หน้หใสข่ ้อความของคณุ ท่ีน่ี
ดาราศาสตร์ คอื วชิ าวทิ ยาศาสตร์ที่ศึกษาวตั ถุท้องฟ้ า (อาทิ ดาวฤกษ์ ดาว เคราะห์ ดาวหาง และดาราจกั ร) รวมท้งั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตติ ่างๆ ที่ เกดิ ขนึ้ จากนอกช้ันบรรยากาศของโลก โดยศึกษาเกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการ ลกั ษณะ ทางกายภาพ ทางเคมี ทางอุตนุ ิยมวทิ ยา และการเคลอ่ื นที่ของวตั ถุท้องฟ้ า ตลอดจนถึงการกาเนิดและววิ ฒั นาการของเอกภพ
โลกในยคุ แรกเป็นหินหนืดร้อน ถูกกระหน่าชนดว้ ยอุกกาบาต ตลอดเวลา องคป์ ระกอบซ่ึงเป็นธาตุหนกั เช่น เหลก็ และนิเกินจมตวั ลงสู่แก่นกลาง ของโลก ขณะท่ีองคป์ ระกอบท่ีเบากวา่ เช่น ซิลิกอน ลอยตวั ข้ึนสู่เปลือกนอก ธาตุ และสารประกอบท่ีเบามาก เช่น ไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และไอน้า พยายาม แทรกตวั ออกจากพ้ืนผวิ กลายเป็นบรรยากาศ เมื่อโลกเยน็ ลงเปลือกนอกตกผลึกเป็นแร่ และหิน ไอน้าในอากาศควบแน่นเกิดฝน น้าฝนไดล้ ะลายคาร์บอนไดออกไซดล์ งมา สะสมบนพ้ืนผวิ ไหลลงทะเลและมหาสมุทร สองพนั ลา้ นปี ตอ่ มาการวิวฒั นาการ ของส่ิงมีชีวิต ไดต้ รึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซดใ์ นอากาศมาสงั เคราะห์ดว้ ยแสง สร้าง อาหารและพลงั งาน แลว้ ปล่อยผลผลิตเป็นแก๊สออกซิเจนออกมา แก๊สออกซิเจนท่ี ลอยข้ึนสู่ช้นั บรรยากาศช้นั บน แลว้ แตกตวั เป็นออกซิเจนอะตอมเดี่ยว และรวมตวั กบั ออกซิเจนอะตอมคทู่ ี่มีอยเู่ ดิมกลายเป็นแก๊สโอโซน ซ่ึงช่วยป้ องกนั อนั ตรายจากรังสี อุตราไวโอเลด็ นบั ต้งั แต่น้นั มาทาใหส้ ิ่งมีชีวิตบนบกกท็ วีจานวนมากข้ึน ออกซิเจนจึง มีบทบาทสาคญั ต่อการเปล่ียนแปลงบนพ้ืนผวิ โลกในเวลาต่อมา (ภาพท่ี 2) สดั ส่วน ของส่ิงมีชีวติ เช่นพืชและสตั วเ์ ป็นปัจจยั ควบคุมปริมาณคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละ ออกซิเจนในบรรยากาศ และควบคุมภาวะเรือนกระจกใหอ้ ยใู่ นสภาวะสมดุล ทา่ น สามารถติดตามววิ ฒั นาการของโลกไดโ้ ดยดูจาก
ดวง อาทิตยก์ าเนิดจากเมฆฝ่นุ แก๊สขนาดใหญ่ ซ่ึงยบุ ตวั ลงภายใตค้ วามโนม้ ถ่วงของตวั เอง ระหวา่ งที่เมฆฝ่ นุ แก๊สยบุ ตวั ลงกเ็ กิดความร้อนและความดนั มหาศาล และเม่ืออุณหภูมิ ที่ใจกลางดวงอาทิตยเ์ พ่มิ ข้ึนจนถึง 1 ลา้ นองศาเซลเซียส จะเร่ิมเกิดการจุดปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิ วชนั ซ่ึงทาใหด้ วงอาทิตยผ์ ลิตแสง ความร้อน และพลงั งานไดด้ ว้ ยตวั มนั เอง โดยพลงั งานจากใจกลางดวงอาทิตยใ์ ชเ้ วลาประมาณ 50 ลา้ นปี ในการเดินทางจากใจ กลางถึงพ้นื ผวิ ดวงอาทิตย์ และใชเ้ วลาอีกราว 8 นาทีกวา่ แสงจากดวงอาทิตยจ์ ะ เดินทางมาถึงโลก
ดวงจนั ทรเ์ กดิ ข้ึนมาจากการชนคร้งั ใหญใ่ นอดตี เม่ือมวี ตั ถขุ นาดเท่าดาว องั คารดวงหน่งึ พุง่ ชนโลก วัตถดุ วงน้มี ีช่อื ว่าเทยี แรงพงุ่ ชนสาดเศษเนอื้ ดาวของทงั้ สองดวงออกไปโดยรอบและโคจรรอบโลก ต่อมาเศษดาว เหล่านัน้ ไดเ้ กาะกันเปน็ กอ้ นรวมกนั เปน็ ดวงจนั ทรใ์ นปจั จุบัน
ฝนดาวตกเจมินดิ ส์ เกิดจากการท่ีโลกเคลื่อนที่เข้าตดั กบั สายธารของเศษหินและเศษฝ่ นุ ขนาดน้อยใหญ่ที่ดาวเคราะห์น้อย 3200 เฟธอน (3200 Phaethon) ทงิ ้ ไว้ในขณะเคล่ือน ผา่ นเข้ามาในระบบสรุ ิยะชนั้ ใน เมื่อโลกโคจรผ่านเส้นทางดงั กลา่ ว แรงดงึ ดดู ของโลกจะดงึ ฝ่ นุ และหนิ เข้ามาเผาไหม้ในชนั้ บรรยากาศโลกเกิดเป็ นลาแสงวาบ หรือในบางครัง้ เกิดเป็นลกู ไฟ
ขนาดใหญ่เรียกวา่ (fireball) ฝนดาวตกแตกต่างจากดาวตกทว่ั ไป คือเป็นดาวตกท่ีมีทิศทาง เหมือนมาจากจดุ ๆ หนงึ่ บนท้องฟ้ า เรียกวา่ จดุ ศนู ย์กลางการกระจาย (Radiant) เม่ือจดุ ศนู ย์กลางการกระจายตรงหรืออยใู่ กล้เคียงกบั กล่มุ ดาวใด ก็จะเรียกช่ือฝนดาวตกตามกล่มุ ดาว นนั้ ๆ เชน่ ฝนดาวตกกลมุ่ ดาวคนคู่ ฝนดาวตกกลมุ่ ดาวสงิ โต เป็นต้น ดาวหาง คือ วตั ถุชนิดหน่ึงในระบบสุริยะท่ีโคจรรอบดวงอาทิตย์ มีส่วนที่ระเหิด เป็นแก๊สเม่ือเขา้ ใกลด้ วงอาทิตย์ ทาใหเ้ กิดช้นั ฝ่ นุ และแก๊สที่ฝ้ ามวั ลอ้ มรอบ และทอด เหยยี ดออกไปภายนอกจนดูเหมือนหาง ซ่ึงเป็นปรากฏการณ์จากการแผร่ ังสีของดวง อาทิตยไ์ ปบนนิวเคลียสของดาวหาง นิวเคลียสหรือใจกลางดาวหางเป็น \"กอ้ นหิมะ
สกปรก\" ประกอบดว้ ยน้าแขง็ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย และมีฝ่ นุ กบั หินแขง็ ปะปนอยดู่ ว้ ยกนั มีขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางต้งั แต่ไม่ก่ีกิโลเมตรไปจนถึงหลาย สิบกิโลเมตร
ดาวเคราะห์ (กรีก: πλανήτης; องั กฤษ: planet หรือ \"ผพู้ เนจร\") คือวตั ถขุ นาดใหญท่ ี่โคจรรอบดาวฤกษ์ ก่อน คริสตท์ ศวรรษ 1990 มีดาวเคราะห์ท่ีเรารู้จกั เพยี ง 8 ดวง (ท้งั หมดอยใู่ นระบบสุริยะ) ปัจจุบนั เรารู้จกั ดาวเคราะห์ใหม่ อีกมากกวา่ 100 ดวง ซ่ึงเป็ นดาวเคราะห์นอกระบบ คือ โคจรรอบดาวฤกษด์ วงอ่ืนที่ไมใ่ ช่ดวงอาทิตย์ ในปี พ.ศ. 2549 สหพนั ธ์ดาราศาสตร์สากล (IAU) มีมติรับคานิยามทางวทิ ยาศาสตร์ของดาวเคราะห์วา่ วตั ถฟุ ากฟ้ าที่โคจรรอบ ดาวฤกษจ์ ะเป็ นดาวเคราะห์ได้
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: