เอกสารประกอบการเรียนวชิ า ความหลากหลายของส่ิงมีชีวติ (พว32017) สาระความรู้พ้ืนฐาน ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย หลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 จดั ทาโดย นายชิษณุพงศ์ เขม็ นาค ครู กศน.ตาบลสวนพริก ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอพระนครศรีอยธุ ยา สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา
คาอธิบายรายวชิ า พว32017 ความหลากหลายของส่ิงมชี ีวติ จานวน 2 หน่วยกติ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเห็นคุณค่าเก่ียวกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งมีชีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ในทอ้ งถิ่นประเทศและโลก สาร แรง พลงั งาน กระบวนการ เปลี่ยนแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตร์และนาความรู้ไปใชป้ ระโยใชนนก์ ารดาเนินชีวติ ศึกษาและฝึ กทกั ษะเกยี่ วกบั เร่ืองต่อไปนี้ ความหลากหลายของส่ิงมีชีวติ กาเนิดส่ิงมีชีวติ ทฤษฎีกาเนิดสิ่งมีชีวติ ลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ ววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ เกณฑก์ ารจาแนกสิ่งมีชีวติ ไดโคโตมสั คีย์ การต้งั ช่ือสิ่งมีชีวติ ลาดบั การจดั หมวดหมู่ ของสิ่งมีชีวติ อาณาจกั รสิ่งมีชีวติ ไวรัสและไวรอยด์ และไลเคน การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ใหผ้ เู้ รียน ศึกษา คน้ ควา้ ทดลอง อธิบาย อภิปรายและนาเสนอดว้ ยการจดั กระบวนการเรียนรู้โดยการ พบกลุ่ม การเรียนรู้แบบทางไกล แบบช้นั เรียน ตามอธั ยาศยั การสอนเสริม การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การทารายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์โดยตรง ใชส้ ถานการณ์จริง ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ประสบการณ์การ เรียน และการเรียนรู้ดว้ ยโครงงาน การวดั และประเมินผล การสังเกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงานการทดลอง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการ เรียนรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมิน การนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ มาตรฐานการเรียนรู้ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะ และเห็นคุณค่าเก่ียวกบั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งมีชีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ในทอ้ งถ่ินประเทศและโลก สาร แรง พลงั งาน กระบวนการ เปล่ียนแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตร์และนาความรู้ไปใชป้ ระโยใชนนก์ ารดาเนินชีวติ
บทที่ 1 กาเนิดส่ิงมชี ีวติ ทฤษฏีกาเนิดสิ่งมชี ีวติ สิ่งมีชีวติ จะมีคุณลกั ษณะ ( properties) ท่ีไม่พบในสิ่งไมม่ ีชีวติ อนั ไดแ้ ก่ความสามารถในการใชส้ สาร และพลงั งานเป็นสาคญั ซ่ึงไดร้ ับถ่ายทอดจากบรรพบุรุษของส่ิงมีชีวติ แรกเร่ิม อยา่ งไรก็ตามสิ่งมีชีวติ เร่ิมแรก หรือบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวติ ซ่ึงถือกาเนิดมาบนโลกกวา่ 4 พนั ลา้ นปี เมื่อผา่ นการววิ ฒั นาการและการปรับตวั ให้ เขา้ กบั ส่ิงแวดลอ้ มในแต่ละช่วงเวลา ก่อใหเ้ กิดความหลากหลายทางชีวภาพของส่ิงมีชีวติ เป็นจานวนมากดงั ที่ ปรากฏในปัจจุบนั การจาแนกส่ิงมชี ีวติ แรกเริ่มเดิมที ในปี ค.ศ. 1735 คาโรลสั ลินเนียส ไดแ้ บ่งสิ่งมีชีวติ ออกเป็น 3 พวก คืออาณาจกั รพืช อาณาจกั รสตั ว์ และอาณาจกั รแร่ธาตุ ตอ่ มานกั วทิ ยาศาสตร์รุ่นหลงั ไดศ้ ึกษาวจิ ยั และแบ่งจาแนกสง่ั มีชีวติ อยา่ ง ละเอียดข้ึน จนในปัจจุบนั แบง่ ออกเป็น 7 อาณาจกั ร ใน 3 โดเมน อนั ไดแ้ ก่ อาณาจกั รพชื อาณาจกั รสตั ว์ อาณาจกั รฟังไจ อาณาจกั รโพรทิสตา อาณาจกั รโครมาลวโี อลาตา สังกดั โดเมนยแู คริโอต อาณาจกั รอาร์คี แบคทีเรีย สงั กดั โดเมนอาร์เคีย และอาณาจกั รยแู บคทีเรีย สังกดั โดเมนโพราริโอต การกาเนิดสิ่งมชี ีวติ และทฤษฎกี ารกาเนิดสิ่งมชี ีวติ มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายการเกิดของส่ิงมีชีวติ เช่น ทฤษฎี “spontaneous generation” ที่กล่าววา่ ส่ิงมีชีวติ เกิดข้ึนไดด้ ว้ ยตวั เองจากสิ่งไม่มีชีวติ เช่น กบและแมลงเกิดจากดิน หรือแมลงเกิดจากเน้ือเน่า อยา่ งไรก็ ตามปัจจุบนั ทฤษฎีดงั กล่าวไดร้ ับการพิสูจนแ์ ลว้ วา่ ไมเ่ ป็นความจริง เป็นที่ทราบในปัจจุบนั วา่ สิ่งมีชีวติ เกิดจาก สิ่งมีชีวติ ชนิดเดียวกนั เช่น สุนขั จะใหก้ าเนิดสุนขั หนอนผเี ส้ือเกิดจากผเี ส้ือและพฒั นาเป็นผเี ส้ือในลาดบั ตอ่ มา อยา่ งไรก็ตามหากส่ิงมีชีวติ เกิดจากส่ิงมีชีวติ แลว้ ส่ิงมีชีวติ เริ่มแรกมาจากที่ใดหรือเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร ? นกั ธรรมชาติวทิ ยาชาวองั กฤษชื่อ ชาลส์ ดาร์วนิ ( Charles Darwin) และ แอลเฟรด รัสเซล วอลแลนซ์ (Alfred Russel Wallance) ไดเ้ สนอทฤษฎีววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ บนโลก ( theory of evolution by natural selection) ววิ ฒั นาการของสิ่งมีชีวติ เกิดจากการคดั เลือกตามธรรมชาติ ซ่ึงทฤษฏีดงั กล่าว กล่าววา่ ส่ิงมีชีวติ หน่ึง ๆ ภายในชนิดเดียวกนั (สปี ชีส์ ; species) จะมีความแตกตา่ งกนั อยบู่ า้ ง ซ่ึงเราเรียกวา่ แตกตา่ งภายใน สิ่งมีชีวติ ชนิดเดียวกนั น้ีวา่ ความผนั แปร ( variations) โดยความผนั แปรดงั กล่าว จะเป็นผลใหส้ ิ่งมีชีวติ สามารถ อยรู่ อดในไดส้ ภาวะแวดลอ้ ม ตวั อยา่ งเช่น เม่ือเกิดสภาวะแหง้ แลง้ แมลง สายพนั ธุ์ที่มีความสามารถกินอาหารได้ หลายชนิดท้งั ใบพืชและหญา้ จะสามารถมีชีวติ รอดไดด้ ีกวา่ แมลง สายพนั ธุ์ที่สามารถกินหญา้ ไดอ้ ยา่ งเดียว เมื่อ
ส่ิงมีชีวติ สายพนั ธุ์หน่ึงสามารถมีชีวติ ไดน้ าน ก็สามารถมีลูกหลานไดม้ ากกวา่ สิ่งมีชีวติ สายพนั ธุ์อื่นที่มีอายสุ ้ัน และเม่ือเวลาผา่ นไปส่ิงมีชีวติ สายพนั ธุ์น้นั จะมีจานวนมากข้ึนและเกิดเป็นชนิดใหม่ (new species) สิ่งมีชีวติ เร่ิมแรกเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร ? แรกเร่ิมเดิมทีเมื่อโลกยงั ร้อน สิ่งมีชีวติ ไม่สามารถอาศยั บนโลกใบ น้ีได้ เม่ือเวลาผา่ นไปโลกเริ่มเยน็ ตวั ลง อุณหภูมิบนโลกจึงเหมาะที่จะเกิดส่ิงมีชีวติ ข้ึน โดยทฤษฎีท่ียอมรับ เกี่ยวกบั การเกิดสิ่งมีชีวติ เร่ิมแรก เกิดจากการทาปฏิกิริยากนั ของสารเคมีซ่ึงเกิดข้ึนในทะเล หลงั จากน้นั เกิดเป็น สารประกอบพวกโปรตีน กรดอะมิโน และเอนไซม์ สะสมอยใู่ นทะเลเป็นจานวนมาก สาหรับสมมุติฐาน ดงั กล่าวไดร้ ับการสนบั สนุนโดยการทดลองของ สแตนลีย์ มิลเลอร์ ( Stanley Miller) โดยมิลเลอร์ไดท้ าการ จาลองสภาวะซ่ึงเป็นระบบปิ ด หลงั จากน้นั ไดใ้ ส่กา๊ ซมีเทน (CH4) แอมโมเนีย (NH3) ไฮโดรเจน และน้า ซ่ึงเชื่อ วา่ สภาวะดงั กล่าวเคยเกิดข้ึนในบรรยากาศของโลกในอดีต หลงั จากน้นั ใหค้ วามร้อนและทาใหเ้ กิดประกายไฟ ข้ึน ภายในระบบที่จดั ไว้ หลงั จากเวลาผา่ นไปหน่ึงสัปดาห์ มิลเลอร์พบวา่ ในชุดการทดลองพบกรดอะมิโนและ กรดอินทรียเ์ กิดข้ึน สาหรับข้นั ตอนตอ่ มาสารประกอบอินทรียจ์ ะรวมตวั กนั เป็นโมเลกุลอินทรียสารขนาดใหญ่ (macromolecules) และววิ ฒั นาการต่อไปจนเกิดเป็นโปรโตเซลล์ ( protocell) ซ่ึงเป็นจุดเร่ิมตน้ ของเซลล์ มี โครงสร้างของผนงั เป็นไขมนั และโปรตีน และเกิดการสันดาปภายในเซลลไ์ ด้ หลงั จากน้นั โปรโตเซลล์ ซ่ึงเชื่อ วา่ มีอาร์เอน็ เอทาหนา้ ที่เป็นท้งั สารพนั ธุกรรมและเอนไซม์ จะววิ ฒั นาการกลายเป็นเซลลเ์ ริ่มแรกของสิ่งมีชีวติ ซ่ึง มีความสามารถในการเพิ่มจานวนหรือสืบพนั ธุ์
บทท่ี 2 ลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ ส่ิงตา่ งๆ ท่ีเราพบเห็นอยทู่ วั่ ไป ทุกคนคงสามารถแยกไดว้ า่ สิ่งใดเป็นสิ่งมีชีวติ ซากของสิ่งมีชีวติ หรือ ส่ิงไมม่ ีชีวติ ท้งั น้ีเพราะส่ิงมีชีวติ จะตอ้ งมีลกั ษณะและกระบวนการของชีวติ ดงั น้ี 1. การกนิ อาหาร สิ่งมีชีวติ ตอ้ งการอาหารเพื่อสร้างพลงั งานและการเจริญเติบโต โดยพืชสามารถ สังเคราะห์อาหารข้ึนเองไดด้ ว้ ยกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง ซ่ึงตอ้ งใชพ้ ลงั งานจากแสงอาทิตยเ์ ปล่ียนน้าและ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซดเ์ ป็นน้าตาล ส่วนสัตวไ์ มส่ ามารถสร้างอาหารเองไดต้ อ้ งกินพืชหรือสตั วอ์ ่ืนเป็นอาหาร สัตว์ต้องกนิ อาหารเพอื่ สร้างพลงั งานให้แก่ร่างกาย
พชื สังเคราะห์อาหารได้โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 2. การหายใจ กระบวนการหายใจของส่ิงมีชีวติ เป็นวธิ ีการเปลี่ยนอาหารที่กินเขา้ ไปเป็นพลงั งาน สาหรับ ใชใ้ นการเคลื่อนไหว การเจริญเติบโต และการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ส่ิงมีชีวติ ทว่ั ไปใชแ้ ก๊ส ออกซิเจนในกระบวนการหายใจ แผนภาพแสดงสมการการหายใจของส่ิงมีชีวติ 3. การเคลอ่ื นไหว ขณะท่ีพชื เจริญเติบโต พืชจะมีการเคลื่อนไหวอยา่ งชา้ ๆ เช่น รากเคลื่อนลงสู่พ้ืนดิน ดา้ นล่าง หรือส่วนยอดของตน้ ท่ีจะเคล่ือนข้ึนหาแสงดา้ นบน สัตวจ์ ะสามารถเคล่ือนไหวไดท้ ้งั ตวั ไมใ่ ช่เพยี งส่วน ใดส่วนหน่ึงของร่างกาย สัตวจ์ ึงเคล่ือนท่ีไปหาอาหารหรือหลบหนีจากการถูกล่าได้ ส่ิงมีชีวติ ทุกชนิดขณะทยี่ งั มีชีวติ อย่จู ะมกี ารเคลอื่ นไหว
การเจริญเติบโตของไหมมีการเปลยี่ นแปลงรูปร่างลกั ษณะเป็ น 4 ช้ัน คือ ระยะวางไข่ ระยะตวั หนอนไหม ระยะ ดักแด้ และระยะตวั เต็มวยั 4. การขับถ่าย เป็นการกาจดั ของเสียที่ส่ิงมีชีวติ น้นั ไมต่ อ้ งการออกจากร่างกาย พชื จะขบั ของเสียออกมา ทางปากใบ สตั วจ์ ะขบั ของเสียออกมาในรูปของเหง่ือ ปัสสาวะ และปะปนออกมากบั ลมหายใจ สุนัขขับเหงอ่ื ออกมาทางจมูกและลนิ้ 5. การตอบสนองต่อสิ่งเร้า สิ่งมีชีวติ มีการตอบสนองต่อส่ิงแวดลอ้ มเพอ่ื ความอยรู่ อด เช่น พชื จะหนั ใบ เขา้ หาแสง สัตวม์ ีอวยั วะรับความรู้สึกท่ีแตกต่างกนั หลายชนิด ใบไมยราบจะหุบเม่อื ถูกสัมผสั
6. การสืบพนั ธ์ุ เป็นกระบวนการเพ่ิมจานวนของส่ิงมีชีวติ ชนิดเดียวกนั เพือ่ ดารงรักษาเผา่ พนั ธุ์ไว้ ถา้ สิ่งมีชีวติ ไมส่ ืบพนั ธุ์ก็จะสูญพนั ธุ์ ส่ิงมีชีวติ มกี ารสืบพนั ธ์ุเพอื่ ดารงเผ่าพนั ธ์ุ ร่างกายของส่ิงมีชีวติ สามารถดารงชีวติ อยไู่ ดด้ ว้ ยการทางานร่วมกนั ของระบบอวยั วะต่างๆ หลายระบบ อวยั วะตา่ งๆ ลว้ นประกอบจากกลุ่มเน้ือเยอื่ ที่ทางานร่วมกนั เน้ือเยอ่ื แตล่ ะชนิดประกอบไปดว้ ยกลุ่มเซลลช์ นิด เดียวกนั ที่ทางานอยา่ งเดียวกนั ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยอวยั วะต่างๆ ทท่ี างานร่วมกนั เป็ นระบบ ดงั น้นั การศึกษากระบวนการตา่ งๆ ของส่ิงมีชีวติ ใหเ้ ขา้ ใจ จึงตอ้ งอาศยั ความรู้จากการศึกษาลกั ษณะ รูปร่าง โครงสร้าง ส่วนประกอบ และหนา้ ท่ีของเซลลส์ ิ่งมีชีวติ ใหเ้ ขา้ ใจเป็นพ้นื ฐาน
บทที่ 3 ววิ ฒั นาการของสิ่งมชี ีวติ ในดา้ นชีววทิ ยา ววิ ฒั นาการ (องั กฤษ: Evolution) คือการเปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมในประชากรของ สิ่งมีชีวติ จากรุ่นหน่ึงสู่รุ่นหน่ึง ววิ ฒั นาการเกิดจากกระบวนการหลกั 3 กระบวนการ ไดแ้ ก่ ความแปรผนั การ สืบพนั ธุ์ และการคดั เลือก โดยอาศยั ยนี เป็นตวั กลางในการส่งผา่ นลกั ษณะทางพนั ธุกรรม อนั เป็นพ้นื ฐานของ การเกิดววิ ฒั นาการ ลกั ษณะเช่นน้ีเกิดข้ึนในประชากรเพ่อื ใหเ้ กิดความแปรผนั ทางพนั ธุกรรมเมื่อส่ิงมีชีวติ ให้ กาเนิดลูกหลานยอ่ มเกิดลกั ษณะใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงลกั ษณะเดิม โดยลกั ษณะใหมท่ ่ีเกิดข้ึนน้ีมีสาเหตุสาคญั 2 ประการ ประการหน่ึง เกิดจากกระบวนการกลายพนั ธุ์ของยนี และอีกประการหน่ึง เกิดจากการแลกเปล่ียนยนี ระหวา่ งประชากร และระหวา่ งสปี ชีส์ ในสิ่งมีชีวติ ที่มีการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ ส่ิงมีชีวติ ใหม่ที่เกิดข้ึนจะผา่ น กระบวนการแลกเปล่ียนยนี อนั ก่อใหเ้ กิดความแปรผนั ทางพนั ธุกรรมที่หลากหลายในส่ิงมีชีวติ ววิ ฒั นาการ เกิดข้ึนเม่ือความแตกต่างทางพนั ธุกรรมเกิดข้ึน จนเกิดความแตกต่างมากข้ึนเร่ือยๆ จนกลายเป็นลกั ษณะที่ แตกตา่ งกนั กลไกในการเกิดววิ ฒั นาการแบง่ ได้ 2 กลไก กลไกหน่ึงคือการคดั เลือกโดยธรรมชาติ ( natural selection) อนั เป็นกระบวนการคดั เลือกส่ิงมีชีวติ ที่มีลกั ษณะเหมาะสมท่ีจะอยรู่ อด และสืบพนั ธุ์จนไดล้ กั ษณะท่ีเหมาะสม ที่สุด และลกั ษณะท่ีไมเ่ หมาะสมจะเหลือนอ้ ยลง กลไกน้ีเกิดข้ึนเพอื่ คดั เลือกลกั ษณะของประชากรที่เกิด ประโยชน์ในการสืบพนั ธุ์สูงสุดเมื่อสิ่งมีชีวติ หลายรุ่นไดผ้ า่ นพน้ ไป ก็จะเกิดกระบวนการปรับตวั ของส่ิงมีชีวติ เพอื่ ใหอ้ ยใู่ นสิ่งแวดลอ้ มไดอ้ ยา่ งเหมาะสม กลไกที่สองในการขบั เคล่ือนกระบวนการววิ ฒั นาการคือการแปรผนั ทางพนั ธุกรรม ( genetic drift) อนั เป็นกระบวนการอิสระจากการคดั เลือกความถ่ีของยนี ประชากรแบบสุ่ม การแปรผนั ทางพนั ธุกรรมเป็นผลมา จากการอยรู่ อด และการสืบพนั ธุ์ของส่ิงมีชีวติ แมว้ า่ การแปรผนั ทางพนั ธุกรรมในแต่ละรุ่นน้นั จะเปลี่ยนแปลง เพียงเลก้ นอ้ ย แตล่ กั ษณะเหล่าน้ีจะสะสมจากรุ่นสู่รุ่น เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละเลก็ ละนอ้ ยในสิ่งมีชีวติ จนกระทง่ั เวลาผา่ นไปเป็นระยะเวลานาน จะทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงข้ึนในลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ กระบวนการ ดงั กล่าวเม่ือถึงจุดสูงสุดจะทาใหก้ าเนิดสปี ชีส์ชนิดใหม่ แมก้ ระน้นั ความคลา้ ยคลึงกนั ระหวา่ งส่ิงมีชีวติ มี ขอ้ เสนอท่ีเป็นที่รู้จกั กนั ดีคือการสืบเช้ือสายจากบรรพบุรุษ (หรือยนี พลู ของบรรพบุรุษ) เมื่อผา่ นกระบวนการน้ี จะก่อใหเ้ กิดความหลากหลายมากข้ึนทีละเล็กละนอ้ ยเอกสารหลกั ฐานทางชีววทิ ยาววิ ฒั นาการช้ีใหเ้ ห็นวา่ กระบวนการววิ ฒิ นาการเป็นส่ิงท่ีเกิดข้ึนจริง ทฤษฎีอยใู่ นช่วงของการทดลอง และพฒั นาในสาเหตดงั กล่าว
การศึกษาซากฟอสซิล และความหลากหลายทางชีวภาพของส่ิงมีชีวติ ทาใหน้ กั วทิ ยาศาสตร์ช่วงกลางคริส ศตวรรษท่ี 19 ส่วนใหญ่เช่ือวา่ สปี ชีส์มีการเปล่ียนแปลงมาตลอดในระยะเวลาท่ีผา่ นมาอยา่ งไรกต็ าม กระบวนการท่ีขบั เคล่ือนการเปลี่ยนแปลงน้ีเป็นปริศนาต่อนกั วทิ ยาศาสตร์ทวั่ ไป จนกระทงั่ ปี พ.ศ. 2402 ชาร์ล ดาวนิ ตีพิมพห์ นงั สือ กาเนิดสปี ชีส์ ซ่ึงไดอ้ ธิบายทฤษฎีววิ ฒั นาการโดยกระบวนการคดั เลือกโดยธรรมชาติ หลงั การตีพิมพห์ นงั สือไมน่ าน ทฤษฎีของดาร์วนิ กเ็ ป็นที่ยมิ รับต่อสมาคมวทิ ยาศาสตร์ ในคริสตท์ ศวรรษที่ 1930 การ คดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วนิ เริ่มมีความชดั เจนมากข้ึน หลงั จากท่ีเกรเกอร์ เมนเดล ไดค้ น้ พบการถ่ายทอด ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ก่อใหเ้ กิดทฤษฎีววิ ฒั นาการสมยั ใหม่ โดยเมนเดลไดก้ ล่าวถึงความสมั พนั ธ์ของ ยนู ิต (ซ่ึง ภายหลงั เรียกวา่ ยนี ) และ กระบวนการ ของการววิ ฒั นาการ (การคดั เลือกโดยธรรมชาติ) การศึกษาของเมนเดล ทาใหส้ ามารถไขขอ้ ขอ้ งใจถึงวธิ ีการถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมจากกระบวนการคดั เลือกโดยธรรมชาติของ ดาร์วนิ ไดอ้ ยา่ งดี และเป็นหลกั การสาคญั ของชีววทิ ยาสมยั ใหม่ ซ่ึงเป็นการอธิบายกระบวนการดงั กล่าวร่วมกบั ความหลากหลายทางพนั ธุกรรมบนโลก
บทที่ 4 การจาแนกส่ิงมีชีวติ และอาณาจักรส่ิงมชี ีวติ ความรู้พนื้ ฐานเกย่ี วกบั การจาแนกส่ิงมชี ีวติ เนื่องจากส่ิงมีชีวติ ท่ีมีอยใู่ นโลกของเรามีจานวนมากมาย นกั วทิ ยาศาสตร์ไดท้ านายวา่ มีประมาณ 4,500,000 ชนิด แต่ท่ีไดศ้ ึกษารายละเอียดและต้งั ช่ือแลว้ มีประมาณ 1,500,000 ชนิด ดงั น้นั เพ่อื ใหง้ ่าย และ สะดวกต่อการศึกษาเร่ืองราวของส่ิงมีชีวติ จึงตอ้ งมีการจดั จาแนกสิ่งมีชีวติ โดยใชห้ ลกั เกณฑต์ ่างๆ เพิม่ มาก ข้ึน จนปัจจุบนั มีสาขาหน่ึงของชีววทิ ยาท่ีศึกษาเกี่ยวกบั การจาแนกส่ิงมีชีวติ เรียกวา่ อนุกรมวธิ าน (Taxonomy) หลกั เกณฑ์การจาแนกสิ่งมชี ีวติ การจดั จาแนกกลุ่มของส่ิงมีชีวติ อาจพจิ ารณาจากลกั ษณะภายนอก ภายใน และความคลา้ ยคลึงของลกั ษณะตา่ งๆ คือ 1. ความคลา้ ยคลึงของการเจริญเติบโตในระยะตวั ออ่ น 2. ความคลา้ ยคลึงกนั ของสายววิ ฒั นาการ 3. ความคลา้ ยคลึงกนั ของสารพนั ธุกรรม หรือโครงสร้างของเซลลห์ รือการสงั เคราะห์สารเคมี ภายในเซลล์ 4. ความคลา้ ยคลึงกนั ของหนา้ ที่อวยั วะต่างๆ ปัจจุบนั การจดั จาแนกสิ่งมีชีวติ เริ่มจากหมใู่ หญ่ที่สุดไปหาหมู่เลก็ ลงไปเรื่อยๆ ดงั น้ี อาณาจักร (Kingdom) จดั เป็นกลุ่มท่ีใหญท่ ี่สุดของส่ิงมีชีวติ ไฟลมั (Phylum) หรือดวิ ชิ ัน (Division) แลว้ แตว่ า่ จะเป็นสตั วห์ รือพืช ภาษาไทยเรียกวา่ ศกั ด์ิ ช้ัน (Class) อนั ดบั หรือลาดบั (Order) วงศ์ (Family) สกุล (Genus) ชนิด (Species)
ตวั อยา่ งภาพการจดั จาแนกสตั วต์ ้งั แตห่ มู่ใหญ่สุดไปหาหม่เู ลก็ สุด นอกจากน้ีอาจแบง่ ยอ่ ยลงไปกวา่ น้ีโดยเติม “Sub” ลงไป เช่น Subkingdom, Subphylum, Subclass บางกรณีอาจจะแบ่งยอ่ ย โดยเติมคาวา่ “Super” หรือ “Infra” ลงไปอีกก็ได้ วธิ ีการต้ังชื่อส่ิงมีชีวติ เน่ืองจากการเรียกช่ือสิ่งมีชีวติ ชนิดใดชนิดหน่ึงจะแตกต่างกนั ไปตามภาษาและทอ้ งถ่ินอีกท้งั มีการ เรียกชื่อกนั อยา่ งสบั สน ดงั น้นั เพื่อความเขา้ ใจตรงกนั นกั วทิ ยาศาสตร์จึงตอ้ งใชช้ ื่อที่เป็นสากลในการจดั จาแนก ส่ิงมีชีวติ โดยในค .ศ.1753 คาโรลสั ลนิ เนียส (Carolus Linnaeus) นกั ชีววทิ ยาชาวสวเี ดนไดค้ ิดวธิ ีการ เรียกชื่อส่ิงมีชีวติ เพ่อื การจดั จาแนกส่ิงมีชีวติ ตามระบบไบโนเมียล (Binomial nomenclature) ในปัจจุบนั เรียกวา่ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ (Scienctific names) โดยกาหนดภาษาที่ใชต้ ้งั ชื่อสิ่งมีชีวติ เป็นภาษาลาตินหรือภาษาอ่ืน ที่เปลี่ยนแปลงเป็นภาษาลาติน นอกจากน้ีช่ือวทิ ยาศาสตร์จะตอ้ งประกอบดว้ ยคา 2 คา คาแรกเป็นช่ือ สกลุ (Generic name) ส่วนคาหลงั เป็นชื่อ สเปซิฟิ ก เอพิเทต (Specific epithet) ระบุชนิดหรือลกั ษณะเฉพาะของ สิ่งมีชีวติ หลกั การต้ังช่ือวทิ ยาศาสตร์ มีหลายประการดงั น้ี 1. ชื่อวทิ ยาศาสตร์ ตอ้ งเป็นภาษาลาตินเสมอ 2. ช่ือวทิ ยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวติ ท่ีถูกตอ้ งจะมีเพียงชื่อเดียวเทา่ น้นั 3. ชื่อวทิ ยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวติ จะตอ้ งไมข่ ้ึนแก่กนั ยกเวน้ บางกรณีสตั วช์ นิดเดียวกนั อาศยั อยใู่ นทวปี หรือประเทศที่ห่างไกลกนั แตก่ ลบั มีลกั ษณะรูปร่างแตกต่างกนั เพยี งเล็กนอ้ ย จนไม่สามารถแยกเป็นชนิดใหม่ ได้ การต้งั ช่ือสัตวน์ ้นั สามารถนาช่ือ “สกลุ ” “ชนิด” และ “ชนิดยอ่ ย” ซ่ึงเป็นระบบไบโนเมียล กลบั เป็นระบบ ไตรโนเมียล (Trinomial)
4. การเขียนช่ือวทิ ยาศาสตร์คาแรกซ่ึงเป็นชื่อสกุล ตอ้ งเริ่มดว้ ยอกั ษรตวั ใหญ่เสมอ ส่วน คาหลงั ซ่ึง เป็นชื่อสเปซิฟิ ก เอพิเทต เขียนดว้ ยอกั ษรตวั เลก็ โดยอาจจะเขียนเป็นอกั ษรตวั เอนหรือขีดเส้นใตก้ ็ได้ 5. การใชค้ าลงทา้ ยสาหรับวงศต์ อ้ งลงทา้ ยดว้ ย –idea (อ่านวา่ อิดี ) ในสตั ว์ เช่น คนอยใู่ นวงศ์ Hominidae ลิงกอริลลาอยใู่ นวงศ์ Simiidae ส่วนพืชวงศจ์ ะลงทา้ ยดว้ ย –aceae (อา่ นวา่ เอซี) ซ่ึงคาลงทา้ ยของช่ือ ต้งั แตว่ งศล์ งมาจะมีกฎเกณฑแ์ น่นอน และยงุ่ ยากต่อการจา 6. การต้งั ช่ือชนิดมกั ใชค้ าคุณศพั ทบ์ ่งถึงลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ น้นั ๆ หรือช่ือบุคคล สถานท่ีท่ีพบ เช่น ปลาตะเพียน มีชื่อวทิ ยาศาสตร์วา่ Puntius masyai ผตู้ ้งั ชื่อคือ H.M.Smith ต้งั เพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงมศั ยจิตร การ ปลาเกดหรือปลาสายยู มีชื่อวทิ ยาศาสตร์วา่ Platytropius siamensis ผตู้ ้งั ชื่อคือ Sauvage ต้งั เพื่อเป็นเกียรติ แก่ประเทศไทย ปรากฏวา่ ในการต้งั ชื่อวทิ ยาศาสตร์ ไดม้ ีนกั วทิ ยาศาสตร์หลายชาติหลายภาษาต่างกต็ ้งั ช่ือ สิ่งมีชีวติ ท่ี ตวั เองไดพ้ บเห็น จึงทาใหส้ ิ่งมีชีวติ ชนิดเดียวกนั มีหลายชื่อ ดว้ ยเหตุน้ีเองการต้งั ช่ือ วทิ ยาศาสตร์จึงตอ้ งมีช่ือ ยอ่ ของผตู้ ้งั กากบั ไวห้ ลงั ช่ือน้นั ๆ ดว้ ย เช่น ตน้ หางนกยงู ไทย มีชื่อ วทิ ยาศาสตร์วา่ Poinciana pulcherrima Linn. คาวา่ Linn. เป็นช่ือยอ่ ของลินเนียส ตอ่ มาพบวา่ ตน้ หางนกยงู ไทยมีช่ืออีกอยา่ งหน่ึงวา่ Caeslpinia pulcherrima Swartz แตใ่ นท่ีสุดกใ็ หเ้ อาชื่อท่ีต้งั ข้ึนก่อนโดยลินเนียสเป็นช่ือท่ีถูกตอ้ ง ส่วนอีกชื่อน้นั ถือวา่ เป็นชื่อพอ้ งกนั ตอ้ งเลิกใชไ้ ป ความหมายของชนิด ปัจจุบนั คาวา่ ชนิด (Species) มีความหมายดงั ต่อไปน้ี 1. สิ่งมีชีวติ ตอ้ งเหมือนในลกั ษณะที่เก่ียวเน่ืองกนั มากท่ีสุด (เช่นเดียวกบั ท่ีลินเนียสกล่าวไว)้ 2. สิ่งมีชีวติ เหล่าน้นั สามารผสมพนั ธุ์กนั ไดใ้ นสภาพธรรมชาติ 3. ลูกซ่ึงเกิดจากการผสมพนั ธุ์ตอ้ งไม่เป็นหมนั (สามารถผสมพนั ธุ์ใหล้ ูกต่อไปได)้ ฉะน้นั สุนขั ต่างๆ ดงั ภาพ สามารถผสมพนั ธุ์กนั ไดแ้ ละมีลูกท่ีไม่เป็นหมนั จึงจดั อยใู่ นชนิด (Species) เดียวกนั
ก. ข. ค. สุนขั ชนิด (Species) เดียวกนั มีช่ือวทิ ยาศาสตร์เหมือนกนั คือ Canis familiaris แตม่ ีลกั ษณะบางอยา่ งแตกตา่ ง กนั จึงเป็นคนละสายพนั ธุ์ ก. พนั ธุ์บลู ดอก (Bulldog) ข. พนั ธุ์วพิ เพท (Whippet) ค. พนั ธุ์ปักกิ่ง (Pekingese) ความหมายของสกุล คาวา่ สกุล (Genus) หมายถึงกลุ่มของสิ่งมีชีวติ ที่มีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกนั แต่ก็มีลกั ษณะบางอยา่ งที่แตกตา่ งกนั จนตอ้ งจดั ใหอ้ ยคู่ นละชนิดกนั สัตวค์ นละชนิดซ่ึงอยใู่ นสกลุ เดียวกนั สัตวท์ ้งั สามชนิดไดแ้ ก่ แมว (Cat) เสือดาว (Leopard) สิงโตภเู ขา (Puma) มีลกั ษณะท่ีคลา้ ยคลึงกนั จึงจดั อยใู่ นสกลุ เดียวกนั คือสกุล Felis โดยแมวมีชื่อวทิ ยาศาสตร์วา่ Felis domestica เสือดาวมีช่ือวทิ ยาศาสตร์ วา่ Felis leo และสิงโตภูเขามีช่ือวทิ ยาศาสตร์วา่ Felis cougar อน่ึงเน่ืองจากพชื และสัตว์ Specieces เดียวกนั มีมากมายหลายชนิด ดงั น้นั ปัจจุบนั บางคร้ังจึงเพิม่ ชื่อ Subspecieces หรือ Variety เขา้ ไปขา้ งทา้ ยอีกคาหน่ึง เพอ่ื บง่ ถึงชนิดใหช้ ดั เจนยงิ่ ข้ึน จึงกลายเป็น 3 คาไป
เรียกวา่ Trinomial nomenclature เช่น นกกระจอกเทศในยโุ รปมีช่ือวา่ Passer domesticus domesticus ซ่ึง แตกต่างกบั นกกระจอกเทศแถบลุ่มแมน่ ้าไนลท์ ่ีมีชื่อวา่ Passer domesticus niloticus ดงั น้ีเป็นตน้ ไคโคโตมสั คีย์ นกั วทิ ยาศาสตร์มีวธิ ีการหลายแนวทางในการจดั จาแนกหมวดหมู่ส่ิงมีชีวติ เคร่ืองมืออยา่ งหน่ึงที่ใชใ้ นการ จาแนกส่ิงมีชีวติ ออกเป็นหมวดหมู่ไดโ้ ดยง่าย คือ ไดโคโตมสั คีย์ (Dicotomous key) ซ่ึงอาศยั ความแตกตา่ งของ โครงสร้างทีละลกั ษณะเป็นคู่ๆ ดงั ตวั อยา่ งไดโคโตมสั คียข์ องสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั ต่อไปน้ี ไดโคโตมัสคีย์ของสัตว์มีกระดูกสันหลงั 1 ก มีขน -------------------------------------------------------------------------------- ดูขอ้ 2 1 ข ไมม่ ีขน------------------------------------------------------------------------------ดูขอ้ 3 2 ก ขนเป็นเส้น--------------------------------------------------------------------------สตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้านม 2 ข ขนเป็นแผงแบบขนนก------------------------------------------------------------นก 3 ก มีครีบคู่ มีช่องเหงือก---------------------------------------------------------------ดูขอ้ 4 3 ข ไมม่ ีครีบคู่ ไม่มีช่องเหงือก--------------------------------------------------------ดูขอ้ 5 4 ก มีแผน่ กระดูกปิ ดช่องเหงือก มีช่องเหงือก 1 ช่อง-------------------------------ปลากระดูกแขง็ 4 ข ไมม่ ีแผน่ กระดูกปิ ดช่องเหงือก มีช่องเหงือก 5-7 ช่อง-------------------------ปลากระดูกอ่อน 5 ก ผวิ หนงั มีเกล็ด-----------------------------------------------------------------------สัตวเ์ ล้ือยคลาน 5 ข ผวิ หนงั ไม่มีเกลด็ --------------------------------------------------------------------สัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้า สิ่งมีชีวติ ช้ันตา่ ลกั ษณะของส่ิงมชี ีวติ ในอาณาจักรมอเนอรา อาณาจกั รน้ีแบ่งเป็น 2 ไฟลมั ไดแ้ ก่ ไฟลมั ชิโซไฟตา (Schizophyta) และไฟลมั ไซยาโนไฟตา (Cyanophyta) อาณาจกั รน้ีไม่มีนิวเคลียส เน่ืองจากไมม่ ีเยอ่ื หุม้ นิวเคลียสนนั่ เอง แตม่ ีสารพนั ธุกรรม พวกมอ เนอราจานวนมากท่ีสังเคราะห์แสงได้ โดยเฉพาะสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน ส่วนแบคทีเรียท่ีสังเคราะห์แสงได้ มีบา้ งเหมือนกนั อยา่ งไรกด็ ีสารที่ช่วยในการสังเคราะห์แสงตา่ งจากสารสีเขียวในคลอโรพลาสต์ เรียกวา่ โคร มาโตฟอร์ (Chromatophore)
นอกจากน้ีพวกมอเนอรายงั ไมม่ ีร่างแหเอนโดพลาสซึม ไมโทคอนเดรีย และกอลจิบอดีดว้ ย แต่มีไรโบโซมมาก และดูเหมือนออร์แกเนลลน์ ้ีจะเป็นออร์แกเนลลเ์ ดียวที่ทดแทนส่วนประกอบท่ีเซลลอ์ ่ืนมี อาจเป็นไดว้ า่ ตอนที่ มอเนอราเกิดข้ึนน้นั ส่วนประกอบภายในยงั ไม่เจริญมากนกั กเ็ ป็นได้ ไฟลมั ชิโซไฟตา (Phylum Schizophyta) เป็นไฟลมั ของแบคทีเรีย มีท้งั หมดประมาณ 2,000 ชนิด พบไดท้ ุกหนทุกแห่ง แบคทีเรียมีบทบาทสาคญั ทางเศรษฐกิจมาก อีกท้งั เป็นประโยชน์ในการทดสอบ วจิ ยั ทางพนั ธุกรรมและชีวเคมี ดว้ ย ความรู้พ้ืนฐานทางโมเลกุลของส่ิงมีชีวติ ในปัจจุบนั ไดม้ าจากการศึกษาแบคทีเรียมากทีเดียว แบคทีเรียเป็นเซลลท์ ี่มีขนาดเลก็ มากมีรูปร่างแตกต่างกนั 3 แบบ ไดแ้ ก่ รูปกลม (Coccus) รูปท่อน (Bacillus) และรูปเกลียว (Spirillum) ขนาดความยาวเฉลี่ยประมาณ 1-3 ไมครอน เซลลข์ องแบคทีเรียไม่มีเยอ่ื หุม้ นิวเคลียสเหมือนเซลลข์ องมอเนอราทวั่ ไป ไมม่ ีแวคิวโอล และนอกจาก ไรโบโซมแลว้ อาจมีแกรนูลที่ ประกอบดว้ ยสารต่างๆ เช่น ลิพิด พอลิแซ็คคาไรด์ ในแบคทีเรียหลายชนิดมีผนงั เซลลแ์ ขง็ แรงลอ้ มรอบไซ โทพลาสซึม ผนงั น้ีประกอบดว้ ยน้าตาลโมเลกลุ ใหญ่ โปรตีน หรือลิพิด บางทีผนงั เซลลอ์ าจมีแคปซูลที่เป็นวนุ้ ลอ้ มรอบกไ็ ด้ การมีแคปซูลหรือไม่ ใชเ้ ป็นส่ิงวนิ ิจฉยั วา่ แบคทีเรียน้นั ทาใหเ้ กิดโรคไดห้ รือไม่ไดอ้ ยา่ งหน่ึง แบคทีเรียบางชนิดอาจสร้างเอนโดสปอร์ (Endospore) ซ่ึงมีรูปกลม หรือรูปไข่ ภายในมี ดีเอน็ เอ ผนงั ของ เอนโดสปอร์จะทนทานตอ่ สิ่งแวดลอ้ มท่ีไมเ่ หมาะสมได้ ตอ่ เม่ือสิ่งแวดลอ้ ม เหมาะสมเซลลข์ องแบคทีเรียจะ เจริญมาจากเอนโดสปอร์แบคทีเรียบางชนิดเป็นออโตทรอฟ (Autotroph) ท่ีมีท้งั การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงและ สังเคราะห์ทางเคมี อยา่ งไรกต็ ามการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงในแบคทีเรียตา่ งไปจากส่ิงมีชีวติ อื่น เช่น ไมม่ ีกา๊ ซ ออกซิเจนเป็นผลพลอยได้ เป็นตน้ แบคทีเรียส่วนมากเป็นเฮเตอโรทรอฟ (Hetrotroph) จึงตอ้ งพ่ึงพาส่ิงมีชีวติ อ่ืนในการกินอาหาร บาง ชนิดอาศยั เป็นอิสระบนบก หรือในน้าแบบภาวะแซโพรไฟต์ (Saprophyte) นอกน้นั อยรู่ วมกบั สิ่งมีชีวติ อื่นแบบ ภาวะปรสิต (Parasitism) ภาวะอิงอาศยั (Commensalism) หรือภาวะพ่ึงพากนั (Mutualism) นอกจากน้ีแบคทีเรีย บางชนิดตอ้ งใชอ้ อกซิเจนในการหายใจ บางชนิดไม่ตอ้ งใชอ้ อกซิเจนในการหายใจ ส่วนอีกพวกหน่ึงอาจมีชีวติ อยไู่ ดท้ ้งั มีออกซิเจนและไมม่ ีออกซิเจน อาหารของแบคทีเรียส่วนมากเก็บในรูปของพอลิแซคคาไรดช์ นิดหน่ึง คือ ไกลโคเจน
ไฟลมั ไซยาโนไฟตา (Phylum Cyanophyta) เป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน บางชนิดมีสีดา มว่ งแดง เหลือง เขียว น้าเงิน หรือสี ก่ึงกลางระหวา่ งสีต่างๆ เพราะมีรงควตั ถุซ่ึงเป็นสารมีสีหลายชนิด ท้งั คลอโรฟิ ลล์ (Chlorophyll) แคโรทีน (Carotene) แซนโทฟี น (Xanthophene) และไฟโคบิลิน (Phycobilin) ซ่ึงไดแ้ ก่ สารสีน้าเงินพวก ไฟโคไซยา นิน (Phycocu\\yanin) และสารสีแดงไฟโคอิริทริน (Phycoerythrin) สารสองชนิดหลงั พบเฉพาะในสาหร่ายสี เขียวแกมน้าเงินเทา่ น้นั ไมพ่ บในสิ่งมีชีวติ อ่ืน สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินพบท้งั ในน้าจืดและในน้าเคม็ สาหร่าย พวกน้ีเป็นส่วนหน่ึงของแพลงกต์ อน (Plankton) พบในท่ีตา่ งๆ ไดห้ ลายแห่ง เช่น เปลือกไม้ กอ้ นหิน น้าเยน็ จดั น้าพุร้อน ฝ่ังลาธาร กระแสน้า รวมท้งั อยรู่ วมกบั สิ่งมีชีวติ อ่ืนดว้ ย บางคร้ังเซลลอ์ าจไม่แยกจากกนั หลงั การแบง่ เซลล์ ทาใหอ้ ยเู่ ป็นกลุ่ม หรืออาจเรียงตวั เป็นสาย ภายในเซลลบ์ ริเวณตรงกลางท่ีไมม่ ีสีเป็นสารดีเอน็ เอกบั แกรนูลที่เชื่อวา่ เป็นผลึกของฟอสเฟต และมีรงควตั ถุซ่ึงเป็นสารมีสีลอ้ มรอบอยู่ ส่วนไซโทพลาสซึมท่ีลอ้ มรอบ มีรงควตั ถุดงั กล่าวขา้ งตน้ อยพู่ อๆ กบั เมด็ แป้ ง แตต่ า่ งจากเมด็ แป้ งในสิ่งมีชีวติ อื่น ไซโทพลาสซึมของสาหร่าย พวกน้ีมีผนงั ซ่ึงประกอบดว้ ยเซลลูโลสและเพกทินหุม้ อยู่ ในบางคร้ังอาจสลายทนั ทีที่เซลลส์ ร้างข้ึน บางคร้ังก็ สลาย ทาใหเ้ กิดเปลือกเป็นวนุ้ หนารอบผนงั เซลล์ สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินไมม่ ีแฟลกเจลลา สังเคราะห์แสงได้ ทุกชนิด ผลพลอยไดจ้ ากการสังเคราะห์แสง ไดแ้ ก่ กา๊ ซออกซิเจนเหมือนการสงั เคราะห์แสงของพชื ทวั่ ๆ ไป ยกเวน้ เฉพาะแบคทีเรียเท่าน้นั นอกจากน้ีสาหร่ายพวกน้ียงั ตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศไดเ้ ช่นเดียวกบั แบคทีเรียบางชนิด จึงกล่าวไดว้ า่ สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินมีบทบาทในวฎั จกั รของไนโตรเจนดว้ ย สาหร่ายสี เขียวแกมน้าเงินเป็นสิ่งมีชีวติ เซลลเ์ ดียว เช่น ในอนั ดบั โครโอคอคคาเลส (Chroococcales) กไ็ ด้ ตวั อยา่ งของ สาหร่ายในอนั ดบั น้ี ไดแ้ ก่ โครโอคอคคสั (Chroococcus) และโกลอีโอแคพซา (Gloecapsa) หลงั การแบง่ เซลล์ จะมีปลอกเป็นเมือกๆ จึงทาใหอ้ ยรู่ วมเป็นกลุ่มได้ ลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ ในอาณาจักรโพรทสิ ตา สิ่งมีชีวติ ในอาณาจกั รน้ีเป็นส่ิมีชีวติ ที่มีนิวเคลียส ในไซโทพลาสซึมมีร่างแหเอนโดพลาสซึม ไมโทคอนเดรีย กอลจิบอดี คลอโรพลาสต์ เซนตริโอล แฟลกเจลลา ขนเซลล์ และความสามารถในการสร้างขา เทียม รวมท้งั สมบตั ิอ่ืนที่แตกตา่ งจากเซลลใ์ นพวกมอเนอราหลายอยา่ ง เช่น การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิสและ ไมโอซิส อยา่ งไรก็ดีเซลลข์ องพวกโพรทิสตาอาจทาหนา้ ท่ีเป็นเซลลส์ ืบพนั ธุ์โดยตรงเช่นเดียวกบั พวกมอเนอรา และลูกหลานที่ไดห้ ลงั การแบง่ เซลลแ์ ลว้ จะเป็นตวั เตม็ วยั ทนั ที ไม่มีระยะเอมบริโอ นอกจากน้ีพวกโพรทิสตา แบบด้งั เดิมจะสร้างเอนโดสปอร์ไดเ้ ช่นเดียวกบั พวกมอเนอราเหมือนกนั
ส่ิงมีชีวติ ในอาณาจกั รน้ี ไดแ้ ก่ สาหร่ายทุกชนิด ยกเวน้ สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน นอกจากน้ียงั มีพวกสตั ว์ เซลลเ์ ดียว ดงั น้ี สาหร่าย สาหร่ายทุกชนิดมีคลอโรฟิ ลลเ์ อ รวมท้งั สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงิน ส่วนคลอโรฟิ ลลอ์ ่ืนๆ พบ ในสาหร่ายต่างชนิดกนั สาหรับสาหร่ายในอาณาจกั รโพรทิสตาแบง่ ออกเป็น 7 ดิวชิ นั ไดแ้ ก่ ดวิ ชิ ันคลอโรไฟตา (Division Chlorophyta) ดิวชิ นั น้ีเป็นสาหร่ายสีเขียว มีประมาณ 6,000 ชนิด เช่น คลาโดโมนสั (Chladomonas) คลอ-เรลลา (Chlorella) อะเซตาบูเรีย (Acetaburia) ไบรออพซิส (Bryopsis) โปรโตคอคคสั (Protococcus) สไปโรไจรา (Spirogyra) ยโู รทริกซ์ (Urothrix) โออิโดโกเนียม (Oedogonium) คลาโดฟอรา (Chladophora) และชิโซเมอริส (Schizomeris) เป็นตน้ ดวิ ชิ ันคาโรไฟตา (Division Charophyta) สาหร่ายในดิวชิ นั น้ีเรียกวา่ สโตนเวริ ์ต (Stonewort) มีประมาณ 250 ชนิด เน่ืองจาก สาหร่ายพวกน้ีมีรูปร่างลกั ษณะและส่วนประกอบทางเคมีคลา้ ยสาหร่ายสีเขียว บางทีจึงจดั สาหร่ายพวกน้ีไวใ้ นดิ วชิ นั คลอโรไฟตา อยา่ งไรก็ตามสาหร่ายกลุ่มน้ีมีลกั ษณะตา่ งจากคลอโรไฟตาอยา่ งนอ้ ย 4 ลกั ษณะดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ 1) การเรียงตวั ของสายเป็นแบบเชิงซอ้ น คือ มีส่วนคลา้ ยราก ลาตน้ ใบ 2) มีการเรียงตวั ของก่ิงท่ีขอ้ 3) มีการเติบโตของตน้ เกิดมากท่ีส่วนปลาย และ 4) มีอวยั วะท่ีใชใ้ นการสืบพนั ธุ์ ขอ้ แตกต่างประการหลงั ทาให้ สโตนเวริ ์ตไม่มีลกั ษณะหลายอยา่ งที่เมทาไฟตามี ตวั อยา่ งของดิวชิ นั น้ี เช่น ไนเทลลา (Nitella) ดิวชิ ันยกู ลโี นไฟตา (Division Euglenophyta) สาหร่ายพวกน้ี ไดแ้ ก่ ยกู ลีนอยด์ (Euglenoid) มีประมาณ 350 ชนิด พวกท่ีมีรงควตั ถุ จะจดั เป็นสาหร่ายสีเขียวได้ แตม่ ีรูปร่างลกั ษณะตา่ งจากสาหร่ายเขียวทว่ั ๆ ไปมาก พวกยกู ลีนอยดเ์ ป็นสาหร่าย เซลลเ์ ดียวที่มีแฟลกเจลลา จานวน 1-3 เส้น เซลลม์ ีผนงั ท่ีไม่คงรูป จึงเปล่ียนรูปได้ อาหารสะสมเป็นพวกลิพิด และพอลิแซคคาไรด์ เรียกวา่ พาราไมลมั (Paramylum) พวกน้ีมีจุดรับแสง (Eyespot) และส่วนที่เทียบไดก้ บั คอ หอย เรียกวา่ กลั เลต (Gullet) ตวั อยา่ งของยกู ลีนอยด์ ไดแ้ ก่ ยกู ลีนา ซ่ึงเป็นสาหร่ายเซลลเ์ ดียวที่ สังเคราะห์แสงได้ แตห่ ากินแบบซาโพรไฟต์ (Saprophyte) ไมว่ า่ จะมีแสงหรือไม่
ดิวชิ ันคริสโซไฟตา (Division Chrysophyta) เป็นดิวชิ นั สาหร่ายสีทอง ซ่ึงมีท้งั สาหร่ายสีน้าตาลปนเหลือง สาหร่ายสีเขียวปนเหลือง และพวกไดอะตอม (Diatom) มีประมาณ 6,000 ชนิด ไฟลมั น้ีมีความแตกตา่ งกนั มาก เขา้ ใจวา่ สาหร่ายสี น้าตาลปนเหลืองอาจเป็นบรรพบุรุษของสาหร่ายสีน้าตาลท้งั หมด พอๆ กบั เป็นบรรพบุรุษของ ราเมือก เห็ด รา และสตั วเ์ ซลลเ์ ดียวบางส่วน อาจรวมท้งั ฟองน้าดว้ ย พวกไดอะตอมมีผนงั เซลลท์ ี่เหล่ือมกนั เหมือนฝากล่องและมีลวดลายเหมือนแกะสลกั อยา่ งสวยงาม ไดอะตอมมี ความสาคญั ทางเศรษฐกิจมาก คือ เป็นแหล่งอาหารของพืชและสัตว์ เน่ืองจากเป็นสาหร่ายเซลลเ์ ดียวท่ีมีมาก ที่สุด นอกจากน้ีเปลือกไดอะตอมที่สะสมในกน้ มหาสมุทรอาจเป็นแหล่งน้ามนั ปิ โตรเลียมท่ีใชก้ นั ทุกวนั น้ีกไ็ ด้ ดิวชิ ันไพโรไฟตา (Division Pyrophyta) ดิวชิ นั น้ี ไดแ้ ก่ สาหร่ายไฟ (Fire algae) มีประมาณ 1,000 ชนิด มีท้งั ท่ีมีผนงั เซลล์ ไม่ มีผนงั เซลล์ มกั เป็นสาหร่ายเซลลเ์ ดียวที่มีแฟลกเจลลา 2 อนั โดยมีกลั เลตใกลฐ้ านของแฟลกเจลลา เช่น คริพโตโมนสั (Cryptomonas) และชิโลโมนสั (Chilomonas) ดวิ ชิ ันฟี โอไฟตา (Division Phaeophyta) เป็นสาหร่ายสีน้าตาล มีประมาณ 1,000 ชนิด อยใู่ นน้าจืด 3 ชนิด เทา่ น้นั นอกน้นั อยู่ ในน้าเคม็ ท้งั หมด พวกน้ีมีเน้ือเยอื่ ซบั ซอ้ นกวา่ พวกอื่นๆ พชื ในทะเลส่วนใหญ่เป็นสาหร่ายสีน้าตาล มกั อยใู่ น น้าต้ืนและเป็นเขตน้าข้ึนน้าลง โดยยดึ เกาะหินไว้ สารแอลจิน (Algin) ที่ฉาบอยภู่ ายนอกป้ องกนั ไมใ่ หส้ าหร่าย แหง้ เม่ือถูกอากาศเป็นเวลาหลายชว่ั โมงขณะระดบั น้าลดลง สาหร่ายสีน้าตาลที่รู้จกั กนั ดีท่ีสุด ไดแ้ ก่ ฟิ วคสั (Fucus) และซาร์กสั ซมั (Sargassum) อยใู่ นเขตทะเลอบอุ่น ซาร์กสั ซมั มีอวยั วะคลา้ ยใบและถุงลม พบไดต้ าม ฝั่งทะเลทวั่ ๆ ไป ท่ีสะดุดตา ไดแ้ ก่ ไจแอนท์ เคลพ์ (Giant kelp) ซ่ึงอาจยาวมากกวา่ 100 หลา คือ ยาวกวา่ ปลาวาฬสีขาวนน่ั เอง เคลพ์ ท่ีรู้จกั กนั ดี ไดแ้ ก่ ลามินาเรีย (Laminaria) ซ่ึงเป็นสกลุ ท่ีพบไดท้ วั่ โลก อาจ พบชิ้นส่วนของสาหร่ายชนิดน้ีปนไปกบั สาหร่ายอ่ืนตามชายหาด โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ หลงั มีพายฝุ น สาหร่ายสี น้าตาลมีประโยชนต์ อ่ คนมาก คือเป็นแหล่งของไอโอดีนและแอลจินซ่ึงนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการทาไอศครีม เน่ืองจากสาหร่ายน้ีอยใู่ นน้าต้ืนจึงเก็บเก่ียวโดยใชเ้ คร่ืองจกั รได้ ดิวชิ ันโรโดไฟตา (Division Rhodophyta) สาหร่ายสีแดง มีประมาณ 3,000 ชนิด มีท้งั เซลลเ์ ดียวและหลายเซลล์ ส่วนมากอยใู่ น น้าเคม็ และอยใู่ นน้าลึกมากกวา่ สาหร่ายสีน้าตาล สาหร่ายสีแดงบางชนิดมีประโยชน์ในทางการคา้ ดว้ ย เช่น เจ
ลิเดียม (Gelidium) ใชส้ กดั เพกทิน (Pectin) เพอื่ ทาวนุ้ ผง ใชเ้ ตรียมอาหารเล้ียงจุลินทรียแ์ ละทาขนม นอกจากน้ี พวกพอร์ไฟรา (Porphyra) โรไดมีเนีย (Rhodymenia) และคอนดรัส คริพตัส (Chondrus criptus) ยงั ใชเ้ ป็น อาหารในหลายแหล่งทว่ั โลก สัตว์เซลล์เดยี ว พบในแหล่งท่ีอยอู่ าศยั หลายแห่ง ท้งั ในน้าจืด น้าเคม็ ในดิน และในร่างกายของส่ิงมีชีวติ อื่น กล่าวคือ ท่ีใดมีความช้ืน ท่ีนนั่ จะมีสตั วเ์ ซลลเ์ ดียวอยู่ ส่วนมากอยเู่ ดี่ยวๆ มีบา้ งที่อยเู่ ป็นกลุ่ม (Colony) นอกจากน้ีส่วน ใหญห่ ากินเป็นอิสระ หรือปรสิตบางชนิดมีอวยั วะท่ีใชเ้ คลื่อนท่ี บางชนิดไมม่ ีอวยั วะที่ใชใ้ นการเคล่ือนท่ี ส่วน การสืบพนั ธุ์ ยงั ไม่มีการสืบพนั ธุ์แบบใชเ้ พศชนิดที่ใชอ้ สุจิ (Sperm) ผสมกบั ไข่ มีแต่การสืบพนั ธุ์แบบคอนจเู ก ชนั (Congugation) โดยการรวมตวั ของนิวเคลียส เช่น ในพารามีเซียม แต่ส่วนใหญส่ ืบพนั ธุ์ดว้ ยการไมอ่ าศยั เพศ โดยวธิ ีแบง่ เป็นสองส่วน (Binarry fission) คือการคอดเซลลเ์ ขา้ หากนั แลว้ หลุดเป็นออกเป็นสอง โปรโต ซวั แบ่งออกเป็นช้นั ตามชนิดของอวยั วะที่ใชใ้ นการเคลื่อนที่ได้ 4 คลาส คือ ช้ันซาร์โคดนิ า หรือไรโซโปดา (Class Sarcodina หรือ Rhizopoda) เคลื่อนที่โดยใชเ้ ทา้ เทียม (Pseudopodia) ซ่ึงเกิดจากการไหลของไซโทพลาสซึมภายในเซลล์ มีท้งั น้าจืด และน้าทะเล พวกที่อยใู่ นทะเลมกั มีเกราะ หรือเปลือกหนาหุม้ เซลล์ ตวั อยา่ ง เช่น อมีบา (Amoeba) บางพวก เป็นปรสิต เช่น Entamoeba histolytica เป็นตวั ทาใหเ้ กิดโรคบิดมีตวั หรืออาจทาใหท้ อ้ งร่วง ส่วนที่อยใู่ นทะเล และมีเปลือก เช่น ฟอรามินิเฟอรา (Forminifera) เรดิโอลาเรีย (Radiolaria) ช้ันมาสตโิ กฟอรา หรือแฟลกเจลลาตา (Class Mastigophora หรือ Flagellata) เคลื่อนท่ีโดยใชแ้ ฟลกเจลลมั ซ่ึงอาจมีไดม้ ากกวา่ 1 เส้น มีท้งั พวกดารงชีพเป็นอิสระและเป็นปรสิต พวกดารงชีพเป็นอิสระมีท้งั ในน้าจืดและน้าเคม็ พวกปรสิต ไดแ้ ก่ พวกท่ีทาใหเ้ กิดโรคเหงาหลบั (African sleeping sickness) คือ ตวั ทริปาโนโซมา (Trypanosoma) บางพวกทาใหเ้ กิดการระคายเคืองในช่องคลอด เช่น พวกไตรโคโมนสั (Tricomonas) บางพวกอยเู่ ป็นกลุ่ม เช่น พวกวอลวอกซ์ (Volvox) ช้ันซิลอิ าตา (Class Ciliata) โปรโตซวั ในคลาสน้ี เคลื่อนที่โดยใชซ้ ิเลีย ซ่ึงมีขนาดส้นั กวา่ แฟลกเจลลมั แตม่ ีจานวนมากกวา่ มีท้งั ดารงชีพแบบอิสระและเป็นปรสิต โดยทวั่ ไปมีนิวเคลียส 2 ขนาด คือ นิวเคลียสขนาดใหญ่ เรียกวา่ มาโคร นิวเคลียส (Macronucleus) นิวเคลียสขนาดเล็ก เรียกวา่ ไมโครนิวเคลียส (Micronucleus) หนา้ ท่ีของมาโคร นิวเคลียส ควบคุมเก่ียวกบั ขบวนการตา่ งๆ ของเซลล์ ยกเวน้ การ สืบพนั ธุ์ ซ่ึงเป็นหนา้ ท่ีของไมโครนิวเคลียส
มีอยใู่ นน้าทว่ั ๆ ไป ตวั อยา่ งเช่น พารามีเซียม (Paramecium) มีรูปร่างคลา้ ยรองเทา้ แตะ วอร์ติเซลลา (Vorticella) รูปร่างคลา้ ยกระดิ่งอยกู่ นั เป็นกลุ่ม นอกน้นั ไดแ้ ก่ Stylonychia, Stentor, Euplotes, Colpidium เป็น ตน้ ช้ันสปอโรซัว (Class Sporozoa) พวกน้ีไมม่ ีอวยั วะหรือส่ิงท่ีทาใหเ้ คลื่อนท่ีได้ ดารงชีพแบบปรสิต สืบพนั ธุ์ดว้ ยการสร้าง สปอร์ และ รวมตวั กนั คลา้ ยการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ ดงั น้นั จึงมีการสืบพนั ธุ์แบบสลบั เช่น ในเช้ือมาลาเรีย (Plasmodium) โดยมียงุ เป็นพาหะ นอกจากน้นั ไดแ้ ก่ Eimeria ซ่ึงอาศยั อยใู่ นตบั กระต่าย Monocystis ในถุง เกบ็ อสุจิของไส้เดือนดิน เป็นตน้ ลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ ในอาณาจักรฟังไจ เป็นอาณาจกั รของเห็ดรา ทุกชนิดไมม่ ีคลอโรฟิ ลล์ แตบ่ างชนิดอาจมีสารสีอ่ืนๆ ได้ แบง่ เป็น 2 ไฟลมั คือ ไฟลมั มกิ โซไฟตา (Phylum Myxophyta) ไฟลมั น้ี ไดแ้ ก่ ราเมือก (Slime mold) เป็นส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดียว รูปร่างคลา้ ยอมีบา ไมม่ ีผนงั เซลล์ รา เมือกมีท้งั เป็นปรสิตของไมด้ อก และหากินเป็นอิสระในบริเวณที่เป็นป่ าช้ืน โดยอาศยั อยตู่ ามใบไมร้ ่วง ขอนไม้ ผุ เป็นตน้ ราเมือกสืบพนั ธุ์โดยการรวมกลุ่มตรงกลางเพือ่ สร้างอบั สปอร์จะเจริญเป็นราเมือกที่มีลกั ษณะคลา้ ย อะมีบาตอ่ ไป ไฟลมั ไมโคไฟตา (Phylum Mycophyta) ไฟลมั น้ี ไดแ้ ก่ พวกเห็ดราที่แทจ้ ริง ซ่ึงมีท้งั เห็ด (Mushroom) และรา (Mold) เห็ดและราเหมือนกนั ตรงที่ต่างก็มีเส้นใย (Hypha) แตต่ ่างกนั ที่เส้นใยของเห็ดมีการรวมเป็นกลุ่มกอ้ น ที่เรียกดอกเห็ด และมีรูปร่าง ตา่ งๆ กนั ส่วนเส้นใยของราไมม่ ีการรวมกลุ่มกนั ไฟลมั น้ีแบง่ เป็น 4 ช้นั ไดแ้ ก่ ช้ันไฟโคไมซีตีส (Order Phycomycetes) เส้นใยไม่มีผนงั ก้นั ตามขวาง ท่ีรู้จกั กนั ดีท่ีสุด คือ ราขนมปัง (Rhizopus) ราขนมปังชอบข้ึนบนขนม ปังปอนดท์ ี่ช้ืน เป็นเส้นใยสีขาว ราชนิดน้ีมีการสืบพนั ธุ์ดดยการสร้างสปอร์ภายในอบั สปอร์ เม่ือสปอร์แก่จะ ปลิวไปตกตามท่ีตา่ งๆ เมื่อสิ่งแวดลอ้ มเหมาะสม จึงงอกเส้นใยใหม่ การสืบพนั ธุ์แบบน้ีเป็นการสืบพนั ธุ์แบบ ไม่อาศยั เพศ เม่ือส่ิงแวดลอ้ มไม่เหมาะสมราขนมปังจะมีการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศได้ โดยเส้นใยของราสอง สายท่ีอยใู่ กลก้ นั จะมีผนงั เซลลพ์ องออก ทาหนา้ ท่ีเป็นเซลลส์ ืบพนั ธุ์ เมื่อมีการปฎิสนธิจะไดไ้ ซโกต ต่อมามี
ผนงั หนา เรียกวา่ ไซโกสปอร์ ซ่ึงจะงอกอบั สปอร์ที่ภายในมีสปอร์ เมื่อสปอร์แก่จะปลิวไปตกตามที่ตา่ งๆ แลว้ งอกเส้นใยใหม่ เช่นเดียวกบั การสืบพนั ธุ์แบบไม่อาศยั เพศ ช้ันแอสโคไมซีตีส (Order Ascomycetea) มีสปอร์ท่ีไดจ้ ากการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศอยใู่ นแอสคสั (Ascus) สปอร์เรียกวา่ แอสโคสปอร์ (Ascospore) โดยทวั่ ไปแอสคสั 1 อนั มีสปอร์ 8 อนั แตอ่ าจมีจานวนต่างจากน้ีได้ เช่น ยสี ตใ์ น 1 แอสคสั มี สปอร์ 4 อนั เทา่ น้นั เน่ืองจากยสี ตเ์ ป็น สิ่งมีชีวติ เซลลเ์ ดียว เมื่อมีอาหารสมบูรณ์ จะมีการสืบพนั ธุ์แบบไม่ อาศยั เพศ โดยการแตกหน่อ แต่เมื่ออาหารขาดแคลนจะมีการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ โดยแตล่ ะเซลลท์ าหนา้ ที่ เป็นเซลลส์ ืบพนั ธุ์ หลงั การปฏิสนธินิวเคลียสจะมีการแบ่งตวั แบบไมโอซิสไดน้ ิวเคลียส 4 อนั แต่ละนิวเคลียส มีผนงั หุม้ เป็นเซลล์ แตล่ ะเซลล์ คือ แอสโคสปอร์ ผนงั เซลลเ์ ดิมทาหนา้ ท่ีเป็นแอสคสั บรรจุสปอร์ ดงั น้นั ใน 1 แอสคสั จึงมีสปอร์ 4 อนั ส่วนแอสคสั ที่มีสปอร์ 8 อนั จะเกิดท่ีส่วนปลายของเส้นใย จึงจะรวมเป็นกลุ่ม กอ้ น เรียกวา่ แอสโคคาร์พ (Ascocarp) ซ่ึงมีท้งั หมด 3 แบบ คือ เป็นรูปกลม รูปคนโท และรูปถว้ ย ตวั อยา่ ง เห็ดราในช้นั น้ี ไดแ้ ก่ เพนิซิเลียม (Penicillium) ท่ีใชส้ ะกดั เพนิซิลิน (Penicillin) ซ่ึงเป็นสารปฏิชีวนะชนิดหน่ึง และโคนเห็ดซ่ึงกินได้ และมีราคาแพง ช้ันเบซิดโิ อไมซีตสี (Order Basidiomycetea) มีสปอร์ท่ีไดจ้ ากการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศอยบู่ น เบซิเดีย (Basidia) ซ่ึงปกติเบซิเดีย 1 อนั มีสปอร์ 4 อนั สปอร์น้ีเรียก เบซิดโิ อสปอร์ (Basidiospore) เห็ดราในช้นั น้ีท่ีสาคญั คือ ราที่ทาใหเ้ กิดโรคราดาในพืช เศรษฐกิจ เช่น ขา้ วโพด เป็นตน้ นอกจากน้ีกม็ ีพวกเห็ดตา่ งๆ เช่น เห็ดฟาง เห็ดหิ้ง เห็ดรังนก เป็นตน้ 2.4 ช้ันดวิ เตอโรไมซีตสี ( Order Deuteromycetes) เป็นพวกท่ีไม่พบการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ ถา้ พบวา่ เห็ดรา ที่เดิมจดั ไวใ้ นช้นั น้ีต่อมาพบวา่ มีการสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ จะมีการยา้ ยไปอยใู่ นช้นั แอสโคไมซีตีส หรือดิว เทอโรไมซีส โดยพิจารณาจากการสร้างแอสโคสปอร์หรือเบสิดิโอสปอร์ นอกจากน้ียงั มีราบางชนิดอยรู่ วมกบั สาหร่ายแบบภาวะอิงอาศยั ท่ีเรียกวา่ ไลเคนส์ (Lichens) ซ่ึงมีท้งั หมด 3 แบบ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะเป็นแผน่ ลกั ษณะคลา้ ยใบไม้ และลกั ษณะคลา้ ยก่ิงไม้
สิ่งมีชีวติ ช้ันสูง ลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ ในอาณาจักรพชื อาณาจกั รพชื แบง่ เป็น 2 ดิวชิ นั ดงั น้ี ดวิ ชิ ัน ไบรโอไฟตา (Division Bryophyta) พืชในดิวชิ นั น้ียงั ไมม่ ีท่อลาเลียง (Vascular bundle) หรือมดั ท่อน้า(Xylem) ทอ่ อาหาร (Phloem) นนั่ เอง ดงั น้นั ลาตน้ จึงมีขนาดเลก็ และชอบอยใู่ นที่ร่ม มีความช้ืนสูง และท่ีซ่ึงมีน้าฝนช่วยในการเคลื่อนที่ของ ตวั อสุจิ ตวั อยา่ งของพชื ในดิวชิ นั น้ี ไดแ้ ก่ มอส (Moss) ลิเวอร์เวริ ์ต (Liverwort) และฮอร์นเวริ ์ท (Hornwort) ดวิ ชิ ัน เทรคโี อไฟตา (Division Tracheophyta) เป็นพืชที่มีระบบทอ่ ลาเลียง บางพวกราก ลาตน้ ใบ ยงั เจริญไม่ดี แตบ่ างพวกกลบั เจริญดี พืช บางชนิดในดิวชิ นั น้ีตอ้ งอาศยั น้าเป็นแหล่งช่วยผสมพนั ธุ์ บางชนิดเจริญอยใู่ นน้า สปอร์โรไฟตม์ ีช่วงยาวนาน และเด่นกวา่ แกมีโตไฟต์ พืชในดิวชิ นั น้ีมีมากกวา่ 260,000 ชนิด แบง่ ไดเ้ ป็น 4 ซบั ดิวชิ นั คือ ซับดวิ ชิ ัน ไซลอพซิดา (Subdivision Psilopsida) พวกน้ียงั ไม่มีรากท่ีแทจ้ ริง ใชร้ ากเทียม (Rhizoid) ทาหนา้ ท่ีแทนใบยงั ไม่เจริญมีเพยี งเกล็ด เล็กๆ ลาตน้ ใตด้ ินชนิดไรโซม (Rhizome) การแตกกิ่งแตกทีละสอง (Dichotomous branching) ตวั อยา่ ง เช่น หวายตะนอย (Psilotum) ในพวก Tmesipteris มีแผน่ ใบขนาดเล็กๆ มีเส้นอยเู่ ฉพาะกลางใบเส้นเดียว ยงั ไม่มี เส้นยอ่ ยแตกแขนงออกไป ใบชนิดน้ีเรียกวา่ ไมโครฟิ ลล์ (Microphyll) ซับดวิ ชิ ัน ไลคอพซิดา (SubdivisionLycopsida) พืชพวกน้ีบางกลุ่มสูญพนั ธุ์ไปแลว้ ส่วนพวกท่ีเหลืออยใู่ นปัจจุบนั เป็นพชื ตน้ เลก็ ๆ และเป็นไม้ เน้ืออ่อน ลาตน้ ที่อยใู่ ตด้ ินเรียก ไรโซม (RhiZome) ส่วนท่ีชูข้ึนเหนือดินอาจมีท้งั ชนิดต้งั ตรงและชนิดเล้ือยไป ตามผวิ หนา้ ดิน หรืออาจเป็นพวกเอพไิ ฟต์ (Epiphyte) ใบเป็นแบบไมโครฟิ ลล์ เรียงตวั กนั เป็นเกลียวรอบตน้ หรือรอบกิ่ง ท้งั รากและก่ิงมีการแตกแขนงแบบไดโคโตมสั ตวั อยา่ ง เช่น ชอ้ งนางคล่ี สามร้อยยอด หญา้ รังไก่ สร้อยสีดา ตีนตุก๊ แก เป็นตน้ ซับดวิ ชิ ัน สฟี นอพซิดา (Subdivision Sphenopsida) ซบั ดิวชิ นั น้ีเหลืออยเู่ พยี งสกุลเดียว คือ Equisetum ภาษาไทยเรียกวา่ หญา้ ถอดปลอ้ ง หญา้ เงือก สนหางมา้ สกลุ อื่นๆ สูญพนั ธุ์ไปหมดแลว้ ลาตน้ ไมม่ ีใบ แต่เน้ือไมม้ ีสีเขียวทาการสังเคราะห์แสงแทนใบ ใบมี
ลกั ษณะเป็นเส้น มีขอ้ ต่อและปลอ้ งต่อกนั มองเห็นชดั เจน และยงั สามารถดึงแยกออกจากกนั ได้ คลา้ ยใบของสน ปฏิพทั ธ์ ลาตน้ ค่อนขา้ งแขง็ หยาบเพราะมีสารซิลิกาเคลือบ ภายใน ลาตน้ กลวงคลา้ ยตน้ ไผ่ ซับดิวชิ ัน เทอรอพซิดา (Subdivision Pteropsida) ลาตน้ มีขนาดใหญ่ เริ่มมีใบท่ีเป็นแผน่ สีเขียวแผก่ วา้ ง มีเส้นใบแตกแขนงออกมาจากเส้น แกนกลาง ซ่ึงเรียกวา่ เมกะฟิ ลล์ (Megaphyll) แบง่ ออกเป็น 3 ช้นั คือ ช้ัน ฟิ ลซิ ินี (Class Filicinae) พชื ในช้นั น้ีมีท่ีอยแู่ ตกตา่ งกนั มาก เร่ิมต้งั แต่พวกที่อยบู่ นพืชอ่ืนท่ีจดั เป็นเอพไิ ฟต์ (Epiphyte) เช่น ชายผา้ สีดา (Platycerium) บางพวกอยใู่ นท่ีแหง้ เช่น ตน้ กกู แตม้ บางชนิดอยใู่ นบริเวณที่มี ความช้ืนแฉะมาก เช่น ปรงทะเล ยา่ นลิเภา บางชนิดข้ึนอยใู่ นน้า เช่น ผกั กดู ผกั แวน่ บางชนิดลอยอยใู่ นน้า เช่น แหนแดง พืชในช้นั น้ี นอกจากจะแตกต่างกนั ในแหล่งที่อยอู่ าศยั แลว้ ขนาดของพืชก็ยงั แตกต่างกนั ดว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใบจะมีขนาดต้งั แต่เล็กสุดราวๆ 1-2 มม. เช่น แหนแดง จนกระทงั่ ถึงใบใหญส่ ุดยาวราว 2 เมตร ในพวกปรงทะเล สาหรับเฟิ ร์นมีลกั ษณะท่ีเหมือนกนั ไมว่ า่ ใบใหญ่ใบเล็ก เรียกวา่ ฟรอนด์ (Frond) น้นั ตอนเป็นใบออ่ นจะมว้ น ตวั จากปลายใบมายงั โคนใบ เมื่อเจริญเติบโตต่อไป ส่วนท่ีมว้ นจะคลายออก ลกั ษณะเช่นน้ีจะมีเฉพาะใบเฟิ ร์น ไมว่ า่ จะเป็นเฟิ ร์นชนิดใบเด่ียว เช่น ขา้ หลวงหลงั ลาย หรือเฟิ ร์นท่ีมีใบประกอบเล็กๆ เช่น เฟิ ร์นเกล็ดหอย หรือเฟิ ร์นกา้ นดา ช้ัน จิมโนสเปอร์มี (Class Gymnospermae) พืชในช้นั น้ียงั ไมม่ ีดอก มีแตส่ ตรอบิลสั เป็นช้นั ๆ หรือเรียกวา่ โคน (Cone) เมล็ดยงั ไมม่ ีเคร่ืองห่อหุม้ หรืออาจเรียกวา่ โอวลุ (Oval) ไม่มีรังไข่ (Ovary) ห่อหุม้ เหมือนพชื ดอก โคนที่ใช้ สืบพนั ธุ์ มีอยู่ 2 ชนิด คือ ตวั ผู้ เรียก สตามิเนทโคน (Staminate cone) ตวั เมีย เรียก คาร์เปลเลตโคน (Carpellate cone) สตามิเนทโคน ตวั อยา่ งพชื พวกน้ี เช่น ปรงป่ า (Cycas) แป๊ ะก๊วย (Ginkgo biloba) สนสองใบ สนสามใบ สน ฉตั ร สนหางสิงห์ ยกเวน้ สนปฏิพทั ธ์ มะเมื่อ มว่ั อ๊ึง เป็นตน้ ช้ัน แองกโิ อสเปอร์มี (Class Angiospermae) ไดแ้ ก่ พวกพชื ดอกทุกชนิด มีรังไขห่ ุม้ โอวลุ เมลด็ มีผลห่อหุม้ เนื่องจากเมลด็ มาจาก โอวลุ และผลเจริญมาจากไขท่ ี่ถูกผสมแลว้ ในดอกสร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์ 2 ชนิด คือ เกสรตวั ผู้ หรือเทียบไดก้ บั
ไมโครสปอรโรฟิ ลลข์ องจิมโนสเปิ ร์ม และเกสรตวั เมีย ซ่ึงเทียบไดก้ บั เมกะสปอโรฟิ ลล์ ภายในมีรังไข่ แบ่งเป็น 2 ซบั ช้นั (Subclass) คือ 1. ซบั ช้นั โมโนโคทิลีดอน (Subclas Monocotyledonae) ไดแ้ ก่ พืชใบเล้ียงเด่ียว ใบเล้ียงมี เพียงใบเดียว เส้นใบขนานกนั ลาตน้ มีขอ้ ปลอ้ งชดั เจน ท่อลาเลียงภายในลาตน้ กระจดั กระจายไม่เป็นระเบียบ ดอกมกั มีกลีบเป็นจานวน 3 หรือทวคี ูณของ 3 ตวั อยา่ ง เช่น กลว้ ยไม้ ขิง ข่า วา่ นพุทธรักษา มะพร้าว ปาลม์ กลว้ ย ออ้ ย ขา้ ว ขา้ วโพด ฯลฯ 2. ซบั ช้นั ไดโคทิลีดอน (Subclass Dicotyledonae) ไดแ้ ก่ พชื ใบเล้ียงคู่ มีใบเล้ียง 2 ใบ เส้น ใบเป็นร่างแห ทอ่ ลาเลียงอาหารและน้าภายในลาตน้ เรียงตวั เป็นระเบียบในลกั ษณะเป็นวง ดอกมกั มีกลีบเป็น จานวน 4 หรือ 5 หรือทวคี ูณของ 5 ตวั อยา่ ง เช่น จามจุรี มะมว่ ง ขนุน ทุเรียน ละมุด มะปราง กะเพรา โหระพา ฯลฯ ลกั ษณะของสิ่งมชี ีวติ ในอาณาจักรสัตว์ ส่ิงมีชีวติ ในอาณาจกั รสัตวเ์ ป็นพวกยคู าริโอตที่มีหลายเซลล์ (Multicellular) เซลลป์ ระกอบดว้ ยเยอื่ หุม้ เซลลจ์ ริงๆ มีไมโทคอนเดรีย แต่ไมม่ ีพลาสติดและรงควตั ถุที่ใชใ้ นการสังเคราะห์แสง จึงไม่สามารถสร้าง อาหารไดเ้ องตอ้ งอาศยั อาหารจากส่ิงมีชีวติ อื่น ไม่มีผนงั เซลล์ รูปแบบของโภชนาการเป็นแบบธรรมดา ไดแ้ ก่ การยอ่ ย (Ingestion) นอกจากน้ีเซลลใ์ นตา่ งพวกกนั ยงั แตกตา่ งกนั อยา่ งเห็นไดช้ ดั เซลลจ์ ดั เรียงตวั กนั เป็น เน้ือเยอื่ สิ่งมีชีวติ ในอาณาจกั รสัตวน์ ้ีแบ่งได้ 12 ไฟลมั ดงั น้ี ไฟลมั พอริเฟอรา (Phylum Porifera) ฟองน้าเป็นสตั วท์ ี่อาศยั อยใู่ นน้าเคม็ เป็นส่วนใหญ่ ตวั เตม็ วยั มกั เกาะอยกู่ บั ท่ี มีลาตวั เป็นโพรง มีช่องเปิ ดดา้ นบน และมีรูพรุนโดยรอบ ท่ีผนงั ลาตวั มีโครงร่างค้าจุนแทรกอยทู่ ว่ั ไป เรียกวา่ สปิ คุล (Spicule) ซ่ึงมีสารที่เป็นองคป์ ระกอบแตกต่างกนั ในฟองน้าแตล่ ะชนิด ไดแ้ ก่ สารท่ีคลา้ ยโปรตีนพบในฟองน้าถูตวั สาร พวกซิลิกาพบในฟองน้าแกว้ หรือสารพวกหินปูนพบในฟองน้าหินปนู ไฟลมั ซีเลนเทอราตา (Phylum Coelenterata) สัตวก์ ลุ่มซีเลนเทอเรต (Coelenterate) ส่วนใหญ่อยใู่ นน้าเคม็ เช่น ซีแอนนีโมนี ปะการัง กลั ปังหา แมงกะพรุน บางชนิดอาศยั อยใู่ นน้าจืด เช่น ไฮดรา
สตั วพ์ วกซีเลนเทอเรตมีลาตวั คลา้ ยทรงกระบอก มีช่องเปิ ดออกจากลาตวั ช่องเดียว ทาหนา้ ท่ีคลา้ ยปาก มี อวยั วะคลา้ ยหนวด เรียกวา่ เทนทาเคิล (Tentacle) ซ่ึงมีหลายเส้นอยโู่ ดยรอบช่องเปิ ดน้ี ท่ีเทนทาเคิลมีเนมาโท ซิสต์ (Nematocyst) ใชป้ ้ องกนั ตวั และจบั เหยอื่ กลางลาตวั เป็นช่องกลวงทา หนา้ ที่เป็นทางเดินอาหาร ซีเลนเทอเรตบางชนิดสามารถเคลื่อนท่ีไดโ้ ดยการใชเ้ ทนทาเคิล เช่น ไฮดรา หรือการพน่ น้าออกจากลาตวั เช่น แมงกะพรุน บางชนิดเกาะอยกู่ บั ท่ี เช่น ปะการัง กลั ปังหา สืบพนั ธุ์ไดท้ ้งั แบบอาศยั เพศและไม่อาศยั เพศ ไฟลมั แพลตเี ฮลมนิ ทสิ (Phylum Platyhelminthes) หนอนตวั แบน พบท้งั ในน้าจืด น้าเคม็ และตามที่ช้ืนแฉะ ลกั ษณะสาคญั ของสัตวพ์ วกน้ี คือ มี ลาตวั แบนยาว มีปากแตไ่ ม่มีทวารหนกั ไม่มีระบบหมุนเวยี นเลือด มีอวยั วะสืบพนั ธุ์ท้งั สองเพศอยใู่ นตวั เดียวกนั สืบพนั ธุ์ไดท้ ้งั แบบอาศยั เพศและไมอ่ าศยั เพศ ส่วนใหญด่ ารงชีวติ เป็นปรสิต เช่น พยาธิตวั ตืด พยาธิ ใบไม้ เป็นตน้ บางชนิดดารงชีวติ เป็นอิสระ ไดแ้ ก่ พลานาเรีย ไฟลมั เนมาโทดา (Phylum Nematoda) สัตวก์ ลุ่มน้ีเรียกวา่ หนอนตวั กลม ลกั ษณะสาคญั คือ ลาตวั กลมยาว ผวิ เรียบ ไมเ่ ป็นปลอ้ ง มี ท้งั ปากและทวารหนกั แต่ไม่มีระบบเลือด เพศผแู้ ละเพศเมียแยกกนั คนละตวั ส่วนใหญเ่ ป็นปรสิตในร่างกาย คนและสตั ว์ เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิปากขอ พยาธิตวั จี๊ด พยาธิเส้นดา้ ย เป็นตน้ บางชนิดดารงชีวติ เป็นอิสระ ไดแ้ ก่ หนอนในน้าส้มสายชู ไฟลมั แอนเนลดิ า (Phylum Annelida) พวกแอนเนลิด (Annelid) มีลกั ษณะสาคญั คือ ลาตวั กลมยาวคลา้ ยวงแหวนต่อกนั เป็นปลอ้ ง ภายในมีเยอ่ื ก้นั ระหวา่ งปลอ้ ง แต่ละปลอ้ งมีระยางคส์ ้ันๆ เรียกวา่ เดือย (Setae) ผวิ หนงั เปี ยกช้ืน มีระบบเลือด หมุนเวยี นอยใู่ นเส้นเลือด มีระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร แตล่ ะปลอ้ งมีอวยั วะขบั ถ่าย สืบพนั ธุ์ได้ ท้งั แบบอาศยั เพศและไม่อาศยั เพศ มีอวยั วะสืบพนั ธุ์ท้งั สองเพศอยใู่ นตวั เดียวกนั แอนเนลิด มีท้งั ท่ีอยบู่ นบก ไดแ้ ก่ ไส้เดือนดิน และทากดูดเลือด พวกท่ีอยใู่ นน้า เช่น ปลิงน้าจืด แมเ่ พรียง ซ่ึง พบตามชายทะเล เป็นตน้ ไฟลมั อาร์โทรโปดา (Phylum Arthropoda) สัตวก์ ลุ่มน้ีรวมเรียกวา่ อาร์โทรพอด (Arthropod) เป็นกลุ่มท่ีมีจานวนและชนิดมากท่ีสุดใน โลก มีลกั ษณะสาคญั ร่วมกนั คือ ส่วนหวั ส่วนอก และส่วนทอ้ ง บางพวกอาจมีส่วนหวั และส่วนอกเชื่อมเป็น ส่วนเดียวกนั มีระยางคเ์ ป็นขอ้ ๆ ต่อกนั สาหรับเคล่ือนท่ีและจบั อาหาร มีระบบเลือดแบบ วงจรเปิ ด โดยเลือด
จะไหลอยใู่ นเส้นเลือดและช่องวา่ งของลาตวั มีระบบประสาท ระบบทางเดินอาหารที่สมบรู ณ์ สืบพนั ธุ์แบบ อาศยั เพศ แบ่งยอ่ ยเป็นระดบั ช้นั ไดห้ ลายช้นั ดงั น้ี ช้ัน อนิ เซ็คตา (Class Insecta) สัตวใ์ นกลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ สตั วจ์ าพวกแมลง เป็นสตั วท์ ่ีมีจาวนชนิดและปริมาณมากที่สุดในบรรดา สัตวต์ ่างๆ ในโลก ร่างกายของแมลงแบง่ ออกเป็นสามส่วน คือ ส่วนหวั ส่วนอก และส่วนทอ้ ง มีหนวด 1 คู่ มี ขา 3 คู่ อยทู่ ี่ส่วนอก บางชนิดมีปี ก บางชนิดไมม่ ีปี ก แมลงกระจายอยตู่ ามบริเวณต่างๆ ทวั่ โลก มีท้งั ที่เป็น ประโยชนแ์ ละโทษตอ่ มนุษย์ ช้ัน ครัสเตเชีย (Class Crustacea) สัตวก์ ลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ พวกครัสเตเชียน (Crustacean) ส่วนใหญ่อยใู่ นน้า ไดแ้ ก่ กุง้ ก้งั ปู ไรน้า บางชนิดอยบู่ นบกตามดินท่ีช้ืน เช่น เหาไม้ (Wood lice) เป็นตน้ ลกั ษณะสาคญั มีส่วนหวั กบั ส่วนอกเชื่อม รวมกนั มีหนวด 2 คู่ มีระยางคร์ อบปากจานวนมาก มีระยางคท์ ่ีทาหนา้ ที่เป็นขาเดินอยทู่ ี่ส่วนอก 5 คู่ และใน พวกกงุ้ และก้งั จะมีระยางคแ์ บนๆ คลา้ ยหางเสือ 1 คู่ หายใจดว้ ยเหงือก ช้ัน อะแรชนิดา (Class Arachnida) สตั วก์ ลุ่มน้ีรวมเรียกวา่ อะแรชนิด (Arachnid) มีขา 4 คู่ ไมม่ ีหนวด ส่วนหวั และอกเชื่อม รวมกนั อาศยั อยทู่ ้งั บนบกและในน้า ตวั อยา่ ง เช่น แมงมุม แมงป่ อง เป็นตน้ ช้ัน เมอโรสโตมา (Class Merostoma) สัตวก์ ลุ่มน้ีไดแ้ ก่ แมงดาทะเล ดารงชีวติ อยตู่ ามบริเวณน้าต้ืน โดยฝังตวั อยใู่ นดินเลนหรือ ทรายในบริเวณป่ าชายเลน และบริเวณท่ีมีน้าข้ึนน้าลง ส่วนหวั และอกรวมเป็นส่วนเดียวกนั มีกระดองโคง้ เป็น แผน่ แขง็ ปกคลุม ส่วนทา้ ยของลาตวั ยนื่ ยาวออกมาคลา้ ยหาง ไม่มีหนวด มีขาเดิน 5 คู่ ปลายขาเดินคู่สุดทา้ ยมี ลกั ษณะเป็นแผน่ ซอ้ นกนั ใชใ้ นการขดุ ทรายเวลาฝังตวั ในประเทศไทยมีแมงดาทะเล 2 ชนิด คือ แมงดาทะเล หางเหล่ียม หรือแมงดาจาน และอีกชนิดหน่ึง คือ แมงดาทะเลหางกลม หรือแมงดาถว้ ย หรือเหรา (เห-รา) เคย ปรากฏวา่ มีผนู้ าไข่ของแมงดาทะเลหางกลมไปบริโภคทาใหเดกิดมีอาการเป็นพิษ ช้ัน ชิโลโพดา (Class Chilopoda) สตั วใ์ นกลุ่มน้ี เรียกวา่ เซ็นติปี ด (Centipede) ไดแ้ ก่ ตะขาบ ตะเขบ็ ตะขาบฝอย ลาตวั ยาวแบน มีขาปลอ้ งละ 1 คู่ และมีต่อมพิษ พบทว่ั ไปตามพ้นื ดินที่ช้ืน กินซากเน่าเป่ื อยเป็นอาหาร
ช้ัน ไดโพลโพดา (Class Diplopoda) สัตวใ์ นกลุ่มน้ีไดแ้ ก่ กิ้งกือ ซ่ึงเป็นมลั ลิปี ด (Millipede) ชนิดหน่ึง ลาตวั ยาว มีขาส้นั ๆ ปลอ้ ง ละ 2 คู่ มีหนวด 1 คู่ กินซากพืชและซากสตั วท์ ่ีเน่าเปื่ อยในดินเป็นอาหาร ไฟลมั มอลลสั กา (Phylum Molluska) สตั วก์ ลุ่มน้ีเรียกวา่ พวกมอลลสั ก์ (Mollusk) ส่วนใหญอ่ าศยั อยใู่ นน้า ไดแ้ ก่ หอย และหมึก ชนิดต่างๆ บางชนิดอาศยั อยบู่ นบกตามพ้ืนดินท่ีช้ืนแฉะ เช่น ทาก หอยทาก เป็นตน้ ลกั ษณะสาคญั ของ มอลลสั ก์ คือ ลาตวั นิ่มปกคลุมดว้ ยแมนเทิล (Mantle) ซ่ึงเป็นเน้ือเยอื่ บางๆ ที่อาจพฒั นาไปเป็นเปลือกแขง็ เช่น เปลือกหอย มีหวั ใจสูบฉีดเลือด มีไตเป็นอวยั วะขบั ถ่าย มีกลา้ มเน้ือยน่ื ออกมาจากเปลือกหอยช่วยในการ เคล่ือนที่ ส่วนหมึกเคลื่อนที่โดยการใชห้ นวดและการพน่ น้าออกจากตวั หอยและหมึกทะเลมีความสาคญั ต่อมนุษยใ์ นแง่ของการเป็นอาหาร เปลือกหอยนามาบดเป็นอาหารสัตวพ์ วก เป็ดและไก่ ช่วยเพม่ิ แคลเซียม ทาใหเ้ ปลือกไขไ่ ม่บางและไม่แตกง่าย หอยมุกน้าจืด และหอยมุกน้าทะเลใหม้ ุก ซ่ึงนามาทาเป็นเคร่ืองประดบั ได้ เช่น หอยเตา้ ปนู มีเขม็ พิษซ่ึงทาใหค้ นท่ีถูกพษิ เป็นอมั พาตได้ หอยโข่ง หอย ขม เป็นพาหะนาพยาธิมาสู่คน ไฟลมั เอไคโนเดอร์มาตา (Phylum Echinodermata) เอไคโนเดิร์ม (Echinoderm) เป็นสัตวท์ ะเลท้งั สิ้น มีลกั ษณะสาคญั คือ ผวิ หนงั หยาบและ ขรุขระ บางชนิดผวิ หนงั แขง็ เพราะมีสารพวกหินปูนเป็นองคป์ ระกอบ ไม่มีส่วนหวั บางชนิดมี ร่างกายแยก เป็นแฉกออกจากลาตวั เป็นแนวรัศมีเทา่ กนั เช่น ดาวทะเล บางชนิดรูปร่างกลมแบน เช่น อีแปะทะเล บาง ชนิดมีหนามยาวทวั่ ลาตวั เช่น เม่นทะเล บางชนิดลาตวั กลมยาว ผวิ หนงั หนาขรุขระแต่ไมแ่ ขง็ เช่น ปลิงทะเล สตั วก์ ลุ่มน้ีมีประโยชน์ต่อมนุษยใ์ นแง่อาหาร เช่น ปลิงทะเล ไข่ของเม่นทะเล บางพวกก่อใหเ้ กิดความเสียหาย เช่น ดาวมงกุฎหนาม ทาลายปะการังและหอย ไฟลมั คอร์ดาตา (Phylum Chordata) สัตวก์ ลุ่มน้ีส่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั (Vertebrate) และบางพวกมีโครงสร้างท่ี เป็นแกนของร่างกาย เรียกวา่ โนโตคอร์ด (Notochord) คลา้ ยกบั กระดูกสันหลงั มีระบบประสาทอยดู่ า้ นหลงั เหนือทางเดินอาหารและมีช่องเหงือ (Gill slits) คอร์เดตแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
โพรโทคอร์เดต (Protochordate) คอร์เดตกลุ่มน้ีไม่มีกระดูกสนั หลงั มีโนโทคอร์ดเป็นแกนของร่างกายอยทู่ างดา้ นหลงั ของ ลาตวั เหนือทางเดินอาหาร บางชนิดมีโนโตคอร์ดปรากฏในระยะที่เป็นตวั อ่อนเท่าน้นั เช่น เพรียงหวั หอม บาง ชนิดมีโนโทคอร์ดตลอดชีวติ เช่น แอฟิ ออกซสั (Amhioxous) สัตว์มกี ระดูกสันหลงั สตั วก์ ลุ่มน้ีในระยะเอม็ บริโอแรกๆ น้นั ยงั ไม่มีกระดูกสนั หลงั มีโนโทคอร์ดเป็นแกนของ ร่างกาย เมื่อเจริญเติบโตมากข้ึนจึงเกิดกระดูกสันหลงั ข้ึนมา ทาหนา้ ที่เป็นแกนของร่างกายและห่อหุม้ เส้นประสาทใหญ่ไขสนั หลงั ไว้ สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั จดั เป็นสัตวช์ ้นั สูง มีลกั ษณะแตกต่างกนั ออกไป จึงแบง่ เป็นกลุ่มยอ่ ยในระดบั คลาสได้ หลายคลาส คลาสคอนดริสไทอสิ (Class Chondrichthyes) สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั ในคลาสน้ีอาศยั อยใู่ นน้า ไดแ้ ก่ ปลากระดูกออ่ น เช่น ปลาฉลาม ปลา กระเบน ส่วนใหญ่มีเกล็ดปกคลุมลาตวั หายใจดว้ ยเหงือก มีช่องเหงือกเห็นไดช้ ดั เจน ใชก้ ลา้ มเน้ือลาตวั และ ครีบช่วยในการเคล่ือนไหว สืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศมีการปฏิสนธิภายในตวั จึงออกลูกเป็นตวั คลาสออสตอิ คิ ไทอสิ (Class Osteicthyes) ปลาพวกน้ีไดแ้ ก่ ปลากระดูกแขง็ เช่น ปลากดั ปลาดุก ปลาช่อน ปลาทู ปลาไหล มีครีบคู่ 2 คู่ คือ ครีบอก (Pectoral fin) และครีบตะโพก (Pelvic fin) ช่องเหงือกมีแผน่ ปิ ดเหงือกหรือ โอเพอคูลมั (Operculum) ปิ ดอยจู่ ึงมองไมเ่ ห็นช่องเหงือก บางชนิดมีเหงือกอุม้ น้าไดด้ ี จึงดารงชีวติ บนบกไดใ้ นช่วงเวลา ส้ันๆ เช่น ปลาตีน ปลาหมอ สืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ ส่วนใหญ่มีการปฏิสนธิภายนอก คลาสแอมฟิ เบีย (Class Amhpibia) สัตวพ์ วกน้ีเป็นสัตวเ์ ลือดเยน็ มีผวิ หนงั ทาหนา้ ท่ีแลกเปลี่ยนก๊าซในการหายใจ ผวิ หนงั จึงเปี ยก ช้ืนอยเู่ สมอ ไม่มีเกล็ด มีขา 2 คู่ มีการผสมพนั ธุ์และวางไขใ่ นน้า ไข่มีวนุ้ หุม้ ตวั ออ่ นอาศยั อยใู่ นน้า หายใจ ดว้ ยเหงือก เม่ือเติบโตข้ึนจะดารงชีวติ อยบู่ นบก และมีปอดมาทาหนา้ ท่ีหายใจแทนเหงือก จึงเรียกสตั วพ์ วกน้ีวา่ สัตวค์ ร่ึงบกคร่ึงน้า (Amphibian) เช่น กบ เขียด คางคก งูดิน กะทา่ ง เป็นตน้
คลาสแมมมาเลยี (Class Mammalia) สิ่งมีชีวติ ในกลุ่มน้ีมีลกั ษณะสาคญั คือ มีขน (Hair) เป็นเส้นๆ ปกคลุมผวิ ลาตวั ส่วนมาก ออกลูกเป็นตวั ตวั อ่อนเจริญอยใู่ นมดลูกของแม่ ตวั เมียจะมีต่อมน้านมผลิตน้านมสาหรับเล้ียงลูกออ่ น จึง เรียกวา่ สัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้านม (Mammalia) เป็นสตั วเ์ ลือดอุ่นมีสมองขนาดใหญ่ มีหวั ใจ 4 หอ้ ง อาศยั อยทู่ ้งั บนบกและในน้า บางชนิดบินได้ เช่น คา้ งคาว
บรรณานุกรม http://www.biogang.com/diversity.html http://www.vcharkarn.com/varticle/41295 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0% B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2 http://www.fkk.ac.th/library/webe-library/science/namo/koumlaklaysingmeeshewit/index3.htm
Search
Read the Text Version
- 1 - 31
Pages: