ส่งเสรมิ การอา่ นออนไลน์ รวบรวมขอ้ มลู โดยหอ้ งสมดุ ประชาชนอาเภอครุ ะบรุ ี กศน.อาเภอครุ ะบรุ ี สานักงาน กศน.จงั หวดั พงั งา กระเจยี๊ บเขยี ว กระเจี๊ยบเขียว (Okra) เปน็ พชื ล้มลุกทีน่ ยิ มนาฝกั ออ่ นมาลวก รับประทานเป็นผักหรอื ใชป้ ระกอบอาหาร เชน่ แกงเลียง แกงจดื รวมถงึ แปรรูป เปน็ ผงกระเจยี๊ บเขียวสาหรับผสมอาหารเพ่อื ความหนดื ของอาหาร ช่วยเพ่มิ ปรมิ าตร และรสสมั ผสั ท่ดี มี ากขน้ึ นอกจากนั้น เมือกจากกระเจี๊ยบเขียวยงั ถูก สกัดเพื่อนาไปใชใ้ นอตุ สาหกรรมอาหาร และการผลติ ยา • สกลุ : Malvaceae • ช่อื วิทยาศาสตร์ : – Abelmoschus esculentus (L.) Moench – Hibiscus esculentus Linn. • ช่อี สามัญ : – Okra – Lady’s finger – Gumbo – Bendee – Quimbamto Bendee, Quimbamto
• ช่ีอทอ้ งถน่ิ : – กระเจย๊ี บเขยี ว – กระเจีย๊ บมอญ – มะเขอื มอญ – ขะเขือม่นื – กระตา้ น – ถว่ั เละ (อสี านบางพ้นื ท่ี) ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ราก และลาต้น กระเจี๊ยบเขียวเป็นพชื ลม้ ลุก อายปุ ระมาณ 1 ปี มรี ะบบรากประกอบด้วยรากแกว้ และรากฝอย หย่งั ลกึ ได้ถงึ 30-60 ซม. ส่วนลาต้นจะตงั้ ตรง สูง 0.80-1.50 เมตร ลาต้นเป็นไมเ้ น้ืออ่อน เปลือกลาต้นบาง มีสีขาวนวล แตกก่งิ นอ้ ย กง่ิ มีขนาดสนั้ ใบ ใบกระเจย๊ี บเขยี ว เปน็ ชนิดใบเดยี่ ว ใบมรี ปู รา่ งคล้ายใบละหุ่ง มที ้ังรูปร่างกลมหรอื เกือบทรงกลม หรอื เปน็ แฉกแบบรอ่ งลกึ ออกเรยี งแบบสลับ ปลายใบแหลม ใบ หยักแหลมคล้ายฟนั เล่อื ย โคนใบเปน็ รูปหัวใจ ด้านบนใบมสี เี ขยี วเขม้ กวา่ ดา้ นลา่ ง ใตใ้ บ ผวิ ใบหยาบ และสากมือ
ดอก ดอกกระเจีย๊ บเขียว ออกเปน็ ดอกเด่ียว แทงออกบริเวณเหนอื ซอกใบ โดยดอก แรกจะเกิดที่ขอ้ ที่ 6-8 กลีบ เปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศ ที่สามารถผสมตัวเอง และผสม ข้ามได้ ดอกมีสเี หลอื งอมขาว มกี ลีบดอก 5 กลบี บรเิ วณกลางดอกมสี มี ่วง ดอก เมอ่ื บานเต็มท่จี ะมขี นาด 4-8 เซนติเมตร ดอกทผ่ี สมตดิ แลว้ กลีบดอกจะฝ่อและ ร่วงไปภายใน 3-4 วนั เหลือเฉพาะรังไขท่ ่พี ัฒนากลายเปน็ ฝักออ่ น ฝกั และเมล็ด ผลกระเจี๊ยบเขยี ว หรือ เรยี กว่า ฝัก เกดิ เหนอื ซอกใบ มกั ตดิ ฝกั ตงั้ แตข่ อ้ ที่ 6-8 จนถงึ ปลายยอดลาตน้ และปลายก่งิ ฝกั มีรปู ร่างเรยี ว เป็นร่องเหลยี่ มตามแนว ยาว ปลายฝกั แหลม และสามารถพบฝักท้งั ชนิดกลม และเหล่ยี ม จานวนเหล่ยี ม 5-9 เหล่ยี ม แต่ท่ัวไปพบ 8 เหลย่ี ม ความยาวฝกั 4-20 เซนตเิ มตร ข้ึนอย่กู บั พันธุ์ เมลด็ มรี ปู รา่ งกลม มีขนาดเทา่ กบั เมล็ดนุ่น เมลด็ อ่อนจะมีสีขาว เหลอื ง และเมล็ดทเ่ี ริ่มแก่ในฝักท่ียังไม่แหง้ จะมีสดี าเปน็ มันวาว แต่เมอ่ื ฝักแห้งหรอื เมล็ด แห้ง เมล็ดแก่จะมีขนาดเลก็ ลงเล็กน้อย ผิวเมลด็ จะไม่เป็นมันวาว และมสี ดี าอม เทา เมล็ดภายในฝักจะเรยี งเป็นแถวตามแนวยาวของฝกั ซง่ึ จะแทรกอย่บู รเิ วณ เหล่ียมของฝัก แตล่ ะเหลี่ยมจะมีเมล็ดประมาณ 10-15 เมลด็ ดงั นัน้ ฝกั 1 ฝัก จะมเี มล็ดประมาณ 60-135 หรือทว่ั ไปประมาณ 96 เมลด็ ทง้ั นี้ ฝกั อ่อนท่ีนยิ ม นามาบริโภคจะมคี วามยาว 7.5-12.5 เซนติเมตร
คณุ ค่าทางโภชนาการกระเจ๊ยี บเขยี ว (ฝักออ่ น 100 กรมั ) – ความช้นื : 88.90% – ไขมนั : 0.30 % – คารโ์ บไฮเดรต : 7.60 % – เส้นใย : 1.00% – โปรตีน : 2.40% – โพแทสเซียม : 249.00 มลิ ลิกรัม – แคลเซยี ม : 92.00 มิลลกิ รมั – ฟอสฟอรสั : 51.00 มลิ ลิกรัม – วติ ามินเอ : 520.00 มิลลกิ รัม – ไทอามนี : 0.17 มิลลิกรัม – โรโบฟลาวนิ : 0.21 มลิ ลกิ รัม – แอสคอมิคแอซิด : 31.00 มลิ ลกิ รัม ทม่ี า : กองโภชนาการ, (2530)(1) เมือกกระเจ๊ียบเขียว เมอื กของฝักกระเจย๊ี บเขียวจดั เปน็ สารพอลิแซก็ คาไรด์ มลี ักษณะเปน็ ยางสีเขยี วใส มีความ เหนยี วขน้ มีสมบัตเิ ปน็ สารอิมลั ซไิ ฟเออร์ (Emulsifier) ท่ีให้ความหนดื ที่ดี โครงสรา้ ง และองคป์ ระกอบทางเคมี เมอื กของฝักกระเจ๊ยี บเขียวมโี ครงสรา้ งหลกั เป็นแรมโนกาแลคทโู รแนน ประกอบดว้ ยสาร ต่างๆ ดังนี้ • Arabinogalactan proteoglycan ทเ่ี ปน็ กรดอะมิโน • สารท่ีให้ความหวานประเภทนา้ ตาล ไดแ้ ก่ – arabinose – galactose – rhamnose – galacturonic acid • Gum • Pectin สารจาพวกกัม และเพกตนิ จะมปี รมิ าณมากทสี่ ุด ทาใหม้ ีลกั ษณะเป็นเมอื ก และจะเป็นเมอื ก มากเมอื่ ถูกความร้อน
การปลกู กระเจ๊ยี บเขียว กระเจย๊ี บเขียวทปี่ ลูกเพ่อื บรโิ ภคในประเทศจะปลูกได้ตลอดท้งั ปี สว่ นการปลูกเพือ่ สง่ ไปญป่ี นุ่ จะปลกู ต้งั แต่เดอื นสงิ หาคม และเก็บฝกั ในชว่ งเดอื นตลุ าคม-เมษายน เนอ่ื งจาก ชว่ งนปี้ ระเทศญ่ปี ่นุ จะเขา้ ฤดหู นาวทาให้ไม่สามารถปลกู ได้ จงึ ใชก้ าร นาเขา้ จากตา่ งประเทศเปน็ หลกั ส่วนการปลูกทัว่ ไปจะเป็นเปน็ 2 ช่วง คอื ช่วงแรก เดอื นกมุ ภาพนั ธ-์ พฤษภาคม ช่วงท่ี 2 เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม พันธุ์กระเจีย๊ บเขียวทีน่ ิยมปลูก 1. พันธ์ุ Hit 9701 พันธุ์ Hit 9701 เป็นพันธทุ์ นี่ าเขา้ มาจากอนิ เดยี นิยมปลกู มากในภาคกลาง เปน็ พันธท์ุ ต่ี า้ นทานโรคใบด่างไวรัสไดด้ ี ฝักมี 5 เหลีย่ ม สเี ขยี วเข้มทั่วฝัก เนอื้ ฝกั มเี สน้ ใยน้อย ลาต้นไม่มหี นาม ติดฝกั เรว็ ใหผ้ ลผลติ สูง และเกบ็ ฝกั ไวไ้ ด้นาน เปน็ ที่ ยอมรบั ของต่างประเทศ 2. พนั ธ์ลุ กู ผสมรุน่ ที่ 1 พันธ์ุนี้ ฝักออ่ นมเี ส้นใยนอ้ ย ฝกั มสี ีเขียวเขม้ ฝกั มี 5 เหลยี่ ม สามารถตา้ นทานโรค ได้ดี และให้ผลผลติ สงู ซง่ึ เปน็ พันธ์ุทนี่ ยิ มมากในตลาดญี่ปนุ่ 3. พนั ธผ์ุ สมจากตา่ งประเทศ เปน็ พันธ์ทุ ่ีมาจากตา่ งประเทศ ฝกั มีลักษณะกลม ป้อม และส้ัน เช่น พนั ธุ์ Clemson และพันธุ์ Spineless สว่ นฝักท่ีเรยี วยาว ฝักมี 8 เหลี่ยม สเี ขยี วสด เชน่ พันธ์ุ Dwarf Green พันธุน์ ี้ นยิ มแปรรูปบรรจกุ ระปอ๋ ง 4. พนั ธ์ุไทยท่ปี รับปรุงโดยมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ฝกั จะมสี เี ขียวสด รปู ฝักหา้ เหล่ียม ตา้ นทานโรคได้ดี ตดิ ฝักจานวนมาก ฝักมี น้าหนักดี ราคาเมลด็ พนั ธุ์ 50-80 บาท/กิโลกรมั
การเตรียมดิน เตรียมดนิ ด้วยการไถกลบหนา้ ดิน และตากดนิ ใหแ้ หง้ 7-10 วนั จานวน 2 ครั้ง กอ่ น การไถครงั้ ท่ี 2 สาหรบั พื้นทค่ี อ่ นข้างดินเป็นกรด เชน่ ภาคกลาง ให้หว่านด้วยปนู ขาว อัตรา 80 กโิ ลกรัม/ไร่ ปุย๋ คอก 2 ตนั /ไร่ ปุ๋ยเคมี 15-15-15 จานวน 35 กโิ ลกรัม/ไร่ หลงั จากนนั้ ทารอ่ งปลูกใหเ้ ป็นแถวลึกประมาณ 5 ซม. ระยะห่างของ แถว 75 ซม. ขัน้ ตอนการปลูก การปลกู กระเจีย๊ บเขียว เกษตรกรจะใชว้ ิธีการหยอดเมลด็ ใช้เมล็ดหนกั 1 กิโลกรัม/ ไร่ จานวนเมล็ดประมาณ 14,200-166,600 เมลด็ นาเมลด็ มาแช่น้าร่วมกับนา้ ยาฆ่าเช้อื รา และป้องกันแมลง เช่น สารเบนโดมิล 10 กรัม/เมลด็ 1 กโิ ลกรมั นาน 30-40 นาที ก่อนนาลงหยอดในร่อง ระยะห่างระหว่าง เมล็ด 50 ซม. ซึ่งจะไดร้ ะยะของตน้ ท่ี 50×75 ซม. จานวน 8,480 ตน้
การเกบ็ เก่ียว การเก็บฝัก กระเจยี๊ บเขยี วจะเริ่มตดิ ดอกได้หลังปลูกท่ีอายุ 40-45 วัน ขนึ้ อยู่ กบั สายพนั ธ์ุ บางพนั ธ์มุ ีอายเุ ก็บเกยี่ วนานถึง 180 วนั และดอกจะบานหลงั จาก นน้ั ประมาณ 10 วัน การบาน และการผสมเกสรของดอกจะใช้เวลาประมาณ 1 วัน หลังจากนั้น กลีบดอกจะเหี่ยว และรว่ งหลุดไป และหลงั จากนนั้ ประมาณ อกี 5 วนั ฝักจะพัฒนาจนมคี วามยาวได้ 6-10 ซม. ซ่งึ เป็นระยะฝกั ออ่ นทมี่ ี คณุ ภาพ มีเส้นใยนอ้ ย ฝกั กรอบไม่เหนยี ว เหมาะสาหรับเก็บฝกั มากทีส่ ุด หลังจากดอกร่วง ฝกั กระเจยี๊ บเขียวจะโตเร็วมาก สามารถเพม่ิ ความยาวฝักไดว้ ันละ 1-3 ซม. โดยเฉพาะวนั ทม่ี ีแดดตลอดวนั ดังนัน้ หากปลกู ในแปลงขนาดใหญจ่ ะต้องเขา้ เก็บทุกวัน และจะต้องเก็บฝักออกใหห้ มดในแต่ ละตน้ เพราะหากมฝี ักเหลือบนตน้ สารอาหารจะถูกสง่ มาเลี้ยงฝักตลอด ทาให้ ฝกั ทตี่ ดิ ใหม่มขี นาดเล็ก และคุณภาพไมส่ ม่าเสมอ ในชว่ งแรกของการตดิ ฝกั จะตดิ ฝักบรเิ วณสว่ นของลาตน้ กอ่ น ดงั น้นั ฝักทเ่ี ก็บในช่วงแรกจะเปน็ ฝักจากลาตน้ ซงึ่ จะต้องเก็บใหห้ มดภายใน หนึ่ง-หนึง่ เดือนครึ่ง หลงั จากนัน้ จึงคอ่ ยทยอยเก็บฝักจากก่งิ ชว่ งเวลาเก็บฝกั กระเจีย๊ บเขียวท่เี หมาะสมจะเป็นชว่ งเช้าตรจู่ นถึง ช่วงสาย โดยใช้มดี หรอื กรรไกรตัดทข่ี ั้ว ยาวประมาณ 1 ซม. ดว้ ยการตดั ตรง ไม่ควรตัดเป็นปากฉลาม เพราะอาจตดั พลาดไปโดนฝกั อน่ื ได้ และหา้ มใชม้ อื เดด็ เพราะจะทาใหฝ้ กั ชา้ ได้ พร้อมใหต้ ัดใบตรงข้อท้งิ ดว้ ย เพ่ือใหแ้ สงแดดส่อง ถึงฝกั อ่อนทีเ่ หลือใหม้ ีสีเขยี วเข้ม และหลงั จากเกบ็ ฝักใหน้ าฝักเข้ารม่ และสง่ ทันที โดยไมพ่ รมนา้ เพราะอาจทาให้ฝกั บวม ฝักช้า และเน่าเปอื่ ยง่าย
เกรดของฝัก – ฝกั เกรด A ยาวไม่เกนิ 8 ซม. – ฝักเกรด B ยาวไมเ่ กิน 10 ซม. – ฝกั เกรด C ยาวมากกวา่ 10 ซม. การเก็บรักษาฝัก กระเจ๊ยี บเขียวเปน็ ผักที่มอี ายุการเก็บรกั ษาสนั้ เน่อื งจาก เป็นฝักท่ี เกบ็ ในระยะฝกั ออ่ น ฝกั เหีย่ ว และเน่าเปือ่ ยงา่ ย ทาใหไ้ ม่น่ารบั ประทาน และ คณุ คา่ ทางอาหารลดลง 1. การเก็บในอุณหภมู ิต่า สาหรับกระเจยี๊ บเขยี ว ในอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 7-10 °C ความช้ืน ประมาณ 90-95% ซง่ึ จะเกบ็ ได้นาน 7-10 วัน หากเก็บท่ีอุณหภูมิสูงจะทาให้ฝัก เหนียว ฝกั มเี ปน็ สีเหลือง และเนา่ งา่ ย และหากเก็บทอี่ ณุ หภมู ติ ่าเกนิ ไป ฝกั จะเกิด อาการสะทา้ นหนาว ทาให้ฝักฉ่าน้า ขอบฝกั มสี ดี า และเกิดรอยบุ๋มบรเิ วณผิวฝัก โดยเฉพาะการเกบ็ ที่อุณหภมู ิต่ากวา่ 10 องศาเซลเซยี ส 2. การเกบ็ ภายใต้สภาพควบคมุ การเกบ็ ในลกั ษณะน้ี เป็นการเก็บภายใตส้ ภาวะท่มี กี ารควบคุม สว่ นประกอบของกา๊ ซในถุงเก็บ ซ่ึงประกอบด้วย N 78.08% O2 20.95% และ CO2 0.03% ทาใหม้ ีกา๊ ซออกซิเจนในปริมาณที่เหมาะสม ซ่ึงจะชว่ ยลดเมทาบอลิ ซึมของฝักให้นอ้ ยลง รวมถงึ ยบั ยงั้ การเตบิ โตของเช้อื จุลนิ ทรียด์ ้วย 3. การเก็บภายใตก้ ารดัดแปลง การเกบ็ ภายใตก้ ารดัดแปลง เชน่ การใชฟ้ ลิ ม์ พลาสติกหอ่ โดยการไล่ อากาสออก จะช่วยลดเมทาบอลิซมึ ของฝักได้ ทาใหฝ้ กั กระเจี๊ยบเขยี วยังคงสด เหมือนเดมิ
การดแู ลรักษา การใหน้ ้า การปลกู กระเจยี๊ บในฤดูฝนจะไม่คอ่ ยใหน้ า้ มากนกั แตห่ ากปลกู ในฤดแู ลง้ ในช่วง 1-2 อาทติ ยแ์ รก ควรให้น้าทกุ วัน วันละ 1 ครัง้ หลังจากนนั้ ค่อยลดเหลือ 3-4 วัน/คร้ัง การใส่ปุ๋ย – สาหรบั พนั ธุท์ ่มี ีอายกุ ารปลูกส้ัน 40-45 วนั หลังการปลูกได้ 20-30 วนั ใหใ้ สป่ ุย๋ สูตร 12-12-24 ไรล่ ะประมาณ 30 กโิ ลกรมั – สาหรับพนั ธ์ทุ ม่ี ีอายุเก็บเก่ียวนาน ในชว่ งแรกจะให้ป๋ยุ สูตร 15-15-15 กอ่ น แลว้ กอ่ นระยะออกดอกค่อยใหส้ ูตร 12-12-24 อีกคร้ัง การตดั ตน้ เกษตรกรในบางพ้ืนที่จะใชว้ ิธกี ารตัดยอด เพ่อื ให้มลี าต้นสูง เพอ่ื ให้มีลาตน้ สงู 50- 70 ซม. และท่สี าคัญเพ่ือใหล้ าต้นแตกกิ่งใหม้ ากขึ้น
ประโยชน์กระเจ๊ยี บเขียว 1. นามาใช้ประกอบอาหารในเมนตู า่ งๆ อาทิ ซุป สลดั 2. ฝักอ่อนสดใช้รับประทานคู่กบั นา้ พรกิ หรอื อาหารอ่นื 3. ฝกั ออ่ นนามาลวกน้ารบั ทานจ้ิมนา้ พริก 4. ฝกั อ่อนแปรรูปเปน็ กระเจยี๊ บแหง้ กระเจีย๊ บแห้ง กระเจ๊ยี บผง เป็นต้น 5. ผงกระเจ๊ยี บเขยี วใชผ้ สมกบั แป้งสาลสี าหรับทาขนมปัง เมอ่ื ทดสอบความชืน่ ชอบ พบวา่ ขนมปงั ทีม่ กี ารผสมผงกระเจยี๊ บเขยี ว มผี ้ชู ่นื ชอบมากกว่าขนมปังทีไ่ มไ่ ดผ้ สม ผงกระเจี๊ยบเขียว 6. เมอื กกระเจยี๊ บเขยี วนามาผสมอาหารทาใหอ้ าหารหนดื ข้ึน รวมถึงช่วยเพ่มิ ปริมาตร และปรับปรุงเนอ้ื สัมผสั ของอาหาร และขนมใหด้ มี ากขึน้ ประโยชน์จากเมอื กกระเจี๊ยบเขียว 1. ประโยชนท์ างดา้ นการอาหาร – มีการผลติ เมือกกระเจยี๊ บเขียวออกมาใช้สาหรับประกอบอาหารเพื่อเพิม่ ความ หนดื ของอาหารท้งั ในแบบผง และแบบของเหลว – สหรัฐอเมริกามนี าเมือกกระเจ๊ียบเขยี วมาใชท้ ดแทนเนยเหลว และไข่ในการทา เคก้ บราวนี่ ทาให้เคก้ บราวน่ีมปี รมิ าณไขมนั ลดลงจาก 6.6 กรมั เปน็ 0.49 กรัม และรสของเคก้ ไม่เปลย่ี นแปลงมาก และยังเป็นทช่ี นื่ ชอบของผ้รู บั ประทาน เหมอื นเดมิ – เมือกกระเจี๊ยบเขยี วใช้เปน็ สว่ นประกอบในการผลิตไขข่ าวผง ทาใหผ้ งไข่ขาว คณุ สมบตั ชิ ว่ ยในการตผี สมไดด้ ียิ่งขนึ้ เช่น เมื่อนาผลไขข่ าวท่ีเตมิ เมอื กกระเจ๊ยี บ เขยี วมาเป็นสว่ นประกอบในการทาขนม พบวา่ การตีส่วนผสมของขนมให้เข้ากนั ใช้ เวลาน้อยกว่าเดมิ – เมือกกระเจยี๊ บเขยี วใช้สาหรับผลิตฟลิ ม์ ห่ออาหารหรอื เคลือบอาหารทสี่ ามารถ รับประทานได้
2. ประโยชนท์ างการแพทย์ – ฝกั และเมอื กกระเจ๊ียบเขยี วใชเ้ ปน็ ส่วนผสมของยาถ่ายพยาธิตวั จ๊ีด – ฝกั และเมอื กกระเจี๊ยบเขยี วใช้เป็นผสมอาหารของคนไข้ สามารถลดระดบั น้าตาลในเลือด และปอ้ งกนั โรคเบาหวาน – เมอื กกระเจ๊ยี บเขียวใช้สาหรับผลติ แคปซลู บรรจยุ าหรอื ใช้เคลอื บตวั ยา สารสาคัญทพี่ บ – gum – pectin – arabinogalactan proteoglycan – arabinose – galactose – rhamnose – galacturonic acid – gossypol สารพษิ ชนดิ หน่งึ ที่พบมากในเมลด็ ทเ่ี ร่ิมแก่ สรรพคุณกระเจี๊ยบเขยี ว – ช่วยป้องกัน และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงแผลในลาไส้ โดยกรดกา แลค็ ทูโรนิก และกรดกลูคโู รนิก จะเขา้ รวมตวั กับโปรตนี ทาใหไ้ ดส้ ารทสี่ ามารถ ลดการเกาะติดของแบคทีเรยี H.pylori บรเิ วณผนังบุเยื่อกระเพาะอาหาร ซึ่ง เชอ้ื นีเ้ ป็นสาเหตทุ ท่ี าให้เกดิ แผลในกระเพาะอาหาร และแผลในลาไส้เลก็ แบบ เร้ือรงั – ลดอาการแผลอักเสบในกระเพาะอาหาร และลาไส้ – ป้องกันโรคหลอดเลือดตบี ตนั – ปอ้ งกนั โรคเบาหวาน
– รักษาระดับความดนั เลอื ด – ช่วยบารงุ สมอง – ใช้เป็นยาระบายออ่ นๆ – ชว่ ยขับพยาธิ ขอ้ ควรระวัง เมล็ดกระเจีย๊ บเขียวทีเ่ รมิ่ แก่ หรือ เมล็ดแก่ จะมสี ารพิษที่มีผลตอ่ ระบบ ประสาท คอื gossypol ทอ่ี ยู่รวมกับโปรตีนในเมล็ด
ขอบคุณข้อมลู รูปภาพ https://puechkaset.com https://www.technologychaoban.com
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: