ช่ือเรือ่ ง / แนวปฏิบัตทิ ดี่ ี การเช็คสต็อกศลิ ปวัฒนธรรมผา นแผนท่ที างวัฒนธรรม : กรณศี กึ ษาอาํ เภอแมแ จม จงั หวดั เชียงใหม ชอ่ื -นามสกุล นายศักดน์ิ รินทร ชาวง้วิ ชือ่ สถาบนั การศกึ ษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา หนว ยงาน ศูนยวัฒนธรรมศึกษา เบอรโทรศพั ท 053-921444 ตอ 1600, 0845049247 เบอรโทรสาร 053-921444 ตอ 1600 E-Mail Address [email protected]
การเชก็ สต็อกศลิ ปวัฒนธรรมผา นแผนทที่ างวัฒนธรรม : กรณศี ึกษาอาํ เภอแมแ จม จังหวดั เชียงใหม Cultural Check Stocks through Cultural mapping: case study at Maechaem District, Chiang Mai Province ศักดิ์นรินทร ชาวงิ้ว (Mr. Saknarin Chao-ngiw) นกั วชิ าการศึกษา, ศนู ยวัฒนธรรมศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา นนา, [email protected] ......................................................................... บทสรปุ การศกึ ษาทางดา นศิลปวฒั นธรรม เพอ่ื การพฒั นาชมุ ชน จําเปน ตอ งมกี ารสํารวจทุนทางวฒั นธรรมของ ตนเอง เพ่ือรักษามรดกทางวัฒนธรรม (Cultural Heritage) ทั้งวัฒนธรรมที่จับตองได (Tangible Cultural Assets) และวัฒนธรรมท่ีจับตองไมได (Intangible Cultural Assets) อันจะนําไปสูแผนความรวมมือ (Cooperation Plan) พัฒนาแผนที่วัฒนธรรม (Cultural Mapping) ออกแบบกระบวนการมีสวนรวมเพื่อให เกิดพื้นที่วัฒนธรรม (Cultural Space) โดยเฉพาะเปาหมายสูงสุดคือ การตอยอดและสงเสริมใหเกิด ผูประกอบการทางวฒั นธรรม (Cultural Entrepreneur) ทสี่ รางรายไดด ว ยทุนทางศลิ ปะและวฒั นธรรม ดังนั้น ความรูสวนใหญ เกิดจากความรูท่ีมีอยูในตัวคน ที่เรียกวา Tacit Knowledge ฉะนั้นจึงตองมี การแปลงความรนู ั้นมาสู Explicit Knowledge ทั้งการ Externalization และ Combination ท้ังท่ีเปนมรดก ภูมิปญญาท่ีจับตองได (Tangible Heritage) และ มรดกภูมิปญญาที่จับตองไมได (Intangible Heritage) ใน พ้ืนทห่ี น่งึ ๆ ผา นการบอกเลา เรอ่ื งราว (Story Telling) ทัง้ การสัมภาษณเชิงลึก บันทึกภาพ สังเกต มาสูการทํา แผนที่ทางวัฒนธรรม (Cultural Mapping ) และพื้นท่ีทางวัฒนธรรม (Cultural Space) เพื่อการพัฒนาใน ดานเศรษฐกิจและสังคมตอไป Summary Cultural Education for Community development must to has check stock of culture capital. It use for reserved Cultural Heritage either Tangible Cultural Assets and Intangible Cultural Assets. It continue toward co-operation plan by government or other organizations with cultural mapping and cultural space. The destination of these are continues and improve of Cultural Entrepreneur by culture capital. It just to transform Tacit Knowledge to be Explicit Knowledge by externalization and combination. KM tool for tacit knowledge to be explicit knowledge is “Story telling” by in- depth interview, field survey and collected oral history. Then export all of information to cultural mapping and cultural space for developing economic and social in Maechaem district, Chiang Mai Province. คาํ สําคญั Cultural Heritage, Cultural Mapping, Cultural Check Stocks
บทนํา วฒั นธรรม คอื ส่ิงท่มี นษุ ยทาํ ข้ึน สรางขน้ึ คดิ ขึ้น เพื่อใชใ นการดํารงชวี ิต สบื ทอด และพฒั นาสังคม ของตนเอง แสดงความเจริญงอกงามของสงั คมมนษุ ย เปน ประโยชนท ้ังทางกาย เชน การบรโิ ภค การใชส อย หรือประโยชนท างใจ เชน การชมสิ่งเจริญตา เจริญใจ (เอกรัฐ พยตั ตกิ ลุ , 2555) ทางกรมสงเสริมวัฒนธรรม ไดใหความหมายของมรดกทางวัฒนธรรมไววา “มรดกภูมิปญญาทาง วัฒนธรรม” หมายถงึ การปฏิบตั ิ การแสดงออก ความรู ทักษะ ตลอดจนเครอ่ื งมือ วัตถุ สิ่งประดิษฐ และพ้ืนท่ี ทางวัฒนธรรมที่เก่ียวเน่ืองกับส่ิงเหลาน้ัน ซ่ึงชุมชน กลุมชน หรือในบางกรณีปจเจกบุคคลยอมรับวา เปนสวน หนึง่ ของมรดกทางวัฒนธรรมของตน มรดกภูมิปญญา ทางวัฒนธรรมซ่ึงถายทอดจากคนรุนหน่ึงไปยังคนอีกรุน หนึ่งนี้ เปนส่ิงซ่ึงชุมชนและกลุมชนสรางขึ้นมาอยางสมํ่าเสมอ เพ่ือตอบสนองตอสภาพแวดลอมของตน เปน ปฏิสัมพันธของพวกเขาที่มีตอธรรมชาติและประวัติศาสตรของตน และทําใหคนเหลาน้ันเกิดความภูมิใจใน ตวั ตนและความรูสึกสืบเน่ืองกอใหเกิดความเคารพตอความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการคิดสรางสรรค ของมนุษย และจาํ แนกออกเปน 7 สาขา ไดแ ก 1. สาขาศลิ ปะการแสดง การแสดงดนตรี รํา-เตน และละครที่แสดงเปนเรื่องราว ทั้งที่เปนการแสดงตามขนบแบบแผน มีการ ประยกุ ตเ ปลี่ยนแปลง และ/หรือ การแสดงรว มสมัยการแสดงท่เี กดิ ข้ึนนน้ั เปนการแสดงสดตอหนาผูชม และมี จุดมงุ หมายเพอ่ื ความงาม ความบนั เทิงและ/หรือเปน งานแสดงที่กอใหเกิดการคิด วิพากษ นําสูการพัฒนาและ เปลี่ยนแปลงสงั คม 2. งานชา งฝม อื ดั้งเดมิ ภูมิปญญา ทักษะฝมือชาง การเลือกใชวัสดุ และกลวิธีการสรางสรรคท่ีแสดงถึงอัตลักษณ สะทอน พฒั นาการทางสังคม และวฒั นธรรมของกลุมชน 3. วรรณกรรมพืน้ บาน วรรณกรรมท่ีถายทอดอยูในวิถีชีวิตชาวบาน โดยครอบคลุมวรรณกรรมท่ีถายทอดโดยวิธีการบอกเลา และทเ่ี ขยี นเปน ลายลกั ษณอักษร 4. กีฬาภมู ปิ ญญาไทย การเลน กีฬาและศิลปะการตอสูปองกันตัว ท่ีมีการปฏิบัติกันอยูในประเทศไทยและมีเอกลักษณ สะทอ นวิถีไทย แบง ออกเปน 3 ประเภท คอื การเลน พ้นื บา น กฬี าพนื้ บาน และศิลปะการตอ สูปอ งกันตัว 5. แนวปฏบิ ัตทิ างสงั คม พธิ กี รรมและงานเทศกาล การประพฤติปฏิบัติในแนวทางเดียวกันของคนในชุมชนท่ีสืบทอดตอกันมาบนหนทางของมงคลวิถี นาํ ไปสูสังคมแหง สันติสุขแสดงใหเห็นอตั ลักษณข องชุมชนและชาติพันธนุ น้ั ๆ 6. ความรูและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล องคความรู วิธีการ ทักษะ ความเช่ือ แนวปฏิบัติและการแสดงออกที่พัฒนาข้ึนจากการมีปฏิสัมพันธ ระหวางคนกบั สภาพแวดลอ มตามธรรมชาติและเหนอื ธรรมชาติ 7. ภาษา เคร่ืองมือท่ีใชส่ือสารในวิถีการดํารงชีวิตของชนกลุมตาง ๆ ซ่ึงสะทอน โลกทัศน ภูมิปญญา และ วัฒนธรรมของแตละกลมุ ชน ทั้งเสยี งพูด ตัวอักษร หรือสัญลักษณท ่ีใชแ ทนเสยี งพดู โดย ทงั้ หมดนี้เรียกวา วัฒนธรรมที่จับตองไมได (Intangible Cultural Assets) สวนอีกประเภทหน่ึง คือ มรดกทางวัฒนธรรมที่จับตองได (Tangible Cultural Assets) ไดแกประเภทสถาปตยกรรม ประติมากรรม ทัศนศิลป ประณีตศิลป ตา งๆ
ซึง่ มรดกทางวัฒนธรรม มคี ุณคาและความสําคัญตามองคการยูเนสโก (UNESCO) มอี ยู 2 กลุมดวยกัน คือ 1. คุณคาทางวัฒนธรรม (Cultural Value) ประกอบดวย คุณคาดานเอกลักษณ ดานศิลปะและเทคนิค ดานความหายาก และ 2. คุณคาทางสังคมเศรษฐกิจรวมสมัย (Economic Value) ประกอบดวย คุณคาดาน เศรษฐกิจ ดา นประโยชนใ ชสอย ดานการศึกษา ดานสังคม ดานการเมือง (เอกรฐั พยัตตกิ ลุ , 2555) การที่จะพัฒนาศักยภาพตางๆ ของพ้ืนท่ี โดยเฉพาะทางดานเศรษฐกิจ หรือวางแผนกิจกรรมอ่ืนใด ตอไปในอนาคต จําเปน ตน มกี ารรกั ษาและบง ชถี้ ึงการมีอยูของศิลปะและวัฒนธรรม ท้ังที่จับตองได (Tangible ) และ จับตองไมได (Intangible) โดยการมีสวนรวมของคนในพื้นที่ เพ่ือใหตระหนักถึงคุณคาของมรดกทาง วัฒนธรรมท่ีจะตองรวมกันธํารงรักษาเอาไว วิธกี ารดําเนินงาน เพ่ือใหไดขอมูลเชิงลึกที่ชัดเจน จึงตองสรางการมีสวนรวมของผูคนในชุมชน ท่ีมีความรู ความ เชี่ยวชาญในดานตางๆ โดยใชเครื่องมือของการจัดการความรู (KM Tool) คือ การใชเทคนิคการเลาเร่ือง (Story Telling) โดยมีกลุมเปาหมาย คือผูมีความรู นักปราชญ ผูมีประสบการณ ของคนทองถิ่น ผูเปน เจาของภมู ิปญญา ทีม่ ีความรอู นั มีอยูในตัวคน (Tacit Knowledge) ใชเ ทคนิคการเลาเรื่องเพื่อแปลงความรู สู ความรูทชี่ ัดแจง (Explicit Knowledge) อนั จะนาํ ไปใชประโยชนในขน้ั ตอนถดั ไป การเชคสตอกทางวฒั นธรรมในพ้ืนที่แมแจม นอกจากจะใชเคร่ืองมือ เทคนิคการเลาเรื่องแลว ยังตอง จัดการความรูในรูปแบบอ่ืนรวมดวย เพ่ือเปาหมาย Explicit Knowledge ที่มีความเชื่อถือ และสามารถ นําไปใชงานได 1. ขนั้ ตอนการรวบรวมขอ มลู ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมขอมูล จึงตองวางแผนอยางเปนหลักการ โดยเฉพาะอยางยิ่ง การ วางเปาหมายขอมูลมรดกทางวัฒนธรรมไวเปน 2 อยาง น่ันคือ ที่จับตองได (Tangible ) และ จับตองไมได (Intangible) จําเปนตองใชขอมูลปฐมภูมิ คือผูนําชุมชน ผูทรงภูมิปญญาท่ีอยูในชุมชนดานตางๆ บาน เรือน วัด เปนตน และขอมูลทุตยิ ภูมิ เชนเอกสารตา งๆ ทมี่ ีผศู กึ ษาและเรยี บเรียงมาแลว การรวบรวมขอมูล ใชเทคนิคการเลาเรื่องเปนหลัก (Story Telling) โดยการสัมภาษณเชิงลึก (In- Depth Interview) มีการสํารวจ สังเกต ถายภาพ (Field Survey) เก็บบันทึกประวัติศาสตรบอกเลา (Oral History) เชน เร่ืองราวถนนสายปลาทูทีแ่ มแจม เปนตน รวมถงึ เรอื่ งเลา อนั เปนวรรณกรรมมุขปาฐะตางๆ เทาท่ี จะเก็บบนั ทึกได รวมถึงกิจกรรมตา งๆ ทางวัฒนธรรมดว ย ซึง่ นับวาเปนการระบคุ วามรูและแสวงหาความรูตาม ลกั ษณะความรูทีต่ อ งการ 2. ขนั้ ตอนการวเิ คราะหขอมูล ในขน้ั ตอนน้ี นับวาเปนการ การจัดความรูใหเปนระบบ ประมวลและกล่ันกรองความรู ดวยขอมูลใน การรวบรวมในคร้ังนี้ คือ ขอมูลท้ังปฐมภูมิ ที่เกิดจากการดําเนินงานภาคสนาม สํารวจ บันทึกภาพ บันทึกเสียงจากคําบอกเลา สังเกต อันเปนความรูในระดับที่มีอยูในตัวคน (Tacit Knowledge) ไปสู กระบวนการท่ีเรียกวา Externalization คือ การแปลง Tacit Knowledge ใหกลายเปน Explicit Knowledge และขอ มลู อีกประเภทหนึ่ง คือ ขอมูลดานทุติยภูมิ คือเอกสารตางๆ ที่มีผูเขียนเรียบเรียงไวแลว มาเรียบเรียงใหม เกิดเปนความรูใหม ซ่ึงเรียกกระบวนการนี้วา Combination เปน การสราง Explicit Knowledge จาก Explicit Knowledge 3. การสังเคราะหข อ มลู
เปนการนํา Explicit Knowledge นํามาเผยแพรเพื่อใหเขาถึงความรู และเปดโอกาสในการ แลกเปลี่ยนเรียนรูระหวางกัน โดยใชขอมูลที่ไดมาจัดทําแผนท่ีวัฒนธรรม (Cultural Mapping) รวมถึงสราง พื้นท่ีทางวัฒนธรรม (Cultural Space) ผลและอภปิ รายการดําเนนิ งาน จาก Externalization และ Combination เขาสูฐานขอมูล ไดแหลงวัฒนธรรมที่จับตองได (Tangible Heritage) จัดแสดงในแผนท่ีทางวัฒนธรรม (Cultural Mapping) ออกเปน 7 ประเภท ไดแ ก 1. แหลงประวัติศาสตร มีการนาํ เสนอผา นแผนทท่ี างวฒั นธรรม อยู 9 แหง 2. ศาสนสถาน มีการนาํ เสนอผานแผนท่ที างวัฒนธรรม อยู 21 แหง 3. บานพืน้ ถิ่นและเรอื นรานคา มกี ารนาํ เสนอผา นแผนทที่ างวฒั นธรรม อยู 31 แหง 4. สถานท่ศี กั ดิ์สิทธ์ิ มกี ารนาํ เสนอผานแผนที่ทางวัฒนธรรม อยู 6 แหง ทั้งระดับเมือง และระดับ ชมุ ชน 5. แหลงภูมปิ ญญาทองถน่ิ มีการนําเสนอผา นแผนทท่ี างวัฒนธรรม อยู 10 แหง 6. แหลง พธิ กี รรม มีการนาํ เสนอผา นแผนท่ที างวฒั นธรรม อยู 6 แหง 7. แหลง ภมู ิทัศนว ัฒนธรรม มีการนาํ เสนอผา นแผนท่ที างวัฒนธรรม อยู 4 แหง แหลงประวัตศิ าสตร ศาสนสถาน บานพ้นื ถ่ินและเรือนรานคา สถานที่ศักด์สิ ทิ ธ์ิ แหลงภมู ิปญญาทอ งถ่ิน แหลงพธิ กี รรม แหลง ภูมทิ ัศนว ัฒนธรรม สวนมรดกทางวัฒนธรรมท่ีจับตองไมได (Intangible Heritage) มีการ Externalization และ Combination สู Explicit Knowledge แลวนําไปเผยแพรในรูปแบบพื้นท่ีทางวัฒนธรรม (Cultural Space) ในพนื้ ทเ่ี สมือน http://maechaem.rmutl.ac.th
ภาษา ภาษา ภาษานับวาเปนเครื่องมือที่ใชส่ือสารในวิถี การดํารงชีวิตของชนกลุมตาง ๆ ซึ่งสะทอน โลก ทัศน ภูมิปญญา และวัฒนธรรมของแตละกลุมชน ทั้งเสียงพูด ตัวอักษร หรือสัญลักษณที่ใชแทน เสียงพดู ปจจุบัน วฒั นธรรมหลักในเขตอําเภอแมแจมคือวัฒนธรรมไทยวน ใช ภาษาไทยวนเปน หลกั อันเปน ภาษากลางในการสือ่ สารระหวา งกลมุ ชนตางๆ ที่ พดู ภาษาอื่นๆ เชน กะเหร่ยี ง ลัวะ มง งานชางฝมือด้ังเดิม งานชางฝมือด้ังเดิม ภูมิปญญา ทักษะฝมือชาง การ เลือกใชวัสดุ และกลวิธีการสรางสรรคที่แสดงถึงอัต ลักษณ สะทอนพัฒนาการทางสังคม และวัฒนธรรม ของกลุมชน โดยเฉพาะในแมแจม มีชางฝมือทั้งชายและหญิง ลวนตางแบง หนา ทีก่ นั อยางชัดเจน โดยฝกฝนต้ังแตเด็กจนเปนผูใหญ งานฝมือบางประเภท เปนของท่ีใชกันท่ัวไป และบางประเภทเปนงานเฉพาะเจาะจง โดยขอ ยกตัวอยางงานฝมือหลัก ดังตอไปนี้ ชางทอผา ชางทําปน ชางเงิน ชางจักสาน ชางพุทธศิลป เปนตน ท้ังชาว ไทยวน ลวั ะ และปกาเกอญอ ตามอตั ลกั ษณข องตน ความรู แนวปฏบิ ตั ิเก่ยี วกับธรรมชาตแิ ละจักรวาล ความรูและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล องคความรู วิธีการ ทักษะ ความเชื่อ แนวปฏิบัติและการแสดงออกท่ีพัฒนาข้ึนจากการมีปฏิสัมพันธระหวาง คนกับสภาพแวดลอมตามธรรมชาติ และเหนือธรรมชาติ ซึ่งองคความรูเหลาน้ี ได ฝงในชวี ิตและจติ วญิ ญาณของชาวแมแจม โดยเฉพาะความเช่ือและความศรัทธาในพอเจาหลวงทั้ง 3 พระองค นอกจากนยี้ งั มรี ะบบเหมืองฝาย อาหาร เปนตน แนวปฏิบตั ิทางสังคม พิธีกรรม และงานเทศกาล แนวปฏิบัติทางสังคม พิธีกรรม และงานเทศกาล แมแจมเปนอําเภอที่อยูหลังดอย อนิ ทนนท คลายกบั เปน ปราการก้นั การรุกล้าํ ของวฒั นธรรมภายนอกใหเขา มาไดชา ลง ทําใหแมแจม ยังอุดมไปดวยพิธีกรรม เทศกาลงานประเพณีอันเปนรากฐานดั้งเดิมเอาไวไดมากท่ีสุดแหง หนึ่งของไทย ไมวาจะเปนชาวไทยวน กะเหร่ียง ลัวะ ลวนแตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทุกชาติพันธมี ความสัมพนั ธก ัน ลว นแตต องพ่ึงพาอาศัยกันเสมอ เปนพ่ีนองบานบน-บานลุม ตลอดถึงมีการแตงงานขามกลุม กันอยูตลอด ฉะนั้นความสัมพันธทางสังคมของกลุมชาติพันธตางๆ จึงไมคอยมีปญหา แตปญหามักมาจาก ผลกระทบทางระบบเกษตรขนาดใหญ โดยเฉพาะปญหาการใชน้ํา นอกจากน้ี ประเพณีตางๆ ลวนแลวแต หมุนเวียนไปกับทางพระพทุ ธศาสนา และการเพาะปลูกเปนสาํ คญั กฬี าภมู ปิ ญญาไทย กีฬาภูมิปญ ญาไทย การเลน กฬี าและศลิ ปะการตอสูปองกนั ตวั ทมี่ กี ารปฏบิ ัติกนั อยูในแมแจม ยังคงมมี นตขลงั และมีเอกลกั ษณสะทอนวิถีชีวติ ของชาวลา นนา โดย
แบงออกเปน3 ประเภท คือการเลน พ้นื บา น กีฬาพื้นบาน และศลิ ปะการตอ สปู อ งกันตวั วรรณกรรมพ้ืนบา น วรรณกรรมพ้ืนบาน วรรณกรรมที่ถายทอดอยูในวิถีชีวิตชาวบาน โดยครอบคลุม วรรณกรรมท่ีถายทอดโดยวิธีการบอกเลา และที่เขียนเปนลายลักษณอักษร ซึ่งขอ แบงออกเปนวรรณกรรมลายลักษณ กับวรรณกรรมมุขปาฐะ วรรณกรรมลาย ลักษณ ในเขตอําเภอแมแจม จะมีวรรณกรรมลายลักษณท่ีจารจดไวดวยอักษร ธรรมลานนา มีท้ังเปนวรรณกรรมในพิธีกรรม และวรรณกรรมประโลมโลก เชน คําลองสังขาร บทซอ 4 บาท บทซอกะหลา่ํ นทิ านเรอ่ื งเลาตางๆ เชน เรอ่ื งตาํ นานดอยดวน นทิ านผดี อยหลวง เปนตน สาขาศลิ ปะการแสดง ในอาํ เภอแมแ จม มีการแสดงจากกลุมชาติพันธุตางๆ โดยเฉพาะคนไทยวน อันเปน กลุมวัฒนธรรมหลัก แมวาประชากรหลักสวนใหญจะเปนกลุมปกาเกอญอ (กะเหรี่ยงสะกอ) แตวัฒนธรรมไทยวน ก็ยังคงสืบทอดกันมาอยูตลอด ควบคูไปกับ ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีในทองถ่ินของอําเภอแมแจม ดังตัวอยางตอไปนี้ การ ฟอนเล็บหรอื ฟอนเมอื ง การฟอ นปติ การฟอนเก็บฝาย การแสดงจิกริ การแสดงชือบอื การฟอ นดาบ ฯลฯ เหลานี้เปนผลหรือขอมูลเบื้องตนที่ไดจากการเก็บขอมูลนํามาวิเคราะหและสังเคราะห กลายเปน Explicit Knowledge เพื่อเขาสูการเขาถึงและเรียนรู ทําใหทราบถึงวัฒนธรรมในพ้ืนที่ ที่ยังคงมีอยู เพ่ือที่จะ สามารถนําไปพัฒนาตอไดวา จากทุนเหลานี้ สามารถสรางประโยชนอยางใดบาง เชน การจัดการเปนแหลง ทอ งเทย่ี วทางวัฒนธรรม เชน กลมุ ทอ งเท่ียวบา นกองกาน เปน ตน นอกจากน้ี ยงั สามารถนําความรูภูมิปญญาท่ี มีอยู พัฒนาสินคาทางวัฒนธรรมตอไปในอนาคตได แตอยางไรก็ดี การตอยอดเหลาน้ี ตองอาศัยทุนทาง วัฒนธรรมที่มีอยู สืบทอด และสงตอไปยังรุนตอไป เพื่อใหชาวบานอยูได มีรายไดดี พรอมกับการอยูรอดของ วฒั นธรรมไปพรอ มกนั ปจจยั ทก่ี อใหเ กิดความสาํ เร็จ ไดแก 1. การสรางเครือขายความสัมพันธ ระหวางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา กับเครือขาย ทางวัฒนธรรมในอําเภอแมแจม ที่เหนียวแนน และไปมาหาสูกันเสมือนญาติ แมวาโครงการ บางอยา งจะส้ินสดุ ไปแลว แตความสมั พนั ธก ย็ ังคงมสี บื เนือ่ งอยูเสมอ 2. ความไวเ น้อื เช่ือใจระหวางชาวบา นกบั ทางมหาวิทยาลยั ทําใหไดข อ มูลทเี่ ปน ความจรงิ ถูกตอง 3. ทนุ ทางวัฒนธรรมอนั เปนเอกลักษณของพ้นื ที่ รวมถงึ อัตลกั ษณเ ฉพาะตัวของชาวแมแ จม 4. งานเดิมที่ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลานนา ไดดําเนินโครงการเปนพื้นฐานอยูเดิม ก็ ยอ มทาํ ใหน าํ ผลเหลานั้นมาเสรมิ และพฒั นาตอ ยอดไดอยางดี 5. คณะทาํ งานทมี่ ีความสามารถเฉพาะดา น ปญหาและอปุ สรรค ปญหาและอุปสรรคทเี่ กดิ ข้ึน ไดแก 1. ระยะทางระหวางมหาวิทยาลยั และแมแ จม มคี วามหา งไกล และระยะเวลาท่ีลงพื้นที่มีระยะเวลาที่ จาํ กัด ท้งั ที่ขอ มลู ในพน้ื ทม่ี ีจํานวนมาก 2. การสง ตอขอ มูล ไปสูแ ผนงานการพัฒนา ท้ังหนวยงานของรฐั และทองถ่นิ ยังคงเปนไปไดนอ ย 3. สภาวะเศรษฐกจิ ท่ีเปลี่ยนแปลง ทําใหงานฝมือ หรืองานทางวัฒนธรรมเห็นผลชากวางานดานอ่ืน ทําใหขาดผสู นใจในการสืบสาน หรือรับชว งตอ ไป
4. ผูที่มีภูมิความรูกับตัว มีจํานวนนอยลง ดวยสวนใหญมักเปนผูที่อยูในวัยชรา ขาดการสงตอภูมิรู เหลาน้นั (บางครั้งเกิดจากไมม ีใครยอมทจ่ี ะรบั ภูมริ ูเ หลา น้ัน) แนวทางแกไข 1. เพื่อใหเกิดการตอเนื่องตอการพัฒนาตอยอด ควรมีการประสานงานกับสวนงานราชการ, การ ปกครองสวนทองถ่ิน และชุมชน ใหเกิดการใชขอมูล Cultural Map เปนฐานในการมุงสูการ พฒั นาพนื้ ทตี่ อไป 2. ควรเพิ่มพ้ืนท่ีทางวฒั นธรรม Cultural Space ทัง้ พนื้ ทจ่ี รงิ และพืน้ ทเ่ี สมอื น สรุป การเช็กสต็อก เปนการตรวจสอบส่ิงที่คงเหลือวามีอยูเทาไหร ศิลปวัฒนธรรมก็เชนกัน มีการ ปรับเปลี่ยนไปตามการพฒั นาของสงั คม ท้ังเกิดจากภายในและภายนอก ฉะนัน้ การตรวจสอบวาศิลปวฒั นธรรม ที่มีอยู ท่ีถือวาเปน “ทุน” ทางวัฒนธรรมนั้น มีอะไรบาง เพ่ือใหฐานในการพัฒนามีความมั่นคง ยั่งยืนสืบไป จาํ เปนตองมองผา นทุนทางวฒั นธรรมในพืน้ ทข่ี องตนเองเสยี กอ น “ทุน” ท่ีเปนภูมิปญญาตางๆ มักอยูในรูปแบบของความรูที่อยูในตัวคน หรือ Tacit Knowledge ฉะนั้นจึงตองมีการแปลงความรูนั้นมาสู Explicit Knowledge ทั้งที่เปนมรดกภูมิปญญาที่จับตองได (Tangible Heritage) และ มรดกภูมิปญญาท่ีจับตองไมได (Intangible Heritage) ในพื้นท่ีหน่ึงๆ ผานการ บอกเลาเร่ืองราว (Story Telling) มาสูการทําแผนที่ทางวัฒนธรรม (Cultural Mapping ) และพื้นท่ีทาง วัฒนธรรม (Cultural Space) เปนการจัดการความรู ไปสูการพัฒนาตอยอดตอไป เพ่ือความมั่งคั่งและย่ังยืน “คนอยูได วัฒนธรรม อยไู ด” ไปพรอ มๆ กัน บรรณานกุ รม กรมสง เสริมวัฒนธรรม. มรดกภมู ิปญญาทางวัฒนธรรม. Accessed Jan 29, 2019 From http://ich.culture.go.th/index.php/th การจดั การความรู(KM): ตวั ชว ยของผปู ฏบิ ัติงาน–ผบู รหิ ารในทกุ องคกร. Accessed Feb 6, 2019 From http://www.okmd.or.th/upload/pdf/chapter1_kc.pdf ภาสวรรธน วัชรดาํ รงคศ ักด์ิ และคณะ. 2561. โครงการพฒั นาเชิงพน้ื ที่ทางศลิ ปะและวัฒนธรรมเมือง แมแ จม จังหวดั เชียงใหม. สํานกั งานกองทุนสนบั สนนุ งานวิจยั เอกรฐั พยัตตกิ ลุ , 2555. การศึกษามรดกทางวฒั นธรรม อําเภอเชียงคาน สพู ้นื ท่ีการออกแบบ ศูนยก ารเรียนรทู างวฒั นธรรม อาํ เภอเชียงคาน จงั หวัดเลย. (ม.ป.ท)
รูปแบบการนาเสนอแนวปฏิบัติทีด่ ี โครงการประชุมสัมมนาเครือข่ายการจัดการความรู้ฯ ครง้ั ท่ี 12 “การจัดการความร้สู ู่มหาวทิ ยาลยั นวตั กรรม” (Knowledge Management: Innovative University) สาหรับอาจารย์/ บุคลากรสายสนบั สนนุ / นักศกึ ษา ชอ่ื เรือ่ ง/แนวปฏบิ ัติทด่ี ี องคค์ วามรูด้ า้ นการวจิ ยั สู่การเพิม่ ปรมิ าณงานวจิ ัยในองค์กร ชือ่ -นามสกลุ ผู้นาเสนอ คงศักดิ์ ตุ้ยสืบ, ภานุวฒั น์ วริ ชั เกษม, กร จนั ทรวโิ รจน์ และกนกวรรณ เวชกามา ชอื่ สถาบันการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา ลาปาง หน่วยงาน คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ และกองการศึกษา เบอร์โทรศัพท์มือถอื 091-7963539 เบอร์โทรสาร 054-342549 E-Mail address [email protected]
องค์ความรู้ด้านการวิจยั สกู่ ารเพมิ่ ปรมิ าณงานวิจัยในองค์กร The Research Knowledge to Increasing Organization Research Number คงศักด์ิ ตยุ้ สบื (Khongsak Tuisuep)1 ภานวุ ฒั น์ วิรชั เกษม (Panuwat Verutcarsam)2 กร จันทรวิโรจน์ (Korn Chantaraviroat)3 กนกวรรณ เวชกามา (Kanokwan Vechgama)4 1อาจารยส์ าขาบริหารธรุ กิจ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา ลาปาง [email protected] 2เจ้าหน้าที่บริหารงานทว่ั ไป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา ลาปาง [email protected] 3อาจารยส์ าขาบรหิ ารธรุ กจิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา ลาปาง [email protected] 4ผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาวชิ าการจดั การ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา ลาปาง [email protected] บทสรปุ กิจกรรมการจัดการความรู้ด้านการวิจัยเพ่ือการเพ่ิมปริมาณผลงานวิจัยระดับสถาบัน ขับเคล่ือนโดยทีมงานคณาจารย์และบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลาปาง โดยใช้เครื่องมือการจัดการความรู้ด้านฐานความร้บู ทเรียนและความสาเร็จ และ การเล่า เรอื่ ง โดยกิจกรรมมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพ่ือสง่ เสรมิ สนบั สนุนให้มกี ระบวนการดา้ นการวิจัยเป็น แนวทางสาหรับบุคลากร 2. เพ่ือเพ่ิมจานวนการขอสนับสนุนทุนวิจัยในปีถัดไปหลังจากการจัด กิจกรรม ผลจากการจัดกิจกรรมได้รูปแบบในการดาเนินการตั้งแต่การขอสนับสนุนงบประมาณ จนกระทงั่ ถึงการเขยี นบทความวิจยั ในรูปแบบกระบวนการช่ือ ESPUA ซ่งึ ย่อมาจาก คน้ หาความ เช่ียวตนเอง (Expertise), ทราบแหล่งทุนเป้าหมาย (Source of fund), เขียนโครงร่างนาเสนอ ขอสนับสนุนทุน (Proposal and research), นาผลจากการวิจัยไปใช้ประโยชน์ (Useful research) และ การเขียนบทความวิจัย (Article of research) ผลจากดาเนินกิจกรรมด้านการ วิจัยตามกระบวนการส่งผลให้ปริมาณการขอสนับสนุนทุนวิจัยเพ่ิมข้ึนจากปี 2559 ร้อยละ 40 เป็นระยะเวลา 2 ปี คาสาคัญ: การวจิ ัย องคค์ วามรู้ การจัดการความรู้
Summary The activity of knowledge management ( KM) for more research proposal was steered by team working in Rajamangala University of Technology Lanna Lampang. The tools of KM are 1. The lesson learned and best practices databases and 2. The story telling by the researchers who were accepted. The objectives of these activity are 1. Pushing the process from KM activity to lecturer and researcher. 2. Increasing the research proposal after KM activity. The results of KM activity is new process named ESPUA ; Expertise, Source of fund, Proposal and research, Useful research, Article of research. After using the ESPUA, the research proposal increased 40% between 2 years later. Keywords : Research, Knowledge, Knowledge Management. บทนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ลาปาง เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลล้านนาซึ่งได้ถกู แบ่งเพ่อื กระจายการศึกษารองรับประชาชนเป็น 6 เขตพน้ื ที่ คือ เชียงใหม่ ลาปาง เชียงราย น่าน ตาก และ พิษณุโลก ที่มุ่งเน้นในการพัฒนาทุกภาคสว่ นของ มหาวิทยาลัยสู่ความเป็นอัตลักษณ์ในเรื่องของอุตสาหกรรมเกษตร เพ่ือผลิตบัณฑิตนักปฏิบัติ กิจกรรมท่ีมีส่วนสาคัญย่ิงในการก้าวไปสู่อัตลกั ษณ์คือการเปน็ ชมุ ชนแห่งการเรียนรูข้ องคณาจารย์ บุคลากร ซ่ึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากิจกรรมหน่ึงท่ีมีความสาคัญคือ กิจกรรมการจัดการความรู้ใน องค์กร ซึ่งเป็นกจิ กรรมท่มี งุ่ เนน้ การจดั การระบบความรู้ ระบบความคดิ และถา่ ยทอดส่กู ารปฏิบัติ ไดอ้ ย่างชดั เจนและแท้จริง และยังเปน็ กลไกที่สาคัญในการจัดการความรขู้ ององคก์ รให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ เป็นวิธีการหรือข้ันตอนในการปฏิบัติกิจกรรมการจัดการความรู้ตามที่กาหนดไว้ (พรรณี สวนเพลง, 2552) นอกจากนม้ี ผี ู้เชี่ยวชาญได้กล่าวไว้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ คือการนา ความรู้ไปสู่การปฏิบัติ โดยสามารถพูดได้อย่างชัดเจนคือควรอย่างย่ิงที่ต้องมีการกระทาภาย หลังจากการจัดการความรู้เพ่ือเพ่ิมคุณค่าส่ิงที่มีอยู่ในองค์กร (ประพนธ์ ผาสุขยืด, 2550) เนื่องมาจากความรู้เปน็ สงิ่ ที่สาคญั เปรียบดงั ทรัพย์สินท่ีมีคา่ ยิ่งในองค์กร หากรักษาไวไ้ ดเ้ ทียบเท่า กบั การไดเ้ ปรยี บในการแขง่ ขันได้ ซ่งึ ขนึ้ อยู่กับความสามารถขององคก์ รท่จี ะทาให้ขับเคล่ือนไปได้ อย่างดีและมปี ระสิทธภิ าพอย่างไร โดยกระบวนการที่เป็นทั้งระบบค้นหา สร้าง รวบรวม จัดเกบ็ เผยแพร่ ถา่ ยทอด แบ่งปนั และใช้ความรู้ (บญุ ดี บญุ ญากิจ, 2549)
เป็นท่ที ราบกันดีว่างานวิจัยเปน็ หนึง่ ในพันธกจิ หลักของคณาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัย จาก 4 พนั ธกจิ หลกั คอื การเรียนการสอน วจิ ยั บริการวชิ าการ ทานุบารุงศลิ ปวฒั นธรรม ซึง่ การ วจิ ยั หากกล่าวกนั ตามหลกั วิชาการแล้วหมายถึง การกระทาของมนุษย์เพ่อื ค้นหาความจริงในสิ่งใด สิ่งหนึ่งที่กระทาด้วยพ้ืนฐานของปัญญา ความมุ่งหมายหลักในการทาวิจัยได้แก่การ ค้นพบ (discovering), การแปลความหมาย, และ การพัฒนากรรมวธิ แี ละระบบ สู่ความก้าวหน้า ในความรู้ด้านต่าง ๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์ที่หลากหลายในโลกและจักรวาลการวิจัยอาจต้องใช้ หรือไม่ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ (Wikipedia, การวิจัย) นักวิชาการส่วนมากจึงมีความ พยายามย่ิงที่จะก้าวสู่สนามการวิจัยเป็นหนทางสู่เวทีการวิจัย และ พัฒนา และเป้าหมายสูงสุด ของงานวิจัยคือ เชิงบุกเบิก เชิงก่อ และ เชิงประจักษ์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นจุดเร่ิมต้นของการ พัฒนาท่ีเร่ิมจากสถานศึกษา สู่ชุมชน จากชุมชนสู่การพัฒนาในภาพจังหวัด ประเทศ และ นานาชาติ ต่อไป การวิจัยท่ีมีกระบวนการที่ดีและเป็นการจัดการความรู้จากผู้ร้ทู ี่มีการปฏิบัติมา ยาวนานและมีสิ่งรับประกันถึงความเป็นมืออาชีพในด้านการวิจัยยิ่งเป็นบทเรียนที่ควรย่ิงต่อ การศึกษาและเป็นจุดเร่มิ ของการพฒั นาตอ่ ไป วิธกี ารดาเนนิ งาน การดาเนินการการจัดการความรู้เก่ียวกับงานวิจัยนี้ใช้วิธีการฐานความรู้บทเรียนและ ความสาเร็จ (Lesson Learned and Best Practices Databases) การจัดการองค์ความรู้ใน องคก์ รได้มกี ารจัดเกบ็ องค์ความรูท้ เี่ กดิ ข้ึนจากประสบการณ์ ท้ังใน รูปแบบของความสาเร็จ ความ ล้มเหลวและข้อเสนอแนะในเรื่องท่ีสนใจ โครงการ หรือกลุ่มท่ีปรึกษา และ การเล่าเร่ือง (Story Telling) เรื่องราวที่บอกเล่าทาให้ผู้ฟังเข้าไปร่วมอยู่ในความคิด มีความรู้สึกเสมือนเป็นส่วนหนึ่ง ของเร่ืองที่ เลา่ มคี วามตอ้ งการท่ีจะหาคาตอบเพือ่ แก้ปัญหาเร่ืองราวและความคิดตา่ งๆ ในเรอื่ งท่ี เลา่ นนั้ กลายเปน็ ของผู้ฟัง ผฟู้ ังมใิ ชเ่ ปน็ เพียงผ้สู ังเกตภายนอกอกี ตอ่ ไป ทั้งสองเครอ่ื งมือนไี้ ด้ดาเนินไปในขณะเดยี วกันกบั การจัดกจิ กรรมการจัดการความร้ดู ้าน การวิจัยและการนาไปใช้ประโยชนโ์ ดยมกี ระบวนการในการดาเนินกิจกรรมการจดั การความรู้ดงั น้ี Public relation Sharing Selecting team Announcement KM activity Lesson learn & reflection ภาพท่ี 1 กระบวนการดาเนินกจิ กรรม จากภาพท่ี 1 สามารถอธิบายได้เปน็ ขอ้ ๆ ถึงกระบวนการดาเนนิ กจิ กรรมตงั้ แตก่ ารค้นหาโจทยถ์ ึง การถอดบทเรยี นภายใต้กจิ กรรมการจดั การความรู้ (Knowledge Management) ลาดับขน้ั ดงั นี้
ประชาสัมพนั ธเ์ พ่ือเข้าร่วมกจิ กรรมการจดั การความรู้ (Public relation) เสนอหวั ข้อทท่ี ่านสนใจในการดาเนนิ กิจกรรมการจัดการความรู้ (Sharing) และคดั เลือก หัวข้อท่ีได้รับการลงชื่อได้มากท่ีสุด โดยเลือกจากงานในหน้าที่หลักหรืองานสนับสนุน (รอง) แต่งตั้งคณะดาเนินกิจกรรมตามรูปแบบคาส่ังการดาเนินงานของมหาวิทยาลัย และ คดั เลือกบคุ ลากรในเครอื ข่ายวทิ ยากรกระบวนการ (Selecting teamwork) แจ้งวันเวลาสถานท่ีในช่ัวโมงกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยเพ่ือความพร้อมเพรียงของ บุคลากรทง้ั สายสนบั สนนุ และสายวชิ าการ (Announcement) ดาเนินกจิ กรรมการจัดการความรู้ (Knowledge management activity) ถอดบทเรียนและส่งข้อมูลย้อนกลับจากการจัดการความรู้ (Lesson learn and reflection) ผลและอภิปรายผลการดาเนินงาน จากการดาเนินกิจกรรมไดผ้ ลทกี่ ่อใหเ้ กิดประโยชน์คอื การเร่มิ การวิจัยควรมกี ารวางแผน ต้ังแต่เริ่มต้นต้ังแต่การตัดสินใจในการขอสนับสนุนงบประมาณในการดาเนินงานและสามารถ อธิบายเป็นข้ันตอนดังภาพในกระบวนการท่ีมีอักษรย่อคือ ESPUA ซึ่งเป็นข้อค้นพบใหม่และ สามารถจดจาไดง้ ่ายในการออกเสยี งภาษาไทยวา่ “เอสปวั โมเดล” ดงั น้ี Expertise Science, Social science, Engineer, Architect Source of fund Government, Private organization Proposal and research Preparing and writing proposal Useful research Transfer academic Article Choose for Journal and impact factor
ภาพที่ 2 รปู แบบ “ESPUA” ผลจากการถอดบทเรยี นเก่ยี วกับขนั้ ตอนของ “องค์ความรดู้ า้ น การวจิ ัยส่กู ารเพ่ิมปริมาณงานวิจัยในองคก์ ร” ที่มา: กิจกรรมการจดั การความรูด้ า้ นการวิจยั มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลล้านนา ลาปาง จากภาพที่ 2 สามารถอธิบายไดด้ ังน้ี 1. เริ่มต้นจากความเช่ียวชาญในแต่ละศาสตร์ของนกั วิจัย ผนวกกับการตัดสินใจที่จะทา วิจัยในรูปแบบ มาจากความต้องการของแหล่งทุน (Demand pull) ควรมีการเรียนรู้เพิ่มเติม และมคี วามคิดสรา้ งสรรค์ หรอื ตามความเช่ียวชาญของนกั วิจัย (Supply push) 2. วิธีการและความต้องการของแหล่งทุน คือการศึกษาความต้องการระดับประเทศ ระดับจังหวัด สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนา และต้ังเป้าหมายเพื่อพัฒนาตนเอง จากนั้นศึกษาข้ันตอนวิธกี ารขอทุน เลือกแหล่งทุน ว่าเป้าหมายคือแหล่งทุนขนาดเล็กหรือแหลง่ ทุนขนาดใหญ่ บริหารงานวิจัยภายใต้ระยะเวลาและจานวนงานวิจัยที่มีอยู่ ถ้าหากยังไม่มีความ พร้อม ควรยิ่งท่ีต้องเป็นอาสาสมัครเป็น Co-research เม่ือยังไม่พร้อมในการเป็นหัวหน้า โครงการ หรือจัดต้ังกลุ่มทางการวิจัย เมื่องานวิจัยเข้าสู่ยุคการบูรณาการศาสตร์ควรมีการจัดต้งั กล่มุ วจิ ัยไว้เพ่อื ดาเนนิ การวจิ ัยและขอสนับสนุนจากหนว่ ยงานต่าง ๆ 3. การวางแผนการวจิ ัย โดยเริม่ ต้นท่กี ารเขียนโครงการเสนอโดยคานงึ ถงึ ทรัพยากรที่มอี ยู่ทั้งของนักวจิ ัย ทีมวจิ ัย และองคก์ รทส่ี งั กัดอยู่ หน่วยงานทีเ่ กีย่ วขอ้ ง คอื หน่วยงานภาคีทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การศึกษา ทรพั ยากรใช้ไดจ้ ริงทั้งของนักวจิ ัย ทีมวจิ ัย และองคก์ รท่สี งั กดั อยู่ ผลผลิต (Output) มคี วามชัดเจน บอกเปน็ ขั้นตอน 1,2,3 เตรียมแผนสารอง บ่งบอกถึงการบรหิ ารความเสี่ยงภายในโครงการวิจยั กาหนดใชป้ ระโยชน์ใหช้ ัดเจน ทั้งบคุ คล หน่วยงาน องคก์ ร ฯลฯ จากนั้นเข้าสูก่ ระบวนการ 4. ดาเนินการวิจัย ดาเนินการวจิ ัยตามศาสตร์วชิ าการของผู้วิจัย และหากการดาเนินการ ไม่เป็นไปตามแผนท่ีวางไว้ มีทางเลือก คือ ควรใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าช่วย และ การคืนทุน และถ้าหากดาเนินการวิจัยเสร็จส้ินตามระยะเวลา และได้ผลการศึกษาตามที่ ตงั้ เป้าหมายและสอดคล้องกับวัตถปุ ระสงค์แล้วน้ัน จึงก้าวสู่ 5. การตพี มิ พ์หรอื ที่มักถกู เรียกวา่ “บทความวิจยั ” ท่มี กี ระบวนการจากบทเรียนดงั นี้
เลอื กฐานขอ้ มลู วา่ มคี วามประสงคจ์ ะลงบทความในฐานใด โดยมีใหเ้ ลอื ก คอื ฐาน TCI, Scopus เลือกท่ีมี Impact Factor ย่ิงมากยิ่งดี โดยแต่ละสายวิชา คือ วิศวกรรมศาสตร์, วิทยาศาสตร์, สังคมศาสตร์ จะมีความแตกต่างกัน และตามเกณฑ์ สกอ./กพอ. ซ่ึงข้อนี้จะส่งผล ใหง้ ่ายต่อการนาเสนอเพือ่ ขอผลงานทางวชิ าการตอ่ ไป การเขียนบทความวิจัย คัดเลือกผลงานที่มีอยู่ และให้น่าสนใจ โดยคานึงถึงเกณฑ์ของ สานักพมิ พ์ทีจ่ ะไปตพี ิมพ์ จากน้นั นาส่ง หากแหล่งทีจ่ ะตีพิมพ์รับตีพิมพ์จงึ นาบทความมาแก้ไขให้ ตรงตามระยะเวลาท่กี าหนด หากปฏิเสธใหท้ ราบวา่ ในคร้งั ตอ่ ไปหากสง่ อีกคร้งั ต้องรอบคอบกว่าที่ เคยเป็น อ่านเพื่อระดมความรู้ เพ่ือให้รู้เขารู้เรา รวมถึงเพ่ือให้ทราบว่าแบบการเขียนของแต่ละ แหลง่ ตีพิมพ์ นาไปสู่การวางแผนการเขียนบทความ ซึ่งการเขียนบทความ ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ดังนี้ 1.บทคดั ยอ่ (Abstract) 2.เกริ่นนา (Introduction) ซ่ึงเปน็ ส่วนท่ดี ึงความสนใจการอ้างอิง ที่มีความใหม่ของข้อมูล ทันสมัย 3.วิธีการ (Methods) ต้องมีความละเอียดและชัดเจน 4. วิเคราะห์ผล (บางบทความไม่มี ซึ่งขึ้นอยู่กับสาขาวิชา) 5.รายงานผล ควรใส่ความคิดเห็นที่ น่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ 6.รูปประกอบ ไม่ควรตัดต่อ ปรับแต่งรูปภาพ เน่ืองจากมีผลต่อการ พิจารณา และกราฟ หากเป็นไปได้ควรนาไปในส่วนโปรแกรมอื่นท่ีไม่ใช่ Excel 7. สรุปผล หาก วัตถุประสงค์ซ่ึงควรตระหนักว่าไม่ควรมีความซ้าซ้อน (Conclusion) กับบทคัดย่อ และไม่ควร เขียนแบบเกนิ จริง จากผลที่ได้จากการดาเนินกิจกรรมสอดคล้องกับการศึกษาของ วรางคณา (2557) ท่ี กล่าวถึงการ AAR น้ันเม่ือนาผลมาปรับปรุงจะเป็นการจับความรู้ท่ีเกิดขึ้นนาไปสู่การวางแผน ต่อไป ซึ่งภายหลังการดาเนินกิจกรรมสามารถแสดงผลการดาเนินการวิจัยท่ีเพ่ิมมากขึ้นสืบเน่ือง จากมองเห็นกระบวนการทชี่ ดั เจนข้ึนดังนี้ ป/ี คณะ วิทยาศาสตร์ฯ บรหิ ารธุรกิจฯ วิศวกรรมศาสตร์ 2559 4 7 4 2560 9 8 7 2561 15 14 7 ตารางท่ี 1 จานวนโครงการวจิ ยั ท่เี สนอขอสนบั สนนุ ทุนและดาเนนิ การ
จานวนงานวจิ ยั ปี 2559-2561 20 10 0 วิทยาศาสตรฯ์ บริหารธรุ กจิ ฯ วิศวกรรมศาสตร์ 2559 2560 2561 ภาพท่ี 3 กราฟแสดงวิวฒั นาการของโครงการวจิ ยั ทีม่ พี ัฒนาการท่เี พ่มิ ข้นึ ภาพที่ 4 กจิ กรรมการจัดการความรู้ KM day ปีงบประมาณ 2559 วทิ ยากรและผ้ดู าเนนิ กจิ กรรม KM Day ดา้ นกระบวนการวิจยั โดย ผศ. ดร. วรรณา อรรมวรรธน์, ดร. ปยิ ะมาสถ์ ตณั ฑเ์ จรญิ รัตน์ และ ดร. สุรพล ใจวงษส์ า
สรุป การดาเนินกิจกรรมถอดบทเรียนเก่ียวกับกระบวนการวิจัยภายใต้หัวข้อ “องค์ความรู้ ด้านการวิจัยสู่การเพ่ิมปริมาณงานวิจัยในองค์กร” ได้ผลจากการดาเนินกิจกรรมและนาไปใช้ใน องค์กรในภาพรวมโดยการกระจายผลการดาเนินกิจกรรมทางเว็บไซต์ภายในหนว่ ยงาน ส่งผลต่อ จานวนของการขอสนับสนุนด้านการวิจัยท่เี พ่มิ ข้นึ รอ้ ยละ 40 ระหว่างปี 2559-2561 แสดงให้เห็น ถึงกระบวนการของการจัดการความรู้ และ ถอดบทเรียนเพ่ือนาไป ใช้จริงในองค์กรเป็น กระบวนการที่เป็นส่วนหน่ึงของการผลักดันด้านการพัฒนากิจกรรมหลักภายในองค์กรได้ แต่ ผลกระทบของกิจกรรมจาเป็นยง่ิ ที่ต้องใชเ้ วลาเนือ่ งจากกระบวนการเก่ยี วกับการวิจยั มีระยะเวลา เข้ามากากับช่วงเวลาการขอสนับสนุนทุนวิจัย จึงทาให้กิจกรรมและผลต้องใช้ระยะเวลา 2 ปีข้ึน ไปเพือ่ เห็นข้อแตกต่างก่อนและหลังการใช้กระบวนการ บรรณานุกรม วรางคณา จันทรค์ ง. 2557. จลุ สารสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สขุ ภาพออนไลน.์ มุมวจิ ัย. ฉบบั ท่ี 1 พรรณี สวนเพลง. 2552. เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมสาหรบั การจัดการความรู้. กรุงเทพ : ซเี อ็ดยเู คชน่ั . 43-44 ประพนธ์ ผาสกุ ยืด. 2550. การจัดการความรู้ฉบบั ขับเคล่อื น LO. กรุงเทพฯ : ใยไหม. บุญดี บุญญากจิ . 2549. การจดั การความรู้จากทฤษฎีสูก่ ารปฏบิ ตั ิ. กรุงเทพฯ : สถาบนั เพม่ิ ผลผลติ แหง่ ชาต.ิ วิกิ สารานกุ รมเสรี. 2562. การวิจัย. สืบคน้ จาก https://th.wikipedia.org/wiki/การวจิ ัย
Search