Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ติวสาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ใหม่

ติวสาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ใหม่

Published by sukanlaya4052, 2021-05-14 07:39:45

Description: ติวสาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ใหม่

Search

Read the Text Version

1 ชุดที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ เรอื่ งพืช สรุปสาระสาคญั  ตวั ช้ีวดั เรอื่ งพชื ว 1.2 ป 4/1 บรรยายหน้าทขี่ องราก ลาตน้ ใบ และดอกของพชื ดอกโดยใชข้ อ้ มูลทรี่ วบรวมได้ ว 1.3 ป 4/1จาแนกสง่ิ มชี ีวติ โดยใชค้ วามเหมือนและ ความแตกตา่ งของลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวติ ออกเป็ นกลมุ่ พชื กลมุ่ สตั ว์ และกลมุ่ ทไี่ มใ่ ชพ่ ืชและสตั ว์ ว 1.3 ป 4/2 จาแนกพชื ออกเป็ นพชื ดอกและพชื ไมม่ ดี อก โดยใชก้ ารมีดอกเป็ นเกณฑ์ โดยใชข้ อ้ มูล ทรี่ วบรวมได้ อาณาจกั รสง่ิ มีชีวติ อาณาจกั รสงิ่ มชี ีวติ แบง่ ออกเป็ น 5 อาณาจกั ร ไดแ้ ก่ 1. อาณาจกั รพืช เป็ นอาณาจกั รของพชื ชนิดตา่ งๆ พืชเป็ นสง่ิ มชี ีวติ หลายเซลลท์ เี่ ซลล์จะรวมตวั กนั เป็ นเนื้อเยอื่ ทาหน้าทเี่ ฉพาะอยา่ งได้ มีผนงั เซลล์เป็ นสารเซลลโู ลส มีบทบาทเป็ นผผู้ ลติ สามารถสงั เคราะห์ดว้ ยแสงได้ เนื่องจากม.ี ...........................................สง่ิ มชี ีวติ ในอาณาจกั รพืชมี 10 ไฟลมั 2. อาณาจกั รสตั ว์ เป็ นอาณาจกั รของสตั วต์ า่ งๆ สตั วเ์ ป็ นสง่ิ มชี ีวติ หลายเซลล์ ไมม่ ีผนงั เซลล์ มีบทบาทเป็ นผบู้ รโิ ภค ตอ้ งไดร้ บั พลงั งานจากการกนิ สารอนิ ทรยี ์เขา้ ไป สว่ นใหญม่ ีเน้ือเยอื่ และอวยั วะ ยกเวน้ พวกฟองน้า สตั ว์ทมี่ วี วิ ฒั นาการสูงจะมีระบบอวยั วะตา่ งๆ ซบั ซอ้ น เชน่ ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบประสาท ระบบเลือด ระบบฮอรโ์ มน แบง่ ออกเป็ น 9 ไฟลมั 3. อาณาจกั รมอเนอรา เป็ นอาณาจกั รของพวกแบคทเี รยี เป็ นสง่ิ มชี ีวติ เซลลเ์ ดยี ว โดยเป็ นเซลลแ์ บบโพรคารโิ อต (ไมม่ เี ยอื่ หมุ้ นิวเคลียสและออร์แกเนลล์เยอื่ หมุ้ ) 4. อาณาจกั รโพรทสิ ตา เป็ นสงิ่ มีชีวติ เซลล์เดียว หรอื หลายเซลล์ทยี่ งั ไมม่ เี น้ือเยอื่ เป็ นเซลล์แบบยคู ารโิ อต (มนี ิวเคลยี ส) เรยี กสงิ่ มชี ีวติ ในอาณาจกั รน้ีวา่ พวกโพรทสิ ต์ ไดแ้ ก่ อะมีบา พารามเี ซีย 5. อาณาจกั รฟงั ไจ เป็ นกลมุ่ เห็ด รา ยีสต์ มบี ทบาทเป็ นผยู้ อ่ ยสลายเทา่ นน้ั ไมส่ ามารถสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้ มีเซลล์แบบยคู ารโิ อต สืบพนั ธ์ุโดยการสรา้ งสปอร์ สว่ นประกอบของพชื

2 1.ราก รากคือสว่ นของพชื ทมี่ กั มกี ารเจรญิ เตบิ โตตามแรงโน้มถว่ งของโลก มหี น้าทที่ สี่ าคญั ดงั นี้ 1.คา้ จนุ สว่ นตา่ งๆ ของพืชใหท้ รงตวั อยไู่ ด้ (anchorage) 2. ดดู และลาเลยี งน้า (absorption and transportation) 3.หน้าทอี่ นื่ ๆ ขน้ึ กบั ลกั ษณะของรากเชน่ สะสมอาหาร ยดึ เกาะ ใชใ้ น การหายใจเป็ นตน้ ระบบราก หน้าทพี่ เิ ศษของราก 1.รากยดึ เกาะ เช่น ................................................................................................................. .............. 2.รากหายใจ เช่น ................................................................................................................. ................

3 3.รากคา้ จนุ เชน่ ................................................................................................................. ................. 4.รากสงั เคราะห์แสง เช่น ................................................................................................................. . 5.รากสะสมอาหาร เช่น........................................................................................................... ......... การลาเลียงน้าและแรธ่ าตุของพืช การลาเลยี งน้าในพชื พชื จะดูดนำ้ และแรธ่ ำตุทบี่ รเิ วณปลำยรำกและจะถกู ลำเลยี งไปโดยทอ่ ลำเลยี งนำ้ ซงึ่ พชื จะมเี นือ้ เยอื่ ลำเลยี งอยู่ 2 กลุ่มคอื ไซเลม ( Xylem ) เป็ นเนือ้ เยอื่ ............................................................ โฟลเอม ( Phloem ) เป็ นเนือ้ เยอื่ ......................................................... กระบวนกำรดูดนำ้ และแรธ่ ำตุ พชื จะดดู น้ำและแรธ่ ำตทุ ำงขนรำก โดยจะดดู น้ำดว้ ยวธิ กี ำร....................................ส่วนกำรดดู แรธ่ ำตุใชว้ ิ ธกี าร...................... อำหำรถกู ลำเลยี งไปตำมกงิ่ กำ้ น ลำตน้ รำก โดยวธิ กี ำร...................................................... กำรแพร่ คอื กำรกระจำยอนุภำคของสำรจำกทมี่ คี วำมเขม้ ขน้ ของอนุภำคข องสำร………………ไปยงั บรเิ วณทมี่ คี วำมเขม้ ขน้ ของอนุภำคของสำร................................ ....... กำรแพรแ่ บบออสโมซสิ คอื กำรแพรข่ องนำ้ หรอื ของสำรผ่ำนเยอื่ กน้ั บำง ๆ................................ เน้ือเยอื่ ลาเลยี งทที่ าหน้าทลี่ าเลยี ง

4 2.ลาตน้ ลาตน้ ทาหน้าทลี่ าเลยี งน้า แรธ่ าตแุ ละอาหา ชนิดของลาตน้ 1.ลาตน้ ทอี่ ยเู่ หนือดนิ คือลาตน้ ทอี่ ยเู่ หนือพ้ืนดนิ ลาตน้ เล้อื ย เช่น........................................................................................................... ...... ลาตน้ ปื นป่ าย เชน่ ........................................................................................................... .. มอื เกาะ เช่น........................................................................................................... ........ ลาตน้ หนาม เชน่ ........................................................................................................... 2.ลาตน้ ใตด้ นิ คอื ลาตน้ ทีอ่ ยใู่ ตด้ นิ โดยชูใบและกาบขนึ้ มาเหนือดนิ แงง่ เช่น...................................................... หวั เชน่ .................................................. เหงา้ เช่น ................................................. 3.ใบ ใบคอื สว่ นของพชื ทแี่ ตกออกมาจากลาตน้ สว่ นมากจะเป็ นสีเขียว ใบเลี้ยง คือใบแรกของพชื ทงี่ อกออกจากเมล็ด เป็ นใบทสี่ ะสมอาหาร

5 ใบแท้ คอื ใบทีเ่ จรญิ ออกมาจากดา้ นขา้ งของเมล็ดบรเิ วณขอ้ ลกั ษณะเสน้ ใบ ............................................................................... หน้าทหี่ ลกั ของใบแท้ 1.การสงั เคราะหแ์ สง 6CO2 + 12H2O แสง/คลอโรฟิ ลล์ .............................................................. 2.การหายใจ พชื มีการหายใจตลอดเวลาทง้ั กลางวนั กลางคนื C6H12O6 + 6O2 ....................................................................... 3.การคายน้า พืชมกี ารคายน้าทางปากใบ การตอบสนองของพชื ตอบสนองตอ่ แสง .................................................................................. ตอบสนองตอ่ อณุ หภูมิ .................................................................................. ตอบสนองตอ่ น้า .................................................................................. ตอบสนองตอ่ การสมั ผสั ...................................................................... ตอบสนองตอ่ แรงโน้มถว่ งโลก ...................................................................... ประเภทของพชื พชื ดอก .........................................................สบื พนั ธุ์โดยการอาศยั ดอก

6 พืชไรด้ อก ......................................................... พืชดอก พืชใบเลยี่ งเดยี่ ว ................................................................. พืชใบเลย้ี งคู่.................................................................. ตารางเปรียบเทยี บลกั ษณะพชื ใบเลยี่ งเดยี่ วและพืชใบเลยี้ งคู่ ลกั ษณะ ใบเล้ียงเดยี่ ว ใบเลย้ี งคู่ ใบเลีย้ ง ลาตน้ ราก ลกั ษณะเสน้ ใบ จานวนกลบี ดอก สว่ นประกอบของดอก ดอกครบสว่ น คือดอกทมี่ อี งค์ประกอบครบทง้ั 4 สว่ น คือ........................................................................ เช่น............................................... ดอกไมค่ รบสว่ น คอื ดอกทีข่ าดสว่ นใดสว่ นหนึ่งขององค์ประกอบทง้ั 4 สว่ น เช่น ........................................................................ หากดอกมีเกสรตวั ผู้ และเกสรตวั เมยี ครบ เรียกวา่ ................................................. เช่น ชบา กหุ ลาบ พรกิ การสบื พนั ธข์ุ องพืชดอก 1.การถา่ ยละละอองเรณู คือการทลี่ ะอองเรณูตกลงบนยอดเกสรตวั เมยี 2.การปฏสิ นธิ คอื การทเี่ ซลล์สืบพนั ธ์ุเพศผผู้ สมกบั เซลลส์ ืบพนั ธเ์ุ พศเมยี

7 สเปิ ร์มนิวเคลียสตวั ที่ 1 + เซลล์ไข่ ไซโกต สเปิ ร์มนิวเคลยี สตวั ที่ 2 + โพลารน์ ิวเคลยี ส เอนโดรสเปิ ร์ม อาหารเลยี้ งตน้ ออ่ น หลงั ปฏสิ นธิ รงั ไข่ เปลยี่ นแปลงเป็ น.............................. ออวลุ เปลยี่ นแปลงเป็ น............................ ประเภทผล ผลเดยี่ ว คือผลเกดิ มาจาก............................................ ดอกอาจเป็ นดอกเดยี่ วหรอื ดอกชอ่ ก็ได้ เช่น แตงโม องนุ่ สม้ ทุเรยี น ลาไย ลน้ิ จ้ี ผลกลมุ่ คือผลทเี่ กดิ จาก............................................... ในดอกเดยี วกนั ของดอกเดยี่ ว เช่น นอ้ ยหน่า ลกู จาก จาปี กระดงั งา ผลรวม คือผลทเี่ กดิ จากรงั ไข.่ ..................................................... เชน่ ลูกยอ สบั ปะรด สาเก ลกู หมอ่ น ขนุน กายขยายพนั ธุพ์ ชื การขยายพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ การเพาะเมล็ด คือการขยายพนั ธุโ์ ดยใชเ้ มลด็ ทเี่ กดิ จากการผสมของเซลลส์ ืบพนั ธุ์ ขอ้ ดี ......................................... ขอ้ เสยี .................................. การขยายพนั ธ์แุ บบไมอ่ าศยั เพศ การปกั ชา การตอนกงิ่ การตดิ ตา............................................................................... การเพาะเลี้ยงเน้ือเยอื่ คือการนาเอาเนื้อเยอื่ ของพชื ในสว่ นทเี่ จรญิ เตบิ โต เช่นปลายยอด ตาขา้ ง ดอก ใบ เน้ือเยอื่ ทเี่ ป็ นเนื้อเยอื่ เจรญิ มาเพาะเลย้ี งในอาหารสงั เคราะห์ ขอ้ ดคี ือ.................................................... พนั ธุวศิ วกรรม การตดั ตอ่ ยนี คอื เทคโนโลยที กี่ ารเคลอื่ นยา้ ยยนี จากสงิ่ มชี ีวติ สายพนั ธห์ุ น่ึงไปสูส่ งิ่ มชี ีวติ อกี สายพนั ธ์หุ น่ึง เพือ่ สรา้ งสงิ่ มีชีวติ รูปแบบใหม่ ขอ้ สอบสุดเทพ ชุดที่ 1 เรอื่ งพชื

8 1. พชื ชนิดใดต อไปน้ี ไม มีระบบรากแก ว 1. งา 2. ละหุ ง 3. มะพร าว 4. ถ่วั เหลือง 2. สงิ่ มชี ีวติ ใดต อไปนี้ไม ขยายพนั ธุ โดยใช สปอร 1. เห็ดฟาง 2. ราขนมป ง 3. เฟ นก านดา 4. สาหร ายหางกระรอก 3. โครงสร างใดของพชื ทสี่ าคญั ในการสบื พนั ธุ แบบไม อาศยั เพศของผกั กระเฉด 1. ใบ 2. ราก 3. ดอก 4. ลาต น 4. เมอื่ พชื สงั เคราะห ด วยแสง จะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าการเปลยี่ นแปลงสารอย างไร 1. เปลยี่ นแก สออกซเิ จนไปเป นน้าตาลกลูโคส 2. เปลยี่ นแก สคาร บอนมอนอกไซด ให เป นแก สออกซเิ จน 3. เปลยี่ นน้าตาลกลโู คสให เป นแก สคาร บอนมอนอกไซด และแก สออกซเิ จน 4. เปลยี่ นแก สคาร บอนไดออกไซด และน้า ให เป นน้าตาลกลโู คสและแก สออกซเิ จน 5. ถ านกั เรยี นเด็ดใบมะม วงจนหมดต น น าจะเกดิ เหตุการณ ใดขน้ึ 1. มะม วงจะตาย เพราะไม มใี บทาหน าทคี่ ายน้า 2. มะม วงจะตาย เพราะไม มใี บทาหน าทสี่ ะสมอาหาร 3. มะม วงจะตาย เพราะไม มีใบทาหน าทสี่ ร างอาหาร 4. มะม วงจะตาย เพราะไม มีใบทาหน าทบี่ งั ความร อน 6. ข อเสยี ของการนาเมล็ดพชื ทางการเกษตรไปปลกู ต อๆ กนั ไปคือข อใด 1. ขยายพนั ธุ ได ไม มาก 2. พชื เกดิ การกลายพนั ธุ 3. ได พชื ทมี่ คี ณุ ภาพด อยลง 4. พชื รุ นต อๆ มามคี วามต านทานโรคและแมลงตา่ 7. ไข ของสตั ว เทยี บได กบั ส วนใดของพืช 1. รงั ไข 2. ออวุล 3. อบั เรณู 4. ละอองเรณู 8.สว่ นใดของพชื ทที่ าหน้าทสี่ รา้ งอาหาร(สงั เคราะห์ดว้ ยแสง) คอื สว่ นใด 1.ใบทมี่ สี เี ขยี ว 2.รากกลว้ ยไมท้ มี่ สี เี ขยี ว 3.ลาตน้ กระบองเพชร 4.ถกู ทกุ ขอ้ 9.ขอ้ ใดไมใ่ ช่หน้าทที่ างตรงของใบ 1.หายใจ 2.สืบพนั ธุ์ 3.คายน้า 4.สรา้ งอาหาร 10.จงพจิ ารณาแผนผงั การสงั เคราะห์แสง A + น้า B C+D ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ ง 2.B เป็ นสง่ิ ทพี่ ชื ผลติ เองไมไ่ ด้ 1.A ไดจ้ ากพชื เทา่ นน้ั

9 3.C เป็ นสารทมี่ ีประโยชน์ตอ่ มนุษย์มากทสี่ ดุ 4.D เป็ นสารทที่ ง้ั มนุษย์ พชื และสตั วไ์ มต่ อ้ งการ 11.กาหนดให้ ก.การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงเกดิ เฉพาะตอนทมี่ ีแสง ข.การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงเกดิ เฉพาะเซลลท์ มี่ ีเม็ดคลอโรพลาสต์ ค.การหายใจเกดิ เวลากลางคืน การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงเกดิ เวลากลางวนั ง.การหายใจเกดิ กบั ทกุ เซลลส์ ง่ิ มชี ีวติ ตวั เลอื กใดสรุปไดถ้ กู ตอ้ ง 1.ก ข ค 2.ก ค ง 3.ก ข ง 4.ก ข ค ง 12.จงพจิ ารณาสมการตอ่ ไปนี้ A + น้า แสง คลอโรฟิ ลล์ น้าตาล+B+น้า น้าตาล+C D+น้า+พลงั งาน A B C D คอื อะไรบา้ ง เรยี งตามลาดบั 1.O2 CO2 O2 CO2 2.O2 O2 CO2 CO2 3.CO2 O2 O2 CO2 4.CO2 O2 CO2 O2 13.อตั ราการสูญเสยี น้าทางปากใบของพืชจะมคี า่ ตา่ ทสี่ ดุ เมอื่ พืชอยใู่ นสภาวะแวดลอ้ มแ บบใด 1.อณุ หภูมติ ่า หลงั ฝนตกใหม่ 2.แสงแดดมาก ปรมิ าณน้าในดนิ สงู 3.อณุ หภมู สิ ูง ความชื้นสมั พทั ธใ์ นอากาศตา่ 4.ปรมิ าณน้าในดนิ สงู ความชื้นสมั พทั ธ์ในอากาศต่า 14.เซลล์คมุ ไมม่ ีในพืชชนดิ ใด 1.พืชทอี่ ยใู่ นป่ าทบึ 2.พชื ทอี่ ยใู่ ตน้ ้า 3.พชื น้าทมี่ ีใบโผลเ่ หนือน้า 4.พชื ในป่ าไมช้ ายเลน 15.ตน้ ไมบ้ างชนดิ เชน่ ตน้ หมอ้ ขา้ งหมอ้ แกงลงิ จะเปลยี่ นแปลงใบใหม้ ีรปู รา่ งทใี่ ช้จบั แมลงได้ นกั เรยี นคดิ วา่ พชื จบั แมลงไวเ้ พอื่ อะไร 1.ไวเ้ ป็ นอาหาร 2.ใหช้ ่วยผสมเกสร 3.ไมไ่ ดช้ ่วยอะไร 4.แมลงจะไดใ้ ช้ใบนน้ั เป็ นทอี่ ยู่ 16.ขอ้ ใดแสดงวา่ พชื ตอบสนองตอ่ แสงสวา่ ง 1.ดอกบวั บานตอนกลางวนั แลว้ หุบในตอนเย็น 2.เถาองนุ่ พนั รอบไมท้ ที่ าเป็ นรา้ นใหอ้ งนุ่ เกาะ 3.ตน้ กาบหอยแครงดกั จบั แมลงวนั ทเี่ ดนิ เขา้ ไปในใบ 4.ลาตน้ พชื ทปี่ ลกู ในรม่ ชี้ไปทางหน้าตา่ ง 17.ขอ้ ใดเรยี งลาดบั สว่ นประกอบของดอกไมจ้ ากวงนอกสวู่ งในไดถ้ กู ตอ้ ง 1.กลีบดอก กลบี เลยี้ ง เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมยี 2.กลีบเล้ยี ง กลบี ดอก เกสรตวั เมยี เกสรตวั ผู้ 3.กลีบเล้ยี ง กลบี ดอก เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมีย 4.เกสรตวั เมยี เกสรตวั ผู้ กลบี เลี้ยง กลบี ดอก 18.จากขอ้ มลู การศกึ ษาโครงสรา้ งของดอกไม้ 5 ชนดิ ไดผ้ ลดงั ตาราง

10 ชนิดของดอกไม้ โครงสรา้ งของดอก กลบี เลีย้ ง กลบี ดอก เกสรตวั ผู้ เกสรตวั เมยี A // B // / C/ / D /// E //// ขอ้ ใดสรุปไดถ้ กู ตอ้ ง 1.a.b.d. เป็ นดอกสมบรู ณ์ แตเ่ ป็ นดอกสมบรู ณ์เพศ 2.b,c,e เป็ นดอกสมบูรณ์ และเป็ นดอกไมส่ มบูรณ์เพศ 3.c,d,e เป็ นดอกสมบรู ณ์ และเป็ นดอกสมบูรณ์เพศ 4.a,b,c เป็ นดอกไมส่ มบูรณ์ และเป็ นดอกไมส่ มบูรณ์เพศ 19.ดอกไมช้ นิดใดทจี่ ดั เป็ นดอกประเภทเดียวกบั ดอกแตกวา 1.ดอกฟกั ทอง ดอกขา้ วโพด 2.ดอกมะละกอ ดอกมะเขือ 3.ดอกบวั ดอกตาลงึ 4.ดอกบวบ ดอกกระเจ๊ยี บ 20.ขอ้ ใดเป็ นดอกครบสว่ น 1.ดอกมะละกอ ดอกตอ้ ยตงิ่ 2.ดอกหางนกยงู ดอกฟกั ทอง 3.ดอกกหุ ลาบ ดอกพรกิ 4.ดอกฟกั ทอง ดอกมะละกอ 21.สว่ นใดของพชื ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การถา่ ยละออกเรณูมากทสี่ ดุ 1.อบั เรณูและรงั ไข่ 2.กลบี ดอกและกลีบเลย้ี ง 3.ละอองเรณูและยอดเกสรตวั เมยี 4.เซลลส์ ืบพนั ธุเ์ พศผแู้ ละเซลลส์ บื พนั ธุ์เพศเมีย 22.พชื ชนิดใดทมี่ ีลาตน้ ใตด้ นิ มีลกั ษณะเป็ นเหงา้ 1.ขงิ เผอื ก 2.ขา่ ขมนิ้ 3.กลว้ ย พทุ ธรกั ษา 4.มนั ฝร่งั แหว้ 23.พืชชนิดใดทรี่ ากทาหน้าทสี่ งั เคราะห์ดว้ ยแสงได้ 1.โกงกาง 2.กาฝาก 3.กระบองเพชร 4.กลว้ ยไม้ 24.พชื ในขอ้ ใดมลี าตน้ อยใู่ ตด้ นิ ทง้ั หมด 1.กลว้ ย แครอท เผอื แหว้ 2.ขงิ เผอื ก ขมน้ิ กลว้ ย 3.ขา่ กลว้ ย มนั แกว หวั ผกั กาด 4.ขมนิ้ กลว้ ย มนั เทศ มนั ฝร่งั 25.รากพชื ในขอ้ ใดทที่ าหน้าทสี่ ะสมอาหาร 1.กระชาย ขงิ ขา่ 2.แครอท มนั เทศ มนั สาปะหลงั 3.มนั แกว มนั ฝร่งั เผือก 4.มนั เทศ ขงิ กระชาย 26.ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ งเกยี่ วกบั ปากใบ 2.ทาใหเ้ กดิ การลาเลียงน้าและแรธ่ าตุ 1.มลี กั ษณะคลา้ ยเมล็ดถ่วั แดง 4.เป็ นบรเิ วณทมี่ ีการคายน้าของพชื 3.สง่ ผลตอ่ การลดอุณหภูมใิ นตน้ พชื

11 27.เกษตรปลูกผกั คะน้า เพอื่ จาหน่ายใหก้ บั โครงการหลวง นกั เรยี นคดิ วา่ เกษตรควรเพม่ิ ธาตอุ าหารหลกั ชนิดใดเพอื่ ช่วยใหค้ ะน้าสวยงามไดร้ าคา ดี 1.ไนโตรเจน 2.ฟอสฟอรสั 3.โพแทสเซียม 4.แมกนีเซยี ม 28.เกษตรปลกู ถ่วั ฝกั ยาว โดยเมือ่ ตน้ ถ่วั เจรญิ เตบิ โตไดร้ ะยะหน่ึงเกษตรจะนาเอาไมไ้ ปปกั ไวบ้ รเิ วณใกลโ้ คนตน้ พบวา่ เมอื่ ปลอ่ ยใหม้ ีการเจรญิ เตบิ โต ตน้ ถ่วั จะพนั กบั ไมท้ ปี่ กั ไว้ การเจรญิ เตบิ โตในลกั ษณะน้ีเป็ นการตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ใด 1.แสง 2.แรธ่ าตุ 3.การสมั ผสั 4.ความชนื้ 29. จากภาพ การปฏสิ นธเิ กดิ ขนึ้ ทบี่ รเิ วณใด 1.หมายเลข 1 2.หมายเลข8 3.หมายเลข6 4.หมายเลข2 30.เกษตรตอ้ งการทดสอบวา่ “pH ของดนิ มผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพืชหรอื ไม่” ในการทดลองนี้ตอ้ งจดั ตวั แปรตา่ งๆอยา่ งไร ขอ้ ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม ตวั แปรควบคุม 1. การเจรญิ เตบิ โตของพชื pH ของดนิ ชนิดป๋ ยุ ปรมิ าณน้า 2. การเจรญิ เตบิ โตของพชื ชนดิ ของดนิ ระยะเวลาในการเจรญิ เตบิ โต 3. pH ของดนิ ปรมิ าณแสง ปรมิ าณน้า แสงแดด 4. pH ของดนิ การเจรญิ เตบิ โตของพืช ชนดิ ของพืช แสงแดด 31. พืชไรด้ อกชนิดใดทสี่ ามารถปรงุ อาหารเองไดท้ ง้ั หมด 1) ตะไครน่ ้า มอส 2) แบคทีเรยี เฟิ น 3) สาหรา่ ย เหด็ รา 4) เฟิ น ยสี ต์ 32. พชื ชนิดใดทมี่ ใี บใชด้ กั จบั แมลง 1) คว่าตายหงายเป็ น กหุ ลาบหนิ 2) ตน้ หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกงลงิ หยาดน้าคา้ ง 3) ตะบองเพชร ผกั ตบชวา 4) ตาลงึ ฟกั ทอง

12 33.ผลไมเ้ ป็ นสว่ นของพชื ทเี่ จรญิ เตบิ โตมาจากอะไร 1) ไขอ่ อ่ น 2) ไซโกต 3) รงั ไข่ 4) เมล็ด 34. ขอ้ ใดผดิ 1) พรู่ ะหง มดี อกทมี่ เี กสรตวั ผแู้ ละเกสรตวั เมียอยภู่ ายในดอกเดยี วกนั 2) เมอื่ เกดิ การปฏสิ นธใิ นพชื ทมี่ ีดอก ออวลุ จะเจรญิ ไปเป็ นเมล็ด 3) ภายในรงั ไขข่ องพชื ดอกจะมอี อวลุ และภายในออวลุ จะมเี ซลลส์ บื พนั ธ์เุ พศผู้ 4) ขา้ วโพดมดี อกไมส่ มบรู ณ์เพศ 35. ขอ้ ใดทเี่ ป็ นการขยายพนั ธพ์ุ ชื ทสี่ ามารถทาใหพ้ ชื เกดิ การกลายพนั ธุ์ หรอื เกดิ การเปลยี่ นแปลงไปจากพนั ธ์เุ ดมิ ได้ 1) การเพาะเมล็ด 2) การตอน 3) การตดิ ตา 4) การปกั ชา 36. ขอ้ ใดไมใ่ ชป่ ระโยชน์ในการขยายพนั ธ์ุโดยการเพาะเลย้ี งเน้ือเยอื่ 1) ทาใหร้ ากของพชื แข็งแรง 2) ไดพ้ ชื ในลกั ษณะทเี่ หมือนเดมิ 3) ไดพ้ นั ธพ์ุ ชื ตามตอ้ งการ 4) ไดพ้ ชื ในจานวนมาก โดยใช้เวลาสน้ั ๆ 37. ขอ้ ใดผดิ 1) รเู ล็กๆ บนใบไม้ ทมี่ หี น้าทรี่ บั อากาศและคายน้าออก เรียกวา่ ปากใบ 2) หน้าทสี่ าคญั ของลาตน้ คอื ลาเลียงอาหารและน้าจากรากไปสใู่ บเพอื่ ปรงุ อาหาร 3) ประโยชน์ทางตรงของพชื คอื การใชเ้ ป็ นอาหาร 4) พชื ปรงุ อาหารในเวลากลางคนื และคายน้าในเวลากลางวนั 38.สว่ นใดของกลว้ ยทสี่ ามารถนามาประกอบอาหารได้ 1) ดอก ใบ 2) ดอก ผล 3) ลาตน้ ใบ 4) ผล ราก 39.ขอ้ ใดเป็ นลกั ษณะของสปอร์ 1) เป็ นเม็ดเลก็ ๆ 2) เป็ นกอ้ นหลายกอ้ น 3) เป็ นละอองเล็กๆ คลา้ ยฝ่ นุ 4) เป็ นน้าเหลวๆ 40.การขยายพนั ธต์ุ น้ มะมว่ งดว้ ยวธิ กี ารเพาะเมล็ดมผี ลเสียอยา่ งไร ก.ไดต้ น้ ทมี่ รี ากแข็งแรง ข.ไดต้ น้ ทมี่ โี อกาสการกลายพนั ธุ์ ค.ไดต้ น้ ทอี่ อกผลชา้ ง.ไดต้ น้ ทสี่ ามารถปลูกไดท้ กุ ฤดกู าล

13 ความรเู้ พมิ่ เตมิ เรอื่ งเซลล์ เซลล์ เป็ นหน่วยทเี่ ล็กทสี่ ดุ ของสง่ิ มชี ีวติ โครงสรา้ งหลกั ของเซลล์ 1.เยอื่ หมุ้ เซลล์ เป็ นเนื้อเยอื่ 2 ชน้ั พบทง้ั เซลล์พืชและเซลล์สตั ว์ ทาหน้าที…่ ……………………………………………………………………………………………… …. ผนงั เซลล์ อยชู่ น้ั นอกสดุ พบในเซลลพ์ ชื ทาหน้าท.ี่ ............................................................................................ ......... 2.นิวเคลยี ส เป็ นสว่ นทสี่ าคญั ทสี่ ดุ ของเซลล์ ทาหน้าท.ี่ ............................................................................................ ................ 3.ไซโทพลาสซมึ เป็ นของเหลวทอี่ ยใู่ นเซลล์ ประกอบดว้ ยออรแ์ กเนลลท์ าหน้าทตี่ า่ งๆ เชน่ คลอโรพลาสต์ ภายในมคี ลอโรฟิ ลล์ พบในเซลล์พชื ทาหน้าท.ี่ ............................................................................................ .. ไมโทคอนเดรยี รปู รา่ งกลมรี มีเนื้อเยอื่ 2 ชน้ั ทาหน้าท.ี่ ............................................................................................ ... การลาเลยี งสารผา่ นเซลล์ การแพร่ สารเคลอื่ นทจี่ ากบรเิ วณทมี่ คี วามเขม้ ขน้ มาก บรเิ วณทมี่ คี วามเขม้ ขน้ น้อย

14 เชน่ ................................................................................................... .......................... ออสโมซสิ สารเคลอื่ นทจี่ ากบรเิ วณทมี่ นี ้ามาก บรเิ วณทมี่ นี ้าน้อยโดยผา่ นเยอื่ เลอื กผา่ น เช่น................................................................................................... .......................... ตวั อยา่ งขอ้ สอบ 1.ออแกเนลลใ์ ดทเี่ ป็ นแหลง่ ผลติ สารใหพ้ ลงั งานสงู แกเ่ ซลล์ หรือเป็ นพลงั งานของเซลล์ ก.คลอโรพลาสต์ ข.ไมโทคอนเดรยี ค.แวควิ โอล ง.เอนโดรพลาสมกิ เรตคิ ูลมั 2.โครงสรา้ งใดทาหน้าทคี่ วบคุมหรือยอมใหส้ ารอาหารและสารบางชนิดเทา่ นน้ั ในการผ่ านเขา้ ออกจากเซลล์ ก.ไซโทพลาสซมึ ข.นิวเคลยี ส ค.ไมโ่ ทคอนเดรย ง.เยอื่ หมุ้ เซลล์ 3.ถา้ นากระดาษแกว้ ใสบรรจสุ ารละลายดา่ งทบั ทมิ เขม้ ขน้ 10 % จมุ่ ลงในบีกเกอรท์ มี่ ีสารละลายดา่ งทบั ทมิ 20% ทศิ ทางการแพรข่ องสารละลายดา่ งทบั ทมิ จะเป็ นอยา่ งไร ก.สารละลายแพรจ่ ากบีกเกอรเ์ ขา้ สกู่ ระดาษแกว้ ข.น้าจะแพรจ่ ากบกี เกอรเ์ ขา้ สกู่ ระดาษแกว้ ค.สารละลายจะแพรอ่ อกจากระดาษแกว้ ง.สารละลายไมม่ ีการเคลอื่ นที่ 4.พจิ ารณาขอ้ มูลตอ่ ไปน้ี 1.นิวเคลยี ส 2.เยอื่ หมุ้ เซลล์ 3.ไซโทพลาซมึ 4.ผนงั เซลล์ 5.คลอโรพลาสต์ ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ ง เกยี่ วกบั เซลล์ของสง่ิ มชี ีวติ ก. เซลล์เมด็ เลือดแดงของคน พบ 1,2,3,4 ข.เซลล์เยอื่ หอมจะพบ 1,2,4,5 ค.เซลลเ์ ยอื่ บขุ า้ งแกม้ ของคนจะพบ 1,2,3 ง.เซลลค์ มุ ในวา่ นกาบหอยจะพบ 1,2,3,4 ชุดที่ 2 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพเรอื่ งสตั ว์ สรปุ สาระสาคญั ตวั ชี้วดั ว 1.3 ป 4/3จาแนกสตั ว์ออกเป็ นสตั ว์มีกระดกู สนั หลงั และสตั วไ์ มม่ กี ระดูกสนั หลงั โดยใช้การมกี ระดกู สนั หลงั เป็ นเกณฑ์ โดยใช้ขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ ว 1.3 ป 4/4บรรยายลกั ษณะเฉพาะทสี่ งั เกตไดข้ องสตั วม์ ีกระดูกสนั หลงั ในกลมุ่ ปลา กลมุ่ สตั วส์ ะเทนิ น้าสะเทนิ บก กลมุ่ สตั วเ์ ลือ้ ยคลาน กลมุ่ นก และกลมุ่ สตั ว์เล้ียงลูกดว้ ยน้านม และยกตวั อยา่ งสง่ิ มีชีวติ ในแตล่ ะกลมุ่

15 การจาแนกสตั ว์โดยใชเ้ กณฑก์ ารมีกระดูกสนั หลงั แบง่ ออกเป็ น 2 ประเภทคือ 1.สตั ว์มกี ระดกู สนั หลงั ประเภทสตั ว์ จานวนหอ้ งหวั ใจ เลอื ด หายใจ ปฏสิ นธิ ออกลูก พวกปลา 2 เย็น เหงอื ก นอก/ใน ไข/่ ตวั เช่นปลาสวาย ปลาตะเพยี น ยกเวน้ ปลาหางนกยงู สตั วค์ รง่ึ บกครงึ่ น้า เช่นกบ คางคก เขยี ด สตั ว์เลอ้ื ยคลาน เชน่ กง่ิ กา่ จง้ิ จก จระเข้ สตั วป์ ี ก เชน่ นก เป็ ด ไก่ สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม เช่นคน กระตา่ ย โลมา ขอ้ ยกเวน้ พวกปลาสว่ นใหญ่ ปฏสิ นธภิ ายนอก ออกลกู เป็ นไข่ ยกเวน้ บางตวั ปฏสิ นธภิ ายใน ออกลกู เป็ นตวั เชน่ ปลาหางนกยงู ปลาเข็ม ปลาฉลาม ปลากระเบน ขอ้ ยกเวน้ สตั วเ์ ล้ยี งลูกดว้ ยนม สว่ นใหญ่ ปฏสิ นธภิ ายใน ออกลูกเป็ นตวั ยกเวน้ บางตวั ปฏสิ นธภิ ายใน ออกลกู เป็ นไข่ เชน่ ตุน่ ปากเป็ ด ตวั กนิ มด สตั ว์เลอื ดอนุ่ สตั ว์เลือดเย็น 2.สตั วไ์ มม่ ีกระดกู สนั หลงั ประเภทสตั ว์ ลกั ษณะ ตวั อยา่ ง อะมบี า พารามีเซยี ม ยกู ลีนา สตั วเ์ ซลลเ์ ดีย มองตาเปลา่ ไมเ่ ห็น ว พวกฟองน้าแกว้ ฟองน้าหนิ ปนู ฟองน้า ลาตวั มีช่องเปิ ด และรูพรุนโดยรอบ

16 ลาตวั กลวง ลาตวั เป็ น.......................... ไฮดรา แมงกะพรนุ ปะการงั มเี ข็มพษิ ไวป้ ้ องกนั และใช้แทงเหยื่ ดอกไมท้ ะเล อ ลาตวั เป็ นปล้ ผวิ หนงั ................................... ไสเ้ ดอื นดนิ ปลงิ น้าจดื อง .. ทากดดู เลอื ด มี 2 เพศในตวั เดยี วกนั หนอนตวั แบ ดารงชีวติ เป็ นปรสติ ........................................... น ลาตวั นิ่ม แบนยาว ไมม่ ขี า ....... หนอนตวั กล ลาตวั น่ิม กลมยาว ไมม่ ขี า พยาธไิ สเ้ ดือน พยาธติ วั จ๊ดี ม สบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศ แยกเพศ ขามขี อ้ ลาตวั แบง่ เป็ น 3 สว่ น ไดแ้ ก่ หวั แมลง แมง ปู กงุ้ กงิ้ กือ อก ทอ้ ง สว่ นใหญเ่ จรญิ เตบิ โตโดยการลอก คราบ ลาตวั น่ิม มีโครงแข็งอยภู่ ายในลาตวั ………………………………………….. หรือมเี ปลือกแข็งหอ่ หมุ้ ลาตวั ผวิ ขรขุ ระ ใตล้ าตวั มเี ทา้ เป็ นหลอดเล็กๆ ดาวทะเล เมน่ ทะเล จานวนมาก การเจรญิ เตบิ โตของแมลง แบบไมเ่ ปลยี่ นรูปรา่ ง ตวั ออ่ นมีลกั ษณะเหมอื นตวั เต็มวยั ทกุ ประการ แตข่ นาดเล็ก เช่น................................................................................... ................................. แบบเปลยี่ นรปู รา่ ง แบบสมบูรณ์ 4 ระยะ คอื ไข่ ตวั ออ่ น ดกั แด้ ตวั เต็มวยั เช่น........................................................................................... แบบไมส่ มบรู ณ์ 3 ระยะ คือ........................................................................................ เช่น................................................................................................... .......... แบบคอ่ ยเป็ นคอ่ ยไป 3 ระยะ คอื ไข่ ตวั ออ่ น ตวั เต็มวยั เชน่ ................................................................................................... ......... การสืบพนั ธข์ุ องสตั ว์ การสบื พนั ธ์ุแบบอาศยั เพศ ตอ้ งอาศยั เซลลส์ ืบพนั ธ์ุ

17 เซลล์สืบพนั ธ์ุเพศเมยี คือ................................................. เซลลส์ บื พนั ธเ์ุ พศผคู้ อื ................................................... การปฏสิ นธิ คอื การทอี่ สจุ ขิ องเพศผเู้ ขา้ ผสมกบั เซลล์ไขข่ องเพศเมยี การปฏสิ นธภิ ายนอก คือการทเี่ ซลล์ไขผ่ สมกบั อสุจภิ ายนอกรา่ งกายเพศเมยี โดยมนี ้าเป็ นตวั กลาง เชน่ ....................................................... การปฏสิ นธภิ ายใน คอื การทเี่ ซลล์ไขผ่ สมกบั อสุจภิ ายในรา่ งกายเพศเมีย เช่น....................................................................... การสบื พนั ธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศ การแบง่ เซลล์ แบง่ จาก 1 เซลลเ์ ป็ น 2 เซลล์ เชน่ อะมีบา ยกู ลีนา พารามเี ซยี ม การแตกหน่อ มหี น่อเล็กๆยนื่ ออกมาจากตวั เต็มวยั เชน่ ไฮดรา ปะการงั ฟองน้า การงอกใหม่ จะมีการงอกสว่ นทขี่ าดหายไป เช่น.......................................................... จากภาพใหบ้ อกประเภทและลกั ษณะของสตั ว์

18 ขอ้ สอบสดุ เทพ ชดุ ที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพเรอื่ งสตั ว์ 1.การแบง่ กลมุ่ สงิ่ มชี ีวติ เป็ น 2 กลมุ่ ตอ่ ไปน้ี ใชเ้ กณฑ์ในขอ้ ใดการแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ที่ 1 ปลาทู เขยี ด จระเข้ เตา่ กลมุ่ ที่ 2 เป็ ด โลมา คา้ งคาว 2.การมกี ระดูกสนั หลงั 1.การเป็ นสตั ว์เลอื ดเยน็ หรือเลือดอนุ่ 3.การออกลูกเป็ นไขห่ รอื เป็ นตวั 4.การมีกระดกู สนั หลงั 2.สตั วใ์ นขอ้ ใดจดั อยใู่ นกลมุ่ เดยี วกนั ข.แมงกะพรนุ หมกึ ค.ฟองน้า หอย ก.ไสเ้ ดอื นดนิ ปลงิ น้าจดื ง.กงุ้ เตา่ 3.สง่ิ มชี ีวติ ตอ่ ไปนี้ ขอ้ ใดมีจานวนหอ้ งหวั ใจเทา่ กนั ก.ฉลาม งู วาฬ ข.กบ ปลา ไก่ ค.เป็ ด จระเข้ พะยนู ง.จงิ้ จก คางคก นก 4.ปลาในขอ้ ใด มีรปู แบบการปฏสิ นธแิ ตกตา่ งจากขอ้ อนื่ ก.ปลาหางนกยงู ข.ปลาตะเพยี น ค.ปลากดั ง.ปลานิล 5. ไข ของสตั ว เทยี บได กบั ส วนใดของพชื

19 1. รงั ไข 2. ออวุล 3. อบั เรณู 4. ละอองเรณู 6. ไฮดราจดั เป นสตั ว ไม มีกระดกู สนั หลงั อยู ในกลุ มเดยี วกบั สตั ว ชนดิ ใดต อไปนี้ 1. ม าน้า 2. ปลาดาว 3. หมกึ 4. แมงกะพรุน 7. ข อใดถกู ต องสาหรบั ปะการงั 1. เป นพืชทมี่ ผี นงั เซลล 2. เป นพชื ทไี่ ม มผี นงั เซลล 3. เป นสตั ว มีกระดูกสนั หลงั 4. เป นสตั ว ไม มกี ระดูกสนั หลงั 8. สตั ว ในตวั เลือกใดไม มรี ะบบประสาท 1. ฟองน้า 2. พลานาเลีย 3. ไส เดอื นดนิ 4. แมลง 9. ข อใดเป นความหมายของสตั ว เลอื ดอุ น 1. เมอื่ อยู ใต น้า เลือดจะมีอณุ หภูมสิ ูงเพอื่ ให ร างกายอบอุ น 2. เมอื่ อยู กลางแดด เลือดจะมีอณุ หภูมติ า่ เพอื่ ให ร างกายคลายร อน 3. เมอื่ อยู กลางหมิ ะ เลอื ดจะมีอณุ หภมู เิ ท ากบั เมอื่ อยู กลางทะเลทราย 4. ไม มขี อใดถกู ต อง 10. ปู เป นสตั ว ทมี่ เี ปลอื กแข็ง ในช วงชีวติ ต องมกี ารลอกคราบหลายครง้ั เพราะเหตุใด 1. เพอื่ ให สามารถผสมพนั ธุ ได 2. เพอื่ ให สามารถออกไข ในกระดองได 3. สร างกระดองให แข็งแรงยงิ่ ขน้ึ 4. ขยายกระดองเพอื่ การเจรญิ เตบิ โต 11.ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีเป็ นตวั อยา่ งของการสืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศ ก.ดาวทะเลสรา้ งแขนใหม่ ข.ปลาปลอ่ ยไขแ่ ละอสุจทิ ผี่ วิ น้า ค.เตาวางไขท่ หี่ าดทราย ง.ไฮดราแตกหน่อเป็ นตวั ใหม่ 12.แมลงในขอ้ ใดมีการระยะการเจรญิ เตบิ โตแตกตา่ งจากขอ้ อนื่ ก.แมลงสาบ ข.ปลวก ค.ตก้ั แตน ง.แมลงวนั

20 13. พจิ ารณาข อมลู จากตารางต อไปนี้ A, B, C และ D คือสตั ว ชนิดใด ตามลาดบั 1. หมู เต า เป ด กบ 2. ไก งู ช าง ปลาช อน 3. ค างคาว ววั คางคก ห าน 4. โลมา ปลากดั นก กงิ้ ก า 14.จากภาพวฏั จกั รของกบ ระยะใดทกี่ บเรมิ่ มกี ารหายใจดว้ ยปอด ก.ระยะที่ A ข.ระยะที่ C ค.ระยะที่ D ง.ระยะที่ E 15.ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ ง ก.การขาดหลดุ เป็ นทอ่ นของดาวทะเลแตล่ ะทอ่ นจะเจรญิ เตบิ โตได้ ข.ตวั ผขู้ องปลากดั จะอมไขไ่ ปวางใสห่ วอดทตี่ วั เมยี สรา้ งไว้ ค.พารามเี ซียมสืบพนั ธุโ์ ดยการแบง่ ตวั ออกจากหนึ่งเป็ นสอง ง.มา้ น้าตวั ผจู้ ะดูแลไขจ่ นกวา่ จะเจรญิ เป็ นตวั ออ่ น 16.การคดั เลือกและขยายพนั ธ์ุสตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ยน้านมทใี่ หผ้ ลผลติ ทดี่ ีทสี่ ดุ ในขณะนี้ ใชว้ ธิ ใี ด ก.โคลนนิ่ง ข.การผสมเทยี ม ค.การยา้ ยฝากตวั ออ่ น ง.การผสมขา้ มสายพนั ธโ์ุ ดยวธิ ีธรรมชาติ 17.ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ งเกยี่ วกบั การผสมเทยี ม ก.รีดน้าเช้ือจากพอ่ พนั ธทุ์ ตี่ อ้ งการเทา่ นน้ั ข.เป็ นการผสมตามธรรมชาติ ค.ทาใหอ้ สุจผิ สมกบั ไขใ่ นตวั เมีย ง.ผสมเทยี มไดท้ ง้ั ภายในและภายนอก 18.ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีสืบพนั ธุโ์ ดยวธิ ีเดียวกบั ไฮดรา ก.ยีสต์ ข.อะมีบา ค.ยูกลนี า ง.พารามเี ซยี ม

21 19.หมีขาวขว้ั โลกมขี นหนา เป็ นการปรบั ตวั เกยี่ วกบั ขอ้ ใด ก.อุณหภูมิ ข.ศตั รู ค.อาหาร ง.แสงแดด 20.ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ไมถ่ กู ตอ้ ง ก.สตั วเ์ ลื้อยคลานหายใจดว้ ยปอดและผวิ หนงั ข.สตั ว์เล้ียงลูกดว้ ยน้านมอาศยั อยทู่ ง้ั บนบกและในน้า ค.สตั ว์ครงึ่ บกครง่ึ น้าในระยะตวั ออ่ นหายใจดว้ ยเหงอื ก ง.สตั วเ์ ล้อื ยคลานและสตั วค์ รงึ่ บกครงึ่ น้าเป็ นสตั วเ์ ลือดเยน็ 21.นกั สารวจเดนิ ทางเขา้ ป่ าพบสตั วช์ นิดหนึ่งและเฝ้ าสงั เกตพบวา่ มกี ารปฏสิ นธภิ ายนอ ก ออกลูกเป็ นไข่ ไมม่ เี ปลอื กแข็งหมุ้ รปู รา่ งของตวั ออ่ นและตวั เต็มวยั ไมเ่ หมอื นกนั จากลกั ษณะดงั กลา่ ว นกั เรียนคดิ วา่ น่าจะเป็ นสง่ิ มชี ีวติ ชนิดใด ก.กงุ้ ข.ปลาช่อน ค.ปลากดั ง.เขยี ด 22.สงิ่ มชี ีวติ ขอ้ ใดทมี่ กี ารสืบพนั ธุใ์ นลกั ษณะเดียวกนั ก.ดาวทะเล พลานาเรยี ข.อะมีบา ปะการงั ค.ยกู ลนี า ฟองน้า ง.ไฮดรา พารามเี ซยี ม 23.ขอ้ ใดกลา่ วถงึ การสบื พนั ธ์แุ บบอาศยั เพศและไมอ่ าศยั เพศของสตั ว์ไดถ้ ูกตอ้ งชดั เจน ทสี่ ุด ก.การสบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศไมส่ ามารถสรา้ งความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมได้ สว่ นการสืบพนั ธแ์ุ บบไมอ่ าศยั เพศสามารถสรา้ งความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมได้ ข.การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศไมส่ ามารถกลายพนั ธ์ไุ ด้ สว่ นการสืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศสามารถกลายพนั ธุ์ได้ ค.การสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศสามารถเพม่ิ จานวนไดต้ อ้ งมีการหาคู่ การสืบพนั ธ์แุ บบไมอ่ าศยั เพศไมต่ อ้ งมกี าหาคู่ ง.การสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศไมต่ อ้ งรอเวลาและไมใ่ ช้พลงั งานในการสรา้ งเซลลส์ ื บพนั ธ์ุ สว่ นการสืบพนั ธ์แุ บบไมอ่ าศยั เพศตอ้ งรอเวลา และใชพ้ ลงั งานในการสรา้ งเซลล์สืบพนั ธ์ุ 24.ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้แสดงความสมั พนั ธุ์ระหวา่ งสงิ่ เรา้ และการตอบสนองไมถ่ กู ตอ้ ง ก.มา่ นตาของแมวจะแคบลงเมอื่ อยใู่ นทที่ มี่ แี สงสวา่ งน้อย ข.ไสเ้ ดือนจะมดุ ลงไปในดนิ เมอื่ อยใู่ นทที่ มี่ แี สงสว่ าง ค.กง่ิ กอื จะมว้ นเมอื่ โดนสมั ผสั ง.ปลากดั เพศผจู้ ะแผค่ รบี ออกเมอื่ มองเห็นปลากดั เพศเมยี 25.ปจั จุบนั การนาไสเ้ ดอื นดนิ มาเลีย้ งโดยการจดั สภาพแวดลอ้ มดงั น้ี เลยี้ งในทมี่ ืด ไมม่ แี สง ดนิ ชื้นแฉะมพี วกซากพชื ซงึ่ ไสเ้ ดือนดนิ ชอบกนิ เป็ นอาหารทาใหไ้ สเ้ ดือนดนิ มกี ารเพม่ิ จานวนอยา่ งรวดเร็ว จากขอ้ ความดงั กลา่ วขอ้ ใดคอื สงิ่ เรา้ ทจี่ ดั ใหไ้ สเ้ ดือนดนิ

a แสง โดยจดั ใหม้ สี ภาพทไี่ มม่ แี สง b ความชื้น 22 โดยจดั ใหด้ นิ มลี กั ษณะชืน้ แฉะ ง.a c อาหาร โดยการผสมซากพชื ลงในดนิ ก. a b ข.b c ค.a c bc 26.สตั วเ์ ลอื ดเย็นกบั สตั ว์เลอื ดอนุ่ แตกตา่ งกนั อยา่ งไร ก.สตั วเ์ ลือดเย็นสืบพนั ธใุ์ นชว่ งอากาศหนาว สตั วเ์ ลือดอนุ่ สบื พนั ธุ์ในชว่ งอากาศรอ้ น ข.สตั ว์เลอื ดเย็นจะอาศยั อยใู่ นเขตอากาศเยน็ เช่น ขว้ั โลกเหนือสตั ว์เลอื ดอนุ่ อาศยั อยแู่ ถวเสน้ ศูนยส์ ูตร ค.สตั วเ์ ลือดเย็นสามารถปรบั อุณหภมู ขิ องรา่ งกายใหเ้ ขา้ กบั สงิ่ แวดลอ้ ม สว่ นสตั ว์เลือดอนุ่ มีอณุ หภูมคิ งที่ ง.ถกู ทกุ ขอ้ 27.ขอ้ ใดถอื ไดว้ า่ เป็ นสตั ว์เลือดเย็นทง้ั หมด ก.กบ ปลา ข.แมวน้า โลกมา ค.งู พะยูน ง.เป็ ด คางคก 28.แผนผงั การจาแนกประเภทของสตั วม์ กี ระดกู สนั หลงั สตั วม์ ีกระดูกสั นหลงั มปี ี ก ไมม่ ีปี ก ชนดิ ที่ 1 สตั วบ์ ก สตั วน์ ้า มเี กล็ด มขี น ชนิดที่ 4 ชนดิ ที่ 2 ชนดิ ที่ 3 สตั วก์ ลมุ่ ที่ 2 และ 3 มลี กั ษณะใดเหมอื นกนั ก.ไมม่ ปี ี กและมขี น ข.ไมม่ ีปี กและสตั ว์บก ค.สตั วบ์ กและมขี น ง.สตั วบ์ กและมขี น 29.ปลาในขอ้ ใดไมไ่ ดอ้ อกลูกเป็ นตวั ก.ปลานิล ข.ปลาสอด ค.ปลาเข็ม ง.ปลาหางนกยูง 30.ขอ้ ใดเป็ นสตั ว์ประเภทเดียวกบั หอย ก.หมกึ ข.ปลาชอ่ น ค.ปู ง.ดาวทะเล 31.พจิ ารณาขอ้ ความตอ่ ไปน้ี 1.นกถา่ ยอุจจาระบอ่ ยๆเพราะมลี าไสส้ น้ั 2.ตวั ตนุ่ ปากเป็ ด ตวั กนิ มด เป็ นสตั ว์เลย้ี งลูกดว้ ยน้านมทอี่ อกลกู เป็ นตวั

23 3.นกกระจอกเทศเป็ นสตั วป์ ี แตบ่ นิ ไมไ่ ด้ ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง ก.1,2 ข.1,3 ค.2.3 ง.1.2.3 32.ขอ้ ใดไมใ่ ช่สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั ก.จง้ิ เหลน งู ข.ปะการงั ฟองน้า ค.ดอกไมท้ ะเล หอย ง.กง้ิ กอื กงุ้ 33.สตั วใ์ นขอ้ ใดแตกตา่ งจากพวก ก.โลมา ข.พะยนู ค.วาฬ ง.ฉลาม 34.เราไมส่ ามารถมองเหน็ สตั ว์ในขอ้ ใดไดด้ ว้ ยตาเปลา่ ก.พยาธเิ สน้ ดา้ ย ข.อะมบี า ค.ดอกไมท้ ะเล ง.กลั ปงั หา 35.สตั วใ์ นขอ้ ใดมเี พศผู้ เพศเมยี อยใู่ นตวั เดียวกนั ก.ไสเ้ ดอื น ข.หมกึ ค.แมลงวนั ง.ยงุ 36.สตั วล์ าตวั กลวงในขอ้ ใดอาศยั อยใู่ นน้าจดื ก.ปะการงั ข.ไฮดรา ค.กลั ปงั หา ง.แมงกะพรนุ 37.สตั ว์ชนิดใดเป็ นสตั วเ์ ล้ือยคลานทมี่ กี ระดกู สนั หลงั ก.กง้ิ กือ ข.จระเข้ ค.แมงมมุ ง.พยาธปิ ากขอ 38.สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั ในขอ้ ใดอาศยั ในรา่ งกายของเรา ก.พารามีเซียม ข.อะมบี า ค.พยาธิ ง.ฟองน้า 39.ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ ง 1) ลาตวั ของพยาธติ วั ตดื พยาธใิ บไม้ มลี กั ษณะเป็ นตวั กลม 2) ปะการงั แมงกะพรนุ ขยายพนั ธโ์ุ ดยการแตกหน่อ 3) อะมีบา พารามีเซยี ม สบื พนั ธโุ์ ดยใชว้ ธิ แี บง่ ตวั 4) พะยนู แมวลายหนิ ออ่ น ววั เป็ นสตั ว์เล้ียงลกู ดว้ ยนม 41.การปรบั ตวั ของสงิ่ มชี ีวติ เพอื่ หาอาหารและหลบหลกี จากศตั รู ขอ้ ใดถูกตอ้ ง ตวั เลอื ก การปรบั ตวั เพอื่ หาอาหาร การปรบั ตวั เพอื่ หลบหลกี จากศตั รู ก. การมีขนยาวของหมขี ว้ั โลก การพน่ หมกึ ของหมกึ ข. การสรา้ งใยของแมงมมุ ตาทไี่ วตอ่ แสงของนกเคา้ แมว ค. หขู นาดใหญข่ องคา้ งคาว รา่ งกายเหมือนใบไมข้ องตก้ั แตน ง. การมเี ข็มพษิ ทหี่ นวดของแมงกะพรนุ คอทยี่ าวของยีราฟ 42.จงเตมิ คาในชอ่ งวา่ งตอ่ ไปนี้สตั วท์ อี่ อกไขใ่ นน้า คือ ………….. เป็ นสตั วท์ หี่ ายใจดว้ ยปอด ………………….. เป็ นสตั ว์ทยี่ ดื และหดลาตวั ได้ 1) เตา่ ไก่ หนอน 2) เตา่ เป็ ด ไสเ้ ดือน 3) กบ ปลา หนอน 4) กบ ไก่ ไสเ้ ดือน .................... สตั ว์ ................ .................... ................

24 ชุดที่ 3 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพเรือ่ งระบบนิเวศ ตวั ช้ีวดั ว 1.1 ป 5/1 บรรยายโครงสรา้ งและลกั ษณะของสงิ่ มีชีวติ ทเี่ หมาะสมกบั การดารงชีวติ ซง่ึ เป็ นผลมาจา กการปรบั ตวั ของสง่ิ มชี ีวติ ในแตล่ ะแหลง่ ทอี่ ยู่ ว 1.1 ป 5/2 อ ธิ บ า ย ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง สิ่ ง มี ชี วิ ต กั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต และความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มีชีวติ กบั ว 1.1 ป 5/3 เขียนโซอ่ าหารและระบบุ ทบาทหนา้ ทขี่ องสง่ิ มีชีวติ ทเี่ ป็ นผผู้ ลติ และผูบ้ รโิ ภคในโซอ่ าหาร ว 1.1 ป 5/4 ตระหนกั ในคุณค่าของส่ิงแวดล้อมที่มีต่อ การดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต โดยมสี ว่ นรว่ ม ในการดูแลรกั ษาสงิ่ แวดลอ้ ม ระบบนิเวศคอื ระบบทมี่ คี วามสมั พนั ธเ์ กยี่ วขอ้ งซงึ่ กนั และกนั ระหวา่ งกลุม่ สงิ่ มีชีวติ ดว้ ยกั นเอง และระหวา่ งกลมุ่ สง่ิ มชี ีวติ กบั แหลง่ ทอี่ ยู่ ประชากร สงิ่ มีชีวติ ชนิดเดยี วกนั มาอาศยั อยรู่ ว่ มกน้ กลมุ่ สงิ่ มชี ีวติ สงิ่ มชี ีวติ ตา่ งชนดิ กนั มาอาศยั อยรู่ ว่ มกนั เชน่ ระบบนิเวศ..................................................................................... ................................................................

25 องคป์ ระกอบของสง่ิ มีชีวติ 1.ผผู้ ลติ คือสงิ่ มชี ีวติ ทสี่ ามารถสรา้ งอาหารเองได้ เช่น.................................................................................... 2.ผบู้ รโิ ภค คือสงิ่ มชี ีวติ ทไี่ มส่ ามารถสรา้ งอาหารเองได้ ตอ้ งไดร้ บั อาหารจาการกนิ สงิ่ มชี ีวติ อนื่ สตั วก์ นิ พชื เชน่ ................................................................................................... ...................... สตั วก์ นิ สตั ว์ เช่น................................................................................................... ....................... สตั ว์กนิ ทง้ั พชื และสตั ว์ เชน่ ................................................................................................... ....... ผบู้ รโิ ภคซากอนิ ทรีย์ เชน่ ................................................................................................... ...... 3.ผยู้ อ่ ยสลาย คอื สง่ิ มีชีวติ ทที่ าหน้าทยี่ อ่ ยสลายสง่ิ มีชีวติ ใหม้ โี มเลกลุ เล็ก เชน่ ................................................................................................... .............................................. ความสมั พนั ธ์ของสง่ิ มีชีวติ ในระบบนิเวศ หว่ งโซอ่ าหาร การกนิ กนั ของสง่ิ มีชีวติ เป็ นทอดๆ สายใยอาหาร ความสมั พนั ธข์ องโซอ่ าหารหลายๆชนิด

26 นามาเขยี นเป็ นหว่ งโซอ่ าหาร พริ ะมดิ พลงั งาน พลงั งานทถี่ า่ ยทอด 10 % ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี ีวติ ทอี่ ยรู่ วมกนั ความสมั พนั ธ์ เครอื่ งหมาย ตวั อยา่ ง ไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั ไดป้ ระโยชน์ทง้ั สองฝ่ าย ควาย-นกเอยี้ ง ดอกไม-้ แมลง พงึ่ พากนั ............................................ มดดา-เพลีย้ องิ อาศยั ...... ฝ่ ายหน่ึงได้ อกี ฝ่ ายไมไ่ ดไ้ มเ่ สยี ไลเคน E-coli- ปรสติ ............................................ ลาไสค้ น ...... ฉลาม- เหาฉลาม เฟิ น- ตน้ ไมใ้ หญ่ กลว้ ยไม-้ ตน้ ไมใ้ หญ่ พยาธ-ิ คน เห็บ-หมา กาฝาก-ตน้ ไม้

27 ......................................... ฝ่ ายหนึ่งได้ ฝ่ ายเสยี เหยยี่ ว-งู ..... สงิ โต-กวาง แมว-หนู แขง่ ขนั เสียประโยชน์ทง้ั สอง ตน้ ไมใ้ นป่ าให ญ่ ขอ้ แตกตา่ ง ไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั แยกกนั แตพ่ ง่ึ พา .......................... ปรสติ คอ่ ยๆตาย ลา่ เหยอื่ ....................................... จงบอกความสมั พนั ธข์ องสงิ่ มีชีวติ ขอ้ สอบสุดเทพ ชุดที่ 3 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพเรอื่ งระบบนิเวศ 1.ระบบนิเวศทเี่ หมาะสม หมายความวา่ อยา่ งไร ก.ดนิ รอบตน้ ไมม้ แี ตม่ ดเพยี งชนิดเดียว เพราะบรเิ วณนน้ั เหมาะสาหรบั มด ข.ตน้ ไมท้ มี่ ีกาฝากหลายๆ ตน้ เนื่องจากตน้ ไมเ้ ป็ นแหลง่ อาหารใหก้ าฝาก ค.บรเิ วณทมี่ สี ง่ิ มีชีวติ หลายชนิดอาศยั อยรู่ ว่ มกนั ง.อา่ งเล้ียงปลามีสาหรา่ ย และปลาเงนิ ปลาทอง 2..ในระบบหว่ งโซอ่ าหาร เห็ดรามีหน้าทอี่ ะไร ก.ผลู้ า่ ข.ผผู้ ลติ ค.ผบู้ รโิ ภค ง.ผยู้ อ่ ยสลาย 3.ในหว่ งโซอ่ าหารผผู้ ลติ สว่ นใหญห่ มายถงึ ขอ้ ใด ก.คน ข.สตั ว์ ค.พืช ง.แบคทเี รยี

28 4.หว่ งโซอ่ าหารในขอ้ ใดเขยี นถกู ตอ้ ง ก.ตน้ ขา้ ว ตก้ั แตน กงิ่ กา่ ข.กบ แมลง ดอกไม้ ค.ใบไม้ ตก้ั แตน คางคก ง.สงิ โต มา้ ลาย เสอื 5.ขอ้ ใดมที ง้ั ผบู้ รโิ ภคพืช ผบู้ รโิ ภคสตั ว์ และผูบ้ รโิ ภคพชื และสตั ว์ ครบทง้ั 3 ประเภท ก.มา้ ไก่ แมว ข.สนุ ขั ชา้ ง ววั ค.สงิ โต กบ ไก่ ง.ควาย คน เสอื 6.หว่ งโซอ่ าหารทมี่ คี วามซบั ซอ้ นและเกยี่ วโยงกนั หลายสาย เรียกวา่ อะไร ก.สายโซอ่ าหาร ข.ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มชี ีวติ ค.หว่ งโซธ่ รรมชาติ ง.สายใยอาหาร 7.ผบู้ รโิ ภคในขอ้ ใดตา่ งจากพวก ก.ช้าง ข.มา้ ค.ววั ง.งู 8.กลมุ่ ผยู้ อ่ ยสลายคือสง่ิ มีชีวติ จาพวกใด ก.สาหรา่ ย รา ข.ไรแดง ยีสต์ ค.แบคทเี รยี รา ง.นก คน 9.ผีเสื้อกบั ดอกไมม้ ีความสมั พนั ธก์ นั ในรูปแบบใด ก.ไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั ข.พงึ่ พาอาศยั กนั ค.องิ อาศยั ง.ปรสติ 10..............เป็ นสงิ่ มชี ีวติ ทเี่ กดิ จากราและสาหรา่ ย มีความสมั พนั ธแ์ บบ.................... ก.ไลเคน การไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั ข.กาฝาก ปรสติ ค.ไลเคน การพง่ึ พากนั และกนั ง.กาฝาก ลา่ เหยอื่ 11.การอยรู่ ว่ มกนั ของสง่ิ มชี ีวติ แบบใดเป็ นแบบฝ่ ายหน่ึงไดร้ บั ประโยชน์ อกี ฝ่ ายหน่ึงไมไ่ ดร้ บั และไมไ่ ดเ้ สยี ประโยชน์ ก.นกเอยี้ งกบั ควาย ข.ปลาฉลามกบั เหาฉลาม ค.แบคทีเรยี กบั ปมรากถ่วั ง.พยาธไิ สเ้ ดือนในลาไสค้ น 12.ความสมั พนั ธ์ของสงิ่ มีชีวติ ในขอ้ ใดทมี่ คี วามสมั พนั ธ์เช่นเดยี วกบั กาฝากกบั ตน้ ไมใ้ หญ่ ก.เฟิ นกบั ตน้ ไม้ ข.นกเอยี้ งกบั ควาย ค.เห็บกบั สนุ ขั ง.กบกบั แมลง 13.ขอ้ ใดไมจ่ ดั เป็ นการอาศยั แบบพง่ึ พากนั ก.ไลเคน ข.ควายกบั นกเอยื้ ง ค.ปลาฉลามกบั เหาฉลาม ง.ตก้ั แตนปาทกั กากบั ตน้ ขา้ วโพด 14.ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ มชี ีวติ ทอี่ าศยั อยรู่ ว่ มกนั ในขอ้ ใด มีรูปแบบความสมั พนั ธช์ นิดเดยี วกนั

29 ก.กาฝากกบั ตน้ สม้ เห็บกบั สนุ ขั ข.นกฮกู กบั หนูนา ผงึ้ กบั ตน้ ลาไย ค.เฟิ นชายผา้ สดี ากบั ตน้ สกั นกเอย้ี งกบั ควาย ง.ไลเคน เสอื กบั กวาง 15. ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้สอดคลอ้ งกบั ภาวการณ์ไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั ของสง่ิ มชี ีวติ ในระบบนิเ วศ ก. กาฝากกบั ตน้ ไมใ้ หญ่ ข. กลว้ ยไมก้ บั ตน้ ไมใ้ หญ่ ค. ปลาฉลามกบั เห าฉลาม ง. ชาวนากบั งเู หา่ 16.ตน้ กระบองเพชรเปลยี่ นใบเป็ นหนามเพอื่ อะไร ก.เพอื่ ความสวยงาม ข.เพือ่ ป้ องกนั ศตั รู ค.เพอื่ ลดการคายน้า ง.ชว่ ยประอาหาร 17.ขอ้ ใดเป็ นการแสดงวา่ อณุ หภูมมิ ผี ลตอ่ ลกั ษณะรูปรา่ งของสง่ิ มีชีวติ ก.สตั ว์ทอี่ ยใู่ นเขตหนาวจะมีขนหนา ข.สตั วท์ อี่ ยเู่ ขตรอ้ นจะมรี ปู รา่ งเตยี้ ข.สตั วท์ อี่ ยใู่ นเขตหนาวจะมฟี นั ทแี่ หลมคม ง.สตั วท์ อี่ ยใู่ นเขตรอ้ นจะมีคอยาว 18.สงิ่ มีชีวติ ใดทไี่ มใ่ ช่ผบู้ รโิ ภคอนั ดบั แรก ก.เห็ด ข.กวาง ค.หมปู ่ า ง.กระตา่ ย 19.เสอื จะเป็ นผบู้ รโิ ภคลาดบั ที่ 3 ถา้ เสอื กนิ อะไร ง.แบคทเี รีย ก.ไกป่ ่ า ข.กวาง ค.กระตา่ ย 20.สง่ิ มชี ีวติ ในขอ้ ใดคอื ผผู้ ลติ ก.เห็ด ข.เช้ือรา ค.หญา้ แพรก ง.แบคทเี รยี ชุดที่ 4 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพเรอื่ งพนั ธกุ รรม ตวั ชี้วดั ว 1.3 ป 5/1 อธบิ ายลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทมี่ กี ารถ่ายทอดจากพอ่ แม่สลู่ กู ของพืช สตั ว์ และมนุษย์ ว 1.3 ป 5/2 แสดงความอยากรอู้ ยากเห็นโดยการถามคาถามเกยี่ วกบั ลกั ษณะทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั ของตนเ องกบั พอ่ แม่

30 พนั ธกุ รรมหมายถงึ การถา่ ยทอดลกั ษณะของสงิ่ มชี ีวติ จากรุน่ หนึ่งไปยงั อีกรนุ่ หนึ่ง โดยผา่ นยนี ภายในนิวเคลยี สประกอบดว้ ยโครมาทนิ มลี กั ษณะเป็ นเสน้ ยาวๆ เลก็ ๆ เมอื่ หดตวั สน้ั ลงเรยี กวา่ ..........................................มีลกั ษณะเป็ นแทง่ คลา้ ยปาทอ่ ง โก๋ แขนแตล่ ะขา้ งของโครโมโซมเรียกวา่ ...........................................และแขนทง้ั สอง เชือ่ มกนั ตรงตาแหน่ง.............................................. โครโมโซมคนมีจานวน............................แทง่ หรอื ...........................คู่ แบง่ เป็ นโครโมโซมรา่ งกาย.............................แทง่ และโครโมโซมเพศ................แทง่ คอื เพศชาย...............เพศหญงิ .............. ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมมี 2 ลกั ษณะ ลกั ษณะทมี่ คี วามแปรผนั แบบไมต่ อ่ เนื่อง ลกั ษณะทมี่ ีความแปรผนั แบบตอ่ เนื่อง ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทมี่ คี วามแตกตา่ ง ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทมี่ คี วามตอ่ เนื่องห อยา่ งชดั เจน ลายระดบั ลกั ยมิ้ ความสูง น้าหนกั หอ่ ลนิ้ ได.้ ........................................ ..................... ลกั ษณะเสน้ ผม................................. สผี วิ ................................................. .............................. ..............................

31 บดิ าแหง่ พนั ธุศาสตร์คือ.................................................ศกึ ษาเกยี่ วกบั .............. ..............................................................

32 เมนเดลทดลองนารนุ่ พอ่ แมพ่ นั ธ์แทผ้ สมกนั ไดร้ นุ่ ลกู รนุ่ ที่ 1 ไดย้ นี ดอ้ ย 100 % นารนุ่ ที่ 1 ผสมกนั เองไดล้ กู รนุ่ ที่ 2 อตั ราสว่ น ยนี เดน่ ตอ่ ยนี ดอ้ ย = 3:1 โรคทถี่ า่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม 1.ความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมรา่ งกาย ดาวซนิ โดรม โครโมโซมคทู่ ี่ 21 เกนิ มา 1 แทง่ อาการ หวั ใจพกิ าร หวั แบน ดง้ั แบน หางตาช้ี ลนิ้ จกุ ปาก เอ็ดเวริ ์ดซนิ โดรม โครโมโซมคทู่ ี่ 18 เกนิ มา 1 แทง่ อาการ ปญั ญาออ่ น รปู ปากแหวง่ เพดานโหว่ แคทครายซนิ โดรม โครโมโซมคทู่ ี่ 5 หายไปบางสว่ น อาการ ปญั ญาออ่ น หูตา่ ตาหา่ ง หางตาชี้ เสยี งรอ้ งคลา้ ยแมว 2.ความผดิ ปกตทิ โี่ ครโมโซม ไคลน์เฟลเตอร์ โครโมโซม X เกนิ มา 1 แทง่ (XXY) อาการ รูปร่างอ้อนแอ้น สูงชะลูด มีเต้านม อณั ฑะเล็ก ไมม่ อี สจุ ิ เทอร์เนอร์ โครโมโซม X หายไป 1 แทง่ (XO) อ า ก า ร ตัว เ ตี้ ย มี พัง พื ด ก า ง เ ป็ น ปี ก ที่ค อ เ ป็ น ห มัน ไมม่ ปี ระจาเดือน ทรปิ เปิ้ ลเอกซ์ โครโมโซม X เกนิ มา 1 แทง่ (XXX) อาการ เป็ นหมนั ไมม่ ปี ระจาเดอื น ความผดิ ปกตขิ องยีนทคี่ วบคุม ฮโี มฟี เลีย ความผดิ ปกตขิ องการแข็งตวั ของเลือด อาการ เลอื ดออกงา่ ย กาเดาไหลบอ่ ยๆ ตาบอดสี เกิดจากการความผิดปกติของยีนที่ทาให้มองสีแดง เขียว น้าเงนิ ผดิ ไปจากปกติ อาการ มองเห็นสผี ดิ ไปจากคนปกติ ขอ้ สอบสดุ เทพ ชดุ ที่ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพเรอื่ งพนั ธกุ รรม 1. พนั ธกุ รรม(Heredity) หมายถงึ ขอ้ ใด ก. สงิ่ ทไี่ ดร้ บั การถา่ ยทอดจากคนทรี่ จู้ กั ข. สงิ่ ทไี่ ดร้ บั จากการถา่ ยทอดมาจากบรรพบรุ ษุ หรอื จากรนุ่ สรู่ นุ่ ค. สงิ่ ทไี่ ดร้ บั การถา่ ยทอดจากบรรพบุรษุ เพียงรนุ่ เดยี ว ง. ความผดิ ปกตขิ องรา่ งกาย 2. ขอ้ ใดไมเ่ ป็ นลกั ษณะทถี่ า่ ยทอดทางพนั ธกุ รรม ก. ถนดั มอื ขวา ข. ลกั ยมิ้ ค. แผลเป็ น ง. ตาสองชน้ั 3. ลกั ษณะในขอ้ ใดเกดิ จากการถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรม ก. ตใี๋ หญเ่ ป็ นโจรเหมอื นพอ่ ข. สมใจมลี กั ยม้ิ เหมอื นแม่

33 ค. แดงชอบทานไกท่ อดเหมอื นพอ่ ง. สมศรีและแมป่ ่ วยเป็ นโรคกระเพาะ 4. ลกั ษณะใดเป็ นความแปรผนั แบบตอ่ เนือ่ ง ก. มตี ง่ิ หู ข. หอ่ ลนิ้ ได้ ค. ควิ้ หา่ ง ง. ความสงู 5. ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ งเกยี่ วกบั โครโมโซม ก. ออโทโซมทกุ คจู่ ะมขี นาดเทา่ กนั ข. ในเซลลร์ า่ งกายจะมีโครโมโซม 46 แทง่ ค. โครโมโซมแตล่ ะคูจ่ ะมีจานวนยนี ตา่ งกนั ง. เซลล์ไขห่ รืออสุจจิ ะมีโครโมโซม 23 แทง่ 6. ในเซลล์ของคน “ออโตโซม” หมายถงึ โครโมโซมคทู่ เี่ ทา่ ใด ง. 1-23 ก. 1 ข. 23 ค. 1-22 7. โครโมโซมมอี งคป์ ระกอบเป็ นสารประเภทใด ก. ไขมนั และโปรตีน ข. กรดนิวคลีอกิ และไขมนั ค. กรดนิวคลอี กิ และโปรตนี ง. กรดนิวคลีอกิ ไขมนั และโปรตนี 8. โอกาสทจี่ ะไดล้ กู สาวมีคา่ เทา่ กบั เทา่ ใด ง. 100% ก. 25% ข. 50% ค. 75 % 9. เมนเดลไดศ้ กึ ษาเรอื่ งราวของพนั ธกุ รรม โดยคน้ พบหลกั เกณฑ์ในขอ้ ใด ก. สงิ่ มชี ีวติ ถา่ ยทอดลกั ษณะตา่ งๆ ไปสูร่ ุน่ หนึ่ง ข. เมอื่ มีการปฏสิ นธิ ทง้ั ยนี และโครโมโซมจะถกู ถา่ ยทอดไปสลู่ ูกพรอ้ มๆ กนั ค. โครโมโซมจะแยกกนั อยอู่ ยา่ งอสิ ระ เมอื่ มีการปฏสิ นธจิ ะมกี ารรวมกนั ของโครโมโซมอกี ครง้ั หนึ่ง ง. ยนี ทอี่ ยเู่ ป็ นคๆู่ ในสงิ่ มีชีวติ จะแยกออกจากกนั อยา่ งอสิ ระเมอื่ มกี ารสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์ และจะกลบั มารวมกนั อกี ครง้ั เมอื่ มีการฏสิ นธิ 10. ลกั ษณะในขอ้ ใดน่าจะนาโดยยนี ดอ้ ย ก. พบลกั ษณะนน้ั ๆ ในทกุ รนุ่ ข. พบลกั ษณะนน้ั ๆ บางช่วั รนุ่ ค. คนสว่ นมากมลี กั ษณะนน้ั ๆ อยแู่ ลว้ ง. ไมม่ ลี กั ษณะใดๆ ทนี่ าโดยยนี ดอ้ ย 11.ถ้ า น า ต้ น ถ่ ัว ล า ต้ น สู ง พัน ธ์ แ ท้ ผ ส ม กับ ถ่ ัว ล า ต้ น เ ตี้ ย แ ค ร ะ พัน ธ์ุ แ ท้ รนุ่ ลกู ทเี่ กดิ มาจะมลี กั ษณะเป็ นแบใด ก.ตน้ สูง : เต้ยี อตั ราสว่ น 1:1 ข.ตน้ สงู : เตยี้ อตั ราสว่ น 1:1 ค.ตน้ สูง : เต้ยี อตั ราสว่ น 1:1 ง.ตน้ สงู ทง้ั หมด 12.โรคใดตอ่ ไปน้ีไมเ่ ป็ นโรคทางพนั ธุกรรม ก.โรคโลหติ จาง ข.โรคบอดสี ค.โรคฮโี มฟี เลยี ง.โรคไขห้ วดั 13.ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีไมเ่ ป็ นการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ก.สภุ ามผี มยาวเหมอื นคุณแม่ ข.บวั มีผวิ ขาวผอ่ งเหมือนคุณแม่ ค.นิตยามตี าสองชน้ั เหมือนคุณแม่ ง.ลกั ษมีมีลกั ยม้ิ สองขา้ งเหมือนคณุ แม่ 14.ลกั ษณะใดเป็ นการถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรม

34 ก.ชาตรตี ดิ ไขห้ วดั จากคณุ แม่ ข.สดุ ารตั น์มีเลอื ดหมโู่ อเหมือนกบั คุณแม่ ค.สมศกั ดไิ์ วห้ นวดและเครายาวเหมอื นคณุ พอ่ ง.นิดและหน่อย พนี่ ้องฝาแฝดชอบรบั ประทานกลว้ ยบวชชีเหมอื นกนั 15.สง่ิ มชี ีวติ ใดตอ่ ไปน้ีมคี วามผดิ ปกตทิ างพนั ธกุ รรม ก.งเู ผือก ข.เสือสมงิ ค.คา้ งคาวแมไ่ ก่ ง.ช้างแมมมอท 16.โรคใดมีการถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรมได้ ก.ฟนั ผุ ข.ตาแดง ค.เบาหวาน ง.ไวรสั ตบั อกั เสบบี 17. ขนสีดา ขนสขี าว ขนสดี า ขนสีดา ขนสดี า ขนสีดา แผนผงั การผสมพนั ธุร์ ะหวา่ งหนูขนสีดากบั หนูขนสขี าว จากแผนผงั ขอ้ สรปุ ใดถกู ตอ้ ง ก.ลกู ทไี่ ดม้ ขี นสีดา 75% ข.ลูกทไี่ ดม้ ีขนสดี า 50% ค.ขนสีดาเป็ นลกั ษณะเดน่ ง.ขนสขี าวเป็ นลกั ษณะเดน่ 18. ถ่วั เมลด็ ก ถ่วั เมลด็ ขร ขรุขระ ลม ะขระ กลม กลม ขระขระ จากแผนผงั สดั สว่ นของลกั ษณะเมล็ดตอ่ เมล็ดขรุขระในรนุ่ ลกู เทา่ ใด ก.1:1 ข.1:2 ค.1:3 ง.3:1 19. โรคกลมุ่ ใดเกดิ จากความผดิ ปกตขิ องออโทโซม ก. ตาบอดสี ข. ดาวน์ซนิ โดรม ค. ไคลน์เฟลเตอร์ซนิ โดรม ง. เทอร์เนอร์ซนิ โดรม 20. ขอ้ ใด ไม่ ตรงกบั ขอ้ เท็จจรงิ ก. โรคทางพนั ธุกรรมในมนุษย์สว่ นใหญร่ กั ษาได้ ข. ปจั จบุ นั มนุษยส์ ามารถตดั ตอ่ ยีนเพอื่ ผลติ ฮอรโ์ มนอนิ ซลู นิ ได้ ค. โรคทางพนั ธุกรรมในมนุษยบ์ างครง้ั พบวา่ ไมแ่ สดงอาการใหเ้ ห็น ง. ลกั ษณะทคี่ นสว่ นใหญม่ หี รอื แสดงออกคอื ลกั ษณะทถี่ กู ควบคมุ โดยยนี เดน่ 21. ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ งเกยี่ วกบั เทคนิคพนั ธุวศิ วกรรม ก. เป็ นการนายีนของสงิ่ มชี ีวติ ชนิดเดยี วกนั มาตอ่ กนั ข. เป็ นการนายนี ของสง่ิ มีชีวติ ตา่ งชนิดมาตอ่ กนั

35 ค. เป็ นการตดั ยนี ทไี่ มด่ ที ง้ิ ไป ง. เป็ นการเพมิ่ จานวนยนี ใหม้ ีมากขนึ้ ตามทีต่ อ้ งการ 22. ขอ้ ใดประโยชน์จากเทคโนโลยชี ีวภาพ ก. การเพาะเลย้ี งเน้ือเยอื่ พชื ข. การโคลนนิ่ง ค. พชื GMOs ง. ถกู ทกุ ขอ้ 23. ทาไมจงึ ตอ้ งมกี ารคดั เลือกพนั ธุ์ ข. เพอื่ ปรบั ปรงุ ใหไ้ ดส้ ายพนั ธุใ์ หม่ ก. เพอื่ ปรบั ปรงุ พนั ธพ์ ชื และสตั ว์ ค. ถกู ทง้ั ก และ ข ชุดที่ 5 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพเรอื่ งอาหาร ตวั ช้ีวดั ว 1.2 ป 6/1ระบสุ ารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหารแตล่ ะประเภทจากอาหารทตี่ นเองรั บประทาน ว 1.2 ป 6/2บอกแนวทางในการเลือกรบั ประทานอาหารใหไ้ ดส้ ารอาหารครบถว้ นในสดั สว่ นทเี่ หมาะสมกบั เพศและวยั รวมทง้ั ความปลอดภยั ตอ่ สขุ ภาพ ว 1.2 ป 6/3 ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง ส า ร อ า ห า ร โดยการเลอื กรบั ประทานอาหารทมี่ ีสารอาหารครบถว้ นในสดั สว่ นทเี่ หมาะสมกบั เพศแล ะวยั รวมทง้ั ปลอดภยั ตอ่ สุขภาพ ว 1 . 2 ป 6 / 4 ส ร้ า ง แ บ บ จ า ล อ ง ร ะ บ บ ย่ อ ย อ า ห า ร แ ล ะ บ ร ร ย า ย ห น้ า ที่ ข อ ง อ วั ย ว ะ ใ น ร ะ บ บ ย่ อ ย อ า ห า ร รวมทง้ั อธบิ ายการยอ่ ยอาหารและการดดู ซมึ สารอาหาร ว 1 . 2 ป 6 / 5 ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ค ว า ม ส า คั ญ ข อ ง ร ะ บ บ ย่ อ ย อ า ห า ร โดยการบอกแนวทางในการดูแลรกั ษาอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหารใหท้ างานเป็ นปกติ สรุปสาระสาคญั เรอื่ งอาหารและการยอ่ ยอาหาร อาหารคอื สง่ิ ทกี่ นิ เขา้ ไปแลว้ มปี ระโยชน์ตอ่ รา่ งกาย อาหารหลกั แบง่ ออกเป็ น 5 หมู่ อาหารหมทู่ ี่ 1 สารอาหารโปรตีน ไดแ้ ก.่ .............................................................................................. หน้าที่ซอ่ มแซมสว่ นทสี่ กึ หรอ สรา้ งภมู คิ มุ้ กนั และฮอร์โมน โปรตีน 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน........................ กโิ ลแคลอรี ธาตทุ เี่ ป็ นองค์ประกอบ คอื ............................................................................................ ถา้ ขาด รา่ งกายเตบิ โตช้า ภมู คิ มุ้ กนั ต่า อาหารหมทู่ ี่ 2 สารอาหารคารโ์ บไฮเดรต ไดแ้ ก.่ ................................................................................... หน้าที่ใหพ้ ลงั งานแกร่ า่ งกาย

36 เก็บสะสมในรปู ของไกลโคเจนทตี่ บั และกลา้ มเน้ือ คารโ์ บไฮเดรต 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน.........................กโิ ลแคลอรี ธาตทุ เี่ ป็ นองคป์ ระกอบ คือ.......................................................................................... ถา้ ขาด รา่ งกายออ่ นเพลยี ไมม่ ีแรง อาหารหมทู่ ี่ 3 สารอาหารเกลือแร่ ไดแ้ ก.่ ............................................................................................ หน้าที่ชว่ ยเสรมิ การทางานของรา่ งกายใหป้ กติ ตา้ นทานเชื้อโรค ถา้ ขาด รา่ งกายทางานผดิ ปกติ อาหารหมทู่ ี่ 4 สารอาหารวติ ามนิ ไดแ้ ก.่ ........................................................................................... หน้าที่ ชว่ ยเสรมิ การทางานใหป้ กติ ตา้ นทานเช้ือโรค ถา้ ขาด รา่ งกายทางานผดิ ปกติ อาหารหมทู่ ี่ 5 สารอาหารไขมนั ไดแ้ ก.่ .............................................................................................. หน้าที่ใหพ้ ลงั งานและความอบอนุ่ แกร่ า่ งกาย ช่วยละลายวติ ามนิ ทลี่ ะลายในไขมนั ได้ ไขมนั 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน........................กโิ ลแคลอรี ธาตทุ เี่ ป็ นองคป์ ระกอบ คอื ....................................................................................... ถา้ ขาด ออ่ นเพลยั ผวิ หนงั ไมช่ ุม่ ชื้น สารอาหาร คอื ............................................................................................................. ................ สารอาหารแบง่ เป็ น 2 ประเภทคือ สารอาหารทใี่ หพ้ ลงั งาน ไดแ้ ก.่ ...................................................................................................... สารอาหารทไี่ มใ่ หพ้ ลงั งาน ไดแ้ ก.่ ................................................................................................. วติ ามนิ แหลง่ อาหาร ประโยชน์ อาการเมอื่ ขาด บารุงสายตา วติ ามนิ ผกั ผลไม้ นม ตบั A ไขแ่ ดง ผกั สเี ขยี ว

37 ขา้ วซอ้ มมือ ไข่ นม บารงุ หวั ใจและระบบประสาท เน้ือ ถ่วั B2 ถ่วั นม ไข่ ปลา ผวิ หนงั สขุ ภาพดี B12 ตบั ไต ไข่ ปลา สรา้ งเม็ดเลอื ดแดง สม้ มะเขอื เทศ รกั ษาสขุ ภาพเหงอื กและฟนั มะขามป้ อม ฝร่งั E ผกั ใบเขียว ไขมนั พชื เม็ดเลือดแข็งแรง D ตบั น้ามนั ตบั ปลา นม ช่วยดดู ซมึ Ca P ไข่ ตบั ผกั กะหล่า เหด็ ช่วยใหเ้ ลอื ดแข็งตวั หมายเหตวุ ติ ามนิ ทลี่ ะลายในไขมนั ไดแ้ ก.่ ......................................วติ ามนิ ทลี่ ะลาย ในน้าไดแ้ ก.่ ................................................ เกลือแร่ เกลอื แ แหลง่ อาหา ประโยชน์ อาการเมอื่ ขา ร่ ร ด Ca สว่ นประกอบของกระดกู และฟนั P นม ไข่ รว่ มกบั แคลเซยี มสรา้ งกระดูกและฟนั ผกั ตา่ งๆ Fe ผกั เขยี ว สว่ นประกอบของฮโี มโกลบนิ ใน................ ตบั ไขแ่ ดง . I สรา้ งฮอร์โมนไทรอกซนิ ป้ องกนั โรคคอพอก Na เกลอื แกง รกั ษาปรมิ าณน้าในเซลล์ อาหารทะเล น้า น้าเป็ นองคป์ ระกอบในรา่ งกายรอ้ ยละ.......................ของน้าหนกั ใชใ้ นกระบวนการตา่ งๆ ของรา่ งกาย การหายใจ ขบั ถา่ ย ยอ่ ยอาหาร ลาเลียงสาร คารโ์ บไฮเดรต น้าตาลโมเลกุลเดยี่ วไดแ้ ก.่ ...................................................................... ........................................................ น้าตาลโมเลกลุ คไู่ ดแ้ ก.่ ........................................................................... ......................................................... แป้ ง เซลลโู ลส ไกลโคเจน การทดสอบสารอาหาร

38 สารอา วธิ ที ดสอบ ผลการทดสอบ หาร แป้ ง สารละลาย................................. เปลยี่ นจากน้าตาล........................ น้าตาล ..... .................................. กลูโคส โปรตนี ตม้ กบั สารละลายเบเนดกิ ต์ เปลยี่ นจากสนี ้าเงนิ ....................... ไขมนั ................................ วติ ามนิ สารละลาย........................... เปลยี่ นจากสีฟ้ า............................ ซี (สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์+ส ........................... ารละลายคอปเปอร์ซลั เฟต .............................................. กระดาษ.................................... ....... ................................... น้าแป้ งสกุ +สารละลายไอโอดีน(สาร จานวนหยดมาก ละลายสีน้าเงนิ ) วติ ามนิ ซ.ี .............................. หยดน้าผลไม้ จนสนี ้าเงนิ หายไป จานวนหยดน้อย นบั จานวนหยด วติ ามนิ ซ.ี ............................. ระบบยอ่ ยอาหาร คือกระบวนการสลายโมเลกุลของอาหารใหม้ ขี นาดเลก็ แบง่ เป็ น การยอ่ ยเชิงกล คือ............................................................................................................. ...

39 เชน่ ................................................................................................... ...................... การยอ่ ยเชงิ เคมคี ือ................................................................................ ............................... เชน่ ................................................................................................... ....................... ขอ้ สอบสุดเทพ ชดุ ที่ 5 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพเรอื่ งอาหารและระบบยอ่ ยอาหาร 1.ขอ้ ใดไมใ่ ช่อาหารทจี่ ดั อยใู่ นคาร์โบไฮเดรต ก.ขา้ วสวย ข.มนั ฝร่งั ค.ปลาสลดิ ง.ขนมปงั 2.ขอ้ ใดจบั คสู่ ารอาหารกบั อาหารไมถ่ กู ตอ้ ง ก.โปรตนี -ไข่ ข.ไขมนั -เนย ค.วติ ามนิ -สบั ปะรด ง.คาร์โบไฮเดรต-เนื้อไมต่ ดิ มนั 3.จากภาพปิ รามดิ อาหาร ขอ้ ใดคอื สารอาหารทรี่ า่ งกายตอ้ งการมากทสี่ ุด ก.คารโ์ บไฮเดรต ข.โปรตนี ค.ไขมนั ง.วติ ามนิ 4.อาหารในขอ้ ใดใหพ้ ลงั งานสูงทสี่ ดุ ในปรมิ าณทเี่ ทา่ กนั

40 ก.ผดั ผกั ข.ขา้ วผดั ไก่ ค.เกลือแร่ ง.ขนมจนี 5.เมอื่ จาแนกสารอาหารเป็ น A และ B ดงั ตอ่ ไปนี้ ขอ้ ใดอธบิ ายเกยี่ วกบั สารอาหาร A B ไดถ้ ูกตอ้ ง A แป้ ง กลูโคส โปรตนี ไขมนั B น้า เกลือแร่ วติ ามนิ ก.A ปรบั การทางานของรา่ งกายจากปรมิ าณน้อยใหม้ ปี รมิ าณทเี่ หมาะสม ข.B ประกอบกนั เป็ นรา่ งกายและปรบั การทางานของรา่ งกายใหเ้ หมาะสม ค.รา่ งกายขาด A และขาด B ไมไ่ ด้ ง.A ถูกใชเ้ ป็ นแหลง่ พลงั งาน แต่ B ไมถ่ ูกใชเ้ ป็ นแหลง่ พลงั งาน 6.ขอ้ ความใดทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง ก.วติ ามนิ ซี ละลายไดด้ ใี นน้า ข.ถา้ ขาดวติ ามนิ เอ เป็ นโรคทเี่ กยี่ วกบั ตา ค.ถา้ ขาดวติ ามนิ ซี เป็ นโรคเลอื ดออกตามไรฟนั ง.ในผกั สเี หลอื งมปี รมิ าณวติ ามนิ ซสี ูง 7.อาหารชนดิ ใดทมี่ ีธาตอุ งคป์ ระกอบพน้ื ฐานสาคญั ของสารอาหารเหมอื นกนั ก.หมทู อด-เผอื กเชื่อม ข.นมสด-ถ่วั ลสิ งตม้ ค.ขนมปงั -ไขด่ าว ง.ไสก้ รอกหมู-่ มนั ฝร่งั ทอด 8.หญงิ มคี รรภ์มกั เป็ นโรคฟนั ผุ ดงั นน้ั จาเป็ นตอ้ งเพม่ิ แรธ่ าตุชนดิ ใดเพอื่ ป้ องกนั โรคฟนั ผุ ก.เหล็ก ฟอสฟอรสั ข.เหล็ก แคลเซยี ม ค.แคลซียม โซเดยี ม ง.แคลเซยี ม ฟอสฟอรสั 9.ชายไทยคนหน่ึงป่ วยเป็ นโรคปากนกกระจอก ผวิ หนงั แตกและแหง้ ลนิ้ อกั แสบ ชายคนนี้ขาดวติ ามนิ ใด ก.B1 ข.B2 ค.B6 ง.B12 10.สารอาหารชนิดหน่ึงประกอบดว้ ยโปรตนี 80 กรมั ไขมนั 15 กรมั คารโ์ บไฮเดรต 210 กรมั วติ ามนิ และเกลอื แร่ 20 กรมั น้า 100 กรมั รา่ งกายจะไดร้ บั พลงั งานกกี่ โิ ลแคลอรี ก.425 ข.305 ค.1295 ง.1415 11.จากขอ้ มลู การตรวจสอบอาหารชนิดตา่ งๆ โดยใช้สารละลายเบเนดกิ ต์ ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง ชนดิ ของอาหาร สีของสารละลายหลงั การตรวจสอบ A สฟี ้ า B สีเหลือง C สีแดงอฐิ D สเี ขียวออ่ น ก.อาหารชนิด ดี เป็ นสารจาพวกแป้ ง ข.อาหารชนิด ซี มปี รมิ าณน้าตาลมากทสี่ ุด

41 ค.ผทู้ เี่ ป็ นโรคเบาหวานควรทานอาหารชนิด เอ ง.อาหารชนิด บี ทดสอบไดส้ เี หลอื งแสดงวา่ ไมม่ ีน้าตาล 12.การทดสอบหาปรมิ าณวติ ามนิ ซี ในน้าผลไมช้ นดิ ตา่ งๆ โดยพจิ ารณาจากจานวนหยดของน้าผลไมท้ ที่ าใหส้ นี ้าเงนิ ของสารละลายน้าแป้ งผสมกบั สารละลายไอโอดนี เปลยี่ นเป็ นไมม่ ีสี โดยเปรยี บเทยี บกบั จานวนหยดของสารละลายวติ ามนิ ซี ทใี่ ชท้ ดสอบ ปรากฏผลดงั ตาราง หลอดที่ สาร จานวนหยด 1 วติ ามนิ ซี 3 2 น้ากลว้ ยน้าวา้ สกุ 14 3 น้าฝร่งั 6 4 น้าแตงโม 160 5 น้ามะละกอสกุ 73 6 น้ามะมว่ ง 63 สารทมี่ วี ติ ามนิ ซีมากทสี่ ดุ คอื ...................................น้อยทสี่ ุดคือ.......................................................... .. การตรวจสอบสารอาหารไดผ้ ลดงั ตาราง อาห ตม้ กบั สารละลายเบเ การทดสอบไบ ทดสอบกบั สารละลายไ ถกู บั กระดาษ าร นดกิ ต์ ยเู ร็ต อโอดีน สขี าว A สีฟ้ า สมี ว่ ง สีน้าเงนิ ทบึ แสง B สแี ดงอฐิ สีฟ้ า สีน้าเงนิ ทบึ แสง C สฟี ้ า สีฟ้ า สนี ้าตาล โปรง่ แสง D สีฟ้ า สมี ว่ ง สีน้าเงนิ โปรง่ แสง พจิ ารณาตารางแลว้ ตอบคาถามขอ้ ตอ่ ไปนี้ 13.อาหารชนิดใดเป็ นอาหารจาพวก เนื้อ นม ไข.่ ................................... 14.อาหารชนิดใดมีสารอาหารพวกน้าตาล………………………………………… 15.อาหารชนิดใดใหพ้ ลงั งานมากทสี่ ดุ ................................................... 16.นกั เรยี นในขอ้ ใดทเี่ ลือกรบั ประทานอาหารไดเ้ หมาะสม ก.ด.ช.กร ตวั เล็ก แขนขาลีบ เลือกกนิ อาหาร ดี ข.ด.ช.แกม เป็ นโรคอว้ น เลอื กอาหาร บี ค.ด.ช.แกว้ อยเู่ มอื งอากาศหนาว เลอื กกนิ อาหาร เอ ง.ด.ช.กนิ รา่ งกายออ่ นแอ เลือกอาหาร ซี 17.ขอ้ ใดไมใ่ ช่คาอธบิ ายเกยี่ วกบั ระบบยอ่ ยอาหารของคน ก.อาหารเคลอื่ นทผี่ า่ นกระเพาะอาหาร ข.ระบบยอ่ ยอาหารเชือ่ มตอ่ ตง้ั แตก่ ระเพาะไปยงั ลาไสเ้ ล็ก ค.เค้ยี วอาหารเป็ นการเรมิ่ ยอ่ ยทปี่ าก ง.อาหารเคลอื่ นทผี่ า่ นหลอดอาหารเขา้ สกู่ ระเพาะอาหาร

42 18.ลาไสเ้ ล็ก มกี ารยอ่ ยอาหารประเภทใด ก.วติ ามนิ แรธ่ าตุ ข.คารโ์ บไฮเดรต วติ ามนิ ค.โปรตนี คาร์โบไฮเดรต ไขมนั ง.โปรตนี คาร์โบไฮเดรต แรธ่ าตุ 19.ถา้ ถุงน้าดถี กู ทาลายอาหารชนิดใดทถี่ ูกยอ่ ยยากทสี่ ดุ ก.ไอศกรีมกะทิ ข.ไขต่ ม้ ค.ผกั ตม้ ง.ขนมปงั ปิ้ ง 20.ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ ง ก.คาร์โบไฮเดรตยอ่ ยครง้ั แรกทปี่ าก ข.โปรตนี ยอ่ ยทกี่ ระเพาะอาหารและลาไสเ้ ล็ก ข.โขมนั ยอ่ ยทลี่ าไสเ้ ล็กทเี่ ดยี ว ง.วติ ามนิ และแรธ่ าตยุ อ่ ยทปี่ าก และลาไสเ้ ล็ก 21.พจิ ารณาขอ้ ความตอ่ ไปนี้ ก.สม้ จกุ ป่ วยเป็ นโรคเหน็บชา แสดงวา่ สม้ จกุ ขาดวติ ามนิ B1 ข.สม้ โอป่ วยเป็ นโรคปากนกกระจอก แสดงวา่ สม้ โอขาดวติ ามนิ B6 ค.สายฝนป่ วยเป็ นโรคประสาทเสอื่ ม แสดงวา่ สายฝนขาดวติ ามนิ B2 ง.สายรงุ้ ป่ วยเป็ นโรคโลหติ จาง แสดงวา่ สายรงุ้ ขาดวติ ามนิ B 12 ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ตอ้ งเกยี่ วกบั การขาดวติ ามนิ ตา่ งๆ 1.ก และ ข 2. ข และ ค 3.ก และ ค 4. ก ข ค และ ง 22.เนย นมสด ขนมปงั มอี งค์ประกอบของธาตเุ หมอื นและตา่ งกนั ตามลาดบั ขอ้ องค์ประกอบของธาตุเหมอื นกนั องค์ประกอบของธาตตุ า่ งกนั 1. คารบ์ อน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซเิ จน 2. คารบ์ อน ไฮโดรเจน กามะถนั ออกซเิ จน 3 คาร์บอน ไฮโดรเจน ฟอสฟอรสั ออกซเิ จน 4 คารบ์ อน ไฮโดรเจน เหล็ก ออกซเิ จน 22.พจิ ารณาขอ้ ความตอ่ ไปน้ี ก.ช่วยในการสรา้ งฟนั และกระดกู ข.เป็ นองคป์ ระกอบในเมด็ เลือดขาว ค.ซอ่ มแซมสว่ นทสี่ กึ หรอ ง.ควบคมุ การทางานของอวยั วะตา่ งๆ ของรา่ งกายใหท้ างานเป็ นปกติ จ.ใหพ้ ลงั งานแกร่ า่ งกาย ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเกยี่ วกบั ประโยชน์ของแรธ่ าตุ 1.ก ข ง 2.ข ค จ 3.ก ค จ 4.ข ง จ 24.ขอ้ ใดจบั คคู่ วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวติ ามนิ กบั โรคทเี่ กดิ จากการขาดวติ ามนิ ไมถ่ กู ตอ้ ง ก.วติ ามนิ เอ โรคตาบอดกลางคนื ข.วติ ามนิ บี1 โรคปากนกกระจอก ค.วติ ามนิ บี2 โรคเหน็บชา ง.วติ ามนิ ซี โรคลกั ปิ ดลกั เปิ ด

43 จ.วติ ามนิ อี โรคเป็ นหมนั ฉ.วติ ามนิ เค โรคโลหติ จาง 1.ก ข ค 2.ข ค ฉ 3.ค ง จ 4.ข จ ฉ 25.ตารางแสดงจานวนหยดของสารละลายจากผลไมช้ นิด A B C D E ทที่ าใหส้ นี ้าเงนิ ของสารละลายไอโอดนี น้าแป้ งสกุ จางลงไปจนไมม่ ีสี ชนิดของน้าผลไ จานวนหยดของสารละลายทใี่ ชท้ าใหส้ ารสนี ้าเงนิ หา ม้ ยไป A7 B 19 C 58 D 12 E 49 F4 เมอื่ พบวา่ ณเดชเป็ นหวดั บอ่ ยๆหรือเป็ นโรคเหงอื กหรอื โรคเลือดออกตามไรฟนั จะแนะนาให้ ณเดชรบั ประทานสารละลายจากผลไมช้ นิดใด ก.A E ข.B F ค.C F ง.A F

44


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook