Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สัตว์ป่าน่ารัก

สัตว์ป่าน่ารัก

Published by anont2550, 2021-09-15 01:36:41

Description: designus

Search

Read the Text Version

สั ต ว์ ป า น่ า รั ก

คํา นาํ สั ต ว์ ป า ห ม า ย ถึ ง สั ต ว์ ทุ ก ช นิ ด ไ ม่ ว่ า สั ต ว บ ก , สั ต ว์ นํา , สั ต ว์ ป ก , แ ม ล ง ห รื อ แ ม ง ซึ โ ด ย ส ภ า พ ธ ร ร ม ช า ติ ย่ อ ม เ กิ ด แ ล ะ ดํา ร ง ชี วิ ต อ ยู่ ใ น ป า ห รื อ ใ น นาํ แ ล ะ ห ม า ย ค ว า ม ร ว ม ถึ ง ไ ข่ ข อ ง สั ต ว์ ป า เ ห ล่ า นั น ทุ ก ส ป ชี ส์ ด้ ว ย แ ต่ ไ ม่ ห ม า ย ค ว า ม ร ว ม ถึ ง สั ต ว์ พ า ห น ะ ที ไ ด้ จ ด ท ะ เ บี ย น ต า ม รู ป พ ร ร ณ ต า ก ฎ ห ม า ย ว่ า ด้ ว ย สั ต ว์ พ า ห น ะ แ ล้ ว แ ล ะ สั ต ว์ พ า ห น ะ ที ไ ด้ ม า จ า ก ก า ร สื บ พั น ธุ์ ข อ ง สั ต ว์ พ า ห น ะ ดั ง ก ล่ า ว จัดทําโดย ด.ช. อานนท์ บรรเจิดเวหา เลขที 36

สารบัญ 1 2 ความหมายของสตั วป์ า 3 ความหมายของสตั วป์ าสงวน 5 นกเจา้ ฟาหญงิ สริ นธร 6 แรด 7 กระซู่ 8 กูปรหรอโคไพร 9 ควายปา 10 ละองหรอละมัง 11 สมันหรอเนือสมัน กวางผา

ความหมายของสตั วป์ า สัตว์ปา หมายถึง สัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าสัตว์บก สัตว์นา สัตว์ปก แมลง หรือแมงซึงโดยสภาพธรรมชาติ ย่อมเกิดและดํารงชีวิตอยู่ในปาหรือ ในนา และหมายความรวมถึงไข่ของ สั ต ว์ ป า เ ห ล่ า นั น ทุ ก ช นิ ด ด้ ว ย แ ต่ ไ ม่ ห ม า ย ค ว า ม ร ว ม ถึ ง สั ต ว์ พ า ห น ะ ที ไ ด้ จดทะเบียนตามรูปพรรณตาม ก ฎ ห ม า ย ว่ า ด้ ว ย สั ต ว์ พ า ห น ะ แ ล้ ว แ ล ะ สั ต ว์ พ า ห น ะ ที ไ ด้ ม า จ า ก ก า ร สืบพันธุข์ องสัตว์พาหนะดังกล่าว 1

ความหมายของสตั วป์ าสงวน สตั วป์ าสงวน หมายถึง สตั วป์ าทีหายาก กําหนด ตามบัญชที ้ายพระราชบัญญตั ิสงวนและ คุม้ ครอง สัตวป์ า พ.ศ. ๒๕๐๓ จํานวน ๙ ชนิด เปนสัตวป์ า เลยี งลกู ดว้ ยนมทังหมด ไดแ้ ก่ แรด กระซู่ กูปร ควายปา ละองหรอละมัง สมัน เนือทราย เลียงผา และกางผา สตั วป์ าสงวนเหล่านหี ายาก หรอใกลจ้ ะ สูญพนั ธุ์หรออาจจะสญู พนั ธไ์ุ ปแล้ว จึงจําเปนต้องมี บทบญั ญตั เิ ขม้ งวดกวดขนั เพอื ปองกนั ไม่ให้เกิด อันตรายแก่สตั วป์ าทยี ังมชี ีวตอยู่ หรอซากสตั วป์ า ซงึ อาจจะตกไปอยูย่ งั ต่างประเทศด้วยการซอื ขาย ต่อมาเมอื สถานการณ์ของสตั วป์ าในประเทศไทย เปลยี นแปลงไป สตั วป์ าหลายชนิดมแี นวโน้มถูก คกุ คามเสียงต่อการสูญพันธมุ์ ากยงิ ขนึ ประกอบกับ เพอื ให้เกดิ ความสอดคลอ้ งกับความร่วมมอื ระหวา่ ง ประเทศในการ ควบคมุ ดูแล 2

การค้าหรอการลกั ลอบคา้ สัตวป์ าในรูปแบบต่างๆ ตามอนุสัญญาวา่ ด้วยการคา้ ระหวา่ งประเทศ วา่ ด้วยชนิดสัตวป์ าและพืชปาหรอ CITES ซงึ ประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรองอนุสญั ญาในป พ.ศ.๒๕๑๘ และไดใ้ หส้ ตั ยาบนั เมอื วนั ที ๒๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๖ นับเปนสมาชกิ ลาํ ดบั ที ๘๐ จงึ ได้มีการพิจารณาแกไ้ ขปรับปรุงพระราชบญั ญตั ิ ฉบบั เดิม และตราพระราชบัญญัตสิ งวนและ คุ้มครองสตั วป์ า พ.ศ.๒๕๓๕ ขนึ ใหมเ่ มอื วนั ที ๑๙ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๕๓๕ สตั วป์ าสงวนตามในพระราช บัญญตั ฉิ บบั ใหม่หมายถึงสัตวป์ าทหี ายากตามบญั ชี ท้ายพระราชบญั ญตั ฉิ บับนี และตามทีกําหนดโดย ตราเปนพระราชกฤษฎีกา ทําใหส้ ามารถ เปลยี นแปลงชนดิ สัตวป์ าสงวนไดโ้ ดยสะดวก โดย ออกเปนพระราชกฤษฎกี าแกไ้ ข หรอเพมิ เติมเทา่ นัน ไมต่ ้องถงึ กับต้องแกไ้ ขพระราชบญั ญัตอิ ย่างของ เดมิ ทงั นีได้มกี ารเพิมเติมชนิดสตั วป์ าทีมสี ภาพล่อ แหลมต่อการสูญพันธุ์ อย่างยิง ๗ ชนดิ 3

และตดั สตั วป์ าทไี ม่อยใู่ นสถานะใกลจ้ ะสูญพนั ธุ์ เนืองจากการทีสามารถเพาะเลียงขยายพันธ์ไุ ด้มาก ๑ ชนดิ คือ เนือทราย รวมกบั สตั วป์ าสงวนเดิม ๘ ชนดิ รวมเปน ๑๕ ชนดิ ไดแ้ ก่ นกเจ้าฟาหญิงสิรนธร แรด กระซู่ กูปร ควายปา ละองหรอละมัง สมัน เลียงผา กวางผา นกแต้วแล้วท้องดาํ นกกระเรยน แมวลายหนิ ออ่ น สมเสร็จ เกง้ หม้อ และพะยนู 4

นกเจ้าฟาหญิงสริ นธร Pseudochelidon sirintarae ลักษณะ : นกนางแอ่นทีมีลําตวั ยาว ๑๕ เซนติเมตร สโี ดยทวั ไปมีสดี ําเหลือบเขียวแกมฟา โคนหางมแี ถบ สขี าว ลกั ษณะเด่นได้แก่ มวี งสีขาวรอบตา ทําให้ดูมีดวงตาโปนโตออกมา จงึ เรยกวา่ นกตาพอง นกทโี ต เต็มวยั มแี กนขนหางคกู่ ลางยนื ยาวออกมา ๒ เส้น อุปนิสัย : แหล่งผสมพันธว์ุ างไข่ และทีอาศัยในฤดรู ้อนยงั ไม่ทราบ ในบรเวณบึงบอระเพด็ นกเจ้าหญงิ สิ รนธรจะเกาะนอน อยใู่ นฝงู นกนางแอ่นชนดิ อนื ๆ ทเี กาะอย่ตู ามใบออ้ และใบสนุน่ ภายในบึงบอระเพด็ บางครังก็พบอย่ใู นกลุ่มนกกระจาบ และนกจาบปกออ่ น กลุ่มนกเหล่านีมีจาํ นวนนบั พันตวั อาหารเชือได้ วา่ ไดแ้ ก่แมลงทโี ฉบจบั ได้ในอากาศ ทีอยู่อาศยั : อาศัยอยตู่ ามดงออ้ และพืชนําในบรเวณบงึ บอระเพ็ด เขตแพร่กระจาย : พบเฉพาะในประเทศไทย พบในช่วงเดอื นพฤศจิกายนจนถงึ เดอื นมนี าคม ซึงเปนชว่ ง ฤดูหนาว สถานภาพ : นกชนิดนีสํารวจพบครังแรกในประเทศไทยเมือป พ.ศ.๒๕๑๑ จงั หวดั นครสวรรค์ หลังจาก การค้นพบครังแรกแล้วมรี ายงานพบอกี ๓ ครัง แต่มเี พยี ง ๖ ตวั เท่านัน นกเจา้ ฟาหญิงสริ นธร เปนสตั ว์ ปาสงวนตามพระราชบญั ญัตสิ งวนและค้มุ ครองสตั วป์ า พ.ศ.๒๕๓๕ สาเหตุของการใกล้จะสญู พนั ธ:ุ์ นกเจ้าฟาหญิงสริ นธร เปนนกทีสําคัญอย่างยงิ ในด้านการศกึ ษาความ สัมพนั ธ์ของนกนางแอ่น เพราะนกชนิดทมี ีความสัมพันธก์ ับนกเจ้าฟาหญิงสริ นธรมากทสี ดุ คือนก นางแอน่ คองโก (Pseudochelidon euristomina ) ทพี บตามลาํ ธารในประเทศซาอรี ์ ในตอนกลาง ของแอฟรกาตะวนั ตก แหล่งทีพบนกทัง ๒ ชนิดนหี ่างจากกันถงึ ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร ประชากรใน ธรรมชาติของนกเจ้าฟาหญงิ สริ นธรเชือวา่ มีอยู่น้อยมาก เพราะเปนนกชนิดทีโบราณทีหลงเหลืออยู่ใน ปจจบุ นั แต่ละปในฤดูหนาวจะถกู จับไปพร้อมๆกับนกนางแอ่นชนิดอนื นอกจากนที ีพักนอนในฤดูหนาว คือ ดงอ้อ และพืชนําอืนๆทถี กู ทําลายไปโดยการทาํ การประมง การเปลยี นหนองบงึ เปนนาขา้ ว และการ ควบคมุ ระดับนาํ ในบงึ เพือการพัฒนาหลายรูปแบบ สงิ เหลา่ นีกอ่ ใหเ้ กิดผลเสียตอ่ การคงอยู่ของพืชนาํ และต่อนกเจ้าฟาหญิงสริ นธรมาก 5

แรด Rhinoceros sondaicus ลกั ษณะ : แรดจัดเปนสตั วจ์ ําพวกมีกีบ คือมีเล็บ ๓ เล็บทังเทา้ หนา้ และเทา้ หลงั ตัวโตเต็มวยั มี ความสงู ทีไหล่ ๑.๖-๑.๘ เมตร นาํ หนักตัว ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ กิโลกรัม แรดมีหนงั หนาและมขี นแขง็ ขึนห่างๆ สีพนื เปนสเี ทาออกดาํ สว่ นหลังมสี ว่ นพับของหนงั ๓ รอย บรเวณหัวไหลด่ ้านหลงั ของขา คหู่ น้า และดา้ นหน้าของขาคูห่ ลัง แรดตัวผู้มนี อเดียวยาวไมเ่ กิน ๒๕ เซนติเมตร ส่วนตวั เมยี จะเห็น เปนเพยี งปมุ นนู ขึนมา อปุ นิสัย : ในอดตี เคยพบแรดหากินร่วมเปนฝงู แต่ในปจจบุ ันแรดหากินตวั เดียวโดดๆ หรออยู่เปน คู่ในฤดผู สมพันธุ์ อาหารของแรดไดแ้ ก่ ยอดไม้ ใบไม้ กงิ ไม้ และผลไม้ทีร่วงหล่นบนพนื ดนิ แรด ไมม่ ฤี ดูผสมพนั ธุ์ทีแน่นอน จงึ สามารถผสมพนั ธ์ุได้ตลอดป ตกลกู ครังละ ๑ ตัว ตงั ทอ่ งนาน ประมาณ ๑๖ เดือน ทอี ยอู่ าศยั : แรดอาศยั อยเู่ ฉพาะในบรเวณปาดบิ ชืนทีมีความอดุ มสมบรู ณ์ หรอตามปาทึบรมฝง ทะเล ส่วนใหญ่จะหากนิ อย่ตู ามพนื ทีราบ ไม่ค่อยขนึ บนภเู ขาสูง เขตแพร่กระจาย : แรดมเี ขตกระจายตังแต่ประเทศบงั คลาเทศ พมา่ ไทย ลาว เขมร เวยดนาม ลงไปทางแหลมมลายู สมุ าตรา และชวา ปจจบุ นั พบน้อยมากจนกล่าวได้วา่ เกือบจะหมดไปจาก ผนื แผ่นดินใหญข่ องทวปเอเชียแลว้ เชอื วา่ ยงั อาจจะมคี งเหลืออย่บู า้ งทางเทือกเขาตะนาวศร และ ในปาลึกตามแนวรอยตอ่ จงั หวดั ระนอง พังงา และสรุ าษฎร์ธานี สถานภาพ : ปจจุบันแรดจัดเปนสัตวป์ าสงวนชนดิ หนงึ ใน ๑๕ ชนดิ ของประเทศไทย และจัดอย่ใู น Appendix 1ของอนุสญั ญา CITES ทังยงั เปนสัตวป์ าทีใกล้จะสูญพนั ธต์ุ าม U.S.Endanger Species สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธ์ุ : เช่นเดียวกบั แรดทีพบบรเวณอนื ๆ ทพี บในประเทศไทยถูกลา่ และ ทาํ ลายอย่างหนัก เพือตอ้ งการนอหรอสว่ นอนื ๆ เชน่ กระดูก เลอื ด ฯลฯ ซงึ มีคณุ คา่ สูงยงิ เพอื ใช้ ในการบาํ รุงและยาอืนๆ นอกจากนีบรเวณปาทีราบทีแรดชอบอาศยั อยู่กห็ มดไป กลายเปนบา้ น เรอนและเกษตรกรรมจนหมด 6

กระซู่ Dicerorhinus sumatrensis ลกั ษณะ : กระซเู่ ปนสัตวจ์ าํ พวกเดียวกับแรด แตม่ ีลักษณะลาํ ตัวเลก็ กวา่ ตัวโตเตม็ วยั มีความสูงทีไหล่ ๑-๑.๕ เมตร นําหนกั ประมาณ ๑,๐๐๐ กโิ ลกรัม มหี นังหนาและมีขนขนึ ปกคลุมทังตัว โดยเฉพาะใน ตัวทมี ีอายุน้อย ซึงขนจะลดนอ้ ยลงเมือมีอายมุ ากขนึ สีลําตัวโดยทวั ไปออกเปนสีเทา คลา้ ยสขี เี ถ้า ดา้ น หลงั ลาํ ตัว จะปรากฏรอยพบั ของหนังเพียงพับเดียว ตรงบรเวณด้านหลังของขาค่หู นา้ กระซ่ทู งั สอง เพศมนี อ ๒ นอ นอหน้ามคี วามยาวประมาณ ๒๕ เซนตเิ มตร สว่ นนอหลงั มีความยาวไม่เกนิ ๑๐ เซนติเมตร หรอเปนเพียงตุม่ นนู ขึนมาในตวั เมีย อุปนสิ ยั : กระซ่ปู นเขาไดเ้ ก่ง มปี ระสาทรับกลินดีมาก ออกหากินในเวลากลางคนื อาหาร ไดแ้ ก่ พวก ใบไม้ และผลไม้ปาบางชนดิ ปกตกิ ระซู่จะใช้ชวี ตอย่อู ย่างโดดเดียว ยกเวน้ ในฤดูผสมพนั ธุ์ หรอตวั เมยี เลียงลูกออ่ น ตกลกู ครังละ ๑ ตวั มรี ะยะตงั ท้อง ๗-๘ เดือน ในทีเลยี งกระซมู่ อี ายยุ ืน ๓๒ ป ทีอยอู่ าศัย : กระซู่อาศยั อยู่ตามปาเขาทมี ีความหนารกทึบ ลงมาอยูใ่ นปาทรี าบตาํ ในตอนปลายฤดฝู น ซึงในระยะนนั มีปรักและนาํ อยู่ทัวไป เขตแพร่กระจาย : กระซมู่ เี ขตแพร่กระจายตงั แตแ่ ควน้ อัสสมั ในประเทศอินเดยี บังคลาเทศ พม่า ไทย เวยดนาม มลายู สมุ าตรา และบอเนียว ในประเทศไทยมรี ายงานวา่ พบกระซ่อู ยใู่ นเขตรักษาพันธุส์ ัตว์ ปาหลายแหง่ ได้แก่ ภเู ขียว จงั หวดั ชยั ภูมิ เขาสอยดาว จังหวดั จันทบุร ห้วยขาแขง้ จังหวดั อุทยั ธานี ทุง่ ใหญน่ เรศวร จังหวดั กาญจนบุร และคลองแสง จังหวดั สุราษฏร์ธานี และในบรเวณอทุ ยานแห่ง ชาติหลายแหง่ ไดแ้ ก่ แกง่ กระจาน จงั หวดั เพชรบรุ และเขือนบางลาง จงั หวดั ยะลา และบรเวณปา รอยตอ่ ระหวา่ งประเทศกบั มาเลเซีย สถานภาพ : ปจจุบนั กระซจู่ ัดเปนสตั วป์ าสงวนชนดิ หนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย อนสุ ญั ญา CITES จดั ไวใ้ นAppendix I และ U.S. Endanger Species Act จัดไวใ้ นพวกทใี กลจ้ ะสูญพนั ธุ์ สาเหตุของการใกลจ้ ะสญู พนั ธุ์ : กระซปู่ จจบุ ันใกล้จะสูญพนั ธุไ์ ปจากโลก เนืองจากถูกล่าเพือเอานอ และอวยั วะทกุ สว่ นของตวั ซึงมีฤทธใิ นทางเปนยา กระซู่จงึ ถูกลา่ อยเู่ นืองๆ ประกอบกับกระซู่มีอยู่ใน ธรรมชาติน้อย และประชากรแตล่ ะกลุ่มและแม้แตก่ ลมุ่ เดียวกันก็อยู่ห่างกันมากไมม่ โี อกาสจับคู่ขยาย พนั ธไ์ุ ด้ 7

กปู รหรอโคไพร Bos sauveli ลกั ษณะ : กูปรเปนสัตวป์ าชนิดหนงึ เชน่ เดยี วกบั กระทงิ และววั แดง เมอื โตเต็มทีมีความสูงทไี หล่ ๑.๗-๑.๙ เมตร นาํ หนัก ๗๐๐-๙๐๐ กิโลกรัม ตวั ผู้มีขนาดลาํ ตัวใหญก่ วา่ ตัวเมียมาก สีโดยทวั ไปเปนสี เทาเข้มเกือบดํา ขาทงั ๔ มีถุงเท้าสีขาวเชน่ เดียวกับกระทงิ ในตัวผ้ทู ีมีอายมุ าก จะมีเหนยี งใตค้ อยาว ห้อยลงมาจนเกอื บจะถึงดนิ เขากปู รตวั ผ้กู บั ตัวเมยี จะแตกตา่ งกนั โดยเขาตัวผจู้ ะโคง้ เปนวงกวา้ ง แลว้ ตวี งโค้งไปขา้ งหนา้ ปลายเขาแตกออกเปนพคู่ ล้ายเส้นไม้กวาดแขง็ ตัวเมียมเี ขาตวี งแคบแล้วม้วนขึน ด้านบน ไม่มีพทู่ ปี ลายเขา อุปนิสัย : อยู่รวมกันเปนฝงู ๒-๒๐ ตัว กนิ หญา้ ใบไมด้ นิ โปงเปนครังคราว ผสมพนั ธุใ์ นราวเดือน เมษายน ตงั ทอ้ งนาน ๙ เดือน จะพบออกลูกออ่ นประมาณเดอื นธนั วาคมและมกราคม ตกลูกครังละ ๑ ตวั ทีอยู่อาศัย : ปกติอาศยั อย่ตู ามปาโปร่ง ทีมีทุ่งหญ้าสลบั กับปาเต็งรังและในปาเบญจพรรณทคี อ่ นขา้ ง แลง้ เขตแพร่กระจาย : กูปรมเี ขตแพร่กระจายอยูใ่ นไทย เวยดนาม ลาว และกัมพูชา สถานภาพ : ประเทศไทยมีรายงานวา่ พบกปู รอยู่ตามแนวเทือกเขาชายแดนไทย-กมั พชู า และลาว เมือ ป พ.ศ.๒๕๒๕ มรี ายงานพบกูปรในบรเวณเทอื กเขาพนมดงรัก กูปรจดั เปนสัตวป์ าสงวนชนดิ หนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทย และอย่ใู น Appendix I ตามอนุสญั ญา CITES สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธุ์ : ปจจบุ ันกูปรเปนสตั วป์ าทีหายากกาํ ลังใกล้จะสูญพันธ์หุ มดไปจากโลก เนืองจากการถูกลา่ เปนอาหารและสภาวะสงครามในแถบอนิ โดจีน ซึงเปนแหลง่ อาศัยเฉพาะกปู ร ทําให้ยากในการอยรู่ ่วมกนั ในการอนุรักษก์ ูปร 8

ควายปา Bubalus bubalis ลักษณะ : ควายปาเปนสัตวช์ นดิ เดียวกบั ควายบา้ น แต่มีลาํ ตัวขนาดลําตัวใหญก่ วา่ มนี สิ ัยวอ่ งไว และ ดุร้ายกวา่ ควายบา้ นมาก ตวั โตเต็มวยั มีความสูงทีไหล่เกือบ ๒ เมตร นําหนกั มากกวา่ ๑,๐๐๐ กิโลกรัม สลี ําตัวโดยทวั ไปเปนสีเทา หรอสนี ําตาลดํา ขาทัง ๔ สีขาวแก่ หรอสเี ทาคล้ายใสถ่ ุงเทา้ สีขาว ด้านล่าง ของลาํ ตวั เปนลายสีขาวรูปตวั ว (V ) ควายปามเี ขาทงั ๒เพศ เขามขี นาดใหญ่กวา่ ควายเลียง วงเขา กางออกกวา้ งโค้งไปทางดา้ นหลงั ดา้ นตัดขวางเปนรูปสามเหลียม ปลายเขาเรยวแหลม อุปนิสัย : ควายปาชอบออกหากนิ ในเวลาเชา้ และเวลาเย็น อาหารไดแ้ ก่ พวกใบไม้ หญา้ และหนอ่ ไม้ หลังจากกินอาหารอิมแล้ว ควายปาจะนอนเคยี วเออื งตามพมุ่ ไม้ หรอนอนแช่ปรักโคลนตอนชว่ งกลาง วนั ควายปาจะอยรู่ ่วมกันเปนฝงู ฤดูผสมพนั ธุอ์ ยรู่ าวๆ เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ตกลกู ครังละ ๑ ตัว ตงั ท้องนาน ๑๐ เดอื น เทา่ ทที ราบควายปามอี ายุยืน ๒๐-๒๕ ป เขตแพร่กระจาย : ควายปามเี ขตแพร่กระจายจากประเทศเนปาลและอนิ เดยี ไปสินสดุ ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออกทปี ระเทศเวยดนาม ในประเทศไทยปจจุบันมีควายปาเหลืออย่บู รเวณเขตรักษาพันธ์สุ ัตวป์ า หว้ ยขาแขง้ จังหวดั อทุ ยั ธานี สถานภาพ : ปจจบุ ันควายปาทเี หลอื อยู่ในประเทศไทยมจี ํานวนนอ้ ยมาก จนนา่ กลวั วา่ อีกไมน่ านจะ หมดไปจากประเทศ ควายปาจัดเปนสัตวป์ าสงวนชนดิ หนึงใน ๑๕ ชนดิ ของประเทศไทย และ อนุสญั ญา CITES จัดควายปาไวใ้ น Appendix III สาเหตขุ องการใกลจ้ ะสูญพันธ์ุ : เนอื งจากการถูกล่าเพือเอาเนอื และเอาเขาทสี วยงาม และการสูญเชือ พนั ธ์ุ เนืองจากไปผสมกบั ควายบา้ น ทีมีผูเ้ อาไปเลียงปล่อยเปนควายปละในปา ในกรณีหลังนีบางครัง ควายปาจะติดโรคตา่ งๆ จากควายบา้ น ทําให้จาํ นวนลดลงมากยงิ ขนึ 9

ละองหรอละมงั Cervus eldi ลักษณะ : เปนกวางทีมขี นาดโตกวา่ เนือทราย แตเ่ ล็กกวา่ กวางปา เมอื โตเตม็ วยั มคี วามสูงที ไหล่ ๑.๒-๑.๓ เมตร นําหนกั ๑๐๐-๑๕๐ กิโลกรัม ขนตามตัวทวั ไปมสี ีนําตาลแดง ตัวอายนุ ้อย จะมจี ดุ สีขาวตามตวั ซึงจะเลือนกลายเปนจุดจางๆ เมอื โตเต็มทใี นตวั เมยี แต่จดุ ขาวเหลา่ นีจะ หายไปจนหมด ในตัวผูต้ วั ผู้จะมีขนทบี รเวณคอยาว และมเี ขาและเขาของละอง จะมลี กั ษณะ ตา่ งจากเขากวางชนิดอืนๆ ในประเทศไทย ซึงทีกงิ รับหมาทียนื ออกมาทางดา้ นหน้า จะทาํ มุม โคง่ ตอ่ ไปทางด้านหลัง และลําเขาไมท่ าํ มมุ หักเช่นทพี บในกวางชนดิ อนื ๆ อุปนิสยั : ชอบอย่รู วมกันเปนฝงู เล็ก ตวั ผูท้ โี ตเต็มวยั จะเข้าฝงู เมอื ถงึ ฤดูผสมพนั ธ์ุ ออกหากินใบ หญ้า ใบไม้ และผลไม้ทังเวลากลางวนั และกลางคืน แตเ่ วลาแดดจัดจะเขา้ หลบพักในทีร่ม ละอง ละมงั ผสมพนั ธ์ุในเดือนกุมภาพันธจ์ นถงึ เดือนเมษายน ตังท้องนาน ๘ เดอื น ออกลูกครัง ละ ๑ ตัว ทีอยู่อาศยั : ละองชอบอยู่ตามปาโปร่ง และปาท่งุ โดยเฉพาะปาทีมีแหล่งนาํ ขัง เขตแพร่กระจาย : ละองแพร่กระจายในประเทศอินเดยี พมา่ ไทย ลาว กมั พูชา เวยดนาม และ เกาะไหหลํา ในประเทศไทยอาศัยอยู่ในบรเวณเหนอื จากคอคอดกระขนึ มา สถานภาพ : มีรายงานพบเพยี ง ๓ ตัว ทเี ขตรักษาพันธสุ์ ัตวป์ าห้วยขาแข้ง จังหวดั อุทยั ธานี ละอง ละมงั จดั เปนปาสงวนชนิดหนงึ ใน ๑๕ ชนดิ ของประเทศไทย และอนุสญั ญา CITES จดั อยู่ใน Appendix สาเหตุของการใกล้จะสูญพันธ์ุ : ปจจุบัน ละอง ละมังกําลังใกลจ้ ะสูญพนั ธุ์หมดไปจาก ประเทศไทย เนืองจากสภาพปาโปร่ง ซึงเปนทอี ย่อู าศยั ถกู บุกรุกทาํ ลายเปนไร่นา และทอี ยู่ อาศัยของมนุษย์ ทังยังถูกลา่ อยา่ งหนกั นับตังแต่หลงั สงครามโลกครังทีสองเปนต้นมา 10

สมันหรอเนือสมนั Cervus schomburki ลักษณะ : เนือสมนั เปนกวางชนิดหนงึ ทเี ขาสวยงามทีสดุ ในประเทศไทย เมือโตเต็มวยั จะมีความสงู ที ไหลป่ ระมาณ ๑ เมตร สขี นบนลําตวั มีสนี าํ ตาลเข้มและเรยบเปนมนั หางคอ่ นขา้ งสัน และมสี ขี างทาง ตอนลา่ งสมนั มีเขาเฉพาะตัวผู้ ลกั ษณะเขาของสมนั มีขนาดใหญ่ และแตกกงิ ก้านออกหลายแขนง ดู คล้ายสุ่มหรอตะกร้า สมันจึงมีชอื เรยกอกี อยา่ งหนงึ วา่ กวางเขาสุ่ม อปุ นสิ ัย : ชอบอย่รู วมกนั เปนฝงู เล็กๆ โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ หลังจากหมดฤดูผสมพนั ธุ์ และตวั ผู้ จะแยกตวั ออกมาอย่โู ดดเดียว สมนั ชอบกนิ หญ้าโดยเฉพาะหญา้ ออ่ น ผลไม้ ยอดไม้ และใบไมห้ ลาย ชนิด ทีอยอู่ าศยั : สมันจะอาศยั เฉพาะในทุ่งโลง่ ไมอ่ ย่ตู ามปารกทึบ เนอื งจากเขามกี ิงกา้ นสาขามาก จะ เกยี วพันพันกับเถาวลั ย์ไดง้ ่าย เขตแพร่กระจาย : สมนั เปนสตั วช์ นิดทีมเี ขตแพร่กระจายจาํ กดั อยู่ในบรเวณทรี าบภาคกลางของ ประเทศเทา่ นัน สมัยก่อนมชี กุ ชุมมากในทีราบล่มุ แมน่ ําเจา้ พระยา บรเวณจงั หวดั รอบกรุงเทพฯ เช่น นครนายก ปทุมธานี และปราจีนบรุ และแมแ้ ตบ่ รเวณพนื ทรี อบนอกของกรุงเทพฯ เช่น บรเวณ พญาไท บางเขน รังสิต ฯลฯ สถานภาพ : สมันไดส้ ญู พนั ธ์ไุ ปจากโลกและจากประเทศไทยเมือเกือบ ๖๐ ปทีแลว้ สมันยงั จดั เปนปา สงวนชนิดหนึงใน ๑๕ ชนิดของประเทศไทยโดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพือควบคมุ ซาก โดยเฉพาะอย่างยงิ เขา ของสมนั ไมใ่ หม้ ีการส่งออกนอกราชอาณาจกั ร สาเหตขุ องการสูญพันธุ์ : เนอื งจากแหล่งทีอยอู่ าศัยได้ถกู เปลียนเปนนาข้าวเกอื บทังหมด และสมันที เหลืออยู่ตามทีห่างไกลจะถกู ลา่ อย่างหนกั ในฤดูนาํ หลากทว่ มทอ้ งทงุ่ ในเวลานนั สมันจะหนนี ําขึนไปอยู่ รวมกันบนทีดอนทาํ ใหพ้ วกพรานลอ้ มไลฆ่ า่ อยา่ งง่ายดาย 11

กวางผา Naemorhedus griseus ลกั ษณะ : กวางผาเปนสตั วจ์ าํ พวก แพะแกะเชน่ เดยี วกบั เลียงผา แตม่ ขี นาดเลก็ กวา่ เมือโตเตม็ ทมี ี ความสงู ทไี หลม่ ากกวา่ ๕๐ เซนตเิ มตร เพยี งเล็กน้อย และมนี าํ หนักตวั ประมาณ ๓๐ กิโลกรัม ขนบน ลาํ ตัวสีนําตาล หรอสนี ําตาลปนเทา มแี นวสดี าํ ตามสันหลงไปจนจดหาง ด้านใตท้ อ้ งสีจางกวา่ ด้านหลัง หางสันสีดาํ เขาสดี าํ มลี กั ษณะเปนวงแหวนรอบโคนเขา และปลายเรยวโค้งไปทางด้านหลัง อุปนสิ ยั : ออกหากินตามทโี ล่งในตอนเย็น และตอนเชา้ มืด หลับพักนอนตามพมุ่ ไม้ และชะง่อนหนิ ใน เวลากลางคนื อาหาร ได้แก่ พืชทีขึนตามสันเขาและหนา้ ผาหิน เชน่ หญา้ ใบไม้ กิงไม้ และลกู ไม้ เปลอื กแข็งจาํ พวกลกู กอ่ กวางผาอยรู่ วมกันเปนฝงู ๆละ ๔-๑๒ ตัว ผสมพันธุใ์ นราวเดอื นพฤศจกิ ายน และธันวาคม ออกลกู ครอกละ ๑-๒ ตัว ตงั ทอ้ งนาน ๖ เดอื น ทีอาศยั : กวางผาจะอยูบ่ นยอดเขาสงู ชนั ในทีระดับนําสูงชันมากกวา่ ๑,๐๐๐ เมตร เขตแพร่กระจาย : กวางผามีเขตแพร่กระจายตงั แตแ่ ควน้ แพร่กระจาย ตังแตแ่ ควน้ แคชเมียร์ลงมา จนถึงแควน้ อัสสัม จีนตอนใต้ พมา่ และตอนเหนอื ของประเทศไทย ในประเทศไทยมรี ายงานพบ กวางผาตามภเู ขาทีสงู ชันในหลายบรเวณ เช่น ดอยม่อนจอง เขตรักษาพันธุ์สตั วป์ าอมกอ๋ ย ดอยเลียม ดอยมือกาโด จงั หวดั เชยี งใหม่ และบรเวณสองฝงลาํ นําปงในอุทยานแห่งชาตแิ มป่ ง จงั หวดั ตาก สถานภาพ : กวางผาจดั เปนสตั วป์ าสงวนชนิดหนงึ ใน ๑๕ ชนดิ ของประเทศไทยและอนสุ ัญญา CITES จัดไวใ้ นAppendix I สาเหตุของการใกลจ้ ะสูญพนั ธุ์ : เนอื งจากการบุกรุกถางปาทที ําไร่เลือนลอยของชาวเขาในระยะเรม แรกและชาวบ้านในระยะหลัง ทาํ ใหท้ อี าศัยของกวางผาลดน้อยลง เหลืออยเู่ พียงตามยอดเขาทีสูงชนั ประกอบกับการล่ากวางผาเพือเอานํามันมาใช้ในการสมานกระดกู ทีหักเชน่ เดยี วกับเลียงผา จํานวน กวางผาในธรรมชาติจึงลดลงเหลืออยูน่ อ้ ยมาก 12

ขอบคณุ ทีอา่ นครบั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook