中 国 少 数 民 族宋老师
ชนเผ่าฮน่ั 汉族
ชนเผา่ ฮนั่ ชนชาติจนี ปัจจบุ นั เรียกชอื่ ชนชาตขิ องตนวา่ “ชนชาติฮัน่ ” (Han) คาน้เี ขยี นด้วยอักษรตวัเดียวกบั คาวา่ ราชวงศ์ฮ่นั 汉 ชนชาตฮิ น่ั เกิดจากการหลอมรวมประสมประสานระหว่างชนเผา่ตา่ งๆ หลายเผ่าหลายวัฒนธรรม ผา่ นระยะเวลายาวนานกวา่ จะกาเนิดเป็นชนชาตทิ ่ีอยู่รว่ มกันในดินแดนหนง่ึ กล่มุ ชนเผ่ารากเหง้าทีเ่ ปน็ แกนของชนชาติฮัน่ นั้น เรียกกนั วา่ ชาว “หวั เซ่ยี ” ชาวหวั เซีย่ ดั้งเดมิ ประกอบดว้ ยชนเผา่ สองกลุม่ ใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ กลมุ่ ของ “หวงต”ี้ (จักรพรรดิเหลอื ง)และกล่มุ ของ “เหยียนตี้” สองกลมุ่ นเี้ ปน็ พันธมติ รกนั มีการแลกเปลยี่ นสมรสกนั ระหว่างเผา่ตานานบันทกึ วา่ ต้นตอของเผา่ หวงตอ้ี ย่ทู ี่ลุ่มแมน่ ้าจี 姬 จงึ ใช้แซว่ า่ จี 姬 แตแ่ มน่ ้าชือ่ นี้ปจั จุบนัหาไมพ่ บ นกั วิชาการจนี เสนอว่า ต้นตอของเผา่ หวงตคี้ งจะอยแู่ ถบลมุ่ แมน่ ้าจี 伎 เชิงเขาจีซาน伎山 คอ่ นไปทางเหนอื ของมณฑลสา่ นซีปจั จบุ ัน สว่ นต้นตอของเผ่าเหยยี นต้ี อยูท่ ่ีลุ่มนา้ เจียง姜 จึงใชแ้ ซว่ ่าเจียง 姜 แม่นา้ เจียงน้ี นักวิชาการจีนเสนอวา่ น่าจะอยแู่ ถบอาเภอเป่าจี 宝鸡ค่อนมาทางใต้ของมณฑลสา่ นซีในปัจจุบัน บรเิ วณเหล่านก้ี ็อยใู่ กล้ๆ กบั เมืองซีอาน มณฑลสา่ นซใี นปัจจบุ นั หรอื กค็ ือ ตน้ ตอของชาวหัวเซ่ยี อนั เป็นแกนของชนชาตฮิ ่นั อยู่แถบมณฑลส่านซี และเหอเป่ย การขยายตวั ขึ้นเป็นกลุ่มชนหัวเซยี่ นน้ั ก็มิใช่มเี ฉพาะการรวมตวั กันระหวา่ งเผา่ หวงต้ีกบั เผ่าเหยียนต้ีเท่าน้ัน หากแตไ่ ด้คอ่ ยๆ มีชนเผ่าอืน่ ๆ หลอมรวมเขา้ มาเพ่ิมด้วย เปน็ ตน้ ว่า พวกซีอ๋ี (ชาวอ๋ที างตะวันตก เชน่ตระกูลของราชวงศโ์ จว) ตงอ๋ี พวกอ๋ีทางตะวันออก (เช่นตระกลู ของจกั รพรรดิสนุ้ ) เป็นตน้
ชนเผ่าฮนั่ ชนเผา่ ฮน่ั
การหลอมรวมชนเผา่ ครงั้ ใหญๆ่ ในประวตั ศิ าสตรจ์ นี มี 3 ครงั้ คร้ังแรก ก็คือ ช่วงชุนชิว จ้ันกั๋ว จนถึงจ๋ินซีฮ่องเต้รวมประเทศเป็นเอกภาพดังกล่าวแล้วเปน็ ผลใหก้ อ่ เกิดเป็นรัฐท่ีมีเอกภาพ มีการรวมอานาจปกครองที่ศูนย์กลางโดยมีชนชาติหัวเซ่ียเป็นแก่นแกน คร้ังท่ีสอง คือในช่วงราชวงศ์เว่ย (วุยก๊กในยุคสามก๊ก ค.ศ.220 - 265 ราชวงศ์จ้ิน (ของลูกหลานสุมาอ้ี) ค.ศ. 265 - 420 ยุคหนานเป่ย ค.ศ. 420 - 589 นับต้ังแต่ยุคราชวงศ์ตงฮ่ันเป็นต้นมา ชนเผ่าทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือและภาคเหนือ เช่น เผ่าซงหนู เผ่าเซียนเปย เผ่าต๋ีเผา่ เชยี ง คอ่ ยๆ เคลอ่ื นเขา้ มาอาศัยปะปนอยู่กับชาวหัวเซ่ียในตงง้วน รับวัฒนธรรมของหัวเซี่ย ล่วงมาถึงยคุ ราชวงศ์เวย่ ราชวงศ์จ้ิน มีบันทึกว่าในตงง้วนมีราษฎรเป็นชนเผ่าทางเหนือจานวนพอๆ กับชาวหัวเซีย่ จนเกดิ ข้อเรยี กรอ้ งให้ขบั ไลพ่ วกชนเผา่ ทางเหนือออกไป แตเ่ ร่ืองน้นั ไมม่ ที างจะทาสาเร็จเพราะแนวโน้มพัฒนาการทางสังคมขณะน้ันก็คือการหลอมรวมกันทางวัฒนธรรมและชาติพันธ์ุกระบวนการน้ีสืบเน่ืองต่อมาจนถึงยุคราชวงศ์ถัง ในยุคหนานเป่ยน่ีเอง ชนเผ่าจากภาคเหนือเร่ิมเรียกชาวหัวเซ่ียว่า “ฮั่น” คาเรียกน้ีปรากฏครั้งแรกในสมัยราชวงศ์เป่ยฉี ค.ศ. 550 - 577 แต่ต่อๆมา คาว่าคนฮั่น 汉人 ขยายความหมาย หมายรวมถึงทั้งคนหัวเซ่ียในตงง้วนและคนเผ่าอื่นๆ ด้วยแสดงถึงการหลอมรวมทางเช้ือชาติทเ่ี กิดข้ึนอย่างมากในยุคนี้ ครั้งที่สาม การหลอมรวมคร้ังใหญ่ในช่วงราชวงศ์ซาง ราชวงศ์เหลียว ราชวงศ์จิน ราชวงศ์หยวนราชวงศ์เหลียวเป็นราชวงศ์ของชาวคีตาน ราชวงศ์จิน (กิม ) เป็นราชวงศ์ของชาวนูเจินราชวงศห์ ยวนเป็นราชวงศข์ องชาวมงโกล ราชวงศ์เหลียว จิน หยวน มีความรุ่งเรืองเติบใหญ่แข่งขันได้กับราชวงศ์ซ่งของชาวจีน ชนเผ่าทางภาคเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือรับวัฒนธรรมท่ีก้าวหน้าของจีน ปรับปรุงปฏิรูปการปกครองและวิทยาการของตน จนสามารถก่อต้ังรัฐ และขยายอานาจเขา้ ครอบครองดินแดนตงงว้ นได้ ทาให้เกิดการหลอมรวมทางกลุม่ ชนครงั้ ใหญอ่ กี คร้งั หน่ึง
วฒั นธรรม จนี เปน็ หน่งึ ในอารยธรรมทเี่ ก่าแกแ่ ละซบั ซอ้ นทส่ี ุดของโลก วัฒนธรรมจีนย้อนกลับไปได้นับพันๆปี ชาวฮน่ั บางส่วนเช่อื วา่ พวกเขาลว้ นมีบรรพบุรุษร่วมกัน ซึ่งเล่าปรัมปราถึงหัวหน้าชนเผ่าอาวุโสจักรพรรดิเหลืองและจักรพรรดิยันเม่ือหลายพันปีก่อน ดังนั้นชาวฮั่นบางส่วนจึงเรียกตนเองว่า\"ลูกหลานของจักรพรรดิหวงและเหยียน\" วลีที่มีความหมายโดยนัยสะท้อนบรรยากาศการเมืองท่ีแตกแยกดังในจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน ตลอดประวัติศาสตร์ของจีน วัฒนธรรมของจีนได้รับอิทธพิ ลอย่างใหญ่หลวงจากลัทธิขงจื้อ ซึ่งได้สร้างรูปแบบความคิดแบบจีนมากมาย ลัทธิขงจ้ือเป็นหลกั ปรัชญาอย่างเป็นทางการตลอดช่วงประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของจีนยุคจักรวรรดิ ความรอบรู้ในหลกั คาสอนของขงจ้อื คือ “หลักเกณฑอ์ นั แรกสาหรบั การสอบเขา้ รบั ราชการ” ขงจือ้
บดิ าของชาวฮน่ั กับชดุ ประจาชนชาติ ชดุ \"จงซัน\" (中山裝) เป็นชดุ ทไี่ ดน้ ามมาจากนักปฏิวัตผิ ยู้ งิ่ ใหญ่ของชาวจนี 'ดร. ซนุ จงซาน'ในสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย เป็นยุคสมัยท่ีสัญญาขายชาติหลายฉบับได้รับการลงนามโดยข้าราชการผู้โกงกินท่ีสงครามฝ่ินปะทุข้ึนเม่ือปี ค.ศ. 1840 และเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ลัทธิจักรวรรดินิยมยาตราเข้าสู่ดินแดนจงหยวน เมือ่ กองทพั ทหาร 8 ชาติบุกเข้าประเทศจีนในปี ค.ศ. 1900 และเป็นยุคเข็ญของชาวจีนท่ีถูกตราหน้าจากชาวโลกว่าเป็น “ข้ีโรคแห่งเอเชีย” บ้าง “ทหารผมเปีย” บ้าง หรือแม้แต่ล้อเลียนการแต่งกายชุดยาวกลอมข้อเทา้ กบั ชุดขีม่ า้ แบบชาวแมนจู การรุกรานจากมหาอานาจตะวันตก ความฟอนเฟะของราชสานักชิง ประกอบกับความอ่อนแอของชาวจีนได้สรา้ งความคับแคน้ ใจให้แก่ ดร. ซุน อย่างใหญ่หลวง ท่านได้รวบรวมกลุ่มคนผู้รักชาติขึ้นเพื่อขับไล่ต่างชาติ และปรารถนาที่จักเสริมสร้างความเป็นชาติข้ึนมาใหม่ ภายหลังการเสียสละเลือดเนื้อของเหล่าวีรชนทั้งหลาย ชาวจีนก็ประสบชัยชนะสามารถล้มล้างราชสานักชิงในการปฏิวัติซินไห่ (辛亥革命) เมื่อปีค.ศ. 1911 และก่อต้ังเป็นสาธารณรัฐ นับจากน้ัน ดร. ซุนได้ริเร่ิมระบบการปกครอง ปฏิรูปเศรษฐกิจและกฎหมายต่าง ๆ และให้ตัดหางเปียท่ีชาวจีนเคยไว้ออกเสีย ทั้งยังออกแบบชุดประจาชนชาติเสียใหม่ โดยมอบหมายให้ร้านเส้ือท่ีเซี่ยงไฮ้ (上海亨利西服店) เป็นผู้ตัดเย็บ และให้ชื่อชุดตามช่ือของท่านว่า 'จงซัน' ซึง่ ไดก้ ลายเปน็ ชดุ ท่ียอมรับในสมยั น้ันวา่ เป็นชุดของชนชาวฮน่ั ชุดจงซนั นอ้ี อกแบบโดยรับอทิ ธพิ ลมาจากชุดของตะวันตก เส้ือเป็นเสอื้ คอปกต้งั กระดุม 5 - 7 เม็ดมีกระเป๋า 4 ใบ ท้ังบนล่างซ้ายขวา กระเป๋าล่างขยายได้สามารถใส่หนังสือหรือสิ่งของได้ตามชอบใจ ส่วนกางเกงผ่าดา้ นหน้ามกี ระดุมลับ ด้านข้างซา้ ยขวามกี ระเป๋าลับ และจบั จบี ทีเ่ อว ดร. ซุน เป็นผูน้ าการสวมใสช่ ุดจงซนั นี้ด้วยตัวท่านเองไม่วา่ ในโอกาสไหน ๆ และได้รับความนิยมจากชาวฮั่นอย่างกว้างขวาง เน่ืองจากมีความเป็นสากล สง่างาม เหมาะกับประโยชน์ใช้สอย และสวมใส่สะดวกสบาย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้วัสดุในการตัดเย็บได้หลายแบบเพ่ือโอกาสใช้สอยต่าง ๆ กันปัจจุบัน ชุดจงซันยังเป็นชุดทางการท่ีนิยมในหมู่สุภาพบุรุษนักการเมือง และประชาชนจีนทุกสาขาอาชีพ(สาหรับสตรีนิยมสวมชดุ ก่ีเพ้า (旗袍) ของชาวแมนจู)
บดิ าของชาวฮนั่ กับชดุ ประจาชนชาติชดุ จงซนั ชดุ กเ่ี พา้ ของชาวแมนจู
ภาษา ชาวฮ่ันมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเองเรียกว่า ภาษาฮั่น หรือ \"ฮั่นอว่ี\" หมายถึงภาษาฮ่ัน(อวี่ แปลว่า ภาษา) ในทานองเดียวกันอักษรจีนท่ีใช้เขียนภาษาเรียกว่า \"ฮ่ันจื่อ\" หรืออักษรฮั่น (จ่ือ แปลว่าตัวหนังสือ) ในขณะท่ีมีภาษาถ่ินอยู่มากมาย แต่ภาษาเขียนมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างมาก ความเป็นเอกภาพน้ีต้องยกให้ราชวงศ์ฉินซึ่งได้สร้างมาตรฐานให้กับรูปแบบการเขียนอันหลากหลายของจีนในยุคน้ัน เป็นเวลานับพันๆปีภาษาเขียนโบราณ (Classical Chinese) ถูกใช้เป็นรูปแบบการเขียนมาตรฐานในหมู่ปัญญาชนซึ่งใชค้ าศัพทแ์ ละหลักไวยากรณซ์ ึ่งอาจแตกต่างอยา่ งมนี ัยสาคญั กับภาษาพูดอนั หลากหลายในช่วงต้นศตวรรษท่ี 20 ภาษาเขียนมาตรฐาน หรือ ภาษาเขียนสมัยใหม่ (Written Vernacular Chinese)ท่ีมีรากฐานจากภาษาฮ่ันปักก่ิงซ่ึงได้พัฒนาข้ึน 200 - 300 ปีมาแล้ว ถูกทาให้เป็นมาตรฐานและรับเข้ามาใช้เพอื่ แทนทภ่ี าษาเขียนโบราณ ในขณะที่รปู แบบการเขียนสมยั ใหมใ่ นภาษาจีนอื่นๆ เช่น ภาษาเขียนกวางตุ้ง ยังมีอยู่ แต่ภาษาเขียนแบบปักกิ่งเป็นท่ีเข้าใจกว้างขวางกว่าในหมู่ผู้พูดภาษาจีนทั้งหมดและมีความสาคัญกว่าในพวกภาษาเขียนซ่ึงก่อนหน้านี้เคยใช้โดยภาษาเขียนโบราณ ดังน้ันแม้ว่าผู้อาศัยในภูมิภาคต่างๆไม่มีความจาเปน็ ตอ้ งเข้าใจคาพูดของกันและกัน เพราะพวกเขาใช้ภาษาเขียนร่วมกนั ต้นทศวรรษท่ี 1950 อักษรฮ่ันตัวย่อถูกรับเข้ามาใช้ในจีนแผ่นดินใหญ่และต่อมาในสิงคโปร์ ในขณะท่ีชุมชนชาวจีนอน่ื ๆในฮ่องกง, มาเก๊า, สาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) และจีนโพ้นทะเล ยังใช้อักษรฮั่นตัวเต็มต่อไป ในขณะเดียวกันมีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญอยู่ระหว่างชุดอักษรท้ังคู่ ซ่ึงไม่สามารถเข้าใจกันได้อยู่เป็นจานวนมาก
การแตง่ กาย ทุกวนั น้ีชาวฮน่ั ท่ัวไปสวมใส่เสื้อผ้าตามแบบตะวันตก ส่วนน้อยสวมใส่เส้ือผ้าแบบชาวฮั่นด้ังเดิมเป็นประจา อย่างไรก็ตามชุดแบบจีนสงวนไว้สาหรับ เคร่ืองแต่งกายในศาสนาและพิธีการ ตัวอย่างเช่น พระในลัทธิเต๋าสวมใส่ชุดเดียวกับบัณฑิตในสมัยราชวงศ์ฮั่น ชุดพิธีการในญ่ีปุ่นอย่างเช่นพระในลัทธิชินโตเหมือนมากกับชุดพิธีการในจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ในปัจจุบันชุดจีนแบบด้ังเดิมท่ีนิยมมากท่ีสุดสวมใส่โดยหญิงสาวมากมายในโอกาสสาคัญๆ เช่น งานแตง่ งานและงานปใี หมเ่ รียกว่ากีเ่ พา้ อยา่ งไรกต็ ามเครื่องแต่งกายเหล่าน้ีไม่ใช่มาจากชาวฮั่นแต่มาจากการดัดแปลงชุดแต่งกายของชาวแมนจู ซ่ึงเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ปกครองประเทศจีนระหว่างศตวรรษท่ี 17 ถงึ ต้นศตวรรษท่ี 20 ชดุ กเ่ี พา้
ทอี่ ยอู่ าศยั บ้านแบบฮั่นแตกต่างจากท่ีหน่ึงไปอีกท่ีหน่ึง ชาวฮ่ันในปักก่ิงอาศัยรวมกันทั้งครอบครัวในบา้ นหลังใหญท่ ีม่ ลี กั ษณะสเี่ หลี่ยม บา้ นแบบนี้เรียกว่า 四合院 บ้านเหล่านี้มีส่ีห้องทางด้านหน้าได้แก่ ห้องรับแขก, ครัว, ห้องน้า และส่วนของคนรับใช้ ข้ามจากประตูคู่บานใหญ่คือส่วนสาหรับผู้สูงอายุในครอบครัว ส่วนนี้ประกอบด้วยสามห้อง ห้องกลางสาหรับสักการะแผ่นจารึก 4 แผ่นได้แก่ สวรรค์, โลกมนุษย์, บรรพบุรุษ และอาจารย์ มีสองห้องท่ีอยู่ติดทางด้านซ้ายและขวาเป็นห้องนอนสาหรับปู่ย่าตายาย ส่วนด้านตะวันออกของบ้านสาหรับลูกชายคนโตกับครอบครัว ในขณะท่ีด้านตะวันตกสาหรับลกู ชายคนรองกับครอบครัว แตล่ ะดา้ นมีเฉลยี งบางบ้านมีห้องรับแสงแดดสร้างจากผ้ามีโครงเป็นไม้หรือไม้ไผ่ ทุกๆด้านของบ้านสร้างอยู่ล้อมรอบลานบ้านตรงกลางสาหรับเล่าเรยี น,ออกกาลังกายหรือชมวิวธรรมชาติ 四合院
บรรณานกุ รมวกิ พิ เี ดยี สารานกุ รมเสรี. ชาวฮนั่ . ( Online ). สืบคน้ จากhttps://th.wikipedia.org/wikiพเิ ชฎฐ์ ชยั ยงั . เชอ้ื ชาตฮิ ่นั . ( Online ). สืบคน้ จากhttps://www.baanjomyut.com/library/china/03.html
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: