ระบบหายใจ การหายใจเขา้ อากาศผา่ นไปมนษุ ย์ทกุ คนตอ้ ง หายใจเพอื่ มีชวี ิตอยู่ ตามอวัยวะของระบบหายใจตามลำดบั ดังน้ี 1.จมกู (Nose) ทำหนา้ ท่ีเป็นทางผ่านของอากาศทห่ี ายใจเขา้ ไปยังช่องจมกู และกรอ งฝุ่น ละอองดว้ ย 2. หลอดคอ (Pharynx) เป็นหลอดต้ังตรงยาวประมาณยาวประมาณ 5 \" หลอดคอติดต่อท้งั ช่องปากและช่องจมูก จึงแบ่งเป็นหลอดคอส่วนจมูก กับ หลอดคอสว่ นปาก โดยมเี พดานอ่อนเป็นตวั แยกสองส่วนนอี้ อกจากกนั โครงของหลอดคอประกอบด้วยกระดกู อ่อน 9 ชน้ิ ด้วยกัน ช้ินทใ่ี หญท่ ีสุด คือกระดกู ไทรอยด์ ที่เราเรยี กวา่ \"ลูกกระเดือก\" ในผชู้ ายเห็นไดช้ ดั กวา่ ผูห้ ญิง 3. หลอดเสยี ง (Larynx) เปน็ หลอดยาวประมาณ 4.5 cm ในผู้ชาย และ 3.5 cm ในผ้หู ญงิ หลอดเสียงเจริญเตบิ โตขึ้นมาเรอื่ ยๆ ตามอายุ ในวัยเร่ิมเปน็ หนุม่ สาว หลอดเสยี งเจรญิ ขึน้ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในผ้ชู าย เน่ืองจากสายเสยี ง (Vocal cord)
ซึง่ อยูภ่ ายในหลอดเสียงน้ียาวและหนาขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ เกนิ ไป จงึ ทำใหเ้ สยี งแตกพร่า การเปล่ียนแปลงนเี้ กิดจากฮอรโ์ มนของเพศชาย 4. หลอดลม (Trachea) ตอ่ อกมาจากหลอดเสียง ยาวลงไปในทรวงอก ลักษณะรปู ร่างเปน็ หลอดกลมๆ ประกอบดว้ ยกระดูกออ่ นรูปวงแหวน หรอื รูปตวั U ซ่ึงมอี ยู่ 20 ชิ้น วางอยทู่ างดา้ นหลงั ของหลอดลม ช่องว่างระหว่างกระดูกอ่อนรปู ตัว U ท่วี างเรียงต่อกันมีเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อเรียบมายึดตดิ กัน การทีห่ ลอดลมมีกระดกู อ่อนจึงทำใหเ้ ปิดอย่ตู ลอดเวลา ไม่มโี อกาสทจ่ี ะแฟบเข้าหากันได้โดยแรงดันจากภายนอก จึงรับประกันไดว้ ่าอากาศเขา้ ไดต้ ลอดเวลา หลอดลม ส่วนท่ีตรงกบั กระดกู สันหลงั ช่วงอกแตกแขนงออกเปน็ หลอดลมแขน งใหญ่ (Bronchi) ข้างซ้ายและขวา เม่อื เข้าสู่ปอดกแ็ ตกแขนงเปน็ หลอดลมเล็กในปอด หรอื ทเ่ี รียกว่า หลอดลมฝอย (Bronchiole) และไปสุดทถ่ี งุ ลม (Aveolus) ซ่ึงเปน็ การท่ีอากาศอยู่ ใกล้กับเลือดในปอดมากที่สุด จึงเป็นบริเวณแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน กบั คาร์บอนไดออกไซด์ 5. ปอด (Lung)
ปอดมอี ยู่สองขา้ ง วางอยู่ในทรวงอก มีรปู ร่างคล้ายกรวย มปี ลายหรอื ยอดชีข้ ้ึนไปขา้ งบนและไปสวมพอดีกบั ช่องเปดิ แคบๆขอ งทรวงอก ซึ่งช่องเปดิ แคบๆนป้ี ระกอบขนึ้ ด้วยซี่โครงบนของกระดกู สันอกและ กระดูกสนั หลงั ฐานของปอดแต่ละขา้ งจะใหญ่และวางแนบสนิทกับกระบงั ลมระหว่ างปอด 2 ขา้ ง จะพบว่ามีหัวใจอยู่ ปอดข้างขวาจะโตกว่าปอดข้างซ้ายเล็กนอ้ ย และมีอยู่ 3 ก้อน สว่ นขา้ งซา้ ยมี 2 ก้อน หนา้ ทข่ี องปอดคอื การนำก๊าซ CO2 ออกจากเลือด และนำออกซิเจนเข้าสเู่ ลอื ด ปอดจึงมรี ูปร่างใหญ่ มลี ักษณะยดื หย่นุ คลา้ ยฟองน้ำ 6. เยอื่ หุ้มปอด (Pleura) เป็นเยื่อทีบ่ างและละเอยี ดออ่ น เปยี กชนื้ และเปน็ มนั ลน่ื หุ้มผวิ ภายนอกของปอด เย่ือหมุ้ น้ี ไม่เพยี งคลมุ ปอดเทา่ นน้ั ยังไปบผุ ิวหนงั ด้านในของทรวงอกอกี หรือกลา่ วไดอ้ กี อยา่ งหน่งึ ว่า เยื่อหุ้มปอดซง่ึ มี 2 ช้นั ระหวา่ ง 2 ชั้นนมี้ ี ของเหลวอยู่นิดหนอ่ ย เพื่อลดแรงเสยี ดสี ระหว่างเย่ือห้มุ มโี พรงว่าง เรียกว่าช่องระหว่างเยอ่ื หุ้มปอด
จากความรใู้ นระบบหมุนเวียนเลอื ด นอกจากเลือดจะลำเ ลยี งอาหารไปส่สู ่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายแล้ว ภายในเลอื ดยังมีแกส๊ สำคัญท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การดำรงชีวติ ของมนษุ ย์ คือ แก๊สออกซเิ จน(O2) และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) อยดู่ ้วย ระบบขบั ถา่ ย ระบบขบั ถา่ ยปสั สาวะ (Urinary system) รา่ งกายมนุษยม์ กี ลไกต่าง ๆ คลา้ ยเครือ่ งยนต์ ร่างกายตอ้ งใช้พลังงาน การเผาผลาญพลังงานเกิดของเสีย ของเสียท่ีร่างกายต้องกำจัดออกไปมีอยู่ 2 ประเภทสารทเี่ ปน็ พิษต่อ ร่างกายสารท่ีมปี ริมาณมากเกินความตอ้ งการ ระบบการขับถา่ ย เปน็ ระบบที่ร่างกายขบั ถ่ายของเสยี ออกไป ของเสยี ในรูปแก๊สคือลมของเหลวคอื เหงอื่ และปสั สาวะ ของเสยี ในรูปของแขง็ คอื อุจจาระอวยั วะทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการขับถา่ ยข องเสยี ในรปู ของแข็งคอื ลำไส้ใหญ่(ดูระบบย่อยอาหาร)อวยั วะทีเ่ ก่ยี วข้องกับการขับถ่ายของเ สียในรปู ของแก๊สคอื ปอด(ดรู ะบบหายใจ)อวัยวะที่เกยี่ วข้องกบั การขับถา่ ยของเสยี ในรูป ของเหลวคอื ไต
และผิวหนังอวยั วะที่เกย่ี วข้องกับการขับถา่ ยของเสียในรูปปสั สาวะ ไดแ้ ก่ ไต หลอดไต กระเพาะปสั สาวะอวัยวะทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการขับถ่ายของเสยี ในรปู เหง่ื อ คือผวิ หนัง ซึง่ มตี อ่ มเหงื่ออยู่ในผิวหนังทำ หนา้ ทีข่ ับเหงื่อการขับถา่ ยของเสยี ทางลำไส้ใหญ่การยอ่ ยอา หารซ่งึ จะสน้ิ สดุ ลงบรเิ วณรอยต่อระหว่างลำไสเ้ ลก็ กับลำไสใ้ หญ่ ลำไส้ใหญ่ยาววประมาณ 5 ฟุต ภายในมเี สน้ ผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 นวิ้ เนอื่ งจากอาหารที่ลำไสเ้ ล็กแล้วจะเปน็ ของเหลวหนา้ ทีข่ องลำไสใ้ หญ่ ครง่ึ แรกคือดดู ซมึ ของเหลว นำ้ เกลอื แร่และน้ำตา ที่ยังเหลอื อยู่ในกากอาหาร สว่ นลำไส้ใหญค่ ร่ึงหลังจะเปน็ ท่พี ักกากอาหารซึง่ มีลกั ษณะก่งึ ลำไส้ใ หญ่จะขับเมอื กออกมาหลอล่ืนเพือ่ ให้อุจจาระเคล่ือนไปตามลำไส้ให ญ่ไดง้ า่ ยขน้ึ ถ้าไส้ใหญด่ ดู นำ้ มากเกนิ ไป เนอื่ งจากกากอาหารตกค้างอยใู่ นลำไส้ใหญ่หลายวนั จะทำใหก้ ากอาหารแขง็ เกดิ ความลำบากในการขับถ่าย ซึ่งเรียกว่า ท้องผูก ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด
1.1 ระบบหมุนเวียนเลือดแบบวงจรปดิ (Closed circulatory System) ระบบหมนุ เวียนเลือดแบบวงจรปดิ ระบบน้ีเลอื ดจะไหลเวียนอยใู่ นทอ่ ของหลอดเลอื ดตลอดเวลา มีหลอ ดเลอื ดฝอยเช่อื มระหว่างหลอดเลือดอาร์เทอร์รแี ละเวน พบในแอนิ ลดิ (ไสเ้ ดือน ทากดูดเลือด) ปลาหมึก สัตวม์ กี ระดูกสันหลงั ทกุ ชนดิ (ปลา สัตว์สะเทนิ นำ้ สะเทินบก สตั วเ์ ลอ้ื ยคลาน นก และสัตวเ์ ล้ยี งลกู ด้วยน้ำนม) 1.2 ระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบวงจรเปิด (Open circulatory System) ระบบหมนุ เวียนเลือดแบบวงจรเปิด ระบบนีเ้ ลอื ดไหลออกจากหัวใจไปตามหลอดเลอื ดแลว้ ไหลออกจาก หลอดเลือดผ่านช่องว่างระหวา่ งลำตวั และทวี่ ่างระหว่างอวยั วะตา่ งๆ เลือดและนำ้ เหลืองจึงปนกันได้ เรียกว่า ฮโี มลิทพ์ (HaemolymphX ) และชอ่ งวา่ งระหวา่ งเนื้อเย่อื ท่เี ปน็ ทางผา่ นของฮีโมลิทพ์ จะเรยี กว่ า ฮโี มซลี (Heamocoel) ลักษณะเชน่ นีพ้ บในสตั ว์พวกอาร์โทรพอด (แมลง แมง กงุ้ กั้ง ปู ตะขาบ และก้งิ กอื )
มอลลัสก์ (หอยตา่ งๆยกเว้นปลาหมึก) โพรโทคอรเ์ คต (เพรยี งหวั หอม และแอมฟิออกซัส)ระบบหมุนเวียนเลือดในมนษุ ย์ 1. หวั ใจ (Heart ) หัวใจ (Heart) เปน็ อวัยวะท่ีรับผดิ ชอบหน้าที่สูบฉดี เลอื ดใหไ้ หลเวียนไปยงั อวัยวะอ่ื น ๆ ในร่างกายอยา่ งตอ่ เนื่องและทว่ั ถงึ หวั ใจของมนุษย์จะอยูบ่ รเิ วณช่องอกคอ่ นไปทางซ้าย แบ่งออกเปน็ 4 หอ้ งไดแ้ ก่ดา้ นบน 2 ห้อง และดา้ นล่างอกี 2 2. หลอดเลือด (Artery) หลอดเลอื ดแดง ( Artery ) หมายถึง หลอดเลือดทีน่ ำเลอื ดออกจากหัวใจ ซงึ่ จะเปน็ เลือดทม่ี ีปริมาณออก ซเิ จนสงู เป็นเลอื ดท่ีมีสแี ดงสด ไปเลีย้ งอวัยวะตา่ งๆทั่วร่างกาย ( ยกเว้นหลอดเลือดทีไ่ ปสปู่ อดชือ่ pulmonary artery ซง่ึ จะนำเลอื ด ดำจากหัวใจทม่ี คี าร์บอนไดออกไซด์สูงไปฟอกท่ปี อด ) 3. เลอื ด (Blood) เลือด (Blood) ประกอบด้วย 2 สว่ น คือ ส่วนทีเ่ ป็นของเหลว 55 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเรียกวา่ “ นำ้ เลือดหรอื พลาสมา
(plasma)”และสว่ นท่เี ปน็ ของแขง็ มี 45 เปอร์เซน็ ต์ ซง่ึ ไดแ้ ก่ เซลล์เมด็ เลือดและเกลด็ เลือด ระบบประสาท 1.สมอง (Brain) เปน็ ส่วนที่ใหญ่ทีส่ ุดของระบบประสาทสว่ นกลาง ควบคมุ การทำงานของส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกายหนักประมาณ 1.4 กโิ ลกรมั ทำหนา้ ท่ีรักษาสมดุลยภาพและการทรงตัวของรา่ งกาย 2.ไขสนั หลงั (Spinal Cord) เป็นส่วนสำคัญของระบบประสาทรอบนอก เปน็ ทางผา่ นของกระแสความรสู้ ึกไปยงั สมอง 3.เซลล์ประสาท (Neuron) นำคำสัง่ จากสมองและไขสนั หลงั ไปยงั ส่วนต่าง ๆ 4.เส้นประสาทสมอง (Cranial nerve) รบั กระแสความร้สู ึกเข้าสสู่ มอง และนำคำส่ังจากสมองเข้าไปยงั ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 5.เสน้ ประสาทไขสนั หลัง (Spinal nerve) รับกระแสความรสู้ กึ เข้าส่ไู ขสนั หลงั และนำคำสง่ั จากไขสันหลังเขา้ ไปยงั สว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย
ระบบประสาทแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามโครงสร้าง คือ ระบบประสาทสว่ นกลาง ไดแ้ ก่ สมอง และ ไขสนั หลงั และระบบประสาทรอบนอก เส้นประสาทสมอง และเสน้ ประสาทไขสนั หลัง การทำงานของระบบประสาท 1.ระบบประสาทโซมาติก (Somatic nervous system) เปน็ การทำงานภายใตอ้ ำนาจของจิตใจ ไดแ้ ก่ การทำงานของสมองและไขสันหลัง ระบบโซมาตกิ จะควบคมุ การทำงานของกล้ามเนอ้ื ลาย 2.ระบบประสาทอตั โนมัติ (Autonomic nervous system) เป็นระบบควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกาย โดยการควบคุมการทำงานของกลา้ มเนื้อเรียบ เช่นกลา้ มเนื้อหัวใจและตอ่ มต่างๆ เซลล์ประสาท ประกอบด้วยสว่ นสำคญั 2 สว่ น คอื 1.ตวั เซลล์ (Cell body) ประกอบดว้ ยนวิ เคลียสอยู่ตรงกลางเซลล์ และไซโทพลาสซมึ ซึง่ ภายในมี Neuro fibril เปน็ เสน้ ใยเล็กๆ ประสานกนั เป็นร่างแห
2.ใยประสาท (Nerve fiber) เป็นส่วนทีย่ ืน่ ออกมาจากตัวเซลล์แบง่ เปน็ 2 พวก 2.1 เดนไดรต์ (Dendrite) ทำหนา้ ทน่ี ำกระแสประสาทเข้าสตู่ ัวเซลล์ 2.2 แอกซอน (Axon) ทำหนา้ ที่นำกระแสประสาทออกจากตวั เซลล์ เซลลป์ ระสาทใช้เกณฑ์ในการแบ่ง 2 เกณฑ์ คือ 1. จำนวนแขนงท่ีแยกออกจากตวั เซลล์ - เซลล์ประสาทขั้วเดยี ว - เซลล์ประสาทสองข้ัว - เซลลป์ ระสาทหลายขัว้ 2. หนา้ ท่กี ารทำงานของเซลล์ประสาท - เซลลป์ ระสาทรับความรู้สกึ - เซลล์ประสาทสั่งการ - เซลล์ประสาทประสานงาน สมอง (Brain) สมองสว่ นหนา้ (Forebrain) สมองสว่ นกลาง (Midbrain) สมองส่วนท้าย (Hindbrain) ระบบประสาท และ อวยั วะรบั สัมผัส ( Nervous System )
ระบบประสาท คอื ระบบการตอบสนองตอ่ สิ่งเรา้ ของสตั ว์ทำใหส้ ัตว์สามารถตอบสนอง ตอ่ สิง่ ต่างๆ รอบตัวอย่างรวดเรว็ ช่วยรวบรวมข้อมูลเพอ่ื ให้สามารถตอบสนองได้ ระบบประสาท มหี น้าทใ่ี นการออกคำส่ังการทำงานของกล้ ามเนอ้ื ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และประมวลข้อมลู ทีร่ ับมาจากประสาทสมั ผสั ต่างๆ และสร้างคำส่งั ตา่ ง ๆ (action) ให้อวยั วะตา่ งๆ ทำงาน ระบบประสาทของสัตว์ท่มี ีสมองจะมีความคดิ และอารมณ์ ระบบประสาทจงึ เปน็ ส่วนของร่างกายทท่ี ำใหส้ ตั วม์ กี ารเคล่อื นไหว ระบบประสาท แบง่ ออกเปน็ 2 ระบบ 1.ระบบประสาทส่วนกลาง ( Central Nervous System หรอื CNS ) : ประกอบดว้ ย สมอง และ ไขสนั หลัง 2.ระบบประสาทรอบนอก ( Peripheral Nervous System หรือ PNS) : เส้นประสาทสมอง 12 คู่ และ เสน้ ประสาทไขสนั หลัง 31 คู่ สว่ นประกอบของระบบประสาท ส่วนประกอบสมอง
-ควบคมุ การทำงานของสว่ นต่างๆในรา่ งกาย -รกั ษาดุลยภาพและการทรงตวั ของร่างกาย -เก่ยี วกบั พฤติกรรมที่เกดิ จากการเรยี นรู้ เชน่ ความจำ การตัดสนิ ใจ ส่วนประกอบไขสนั หลงั -เป็นศูนยก์ ลางการปฏิบัตงิ านที่เกดิ ขน้ึ ทนั ทที นั ใด -เปน็ ทางผ่านของกระแสความรู้สึกไปยังสมอง เซลล์ประสาท -นำกระแสความรสู้ ึกเข้าสู่สมอง และนำคำสง่ั จากสมองไปยังสว่ นตา่ งๆของรา่ งกาย เส้นประสาทสมอง -รบั กระแสความรสู้ ึกเข้าสู่สมอง และนำคำสง่ั จากสมองไปยังสว่ นตา่ งๆของร่างกาย เสน้ ประสาทไขสนั หลัง -รับกระแสความรู้สกึ เข้าสู่ไขสนั หลงั และนำคำสั่งจากไขสันหลังไปยงั ส่วนต่างๆของร่างกาย เซลล์ประสาท ( Neuron ) 1. ตวั เซลล์ ( Cell body ) : ลกั ษณะคล้ายกบั เซลล์ทัว่ ไป ภายในมนี ิวเคลียส มีหน้าทีเ่ กี่ยวกับการเจรญิ เตบิ โต
และเมแทบอรซิ มึ ของเซลล์ประสาท แหลง่ สร้างพลังงาน สังเคราะห์โปรตีนท่เี ป็นสารสือ่ ประสาท และยังมี Neuro fibrill เปน็ เส้นฝอยมหี น้าท่ีช่วยกระจายกระแสประสาทและพยงุ เซลล์ ประสานกันเปน็ ร่างแห 2. ใยประสาท ( Nerve fiber ) : เปน็ ส่วนที่ยน่ื ออกมาจากตัวเซลล์ แบง่ เป็น 2 ชนดิ คอื -เดนไดรต์ ( Dendrite ) : นำกระแสประสาทเข้าสตู่ ัวเซลล์ -แอกซอน ( Axon ) : นำกระแสประสาทออกจากตวั เซลล์ โดยมีเยื้อไมอลี ินท่สี ร้างจากเซ ลลช์ วานหอ่ หมุ้ รอบแอกซอน เยอ่ื ไมอีลิน เปน็ สารประเภทไขมนั มคี วามเปน็ ฉนวนไฟฟา้ ทำให้กระแสประสาทในแอกซอนเคล่ือนทีอ่ ย่างรวดเรว็ ชนิดของเซลลป์ ระสาท แบง่ ตามหนา้ ท่ีการทำงาน 1. เซลล์ประสาทรับความรูส้ ึก ( Sensony Neuron ) : รับความรู้สึกจากสว่ นตา่ งๆเข้าสู่สมองและไขสันหลงั *พบในปมประ สาท 2. เซลล์ประสาทสงั่ การ ( Motor Neuron ) : นำกระแสประสาทออกจากสมองและไขสันหลังไปยงั กล้ามเนื้อและ สว่ นต่างๆของรา่ งการ
3. เซลล์ประสาทประสานงาน ( Association Neuron ) : เปน็ ตวั เชือ่ มระหว่างเซลล์รบั ความรู้สกึ และเซลล์ส่งั การ * พบในระบบประสาทสว่ นกลางเท่านนั้ ชนิดของเซลลป์ ระสาท แบง่ ตามลกั ษณะ 1. เซลล์ประสาทข้ัวเดียว ( Unipolar neuron) : เปน็ เซลลป์ ระสาททม่ี ใี ยประสาทยนื่ ออกจากตัวเซลลเ์ พียงกง่ิ เดีย ว แล้วแยกออกเป็น 2 กิง่ 2. เซลลป์ ระสาทหลายขั้ว ( Multipolar neuron) : เป็นเซลลป์ ระสาทมแี ขนงแยกออกมาเป็น 2 แขนง โดยแขนงหนึ่งเป็นแอกซอน และอีกแขนงหนง่ึ เป็นเดนไดรต์ ความยาวของแขนงท้ังสองนใ้ี กล้เคียงกัน 3. เซลล์ประสาทประสานงาน(Association neuron) : เป็นเซลล์ประสาทท่ีมเี สน้ ใยออกจากตวั เซลล์หลายก่ิง โดยมีแอกซอนเพียง 1 กง่ิ นอกน้ันเป็นเดรนไดรต์ทง้ั หมดสมองเปน็ สว่ นท่ใี หญ่ทสี่ ุดของระบบป ระสาทส่วนกลาง ศนู ย์ส่งั การของรา่ งกายทัง้ หมด สมองของคนหนกั ประมาณ 1.4 กโิ ลกรมั โดยสมองแบ่งได้เป็น 3 ส่วนดงั นตี้ ำแหนง่ สมอง ส่วนของสมอง หน้าที่ ซรี บี รมั ( Cerebrum)มขี นาดโตทส่ี ุด
เก่ยี วกับความจำ ความฉลาด ความคดิ เชาวป์ ญั ญา อารมณ์ ประมวลผลสุดท้ายของความรู้สึกทุกชนดิ สว่ นหนา้ ทาลามสั (Thalamas) -สถานท่ถี ่ายทอดกระแสประสาทเขา้ สู่สมองและไขสนั หลงั กอ่ นเข้าส่ซู ีรีบรัมยกเวน้ การดมกล่นิ ทไ่ี มผ่ ่านทาลามัสฮโพทาลามัส( Hypothalamas) -ศูนยค์ วบคมุ ความหวิ อม่ิ กระหายนำ้ การหลงั่ ฮอโมน ควบคุมอุณหภูมิรา่ งกาย ควบคุมการนอนหลับ ออฟเฟกตอรี บัลบ์( Offactory bulb) -การดมกลน่ิ สุนขั มีสว่ นน้โี ตมาก จงึ มคี วามสามารถในการดมกล่ินได้ สว่ นกลาง ออปติกโลบ( optic lobe ) -การเคล่อื นไหวของนัยน์ตา ทำให้ลกู นัยน์ตากลอกไปมาได้ และควบคมุ การปดิ เปดิ ของมา่ นตาในเวลาท่มี ีแสงสว่างเขา้ มามากห รอื น้อย ซรี ีเบลลัม( Cerebellum) ควบคมุ การเคล่อื นไหวของอวยั วะตา่ งๆ -ควบคุมการทรงตวั -การประสานงานของกล้ามเน้ือ
สว่ นท้ายพอนส(์ Pons ) -ควบคุมการเคลอ่ื นไหวบนใบหนา้ -แสดงสีหน้า –การหล่งั น้ำลาย -การเคี้ยว เมดุลลา ออบลองกาตา( Medulla Oblongata) -ควบคุมการหายใจ -การเตน้ ของหัวใจ -การยอ่ ยอาหาร เส้นประสาทสมอง เส้นประสาทสมองสว่ นมากออกมาจาก สมองดา้ นข้าง สตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ยน้ำนม นก และสตั วเ์ ลอื้ ยคลาน มี 12 คู่ ปลา สัตวค์ รึ่งบอกครึง่ น้ำ มี 10 คู่ เส้นประสาทสมองบางเสน้ ทำหน้าท่ีรับความรสู้ ึก บางเส้นเปน็ เส้นประสาทคำส่ัง บางเสน้ ก็เปน็ เสน้ ประสารทผสม ระบบสบื พันธ์ุ (REPRODUCTIVE SYSTEM) ส่ิงมีชวี ติ ทัง้ หลายมีคุณสมบตั ิอย่างหนง่ึ คือ มกี ารสบื พนั ธ์ุ เพ่ือการดำรงเผ่าพนั ธขุ์ องสง่ิ มชี วี ติ นัน้ ๆ การสืบพนั ธุ์
การเจริญเติบโต และพัฒนาการ และการส่งตอ่ ลกั ษณะต่างๆ ทางพันธกุ รรมไปใหล้ กู หลาน จะดำเนินไปไม่ได้เลยถา้ ปราศจากการสืบพนั ธ์ุของเซลล์ หรอื การแบง่ เซลล์ เซลล์สืบพนั ธ์ใุ นเพศชาย คอื อสจุ ิ และเซลล์สบื พันธ์ุในเพศหญิง คอื ไข่ เมอ่ื อสุจิและไข่ มีการปฏสิ นธิ จะมีการแบง่ เซลล์ เจรญิ และพัฒนาจนเปน็ เอมบริโอ และเปน็ ตัวทีส่ มบรู ณ์แลว้ เมอ่ื คลอดออกมากจ็ ะมีการเจริญและพฒั นาอกี คร้งั หนง่ึ จนกระท่งั เข้าส่วู ัยรุ่นจะมีการเจริญทางเพศทส่ี มบูรณ์ และสามารถที่จะสืบพนั ธไุ์ ด้อีก ระยะพฒั นาการของชีวติ มนุษย์ ระยะพัฒนาการของชีวิตมนุษย์ แบง่ ออกได้เปน็ ระยะตา่ งๆ ดงั นี้ 1. ระยะก่อนเกดิ (Prenatal Life) 1.1 ระยะไข่สกุ (Period of Ovum) เรม่ิ ต้ังแตม่ ีการปฏสิ นธิ(Fertilization) ไปจนถึงปลายสปั ดาห์ท่ี 2 1.2 ระยะเอมบริโอ (Period of Embryo) เร่มิ จากสัปดาห์ท่ี 3 จนถึงปลายเดือนท่ี 2
1.3 ระยะเปน็ ตวั (Period of Fetus) เร่มิ จากต้นเดอื นที่ 3 ไปจนถงึ ปลายเดอื นท่ี 9 หรือ คลอด 2. ระยะหลงั เกดิ (Postnatal Life) 2.1 ระยะแรกเกิด (Period of Newborn) เริม่ ตงั้ แตแ่ รกเกดิ จนถึงปลายสัปดาหท์ ี่ 2 2.2 ระยะทารก (Period of Infant) เร่ิมจากสัปดาหท์ ่ี 3 จนถึงสิน้ ปที ี่ 1 2.3 ระยะเด็กเล็ก (Period of Childhood) เริม่ จากสนิ้ ปีที่ 1 จนย่างเข้าสวู่ ยั รุ่น คอื ในเด็กหญิงอายปุ ระมาณ 14 ปี และในเด็กชายอายปุ ระมาณ 16 ปี 2.4 ระยะวยั รุ่น (Period ofAdolescence) จากระยะเริ่มเขา้ สู่วยั ร่นุ จนถึงอายุ 20 ปี 2.5 ระยะผใู้ หญ่ (Period of Maturity) เร่มิ ตง้ั แตอ่ ายุ 20 ปี ไปจนถงึ แก่ชรา ระยะทีม่ นุษยม์ คี วามพร้อมในการสืบพนั ธ์ุ คอื ระยะตง้ั แต่วัยรนุ่ ขน้ึ ไป ร่างกายทง้ั ชาย และหญงิ จะมกี ารเปลยี่ นแปลงลักษณะทางเพศ (Secondary sex development) ผูช้ ายส่วนใหญ่กลอ่ งเสียงจะย่นื โตออกมา ทำให้
มองเหน็ เปน็ ลกู กระเดอื ก (Adam’s apple) เสยี งเริ่มเปลยี่ นห้าวขน้ึ มีหนวดเครา และขนทบี่ ริเวณอวัยวะสบื พันธุ์ รกั แร้ มีการขบั นำ้ กาม และอสจุ ิออกมา สว่ นใหญใ่ นหญงิ รูปร่างค่อยเปล่ยี นแปลงทลี ะนอ้ ย สะโพกและทรวงอกขยายใหญ่ มขี นท่ีบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ และรกั แร้ เร่มิ มปี ระจำเดือน (Menstruation) เสียงแหลม การเปล่ียนแปลงดังกล่าว เน่อื งจากระบบสืบพันธเ์ุ ตรียมพรอ้ มเพ่ือการสืบพนั ธุ์ อวัยวะทีเ่ ก่ียวกับการสบื พันธ์ุ เรียกวา่ โกแนด (Gonads) ในเพศชายคอื อัณฑะ(Testis) ส่วนในเพศหญงิ คือ รังไข่ (Ovary) โกแนดทำหนา้ ท่ี 2 ประการ คือ 1. ผลติ อสุจิ (Spermatozoa) ในชาย และผลติ ไข่ (Ova) ในหญงิ 2. ผลิตฮอร์โมน และ ถ่ายทอดลกั ษณะการเปลี่ยนแปลงทางเพศ อวัยวะสืบพันธเ์ุ พศชาย (Male GenitalOrgan) อวยั วะสบื พันธ์เุ พศชาย แบง่ เป็น 2 สว่ น คือ 1. อวยั วะสืบพนั ธภุ์ ายนอก ได้แก่ ถุงอัณฑะ ลึงค์
1.1 ถงุ อณั ฑะ (Scrotum) เป็นส่วนของผิวหนังทไ่ี ม่มไี ขมั นใตผ้ ิวหนงั ยื่นลงมาจากหนา้ ทอ้ ง มีกล้ามเน้ือเรียบปรากฏอยู่ (Dartus muscle) เป็นกลา้ มเน้อื ท่ีช่วยปรับอุณหภูมขิ องอณั ฑะ ใหต้ ำ่ กว่าอณุ หภูมขิ องร่างกาย ประมาณ 3-5 องศาเซลเซียส 1.2 ลึงค์ (Penis) ทำหน้าทีเ่ ป็นทางผา่ นของปสั สาวะ และเปน็ อวยั วะในการร่วมเพศ ลึงค์เปน็ เนื้อเย่อื เก่ียวพันชนดิ พิเศษ โดยปกติจะหดตวั อยู่ (Detumescence) แตถ่ า้ มีความรูส้ กึ ทางเพศ จะสามารถแข็งตวั (Erection of penis) ได้ 2. อวยั วะสบื พันธ์ุภายใน ไดแ้ ก่ อณั ฑะ ทอ่ และตอ่ มตา่ งๆ 2.1 อัณฑะ (Testis) เป็นอวัยวะสำคัญทีส่ ดุ ในระบบสบื พันธุ์เ พศชาย ทำหนา้ ทีส่ ร้างอสุจิ และฮอร์โมนเพศชาย อณั ฑะมีลกั ษณะรปู ไข่อยใู่ นถงุ อณั ฑะ ทำหน้าที่สร้างฮอรโ์ มนเพศชาย คือ เทสโทสเตอโรน โดยมที ่อนำอสุจิ ออกสูภ่ ายนอก คอื เอพดิ ิไดมสิ (Epididymis) 2.2 หลอดเก็บอสจุ ิ (Epididymis) เป็นทอ่ ขดไปมา วางตวั ติดกับดา้ นหลงั ของอัณฑะ ประกอบดว้ ยสว่ นหัว ส่วนลำตวั และสว่ นหาง หลอดเกบ็ อสจุ ิยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ทำหนา้ ทเี่ ป็นทเี่ กบ็ อสจุ ิทส่ี รา้ งสมบรูณแ์ ล้ว
2.3 ทอ่ นำอสุจิ (Vas Deferens) เป็นทอ่ ต่อจากสว่ นหางของหลอดเก็บอสจุ ิ ยาวประมาณ 1 น้วิ ทำหน้าทนี่ ำอสุจจิ ากอณั ฑะเขา้ ไปในช่องท้อง 2.4 ถุงพักอสุจิ (Seminal Vescicle) เปน็ 2 ถงุ อยูห่ ลังและต่อกบั กระเพาะอาหาร ทำหนา้ ทสี่ รา้ งอาหารสำหรบั อสุจิ (Seminal fluid) ในอาหารประกอบดว้ ยน้ำตาลฟรกั โทส กับโปรตีนโกลบลู นิ 2.5 ท่อฉดี อสุจิ (Ejaculatory Duct) เปน็ ทอ่ สน้ั ๆ เปดิ เขา้ สทู่ อ่ ปสั สาวะ ตรงบรเิ วณต่อมลูกหมากยาวประมาณ 2 เซนติเมตร บางครง้ั เรียกว่า หลอดฉีดนำ้ กาม ทอ่ นท้ี ำหนา้ ท่ีบีบตัว ขับน้ำอสจุ ิ (Semen) 2.6 ต่อมลกู หมาก (Prostate Gland) เปน็ ต่อมทีอ่ ยู่รอบท่ออสุจิ อยู่ด้านลา่ งกระเพาะปัสสาวะ ทำหน้าที่สรา้ งน้ำกาม (Prostate Gland) ซง่ึ มลี กั ษณะ คลา้ ยนำ้ นม มฤี ทธ์เิ ปน็ เบสเล็กนอ้ ย มกี ลน่ิ เฉพาะตัว 2.7 ตอ่ มกล่นั เมอื ก (Urethral Gland) ไดแ้ ก่ ต่อมคาวเปอร(์ Cowper gland)
อยู่ใตต้ อ่ มลกู หมาก ทำหน้าท่ีสรา้ งสารหล่อลื่นท่อปสั สาวะ มีฤทธ์ิเปน็ เบส ในเพศชาย เม่ือเข้าสู่ระยะทสี่ บื พันธุไ์ ด้ จะมีการสรา้ งอสุจไิ ด้เป็นจำนวนมาก และเปน็ ชว่ งเวลานานกว่าเพศหญิง จนถงึ อายุประมาณ 80-90 ปี โดยเฉพาะในระยะหลังๆ นี้ อสจุ ทิ ่สี รา้ งได้จะมีจำนวนนอ้ ยลง ปกตใิ นการหลั่งน้ำอสจุ ิ (Insemination) ในแตล่ ะคร้ัง จะมีปริมาณประมาณ 3-5 มลิ ลิลิตร โดยมีอสุจอิ ยปู่ ระมาณ 300-400 ลา้ นตัว หากมีจำนวนอสุจินอ้ ยกวา่ นี้ อาจเป็นสาเหตทุ ำให้เปน็ หมันได้ อสุจิเมื่อเข้าไปในชอ่ งคลอดเพศห ญิง จะมชี ีวิตอยไู่ ด้ถงึ 48ชวั่ โมง อสจุ สิ ามารถเคลื่อนทีไ่ ดด้ ว้ ย ความเร็ว 3 มลิ ลเิ มตรต่อนาที โดยการว่ายนำ้ ไป และจะเคลอ่ื นทไี่ ปถงึ ท่อนำไข่ในเวลา 30-60 นาที อสจุ ิ (Spermatozoa) เปน็ เซลลท์ เี่ จรญิ เติบโตไปเป็นตวั ใหม่โด ยลำพงั ไมไ่ ด้ จะต้องรวมกับไขเ่ สียกอ่ นเสมอไป อสุจิ ประกอบดว้ ยโครงสรา้ ง 3 ส่วน คือ
1. ส่วนหัว เป็นสว่ นท่สี ำคญั ทส่ี ุดในการผสมพันธ์ุ ทป่ี ลายหวั เรยี กวา่ อะโครโซม ใชส้ ำหรบั เจาะไข่ในสว่ นหัวน้จี ะมี DNA อยมู่ าก 2. สว่ นลำตัว มีลักษณะเป็นทรงกระบอก ส่วนบนสุดจะคอดเ รียกวา่ คอ 3. ส่วนหาง ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ต้นหาง และ ปลายหาง J อวัยวะสืบพนั ธ์ุเพศหญงิ (Female GenitalOrgan) อวัยวะสบื พนั ธเุ์ พศหญิงแบง่ เปน็ 2 ส่วน คอื 1. สว่ นภายนอก ไดแ้ ก่ คลิทอรสิ แคมใหญ่ แคมเล็ก เวสทิบุล เยือ่ พรหมจารยี ์ รวมทง้ั ตอ่ มสรา้ งน้ำเมือกบริเวณช่องคลอด 1.1 คลทิ อริส (Clitoris) เทียบได้กับลงึ คใ์ นเพศชาย ประกอบ ด้วยเน้ือเย่อื ทที่ ำให้เกิดการแขง็ ตวั โดยให้เลอื ดมาคง่ั 1.2 แคมใหญ่ (Labia Majora) เปน็ ปุ่มนูนขนาดใหญ่ 2 อนั ซ่งึ ประกอบดว้ ย ตอ่ มนำ้ มัน ไขมัน มขี น(Pubic hair) ปกคลมุ อยดู่ า้ นบนของแคมใหญจ่ ะรวมกนั เปน็ เนนิ หัวเหน่า (Mons pubis) 1.3 แคมเลก็ (Labia Majora) มีลกั ษณะเปน็ เน้ือน่มิ ของปุ่มนนู ของผิวหนังเหมือนกัน แต่
ไมม่ ไี ขมัน ไม่มีขน ด้านหลังจะมารวมกันเปน็ ฝีเย็บ (Fourchette) ซง่ึ จะฉีกขาดในตอนคลอด 1.4 เวสทบิ ลุ (Vestibule) เปน็ สว่ นท่อี ยู่นอกสุดของช่องคลอ ด จะมเี ยอ่ื พรหมจารยี ์ (Hymen) ปดิ อยู่ มีชอ่ งเปิดของท่อปสั สาวะ และชอ่ งเปดิ ของชอ่ งคลอดรวมอยู่ มตี อ่ มน้ำเมือกและตอ่ มเหง่ือมาเปิดด้วย 1.5 ต่อมสร้างน้ำเมือก (Vestibula Gland) อยทู่ ่ีบรเิ วณแคมเลก็ ทำหน้าท่สี ร้างสารเมือก เพ่ือการหลอ่ ลน่ื 2. สว่ นภายใน ไดแ้ ก่ รังไข่ มดลูก และ ช่องคลอด 2.1 รังไข่ (Ovary) เป็นอวัยวะท่สี ำคัญท่ีสดุ ในระบบสืบพันธ์เุ พศหญิง มีอยู่ 2 ขา้ งในช่องทอ้ งน้อยยดึ ตดิ กับมดลกู โดยเอน็ ส่วนดา้ นนอกยึดตดิ กบั ลำตวั ภายในรงั ไข่จะพบไข่มากมาย ประมาณ 3- 4 แสนใบ รังไขท่ ำหน้าท่ี 2 อย่าง คอื สร้างไข่ และสรา้ งฮอร์โมนเพศหญงิ ไขใ่ บท่สี ุกเต็มท่แี ลว้ จะหลุดออกมาจากรงั ไข่ เรยี กว่า การตกไข่ (Ovulation) ซ่งึ ถกู ควบคุมและกระตนุ้ โดยฮอร์โมน LH และ FSH จากต่อมใต้ สมอง รังไข่จะสรา้ งฮอรโ์ มนโพรเจสเตอโรน
F ในรอบ 28 วัน ไขจ่ ะสกุ เพียงในเดยี ว และ ระยะตกไข่จะมเี วลาประมาณ 14 วนั หากไข่ไม่ไดร้ บั การผสม ก็จะสลายไป และหลดุ ออกมาสูภ่ ายนอกพรอ้ มๆ กบั ผนังมดลูก เรยี กว่า ประจำเดอื น (Menstruation) ประจำเดอื น จะหมดเมือ่ อายุประมาณ 45-50 ปี 2.2 ท่อนำไข่ (Oviduct) เป็นทอ่ ซึง่ ดา้ นหนงึ่ ตดิ กบั มดลูกอีกด้านห นึ่งอสิ ระอยใู่ กล้ๆ รงั ไข่ เป็นทางผา่ นของไข่และอสจุ ิ ซึง่ จะพบกนั ประมาณ 1 ใน 3 ของท่อนำไข่ 2.3 ชอ่ งคลอด (Vagina) อยู่ระหวา่ งทวารหนัก กบั ปากท่อปัสสาวะผนังดา้ นในมเี ยื่อเมือกบุอยู่ ยืดหดไดด้ ี ทีป่ ากชอ่ งคลอดมีกลา้ มเนื้อหรู สู ามารถบงั คบั ได้ 2.4 มดลูก (Uterus) มีขนาดกว้าง 2 นิ้ว ยาว 3 นว้ิ และหนา 1 นว้ิ อยใู่ นชอ่ งท้องนอ้ ย ผนังยดื หดไดม้ ากเป็นพเิ ศษ และขยายตัวไดม้ ากในเวลาตั้งครรภ์ ในระยะคลอด ฮอร์โมนออกซิโทซนิ จะกระตุน้ ใหก้ ลา้ มเนอ้ื บริเวณนห้ี ดตัวอยา่ งรนุ แรง ทำใหค้ ลอดได้ง่ายข้นึ การตง้ั ครรภ์
หญิงสามารถมีบตุ ร หลงั จากมีประจำเดอื นแล้ว 3 ปี โดยเฉลยี่ หญงิ มบี ตุ รได้เมอื่ อายุประมาณ 17 ปี พบว่ามารดาท่ีอายุยงั น้อยจะใหบ้ ุตรผดิ ปกติ เนือ่ งจากสภาพทางสรีรวทิ ยาของรา่ งกายยังไม่พรอ้ มที่จะมีบุตร หญงิ พร้อมทีจ่ ะมีบตุ รได้อย่างสมบูรณเ์ ม่ืออายุ 21-28 ปี หลงั จากมกี ารร่วมเพศแลว้ อสุจิจะเคล่ือนผ่านมดลูกเขา้ ไปทาง ท่อนำไข่ การบบี ตัวของมดลูก และท่อนำไข่ กม็ ผี ลชว่ ยทำให้อสุจิเคล่อื นทไี่ ด้เร็วขนึ้ อสุจเิ จาะเข้าไปผสมกับไข่โดยอาศัยเอนไซมจ์ ากสว่ นหวั ของอสุจไิ ปย่ อยเย่อื หุ้มไข่ (Corona radiata) อสุจิตัวเดียวเทา่ นั้นท่ีสามารถผสมกบั ไข่ได้ ซึง่ หลังจากการผสมแลว้ เรียกวา่ ไซโกต จะเคลอ่ื นตัวมาฝงั ตัวทผี่ นั งชัน้ ในสุดของมดลูก การคลอด (Parturiticn) การตงั้ ครรภใ์ นคน กนิ เวลาประมาณ 27 0 วัน นับตง้ั แตก่ ารผสมของไข่ หรอื 284 วนั นบั ตง้ั แตว่ ันแรกของประจำเดอื นครง้ั สดุ ท้าย ในระยะสดุ ทา้ ยข องการตัง้ ครรภ์ มดลูกจะบีบตวั เป็นครั้งคราว และการบบี ตวั นจี้ ะเกิดบอ่ ยขึ้น ในระยะน้ี
กลา้ มเน้อื มดลกู จะมคี วามไวในการตอบสนองตอ่ ออกซิโทซนิ มากขน้ึ เมือ่ เริม่ เจ็บทอ้ ง ศรี ษะของเด็กที่ดันขยายส่วนลา่ งของมด ลกู จะมีผลกระตุ้นให้มีการขบั ออกซโิ ทซินออกมามากขน้ึ มีผลทำให้มดลูกบีบตวั แรงข้นึ ทำให้เกดิ การคลอดได้ การมลี กู แฝด การมลี กู แฝด เกิดจากการแบง่ เซลล์ ของไข่ท่ีไดร้ ับการผสมแล้ วผดิ ปกติ หรือเกดิ จากการสกุ ของไขผ่ ิดปกติ ฝาแฝด แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1. ฝาแฝดแท้ (Indentical Twins) เกิดจากไขใ่ บเดียวผสมกบั อสจุ ติ ัวเดียว แตเ่ มื่อมกี ารแบ่งเซลล์แล้ว เกดิ แยกออกเปน็ 2 กลุ่ม ฝังตวั อยใู่ นผนังมดลูกที่เดียวกนั จีนส์เหมอื นกนั เดก็ เพศเดยี วกนั หน้าเหมือนกัน และลำตัวจะตดิ กนั ดว้ ย 2. ฝาแฝดเทียม (Fraternal Twins) เกดิ จากไข่ 2 ใบ และอสจุ ิ 2 ตัวผสมกัน ฝังตวั ในผนงั มดลกู คนละท่ีกัน รกและถุงหมุ้ ตัวอ่อนแยกจากกนั แต่ละสว่ นจะแบง่ เซลล์ดว้ ยตวั เอง จีนส์ต่างกัน เด็กจะไม่ตดิ กนั อาจเป็นเพศเดยี วกนั หรอื ต่างเพศ กันกไ็ ด้ การเลือกเพศบุตร
C ในน้ำอสจุ ิของเพศชาย จะมีอสุจิอยู่ 2 ชนดิ คือ อสุจิ X และ อสจุ ิ Y โดยเฉพาะอสจุ ิ X จะมขี นาดใหญ่กว่าและเคลื่อนทไ่ี ด้ช้ากวา่ อสุจิ Y C เมอื่ อสุจิ X หรือ อสุจิ Y เดนิ ทางผ่านช่องคลอด ผา่ นเข้าสู่ปากมดลูก และเขา้ ไปผสมกับไข่ในท่อนำไขไ่ ดน้ ัน้ ขึน้ อยู่กบั สภาพแวดลอ้ ม ในช่องคลอด และปากมดลูกของเพศหญิง C โดยปกติในชอ่ งคลอดจะมสี ภาพเป็นกรด สว่ นบรเิ วณปากมดลกู และมดลูกมีสภาพเปน็ เบส ขณะท่ีใกลไ้ ขส่ ุก หรือในขณะทีเ่ พศหญงิ มคี วามรูส้ ึกทางเพศถงึ จดุ สดุ ยอด (Orgasm) น้ำเมือกจากมดลกู มเี พิ่มมากข้ึน ทำใหบ้ รเิ วณปากมดลกู เป็นเบสมากข้นึ ในชอ่ งคลอดจะมคี วามเป็นกรดลดลง C ถ้าในสภาพทเี่ ป็นกรด อสจุ ิ Y ซึ่งมีขนาดเลก็ กว่าอสุจิ X ถูกทำลายก่อน แตใ่ นสภาพท่ีเ ป็นเบส ท้งั อสุจิ X และ อสุจิ Y จะไม่ถกู ทำลาย อสุจิ Y ซ่งึ มขี นาดเลก็ กว่า และเคล่ือนทไ่ี ดเ้ ร็วกว่า อสุจิ X M เมอื่ ทราบความจริงข้อนแี้ ลว้ สามารถจะชว่ ยให้อสุจิ X หรือ อสจุ ิ Y ว่ายไปผสมกับไข่ เพ่ือให้ ไดบ้ ตุ รท่ีมีเพศตามความต้องการได้
ถา้ ตอ้ งการบุตรเพศหญิง ให้ร่วมเพศกอ่ นไข่สุก 2-3 วนั กอ่ นร่วมเพศให้ล้างช่องคลอดดว้ ยนำ้ ส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ ำ 1 ลติ ร เพอ่ื ให้ช่องคลอดเปน็ กรดมากขึ้น หญิงขณะรว่ มเพศไม่ควรมีความรู้สกึ ถงึ จดุ สดุ ยอด เพราะจะทำให้นำ้ เมือกจากปากมดลกู ซึ่งมีฤทธ์ิเป็นเบสถูกปลอ่ ยออ กมา ขณะท่ชี ายหลั่งนำ้ อสจุ ิไม่ควรให้ลึงค์อยู่ลกึ จุดประสงค์เพ่ือให้อสุจิถูกกรดในช่องคลอดมากทส่ี ดุ ถ้าต้องการบุตรเพศชาย ควรร่วมเพศเวลาไขส่ ุกมากท่สี ุด หรอื เวลาทไ่ี ขส่ ุกพอดี ได้ยง่ิ ดี เพราะสภาพ บรเิ วณปากมดลูกจะเป็นเบสมากข้นึ ลา้ งช่องคลอดดว้ ยน้ำโซดาไฮโดรเจนคาร์บอเนต 2 ชอ้ นโต๊ะ ผสมนำ้ 1 ลติ ร เพอื่ ให้ชอ่ งคลอดมีสภาพเป็นเบส หญงิ ขณะร่วมเพศควรมีความรูส้ กึ ถึงจดุ สุดยอด และ ขณะทช่ี ายหล่ังนำ้ อสจุ ิ ควรให้ลึงคอ์ ยลู่ ึกมากท่สี ุด การคุมกำเนิด การคมุ กำเนิด เปน็ การป้องกันการต้งั ครรภ์ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คอื
1. การคุมกำเนดิ แบบชั่วคราว สามารถทำไดห้ ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ 1.1 การนับระยะปลอดภัย โดยไมร่ ่วมเพศในระหวา่ งวันที่ 11-17 ของรอบประจำเดอื น ซ่งึ ระยะปลอดภัยจรงิ ๆ คอื 7 วัน กอ่ นมีประจำเดือน และ อกี 7 วัน นับต้ังแต่วันมปี ระจำเดือนรวมเป็น 14 วัน 1.2 การใชย้ าคมุ กำเนิด ท้ัง ชนดิ ฉีด หรอื ยาเม็ดรบั ประทาน ซึง่ มีผลปอ้ งกันการสกุ ของไข่ 1.3 การใชห้ ่วงคุมกำเนดิ 1.4 การใชว้ ัสดุอืน่ ๆ คุมกำเนิด เช่น โฟม เยล 1.5 การใชถ้ ุงยางอนามยั สำหรบั เพศชาย 1.6 การหล่งั นำ้ อสุจภิ ายนอก 1.7 การทำแทง้ 2. การคมุ กำเนิดแบบถาวร ไดแ้ ก่ 2.1 การทำหมนั ในเพศหญิง โดยการผูก หรอื ตดั ทอ่ นำไข่ มี 2 แบบ คือ การทำหมันเปียกภายหลังคลอดใหม่ ๆ และ การทำหมันแห้งในระยะอนื่ ๆ2.2 การทำหมันในเพศชาย โดยการ ผูก หรือ ตดั ท่อนำอสุจิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 30
Pages: