง่ึ วา่ เราจะทาอะไรเก่ยี วอะไรเป้าหมายจะศึกษาอะไรแบบนี้ คือหมายความว่าถ้าเกตุใคร อยากจะนาเสนอใหล้ องคิดถึงคาถามวิจัย เราจะศกึ ษาอะไร ศึกษายังไง เขียนเป็นแบบ paper ส้ัน ๆ มาซักหน้า หน่ึง คือให้อ่านรู้แล้วว่าจะทาอะไรแบบน้ี ยกตัวอย่างเช่นใครสนใจที่แบบอยากจะลองมาเขียนบทความ เช่น 6 เดือนก่อนจัดงาน ส่ง concept paper มา เช่น มกราคม ภายในสัปดาห์แรกส่ง concept paper มา อย่าง น้อยจะได้พอเห็นว่ามีใครบ้างอยากจะนาเสนออะไร และเราจะได้รู้มีคนอยากนาเสนอเยอะน้อยขนาดไหน เวลา ญ่ีปุ่นเสนอ concept paer ประมาณ 8 เดือนล่วงหน้า ผมจะไปเดือนธันวา ปีนี้ ผมส่งไปตั้งแต่ต้นปี นานมาก ผมคดิ วา่ ดีคอื มันจะทาให้เห็นอย่างน้อย ใครอยากเขียนเขียน concept paper มา หลังจากน้ันเขียนต่อ ถ้าเกิด
77 ผมเห็นอาจจะสง่ ใหค้ นอนื่ วจิ ารณแ์ ล้วกส็ ่งกลบั ไป ในระหว่างน้นั งานเขยี นอาจจะปรบั แก้ใหม้ นั สมบูรณม์ ากข้ึน อยากเสนอในฐานะเป็นพวกองค์กรพัฒนาเอกชน เรียกเอ็นจีโอ ก็จะมีเอ็นจีโอ ทางกฎหมายหลายคนที่ คิดว่ามีประเด็นทางกฎหมายจานวนมากที่อยากจะมีงานวิจัยเข้าไปสนับสนุน เพราะว่าเดี๋ยวน้ีทุกคดีด้าย ยุทธศาสตร์ หลักอันหนึ่งก็คือว่า ผลของการช่วยเหลือทางกฎหมายจะไม่แค่ไปเยียวยาเฉพาะลูกความคิดว่า อยากจะเป็นประเด็นอะไร ขยายผลไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายหรือทางกฎหมาย คือการเปลี่ยนแปลงทาง นโยบายกฎหมายส่วนหน่ึงก็อาจจะต้องมีงานวิจัยเข้ามาสนับสนุน ดังน้ันมันเป็นไปได้ไหมว่าทายังไงให้มีการเจอ กันได้บา้ ง ล่าสุดผมได้คุยกับคุณสุมิตรชัย ที่เขาเรียกว่า ทนายแย้ ไม่ต้องแปลกใจทาไมเขาถึงช่ือแย้ ถ้าเห็นหน้า เขา อนั น้เี ขาก็อยากจะทาวิจยั เก่ยี วกับเร่อื งป่าไมท้ ่ดี ิน อันนี้เปน็ ตัวอย่างว่าทายังไงในวงอันน้ีถ้าเรามีวงท่ีสนใจงาน ทางกฎหมายทางสงั คมศาสตร์ ทายังไงใหม้ าเจอกนั ในแง่ท่เี ปน็ ตัวฐานขอ้ มูลอะไรก็ตาม พูดง่าย ๆ มาเจอกันแล้ว คยุ กันว่ามนั สามารถรว่ มงานอะไรกนั ไดห้ รือเปล่า พี่ทอมกเ็ สนอว่า มีองค์กรเอกชนหลายแห่ง มีฐานข้อมูลอยู่ด้วย และอยากพัฒนาเป็นงานวิจัย ก็ถามจะ เปน็ ไปไดไ้ หมทจ่ี ะสร้างคลา้ ย ๆ เวทีการพบปะพดู คุยหลาย ๆ ฝ่าย เพื่อสรา้ งงานวจิ ยั ร่วมกนั กน็ ่าสนใจผมคิดว่า มนั อาจจะลองคิดระหว่างทาง ถ้าใครสนใจประเด็นน้ี ผมอาจจะชวนองค์กรที่ทางานในด้านนี้มา คนไหนท่ีสนใจ มาพัฒนางานร่วมกันมาน่ังคยุ ร่วม คือจริงๆ แบบนี้ ไม่จาเปน็ ต้องใหผ้ มเปน็ เจ้าภาพก็ได้ ใครเปน็ เจ้าภาพก็ได้ใคร สนใจก็ไปร่วม ในลักษณะแบบน้ีใครสะดวกจะมาเชียงใหม่ก็ได้ไม่มีปัญหาอะไรแบบนี้ ก็ดีน่าจะเป็นประโยชน์ เพราะอย่างน้อย ๆ ผมเข้าใจว่าเวลาหลายๆ ท่านทาวิจัยแล้วปัญหาอันหน่ึงคือในแง่ข้อมูล ผมเข้าใจว่าอย่างพี่ ทอมทางาน ขอ้ มลู เยอะเพราะคดยี ืดเยือ้ ยาวนาน ถา้ พื้นท่ีภาคใตล้ ่าสุดท่จี ะเกดิ คอื เดือนตุลาคม ก็ทางสมาคมกไ็ ปรว่ มกับอีกสองสามมหาลยั ท่ีไมไ่ ดเ้ ข้าร่วม ท่ีนี้ ว่าจะมีการนาเสนองานวิจัย ซึ่งเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนในพื้นท่ีภาคใต้ ถ้าเกิดมหาลัยไหนมีงานวิจัยอยู่แล้ว อยากนาเสนอหรืออยากไปรับฟังงานวิจยั จากนักวิชาการในพ้ืนที่ น้ันก็อาจจะเป็นเวทีที่เร่ิมต้นในเดือนตุลา เด๋ียว อาจจะสง่ ขอ้ มลู ไปจัดที่มหาลยั ทกั ษณิ อันน้กี จ็ ะเป็นข่าวสารงานวิจยั ทเ่ี กิดในพื้นทภ่ี าคใต้ ในส่วนของงานวิชาการด้วยตัวอย่างท่ีเคยไปร่วมมา มีของ PIL อย่างท่ีพ่ีทอมถาม มันจะเป็นได้ไหม ตอนน้ีมันพึ่งเป็น prilot project ปีแรกเหมือนกัน ก็คือมันใช้ช่ืองานว่า promonal regal maket มันเป็น โครงการท่ีเขาต้องการจะหาความร่วมมือระหว่างฝ่ายงานวิชาการเองหรือแม้แต่ตัว bisiness lawyer เอง หรือว่า ตัวนักกฎหมายที่ทาอยู่ในองค์กรภาคประชาสังคมเองให้มาเจอกันซึ่งท่ีจริงในมุมมองของต่ายเอง ในส่วนตัวของ สมาคมนักกฎหมายเองท่ีจริงเราก็คิดว่าในเม่ือเราสามารถท่ีจะมาเจอกันได้ในการอบรมทางด้านการแลกเปล่ียน ความรทู้ างด้านงานวชิ าการกันได้ บางทีในอนาคตถา้ สมมุติมันอาจจะเป็นไปได้ที่ว่าเราอาจจะจัดในรูปแบบนี้ก็ได้ ในลักษณะแบบนี้ก็เปิดเป็นแบบน้ี และก็ให้มาเลือกดูในงานท่ีสนใจ ท่ีจริงพ่ึงไปร่วมกัน conference ที่หน่ึง แต่ ไปในฐานะ oc server แต่ว่ามันมีแหล่งทุนที่เขาอยากได้งานวิจัยทางด้านสิทธิมนุษยชน จะชื่อแหล่งทุนว่า sepa แต่เดี๋ยวอาจจะส่งไปให้ทางอีเมลล์ เขากาลังรับสมัครทุนหรือโครงการงานวิจัยเกี่ยวกับทางด้านสิทธิมนุษยชนมี หลาย ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับทางท่ีเราสนใจและมุมมองทางด้านสังคมวิทยากฎหมายมันก็ค่อนข้างเป็นมุมมองที่ ถ้าเปน็ ส่วนตัวของ sepa เองส่วนใหญ่ที่ท่ีเขาค่อนข้างเขาได้รับความสนใจ ก็คือเวลาส่งอาจจะส่งเป็น concept note ไปก่อนส่วนใหญ่ของ sepa จะให้ส่งเป็น concept note ไปก่อน แล้วถ้าได้รับอีกทีหนึ่งก็ค่อยการันตีอีกที หน่ึง กค็ งเป็นงานวจิ ัยภาษาองั กฤษ ทนุ ขัน้ ตา่ ก็ประมาณ 2 -3.5 หม่ืนเหรียญ
78 อาจารย์สมชาย โดยรวม ๆ ผมสรุปแบบน้ีปีหน้าผมคิดว่ายังจะจัดอบรมในรูปแบบน้ีอยู่ ในช่วงท้ายอาจจะมีการคล้าย ๆ นาเสนอผลงานสาหรับทา่ นที่พรอ้ ม ถ้าใครสนใจอาจจะทาเดี๋ยวผมอาจจะทากาหนดเวลาหมายความวา่ ถา้ ใคร สนใจจะนาเสนอต้องส่งเป็น concept paper มาสักหน้าหน่ึงว่าจะทาอะไร จะพูดเร่ืองอะไร อาจจะกาหนด ระยะเวลา เช่น กาหนด 6 เดือน แล้วผมก็จะเอามาทากาหนดการ แล้วก็จะจัดโปรแกรมน้ีเข้าไป ก็โดย หลักการเบื้องต้นผมคิดว่าน่าจะเป็นแบบน้ี สมมุติอีกหน่อยทาต่อไปได้มันเวียนไปท่ีอ่ืนก็ได้ ไม่จาเป็นต้องมา เชียงใหม่ทุกครั้งก็อาจจะเบื่อ คือ ผมคิดว่าสมมุติวงท่ีทางานแบบน้ีสามารถขยายตัวเราก็ไม่จาเป็นต้องมาท่ีน้ี ขยับไปที่อ่ืนก็ได้ครับ บนหลักการเบื้องต้นเวลาเดินทางก็เบิกจากต้นสังกัด ส่วนใหญ่ก็เบิกได้ เพียงแต่เจ้าภาพ ตอ้ งรบั ผิดชอบ โดยสรุปก็แบบน้ีความตั้งใจของผมและอาจารย์ของที่น้ี อาจารย์อรรถจักร์ท่ีผมคุยเป็นที่ปรึกษา ผมตลอดบอกว่าน่าจะทาแบบน้ีเพราะว่ามันจะทาให้งานวิจัยมันสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะไม่อย่างนั้นโอกาสการ เกิดงานวจิ ัยกบั อน่ื ๆ ทมี่ นั ไมใ่ หแ้ บบ prew law มันจะเกดิ ขน้ึ ได้ยาก เพราะฉะน้ันแบบน้มี ันก็จะเกิดการสร้างให้ เกดิ งานวิจัยใหก้ วา้ งขวางมากขึน้
79 ตารางสรปุ แบบประเมนิ : โครงการอบรมการวจิ ยั กฎหมายทางสงั คมศาสตร์ ความพงึ พอใจในกระบวนการใหบ้ ริการ ระดบั ความพงึ พอใจ 1. ดา้ นสง่ิ อานวยความสะดวก 4.2 1.1 สถานที่สะดวกและเหมาะสมกบั การอบรม 4.38 1.2 สือ่ โสตทศั นปู กรณ์มีความพรอ้ มและเหมาะสมกบั การอบรมฯ 4.52 1.3 อาหารกลางวันและอาหารว่างเพยี งพอและถูกสขุ ลักษณะ 4.53 1.4 เจ้าหน้าทส่ี ามารถใหบ้ ริการไดท้ ่วั ถึง 2. ดา้ นหลกั สตู รการอบรม 4.58 2.1 เนอ้ื หามีประโยชน์และสามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ได้ 4.50 2.2 ทา่ นพึงพอใจในเน้ือหาดงั ต่อไปนี้มากนอ้ ยระดับใด 4.47 2.2.1 หลกั การพน้ื ฐานของการวจิ ัย 4.44 2.2.2 การวจิ ัยกฎหมายเชิงประวตั ศิ าสตร์ 4.62 2.2.3 การวิจยั กฎหมายเชงิ มานษุ ยวิทยา 4.39 2.2.4 การวจิ ัยกฎหมายแนวสตรีนิยม 4.62 2.2.5 การวจิ ยั กฎหมายเชงิ เศรษฐศาสตร์ 4.55 2.3 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในเนอ้ื หาการอบรมฯ 4.44 2.4 วิทยากรสามารถถา่ ยทอดความรใู้ หส้ ามารถเขา้ ใจได้อย่างชดั เจน 4.26 2.5 วทิ ยากรใช้เทคนคิ วิธกี ารที่เหมาะสมกับเนือ้ หาและวัตถุประสงค์ของ การอบรมฯ 2.27 2.6 ระยะเวลาการฝกึ อบรมเชงิ ปฏิบัตกิ ารมีความเหมาะสม 3. ดา้ นผลการอบรม 4.12 3.1 กอ่ นการอบรมทา่ นมีความรู้และทักษะการวิจัยกฎหมายทาง สังคมศาสตร์มากน้อยระดับใด 3.68 3.2 หลังการอบรมทา่ นตระหนักถึงความสาคญั ของการวิจัยกฎหมาย 3.79 ทางสงั คมศาสตร์มากขนึ้ 3.3 หลังการอบรมท่านสามารถเขยี นโครงการวิจัยกฎหมายทาง สงั คมศาสตรไ์ ดเ้ พิม่ ขึ้น 3.4 หลังการประชุมทา่ นมีเครือขา่ ยการวิจัยมากข้นึ
80 รายชือ่ และการติดตอ่ ผู้เขา้ รว่ ม โครงการอบรมการวิจยั กฎหมายทางสังคมศาสตร์ ในวันท่ี 15-17 กรกฎาคม 2558 ณ คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ลาดับ ช่อื - สกุล ตาแหนง่ เบอรโ์ ทรศัพทแ์ ละท่ีอยู่อีเมล์ ท่ี มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 1 อาจารย์ ดร.อุษณีย์ เอมศริ านันท์ อาจารย์ 095-451-6142, [email protected] 2 อาจารย์ ศักดิช์ าย จินะวงค์ อาจารย์ 3 อาจารยส์ ุธาสินี สภุ า อาจารย์ 095-5957543, [email protected] มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏกาแพงเพชร 4 อาจารยน์ ฐิ ณิ ี ทองแท้ อาจารย์ 091-067-7084, [email protected] 5 อาจารยจ์ นั ทิมา กอ้ นจนั ทรเ์ ทศ อาจารย์ 088-091-1587, [email protected] 6 อาจารยว์ าสนา มีศลิ ป์ อาจารย์ 083-953-0560, [email protected] 7 อาจารย์พจั นภา เพชรรัตน์ อาจารย์ [email protected] มหาวิทยาลยั หาดใหญ่ 8 อาจารย์ชลรี ตั น์ มเหสักขกลุ อาจารย์ 084-195-2877, [email protected] 9 อาจารย์วันเฉลมิ ว่องสนน่ั ศลิ ป์ อาจารย์ 081-927-0599, [email protected] 10 อาจารย์พมิ พ์ชยา วชิรธีรรัฐกิจ อาจารย์ 088-7462915, [email protected] มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ 11 อาจารย์ ดร. กฤษรตั น์ ศรสี ว่าง อาจารย์ 087-807-1721, [email protected] 12 อาจารย์ธรี วฒั น์ ขวญั ใจ อาจารย์ 089-195-1953, [email protected] มหาวิทยาลัยราชภฏั สงขลา 13 อาจารย์ชาญวทิ ย์ จันทรอ์ นิ ทร์ อาจารย์ 085-911-6682, [email protected] 14 อาจารยว์ ิรตั น์ บญุ เลิศ อาจารย์ 087-837-3922, [email protected] มหาวิทยาลัยนเรศวร 15 อาจารย์ ดร. ดรณุ ี ไพศาลพาณิชย์ อาจารย์ 083-131-4883, [email protected] กุล อาจารย์ 084-717-4990, [email protected] 16 อาจารย์ กติ วิ รญา รตั นมณี มหาวิทยาลัยขอนแกน่ อาจารย์ 086-891-2496, [email protected] 17 อาจารยด์ ามร คาไตรย์ อาจารย์ 085-652-9299, [email protected] 18 อาจารย์กญั ญารตั น์ โคตรภเู ขียว มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี อาจารย์ 089-437-3952, [email protected] 19 อาจารย์ ดเิ รก บวรสกลุ เจรญิ อาจารย์ 089-017-0989, [email protected] 20 อาจารย์ ดร.ศุภชัย วรรณเลศิ สกลุ
81 รายชอื่ และการติดตอ่ ผเู้ ข้าร่วม โครงการอบรมการวจิ ัยกฎหมายทางสังคมศาสตร์ ในวนั ท่ี 15-17 กรกฎาคม 2558 ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ ลาดบั ชอ่ื - สกุล ตาแหน่ง เบอรโ์ ทรศัพทแ์ ละทอ่ี ย่อู ีเมล์ ท่ี มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม 21 อาจารย์ โศภิต ชีวะพานชิ ย์ อาจารย์ 083-266-0567, [email protected] มหาวิทยาลยั แม่โจ้ 22 อาจารยศ์ ริ ิโสภา สันตทิ ฤษฎกี ร อาจารย์ 086-654-9788, [email protected] มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณร์ าชวทิ ยาลัย 23 อาจารย์ประไพศริ ิ สนั ติทฤษฎกี ร อาจารย์ 086-654-2498, [email protected] มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงราย 24 อาจารยสื รุ พี โพธสิ าราช อาจารย์ 061-941-4665, [email protected] สมาคมนกั กฎหมายสิทธมิ นุษยชน 25 นางสาวผรณั ดา ปานแก้ว ผู้ประสานงานฝา่ ยเสริมสรา้ งฯ 081-655-9387, [email protected] 26 นางสาววราภรณ์ อนิ ทนนท์ ผู้ประสานงานฝา่ ยวิชาการฯ 094-923-2964, [email protected] สานักงานคณะกรรมการปฏริ ปู กฎหมาย 27 นายอคั รพงศ์ เวชยานนท์ นกั วิชาการปฏิรปู กฎหมาย 092-257-8123, [email protected] 28 นายเอนก บญุ มา นักวิชาการปฏริ ูปกฎหมาย 091-009-6238, [email protected] 29 นายชัยรินทร์ ธรรมอมรพงศ์ นกั วชิ าการปฏิรูปกฎหมาย 082-344-8999, [email protected] อาวุโส 30 นางภทั รนิ ทร์ สั้นนุ้ย นักวิชาการปฏิรปู กฎหมาย 081-431-7980, [email protected] 31 นายสรลั มารู ผชู้ ว่ ยนักวิชาการปฏริ ปู 086-936-4127, [email protected] กฎหมาย มลู นธิ ินติ ธิ รรมสง่ิ แวดล้อม 32 นายสรุ ชัย ตรงงาม เลขาธกิ ารมูลนิธฯิ 081-640-9506, [email protected] 33 นางสาวธันย์ชนก เชาวนทรงธรรม เจ้าหนา้ ท่ีฝา่ ยกฎหมาย 090-962-9947, [email protected] Earth Rights International 34 นายธรธรร การมัง่ มี นกั กฎหมาย 089-951-6909, [email protected] International Rescue Committee 35 นางสาวปรยี าภรณ์ ขนั กาเหนดิ ผจู้ ัดการฝ่ายกฎหมาย 085-1916497, [email protected] นักศกึ ษาปรญิ ญาโท มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ 36 นางสาวธนิษฐา ม่งุ ดี 084-372-5409, [email protected] 37 นางสาวศุทธนิ ี ใจคา 085-621-8328, [email protected] 38 เปรมสิริ เจริญผล 095-447-1639, [email protected]
82
Search