Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พริก

พริก

Published by dog_2521, 2020-05-16 01:00:31

Description: พริก

Search

Read the Text Version

สง่ เสริมการอ่านออนไลน์ รวบรวมขอ้ มลู โดยหอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอครุ ะบรุ ี กศน.อาเภอครุ ะบรุ ี สานักงาน กศน.จงั หวดั พงั งา พรกิ พรกิ ประวัติและความเปน็ มา มีการบันทกึ วา่ พริกถกู คน้ พบครงั้ แรก เมอ่ื ประมาณ 7,000 ปีก่อนทีอ่ เมริกากลางและ อเมริกาใต้ โดยครสิ โตเฟอร์ โคลัมบสั จากนั้นกม็ ี การนาพรกิ มาปลูกและเผยแพรไ่ ปทว่ั ยโุ รป และ ลามไปทั่วโลก ทาให้พริกมชี ื่อเรียกแตกตา่ งกัน ไปมากมาย เชน่ พรกิ ภาษาอังกฤษคือ Chili หรือ Chili peppers ซ่งึ ก็มาจากคาว่าพริกใน ภาษาสเปน หรอื chile โดยพริกจัดอยใู่ นวงศ์ Solanaceae สกลุ Capsicum ซง่ึ พรกิ มชี ่อื ทางวทิ ยาศาสตร์ว่า Capsicum spp. สว่ นประเทศไทยของเรากร็ ู้จกั และ คุน้ เคยกบั การปลูกพรกิ มานานแล้ว และสาย พนั ธ์ุของพรกิ ในประเทศไทยก็มีอยู่ไมน่ อ้ ย รวม ท้ังหมดประมาณ 831 สายพนั ธุ์ สามารถแบ่ง ออกได้เป็น 3 กลมุ่ ใหญ่ ๆ ตามชนิดของพริก ได้แก่ พริกช้ฟี า้ พริกขหี้ นูเมด็ ใหญ่ และพริก ข้หี นเู ม็ดเล็ก

ช่อื เสยี งที่โดดเด่นท่ีสดุ ของพริก ต้องยกใหเ้ ร่ืองความเผด็ เพราะวา่ พรกิ คอื เคร่ืองเทศทใ่ี หร้ สเผด็ ร้อนชนิดหนึ่ง เนือ่ งจากในพรกิ มสี ารแคปไซซิน (Capsicin) ท่เี ปน็ สารท่ีให้ความเผด็ รอ้ น โดยสารชนดิ นจ้ี ะกระจายอย่ใู นทกุ ส่วนของพริก แต่ ส่วนท่พี บมากท่ีสุดหรือเผด็ มากท่สี ุดกค็ อื รกหรือไส้ของพริกนัน่ เอง ซ่งึ สารนม้ี ี คณุ สมบัตพิ เิ ศษตรงท่ีสามารถทนความร้อนไดด้ แี มว้ า่ จะผ่านกระบวนการทาให้ สกุ หรอื ตากแดดร้อน ๆ จนแห้งแล้วก็ตาม แตพ่ ริกก็ยงั คงความเผ็ดรอ้ นไวไ้ ด้ ดังเดมิ พริก ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์เปน็ อย่างไรบา้ ง ? โดยท่ัวไปแลว้ พรกิ เป็นไดท้ ัง้ พชื ล้มลกุ ไม้พมุ่ และไม้ยนื ตน้ ขนาดเลก็ ซงึ่ จะกระจายอย่ทู ั่วโลก และดว้ ยความท่พี ริกมหี ลายสายพันธ์ุ ลกั ษณะทาง พฤกษศาสตรข์ องพริกจงึ จะอธิบายในส่วนของพรกิ ที่คุ้นเคยกันเปน็ ส่วนใหญ่ ซงึ่ ลกั ษณะของต้นพริกกม็ ีดังน้ี ราก : ระบบรากของพริกมีทง้ั รากแก้วและรากฝอย โดยรากแกว้ จะหา กนิ ลึกมาก สว่ นรากฝอยจะหากินอย่างหนาแน่นรอบ ๆ ตน้ ถ้าตน้ พริกยงั ไมโ่ ต เตม็ ทีร่ ากฝอยจะหากินลกึ ประมาณ 60 เซนติเมตร แต่หากต้นพรกิ โตเตม็ ทแ่ี ล้ว รากฝอยจะแผ่ออกไปหากินด้านข้างในรัศมีกวา้ งกวา่ 1 เมตร และลึกกว่า 1.20 เมตร ลาตน้ และกงิ่ : ลาต้นพริกต้ังตรง สูงประมาณ 1-2.5 ฟุต โดยจะมกี ่ิง เจรญิ จากตน้ เพยี งกิง่ เดยี ว แล้วค่อยแตกออกเปน็ 2 ก่ิง 4 กิ่ง 8 กิ่ง 16 กิ่งไป เรอื่ ย ๆ ซง่ึ ในระยะแรกทั้งลาตน้ และกง่ิ จะเปน็ ไมเ้ นอื้ ออ่ น แตพ่ อมอี ายมุ ากข้นึ ลาต้นจะแขง็ แรงมากขนึ้ แต่กิ่งยงั เป็นไมเ้ นอ้ื ออ่ นท่เี ปราะหกั ง่ายเหมือนเดิม

ใบ : เป็นใบเลยี้ งคู่ มลี ักษณะแบนราบเปน็ มนั มีขนเล็กน้อย โดยจะมี รปู ร่างตงั้ แตร่ ูปไขไ่ ปจนถงึ ทรงเรียวยาว โดยพริกแตล่ ะชนิดก็จะมขี นาดแตกตา่ ง กนั ออกไป เชน่ ใบพรกิ หวานมีขนาดคอ่ นขา้ งใหญ่ ใบพริกขหี้ นูทวั่ ไปมีขนาดเลก็ ในชว่ งเป็นต้นกล้า แต่พอโตเตม็ ทีก่ ็จะมขี นาดค่อนขา้ งใหญ่ ดอก : เป็นดอกสมบูรณ์เพศ คือมีเกสรตัวผ้แู ละเกสรตัวเมียอยูภ่ ายใน ดอกเดียวกัน โดยปกติมกั พบเป็นดอกเด่ยี ว แตอ่ าจจะพบหลายดอกเกิดตรงจดุ เดียวกนั ได้ โดยสว่ นประกอบของดอก ประกอบไปดว้ ยกลีบรองดอก 5 พู กลบี ดอกสขี าว 5 กลีบ แต่บางพันธอ์ุ าจมีสีม่วง และอาจมีกลีบตงั้ แต่ 4-7 กลีบ มี เกสรตวั ผู้ 5 อัน ซ่ึงแตกจากตรงโคนของชัน้ กลบี ดอก ซ่ึงอบั เกสรตัวผูเ้ ป็นสนี า้ เงนิ แยกตัวเปน็ กระเปาะเล็ก ๆ ยาว ๆ สว่ นเกสรตัวเมียชสู งู ขึน้ ไป พริก คณุ ค่าทางโภชนาการที่ควรรู้ หนงั สือค่มู ือเกษตรกร ระบุว่า พริกขห้ี นแู ละพรกิ ชีฟ้ ้า 100 กรมั มคี ุณคา่ ทางโภชนาการ ดงั นี้ พลังงาน 103 กโิ ลแคลอรี ไขมัน 2.4 กรมั คาร์โบไฮเดรต 19.9 กรมั ใยอาหาร 6.5 กรัม โปรตนี 4.7 กรัม แคลเซียม 45 มิลลกิ รัม ฟอสฟอรสั 85 มิลลกิ รัม เหลก็ 2.5 มลิ ลิกรัม วิตามนิ เอ 11,050 I.U. วติ ามนิ บี 1 (ไธอะมนี ) 0.24 มิลลกิ รมั วติ ามินบี 2 (ไรโบเฟลวนิ ) 0.29 มิลลิกรัม วิตามนิ บี 3 (ไนอะซีน) 2.10 มิลลิกรมั วิตามนิ ซี 70 มิลลิกรมั

เมลด็ พันธ์พุ รกิ สาหรับปลกู ถ้าไม่คดิ อะไรมาก เมล็ดพนั ธุ์พรกิ ที่ วางขายท่ัวไปตามร้านขายตน้ ไม้ หรือ ซุปเปอร์มารเ์ ก็ตบางแหง่ ก็มจี าหนา่ ยใน ราคาซองละ 15-20 บาท แตถ่ ้าไมส่ ะดวกซ้อื ตอ้ งการเพาะต้นกล้าพริกเองก็ สามารถทาได้ เร่มิ จากการนาเม็ดพริกทีม่ ีอยแู่ ล้วในครวั สดหรือแห้งกไ็ ม่สาคัญ แต่ขอให้พริกเมด็ น้นั แกจ่ ดั เพราะจะเปน็ เมลด็ พรกิ ทพ่ี ร้อมขยายพันธ์ุ การเพาะใหต้ ้นกลา้ พริกเจรญิ เติบโตอยา่ งรวดเรว็ ทาไดไ้ ม่ยาก เริ่ม จากการเตรียมดนิ สาหรับเพาะเมลด็ พรกิ โดยหาวสั ดใุ สด่ ินสาหรบั เพาะ ใช้ กระถางกไ็ ด้ ส่วนดนิ ซ้อื ไดต้ ามร้านตน้ ไม้ ถงุ ละ 20-35 บาท ขนึ้ กบั ความ สมบรู ณข์ องดนิ นาดินทีไ่ ดม้ าทาให้ขยใ้ี หล้ ะเอียด จากนน้ั โรยเมล็ดพรกิ ลงดินท่ี เตรยี มไว้ ไม่ควรโรยใหแ้ น่นหรอื ใกลก้ นั จนเกนิ ไป เพราะจะเกดิ การแยง่ อาหาร กนั หรอื รากพนั กนั ทาให้แยกตน้ ไปปลกู ลาบาก

การเพาะให้ต้นกลา้ พริกเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทาไดไ้ มย่ าก เริม่ จากการเตรียมดนิ สาหรบั เพาะเมลด็ พริก โดยหาวสั ดุใสด่ ินสาหรับเพาะ ใช้ กระถางก็ได้ สว่ นดนิ ซอ้ื ได้ตามรา้ นตน้ ไม้ ถุงละ 20-35 บาท ขึ้นกบั ความ สมบรู ณข์ องดิน นาดินที่ได้มาทาให้ขยี้ให้ละเอยี ด จากน้นั โรยเมล็ดพรกิ ลงดินที่ เตรยี มไว้ ไมค่ วรโรยใหแ้ นน่ หรอื ใกลก้ ันจนเกินไป เพราะจะเกิดการแยง่ อาหาร กัน หรอื รากพนั กัน ทาให้แยกตน้ ไปปลูกลาบาก หากมีกะบะเพาะ ควรเวน้ ระยะหา่ งระหว่างตน้ ขณะหยอดเมล็ด พรกิ 5 เซนติเมตร และระหว่างแถว 10 เซนติเมตร นาเศษฟางหรือหญา้ แหง้ มาปดิ คลมุ หนา้ ดินไว้ แลว้ รดน้าให้ชุ่ม นากระถางไปตัง้ ตากแดดไว้ เพอ่ื ให้อณุ หภมู ิทแี่ สงแดดสอ่ งลงมาทาให้ดนิ ร้อน จะชว่ ยกระตนุ้ ใหเ้ มล็ดพรกิ งอกได้เร็วข้ึนกว่าการต้งั กระถางไว้ในร่ม ให้รดนา้ เชา้ และเย็น เพม่ิ ความชืน้ ใหก้ บั เมลด็ พริก ภายใน 3-7 วัน จะเร่ิมเห็นต้นพริก งอกออกหรอื แตกยอดออกมา ขณะท่ีเหน็ เมล็ดพรกิ งอก มใี บจริง 2-3 ใบ ควร เลอื กถอนต้นกลา้ ทไี่ มส่ มบูรณท์ ิ้ง เหลือไวเ้ ฉพาะต้นกลา้ ท่แี ข็งแรงสมบูรณไ์ ว้

การดูแลรักษา ควรดูแลกล้าพริกที่เพาะไวใ้ นกระถางเพาะประมาณ 1 เดือน หรือมี ใบจริงราว 5-6 ใบ จากน้ันจึงคอ่ ยแยกตน้ พรกิ นาไปปลูกยังกระถางท่มี ีดนิ มากพอ ตอ่ ความต้องการของตน้ พริก หรอื มธี าตอุ าหารเพยี งพอต่อการปลกู พรกิ ไม่ควร เลือกกระถางปลูกทมี่ ขี นาดเล็กเกนิ ไป เพราะกระถางขนาดเลก็ จะบรรจุดนิ ไดน้ ้อย เม่ือดินปลกู น้อยจะเกบ็ รกั ษาความชืน้ ไวไ้ ดไ้ ม่นาน พรกิ เจรญิ เตบิ โตได้ดใี นดินทุก ชนิด แต่ดนิ ท่เี หมาะสมท่สี ุด คือ ดนิ รว่ นปนทราย เพราะมีการระบายน้าได้ดี มี ความเปน็ กรดเปน็ ด่างของดนิ ระหว่าง 6.0-6.8 หรอื อีกวธิ ขี องการเพาะต้นกล้าก่อนนาไปปลกู ลงกระถาง คอื การ เพาะเมล็ดพรกิ ใหง้ อกกอ่ น แล้วนาไปปลูกในกระถาง วธิ ีเพาะ คอื นาเมลด็ พริก แชน่ ้า แล้วนาผา้ ชุบนา้ หมาดๆ หอ่ ท้งิ ไวป้ ระมาณ 2 วนั เมลด็ จะงอก แล้วจงึ นา ลงปลูกในกระถางปลูก ควรใสด่ นิ เกือบเตม็ กระถาง ทาดินใหเ้ ป็นหลมุ ลกึ ประมาณ 4-6 นวิ้ นากล้าพรกิ ใสล่ งในหลมุ แลว้ กลบ การให้น้า 1.ชว่ ง 3 วนั แรก ใหน้ ้าวันละ 2 คร้ัง เช้า-เยน็ 2.ชว่ ง 4 วันตอ่ มา ใหน้ ้าวนั ละครง้ั 3.ชว่ งสปั ดาหท์ ่ี 2 – สปั ดาห์ท่ี 4 ใหน้ ้าสัปดาห์ ละ 3 ครัง้ 4.ชว่ งสัปดาหท์ ี่ 5 –สัปดาห์ท่ี 7 ใหน้ ้าสปั ดาหล์ ะ 2 ครงั้ 5.ช่วงสัปดาห์ที่ 7 ไปแล้ว ให้น้าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

ทง้ั นี้ การให้นา้ แกพ่ ริก ควรใหต้ ามสภาพอากาศและดูความชมุ่ ช้นื ของดนิ ประกอบด้วย แม้วา่ พริกจะเปน็ พชื ที่ทนแลง้ ดีกว่าทนนา้ ในระยะทพี่ รกิ เร่มิ ออกดอก พรกิ จะต้องการนา้ มากกว่าปกติ หากใหน้ ้าไม่เพยี งพอและอากาศแห้งแล้ง จะทา ใหด้ อกอ่อน ดอกบาน และผลออ่ นที่เพ่งิ ติดร่วงได้ นอกจากนี้ ในสภาพทอ่ี ากาศ เยน็ อณุ หภูมปิ ระมาณ 10-15 องศาเซลเซยี ส จะทาให้พรกิ เจรญิ เตบิ โตได้ไมค่ อ่ ย ดี มีการติดดอกตา่ และดอกร่วงในที่สดุ การใหน้ ้าขณะนน้ั ควรลดลง หรืองดในช่วง ทีเ่ รม่ิ เกบ็ ผลผลติ ท้งั น้ีเพราะถา้ น้าพริกมากเกินไป จะทาใหเ้ มด็ พริกมีสไี มส่ วย การปลกู ไว้รับประทานเองภายในครัวเรือน หากต้องการใหพ้ ริกเจริญงอกงามดี ควรใสป่ ุย๋ ให้กับต้นพรกิ บ้าง การใส่ปยุ๋ ให้กับพริก ขึน้ อยู่กบั ชนิดและคุณภาพของ ดินปลูก แตโ่ ดยทั่วไปหากใสป่ ุย๋ คอกในกระถางท่ปี ลูกไว้รับประทานเองในครัวเรอื น ใชป้ ริมาณปุย๋ คอกเพยี งหยบิ มอื ก็ไดแ้ ลว้ ควรใสใ่ ห้กบั พริกหลังลงปลูกประมาณ 1 เดอื น และไมค่ วรใสช่ ดิ โคนตน้ ชว่ งเวลาที่ใส่ปุ๋ย จะเป็นชว่ งท่ีพริกเรม่ิ มีตาดอก (แตย่ ังไม่ออกดอก) หลังใสป่ ยุ๋ 1-2 สัปดาห์ ควรฉดี ปยุ๋ นา้ เชน่ ไบโฟลานใหท้ างใบ ซึ่งพริกจะนาไปใช้ได้เรว็ ขน้ึ แต่หากไม่ไดต้ ้องการผลผลติ พริกมากนกั เพราะ นาไปใช้ในครวั เรือนไมม่ าก ก็ไม่จาเป็นต้องให้ปุย๋ ทางใบกไ็

การพรวนดนิ เนือ่ งจากรากของพริกจะกระจายอยใู่ กล้ผวิ ดิน จงึ ควร ระวงั ในการพรวนดิน อยา่ ให้รากกระทบกระเทือน เพราะจะทาให้พริกชะงกั การ เจรญิ เติบโต ตน้ พรกิ จะโคน่ ลม้ งา่ ย การพรวนดินทาไดส้ ม่าเสมอ ไม่มีกาหนด ระยะเวลาทต่ี ายตวั การเก็บเกย่ี ว หลังลงปลูกประมาณ 2 เดือนครึง่ ถึง 3 เดือน ในระยะแรกพริกจะ ใหผ้ ลผลิตไม่มากนกั แตจ่ ะคอ่ ยๆ เพ่มิ ปรมิ าณขึน้ ตามลาดบั เมอื่ ต้นพริกมีอายุ 6- 7 เดือน จะเริ่มโทรมและหยดุ ใหผ้ ลผลิต แตถ่ ้าบารุงรักษาดี พริกจะมอี ายุถงึ 1 ปี เมด็ พรกิ ท่แี กจ่ ดั ขัว้ จะยังติดอยูก่ ับต้นไดอ้ ีกระยะหนึง่ โดยไมเ่ หย่ี วหรือเสื่อม คุณภาพ แตถ่ า้ เกบ็ เม็ดพรกิ จากตน้ มาแล้ว การเกบ็ รักษาพริกใหค้ งสภาพสดอยู่ ได้ ขึน้ อยู่กบั อณุ หภูมิการเกบ็ รกั ษาอุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส ความชื้น 95-89 เปอร์เซน็ ต์ จะเกบ็ พรกิ ใหค้ งความสดไดน้ านถึง 40 วัน โดยมีผลเหีย่ วเพียง 4 เปอรเ์ ซ็นต์ และถ้าอณุ หภมู ิ 8-10 องศาเซลเซียส ความชืน้ 85-90 เปอรเ์ ซน็ ต์ จะเกบ็ พรกิ ให้คงความสดได้นาน 8-10 วนั

หากพรกิ ให้ผลผลิตมาก ต้องการเก็บเปน็ พรกิ แหง้ ไวร้ บั ประทาน ก็ ทาได้โดยการเลอื กเกบ็ เฉพาะเม็ดพรกิ ท่ีแกจ้ ัด มีสีแดง ถ้าเก็บมาแล้วมบี างเม็ดท่ี ยังไมแ่ กค่ วรนามาเก็บไว้กอ่ นประมาณ 2 คนื เพอื่ บ่มใหเ้ มด็ พริกสกุ แดง แล้วจึง นาออกตากแดดให้แห้งสนิท ควรเลือกเม็ดพริกท่ีเนา่ ทิ้งอยเู่ สมอ ควรระวังอย่า ให้พริกแห้งถูกฝน เพราะจะทาใหเ้ กดิ โรครา ยงั มีวธิ ีการทาพริกแหง้ ตามภมู ปิ ญั ญาชาวบ้าน ดว้ ยการนาไปยา่ ง ไฟ ทาโดยการยา่ งพรกิ ไวบ้ นแผงหรอื ตะแกรงแล้วสมุ ไฟขา้ งลา่ ง กลับพรกิ ให้ แห้งทวั่ กัน จะทาใหพ้ รกิ แห้งเรว็ ขึน้ เก็บไวไ้ ดน้ าน ไมเ่ สยี งา่ ย การปลูกและการดแู ลรกั ษา สาหรบั ผทู้ ่ตี ้องการปลกู พรกิ ไว้รบั ประทาน เองภายในครัวเรอื น ทาได้ไมย่ าก แต่หากไม่เรมิ่ คงต้องควกั กระเปา๋ ซ้ือพรกิ มา รบั ประทานกันต่อไป

ประโยชน์ 1. ชว่ ยลดน้าหนัก การทานพรกิ ช่วยลดนา้ หนักได้ เน่ืองจากแคปไซซินในพริกมีสาร thermogenic ซ่ึงเป็นสารก่อความรอ้ นในร่างกาย ส่งผลดตี ่อระบบเผาผลาญ ชว่ ยกระตุ้นการเผาผลาญไดด้ ี จงึ มสี ว่ นชว่ ยให้น้าหนักของเราลดเร็วขึ้น อกี ท้งั พริกยังมีกรดแอสคอร์บกิ ที่ชว่ ยเรง่ ให้รา่ งกายเปลี่ยนไขมนั เป็นพลงั งานได้ โดย มกี ารศึกษาจากประเทศญปี่ ุ่นพบว่า การทานพริก 10 กรัม ชว่ ยเพิ่มอัตราการ เผาผลาญในร่างกายไดอ้ ย่างรวดเรว็ และนานถึง 30 นาทีเลยทเี ดียว แต่จะให้ ทานพรกิ สด ๆ เป็น 10 กรัมเลยกค็ งไมไ่ หว ฉะนัน้ ใครท่อี ยากใชพ้ รกิ ช่วยลด น้าหนัก จะลองหันมาทานพรกิ ในรปู แบบสารสกัดดกู ็ได้ นอกจากนยี้ ังพบว่า วิตามินซีทีส่ งู มากในพรกิ สามารถขยายเส้นเลือด ในลาไสแ้ ละกระเพาะอาหาร ช่วยให้ร่างกายดูดซึมอาหารไดด้ ีและทาให้ระบบ ขับถ่ายของเราดีขึ้นอีกดว้ ยนะคะ 2. ทาใหอ้ ารมณ์ดี สารแคปไซซินในพรกิ สามารถกระต้นุ ให้สมองหลัง่ สารเอ็นดอร์ฟนิ ซง่ึ ชว่ ยบรรเทาอาการเจบ็ ปวด อกี ทง้ั ยังลดการสรา้ งฮอรโ์ มนทที่ าใหเ้ ครียด ช่วย ให้เราอารมณ์ดี สดชืน่ ทาใหค้ วามดนั โลหิตลดลง รูส้ ึกผ่อนคลาย และมี ความสขุ มากข้นึ ได้ 3. ชว่ ยใหเ้ จริญอาหาร นอกจากสารเอน็ ดอรฟ์ ินจะช่วยทาให้เราอารมณด์ ีขนึ้ แล้ว ยงั ทาใหเ้ รา รู้สึกวา่ อาหารอร่อยข้ึนไดอ้ ีกต่างหาก อีกท้ังพรกิ จะไปทาให้ตอ่ มน้าลายทางาน มากขน้ึ จนไปกระตนุ้ ปลายประสาทให้สมองส่วนกลางรับรกู้ ารอยากอาหาร ดงั นัน้ ไมต่ อ้ งแปลกใจเลย ถา้ คนส่วนมากจะชอบทานอาหารรสเผ็ด หรอื รสู้ กึ ว่า อาหารทม่ี รี สเผด็ ยง่ิ เผด็ ก็ยงิ่ กนิ อรอ่ ย

4. บรรเทาอาการปวด อยา่ งที่บอกไปแลว้ วา่ สารแคปไซซนิ ในพริกสามารถกระตุ้นใหร้ ่างกาย หล่งั สารเอน็ ดอร์ฟนิ ซง่ึ เป็นสารทบ่ี รรเทาอาการเจ็บปวดแบบธรรมชาติ จงึ ช่วย ใหเ้ ราร้สู กึ เจ็บปวดนอ้ ยลงได้ โดยสมยั กอ่ นมีการนาพริกขห้ี นมู าทาลกู ประคบ หรอื ทาเป็นนา้ มันนวดแก้ปวดเมอื่ ยตามขอ้ ขณะทใี่ นปัจจบุ นั กม็ กี ารนาสารแคป ไซซินมาเปน็ ส่วนประกอบของข้ผี ึ้งและเจล ใช้ทาบรรเทาอาการปวดบวมบรเิ วณ ผวิ หนัง รวมทงั้ อาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น เขา่ อักเสบ แก้ปวดขอ้ ปวดเมอื่ ย ตามตวั รวมท้งั เรมิ และงสู วดั ด้วยคะ่ 5. บารุงสายตา พรกิ มีวิตามินเอและวิตามนิ ซีอย่คู อ่ นขา้ งมาก อกี ทัง้ สีของพรกิ ทไี่ ม่วา่ จะ เปน็ สีแดง เหลือง เขียว กม็ เี บตา้ แคโรทนี ซึง่ เป็นสารต้านอนมุ ลู อสิ ระท่มี สี รรพคุณ บารงุ และปอ้ งกนั ความเสื่อมของจอประสาทตาได้ ย่งิ เมือ่ รวมพลังกบั วติ ามินเอ และวติ ามนิ ซีที่อยู่ในพรกิ ดว้ ยแลว้ กจ็ ัดว่าพรกิ เปน็ อาหารท่ีช่วยบารงุ สายตาทีด่ ี ชนิดหน่งึ เลยละ่ คะ่ ทวา่ การจะรับวิตามนิ เอและวิตามนิ ซีจากพริกนั้น ควรตอ้ งกนิ พรกิ สด ๆ ที่ไมผ่ า่ นการปรงุ สุก ดงั น้นั ควรเลือกกนิ พริกทมี่ คี วามเผด็ น้อยอย่าง พรกิ หยวก พรกิ หวาน หรือใครกนิ เผ็ดเกง่ มากจะกินเปลอื กพริกในส้มตา อันนีก้ ็ แลว้ แตส่ ะดวกเลยจา้

6. ช่วยใหจ้ มูกโลง่ หายใจสะดวกขึน้ จะสังเกตได้วา่ เวลาเราทานพรกิ เขา้ ไปสักพักจะมอี าการน้ามูก น้าตาไหล นน่ั กเ็ ปน็ เพราะรสเผ็ด ๆ รวมท้ังสารกอ่ ความรอ้ นในพริกจะไปชว่ ยลดปรมิ าณ นา้ มกู และส่ิงกีดขวางในทางเดินระบบหายใจ ทาให้จมกู โล่ง ลดอาการคัดจมูก ชว่ ยใหห้ ายใจสะดวกขนึ้ แถมยงั บรรเทาอาการไอ ละลายเสมหะท่ีเหนียวขน้ ช่วยใหข้ ับเสมหะออกมาได้ง่ายอีกดว้ ย ดังน้ันผทู้ มี่ ปี ัญหาเก่ียวกบั ระบบทางเดนิ หายใจ ท้ังหอบหดื ภูมิแพ้ ไซนัส และหลอดลมอกั เสบ เราขอแนะนาให้ทานพริก เปน็ ประจาเลย แต่กร็ ะวงั อย่าทานเผด็ มากเกนิ ไปนะคะ ไมอ่ ย่างน้ันอาจจะเกิด อาการระคายเคอื งในกระเพาะอาหารตามมาได้ 7. เสริมสรา้ งภมู ติ า้ นทาน พรกิ มีวติ ามนิ เอและวิตามินซสี งู มาก ซ่งึ เปน็ ท่ีรู้กันดีว่าวติ ามินเอและ วิตามนิ ซีเป็นสารอาหารที่สาคัญตอ่ ระบบภูมคิ ุ้มกนั และช่วยป้องกันโรคไข้หวดั ได้ แถมในพริกยงั มเี บต้าแคโรทีนและสารต้านอนมุ ลู อสิ ระทีช่ ว่ ยเสรมิ สร้างระบบ ภูมคิ ุ้มกนั ในร่างกายของเราให้แขง็ แรงข้ึนได้อีกด้วย 8. ลดนา้ ตาลในเลอื ด มีการศกึ ษาพบวา่ แคปไซซนิ ในพริกช่วยยบั ย้ังการดดู ซึมน้าตาลกลโู คสได้ โดยมกี ารทดลองให้หญิงวยั หมดประจาเดอื น 10 คน ดื่มนา้ ตาลกลูโคส 75 กรมั แลว้ เจาะเลือดเกบ็ ข้อมูลกอ่ นด่ืมและหลังดื่มท่ีเวลา 15 นาที 30 นาที และ 60 นาที ในขณะท่วี นั ตอ่ มาใหด้ ม่ื นา้ ตาลกลโู คสเหมือนเดมิ แตเ่ พม่ิ การทานพริกเขา้ ไป ดว้ ย ซึ่งพบว่า ระดบั น้าตาลในเลือดวนั ทท่ี านพริกร่วมดว้ ย มรี ะดับตา่ กว่าวนั ทีไ่ ม่ ทานประมาณ 20% ซึ่งกส็ รุปไดว้ า่ พรกิ นา่ จะช่วยลดระดบั นา้ ตาลในเลอื ดไดน้ น่ั เอง

9. ช่วยให้ระบบไหลเวยี นเลือดดีข้นึ รไู้ หมคะว่า การทานพริกเปน็ ประจาช่วยให้ระบบไหลเวียนเลอื ดดีขน้ึ เพราะสารแคปไซซนิ สามารถยบั ยงั้ การหดตัวของหลอดเลือด ทาให้หลอดเลอื ด ขยายตัว ส่งเลือดไปเลย้ี งอวัยวะส่วนต่าง ๆ ไดด้ ี อีกทัง้ ในพรกิ ยงั มีเบตา้ แคโร ทีนและวิตามนิ ซี ท่ีช่วยเพม่ิ การยืดตวั ของผนงั หลอดเลือดให้รับกับแรงดันตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และชว่ ยเสรมิ สรา้ งผนังหลอดเลอื ดใหแ้ ขง็ แรงขึน้ ลด อาการหลอดเลอื ดอุดตนั และหลอดเลอื ดตบี ไดค้ ะ่ 10. ควบคมุ คอเลสเตอรอล มงี านวิจัยทดลองใหผ้ ปู้ ว่ ยทม่ี ีไขมนั ในเลือดสูงทานพรกิ ขี้หนู 5 กรมั ร่วมกบั ทานอาหารปกตเิ ปน็ ระยะเวลา 4 สัปดาห์ แล้วนาผลมาเปรยี บเทียบกบั ผู้ปว่ ยทไี่ ม่ทานพริก ซึ่งจากการทดลองพบว่า ผ้ปู ว่ ยกลมุ่ ที่ทานพริกมรี ะดบั คอเลสเตอรอลชนดิ ไม่ดี (LDL) คงท่ี แตม่ ีระดบั คอเลสเตอรอลชนดิ ดี (HDL) เพ่ิมข้นึ ในขณะที่ผูป้ ว่ ยท่ไี ม่ทานพริกเลย มรี ะดบั คอเลสเตอรอลท้ังหมดสงู ขน้ึ จึงสรปุ ไดว้ ่าการทานพริกช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลชนิดไมด่ ใี หค้ งที่และ เพมิ่ คอเลสเตอรอลชนิดดีได้ นอกจากนี้ยงั มงี านวจิ ัยพบวา่ สารแคปไซซนิ มีสรรพคุณชว่ ยยับย้ังไมใ่ ห้ ร่างกายสรา้ งคอเลสเตอรอลชนิดไมด่ ี ในขณะที่ชว่ ยสง่ เสรมิ ให้ร่างกายสร้าง คอเลสเตอรอลชนิดดเี พ่ิมข้นึ ได้ ทาให้เรามีปริมาณไตรกลีเซอไรด์ตา่ ลงอกี ดว้ ย

11. ปอ้ งกันโรคโลหิตจาง โรคโลหติ จางมีสาเหตุหลักมาจากการขาดธาตเุ หลก็ เนือ่ งจากธาตเุ หลก็ เปน็ องค์ประกอบสาคัญในการสร้างเมด็ เลือดแดง โดยชว่ ยผลติ เซลลเ์ มด็ เลอื ด แดงรวมทั้งฮโี มโกลบนิ ให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งในพรกิ กม็ ธี าตเุ หลก็ ประกอบอยู่ พอสมควร รวมถงึ ยังมีทองแดงที่ช่วยให้ร่างกายดดู ซมึ ธาตเุ หลก็ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี อีกทั้งยังมีกรดโฟลกิ ทช่ี ว่ ยเสริมให้เซลลเ์ ม็ดเลือดแดงแขง็ แรง ดังนนั้ พรกิ จึงถอื เป็นอกี หนึ่งอาหารท่ชี ว่ ยปอ้ งกันโลหติ จางได้ค่ะ 12. ลดความเส่ียงโรคมะเร็ง รไู้ หมคะว่า วติ ามินซีในพรกิ มีฤทธิย์ ับยั้งการสร้างไนโตรซามนี ซ่ึงเปน็ สารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร แถมยังช่วยสรา้ งคอลลาเจน ซ่ึงเปน็ โปรตีนท่ีหยดุ การแพรก่ ระจายของเซลลม์ ะเร็ง ซงึ่ เรากบ็ อกไปก่อนหนา้ นี้แลว้ วา่ พริกมีวิตามินซีสงู มาก ดังนนั้ การทานพรกิ จงึ ชว่ ยลดความเสยี่ งโรคมะเรง็ ได้ ยิง่ ไปกว่าน้นั ในพรกิ ยงั มเี บตา้ แคโรทีน ซง่ึ เป็นที่รู้กันดวี า่ สารเบต้าแคโรทนี เป็นสาร ตา้ นอนมุ ูลอิสระ สามารถลดอตั ราการกลายพันธ์ุของเซลล์ และชว่ ยทาลาย เซลลม์ ะเร็ง โดยเฉพาะมะเรง็ ปอดและมะเรง็ ชอ่ งปากได้

13. ลดความเสี่ยงโรคหวั ใจ เพยี งแค่ทานพริกกช็ ว่ ยลดความเสีย่ งโรคหวั ใจลงได้แลว้ คะ่ เพราะพริก จะไปชว่ ยลดการจบั กล่มุ ของเกล็ดเลือด ช่วยละลายลม่ิ เลือด ทาใหเ้ ลอื ดไม่จบั ตวั เปน็ กอ้ น จนอุดตนั หลอดเลือด ไมเ่ พยี งเท่านน้ั เพราะอย่างที่เราบอกไปแลว้ ว่า การทานพรกิ ยังชว่ ยควบคมุ ระดับคอเลสเตอรอล โดยปอ้ งกนั ไม่ให้ตบั สรา้ ง คอเลสเตอรอลชนดิ ไมด่ ี ทาให้มีปริมาณไตรกลีเซอไรด์ตา่ ลง จึงสง่ ผลดีต่อหัวใจ และสุขภาพ ดงั นั้นหากเราทานพริกเป็นประจาก็จะช่วยลดความเส่ียงของการ เกดิ โรคหัวใจไดพ้ อสมควรเลยค่ะ พรกิ โทษไม่ดีทีต่ อ้ งระวัง สารแคปไซซินในพรกิ มฤี ทธิ์กอ่ ให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนือ้ เย่ือ ดงั น้นั ในคนทก่ี ินพริกมาก (กินเผด็ จัด) อาจเกิดการระคายเคืองต้ังแต่เนื้อเยอื่ ใน ปาก รวมไปถึงระบบทางเดนิ อาหารทัง้ หมด ท้ังกระเพาะอาหารและลาไส้ ซึ่งอาจ กอ่ ให้เกดิ อาการแสบรอ้ น กระตนุ้ การสรา้ งกรดในกระเพาะอาหาร รวมไปถึงอาจ ทาใหท้ ้องเสยี ได้ ดงั นน้ั คนเป็นโรคกระเพาะอยู่แล้วไม่ควรกนิ พริกหรือกนิ รสเผ็ด มาก ส่วนคนท่ีมอี าการสาลกั ง่าย เช่น เดก็ และคนแกก่ ็ควรหลีกเลี่ยงการทาน พรกิ เชน่ กัน เพราะหากสาลักพรกิ เข้าไปในหลอดลม กรดในพรกิ อาจจะไปกัด หลอดลม ทาใหห้ ลอดลมหดเกรง็ ตีบ บวม หายใจไมอ่ อก เป็นอันตรายถึงชวี ติ ได้ เลย

แก้เผ็ดจากพริก ต้องทายังไง สังเกตไหมคะ วา่ การดืม่ น้าเปลา่ ไมไ่ ดช้ ่วยใหเ้ ราหายเผด็ สกั เท่าไร สาเหตกุ เ็ ป็นเพราะวา่ สารแคปไซซนิ ไม่ละลายในนา้ แต่จะละลายในสารละลาย เชน่ แอลกอฮอล์ อีเทอร์ และไขมัน แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม จะดืม่ แอลกอฮอล์แก้เผด็ ก็ คงไมค่ ่อยดี เราจึงนาทางเลอื กอนื่ มาช่วยแกเ้ ผ็ดจากพรกิ ดังน้ี - ดืม่ นม : การดืม่ นมสามารถแกเ้ ผ็ดได้ เพราะในนมมโี ปรตนี นา้ นม (casein) และไขมัน ที่ช่วยละลายสารแคปไซซนิ ได้ดี - ดื่มน้ามะนาว : สารแคปไซซินในพริกเปน็ ดา่ ง แต่น้ามะนาวเป็นกรด ฉะนน้ั เมอ่ื เราด่มื นา้ มะนาวลงไป จึงช่วยบรรเทาความเผ็ดลงได้ - อมน้ามันมะกอก : การอมหรือเค้ยี วอาหารทีม่ ไี ขมนั เคลือบอยู่จะช่วย ละลายแคปไซซินได้ - อมน้าเกลือเจอื จาง : ถา้ ทาวธิ ีไหนแลว้ ไม่หายเผ็ดใหน้ าเกลือเพียง เลก็ นอ้ ยมาละลายน้า แลว้ อมไวส้ กั พกั รบั รองว่ารสเคม็ ๆ ของเกลอื ชว่ ยให้ อาการเผ็ดหายไปได้แนน่ อน นอกจากนี้ เราจะสังเกตเห็นว่าอาหารไทยรสเผ็ดหลายจานมักมกี ะทิ เปน็ สว่ นประกอบด้วย น่กี ถ็ อื เปน็ ภูมิปญั ญาของคนไทยเหมอื นกนั นะคะที่ใช้ ความมันจากกะทมิ าดบั ความเผด็ ร้อนของพริกนัน่ เอง

ขอบคณุ ขอ้ มลู รปู ภาพ https://health.kapook.com/view1599.html https://www.technologychaoban.com https://medthai.com


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook