Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 07.BU5001-L05 ปรับ 2-05-63

07.BU5001-L05 ปรับ 2-05-63

Published by sudjaipookonglee, 2021-06-23 05:21:25

Description: 07.BU5001-L05 ปรับ 2-05-63
พุทธศาสนาในประเทศไทยและต่างประเทศ

Keywords: พุทธศาสนาในประเทศไทยและต่างประเทศ

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 105 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 5 บทท่ี 5: พุทธศาสนาในประเทศไทยและต่างประเทศ เน้อื หาประจาบท 1. บทนา 2. พระพุทธศาสนาสมยั ทวาราวดี 3. พระพุทธศาสนาสมยั อาณาจกั รอ้ายลาว 4. พระพุทธศาสนาสมัยลพบุรี 5. พระพุทธศาสนาสมยั พุกาม 6. พระพุทธศาสนาสมยั ลา้ นนา 7. พระพุทธศาสนาสมยั สุโขทัย 8. พระพุทธศาสนาสมัยอยธุ ยา 9. พระพุทธศาสนาสมัยธนบุรี 10. พระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสนิ ทร์ 11. พระพุทธศาสนาในพม่า 12. พระพทุ ธศาสนาในลาว 13. พระพทุ ธศาสนาในเวียดนาม 14. พระพทุ ธศาสนาในกัมพชู า 15. พระพุทธศาสนาในเอเชียเอเชียกลาง 16. พระพุทธศาสนาในประเทศจนี 17. พระพุทธศาสนาในเกาหลี 18. พุทธศาสนาในญ่ีป่นุ 20. พระพทุ ธศาสนาในโลกตะวนั ตก 21. สรุปทา้ ยบท คาถามท้ายบท เอกสารอ้างองิ ประจาบทท่ี 5 จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 1. นกั ศึกษาสามารถทาการเรียบเรียงเน้อื หา สรปุ ความคิด และถา่ ยทอดเนอื้ หาได้ดว้ ยตนเอง 2. นกั ศกึ ษาสามารถสรุปเนื้อหาสาคญั ๆ ด้วยกราฟกิ ต่าง ๆ เชน่ แผนภูมิ, แผนทคี่ วามคดิ , กราฟ, ตาราง เป็นต้น ลงใน Google Sites/Google Slides/PowerPoint และส่งใน Google Classroom ของ อาจารยไ์ ด้

106 3. นักศึกษาสามารถนาเสนองานหนา้ หอ้ งเรยี นด้วยเทคโนโลยตี ่าง ๆ ได้ 4. นกั ศกึ ษาสามารถทางานเป็นกล่มุ และทางานเด่ยี วได้ 5. คะแนนผลการทดสอบ Posttest ของนักศึกษาเพิ่มข้ึนจากคะแนนผลการทดสอบ Pretest อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้ศึกษาจากบทเรียนออนไลน์ของอาจารย์ หนังสืออ่ืนที่เกี่ยวข้อง เว็บไซต์ และส่ือออนไลน์ เช่น YouTube ฯลฯ ทาการวิเคราะห์เนื้อหา ด้วยการเรียบเรียง สรุปความคิด และ ถา่ ยทอดเนือ้ หาออกมาเป็นรายงานออนไลน์ดว้ ย Google Sites/Google Slides/PowerPoint 2. นกั ศึกษานาเสนอหนา้ ชั้นเรียนด้วยการอภิปราย/การแสดงความคิดเหน็ /การถามและการตอบ คาถาม/การตคี วามและการอธบิ ายเน้อื หาด้วยเหตุและผล 3. ตอบคาถามท้ายบท/ค้นคว้าเพ่ิมเติมในเน้ือหาท่ีเก่ียวข้องจากห้องสมุดและเว็บไซต์ และเขียน รายงานออนไลน์ด้วย Google Sites/Google Slides/PowerPoint ส่งใน Google Classroom ของ อาจารย์ผ้สู อน ส่ือการเรียนการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. แบบเรียนออนไลน์/สอื่ การเรยี นการสอนออนไลน์/Ebook 3. Computer/Projector/Google Classroom/Youtupe/ Video Clips/ Google Sites/Google Slides/ PowerPoint การวดั ผลและการประเมินผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรม ในการเข้าช้ันเรียนตรงเวลา และประเมินพฤติกรรมด้านจิต สาธารณะในการทากิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียนจากรายงานออนไลน์ โดยใชแ้ บบ Checklist จานวน 10 คะแนน 2. ประเมินความรู้โดยการทดสอบกลางภาค จานวน 20 คะแนน และสอบปลายภาค จานวน 40 คะแนน รวม 60 คะแนน 3. ประเมินทักษะทางปัญญา โดยใช้ Rubrics จากการอภิปราย/การแสดงความคิดเห็น/การถาม ตอบ/การวิเคราะหเ์ นือ้ หาทเ่ี รยี น/การสรุปเนื้อหา/การนาเสนอหนา้ ชน้ั เรียน จานวน 10 คะแนน 4. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ โดยใช้แบบสังเกต จากการ ทางานกลุ่ม/การนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน/การตรงเวลาในการส่งงานทม่ี อบหมายและการอ้างอิงผลงานคนอื่น จานวน 10 คะแนน 5. ประเมินทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ Rubrics ในการนาเสนอหน้าช้ันเรียนด้วยเทคโนโลยี และตรวจรายงานออนไลน์ของนักศึกษา จานวน 10 คะแนน

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 107 บทที่ 5 พระพทุ ธศาสนาในประเทศไทยและต่างประเทศ 1. บทนา พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยสมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา หรือเกาะลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ 9 สาย จากการอุปถัมภ์ของพระเจ้า อโศกมหาราช ในคราวสังคายนาครง้ั ที่ 3 ดังกล่าวแล้วในบทท่ี 3 โดยการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในครั้ง นั้น พระธรรมทูตทุกสายสามารถให้การบวชและอุปสมบทให้แก่กุลบุตรผู้มีศรัทธาได้ นับว่า พระพุทธศาสนาไดเ้ ผยแผ่ไปยังภมู ภิ าคตา่ ง ๆ อยา่ งรวดเร็ว และบางพืน้ ทม่ี ีหลักฐานชัดเจน สามารถสืบค้น ได้ เชน่ สายพระโสณะและพระอุตตระ เน่อื งจากมกี ารสืบต่อกนั มาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะหลักฐานทคี่ ้นพบ ในจังหวัดนครปฐม พบว่า พระพุทธศาสนาได้มาประดิษฐานในดินแดนแถบนี้เม่ือปี พ.ศ. 275-305 นับเป็น ปีที่ใกล้เคียงกับหลักฐานในท่ีอื่น ๆ ขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนท่ีเรียกว่า สุวรรณภูมิ ซ่ึงมี ขอบเขตกว้างขวางกินอาณาเขตจากปากน้าอิรวดีลงมาอ่าวไทย มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ไม่ น้อยกวา่ 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย พมา่ ศรีลงั กา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซ่ึงสันนิษฐานวา่ มีใจกลางอยู่ท่ี จังหวัดนครปฐมของไทย เน่ืองจากได้พบโบราณวัตถุท่ีสาคัญ เช่น พระปฐมเจดีย์ และรูปธรรมจักรกวาง หมอบเป็นหลักฐานสาคัญ และพระสถูปวัดพระประโทน ลักษณะของสถูปเหล่าน้ัน มีส่วนคล้ายกับพระ สถูปของพระเจ้าอโศกมหาราช คือเป็นทรงโอคว่า เบ้ืองบนมีลัลลังก์ ปักฉัตรศิลาไว้ ต่อมาได้สร้างพระ ปรางค์ขึ้นบนบัลลังคใ์ นสมัยขอม แต่พม่าก็สันนษิ ฐานว่ามใี จกลางอยู่ท่ีเมืองสะเทมิ ภาคใต้ของพม่า จากการศึกษาพบว่า หลักฐานการนับถือพระพุทธศาสนาของไทยเริ่มปรากฏหลักฐานชัดเจนใน สมัยอาณาจกั รอ้ายลาว กล่าวคือ พ.ศ. 612 สมัยพ่อขุนหลวงเมาหรือเม้า กษัตริย์แหง่ อาณาจักรอ้ายลาวที่ ได้แสดงตนเป็นพุทธมามกะ พร้อมด้วยพลเมืองจานวน 77 หัวเมือง 51,890 ครอบครัว จานวน 553,761 คน ตรงกับพงศาสดารจีนของราชวงศ์ฮ่ัน ท่ีระบุข้อความว่า ขุนหลวงม้ากษัตริย์ไทยทรงเป็นพุทธมามกะ และต้ังแต่บัดนั้นเป็นต้นมาคนไทยไม่เคยทอดทงิ้ พระพุทธศาสนาเลย โดยการทานุบารุงให้เจริญรุ่งเรืองสืบ มาด้วยการศึกษา และน้อมนามาปฏิบัติเร่ือยมา แต่เน่ืองจาก พ.ศ. 275-305 เป็นปีที่พระโสณะและพระ อุตตระได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมินั้น ห่างจาก พ.ศ. 612 ถึง 307 ปี จึงเชื่อได้ว่า คน ไทยน่าจะนับถือพระพุทธศาสนามากอ่ น พ.ศ. 612 ตามหลกั ฐานดงั กล่าวแล้ว กล่าวคอื อาจนบั ถอื มาต้ังแต่ พุทธศตวรรษที่ 3 ราว พ.ศ. 305 น่ันเอง ดังนั้น ในบทน้ีจะกล่าวถึงความเป็นมาของพระพุทธศาสนาใน ประเทศไทยเป็นหลกั เพื่อให้นกั ศึกษาได้เรียนรู้ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาที่เก่ียวข้องกับตนเองให้มาก ท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ โดยแบ่งเป็น 4 ยุค คือ ยุคเถรวาทแบบสมัยพระเจ้าอโศก ยุคมหายาน ยุคเถรวาทแบบ พุกาม และยุคเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยอาณาจักรอ้ายลาว สมัยลพบุรี สมัยพุกาม สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หลังจากน้ันจะกล่าวถึง พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เช่น ลาว พม่า กัมพูชาเวียดนาม พาร์เทีย ท่ีราบตาริม จีน เกาหลี ญ่ีปุ่น องั กฤษ กรีก เยรมนี และสหรัฐอเมริกา พอสงั เขปตามลาดับ 2. พระพทุ ธศาสนาสมยั ทวาราวดี ยุคท่ี 1 เถรวาทแบบสมัยพระเจ้าอโศก กล่าวคือ ผืนแผ่นดินจุดแรกของอาณาจักรสุวรรณภูมิ

108 หรือท่ีเรียกกันว่า แหลมทอง นั้น พระโสณะกบั พระอุตตระ สมณทูตของพระเจ้าอโศกมหาราชได้เดินทาง จากชมพทู วีปเขา้ มาประดษิ ฐานนั้น ในจดหมายเหตขุ องหลวงจนี เห้ียนจงั เรยี กวา่ ทวาราวดี สันนษิ ฐานว่า ได้แก่ จังหวัดนครปฐม เพราะมีโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ เช่น พระปฐมเจดีย์ ศิลารูปพระ ธรรมจักร เป็นต้น ปรากฏว่าเป็นหลักฐานประจักษ์พยานอยู่ พระพุทธศาสนาที่เข้ามาในคร้ังน้ี เป็นแบบ เถรวาทดั้งเดิม พุทธศาสนิกชนได้มีความศรัทธาเลื่อมใสบวชเป็นพระภิกษุจานวนมาก และได้สร้างสถูป เจดีย์ไว้สักการะบูชา เรียกว่า สถูปรูปฟองน้า เหมือนสถูปสาญจีในอินเดีย ท่ีพระเจ้าอโศกทรงสร้างข้ึน ศิลปะในยุคนเี้ รยี กว่า ศลิ ปะแบบทวาราวดี พระธรรมดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) (2548, หน้า 379-381) ระบุว่า สมณเฮี้ยนจัง ได้กล่าวไว้ใน บันทึกของทา่ นวา่ ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 12 ถดั จากทิศตะวนั ออกของอนิ เดยี ของมณฑลอัสสัม มภี ูเขาใหญ่ สีดาเทียมเมฆ ถัดจากนั้น มีอาณาจักรชื่อ สิกหลีสักตอล้อ (ศรีเกษตร หรือ พม่า) และถัดจากอาณาจักรน้ี ไป ยังมีอาณาจักรชื่อ ตุยล้อกัวต่ี ตรงกับคาว่า ทวารวดี ตามสันนิษฐานของเซเดส์ ต่อมาได้พบจารึกของ กัมพูชาหลักหนึ่งระบุช่ือเมืองว่า ทวารกะเตย จึงเป็นหลักฐานสาคัญทาให้ม่ันใจได้ว่า อาณาจักรทวารวดี เป็นมหาอาณาจักรตั้งอยู่ท่ามกลางพม่ากับมอญ พระพุทธศาสนาในอาณาจักรทวารวดีนั้นเป็นเถรวาท มี ความสัมพันธ์กับอินเดีย มีหลักฐานทางด้านพุทธศิลป์มากมายต้ังแต่ช้ินเล็ก ๆ ไปจนถึงชิ้นมหึมา เช่น มี พระพิมพอ์ ่ทู องเกา่ ทน่ี ครปฐม นครชัยศรี ราชบุรี อันเป็นศนู ยก์ ลางอาณาจักร มีพระพทุ ธรูปเสมาธรรมจักร ทาด้วยศิลาในเมืองกนกนครทางภาคอสี าน มีสถูปท่ีวดั กู่กุดลาพูนทางภาคพายัพ ปรากฏหลักฐานมากมาย และอาณาจกั รทวารวดียงั แผไ่ ปถึงครหิ หรือ ไชยา ในปัจจบุ นั และตอนบนของแหลมมลายู จากการสร้าง ทางรถไฟ ทาให้ได้พบโบราณวัตถุท่ีสาคัญมากมายและถูกทาลายไปในระหว่างการสร้างด้วยความ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ยังมีเหลือที่สาคัญ 2-3 แห่ง เช่น พระสถูปองค์แรกคือพระปฐมเจดีย์องค์ข้างใน และ พระสถูปวัดพระประโทน ลักษณะของสถูปเหล่าน้ัน มีส่วนคล้ายกับพระสถูปของพระเจ้าอโศกมหาราช คือเป็นทรงโอคว่า เบ้ืองบนมีลัลลังก์ ปักฉัตรศิลาไว้ ต่อมาได้สร้างพระปรางค์ขึ้นบนบัลลังค์ในสมัยขอม สาหรับพระสถูปวัดพระประโทนนั้นเข้าใจว่าได้สร้างในสมัยอยุธยา ซากพระสถูปท่ีวัดพระเมรุดัดแปลง พิศดารข้ึน โดยทาเป็นมุข 4 มุข แต่ละมุขต้ังพระพุทธรูปศิลาน่ังห้อยพระบาท ซ่ึงตรงกับอานันทเจดีของ พม่าที่พุกาม พระปฐมเจดยี ์และพระประโทน เขา้ ใจว่าสรา้ งสมัยสวุ รรณภูมิ แตท่ ี่วัดพระเมรสุ รา้ งสมัยทวาร วดี สมัยทวารวดีรับแบบพุทธศิลป์สิงห์มาจากราชวงศ์คุปตะของอินเดีย จีวรไม่นิยมทาเป็นริ้ว แต่ทาเป็น แนบพระวรกาย เพื่อแสดงองคาพยพ พระพุทธรูปส่วนใหญ่สร้างจากศิลาดินเผา มีทั้งแบบเถรวาทและ มหายาน มีจานวน 4 องค์ องค์หนึ่งอยู่ที่นครปฐม ส่วนอีกสามองค์อยู่ท่ีอยุธยา ปางพระวรมุทระ อยู่ใน พิพิธพันธ์สถานแห่งชาติ และในจังหวัดสุพรรณบุรี ยังมีพระพุทธรูปปางป่าเลไลย์ สันนิษฐานว่าเป็น พระพุทธรูปยุคทวารวดี ส่วนที่ถ้าเขางู จังหวัดราชบุรี มีภาพบนผนังถ้าเป็นพระพุทธรูปน่ังห้อยพระบาท สมัยทวารวดี และมีจารึกด้วยภาษาสันสกฤตว่า ฤษีสมาธิคุปตะเป็นเจ้าของถ้า นอกจากน้ียังพบเสมา ธรรมจกั รและพระพมิ พด์ ินเผาอกี จานวนมาก และในศตวรรษท่ี 12 น้ีเอง ศิลปะและอารยธรรมสมัยทวารวดีได้แผ่ขยายไปยังภาคเหนือในลุ่ม แม่น้าปิง โดยเจ้าหญิงแห่งทวารวดีพระองค์หนึ่งพระนามว่า พระนางจามเทวี ได้เสด็จไปเมืองหริภุญไชย ไดน้ มิ นต์พระสงฆจ์ านวน 500 รูป และศิลปินแขนงต่าง ๆ ไปดว้ ย มกี ารสร้างวดั จานวนมากข้ึนในยคุ น้ี เชน่ วัดอภัยทาราม วัดบุพพาราม วัดพระคง วัดพระรอด วัดพระล้ีรอด โดยเช่ือกันว่า พระรอด พระเคร่ือง ตระกลู ลาพนู ถูกสร้างขึน้ ในสมัยน้ี

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 109 3. พระพุทธศาสนาสมัยอาณาจกั รอา้ ยลาว ยุคท่ี 2 มหายาน กล่าวคือ พระพุทธศาสนาในยุคนีเ้ ปน็ แบบมหายาน ในสมยั พ่อขุนหลวงเมาหรือ เม้า กษัตริย์ไทย ก่อนท่ีจะอพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยปัจจุบัน ครองราชย์อยู่ในอาณาจักรอ้ายลาว ราว พ.ศ. 612 ได้รับเอาพระพุทธศาสนามหายานผ่านมาทางประเทศจีน โดยการนาของพระสมณทูตชาว อินเดียมาเผยแผ่ ในคราวท่ีพระเจ้ากนษิ กะมหาราชทรงอปุ ถัมภก์ ารสังคายนาครงั้ ท่ี 4 ของฝา่ ยมหายาน ณ เมืองชลันธร พระสมณทูตได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในเอเซียกลาง พระเจ้ามิ่งตี่ กษัตริย์จีนทรงรับ พระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในจีน และได้ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรอ้ายลาว คณะทูตได้ นาเอาพระพุทธศาสนามาด้วย ทาให้หัวเมืองไทยทั้ง 77 มีราษฎร 51,890 ครอบครัว หันม านับถือ พระพุทธศาสนาแบบมหายานเป็นคร้ังแรก (พระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต), 2531, หน้า 111) ตอ่ มาราว พุทธศตวรรษท่ี 7 อาณาจักรอ้ายลาว ถูกจีนรุกรานจนเสียเอกราช จึงอพยพลงมาตามแม่น้าสายต่าง ๆ ส่วนใหญ่อพบพมาตามแมก้น้าแยงซี เขา้ ไปต้ังหลักแหล่งอยู่ในมณฑลยุนนาน โดยตัง้ อาณาจักรนา่ นเจ้าข้ึน แปลว่า เจ้าฝ่ายใต้ โดยเจ้าเมืองแสหลวง หรอื มองเซียหลง ตามท่จี ีนเรียก ราชวงศ์น้ีมกี ษัตริย์ท่ียงิ่ ใหญ่อยู่ 2 พระองค์ คือ เจ้าสีนุโลหรือเจ้าขนุ หลวง ทรงครองราชย์ราว พ.ศ. 1193-1217 และเจ้าพีล่อโก๊ะหรือเจ้า ขุนบรม พระราชโอรสของเจ้าแสหลวงพี ซ่ึงเป็นพระราชนัดดาของเจ้าสีนุโล ทรงครองราชย์ราว พ.ศ. 1271-1291 พระองค์ได้ขยายอาณาจักรออกไปไกล เช่น ได้สร้างเมืองแถง หรือ เดียนเบียนฟู ตามที่ เวยี ดนามเรียก เปน็ ราชธานีใหม่ในราว พ.ศ. 1274 เป็นต้น เมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจา้ คือ หนองแส หรือ ตาลิฟู ตามท่ีจีนเรยี ก รงุ่ เรืองมาถึง 500 ปีเศษ มอี าณาจักรกว้างขวาง ทิศตะวันตกจรดอินเดีย ทศิ ใต้ ลึกเข้าไปในประเทศพม่าและประเทศลาวตอนเหนือ ตรงกับราชวงศ์ถังและราชวงศ์สุงของจีน นับเป็นยุค ทองของพระพทุ ธศาสนานิกายมหายานในประเทศจีน ตามที่ระบุไว้ในพงศาวดาลจีนสมัยราชวงศถ์ ัง ความ ว่า ชาวไทยน่านเจ้าเจริญรุ่งเรือง และเป็นชาวพุทธที่เคร่งครัด สาธยายสูตรใรพระพุทธศาสนาด้วยความ เคารพ มีตัวหนังสือเปน็ ทอง และปรากฏในพงศาวดาลจีนสมัยราชวงศ์สุง ความว่า กษัตรยิ ์ไทยองค์หนง่ึ ได้ ส่งคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิตา 3 ผูก และคัมภีร์มหายมานกะอีก 3 ผูก ไปถวายพระเจ้ากรุงจีน และใน จดหมายเหตุราชวงศ์หงวนของจีนไดบ้ ันทึกไวว้ ่า พระพุทธศาสนาไดเ้ จริญรุ่งเรอื งมากในอาณาจักรน่านเจ้า ทกุ บ้านเรอื นไมว่ ่าจะม่ังมหี รือยาก ลว้ นต้องมีหอ้ งบูชาพระพทุ ธรปู ทง้ั คนหนุม่ สาวทง้ั คนแกต่ ้องมีลูกประคา อย่ใู นมอื ใช้สาหรับนับเวลาสวดมนต์ตดิ ตวั อย่เู สมอ ถา้ จะนกึ ภาพก็คงเป็นเช่นดังชาวธิเบตในปัจจบุ ันนั่นเอง และการเดนิ ทางไปยังประเทศอินเดียใกลม้ ากในทางทศิ ตะวันตก (ฟื้น ดอกบวั , 2554, หน้า 222) ต่อมาในราว พ.ศ. 1797 อาณาจักรน่านเจ้าล่มสลาย โดยการรุกรานโจมตีของเจ้ากุบไลข่าน คน ไทยต่างระเหเร่ร่อน อพยพตนเองเพื่อหนีภัยลงมาทางตอนใต้อีกระลอกหนึ่ง แบ่งเป็นสายใหญ่ ๆ ได้ 5 สายดังนี้ 1. ไทยแท้ ไทยยาง ไทยขาว เป็นตน้ คือพวกที่อพยพไปทางทิศตะวนั ออก เขา้ ไปต้ังรกรากทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองไกวเจา กวางสี และกวางตุ้ง ไดต้ ้ังอาณาจกั รสบิ สองปันนา ข้ึนมา มีเมืองเชียงรุ่ง หรือจึงหง ตามท่ีจีนเรียก เป็นเมืองเอก อันเป็นจังหวัดหน่ึงของมณฑลยุนนาน มีคุนหมิงเป็นเมืองหลวง แบ่งออกการปกครองออกเป็น 12 เขต แต่ละเขตเรียกว่า พันนา หรือ ปันนา จึงเรียกว่า สิบสองปันนา นนั่ เอง 2. ไทยดา ไทยน้า ไทยลาย ไทยลู้ เป็นต้น คือพวกท่ีอพยพไปทางแม่น้าดา แม่น้าแดง เข้าไปต้ัง รกรากฐิ่นฐานในแคว้นตังเกี๋ย ได้ตั้งอาณาจักรสิบสองจุไท หรือ สิบสองเจ้าไทย ข้ึนมา ท่ีได้ช่ือเช่นน้ัน เพราะมเี จา้ อยู่ 12 องค์ ต่างเปน็ อิสระปกครองตนเอง ปัจจบุ นั ชาวเวยี ดนามเรยี กว่า เดยี นเบยี นฟู

110 3. ไทยอาหม ไทยขาต่ี ไทยหลวง ไทยมณีปุระ เปน็ ต้น คือพวกท่ีอพยพไปทางทศิ ตะวันตก ไปตาม แม่นา้ พรหมบุตร เขา้ ไปอาศัยในแควน้ อัสสมั ทางตอนเหนือของอนิ เดยี 4. ไทยใหญ่ หรือ ไทยฉาน หรือ ไทยเงี้ยว คือพวกที่อพยพไปตามแม่น้าสาละวิน ได้ตั้งอาณาจักร มาวหรือเมาข้ึน ทางต้นแม่น้าสาละวิน เม่ือราว 50 ปีก่อนพุทธศักราช หลังจากนั้นได้ย้ายไปต้ังถิ่นฐานใน แคว้นฉาน ประเทศพม่า มี 19 เจ้าฟ้าปกครองรัฐต่าง ๆ เรียกว่า รัฐ 19 เจ้าฟ้า ต่อมาได้สร้างเมืองต่าง ๆ ขึน้ มา เช่น เมืองนาย ในราว พ.ศ. 24 เมืองแสนหวี และเมืองสหี ้อ ในราว พ.ศ. 102 เปน็ ต้น 5. พวกท่ีอพยพไปตามแม่น้าโขง เข้าไปอยู่ในประเทศลาว เรียกว่า ไทยลาวหรือลาว พวกที่ไปต้ัง รกรากทางภาคอีสานของไทย เรียกไทยลาวหรือภูไท ส่วนพวกท่ีไปตั้งถ่ินฐานทางตอนเหนือของไทย เรียกว่า ไทยน้อย และพวกไทยน้อยบางกลุ่มได้อพยพมาทางแคว ปิง วัง ยม น่าน แล้วเลยมาตามแม่น้า เจ้าพระยาต่อไปอีกเร่อื ย ๆ ไทยสายน้ีเองทเี่ ป็นบรรพบรุ ุษของคนไทยในปัจจบุ นั (ฟนื้ ดอกบัว, 2542, หน้า 15-16) 4. พระพทุ ธศาสนาสมยั ลพบรุ ี ยุคนี้ต่อเน่ืองจากยุคมหายานและเริ่มมีการผสมผสานระหว่างมหายานและเถรวาท กล่าวคือใน สมัยกษัตริย์กมั พูชาราชวงศ์สุริยวรมนั เรืองอานาจนั้น ได้แผอ่ าณาเขตขยายออกมาทั่วภาคตะวนั ออก เฉยี ง เหนือและภาคกลางของประเทศไทย ในราว พ.ศ. 1540 และได้ต้งั ราชธานีเป็นท่ีอานวยการปกครองเมือง ต่าง ๆ ในดินแดนดงั กลา่ วขนึ้ หลายแห่ง เชน่ เมืองลพบรุ ี ปกครองเมอื งท่อี ย่ใู นอาณาเขตทวาราวดี ส่วนขา้ งใต้ เมอื งสโุ ทยั ปกครองเมอื งทอี่ ย่ใู นอาณาเขตทวาราวดีสว่ นข้างเหนือ เมืองศรเี ทพ ปกครองหัวเมืองท่ีอยตู่ ามลุม่ แม่น้าป่าสัก เมอื งพิมาย ปกครองเมอื งทอ่ี ยู่ในที่ราบสงู ตอ้ นขา้ งเหนือ เมืองต่างๆ ที่ตั้งขึ้นนี้เมืองลพบุรีหรือละโว้ ถือว่าเป็นเมืองสาคัญที่สุด กษัตริย์กัมพูชา ราชวงศ์สุริยวรมัน ทรงนับถือพระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายาน ซ่งึ มีสายสัมพันธ์เชือ่ มตอ่ มาจากอาณาจักรศรี วชิ ยั แตฝ่ า่ ยมหายานในสมัยนีผ้ สมกับศาสนาพราหมณม์ าก ประชาชนในอาณาเขตต่างๆ ดังกลา่ ว จึงไดร้ ับ พระพทุ ธศาสนาท้ังแบบเถรวาทท่ีสืบมาแต่เดมิ ด้วยจากยุคเถรวาทแบบพระเจ้าอโศกกับแบบมหายานและ ศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามาใหม่ด้วย ทาให้มีผู้นับถือพระพุทธศาสนา 2 แบบ และมีพระสงฆ์ท้ังสองฝ่าย คือ ฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายาน และภาษาสันสกฤตอันเป็นภาษาหลักของศาสนาพราหมณ์ และ พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็ได้เร่ิมเข้ามามีอิทธิพลในด้านภาษาและวรรณคดีไทยต้ังแต่บัดน้ันมา สาหรับศาสนสถานที่เป็นท่ีประจักษ์พยานให้ได้ศึกษาถึงความเป็นมาแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ครั้งน้ัน คือพระปรางค์สามยอดท่ีจังหวัดลพบุรี ปราสาทหินพิมาย ท่ีจังหวดั นครราชสีมา และปราสาทหิน เขาพนมรุ้งท่ีจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น ส่วนพระพุทธรูปที่สร้างในสมัยนั้นก็เป็นแบบขอม ถือเป็นศิลปะอยู่ใน กลมุ่ ศลิ ปสมัยลพบรุ ี เริ่มเข้าสู่ยุคลพบุรีในราว พุทธศตวรรษท่ี 15 ถึง 18 เรียกว่า อาณาจักรขอม มีการนับถือ พระพุทธศาสนานิกายมหายานและพราหมณ์ลัทธิศิวเวทปะปนกัน มีร่อยรอยทางโบราณสถานของขอมใน ยุคนี้เกี่ยวกับมหายานท้ังน้ัน เช่น พระพุทธปฏิมาของขอม มักทรงเครื่องอลังการวิภูษิตาภรณ์ มีกระบัง มงกุฎบนพระเศียรที่เรียกว่า เทริด (อ่านว่า เซิด) พระโอษฐ์หนา ดวงพระเนตรใหญ่ พระกรรณยาวลงมา

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 111 จรดพระอังสะ ลักษณะใกล้ไปทางเทวรูปมาก พระพุทธปฏิมาที่กล่าวมาคือ รูปพระอาทิพุทธะ ตามคติ มหายาน น่นั เอง พระเทพดิลก (ระบบ ฐิตญาโณ) (2548, หน้า 382-383) ได้อธิบายไว้ว่า ถ้าเป็นรูปพระศากยมุนี มักจะมีรูปพระโพธิสัตว์ซ้ายขวา แทนรูปพระอัครสาวก มีพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ รูปพระปรัชญาปารมิ ตาโพธิสัตว์ รูปพระอวโลกิเตศวรน้ัน บางครั้งทาเป็น 4 กร บ้าง 6 กร บ้าง คนรุ่นหลังไม่รู้เข้าใจว่าเป็นรูป พระนารายณ์ หรือพระพรหมไปเสียก็มี เช่น นักเลงพระเคร่ืองสมัยลพบุรี เรียกพระเคร่ืองชุดหน่ึงว่า นารายณ์ทรงปืน ความจริงเปน็ รูปพระอวโลกิเตศวรต่างหาก พระเครื่องดังกล่าวขุดได้ท่ีลพบุรีมากต่อมาก รวมทั้งพระเคร่ืองท่ีเรียกว่าพระหูยาน เช่นกัน แท้จริงแล้วคือเป็นพิมพ์ของพระอักโษภยพุทธะ พระพทุ ธเจ้าประจาทศิ บูรพา ปราสาทขอมสามหลงั ทลี่ พบุรีเดิมเป็นทป่ี ระดิษฐานพระพุทธเจ้าตรีกาล ตาม คติมหายาน มาแปลงเป็นเทวสถานในภายหลัง ปราสาทหินพมิ ายท่ีโคราชก็เปน็ ท่ีประดษิ ฐานพระพุทธรูป นาคปรกองค์ใหญ่ เรียกกันว่า ชยพุทธมหานาค และประดิษฐานรูปพระปฏิมา พระไตรโลกวิชัย อันเป็น ปางหน่งึ ของพระอมติ าภพุทธเจ้า พระพทุ ธรปู ในยุคนี้ส่วนมากสรา้ งจากหนิ ส่วนท่สี ร้างจากสาริดมีน้อย พระพุทธเจดีย์ในสมัยนี้มีปะปนกันท้ังฝ่ายมหายานและเถรวาท โดยฝ่ายเถรวาทสืบเนื่องมาจาก สมัยทวารวดี แต่ฝ่ายมหายานสบื เน่ืองมาจากเมืองเขมรและจากศรวี ชิ ัยบางส่วน สว่ นพระพุทธรปู ที่สร้างใน ยุคนี้ สรา้ งตามคติมหายาน มกี ารทรงเครอื่ งที่องค์พุทธรูป เรียกว่า พระทรงราชาภรณ์ นั่งในปรางค์ 3 องค์ หมายเปน็ พทุ ธกาย ทารูปพระอาทพิ ุทธเจ้าเป็นประธาน มรี ูปพระมนุษย์พทุ ธเจ้า 4 องค์ 7 องค์เปน็ บริวาร บ้าง ทาพระพทุ ธรูปอย่างกลาง มีรูปพระโพธิสตั วอ์ ยู่ขา้ งบ้าง สรุปแล้วพระพุทธรปู ในสมัยลพบุรีนี้มี 3 ปาง เปน็ พืน้ คอื 1. ปางทรงสมาธิมีนาคปรกบ้าง ไมม่ นี าคปรกบา้ ง 2. ปางมารวิจัย 3. ปางเสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส์ ทรงยนื กรดี นิ้วพระหตั ถ์ 4. ปางพระห้ามสมทุ ร ทรงยนื ตัง้ พระหตั ถป์ างประทานอภยั 5. พระปางป่าเลไลยก์ ส่วนรปู พระโพธสิ ัตวต์ ามคตมิ หายาน ชอบสร้างเพียงสององคค์ อื 1.รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร สร้างในแบบเดียวกันกับเทวรูปสามัญ คล้ายรูปพระนารายณ์ ท่ี คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกัน แต่ในพระหัตถ์บนท้ังสองมีลูกประคาและหนังสือ ส่วนสองพระหัตถ์ล่างถือ ดอกบัวและน้าอมตฤตบ้าง ทาเป็นมนุษย์หลายหน้าซ้อนกันอย่างหัวโขน หลายพระหัตถ์และหลายพระ บาทบา้ ง 2. รูปนางภควดีปัญญาบารมี สร้างเป็นรูปนางยกมือขวาถือหนังสือ มือซ้ายถือดอกบัว ส่วนใหญ่ เขา้ ใจผิดวา่ เป็นรูปนางอมุ าภควดี พทุ ธเจดียใ์ นแบบสมัยลพบรุ ถี กู สร้างอยา่ งแพรห่ ลายที่สุดในประเทศสยามยิง่ กวา่ แบบสมยั อื่น ๆ 5. พระพทุ ธศาสนาสมยั พกุ าม ยุคที่ 3 เถรวาทแบบพุกาม กล่าวคือ พ.ศ. 1600 พระเจ้าอนุรุทธมหาราช หรือ อโนรธามังช่อ กษัตริย์พุกามเรืองอานาจ ทรงรวบรวมเอาพม่ากับรามัญเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน แล้วแผ่อาณาเขตเข้า มาถึงอาณาจักรล้านนา ล้านช้าง จนถึงลพบุรี และทวาราวดี พระเจ้าอนุรุทธทรงเล่ือมใสพระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาทมาก ทรงส่งเสริมทานุบารุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ส่วนชนชาติไทย หลังจากอาณาจักร

112 อ้ายลาวสลายตัว ก็ได้มาตั้งอาณาจักรน่านเจ้า ถึงประมาณ พ.ศ. 1299 ขุนท้าวกวาโอรสขุนบรมแห่ง อาณาจกั รนา่ นเจา้ ได้สถาปนาอาณาจักรโยนกเชยี งแสนในสวุ รรณภูมิ หลงั จากน้ันคนไทยก็กระจัดกระจาย อยู่ท่ัวภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางของประเทศไทยปัจจุบัน เม่ือกษัตริย์พุกาม (กัมพูชา) เรืองอานาจ คนไทยที่อยู่ในเขตอานาจของขอม ได้รับเอาทั้งศาสนาและวัฒนธรรมของขอม (เขมร) ไว้ด้วย ส่วนทางล้านนาได้รับอิทธิพลจากขอมน้อย แต่เม่ืออาณาจักรพุกามของกษัตริย์พม่าเข้ามา ครอบครองดินแดนแถบน้ี ชาวล้านนาซ่ึงนับถือพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว จึงรับเอาพระพุทธศาสนาแบบ พกุ ามโดยปริยาย นามาปฏบิ ัติจนแพรห่ ลายทวั่ ภาคเหนือ ดังเห็นว่ามีปูชนียสถานแบบพมา่ หลายแห่ง และ เจดยี ์ที่มฉี ัตรอยบู่ นยอด และฉัตรท่ี 4 มมุ ของเจดีย์ กไ็ ด้รับอทิ ธพิ ลมาจากพกุ ามแบบพม่า นนั่ เอง (พระเทพ เวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ โฺ ต), 2531, หนา้ 112) 6. พระพทุ ธศาสนาสมยั ลา้ นนา ยุคที่ 4 เถรวาทแบบลังกาวงศ์ กล่าวคือ สมัยล้านนาไทยตรงกับสมัยสุโขทัย และคาบเก่ียวกับ สมยั อยุธยาตอนต้นดว้ ย ดงั นน้ั ในช่วงเหตุการณ์บางอยา่ งจะมีความเก่ยี วข้องกนั ดังจะกล่าวต่อไป หลังจากคนไทยอพยพมาอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้าโขง ได้ตั้งอาณาจักรโยนกและเชียงแสนขึ้นที่ จังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน เริ่มแรกมี 2 แห่ง ตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้าโขง อยู่ในเขตอาเภอเชียงแสนใน ปัจจุบัน พระเจ้าสิงหนวัติ หรือพระเจ้าชัยพงศ์ (เจ้าโก๊ะล่อฝุง ตามที่จีนเรียก) แห่งราชวงศ์สิงหนวัติเป็น ผู้สร้าง เมืองหลวงช่ือว่า นาคพันธ์สิงหนวัติ เรียกอีกอย่างว่า นาคบุรี หรือ นาเคนทนคร ต่อมาภายหลัง เรียกว่า โยนกนคร เมื่อราว พ.ศ. 1316 ส่วนอีกแห่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้าแม่สาย ในเขตอาเภอแม่สายใน ปัจจุบัน พระเจ้าลาวจังกราช หรือเจ้าลาวจักรราช ปฐมวงศ์ลาวจักรราช ทรงสร้างเมืองหิรัญนครเงินยาง เชียงแสน ข้ึน ภายหลังเรียก เชียงแสน โดยราชวงศ์นีไ้ ด้มกี ษัตรยิ ์สืบราชบัลลังค์มายาวนานหลายองค์ แต่ ทีม่ ชี ื่อเสียงและสาคญั ท่สี ุดในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 17 คือ พระเจา้ ขนุ เจอ่ื ง ทรงเป็นกษตั ริย์ลาดับที่ 19 แห่ง ราชวงศ์ลาวจักรราช โดยพระองค์ได้ขยายอาณาเขตแคว้นหิรัญนครเงินยาง เชียงแสน ออกไปอย่าง กว้างขวาง เช่น ทรงขยายอาณาเขตอออกไปทางตะวนั ออกโดยทรงรบชนะเมืองแกว เวยี ดนามเหนือ แล้ว ส่งพระราชโอรสท้ัง 5 ไปครองนครต่าง ๆ ท่ีอยู่ภายใต้อาณัตของพระองค์ โอรสองค์โต ปกครองเมืองเงิน ยาง โอรสองค์ท่ีสอง ปกครองเมืองแกว องค์ที่สามปกครองเมืองหลวงพระบาง องค์ท่ีสี่ปกครองเมืองไชย นารายณ์ (ไชยขวาง) มีอานาจเหนือเมืองท้ังหลายทางตะวันออกเฉียงใต้ และองค์ท่ีห้าปกครองเมืองเชียง รุ่งในสิบสองปันนา (เดวิด เค. วัยอาจ, 2556, หน้า 57) จนได้รับพระเกียรติว่าเป็นวีรบุรุษแห่งฝั่งโขง อาณาจักรโยนกและเชียงแสนต่างทานุบารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญสืบเน่อื งมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะ อย่างย่งิ พระเจ้าอชุตราช รัชกาลที่ 9 แหง่ ราชวงศส์ งิ หนวัติ ไดท้ รงบรรจุพระบรมสารีริกธาติ พระรากขวัญ เบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) ของพระพุทธเจ้าท่ีพระมหากัสสปะนามาถวายไว้ในพระธาตุดอยตุง ซึ่งพระ ธาตุดอยตุงนี้นับว่าเป็นปูชนยี สถานแห่งแรกในล้านนาไทย และยังมีปูชนียสถานอีกหลายแห่งท่ีราชวงศ์สิง หนวัติทรงสร้างไว้ในเมืองเชียงแสน นอกจากราชวงศ์ทั้งสองแล้ว ยังมีราชวงศ์มังราย คือพระเจ้ามังราย ปฐมวงศ์แห่งราชวงศ์มังราย ได้ให้การทานุบารุง อุปถัมภ์พระพุทธศาสนามาอย่างอย่างนานถึง 320 ปี (พ.ศ.1801-2121) มีกษัตริย์สืบราชวงศ์มากถึง 21 พระองค์ 23 รัชกาล และกษัตริย์องค์สุดท้ายคือ พระ นางราชเทวี หรือวิสุทธิเทวี ในทน่ี ้ีจะขอกล่าวถึงประวัติของพระเจ้ามังรายหรือพญามังรายและกษัตรยิ ์องค์ อน่ื ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกับพระพุทธศาสนาไว้โดยสงั เขปดงั นี้ พระญามังราย ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ที่เมืองหิรัญนคร เงินยาง เชียงแสน ในราว พ.ศ. 1802 หรือ พ.ศ. 1804 เป็นกษัตริย์องค์ที่ 25 แห่งราชวงศ์ลาวจักรราช ในขณะพระชนมายุได้เพียง 22 พรรษา

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตร์พระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 113 พระองค์เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าลาวเมง และพระนางอั้ว หรือพระนางเทพคาขยาย พระราชธิดา ของท้าวรุ่งแก่นชายแห่งเมืองเชียงรุ่ง พญามังรายได้ทรงสร้างเมืองขึ้นหลายเมืองด้วยกัน ได้แก่ ทรงสร้าง เมืองเชียงรายขึ้นที่ดอยจอมทอง ฝั่งแม่น้ากก เม่ือ พ.ศ.1805 ทรงสร้างเมืองใหม่ท่ีอาเภอฝาง เมื่อ พ.ศ. 1816 ทรงสร้างเมืองลาพูน เมื่อ พ.ศ. 1835 หลังจากนั้น ทรงสร้างเมืองใหม่อีกแห่งชื่อว่า เวียงกุมกาม ปัจจุบันอยู่ในอาเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 1837 และสุดท้ายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น เม่ือ พ.ศ. 1839 และประทับอยู่ท่ีเมืองเชียงใหม่ตลอดจนสวรรคตเม่ือปี พ.ศ. 1854 เมื่อพระชนมายุได้ 72 พรรษา ส่วนการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาน้ัน พระองค์ได้ถวายพระตาหนักเดิมให้เป็น โดยพระราชทาน นามว่า วัดเชียงมั่น อันเป็นท่ีประดิษฐานพระเสตังคมณี (พระแก้วขาว) พระพุทธรูปประจาพระองค์พระ นางจามเทวี ปฐมกษัตริย์มอญที่ปกครองเมืองหริภุญไชย หรือเมืองลาพูน ในปัจจุบัน พระญามังรายทรง เล่ือมใสพระพุทธรูปเสตังคมณีมาก จึงทรงอัญเชิญมาเป็นพระพุทธรูปประจาพระองค์ ไม่ว่าจะเสด็จไปท่ี ไหน พระองค์ก็โปรดอัญเชิญไปด้วยทุกครั้ง นอกจากวัดเชียงมั่นแล้วพระองค์ยังทรงสร้างวัดอื่นๆ อีก เช่น วัดพระเจ้าเมงราย เป็นต้น ทรงทานุบารุงอุปถัมภ์ ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตลอด พระชนมายุของพระองค์ ต่อมาพระเจ้ากือนา รัชกาลท่ี 9 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงครองราชย์เม่ือ พ.ศ. 1910 ได้ทรงส่ง ราชทูตไปยังพระเจ้าลิไท กษัตริย์กรุงสุทัย เพ่ือนิมนต์พระอุทุมพรบุปผามหาสวามี พระชาวลังกา ที่มาจา พรรษาท่ีเมืองเมาะตะมะ เมืองมอญ และทาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ท่ีนั่น ให้มาเผยแผ่ พระพุทธศาสนาที่เมืองเชียงใหม่ แต่ได้รับคาตอบจากพระอุทุมพรบุปผามหาสวามีว่า ท่านชรามากแล้ว เดินทางมาไม่ได้ จึงได้ส่งพระหลานชายช่ือว่า พระอานันทเถระและคณะมาแทน ทรงให้มีการบวชตามคติ ลังกาวงศ์ โดยมีพระสุมนเถระและพระอโนมทัสสี เป็นพระอุปัชญาย์ เริ่มแรกทาการบวชกุลบุตรท่ีเมือง ลาพูนจานวนมาก ณ วัดพระยืน หลังจากออกพรรษาทรงถวาวอทุ ธยานนอกเมืองเชียงใหม่ ใหเ้ ป็นวัดนาม ว่า วัดบุปผาราม หรือวัดสวนดอกในปัจจุบัน ให้พระสุมณเถระและพระอโนมทัสสีจาพรรษาที่น่ัน ต่อมา ทรงยกพระสุมณเถระขึ้นเป็น พระมหาสุมนปุพผารัตนสุวรรณมหาสวามี พระสังฆราชองค์แรกแห่ง ล้านนาไทย ในการมาเมืองเชียงใหม่ของพระสุมณเถระครั้งนั้น ได้นาพระบรมสารีริกธาตุมาด้วย โดยได้ แบง่ ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกไดบ้ รรจุไวใ้ นพระเจดียว์ ดั สวนดอก และอีกส่วนไดถ้ วายพระเจ้ากอื นา ต่อมา พระเจา้ กอื นาไดท้ รงสรา้ งดอยสุเทพขน้ึ เพ่ือบรรจพุ ระบรมสารรี ิกธาตสุ ว่ นทีส่ องนี้ กษัตริย์องค์อ่ืนๆ แห่งราชวงศ์มังรายได้สืบต่อการทานุบารุงอุปถัมภ์ ส่งเสริมกิจการ พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือเร่ือยมา เช่น พระเจ้าแสนเมืองมา ทรงสร้างวัดเจดีย์หลวง อันเป็นเจดีย์ที่ ใหญ่และสูงกว่าบรรดาเจดีย์ทัง้ หลายในลา้ นนาไทย พระนางติโลกจุตา พระราชมารดาและผู้สาเร็จราชการ แทนพระองค์ในพระเจา้ สามฝ่ังแกนท่ยี ังทรงพระเยาว์อยู่ ได้สร้างพระอัฏฐารสให้เป็นพระประธานในวหิ าร หลวงของวดั เจดีย์หลวง พระเจา้ ตโิ ลกราช รชั กาลท่ี 9 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงโปรดให้ขยายเจดยี ์หลวงให้ ใหญ่และสูงข้ึน ขยายฐานออกเป็นรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 27 วา เพิ่มความสูงขึ้นอีก 43 วา ทรง โปรดให้หม่นื ด้ามพร้าคดให้สร้างซุ้มจรนาทางมุขด้านตะวันออกของพระเจดีย์เพ่ือบรรจุพระแก้วมรกตท่ีได้ อญั เชิญมาจากลาปาง โดยพระแก้วมรกตถูกเก็บซ่อนไว้ในเจดียว์ ัดรุกขวนาราม เชียงราย จนกระทัง่ ถกู พบ เน่ืองจากอัสนีบาตรหรือฟ้าผ่า พ.ศ. 1977 พระเจ้าสามฝั่งแกนทรงทราบจึงจัดขบวนไปอัญเชิญพระแก้ว มรกตมาประดิษฐานท่ีเชียงใหม่ ขณะท่ีขบวนอัญเชิญมาถือทางแยกไปเชียงใหม่และไปลาปาง ช้างไม่ยอม นาพระแก้วมรกตไปเชียงใหม่ แต่พาไปลาปางแทน จงึ ไดอ้ ัญเชิญประดิษฐานไว้ที่นัน่ จนมาถึงสมยั พระเจ้า ติโลกราชเจ้า การอัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานท่ีเชียงใหม่จึงสาเร็จ เมื่อ พ.ศ. 2011 และ ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงนานถึง 84 ปี พระเจ้าติโลกราชเจ้าทรงอุปถัมภ์การสังคายนาคร้ังที่ 1 ใน

114 ประเทศไทยดังกล่าวแล้วในบทท่ี 3 และครองราชย์อยู่ 45 ปี สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 78 พรรษา ต่อมา พ.ศ.2095 พระเจ้าโพธิสารแห่งเมืองศรีสัตนาคณหุต หรือหลวงพระบางทิวงคตไม่มีผู้สืบต่อราช สมบัติ จึงอัญเชิญพระไชยเชษฐาธิราช พระราชโอรสของพระองค์ ที่กาลังครองราชเป็นกษัตริย์ท่ีเมือง เชียงใหม่ ให้เป็นกษัตริย์แห่งล้านช้าง พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปล้านช้างด้วย ต่อมาเกรงกลัวอานาจจากพระเจ้าบุเรงนองของพม่า จึงได้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางไปเมืองเวียง จันทร์ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย พระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่ท่ีเวียงจันทร์ถึง พ.ศ. 2321 รวม 214 ปี เชียงใหม่เสียเอกราชให้พม่าในราว พ.ศ. 2107 ในรัชกาลของเจ้าแม่เมกุฏิ ตกเป็นเมืองขึ้นของ พมา่ นานถึง 200 ปเี ศษ จนกระท่ังพระเจ้าตากสินมหาราชไดก้ อบกเู้ อกราชกลับมาได้ โดยพญาจ่าบา้ นและ เจ้ากาวิละเดินทางไปกราบขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าตากสินมหาราช ขับไล่พม่าออกไปได้ พญาจ่า บ้าน จึงได้รับการสถาปนาเป็นพระยาวิเชียรปราการ เจ้าเมืองเชียงใหม่ พ.ศ.2321 พระองค์ได้โปรดเกล้า ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไปตีเมืองเวียงจันทร์จนได้รับชัยชนะ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมา ประดิษฐานอยู่ท่ีวัดอรุณราชวราราม กรุงธนบุรี 3 ปี ต่อมาพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกได้มหาราช ได้อญั เชิญ พระแกว้ มรกตมาประดษิ ฐานทว่ี ดั พระศรีรัตนศาสดาราม เมอื่ พ.ศ. 2537-ปัจจบุ นั ในยุคของพระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช หรือพระเมืองแก้ว การศึกษาทางพระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก เน่ืองจากพระองค์มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทรงอาราธนา พระสงฆ์จากต่างประเทศมายังเมืองเชียงใหม่หลายรูป แต่ละรูปได้ได้แต่งตาราพระพุทธศาสนาไว้จานวน มาก เช่น พระรัตนปัญญา แต่งหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ (ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในล้านนาไทย) พระพรหมราชปัญญา แต่งหนังสือรัตนพิมพ์วงศ์ (ประวัติพระแก้วมรกต) พระโพธิรังสี แต่งหนังสือจาม เทวีวงศ์ (ประวัติพระนางจามเทวี) และสิหิงคนิทาน (ประวัติพระพุทธสิหิงค์) เป็นต้น พระญาณกิตติ แต่ง หนังสือสมันตปาสาทกิ าอตั ถโยชนา (หนังสืออธิบายพระวินัย) สมี าสังกรวินิจฉัย (หนังสอื อธิบายเรอ่ื งสีมา) และมูลกัจจายนอัตถโยชนา (อธิบายไวยากรณ์ภาษาบาลี) เป็นต้น และพระสิริมังคลาจารย์ วัดสวนขวัญ แต่งหนังสือเวสสันตรทีปนี (อธิบายเรื่องพระเวสสันดร) จักรวาลทีปนี (อธิบายเร่ืองจักรวาล) สังขยาปกาสฎีกา (อธิบายเรื่องคานวณ) และมังคลัตถทีปนี (อธิบายเร่ืองมงคล 38 ประการ) ซึ่งเล่มน้ียังใช้เป็นหลักสูตรการ เรียนของพระสงฆ์ไทย ช้ันเปรียญธรรม 7 ประโยค มาจนถึงปัจจุบัน พระสุวรรณรังสี แต่งหนังสือปฐม สมโพธิ (อธิบายพุทธประวัต)ิ และคันถาภรณ์วิตถาร (อธิบายศัพท์ต่าง ๆ ในคัมภีร์คันถาภรณ์) พระนันทา จารย์ แต่งหนังสือสารัตถสังคหะ (รวบรวมพระธรรมเป็นหัวข้อต่าง ๆ ถึง 40 หัวข้อ) พระธรรมเสนาบดี แต่งหนังสือปทกั กมโยชนาสัททัตถเภทจนิ ดา (ขยายความคมั ภีร์สทั ธัตถเภทจนิ ดา) พระอตุ ตรามเถระ แต่ง หนงั สือวิสุทธิมัคคทปี นี (อธบิ ายข้อความในคมั ภรี ์วิสทุ ธมิ ัคค)์ นอกจากน้ยี งั มีวรรณกรรมอกี เรือ่ งท่ีสาคญั คือ ปัญญาสชาดก (รวบรวมนทิ านพ้ืนบ้าน) แต่งด้วยภาษาบาลี แต่ไม่ทราบผู้แต่ง ซง่ึ วรรณกรรมส่วนใหญ่สมัย ล้านนาเป็นภาษาบาลีและมีมากกว่าสมัยใด จงึ ทาให้เป็นท่ีประจักษ์ชัดว่าพระภกิ ษุชาวลา้ นนาล้วนเก่งและ แตกฉานในภาษาบาลียง่ิ กวา่ ยคุ ใดทง้ั ในอดีตและปจั จบุ นั (ฟื้น ดอกบวั , 2554, หนา้ 222-229) 7. พระพุทธศาสนาสมยั สโุ ขทยั พ.ศ. 1800 หลังจากอาณาจักรพุกามและกัมพูชาเสื่อมอานาจลง คนไทยจึงได้ต้ังตัวเป็นอิสระ ได้ ก่อตั้งอาณาจักรข้ึนเอง 2 อาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรล้านนา อยู่ทางภาคเหนือของไทย และอาณาจักร สุโขทัย มีศูนย์กลางอยู่ท่ีจังหวัดสุโขทัยปัจจุบัน เม่ือพ่อขุนรามคาแหงเสด็จข้ึนครองราชย์ ทรงสดับ กิตติศัพท์ของพระสงฆ์ลงั กา จึงทรงอาราธนาพระมหาเถระสังฆราช ซึ่งเป็นพระเถระชาวลังกาท่ีมาเผยแผ่

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 115 อยูท่ ี่นครศรีธรรมราช มาเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในกรงุ สุโขทัย พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้เข้ามาเผย แผ่ในประเทศไทย ถึง 2 คร้ัง คือ คร้ังท่ี 1 ในสมัยพ่อขนุ รามคาแหง พ.ศ. 1820 เสด็จข้ึนครองราชย์ ทรงสดบั กิตตศิ พั ทข์ องพระสงฆ์ ลังกา แล้วทรงอาราธนา พระมหาเถรสังฆราชจากนครศรีธรรมราชเข้ามาพานักท่ีวัดอรัญญิก กรุงสุโขทัย และได้รวมพระสงฆ์ 2 พวกเขา้ ด้วยกัน คอื คณะสงฆ์เดมิ กบั คณะสงฆ์จากลังกาวงศ์ พระองค์ได้นาพระพุทธ สิหิงค์ ที่สร้างในลังกาข้ึนมาจากนครศรีธรรมราช อัญเชิญมาประดิษฐานท่ีกรุงสุโขทัยด้วย (ตามชินกาล มาลีปกรณ์ระบุวา่ ไดพ้ ระพทุ ธสิหงิ ค์มาในรัชกาลพ่อขนุ ศรีอินทราทิตย์ พ.ศ. 1800) ศลิ ปแบบลังกาเร่ิมเข้า มาทดแทนศิลปแบบมหายาน อาทิเช่น เจดีย์พระมหาธาตุนครศรีธรรมราช แปลงรูปเป็นสถูปแบบลังกา เป็นต้น ส่วนพระพทุ ธศาสนาแบบมหายานไดเ้ สือ่ มสญู ไปในรัชกาลน้ี ครั้งท่ี 2 ในสมัยพระเจ้าลิไท พ.ศ.1897 กษัตริย์องค์ที่ 5 ขึ้นครองราชย์ ทรงอาราธนาพระมหา สวามีสังฆราชจากเมอื งลงั กา นามว่า สมุ นะ เข้ามาสู่กรุงสโุ ขทัย พ.ศ. 1904 หลังจากออกพรรษา พระองค์ ได้เสด็จออกผนวชชั่วคราว ณ วัดอรัญญิก ขณะทรงผนวชทรงพระราชนิพนธ์หนงั สือเร่ือง เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง ขึ้น ทรงส่ังสอนศีลธรรมให้แก่ประชาชนด้วยพระองค์เอง ทรงเผดียงพระสงฆ์เข้าไปเรียน พระไตรปิฎกในมหาปราสาท ทรงโปรดให้พิมพ์จาลองพระพุทธบาท ทรงสร้างพระมหาธาตุข้ึน โดยบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุท่ีอัญเชิญมาจากเกาะลังกา และทรงปลกู ต้นพระศรีมหาโพธิ์จากเกาะลังกาไวห้ ลังพระ มหาธาตุนั้นด้วย อีกท้ังทรงเร่ิมจัดระเบียบคณะสงฆ์ โดยแบ่งคณะสงฆ์ออกเป็นสองฝ่ายคือ คามวาสี และ อรญั ญวาสี (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต), 2531, หน้า 113-114) พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในยุคสุโขทัย กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองโดย ธรรม มีความสงบร่มเย็น ประชาชนเป็นอยู่โดยผาสุก ศิลปะสมัยสุโขทัยได้รับการกล่าวขานว่างดงามมาก โดยเฉพาะพระพทุ ธรูปสมยั สุโขทยั มีลักษณะงดงาม ไม่มีศิลปะสมัยใดเสมอเหมอื นดงั จะกล่าวรายละเอียด ในบทที่ 7 ต่อไป 8. พระพทุ ธศาสนาสมยั อยธุ ยา พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาไม่ได้มุ่งในการปฏิบัติตามหลักธรรมชั้นสูงนัก เพราะได้รับอิทธิพล ของพราหมณ์เข้ามามาก พิธีกรรมต่าง ๆ ได้นาพิธีการของพราหมณ์เข้ามาปะปน เน้นความขลัง ความ ศักดิ์สิทธิ์ และอิทธิปาฏิหาริย์ มีเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาปะปนอยู่มาก ประชาชนมุ่งเร่ืองการบุญการกุศล สร้างวัดวาอาราม สร้างปูชนียวัตถุ บารุงศาสนาเป็นส่วนมาก ในสมัยอยุธยาต้องประสบกับภาวะสงคราม กับพม่า จนเกิดภาวะวิกฤตทางศาสนาหลายคร้ัง ประวัติศาสตร์อยุธยาแบ่งเป็น 4 ตอน เน่ืองจากมี 4 รัชกาลท่มี ีเรื่องราวเกย่ี วกบั กิจการพระพทุ ธศาสนาเปน็ สาคัญดังน้ี อยุธยาตอนแรก (พ.ศ. 1893 - 2031) ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปกครองบ้านเมอื งด้วย ความสงบร่มเย็น ทรงทานุบารุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ คล้ายว่าพระองค์จะเอาอย่างพระเจ้าอโศก มหาราชและพระมหาธรรมราชาลิไท ทรงผนวชเป็นเวลา 8 เดือน เมื่อ พ.ศ. 1998 และทรงให้พระราช โอรสกบั พระราชนัดดาผนวชเปน็ สามเณรด้วย สันนิษฐานวา่ เปน็ การเรมิ่ ต้นของประเพณีการบวชเรยี นของ เจ้านายและขา้ ราชการ ในรชั สมัยของพระองค์ ได้มีการรจนาหนังสอื มหาชาติคาหลวง ใน พ.ศ. 2025 และ ทรงกันท่ใี นพระบรมมหาราชวงั สว่ นหนงึ่ สถาปนาเปน็ วัดชอื่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ สมัยอยุธยาตอนท่ีสอง (พ.ศ.2034 - 2173) สมัยนี้ได้มีความนิยมในการสร้างวัดขึ้น ท้ังกษัตริย์ และประชาชนทั่วไป นิยมสร้างวัดประจาตระกูล เป็นรัชสมัยพระเจา้ ทรงธรรม ทรงศกึ ษาพระปริบัติธรรม มีความชานาญมากตั้งแต่ยังทรงผนวช ทรงเสด็จออกบอกหนงั สอื พระภิกษสุ ามเณรท่ีพระทน่ี ั่งจอมทองสาม

116 หลังเน่ือง ๆ ข้อน้ีน่าจะเป็นหลักฐานได้ว่าประเพณีบอกหนังสือพระในพระบรมมหาราชวังมีมานานแล้ว ต่อมาทรงได้พบพระพุทธบาทสระบุรี ทรงให้สร้างมณฑปครอบพระพุทธบาทท่ีสมเด็จพระไชยยา ราชาธิราชทรงสร้างไว้เม่ือ พ.ศ.2081 ทรงโปรดให้ชุมชนราชบัณฑิตแต่งกาพย์มหาชาติ เม่ือ พ.ศ. 2170 และโปรดให้สรา้ งพระไตรปิฎกไวจ้ นจบบริบูรณอ์ ีกด้วย สมยั อยุทธยาตอนที่สองน้ี เป็นความนิยมท้ังเจ้าฟา้ มหากษตั ริย์และผู้มฐี านะนิยมในการสรา้ งวัดไว้ ประจาตระกลู ไว้เกบ็ อัฐิบรรพบุรุษ และวัดเป็นสถานศกึ ษาจนมีคากล่าวว่า “เมื่อบ้านเมืองดี เข้าสรา้ งวัด ใหล้ กู เล่น” สมัยอยุธยาตอนที่สาม (พ.ศ. 2173 - 2310) พระมหากษัตริย์ท่ีมีพระนามยิ่งใหญ่ที่สุดใน ศตวรรษนี้ ได้แก่สมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงมีบทบาทอย่างมากทั้งต่อฝ่ายอาณาจักร และศาสนจักร ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ทาให้พวกข้าราชการถึงกลับเลี่ยงราชการ บ้านเมืองไปบวชกันมาก พระองค์ทรงรับส่ังให้ออกหลวงสรศักดิ์ เป็นแม่กองประชุมสงฆ์สอบความรู้ พระภกิ ษุสามเณร ใครไม่มีความรู้ในพระพุทธศาสนา จะถกู บังคับให้ลาสกิ ขา ปรากฏวา่ มีขา้ ราชการท่ีหลบ ลร้ี าชการบวชถูกบงั คับใหล้ าสกิ ขาจานวนมาก นอกจากนย้ี งั ปรากฏวา่ ผู้ท่ีบวชสามารถพน้ ราชภยั ได้อีกด้วย เช่น เม่ือคราวประชวรจะสวรรคต พระเพทราชากับขุนหลวงสรศักดิ์ กาลังล้อมวังเตรียมจะยึดอานาจ พระองค์ทรงโปรดให้ช่วยชีวิตพวกข้าราชการฝ่ายในท้ังหลายไว้ด้วยการถวายพระราชวังเป็นวิสุงคามสีมา แลว้ ให้ประกอบพธิ อี ปุ สมบทพวกขา้ ราชการเหลา่ น้ัน นาไปอยู่วัด ทาใหพ้ น้ ภัยในครง้ั น้ัน สมัยน้ีพวกฝร่ังเศสได้เข้ามาติดต่อกับไทย ได้พยายามเผยแผ่ศาสนา และทูลขอให้พระนารายณ์ เขา้ รีต ถึงแม้พระองคจ์ ะมสี ัมพันธไมตรีแน่นแฟ้นเป็นพิเศษกับพระเจา้ หลุยส์แห่งฝร่ังเศส ทรงออกพระราช กฤษฎีกาอนุญาตให้ราษฎรนับถือศาสนใดก็ได้ตามความชอบใจก็ตาม ซึ่งทาให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่ง ฝรั่งเศสและบาทหลวงฟอลคอลเข้าใจว่าพระองค์มีความเล่ือมใสในศาสนาคริสต์ โดยพระเจ้าหลุยได้ วางแผนกับบาทหลวงในการยึดประเทศไทยให้เป็นเมืองข้ึนของฝรั่งเศสให้ได้ โดยวางแผนทาลายอิทธิพล ของศาสนาพุทธ เกล้ียกล่อมให้สมเด็จพระนารายมหาราช และราชวงศ์ ตลอดถึงขุนนางเข้ารีต และส่ง ทหารเข้าเมืองไทยยึดป้อมสาคัญ ๆ ไว้ แต่พระองค์และชาวไทยรู้ทันแผนการนนั้ อีกท้ังพระองค์ทรงม่ันคง ในพระพุทธศาสนามาก จึงได้ผ่อนผันโดยพระปรีชาญาณว่า “หากพระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยให้พระองค์ เข้ารีตเม่ือใด ก็จะบันดาลศรัทธาให้เกิดข้ึนในพระทัยของพระองค์เมื่อน้ัน” ทรงตบท้ายด้วยประโยคท่ี คมคายว่า “เราจึงขอฝากชะตากรรมของเราและของกรุงศรีอยุธยา สุดแต่พระผู้เป็นเจ้าจะดลบันดาล เถิด พระเจ้ากรุงฝร่ังเศสผู้เป็นพระสหายของเราอย่างได้เสียพระทัยเลย” ทาให้พระเจ้าหลุยส์และ บาทหลวงพูดไม่ออก และทาให้ประเทศชาติรอดพ้นจากการเป็นเมอื งขึน้ ของฝรง่ั เศสได้ด้วยพระปรีชาของ พระองค์ ในยุคน้ี มีวรรณคดีพุทธศาสนาเหลือมาถึงปัจจุบันจานวนมาก ส่วนใหญ่เป็นหนังสือท่ีแต่งในสมัย พระเจ้าปราสาททอง พระนารายณม์ หาราช และพระเพทราชา แตเ่ ป็นหนงั สอื แปล หรอื แต่งเปน็ ภาษาไทย ไม่มที ี่แต่งเป็นภาษามคธ สมัยอยุธยาตอนท่ีส่ี (พ.ศ. 2275 - 2310) พระมหากษัตริย์ที่ทรงมีบทบาทมากในยุคน้ี ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวบรมโกศ ทรงเสวยราช เม่ือ พ.ศ. 2275 การบวชเรียนกลายเป็นประเพณีท่ีปฏิบัติสืบ ตอ่ กนั มาถงึ ยุคหลงั ถึงกับกาหนดให้ผทู้ ่ีจะเป็นขุนนาง มียศถาบรรดาศักดิต์ ้องเป็นผทู้ ี่ผ่านการบวชเรียนมา เท่านั้น จึงจะทรงแต่งตั้งตาแหน่งหน้าท่ีให้ ในสมัยน้ีได้ส่งพระภิกษุเถระชาวไทยไปฟื้นฟูพุทธศาสนาใน ประเทศลังกาตามคาทูลขอของกษัตริย์ลังกา เมื่อ พ.ศ. 2296 พานักที่วัดบุพพารามในเมืองแคนดี้ ประกอบพิธีผูกพัทธสีมาและอุปสมบทกุลบุตรสืบศาสนทายาทในลังกา จนทาให้พุทธศาสนากลับ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 117 เจริญรุ่งเรืองในลังกาอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน และเกิดนิกายของคณะสงฆ์ไทยข้ึนในลังกา ช่ือว่า นิกายสยาม วงศ์ นิกายนยี้ ังคงมีอยถู่ งึ ปจั จบุ ัน ในยุคนี้เกิดวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาหลายเรื่อง เช่น นันโทปนันทสูตร พระมาลัยคาหลวง ปณู โณวาทคาฉนั ท์ และพระราชปุจฉาถามคณะสงฆ์ เป็นตน้ อนึง่ ในตอบปลายของรชั สมยั พบว่า มคี วาม เช่ือและหมกมุ่นในเรื่องไสยศาสตร์ โชคลาง ของขลัง มนตราปรากฏทั่วไป แสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองอยู่ ในช่วงวุ่นวาย มีศึกสงคราม ขาดความสงบสุข (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), 2531, หน้า 116-119) ผู้คนจึงหันมาสนใจเรื่องเหล่าน้ี เช่น พระอาจารย์ธรรมโชติ วัดเขานางบวช ช่วยลงเลขยันต์ให้แก่ชาว หมู่บ้านบางระจันทร์ ในการทาศึกสงครามกับพม่า และมีการนาทัพด้วยอาจารยไ์ สยศาสตร์ เช่น อาจารย์ ฤกษ์ นาทัพเรือไปตีพม่าท่ีวัดภูเขาทอง พออาจารย์ฤกษ์ถูกยิงตาย ทหาร 4,000 ก็แตก ทาให้เสียกรุงศรี อยุธยาให้แก่พม่า เม่ือ พ.ศ. 2310 ทาให้พระพุทธรูป และเจดีย์ และพุทธศาสนสมบัติต่าง ๆ เป็นต้น ถูก ทาลายไป จวบจนกระท่ังถึงรชั สมยั ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้กอบก้ชู าติกลบั มาได้ ดงั จะกลา่ ว ต่อไปในยคุ กรงุ ธนบุรี 9. พระพุทธศาสนาสมัยธนบุรี (พ.ศ.2310-2325) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงข้ึนครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 2310 ทรงกอบกู้ชาติจากพม่า บ้านเมืองถูกทาลายล้าง ผู้คนล้มตาย และแตกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าถึง 6 ก๊ก อีกทั้งเกิดอลัชชีใน พระพทุ ธศาสนาจานวนมาก พระองค์จึงเร่ิมฟ้นื ฟูพระพุทธศาสนาหลายประการ เช่น ทรงนาคณะสงฆ์ นา โดยกก๊ เจ้าพระฝางท่ีใช้สแี ดงย้อมจีวร ลงผ้าประเจียดแจกแกบ่ รรดาพระสงฆ์ แตง่ ต้ังพระครูสริ ิมานนท์เป็น แม่ทัพนายกองออกไปรบและปล้นชิงทรัพย์ราษฎรในเขตอิทธิพลต้ังแต่เมืองทุ่งยั้ง (อุตรดิตถ์ข้ึนไป) ทาให้ เกิดความรังเกียจสงสัยในความไม่บริสุทธิ์ของพระสงฆ์โดยส่วนรวม ทรงอาศัยความเชื่อม่ันในคุณานุภาพ แห่งพระรัตนตรยั และบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ให้พระพิสูจน์ด้วยการทดสอบให้ดาน้า เรียกว่า 3 กลั้น ใจ ผู้ใดทนเอาชนะนาฬิกาได้ ก็ให้อยู่เป็นพระต่อ ใครแพ้ก็ให้ลาสิกขา หลังจากน้ันทรงให้การอุปสมบท พระสงฆ์ทางภาคเหนือใหม่จานวนมาก ทรงโปรดให้พระโพธิวงศาจารย์ไปพานักประจาท่ีพิษณุโลก พระ พมิ ลธรรมไปพานักประจาท่เี มืองขวาง พระธรรมเจดยี อ์ ย่ทู วี่ ดั ทุ่งยงั้ พระธรรมอุดมอยูท่ ่ีเมืองพชิ ัย พระเทพ กวีอยู่ทีเ่ มืองสวรรคโลก เพ่ือไปชาระสะสางพระศาสนา ส่วนสมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราชเอง ได้เสด็จไป นาพระไตรปิฎกและอาราธนาพระอาจารยศ์ รี (ได้รับแตง่ ต้ังสถาปนาเป็นสมเดจ็ พระสังฆราชในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาช) มาชาระคัมภีร์พระพุทธศาสนาที่ยังบกพร่อง และชาระ คัดลอกไว้ นามาจากนครศรีธรรมราชบ้าง จากกัมพูชาบ้าง (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 418-419) ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตจากกรุงเวียงจันทร์มาประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณ ราชวรารามดังกล่าวแล้วก่อนหน้า ทรงโปรดให้บูรณะและสร้างวัดจานวนมาก เช่น วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆสิตาราม) วัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) เป็นต้น ในตอนปลายรัชสมัยของพระองค์ ทรงสน พระทัยในการปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเป็นพิเศษ พระองค์ทรงศรัทธาและ เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนามากว่าเป็นรากฐานทาให้บ้านเมืองสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ทรงปกครองราษฎรแบบพ่อปกครองลูก ทรงเรียกราษฎรว่า ลูก ทรงใช้สรรพนามเรียกแทน พระองค์ว่า พ่อ และการที่พระองค์ตรากตราพระวรกายกู้ชาตินั้น ก็เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้ดารงอยู่ได้ตราบนานเท่านาน ดังพระปณิธานที่จารึกไว้ในศาลพระเจ้าตากสินมหาราช ณ วัด อรุณราชวราราม ความว่า อันตัวพอ่ ชอ่ื ว่า พระยาตาก

118 ทนทุกข์ยาก กชู้ าติ พระศาสนา ถวายแผน่ ดิน ใหเ้ ป็น พุทธบูชา แดพ่ ระศาสนา สมณะ พระพทุ ธโคดม ใหย้ ืนยง คงถ้วน ห้าพันปี สมณพราหมณ์ชี ปฏบิ ัติ ให้พอสม เจรญิ สมถะ วปิ สั สนา พอ่ ชื่นชม ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา คิดถงึ พ่อ พอ่ อยู่ คกู่ ับเจา้ ชาตขิ องเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องคก์ ษตั รา พระศาสดา ฝากไว้ ใหค้ ู่กนั พระองค์ทรงฝักใฝ่ในการปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล นพิ พาน เน่ืองจากทรงเหน็ โทษภยั ในวฏั สงสาร ปรารถนาจะออกผนวชปฏิบัติสมถและวิปัสสนาอย่างจริงจัง หากมีผู้ใดสามารถเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขได้ พระองค์นินดีสละราชสมบัติให้ทันที เร่ืองนี้ปรากฏในจดหมายรายวันใน การนาทัพไปตีกัมพูชา พระองค์มักจะหาโอกาสเสด็จไปสนทนาธรรมกับพระเถรานุเถระอยู่เสมอ จน พระองค์แตกฉานในพระธรรมคาสอนของพุทธองค์ พระองค์ได้พระราชนิพนธ์เร่ือง ลักษณะบุญ ข้ึนมา 1 เลม่ ยังปรากฏในปจั จุบนั (ฟนื้ ดอกบวั , 2554, หนา้ 234-236) 10. พระพทุ ธศาสนาสมัยรตั นโกสนิ ทร์ พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ) (2548, หน้า 420-464) กล่าวว่า พระพุทธศาสนาในสมัย รัตนโกสินทร์ไดร้ บั การทานบุ ารุงจากพระมหากษตั รยิ ์ไทยเรื่อยมา สบื ต่อจากยุคตอ่ ยุคดงั นี้ รัชกาลท่ี 1 (2325 - 2352) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จข้ึน ครองราชย์เมื่อปี พ.ศ. 2325 ต่อจากพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงย้ายเมืองจากธนบุรี มาตั้งราชธานีใหม่ เรียกช่ือว่า \"กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์\" ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ เช่น สร้างวัดพระศรี รัตนศาสดาราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ และวัดพระเชตุพน (วัดโพธ์ิในปัจจุบัน) เป็นต้น ทรง โปรดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งท่ี 9 และถือเป็นครั้งที่ 2 ในประเทศไทย ณ วัดมหาธาตุ ได้มีการ สอนพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนตามวังเจ้านายและบ้านเรือนของข้าราชการผู้ใหญ่ ทรงตรากฎหมายคณะสงฆ์ข้ึน เพ่ือจัดระเบียบการปกครองของสงฆ์ให้เรียบร้อย ทรงจัดให้มีการสอบพระ ปริยัติธรรมทรงสถาปนาสมเด็จพระสงั ฆราชองค์แรกของกรุงรตั นโกสินทร์ โดยสถาปนาพระสังฆราช (ศรี) เป็นสมเด็จพระสงั ฆราช เม่อื ปี พ.ศ. 2352 ทรงส่งเสรมิ การศกึ ษาของคณะสงฆ์ โดยการนาวรรณกรรมที่สืบ ต่อกันมา เช่น เรื่องไตรภูมิพระร่วง มหาชาติชาดก เป็นต้น ส่วนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์ ยังคงดาเนนิ ไปในรปู แบบเดมิ กล่าวคือนมิ นตพ์ ระสงฆ์ไปแสดงธรรมหรือเขา้ วัดฟงั ธรรมเป็นหลัก และในยุค น้ีเน้นการสรา้ งวัดวาอาราม เจดยี ์ และศาสนวัตถุท่สี าคัญเปน็ หลัก รัชกาลที่ 2 (2352 - 2367) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จขึ้นครองราชย์เม่ือ พ.ศ. 2352 เป็นทรงทานุบารุง สง่ เสริมพระพุทธศาสนาเหมอื นอย่างพระมหากษตั รยิ ์ไทยแต่โบราณ ในรชั สมัยของพระองค์แม้พระองค์จะ ครองราชย์เพยี ง 15 ปี แต่งทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชถึง 3 พระองค์ คือ สมเด็จพระสังฆราช ( ศุก )

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 119 สมเด็จพระสังฆราช ( มี ) และสมเด็จพระสังฆราช ( สุก ญาณสังวร) ก่อนได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จ พระสังราช องค์แรกอยู่วัดราชบูรณะ องค์ที่สองอยู่วัดราชสิทธาราม ส่วนองค์ที่สามอยู่ท่ีวัดสระเกศ หลัง สถาปนาได้มาประทับทวี่ ัดศรีสรรเพชญท์ ั้งสามองค์ ในปี พ.ศ. 2357 ทรงจัดส่งสมณทูต 8 รูป ไปฟื้นฟูพระพทุ ธศาสนาในประเทศลงั กา ได้จดั ให้มกี าร จดั งานวันวสิ าขบูชาขึ้นเป็นคร้ังแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เม่ือ พ.ศ. 2360 ซ่ึงแตเ่ ดิมก็เคยปฏิบัติถือกัน มาเม่ือครั้งกรุงสุโขทัย แต่ได้ขาดตอนไปต้ังแต่เสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า จึงได้มีการฟื้นฟูวันวิสาขบูชาใหม่ พ.ศ. 2363 สมเด็จพระสังฆราชมี โปรดให้มีการสังคายนาสวดมนต์ขึ้น และได้โปรดให้มีการเปล่ียนแปลง แก้ไขวิธีการสอบไล่ปริยัติธรรมขึ้นใหม่ ได้ขยายหลักสูตร 3 ชั้น คือ เปรียญตรี เปรียญโท และเปรียญเอก เปน็ 9 ชัน้ คอื ชน้ั ประโยค 1 - 9 (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโฺ ต), 2531, หน้า 121) รชั กาลที่ 3 (2367 - 2394) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ ทรงบาเพ็ญบารมีเย่ียงพระ โพธิสัตว์ ถือแนวพระเวสสันดรเป็นหลัก ทรงมีความเคารพรักในพระภิกษุสามเณรเป็นอันมาก ทรงยืม พระไตรปิฎกมาจากลังกาถึง 40 คัมภีร์เพ่ือคัดลอกแปลเป็นภาษาไทย (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 423) โปรดให้มีการสร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงเพ่ิมจานวนขึ้นไว้อีกหลายฉบับครบถ้วนกว่า รัชกาลก่อน ๆ โปรดให้แปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลาย แห่ง และสร้างวัดใหม่ คือวัดเทพธิดาราม วัดราชนัดดา และวัดเฉลิมพระเกียรติ ทรงโปรดให้ รวบรวมตารับตาราต่างๆ เช่น อักษรศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ โบราณคดี เป็นต้น ให้จารึกไว้ในพระอาราม หลวงต่างๆ เช่น วัดพระเชตุพน วัดราชโอรส วัดสุทัศน์ เป็นต้น ทรงส่งเสริมและขยายการบอกพระปริยัติ ธรรมในพระบรมมหาราชวังให้เข้มแข็งบริบูรณ์ยิ่งขึ้น โปรดให้จ้างอาจารย์บอกพระปริยัติธรรมทุกพระ อารามหลวง และได้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อสอนหนังสือไทยแก่เด็กในสมัยนี้ (พระเทพ เวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ โฺ ต), 2531, หนา้ 122) รัชกาลท่ี 4 (2394 - 2411) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ 4 เม่ือทรงเป็นเจา้ ฟา้ มงกฎุ ได้ผนวช 27 พรรษา แล้วได้ลาสิกขาข้ึนครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงสอบเปรียญธรรมได้ 5 ประโยค แต่ทรงมี ความรู้แตกฉานดา้ นภาษาบาลียิ่งกว่าสอบเปรยี ญธรรมได้ 9 ประโยคเสยี อีก ทรงแตกฉานการศกึ ษาทง้ั ทาง โลกทางธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาลาติน คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ทรงได้รับยกย่องว่า เป็นบดิ าแห่งวทิ ยาศาสตรไ์ ทยอีกดว้ ย ด้านการพระศาสนา ทรงพระราชศรัทธาสร้างวัดใหม่ข้ึนหลายวัด เชน่ วัดปทุมวนาราม วัดโสมนัส วิหาร วัดมกุฎกษัตริยาราม วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม และวัดราชบพิตร เป็นต้น ตลอดจนบูรณะ วัดต่างๆ อีกมาก ทรงเสด็จธุดงค์ไปในที่ต่าง ๆ จนได้พบพระปฐมเจดีย์องค์เดิมก่อนจะทรงโปรดให้สร้าง พระปฐมเจดีย์ครอบเจดีย์องค์เดิมให้เป็นเจดีย์ท่ีใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในประเทศไทย ทรงให้สร้าง พระไตรปิฎกฉบับลงทองร่องชาดไว้เป็นหลักฐานการศึกษาพระพุทธศาสนาและพระราชทานไปยังวัดต่าง ๆ ทรง ติดต่อกับอินเดียเกี่ยวกับกิจการทางพระพุทธศาสนา ทรงนาพระพุทธรูปและเมล็ดพันธุ์พระศรีมหาโพธ์ิ จากพุทธคยามาปลูกในประเทศไทย ขณะที่ผนวชอยู่ทรงศรัทธาเลื่อมใสในจริยาวัตรของพระมอญ ชื่อ ซาย ฉายา พุทฺธวโส จึงได้ทรงอุปสมบทใหม่ เม่ือ พ.ศ. 2372 ได้ตั้งคณะธรรมยุติข้ึนในปี พ.ศ. 2376 ที่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) กาหนดด้วยการผูกพัทธสีมาใหม่ แล้วเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร และตั้งเป็นศูนย์กลางของคณะธรรมยุติต่อมา เนื่องจากพระองค์ทรงแตกฉานในภาษาบาลีน่ันเอง พระองค์

120 ทรงนิพนธ์บทสวดมนต์เช้าเย็นท่ีชาวพุทธใช้สวดกันมาจนถึงปัจจุบันด้วยการนาข้อความหลายตอนใน พระไตรปฎิ กมาประติดประต่อกันให้เชือ่ มโยงกัน ทรงตงั้ อนัมนิกายหรือวัดญวนข้ึนเปน็ คร้ังแรกในประเทศ ไทยโปรดให้มีพระราชพิธี \"มาฆบชู า\" ขึน้ เป็นครงั้ แรก ใน พ.ศ. 2394 ณ ที่วดั พระศรีรตั นศาสดาราม จนได้ ถอื ปฏบิ ตั ิสบื มาจนถงึ ทุกวันน้ี (ฟนื้ ดอกบัว, 2542, หน้า 31-33) รัชกาลท่ี 5 (2411 - 2453) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวเสดจ็ ขึ้นครองราชย์ เม่ือ พ.ศ. 2411 ทรงยกเลิกระบบ ทาสในเมืองไทยได้สาเร็จ ทรงสร้างวัดใหม่ขึ้น คือวัดวัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดอัษฎางนิมิตร วัดจุฑาทิศราชธรรมสภา และวัดนเิ วศน์ธรรมประวัติ ทรงบูรณะวดั มหาธาตุ และวัดอื่น ๆ อีก ทรงนิพนธ์วรรณกรรมทางพุทธศาสนาจานวนมาก โปรดใหั้มีการเร่ิมต้นการศึกษาแบบสมัยใหม่ใน ประเทศไทย โดยให้พระสงฆ์รับภาระช่วยการศึกษาของชาติ คร้ัน พ.ศ. 2427 ได้จัดตั้งโรงเรียนสาหรับ ราษฎรข้ึนเป็นแห่งแรก ณ วัดมหรรณพาราม ถึงปี พ.ศ. 2414 โปรดให้จัดการศึกษาแก่ประชาชนในหัว เมอื ง โดยจดั ตงั้ โรงเรียนในหวั เมืองขนึ้ ทรงแบ่งการปกครองคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะเช่นเดียวกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชบิดา คือคณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุต แต่ไม่มีสมเด็จเจ้าคณะ ใหญ่ มเี พียงพระศาสนโสภณเปน็ เจ้าคณะรอง แล้วทรงรวมวัดธรรมยุตทง้ั หมดขึ้นตรงต่อคณะธรรมยุต ทรง โปรดให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ข้ึน ซ่ึงขณะน้ันคณะสงฆ์ท่ีจัดว่าเป็น นิกายอยู่ 3 นกิ าย คอื มหานิกาย ธรรมยตุ ินิกาย รามญั นิกาย (พระสงฆ์ท่ีสืบสายมาจากประเทศรามญั ) ท้ัง สามนิกายนี้เป็นเถรวาท และยังมีอนัมนิกาย (สายพระญวน) ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นในรัชกาลท่ี 4 ดังกล่าว แล้ว เป็นฝ่ายมหายาน โดยปรับโครงสร้างการปกครองให้รัดกุมขึ้น ให้คณะสงฆ์ทั้ง 4 เป็นคณะบุคคล เรยี กวา่ มหาเถรสมาคม ประกอบดว้ ยพระเถระผู้ใหญ๋ 2 นกิ ายคอื คณะมหานิกาย และคณะธรรมยตุ นิ กิ าย รองลงมาเป็นเจ้าคณะหน แบ่งเป็นหนกลาง หนเหนือ หนใต้ หนตะวันออก และเป็นคณะธรรมยุต หลังจากนั้นยังแบ่งออกเป็นมณฑลอีก จากมณฑลก็เป็นจังหวัด จากจังหวัดก็เป็นอาเภอ เจ้าคณะสมัยนั้น เรียกว่า เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะแขวง เจ้าคณะตาบล หรือเจ้าคณะหมวด แล้วถึงเป็นเจ้า อาวาส ลาดบั สุดทา้ ย มขี อบขา่ ยความรับผดิ ชอบตามสายงานขึ้นไป เปน็ การนาอานาจทางบา้ นเมอื งเขา้ มา ชว่ ยในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 438-439) พ.ศ. 2432 โปรดให้ย้ายท่ีราชบัณฑิตบอกพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณร จากในวัดพระศรี รัตนศาสดาราม ออกมาเป็นบาลวี ทิ ยาลยั ชอื่ มหาธาตุวิทยาลยั ทวี่ ัดมหาธาตุ เมอ่ื พ.ศ. 2432 และตอ่ มาปี พ.ศ. 2439 ได้ประกาศเปลี่ยนนามมหาธาตุวิทยาลัยเป็น มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นท่ีศึกษาพระ ปรยิ ัติธรรมและวชิ าการช้ันสูงของพระภกิ ษสุ ามเณรฝา่ ยมหานกิ าย โปรดให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ (พระมหาสมณเจ้า) กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นประธาน ในการจัดวางระเบียบการศึกษาของชาติข้ึน โดยให้พระเถรานุเถระท้ังส่วนกลางและส่วนภูมิภาคต้ัง โรงเรียนขึ้นในวัด ให้พระภิกษุสามเณรเป็นครูส่ังสอนอบรมให้การศึกษาแก่ประชาชน จนเม่ือวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 มีพระบรมราชโองการประกาศต้ังกรมธรรมการเป็นกระทรวงธรร มการ (กระทรวงศึกษาธิการในปจั จุบนั ) มารับงานนแี้ ทน พ.ศ. 2436 สมเด็จพระเจ้านอ้ งยาเธอ (พระมหาสมณเจ้า) กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงบกุ เบิก การจัดการศึกษาแบบใหม่จากเรียนด้วยภาษาบาลีล้วนมาเป็นหลักสูตรบาลีที่พระองค์ทรงแปลและสรุป หลักธรรมเหล่านนั้ ออกมาใหเ้ ข้าใจง่าย โดยให้เรยี นจากหลักไวยากรณ์ดว้ ยภาษาไทยในตอนต้น แล้วเรียน เป็นภาษาบาลีในภายหลัง หลักสตู รบาลีน้ีแบ่งออกเป็นเปรียญธรรมช้ันต่างๆ ตั้งแต่ ประโยค 1 ประโยค 2

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 121 จนถึง ประโยค 9 ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวได้เป็นต้นแบบในการจัดการศึกษามาจนถึงปัจจุบัน มีเปล่ียนแปลง บ้างเล็กน้อยเท่านั้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการให้ก่อต้ัง มหามกุฏราชวิทยาลัย ขึ้นท่ีวัดบวรนิเวศวิหาร ตามเจตนารมย์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ที่ทรงริเร่ิม จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นแหล่งศึกษาพระพุทธศาสนาแก่พระภิกษุสามเณรฝ่ายธรรมยุตินิกาย ทั้งนี้เพ่ือถวายพระ เกียรตแิ ด่พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รชั กาลที่ 4 พระราชบดิ า โปรดให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ (พระมหาสมณเจ้า) กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นประธาน คณะทางานปริวรรตพระไตรปิฎกจากอักษรขอมมาเป็นอักษรไทย ทรงโปรดให้พิมพ์จานวน 1,000 ชุดๆ ละ 39 เลม่ ให้พระราชทานไปยังวดั ต่างๆ ท้ังในและตา่ งประเทศ และในปี พ.ศ. 2414 เสด็จประพาสไปยัง ประเทศอังกฤษและได้สละพระราชทรัพย์ให้แก่สมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) เพ่ือพิมพ์ พระไตรปิฎกฉบับภาษาอังกฤษ โดยทาการแปลจากภาษาบาลี และสมาคมได้ตั้งพระไตรปิฎกชุดน้ันเพ่ือ ถวายเกียรติต่อพระองค์ท่านว่า “พระไตรปิฎกฉบับพระเจ้ากรุงสยาม” และพระองค์ทรงทานุบารุงและ ส่งเสรมิ กจิ การพระพุทธศาสนานานัปประการตลอดพระชนมายขุ องพระองค์ ซึ่งไม่ได้กลา่ วไว้ทั้งหมดในท่ีนี้ ผู้ที่ต้องการศึกษาเก่ียวกับพระราชกรณียกิจของพระองค์อย่างละเอียดพึงศึกษาและค้นคว้าด้ วยตนเอง ต่อไปเทอญ (ฟื้น ดอกบวั , 2554, หน้า 244) รชั กาลที่ 6 (2453- 2468) พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จข้ึนครองราชย์ ทรงพระปรีชาปราดเปร่ืองใน ความรู้ทางพระศาสนามาก ทรงนิพนธ์หนังสอื แสดงคาสอนในพระพุทธศาสนาหลายเร่ือง เช่น เทศนาเสือ ปา่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร เป็นต้น ทรงปลุกใจให้คนไทยเห็นคุณคา่ ของพระพุทธศาสนา ถึงกับทรงอบรม ส่ังสอนอบรมข้าราชการด้วยพระองค์เอง ทรงโปรดให้ใช้ พุทธศักราช (พ.ศ.) แทน ร.ศ. เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 ให้เปล่ียนกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ ทรงเน้นย้าไม่ให้คณะสงฆ์แบ่งแยก ระหว่างมหานกิ ายและธรรมยตุ ให้มคี วามจงรักภกั ดตี ่อพระพุทธเจา้ ใหป้ ฏบิ ัติตามคาสอนของพระพทุ ธเจ้า ให้ดที ส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะพงึ ปฏบิ ัติได้ เพราะไมว่ า่ จะเปน็ ธรรมยุตหรือมหานิกายกล็ ว้ นเปน็ พระไทยด้วยกัน ปี พ.ศ. 2454 สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเปล่ียนวิธีการสอบบาลี สนามหลวงจากปากเปล่ามาเป็นข้อเขียน เริ่มด้วยประโยค 1-2 ก่อน ส่วนประโยคอื่นๆ ยังคงใช้สอบแบบ ปากเปล่า จนกระท่ัง พ.ศ. 2458 จึงสอบด้วยข้อเขียนครบทุกประโยค และทรงเริ่มการศึกษาพระปริยัติ ธรรมใหมข่ นึ้ อีกหลักสูตรหนึง่ เรียกวา่ \"นักธรรม\" โดยมีการสอบครั้งแรกเมอ่ื เดอื นตลุ าคม 2454 ตอนแรก เรียกว่า \"องค์ของสามเณรรู้ธรรม\" หลังสูตรนักธรรมแบ่งออกเป็นนักธรรมช้ันตรี โท และเอก (พระเทพ เวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), 2531, หน้า 127) นับแต่น้ันผู้ท่ีจะสอบประโยค 3 จะต้องได้นักธรรมตรีก่อน ผู้ท่ี จะสอบประโยค 4 ต้องได้นักธรรมโทก่อน และผู้ที่จะสอบประโยค 7 ได้ ต้องได้นักธรรมเอกก่อน เพราะ เหตุนั้น จึงเรียกผู้ท่ีสอบได้เป็นมหาเปรียญ จึงเรียกว่า เปรียญธรรม หรือใช้อักษรย่อว่า ป.ธ. เช่น ป.ธ. 3 ป.ธ. 6 ป.ธ.9 เปน็ ต้น ซ่ึงกอ่ นหนา้ เรียกวา่ เปรยี ญหรอื ประโยค เทา่ นน้ั (ฟ้นื ดอกบัว, 2554, หนา้ 246) พ.ศ. 2462 ถึง พ.ศ. 2463 โปรดให้พิมพ์คัมภีร์อรรถกถาแห่งพระไตรปิฎกและอรรถกถาชาดก และคัมภีรอ์ ่นื ๆ เชน่ วสิ ุทธมิ รรค มลิ นิ ทปญั หา เปน็ ตน้ ทรงปลูกฝังความเปน็ ไทยใหก้ ับคนไทยเสมอ เชน่ เมอ่ื ครั้งท่พี ระองค์ศึกษาอยู่ประเทศอังกฤษ ทรง มีพระราชดารสั กับสมาคมนกั เรียนไทยขณะท่ีพระชนมายุเพียง 14 พระชนั ษาว่า “เราน้ันเป็นคนไทย แม้ เราจะอยู่ในประเทศน้ีนานสักเท่าไรก็ตาม เม่ือเรากลับถึงเมืองไทย เราจะเป็นคนไทยมากย่ิงขึ้น” และ ทรงเน้นย้าเสมอให้คนไทยมีจิตสานึกความเป็นไทย โดยใช้การศึกษาแบบฝรั่งเพื่อนามาพัฒนาบ้านเมือง เท่าน้ันไม่ได้ยกย่องให้เอาแบบอย่างฝร่ัง ดังพระนิพนธ์ในหนังสือลัทธิเอาอย่าง มีข้อความตอนหนึ่งว่า

122 “การท่ีคนไทยพยายามจะทาอะไรให้เป็นอย่างฝร่ังน้ัน ดูไปแล้วน่าเอ็นดูเหมือนลูกหมาเดินสองขาได้ เท่านั้นเอง” เป็นการเน้นยา้ ว่าพระองค์มีความเป็นคนไทย รักชาติไทยยิ่งนัก และทรงสรา้ งจิตสานึกให้คน ไทยมองเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนาในฐานะเป็นศาสนาประจาชาติ ดังท่ีตรัสไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง เทศนาเสอื ป่า ตอนหนง่ึ ว่า “ศาสนาย่อเป็นหลักสาหรับช้ีให้ถูกทางว่า อย่างไรจะเป็นทางท่ีประพฤติดี ข้าพเจ้ารู้สึกด้วย ความแน่ใจว่า คนเราทุกคนจาเป็นต้องมีศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นของไทย เรามาชวนกันนับถือ พระพทุ ธศาสนากนั เถดิ ผ้ทู แี่ ปลงศาสนาคนเขาดถู กู ยิ่งกวา่ ผู้ที่แปลงชาติ ขา้ พเจ้ารูส้ ึกวา่ ได้ทาหน้าทีส่ มควรแก่ผอู้ ุปถัมภ์พระพทุ ธศาสนา ตง้ั ใจจะรักษาพระพุทธศาสนา ของเราด้วยชีวิต ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายตั้งใจอยู่ในข้อน้ี และถ้าท่านต้ังใจจะช่วยข้าพเจ้าในกิจอัน ใหญน่ ้แี ลว้ ก็จะเป็นทีพ่ อใจขา้ พเจา้ เปน็ อนั มาก เมืองเราเกือบจะเป็นเมืองเดียวแล้วในโลก ท่ีได้มีบุคคลนับถือพระพุทธศาสนามากและเป็น เหล่าเดียวกัน เพราะฉะนั้น เป็นหน้าท่ีของเราทั้งหลายท่ีจะช่วยกันทานุบารุงพระพุทธศาสนาอย่างให้ เส่ือมสญู ไป เราจะต้องรักษาความเป็นคนไทยของเราให้ย่ังยืน เราจะต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้ถาวร วัฒนาการ อย่างที่เป็นมาแล้วหลายช่ัวโคตรของเราทั้งหลาย” ข้อความเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรัก ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้ายิ่งกว่าชีวิตของพระองค์เองและความเป็นคนไทยเข้มข้นอย่างย่ิง สมควรท่ีอนุชนรุ่นหลังอย่างเราควรภูมิใจ และนอ้ มนามาใส่ใจ พร้อมทั้งปฏิบัติสืบต่อไปตราบนานเทา่ นาน ให้สมดงั เจตนารมย์ของพระองค์ (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐติ ญาโณ), 2548, หน้า 445-447) รัชกาลที่ 7 (2468 - 2477) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยู่หัว ทรงโปรดใหม้ กี ารทาสงั คายนาพระไตรปิฎกขึ้น ตง้ั แต่ พ.ศ. 2468 - 2473 เน้นการชาระ คา ศัพท์ ท่ีอาจจะขาดตกอยู่ในพระไตรปิฎก ให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ เพ่ือ ถวายเปน็ พระราชกศุ ลแด่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัว รัชกาลท่ี 6 เปน็ การสงั คายนาคร้งั ท่ี 3 ในเมืองไทย แล้วทรงจัดให้พิมพ์พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ ชุดละ 45 เล่ม จานวน 1,500 ชุด และพระราชทานแก่ ประเทศต่าง ๆ ท้ังเอเชีย ยุโรป อเมริกา ประมาณ 500 ชุด ทาให้พระไตรปิฎกของไทยเผยแพร่ไปทั่วโลก และทรงโปรดให้ย้ายกรมธรรมการกลับเข้ามารวมกับกระทรวงศึกษาธิการ และเปล่ียนชื่อ กระทรวงศึกษาธิการเป็นกระทรวงธรรมการอย่างเดิม โดยมีพระราชดาริว่า \"การศึกษาไม่ควรแยกออก จากวัด\" ต่อมาปี พ.ศ. 2471 กระทรวงธรรมการประกาศเพ่ิมหลักสูตรทางจริยศึกษาสาหรับนักเรียน ได้ เปิดให้ฆราวาสเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม โดยจัดหลักสูตรใหม่ เรียกว่า \"ธรรมศึกษา\" (พระเทพ ดิลก (ระแบบ ฐติ ญาโณ), 2548, หนา้ 453) ในรัชสมัยรชั กาลท่ี 7 ได้มกี ารเปล่ียนแปลงการปกครองคร้ังยงิ่ ใหญข่ องไทย เม่ือคณะราษฎรไ์ ดท้ า การปฏิวัติ เปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราช เป็นระบอบประชาธิปไตย เม่ือวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติเม่ือ พ.ศ. 2477 ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั อานันทมหิดลขนึ้ ครองราชย์เปน็ รชั กาลที่ 8 รัชกาลที่ 8 (2477 - 2489) พระเทพดิลก (ระแบบ ฐติ ญาโณ) (2548, หน้า 454-460) กลา่ ววา่ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว อานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชเป็นรัชกาลท่ี 8 ในขณะพระพระชนมายุ เพียง 9 พรรษาเท่าน้ัน และยัง กาลังทรงศกึ ษาอยู่ในตา่ งประเทศ โดยมีผสู้ าเร็จราชการแทนพระองค์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 123 พ.ศ. 2483 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศน์เทพวรา ราม เสนอให้มกี ารจัดแปลพระไตรปิฎกข้ึน โดยขอสนับสนุนจากรัฐบาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่อยู่หัว อานันทมหิดลจึงทรงโปรดให้มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย โดยแปลเป็น 2 อย่าง คือ แปลโดย อรรถ และแปลโดยสานวนเทศนา ซงึ่ พระไตรปิฎกท่ีแปลโดยอรรถ พิมพเ์ ป็นเล่มสมุด 80 เลม่ เท่าจานวน พระชนมายุของพระพุทธเจ้า เรียกว่า พระไตรปิฎกภาษาไทย แต่ไม่เสร็จสมบูรณ์ และได้ทาต่อจนเสร็จ เม่อื งานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2500 ส่วนพระไตรปฎิ กทแี่ ปลโดยสานวนเทศนา พมิ พ์ใบลาน แบง่ เปน็ 1250 กณั ฑ์ เรียกวา่ พระไตรปฎิ กฉบบั หลวง เสรจ็ เมือ่ พ.ศ. 2492 พ.ศ. 2484 ได้เปล่ียนช่ือกระทรวงธรรมการเป็นกระทรวงศึกษาธิการ และกรมธรรมการ เปล่ียนเป็น กรมการศาสนา และในปีเดียวกัน รัฐบาลได้ออก พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เม่ือวันท่ี 14 ตลุ าคม เพ่ือให้การปกครองคณะสงฆ์มีความสอดคล้องเหมาะสมกบั การปกครองแบบใหม่ และได้สร้างวัด พระศรีมหาธาตุ บางเขน โดยรัฐบาลจองพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อรวมนิกายธรรมยุต และมหานกิ ายเข้าดว้ ยกัน โดยนมิ นต์พระทัง้ สองนิกายไปอยรู่ ่วมกัน (ฟนื้ ดอกบัว, 2554, หนา้ 247) พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้ถูกลอบปลงพระชนม์ เม่ือวันท่ี 9 มิถุนายน พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ภูมพิ ลอดลุ ยเดช เสด็จข้นึ ครองราช เปน็ รัชกาลท่ี 9 รชั กาลปจั จุบัน สมยั รชั กาลท่ี 9 (ต้งั แต่ พ.ศ. 2489-2559) (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 461-464) และ (ฟื้น ดอกบัว, 2554, หน้า 247- 249) กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จข้ึนครองราชย์เป็นราชกาลที่ 9 สืบ ต่อมา ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา และทรงเป็นศาสนูปถัมภก ทรงให้การอุปถัมภ์แก่ทุก ศาสนา และทรงปกครองบ้านเมืองโดยสงบรม่ เยน็ ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็น ประมขุ ไดม้ ีการสง่ เสรมิ พุทธศาสนาด้านตา่ ง ๆ มากมาย ดงั นี้ ด้านการศึกษา ประชาชนได้สนใจศึกษาพุทธศาสนามากขึ้นตามลาดับ ได้มีการจัดตั้งสมาคม มูลนิธิทางพุทธศาสนาเพื่อการศึกษามากมาย มีการจัดต้ังชมรมพุทธศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยและ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซ่ึงต้ังข้ึนตั้งแต่ พ.ศ. 2432 ได้ประกาศต้ังเป็น มหาวิทยาลัยฝ่ายพระพุทธศาสนาข้ึน เม่ือวันท่ี 9 มกราคม 2490 และเปิดการศึกษาเม่ือวันที่ 18 กรกฎาคม 2490 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยพระพิมลธรรม (ช้อย) เป็นนายสภาองค์แรกส่วนมหามกุฏ ราชวิทยาลัย ได้จัดสอนขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันท่ี 10 ตุลาคม พ.ศ. 2489 โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรม หลวงวชิรณาณวงศ์ วดั บวรนิเวศวิหาร เป็นนายกสภาองคแ์ รก ต่อมาได้มีการยกระดับมาตรฐานการศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ท้ัง 2 แห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยเปิดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาแก่พระภิกษุสามเณร ในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และมีนโยบายจะเปิดระดับปริญญาเอกในอนาคต (ปัจจุบนั ได้เปิดสอนใน ระดับปริญญาเอกแล้ว) ได้มีการรับรองวิทยฐานะเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยสากลท่ัวไป และได้ออก กฏหมาย พ.ร.บ.มหาวทิ ยาลยั สงฆ์ทัง้ 2 แห่ง โดยรฐั สภาเมอ่ื พ.ศ. 2540 มีชอื่ ว่า \"มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลง กรณราชวิทยาลัย และ \"มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลัย\" ปัจจุบันน้ีได้มีวิทยาเขตต่างจังหวัดอีกหลาย แห่ง เช่น เชียงใหม่ พะเยา แพร่ ลาพูน นครสวรรค์ ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา หนองคาย นครปฐม นครศรีธรรมราช เป็นต้น ส่วนการศึกษาด้านอ่ืน ไดม้ ีการจัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมแผนกสามัญ ระดับประถมปลาย และ ม.1 ถึง ม.6 เม่ือปี พ.ศ. 2514 ในปี พ.ศ. 2501 ได้มีการจัดต้ังโรงเรียนพุทธ ศาสนาวัดอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก ณ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพ่ือเปิดการสอนพุทธศาสนาแก่เด็ก และเยาวชน จนได้แพรข่ ยายไปท่ัวประเทศ

124 ด้านการเผยแผ่ ได้มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ท้ังในและต่างประเทศ ในประเทศ ไทยได้มีองค์กรเผยแผ่ธรรมในแต่ละจังหวัด โดยได้จัดต้ังพุทธสมาคมประจาจังหวัดข้ึน ส่วนพระสงฆ์ได้มี บทบาทในการเผยแผ่มากขึ้น โดยใชส้ ่ือของรัฐ เช่น โทรทศั น์ วิทยุ เป็นต้น กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนด เอาวิชาพระพุทธศาสนาเป็นวิชาภาคบังคับแก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษา ตั้งแต่ ม. 1 ถึง ม. 6 พระสงฆ์จึง ไดม้ บี ทบาทเข้าไปสอนในโรงเรียนตา่ ง ๆ มีการประยุกตก์ ารเผยแผ่ธรรมในรปู แบบต่าง ๆ เช่น การบรรยาย ปาฐกถา และเขียนหนังสืออธิบายพุทธธรรมมากขึ้น ทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ มีพระเถระ นักปราชญ์ชาวไทยในยุคน้ีเกดิ ข้ึนมากมาย เช่น ท่านพุทธทาสภิกขุ และพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เป็นต้น ส่วนการเผยแผ่ในต่างประเทศได้มีการสร้างวัดไทยขึ้นหลายวัด เช่น วัดไทยพุทธคยา ประเทศ อนิ เดีย เป็นวัดไทยแห่งแรกในตา่ งประเทศ ต่อจากนั้นไดม้ ีการสร้างวัดไทยในประเทศตะวันตก คือวัดพุทธ ประทีป กรุงลอนดอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเปิด เมื่อวันท่ี 1 สิงหาคม พ.ศ. 2509 นับเป็นวัดไทยวัดแรกในประเทศตะวันตก ต่อมาปี พ.ศ. 2514 ได้มีการสร้างวัดแห่งแรกในประเทศ สหรัฐอเมริกา ท่ีนครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอเนีย ชื่อว่า วัดไทยลอสแองเจลิส ปัจจุบันมีวัดไทยใน สหรัฐอเมริกา ประมาณ 15 วัด นอกจากน้ันได้มีองค์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศของคณะ สงฆ์ไทย ได้จัดให้มีการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศขึ้นประจาทุกปี เพ่ือส่งไปเผยแผ่พุทธศาสนาใน ต่างประเทศ โดยเฉพาะทางตะวันตก ปัจจุบนั นี้ชาวตะวนั ตกได้หันมาสนใจพุทธศาสนากันมาก ปี พ.ศ. 2508 ได้มี การจัดต้ังสานักงานองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกข้ึน ณ ประเทศไทย (พ.ส.ล.) เพ่ือเป็นศูนย์กลางของชาว พุทธท่ัวโลก ด้านพิธีกรรม ได้มีการเปลี่ยนแปลงพระราชพิธีต่างๆ ท่ีเป็นพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์ ให้ เป็นพิธีของรัฐบาล เรียกว่า \"รัฐพิธี\" โดยให้กรม กระทรวงต่างๆ เป็นผู้จัด จัดให้มีงานส่งเสริม พระพุทธศาสนาช่วงวันวิสาขบูชาของทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้พระ บรมวงศานุวงศ์ เสด็จแทนพระองคใ์ นพิธีเวยี นเทียนในวนั สาคญั ทางพุทธศาสนาเช่นวันวิสาขบูชา มาฆบชู า อาสาฬหบูชา ณ พุทธมณฑล ซงึ่ สร้างขึ้น เมื่อคราว ฉลอง 25 พทุ ธศตวรรษ ด้านวรรณกรรม ได้มีวรรณกรรมทางพุทธศาสนาเกิดขึ้นมากมาย มีปราชญ์ทางพุทธศาสนา เกิดขึ้นหลายรูป จึงได้เกิดวรรณกรรมท้ังประเภทร้อยแก้วและร้อยกรองมากมายหลายเล่ม เช่น พุทธ ประวัติจากพระโอษฐ์ ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาสภิกขุ หนังสือพุทธธรรม ของพระ ธรรมปิฎก (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต) เป็นตน้ 11. พระพทุ ธศาสนาในพม่า พระพุทธศาสนาได้เข้าสู่ประเทศพม่าราว พ.ศ. 305 เป็นปีที่พระโสณะและพระอุตตระได้เข้ามา เผยแผ่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ เน่ืองจากพม่าก็สันนิษฐานว่ามีใจกลางอยู่ท่ีเมืองสะเทิม ภาคใต้ของ พม่าดงั กล่าวแล้วในเบือ้ งต้น อยา่ งไรก็ตาม ไมป่ รากฏวา่ พระพุทธศาสนาได้เจริญแพร่หลายในยุคแรกนี้ แต่ กลับมาปรากฏชดั ในพุทธศตวรรษที่ 6 มีหลกั ฐานเป็นจารกึ เป็นภาษาบาลีในภาคใต้ของพม่า และตารนาถ นักประวัติศาสตร์ชาวธิเบตได้กล่าวว่า มีการเผยแผค่ าสอนแบบเถรวาทในพะโค ประเทศพมา่ และอนิ โดจีน ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากน้ันศิษย์พระวสุพันธุได้นาพระพุทธศาสนาแบบมหายานเข้ามา เผยแผ่ ทาให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองในประเทศพม่าทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานผสมปนเปกันไป หลายศตวรรษ รุ่งเรืองอยใู่ นอาณาจักรโบราณ เรียกวา่ ศรเี กษตร เหตุการณ์ท่ีสาคัญอีกเหตุการณ์คือในปี พ.ศ. 946 พระพุทธโฆษาจารย์ หลังจากแปลอรรถกถา จากสิงหลเป็นภาษามคธแล้ว ได้เดินทางจากเกาะลังกามาแวะที่เมืองสะเทิมของพม่า พร้อมนา

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 125 พระไตรปิฎกและอรรถกถาท่ีแปลมาดว้ ย ทาให้ชาวพม่าหันมาสนใจพระพทุ ธศาสนามากขึน้ และทาให้เกิด นักปราชญ์ด้านภาษาบาลีหลายคนในพม่า ต่างเขียนตาราไวยากรณ์และอภิธรรมไว้พอสมควร และมี หลักฐานที่เชื่อว่า มีชาวมอญฮินดู (ตะเลง ก็เรียก) ในเมืองพะโค (หงสาวดี) เมืองสะเทิม (สุธรรมวดี) และ ถ่ินใกล้เคียงทั้งหลาย รวมเรียกกันว่า ประเทศรามัญ ต่างนับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ต่อมาเมือง สะเทิมได้กลายเป็นศูนย์กลางท่ีสาคัญย่ิงของพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทในพุทธศตวรรตท่ี 16 ใน ขณะเดียวกนั ได้มีชนเผ่าอีกเผ่าหนึ่งเรียกช่อื ว่า มรัมมะ หรือพมา่ เป็นชนเผ่าทิเบตหรือดราวิเดียน ได้มาตั้ง อาณาจักรท่ีเมืองหลวงพุกาม เรียกชื่อประเทศตนเองว่า พุกาม นับถือพระพุทธศาสนาแบบตันตระ สืบ ทอดมาจากประเทศอนิ เดีย ครน้ั พระเจ้าอนุรุทธ (อโนรธามงั ช่อ) ไดข้ ึน้ ครองราชย์ พ.ศ. 1588-1621 ไดห้ ัน มานับถือพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท โดยพระตะเลงจากเมืองสะเทิมรูปหน่ึง ช่ือว่า พระอรหัน หรือ ธรรมทรรศี เปล่ียนพระทัยพระองค์จากการนับถือพระพุทธศาสนาแบบตันตระมานับถือแบบเถรวาทอัน บริสุทธิ์ ทาให้พระพุทธศาสนาได้เจริญมั่นคงในประเทศพกุ าม ต่อมาพระองค์ได้ส่งพระราชสาร์นไปขอพระ คัมภีร์พระพุทธศาสนาจากกษัตริย์เมืองสะเทิม ได้รับการปฏิเสธ จึงได้กรีฑาทัพไปตีเมืองสะเทิม ได้นา พระไตรปิฎก 30 จบ สิ่งเคารพบูชาอันศกั ดิ์สิทธ์ิ และพระภิกษุชาวตะเลงท่ีแตกฉานในพระพุทธธรรม โดย บรรทุกบนหลังช้างจานวน 32 เชือก กลับมายังประเทศพุกาม พระองค์ได้รวมเมืองท้ังสองแห่งเข้าเป็น อาณาจักรเดียวกัน และรับเอาวัฒนธรรมตะเลงมาเกือบท้ังหมด ตั้งแต่อักษร ภาษา วรรณคดี และ พระพุทธศาสนา เป็นต้น ทรงแลกเปลี่ยนศาสนทูตกับลังกา ได้นาพระไตรปฎิ กฉบบั สมบูรณม์ าจากลังกา 3 จบ โดยนามาสอบทานกับฉบับของเมืองสะเทิม ทรงส่งเสริมศิลปกรรมทุกอย่างเก่ียวกับพระพุทธศาสนา ทาให้พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทเจรญิ รุ่งเรอื งไปทว่ั ประเทศพมา่ พุทธศตวรรษท่ี 24 ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ามินดง ณ กรุงมัน ดะเล ได้จากรึกพระไตรปฎิ กลงในหินอ่อน 729 แผ่น และวันท่ี 4 มกราคม พ.ศ. 2492 พม่าได้เปลี่ยนเป็น สหภาพพม่าและเปลี่ยนมาเป็นสาธารณรัฐพม่าในภายหลังจากได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ ได้เป็นเจ้าภาพ ทาสังคายนาพระไตรปิฎกอีกคร้ังหนึ่ง ณ กรุงร่างกุ้ง (ย่างกุ้ง) เนื่องในการฉลอง 25 พุทธศตวรรษ มีชาว พุทธจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมเป็นจานวนมากและได้แจกพระไตรปิฎก พรอ้ มคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา และ ปกรณ์พเิ ศษตา่ ง ๆ ให้ประเทศทเี่ ข้าร่วมด้วย (ดงั ได้กลา่ วแล้วในบทที่ 3) (2531, หนา้ 141-146) 12. พระพุทธศาสนาในลาว พระพทุ ธศาสนาเข้าส่ลู าวในยุคเดียวกันกับประเทศไทย แต่มาชดั เจนท่ีสุดในยุคของขุนหลวงหรือ ขนุ บูลม หรือ พระเจ้าพีลอโก๊ะ กษัตริย์แห่งนา่ นเจ้าดังกล่าวแลว้ ในเบ้ืองต้น แต่มาเร่ิมรุ่งเรืองชัดเจนในยุค ของพระเจา้ ฟ้าง้มุ พระราชโอรสของพญาสวุ รรณคาแพงเจา้ เมืองชวา หรือลา้ นช้าง (ภายหลังคอื เมอื งหลวง พระบาง) ได้ข้ึนครองราชย์ในปี พ.ศ. 1893 ได้อภิเษกสมรสกับพระราชธดิ าของพระเจ้าชัยวรมันปรเมศวร กษตั รยิ ข์ อม (เขมร) พระนามวา่ พระนางแก้วแกงยา หรือแก้วยอดฟ้า พระนางมศี รัทธาในพระพุทธศาสนา แบบเถรวาทอย่างมาก พระองค์เป็นพุทธศาสนิกชนท่ีเคร่งครัดมาก ทรงขุนนางและราษฎรมีความเช่ืองม งายนับถือผี มีการล้มช้าง ม้า วัว ควาย เพื่อทาพลีกรรม ทรงสลดสังเวชพระทัยย่ิง จึงทูลพระสวามีให้นา พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจากกัมพูชาเข้าไปประดิษฐาน เจ้าฟ้างุ้มจึงส่งทูตไปขอพระภิกษุและ พระไตรปิฎกจากกัมพูชา กัมพูชาได้ส่งพระสงฆ์มีพระมหาปาสมันตเถระ (อาจารย์ของเจ้าฟ้างุ้มขณะยัง ทรงพระเยาว์) และพระมหาเทพลังกา พร้อมนักปราชญร์ าชบณั ฑติ ช่างศิลป์ และบริวารมาจานวนมาก ใน ขณะเดยี วกัน ทา่ นเหลา่ นัน้ ได้นาพระปางห้ามญาติ เรยี กว่า พระปาง และพระไตรปิฎก ตลอดถงึ ศาสนวัตถุ อ่ืน ๆ มาด้วนจานวนมาก โดยพระปางดังกล่าวคือที่มาของเมืองหลวงพระบาง น่ันเอง เน่ืองจากมี

126 ความสาคัญมากและได้รบั สืบทอดมาจากลังกา ซ่ึงเจา้ ฟา้ งุ้มไดร้ ับพระราชทานมาจากกษัตรยิ ์กัมพชู าอีกต่อ หนงึ่ โดยได้อัญเชิญไปประดษิ ฐานที่เมืองเวยี งคาก่อนจนถึง พ.ศ. 2045 จงึ อัญเชิญมายังล้านช้างหรือหลวง พระบางในภายหลัง ตอ่ มาพวกอามาตย์ได้ขับพระองค์จากบัลลังค์แล้วอภิเษกพระราชโอรสข้ึนครองราชย์แทน เพราะ เบ่ือหน่ายต่อการศึกสงคราม ตั้งพระนามว่า พญาสามแสนไท (ต้ังตามจานวนชายฉกรรจ์ท่ีสารวจได้ใน พ.ศ. 1919 จานวน 3 แสนคน) ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงไทยแห่งกรุงศรีอยุธยา บ้านเมืองยุคน้ีจึงเป็น ยุคฟื้นฟู เปล่ียนแปลง และจัดระเบียบบ้านเมืองเป็นส่วนใหญ่ โดยนาแบบแผนวิธีการมาจากประเทศไทย ท้ังด้านพระศาสนา การศึกษา การค้าขาย ล้านช้างได้กลายเป็นศูนย์กลางพาณิชกรรมสาคัญแห่งหนึ่ง บ้านเมอื งจงึ สงบสุขตลอดมายาวนาน ทรงเจริญสัมพันธไมตรกี ับไทยและเวยี ดนามเป็นอย่างดี พ.ศ. 2063-2090 เป็นรชั กาลของพระโพธสิ าร พระองค์ทรงเคร่งครัดในพระพุทธศาสนามาก ทรง พยายามชักจูงให้ประชาชนได้เลิกละการทรงเจ้า เข้าผี เลกิ นับถอื ผสี าง เทวดา ไสยศาสตร์ ใหห้ ันมานับถือ และปฏิบัติตามหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์ แต่ความพยายามของพระองค์ไม่สาเร็จ เนื่องจากส่ิงเหล่าน้ันได้หย่ังรากลึกในจิตใจของประชาชนมาแต่โบราณ เม่ือกษัตริย์อาณาจักรล้านนา สวรรคตขาดรัชทายาทสืบตอ่ ราชสมบตั ิ แต่มกี ารอา้ งสทิ ธ์ิกันจานวนมาก จึงทรงยกทพั ไปปราบจนได้รับชัย ชนะ แลว้ ทรงโปรดให้โอรสพระนามว่า ไชยเชษฐวงั โส ไปครองอาณาจักรลา้ นนา เมอ่ื พระองค์สวรรคต เจ้า ไชยเชษฐวงั โส จึงได้เสด็จข้ึนครองราชย์ ทีล่ ้านช้าง พระนามว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ตอ่ มาได้ย้ายไปท่ี หลวงพระบาง เพราะเกรงกลัวต่ออานาจของพม่า โดยอัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย ดังกล่าวแล้วใน เบื้องต้น ในรัชสมัยของพระองค์น้ัน ได้มีการผูกสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาอย่างแน่นแฟ้น ทรงสร้าง เจดีย์ร่วมกันเรียกว่า พระธาตุศรีสองรัก ในเขตอาเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย มีพิธีทาบุญร่วมกันทุกปีในวัน เพญ็ เดือนหก คาว่า ศรี ในชอ่ื พระเจดยี น์ นั้ หมายถงึ ศรีอยุธยากับศรีสัตนาคนหตุ น่นั เอง พ.ศ. 2180 พระเจ้าสุริยวงศา ขึ้นครองราชย์ ทรงได้รับยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ย่ิงใหญ่ท่ีสุดของ ลาว ทรงครองราชย์นานถึง 55 ปี (57 ปี) บ้านเมืองสงบสุขท้ังภายในและภายนอก วัฒนธรรมรุ่งเรือง ศิลปะ ดนตรี สถาปัตยกรรม ประตมิ ากรรม จิตรกรรมได้แพร่หลายเปน็ อย่างมาก ทรงเจริญสัมพันธไมตรี กับเพ่ือนบ้านด้วยดี ทรงส่งเสริม ทานุบารุงพระพุทธศาสนา จนมีนักปราชญ์ราชบัณฑิต สามารถแต่ง วรรณคดีตา่ ง ๆ เชน่ สังข์ศิลปช์ ยั ปูส่ อนหลาน หลายสอนปู่ เป็นต้น ทรงสวรรคตเม่อื พ.ศ. 2237 ประเทศลาวได้ตกเป็นเมืองข้ึนของฝรั่งเศส 45 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2447-2492 หลังได้รับเอกราชจาก ฝร่ังเศส ประเทศลาวได้ดาเนินการฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาด้วยการบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 ว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติ และพระมหากษัตริย์เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก” และอีกหนึ่ง บัญญัติว่า “คณะสงฆ์ลาวมีนิกายเดิมนิกายเดียว” (คือนิกายหินยานแบบลังกาวงศ์) และได้เปลี่ยนสภาพ ราชอาณาจักรลาวเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อวันท่ี 2 ธันวาคม 2518 (2531, หน้า 147-166) 13. พระพุทธศาสนาในเวียดนาม พระพุทธศาสนาได้เข้าสู่ประเทศเวียดนามราว พ.ศ. 732 โดยสันนิษฐานว่า ท่านเมียวโป ได้ เปลี่ยนศาสนาจากลัทธิเต๋ามานับถือศาสนาพุทธ ได้เดินทางมาจากประเทศจีนเข้ามาเผยแผ่ศาสนา แต่ยัง ไม่แพร่หลายมากนักในระยะแรก ต่อมาภายหลังมีพระภิกษุชาวอินเดียช่ือ วินิตรุจิ ท่านสาเร็จการศึกษา ด้านพระพุทธศาสนามาจากอินเดียภาคตะวันตก ได้เดินทางเข้าประเทศจีนศึกษาพุทธศาสนานิกายฉาน หรือ เซน แล้วนามาเผยแผ่ในตังเกี๋ย พ.ศ. 1123 ได้รับการยกย่องวา่ เป็นสังฆราชแห่งนิกายเธียน และยังมี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 127 ลูกศิษย์ท่ีมีชื่อเสียง ช่วยในการเผยแผ่หลักธรรมของนิกายเธียนของอาจารย์จนได้รับความนับถืออย่าง กว้างขวางมากขึน้ โดยลาดบั ท่านมีชื่อว่า ฝับเหียน ทาให้นิกายเธยี นมคี วามมัน่ คงในระดบั หนง่ึ ทีเดยี ว พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ (2557, หน้า 24-165) กล่าวว่า เน่ืองจากในยุคนั้น สถานการณ์ บ้านเมืองของจีนกาลังยุ่งเหยิง จักรพรรดิจีนทรงนับถือศาสนาเต๋า ไม่โปรดศาสนาพุทธ มีการบีบค้ัน พระสงฆ์จีนหลายด้าน ทาให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่เดินทางเข้ามาสู่อาณาจักรเวียดนาม และได้เผยแผ่ พระพุทธศาสนาแบบมหายานอย่างต่อเนื่อง ทาให้ผู้คนหนั มานับถือ ยอมรับเอาวัฒนธรรมของจีน ไม่ว่าจะ เป็นภาษา อักษร ประเพณี อาหารการกินต่าง ๆ จึงทาให้พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองท่ัวเวียดนามใน ครั้งนั้น ต่อมามีพระอินเดียอีกรูป ช่ือว่า มหาชีวกะ ได้เดินทางมาเวียดนาม ก่อนเดินทางไปยังประเทศจีน และพระกลั ยาณรุจิ หรือฉ่ีโจงหลง ชาวอนิ เดียอกี รูปหนึง่ ไดเ้ ดินทางมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาหลายปี โดย ท่านท้ังสองมีความชานาญภาษาจีนมาก พระกัลยาณรุจิได้แปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาจากภาษาจีนและ ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาเวียดนาม จานวนหลายเล่ม ทาให้ชาวเวียดนามได้ศึกษาเก่ียวกับพระธรรมคา สอนของพระพทุ ธศาสนามากยิง่ ขน้ึ พ.ศ.1062 พระโพธิธรรม หรือ ปรมาจารย์ตั๊กม้อ พระสงฆ์ชาวอินเดียอีกรูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ได้เดินทางมายังเวียดนาม ก่อนจะเดนิ ทางไปยังจีน ท่านได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิลีน้ ามเด้ นานิกายเธียน (เรียก ภายหลังว่า เซน) แต่พระองค์ไม่โปรดเพราะไม่เข้าใจหลักธรรมหรือปรัชญาที่ท่านแสดงให้ฟัง ท่านจึงไป บาเพ็ญเพียรในถ้านาน 9 ปี ต่อมาได้เผยแผ่นิกายเซนจนได้รับความนิยมแพร่หลาย และได้คิดวิชากังฟูวัด เส้าหลินข้ึน จนเป็นเป็นทเ่ี ลื่องลือในขณะท่ีพานกั อยู่ท่ีวัดเสา้ หลินเปน็ เวลานาน ตราบจนอายุ 120 ปี ท่าน จึงมรณภาพในปี พ.ศ. 1133 เวียดนามนับถือพระพุทธศาสนาแบบมหายานมาตลอดไม่เคยเปล่ียนแปลง นิกายที่เป็นที่ยอมรับ กว้างขวางในยุคน้ันมี 2 นิกาย คือ นิกายอาหัม (อาคม) และนิกายเธียน (เซน) มีท้ังเจริญและเส่ือมในยุค ต่าง ๆ ได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์ต่าง ๆ คือ ราชวงศ์ด่ิง ราชวงศ์เล ราชวงศ์ลี้ ราชวงศ์เตริ่น ราชวงศ์ เหงียน พระพุทธศาสนาเจริญที่สุดในราชวงศ์ลี้และราชวงศ์เตร่ิน กล่าวคือราชวงศ์ลี้ มีจักรพรรดิลี้ถ่ันต๋ง หรือล้ีทนั่ ต๊งว่างเด้ ทรงมีเมตตา โอบอ้อมอารี ทรงศรัทธาในพระพุทธศาสนามากโดยเจริญรอยตามพระเจ้า อโศกมหาราชจนได้รับฉายาว่าพระเจ้าอโศกแห่งเวียดนาม และราชวงศ์เตร่ินมีจักรพรรดิเตริ่นไถ่ตง หรือ เตริ้งท้ายต้งว่างเด้ ทรงมีพระทัยขวนขวายในพระธรรมคาสอนของพระพุทธองค์มากถงึ ข้ันปรารถนาบรรลุ เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ถึงกับคิดสละบัลลังค์เพ่ือหลบไปพานักในบริเวณภูเขาเพ่ือแสวงหาโมกขธรรม คาสอนของพระพุทธเจ้าและค้นหาเหตุผลต่าง ๆ ในชีวิตและความตาย แต่ได้รับคาช้ีแนะจากพระ อาจารย์ตรุ๊กเลิมให้กลับมาครองบัลลังค์โดยให้เหตุผลว่า “เม่ือจิตสงบและรู้แจ้งท่ีไหน พระพุทธเจ้าก็ ประทบั ณ ทน่ี ้ัน หากพระองค์มีจติ ท่ีจะบรรลแุ ลว้ เปน็ พระพทุ ธเจา้ ได้ ทาไมไม่ไปแสวงหาธรรมท่ีอื่น” และ กล่าวอีกว่า “เนื่องจากพระองค์เป็นกษัตริย์ความต้องการของอาณาประชาราษฎร์เป็นความต้องการของ พระองค์ หัวใจของประชาราษฎร์เป็นหัวใจของพระองค์ บัดนี้อาณาประชาราษฎร์มาทูลขอให้พระองค์ เสด็จกลับ พระองค์จะปฏิเสธได้อย่างไร อย่างไรก็ดีมีสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมคือ เม่ือเสด็จกลับถึงวังแล้ว โปรด ศกึ ษาคัมภีร์ต่าง ๆ” พระองคจ์ าใจตอ้ งเสด็จกลับ ไดศ้ กึ ษาพระคัมภีร์มากมายไม่เว้นแตล่ ะวัน ขณะทศ่ี ึกษา วัชรสูตร พระองค์มักหยุดอยู่ที่ประโยคว่า “อย่าให้ดวงจิตยึดติดกับส่ิงใด” พร้อมทั้งปิดหนังสือลง แล้ว ภาวนาไปอีกนาน จนกระท่ังพระองค์ได้บรรลธุ รรม และเขียนข้อความอทุ ิศให้แก่เธยี น (เซน) ดังน้นั จะเห็น ได้ว่าพระพทุ ธศาสนานั้นมคี วามสาคัญต่อราชสานักในยุคน้ันมาก นิกายท่ีสาคัญในเวียดนามปัจจุบันมี 4 นิกายคือ นิกายเธียน (เซน) นิกายดินห์โต นิกายเถวาท และนิกายขัตสี หรือคัตเส และลักษณะเด่นของชาวพุทธเวียดนามโดยเฉพาะพระสงฆ์คือ มีความศรัทธา

128 มั่นคงในพระพุทธศาสนา ไม่นิยมลาสิกขา พระมหาเถระสนับสนุนศาสนทายาทโดยเฉพาะด้านการศึกษา ท้ังในและต่างประเทศ อนึ่งพระพุทธศาสนายังมีอิทธิพลต่อชาวเวียดนามคือ วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นศูนย์กลางการศึกษา พระสงฆ์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน พระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมแห่ง เศรษฐกิจ พระสงฆ์มีส่วนร่วมในการต่อสู้กับการเมือง ส่วนพระเถระที่สาคัญที่มีช่ือเสียงในยุคหลังถึง ปัจจุบันคือ พระต๊ิช นัท ฮันห์ พระติ๊ช ถันห์ ตื้อ และพระต๊ิช ตรี กวาง ท้ังสามรูปมีชื่อเสียงมากทั้งในและ ต่างประเทศ 14. พระพุทธศาสนาในกัมพูชา พระพุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ประเทศกัมพูชาโดยพวกปัลลวะ ที่อพยพมาจากอินเดียใต้และได้นา พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเข้ามาเผยแผ่ด้วย ต่อมาในพุทธศตวรรษท่ี 10 พระเจ้ารุทธวรมัน ทรงมี ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงใหก้ ารอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา โปรดให้พระภิกษุชาวฟูหนา (ฟูนัน ก็เรียก) ใหเ้ ดินทางไปจีนเพ่ือแปลคัมภีร์ มีพระสังฆปาละและพระมนั ทรเสน เป็นต้น พระสังฆปาละได้แปล คัมภรี ์วมิ ุตติมรรค คล้ายกับวิสุทธมิ รรคมาก แสดงให้เห็นว่าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทไดร้ ับการเผยแผ่ ในฟูหนานานแล้ว ต่อมาราวพุทธศตวรรษท่ี 13 อาณาจักรเจนละ ท่ีแยกออกจากอาณาจักรฟูหนาได้แตก ออกเปน็ 2 อานาจักรคอื อาณาจักรเจนละบก อยทู่ างตอนเหนือของลมุ่ แม่นา้ โขง และอาณาจักรเจนละน้า อยู่ทางตอนใตข้ องลุ่มแม่น้าโขง ในกาลตอ่ มาได้มพี ระเจ้าชยั วรมันท่ี 2 เช้ือสายมลายู ได้รวบรวมอาณาจกั ร ท้ังสองเข้าร่วมกันอีกคร้ังและสืบเชื้อพระวงศ์มาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 14 ได้มีราชวงศ์ใหม่ว่า พระเจ้าสุ ริยวรมันท่ี 1 ซึ่งเป็นโอรสของพระยาชีวกเจ้านครศรีธรรมราช ทรงให้สร้างพุทธสถานและพระเคร่ือง จานวนมาก ที่เรียกกันภายหลังว่า พระร่วงรางปืน น่ันเอง เป็นพิมพ์แบบมหายาน ทรงเทริดและมีหูยาน และพระพุทธศาสนาได้เจริญอีกรอบในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยทรงนาพระพุทธศาสนาแบบ มหายานเข้ามาเผยแผ่ มีการสร้างปราสาทมากที่สุด นิยมบูชาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อุทิศบุญกุศลแก่ พระชนก และให้สร้างปราสาทหินตราพรม บูชาพระปรัชญาปารมิตาโพธิสัตว์อุทิศบุญแก่พระชนนี ดัง ข้อความที่จารึกไว้ท่ีปราสาทหินพรมว่า “ปราสาทนี้เป็นอาวาสสาหรับมหาเถระ 18 รูป และพระสงฆ์อีก 1,740 รูป” ทรงให้สร้างปราสาทบายนเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์ ทรงให้สร้างพระพุทธรูป กร่ิงปทุม (พระไภสัชคุรุพุทธเจ้า) ทรงให้สร้างพระพุทธปฏิมาพระนามว่า ชัยพุทธมหานาถะ แล้ว พระราชทานให้ไปประดิษฐานใน 23 หัวเมอื ง พระพุทธศาสนาไดเ้ จรญิ รุ่งเรอื งตลอดมาในยุคของพระองค์ หลังจากนครธมถูกตีแตกโดยพระบรมราชาที่ 1 หรือขุนหลวงพระง่ัวของไทย กัมพูชาหรือเขมรก็ กลายเป็นชาติเล็ก ๆ ชาติหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ ต้ังแต่ พ.ศ. 2472 เป็นต้นมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้าน การปกครองหลายคร้ัง ส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาอย่างมาก มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทั้งชาวเขมรและ พระสงฆ์จานวนมากถึง 2 ล้านคน ในสมัยนายพอลพตเป็นผู้นา และในปัจจุบันโดยการนาของนายก เฮง สัมริน ไดร้ ้ือฟ้ืนระบอบกษัตริย์ข้ึนมาอีก ปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริยเ์ ป็นประมุข หัน กลับมาให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอีกคร้ัง ทาให้สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาดีข้ึนโดยลาดับ (2554, หนา้ 300-303) 15. พระพทุ ธศาสนาในเอเชยี เอเชยี กลาง เอเชียกลางเป็นที่ตั้งของประเทศเติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน อุซเบกิสถาน ทาจิกิสถาน และ ในทางตอนใต้ของคาซัคสถาน เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์และธิเบตของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตลอดถึงดินแดนบางส่วนของประเทศมองโกเลียและไซบเี รยี ตอนใตอ้ ีกด้วย

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 129 พระพุทธศาสนาเข้าสู่เอเชียกลางหรือลุ่มแม่น้าตาริม (Tarim Basin) และพาร์เทีย (Bacrtria) ในพุทธ ศตวรรษท่ี 2 โดยพระธรรมทูตของพระเจ้าอโศกมหาราชสายพระมัชฌันติกเถระและสายพระธรรมรักขิตเถระ ได้มาเผยแพร่ แตก่ ็ไม่มีหลักฐานชัดเจนนัก ศูนย์กลางของพระพทุ ธศาสนาในเอเชียกลาง คือ เมืองกชุ า หรือ กุฉิ ต่อมาในพุทธศตวรรษท่ี 7 พระพุทธศาสนาได้ตั้งมั่นในเอเชียกลางบนทางสายไหม ทาให้เมือง เช่น โขตาน (ปัจจุบันคือ โฮตาน) กุชา และตูร์ฟาน (บ้างว่า เตอร์ฟาน) เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมท่ีเจริญรุ่งเรือง ตามบันทึก ของหลวงจีนฟาเหียน โดยท่านได้จาริกผ่านมาในพุทธศตวรรษที่ 9 ระบุว่า \"รัฐชาน-ชาน (Shan-Shan) มี พระภิกษุฝ่ายหีนยานกว่า 4,000 รูป และประชาชนท่ัวไปท่ีปฏิบัติตามหลักคาสอนของพระพุทธศาสนา อย่างเครง่ ครัด แตม่ ีการปรับปรุงบา้ งให้เหมาะสมบางประการ ท่ีสาคญั พระภิกษุ สามเณรล้วนศกึ ษาภาษา อินเดียและพูดภาษาอินเดียได้ ท่านพักอยู่ที่นั่นสองเดือน แล้วไปยังรัฐโขตาน มีภิกษุหลายหม่ืนรูป ส่วนมากเป็นฝ่ายมหายาน ท่านได้พักในวิหารโคตมีอันใหญ่โตและสะดวกสะบาย ท่านพบว่า พระภิกษุ จานวน 3,000 รูปจะมาชุมนุมเพ่ือฉันภัตตาหาร เมื่อเสียงตีฆ้องดังขึ้น ต้ังแต่ย่างกายเข้าหอฉัน ท่าน เหล่านั้นล้วนมีอากัปกริ ิยาท่ีเคร่งขรึมและสงบเสงย่ี ม นั่งเป็นแถว เปน็ ระเบียบ เงียบมาก ไม่ส่งเสียงดัง แม้ ด้วยเสียงภาชนะกระทบกัน หากต้องการอาหารเพ่ิมจะให้สัญญาณมือ ท่านได้พักที่โขตานต่ออีกเป็นเวลา 3 เดือน ได้เห็นขบวนแห่พระพุทธรูปอันมโหฬาร มีพระภิกษุ สามเณร พระเจ้าแผ่นดิน ราชินี สตรีชาววัง ตลอดถงึ ประชาชนท่ัวไปร่วมขบวนแห โดยมีวัดเข้ารว่ มกว่า 14 วัด นาโดยวัดโคตรมีที่ท่านพานักอาศัยอยู่ ใช้เวลาแหว่ ดั ละ 1 วัน ใช้เวลา 14 วัน เร่ิมตงั้ แต่วนั ท่ี 1 เดือน 4 เป็นต้นไป ห่างจากโขตานไปทางตะวันตก ราว 7-8 ล้ี (1 ล้ี = ราว 1 ส่วน 3 ไมค์) มีวัดใหม่ของหลวงที่ใช้เวลาสร้างนานถึง 80 ปี สูงประมาณ 250 ฟตุ ได้รับการช่วยเหลอื และบริจาคทรัพยจ์ ากพระเจ้าแผ่นดนิ 6 ประเทศจงึ สรา้ งเสร็จ นอกจากพระภิกษุ ฝ่ายมหายาน ยังพบว่ามีพระสงฆ์นิกายสรวาทสติวาทินเจริญรุ่งเรืองเคียงคู่มหายานอีกด้วย เพราะมีการ คน้ พบโบราณวัตถุหาค่ามิได้ เช่น คัมภีร์หาคา่ มิได้จานวนมาก คัมภีร์วิชาการอินเดีย และเป็นภาษาท้องถิ่น แล้ว พร้อมกันนนั้ ก็พบพระพทุ ธรูป ศิลปะกรีก-โรมัน และจีนผสมกัน (สภาการศึกษามหามกฏุ ราชวิทยาลัย , 2537, หนา้ 236-237) ในพุทธศตวรรษท่ี 9 นี้ ก็มีพระภิกษุที่มีช่ือเสียงมากท่ีสุดคือ พระกมุ ารชีวะ (หรือ กุมารชีพ) ท่าน ได้ศึกษาวรรคดีพุทธศาสนาในกัศมีร์เป็นเวลาหลายปี จากนั้นก็กลับมาเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองกุชา ในยุค น้ันก็เกิดสงครามระหวา่ งเมืองกุชา และจีน ทางจีนได้จับพระกุมารชีพเป็นเชลย ท่านได้ปฏิบัติศาสนกิจใน จีนจนมรณภาพที่น่ัน เป็นเวลา 15 ปี ท่านได้ส่ังสอนพุทธปรัชญา และแปลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็น ภาษาจีนเป็นอันมาก จนเป็นบุคคลสาคัญท่านหน่ึงในประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในประเทศจีน (พระเทพ เวที (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต), 2531, หน้า 249) ศาสนาพุทธแพร่ไปทางตะวันตกถึงพาร์เทียอย่างน้อยถึงบริเวณเมิร์บในมาร์เกียนาโบราณ ซ่ึง ปัจจบุ ันอยใู่ นเติร์กเมนิสถาน ชาวพาร์เทียจานวนมากมีบทบาทในการแพร่กระจายของพุทธศาสนาโดยนัก แปลคัมภีร์ชาวพาร์เทียได้แปลคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษาจีน ขณะเดียวกันบริเวณตะวันออกของเอเชีย กลาง (เตอรเ์ กสถานของจีน ท่ีราบตาริม และเขตปกครองตนเอง ซนิ เจียงอุยกูร์) พบศลิ ปะทางพุทธศาสนา จานวนมาก ซ่งึ แสดงอทิ ธิพลของอินเดียและกรีก ศิลปะเป็นแบบคันธาระ และจารึกเขยี นด้วยอักษรขโรษฐี ทางสายไหมหลายเมืองในดินแดนเอเชียกลาง เป็นตัวเชื่อมสาคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธระหว่าง ตะวันออกและตะวันตก ผ้แู ปลคมั ภีรเ์ ป็นภาษาจนี รนุ่ แรก ๆ เป็นชาวพารเ์ ทีย ชาวกุษาณ หรือชาวซอกเดีย การติดต่อแลกเปล่ยี นพุทธศาสนาระหว่างเอเชยี กลางกับเอเชียตะวันออกพบมากในพุทธศตวรรษท่ี 15 ทา ให้ศาสนาพทุ ธเขา้ ไปตัง้ ม่นั ในจนี จนปจั จุบนั

130 จึงกล่าวได้ว่าดินแดนแห่งน้ีเป็นแหล่งชุมนุมศิลปกรรม วัตถุเคารพบูชา พุทธสถานและปูชนีย สถานในพระพุทธศาสนามากมาย เช่น วัด อาราม สถูป ถ้า ภาพจิตรกรรม ประติมากรรม คัมภีร์ และ เอกสารจดหมายเหตุต่าง ๆ ท้ังภาษาบาลี สันสกฤต จีน และขโรษฐี เป็นต้น โดยเฉพาะพระพุทธรูปน้ัน ประดับด้วยเพชรนิลจินดาอย่างวิจิตร ท้ังใหญ่โตมโหฬาร และวิจิตรพิศดารงดงามย่ิงนัก แสดงให้เห็นถึง ความเริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาและความเล่ือมใสศรัทธาของชาวพุทธที่มีต่อพระพุทธศาสนาในยุค นน้ั มาก 16. พระพุทธศาสนาในประเทศจนี พระราชวิสุทธกิ วี (พิจิตร ฐิตวณโฺ ณ) (2534, หน้า 1-91) ได้กล่าวถึงปฐมกาลของพระพทุ ธศาสนา ในเมืองจีนไว้ว่า ประมาณ พ.ศ. 326 จีนได้ยินคาว่า พุทธ เป็นคร้ังแรก จากพ่อค้าต่างแดนท่ีเดินทางผ่าน เอเชียกลางเพ่ือทาการค้ากับจีน ในราชวงศ์ฮั่น มีปฐมกษัตริย์พระนามว่า เล่าปัง ได้ปราบดาภิเษกข้ึนเป็น กษัตรยิ ์ทรงพระนามว่า พระเจา้ ฮน่ั โกโจ และตอ่ มาในรัชสมัยของพระเจา้ ฮัน่ เม่งต๋ี เมื่อ พ.ศ. 608 พระองค์ ทรงสุบินเห็นพระพุทธรูปทองคาลอยเข้าวัง ทรงเกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงส่งทูต จานวน 18 คน ไปเมอื งโขตาน เพ่ือสืบข่าวเกย่ี วกับพระพุทธศาสนา คณะทูตไดน้ ิมนต์พระภิกษุสองรูป คือ พระกัสสปมาตังคะ และพระธรรมรักษ์ พระธรรมทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช ให้เข้ามาเผยแผ่ศาสนาใน จีน พร้อมกับนาพระคัมภีร์พุทธศาสนามาด้วยส่วนหน่ึง บรรทุกบนหลังม้าขาว ใช้เวลา 3 ปี จึงเดินทาง มาถึงเมือง ลกเอ้ียง (นครโลยาง) และต่อมาในปี พ.ศ. 610 (บางตาราว่า พ.ศ. 612) พระองค์ได้สร้างวัด แปะเบ๊ย่ี (วัดม้าขาว เพ่ือเป็นอนุสรณ์แก่ม้าท่ีบรรทุกพระคัมภีร์มา ซ่ึงวัดม้าขาวยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน) อยู่ ใกล้กับเมืองหลวงคอื เมืองลั่วหยาง พระภิกษุท้ังสองรูปได้แปลคัมภรี ์ท่ีนามาเป็นภาษาจีน ชื่อว่า พระสูตร 42 บท (รวบรวมพระพุทธวจนะหลักใหญ่นามาจากธรรมบท 42 ข้อ และโยชนาภินทรสูตร) ทาให้พระ ธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายมีประโยชน์แก่ชาวจีนเป็นอย่างมาก ศิลปะทางพุทธศาสนา ยุคแรก ๆ ระหว่าง พ.ศ. 721- 732 ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบคันธาระ พุทธศาสนาในจีนรุ่งเรืองมากใน ยุคราชวงศ์ถัง ราชวงศ์นี้ได้เปิดกว้างต่อการรับอิทธิพลจากต่างชาติ และมีการแลกเปล่ียนวัฒนธรรมกับ อินเดีย มีพระภิกษุจีนเดินทางไปอินเดียมากในช่วงพุทธศตวรรษที่ 9-16 เมืองหลวงในสมัยราชวงศ์ถัง คือ ฉางอาน กลายเป็นศูนย์กลางสาคัญของพุทธศาสนาและเป็นแหล่งเผยแผ่ศาสนาต่อไปยังเกาหลีและญี่ปุ่น ในพุทธศตวรรษที่ 11 เอเชียกลางได้กลายเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกันระหว่างจีน กับอินเดียอีกคร้ัง เน่อื งจากยคุ น้ีเอเชยี กลางเป็นส่วนหนึ่งของจีน แตบ่ างช่วงทเิ บต ก็มีอานาจไปปกครองบา้ ง เน่ืองจากมีการ ค้นพบเอกสารมีค่า ในถ้าตุนหวง เป็นจานวนมากมีอายุในช่วงนี้ ในยุคนี้ชาวอุยกูร์ยังนับถือลัทธิมาณีกีอยู่ และเปล่ียนมานับถือพระพุทธศาสนาในพุทธศตวรรษท่ี 14 จากน้ันก็มีการแปลคัมภีร์พุทธศาสนา จาก ภาษาสันสกฤต และจีนให้เป็นภาษาอุยกรู ์ จากนั้นมาในศตวรรษท่ี 15 ชาวมุสลิมเติร์กก็ได้มีอิทธิพลเหนือ ชนกลุ่มเดิม ทาให้พุทธศาสนาเส่ือมเร่ือยมา แต่ในปัจจุบันยังมีผู้นับถือพระพุทธศาสนาอยู่ในกลุ่มชาวมอง โกล ชาวจีน และชาวทิเบต อย่างม่ันคง พบได้ทั่วไปว่าทุกครอบครัวต้องมีท่ีบูชาพระพุทธรูป มีการจุดไฟ บชู าด้วยเนย และถวายน้าสะอาดทุกวัน มีการสวดมนตแ์ ทบทงั้ วนั โดยเฉพาะคนมีอายุ ตอ่ มาในบ้ันปลายของราชวงศ์ถัง ใน พ.ศ. 1388 จักรพรรดิหวู่ซุง ประกาศให้ศาสนาจากต่างชาติ ได้แก่ ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ และศาสนาพุทธ เปน็ ศาสนาทีผ่ ิดกฎหมาย หันไปสับสนุนลทั ธิเต๋า แทน ในสมยั ของพระองค์มกี ารทาลายวดั คัมภีร์ และบงั คับให้พระภิกษุลาสิกขาจานวนมาก ความรุ่งโรจน์ ของพุทธศาสนาจึงสิ้นสุดลง พุทธศาสนานิกายสุขาวดี และนิกายฌานยังคงรุ่งเรืองต่อมา และกลายเป็น นกิ ายเซนในญ่ีปุ่น นิกายฌานในจีนมอี ิทธพิ ลในสมัยราชวงศซ์ อ้ ง

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 131 ต่อไปนจ้ี ะกลา่ วถึงพระพุทธศาสนาในประเทศจนี ในสมยั ตา่ ง ๆ พอสังเขปดังนี้ สมัยราชวงศ์ฮ่ัน สมัยราชวงศ์ฮั่น (พ.ศ. 342-763) พระพุทธศาสนาเป็นท่ีเล่ือมใสในวงจากัด กล่าวคือ เป็นที่เลื่อม ใส่เฉพาะในหมู่ข้าราชการและชนช้ันสูงแห่งราชสานักเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่แพร่หลายในหมู่ประชาชน ชาวเมือง เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงนับถือลัทธิขงจ้ือและลัทธิเต๋า จนกระทั่ง โม่งจื๊อ นักปราชญ์ผู้มี ความสามารถย่ิงได้แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้ชาวเมืองได้เห็นถึงความจริงแท้อันลึกซ้ึงของ พระพุทธศาสนาเหนือกว่าลัทธิเดิม อาศัยความประพฤติอันบริสุทธ์ิของพระสงฆ์เป็นเคร่ืองจูงใจให้ชาวจีน เกิดศรัทธาเล่ือมใส จนทาให้ชาวเมืองหันมานับถือพระพุทธศาสนามากกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ พระพุทธศาสนากเ็ จรญิ รงุ่ เรอื งมาเป็นลาดับ สมยั สามกก๊ สมัยสามก๊ก (พ.ศ. 763-808) พระพุทธศาสนาเจริญไปยังจีนใต้ ในปี พ.ศ. 764 และหลังจากโจโฉ ตายในปี พ.ศ. 765 โจผี บุตรของโจโฉ ได้ปราบราชวงศ์ฮั่นลง ตั้งราชวงศ์งุ่ยข้ึน ขณะเดียวกนั เล่าปก่ี ็ต้ังตัว เป็นกษัตรยิ ์ที่เมืองเสฉวน สว่ นซุนกวนก็ตง้ั ตัวเป็นกษัตริยท์ ี่เมอื งกงั ตงั เช่นเดยี วกนั ในช่วงนี้ประชาชนขาดท่ี พึ่งทางใจ เกิดความยากจน ลาบากทุกหัวระแหง หวังพ่ึงลัทธิเต๋าและขงจ้ือไม่ได้ จึงหันมานับถือ พระพุทธศาสนาเป็นจานวนมาก และปรากฏว่ามีพระภิกษุชาวอินเดีย อิหร่าน เตร์ก ต่างเดินทางเข้ามา แปลคัมภรี ์ทางพระพทุ ธศาสนาเป็นจานวนมาก สมัยราชวงศจ์ นิ้ สมัยราชวงศ์จ้ิน (พ.ศ. 808-963) ในช่วงปลายของสามก๊ก สุมาอ้ี สุมาเอี๋ยน ขุนพลของโจผี ได้ ปราบก๊กเลา่ ป่แี ละซุนกวนลง เกิดความฮกึ เหิม ได้ทาการกบฏลม้ บัลลังกโ์ จผี ต้งั ราชวงศ์ใหม่ขึน้ มา เรยี กว่า ราชวงศ์จ้ิน มีเมอื งหลวงชอ่ื นานกิง (เกยี้ นทัง ในสมัยนนั้ ) แปลวา่ เมอื งแขง็ แรง ไดย้ กพระพุทธศาสนาขึ้น อย่างเป็นทางการ มีการบวชภิกษุณรี ูปแรกของจีนเกิดขน้ึ พ.ศ. 915 พระเจ้าเฮาบูต๋ี ประเทศเกาหลี ได้ส่ง ทูตมาขอพระพุทธรูปและพระคัมภีร์ เป็นจุดเร่ิมต้นในการนับถือพระพุทธศาสนาในเกาหลี หลวงจีนฟา เหียนได้ออกจาริกไปสืบพระศาสนาในชมพูทวีปเม่ือ พ.ศ. 942 ต่อมา พระกุมารชีพ จากแคว้น กุฉะ หรือ กูจา ดังกล่าวแล้วในเบื้องตน้ ได้เดินทางมาเมืองเชียงอานเพื่อปฏิบัติศาสนากิจ จนกระทั่งมรณภาพ (พ.ศ. 944-956) รวม 10 ปี ในเบ้ืองปลายของราชวงศ์จ้ินถูกมองโกลเข้าตีแตก โดยยึดคลองลุ่มแม่น้าเหลืองไว้ ไดท้ ัง้ หมด สมัยนา่ ปัก (ราชวงศ์เหนอื และใต)้ สมัยน่าปัก (พ.ศ. 963-1124) จีนได้แบ่งออกเป็นสองภาคใหญ่ ๆ คือภาคเหนือและภาคใต้ เรียก สมัยน้ีวา่ ยุคน่าปัก ในยุคนีน้ ับได้ว่าเป็นยุคทองของพระพทุ ธศาสนา เนื่องจากราชวงศ์ทง้ั เหนอื และใต้ต่าง แขง่ ขันกันในการทานุบารุงพระพุทธศาสนาในทุก ๆ ดา้ น เช่น ด้านการศกึ ษา ศิลปวฒั นธรรม การกอ่ สร้าง และการอุปถัมภ์พระธรรมทูตที่เข้ามาแปลพระคัมภีร์ให้ได้รับความสะดวกสบาย ราชวงศ์น้ีประกอบด้วย ส้อง ชี้ เล้ียง และตั๋น อยู่ทางตอนใต้ ส่วนทางภาคเหนือมีเผ่าทั้ง 5 ปกครองอยู่ มีการสร้างถ้าพระพุทธรูป ดจุ ถ้าอชนั ตาในอินเดียท่เี มืองตนุ ฮวง มพี ุทธศิลปะออกไปทางคันธาระเป็นส่วนใหญ่ ในรัชกาลของพระเจ้า เม่งตี๋ พ.ศ. 1038 มีพระภิกษุและภิกษุณีมากกว่า 2 ล้านรูป พระชาวต่างประเทศ 3 พันรูปเศษ และมีวัด มากถึง 13,000 วัด ในรัชกาลพระเจา้ บู่ต๋ี พ.ศ. 1046-1092) พระองค์มีศรัทธาแรงกล้าในพระพุทธศาสนา มาก ทรงเจริญรอยตามพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเสวยมังสวิรัติ และได้ขอให้สงฆ์ฉันมังสวิรัติด้วย พระสงฆ์จีนจึงถือมังสวิรัติมาจนถึงปัจจุบัน ทรงทาให้การศึกษาพระพุทธศาสนาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก มี การสร้างวัดท่ีใหญ่โต สวยงาม และริเริ่มประเพณีทางพระพุทธศาสนาหลายประการ ต่อมาได้เกิดนิกาย

132 ฉาน หรือ ธยาน ขึ้น (เซน ญ่ีปุ่นเรียก) โดยปฐมาจารย์ช่ือพระโพธิธรรม และในรัชกาลพระเจ้าง่วนตี๋ พ.ศ. 1096 พระพุทธศาสนาได้แพร่จากเกาหลีสู่ญี่ปุ่น ซ่ึงราชวงศ์น้ีได้มีการทาลายล้างพระพุทธศาสนา โดย แคว้นจิวเข้าโจมตีแคว้นชี้ ให้ยกเลิกนับถือพระพุทธศาสนาและเต๋า บังคับพระภิกษุภิกษุณี 2 ล้านรูปลา สิกขา ยดึ วัด 4 หมื่นวัด ทาลายพระพุทธรูปเอาทองคาและทองแดงไปทาเปน็ ทองแท่งและเหรียญกษาปณ์ จนกระทั่งภายหลังได้ผ่อนปรนให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและเต๋าอีกครั้ง แต่ไม่ให้พระห่มจีวร ให้ถือ พระภิกษเุ ป็นพระโพธสิ ัตว์ แตง่ ตังอย่างสามัญเทา่ นน้ั สมัยราชวงศซ์ ุย สมัยราชวงศ์ซุย (พ.ศ. 1124-1161) หลังส้ินราชวงศ์น่าปักแล้ว ขุนพลยางเกียน ได้ต้ังราชวงศ์ซุย ขึ้น เป็นปฐมกษัตริย์พระนามว่า ซุยบุ่นต๋ี รวบรวมจีนเหนือและใต้เข้าด้วยกัน ทรงหันมาฟ้ืนฟูพระพุทธ ศาสนาและใหส้ ร้างวัดขนึ้ ทุก ๆ เมอื งสาคัญ โดยเฉพาะทภ่ี ูเขาทกุ แห่งอย่างสวยงามย่ิงใหญ่ ให้พระภิกษุหัน กลับมาครองจีวรได้ดังเดิม มีการรวบรวมพระไตรปิฎก ทาสารบัญชื่อพระสูตร เน่ืองจากพระองค์เคยเป็น ลกู ศษิ ย์พระมากอ่ น และได้รบั การเลี้ยงดูจากภิกษุณี หลงั ส้ินพระองค์ พระราชโอรสพระนามวา่ หยังกวาง ขึ้นเสวยราชย์ ใช้นามว่า พระเจ้าซุยเฮี่ยงตี๋ ทรงให้ขุดคลองยุนโหเชื่อมแม่น้าเหลือง และแม่น้าแยงชีเกียง แต่หลงมัวเมาในสตรี จนบริหารราชการบ้านเมืองล้มเหลว สุดท้ายถูกแม่ทัพหลี ได้ทาการปฏิวัติ ปลงพระ ชนม์ แลว้ ตง้ั ราชวงศถ์ ังขึน้ มาแทน สมัยราชวงศ์ถงั สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ. 1161 - 1450) จีนได้แผ่อานาจไปทั่วเอเชีย ต้ังแต่ทิศเหนือจรดไซบีเรียทัศ ตะวันออกจรดเกาหลี ทิศตะวันตกจรดอาณาจกั รโรมันตะวันออก ทิศใตไ้ ด้ครอบครองพม่า ญวร และจาปา ส่วนญี่ปุ่นได้ส่งเคร่ืองบรรณาการมาสวามิภักด์ิก่อน ในยุคน้ีพระพุทธศาสนาเจริญสูงสุดไม่แพ้สมัยน่าปัก เพราะได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าจักรพรรดิตลอดจนนักปราชญ์ราชบัณฑิตต่าง ๆ โดยมีการสร้างวัด ข้นึ หลายแห่ง และมกี ารแปลพระสูตรจากภาษาบาลีเป็นภาษาจีนมากมายพระพุทธศาสนาเริ่มเส่ือมลงเมื่อ พระเจ้าบู๊จงขึ้นปกครองประเทศ เพราะพระเจ้าบู๊จงทรงเลื่อมใสในลัทธิเต๋า พระองค์ได้ทาลาย พระพุทธศาสนา เช่น ให้ภิกษุ ภิกษุณี ลาสิกขาบท ยึดวัด ทาลายพระพุทธรูป เผาคัมภีร์ เป็นต้น พระพุทธศาสนาไมไ่ ดร้ บั การอุปถัมภ์จากราชสานกั กเ็ ร่ิมเสอื่ มลงต้ังแต่บดั น้นั สมยั สาธารณรัฐจีน ประเทศจีนได้เปลี่ยนช่ือประเทศเป็น สาธารณรัฐจีน พ.ศ. 2455 พระพุทธศาสนาไม่ได้การ สนับสนุนจากรัฐบาล แต่กลับสนับสนุนแนวความคิดของลัทธิมาร์กซิสต์ ซ่ึงลัทธิดังกล่าว ได้โจมตี พระพุทธศาสนาตลอดมา และมีการกระทาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนามากข้ึนโดยเอาวัดไปใช้เป็น สถานที่ราชการอนื่ ๆ สถานการณข์ องพระพุทธศาสนาจึงอยใู่ นภาวะยา่ แย่ หลวงจีนรูปหน่ึงชื่อว่า พระอาจารย์ไท้สู ได้ช่วยกู้ฐานะของพระพุทธศาสนาไว้โดยทาการปฏิรูป พระพทุ ธศาสนาอยา่ งจรงิ จัง แมจ้ ะมีกาลงั นอ้ ย เรม่ิ จากตั้งวทิ ยาลยั สงฆ์ขนึ้ ท่ี วูซัน เอ้หมงิ เสฉวน และ หลิ่ง นาน เพ่ือฝึกผู้นาทางพระพุทธศาสนาให้มีความรู้ทางพระธรรมวินัยและวิชาการทางโลกสมัยใหม่ และนา ความรู้มาเผยแผ่เพ่อื ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ สังคม ทาให้ผู้คนเล่อื มใสมากขึ้นเร่ือย ๆ จึงสามารถตงั้ พทุ ธสมาคม แห่งประเทศจีนข้ึนเมอ่ื พ.ศ. 2465 แ ล ะ แ ล้ ว ค ว า ม พ ย า ย า ม ข อ ง พ ร ะ อ า จ า ร ย์ ไ ท้ สู ใ น ก า ร ท า ใ ห้ ป ร ะ ช า ช น แ ล ะ รั ฐ บ า ล เ ข้ า ใ จ ใ น พระพุทธศาสนาดีขึ้น สุดท้ายก็เกิดผล ในปี พ.ศ. 2472 ทางราชการได้ออกคาสั่งพิทักษ์ทรัพย์สินของวัด หา้ มนาไปใช้ในกิจการอืน่ จนกระท่ัง พ.ศ. 2473 สาธารณรฐั จีนมีพระภกิ ษแุ ละภิกษุณีรวม 738,000 รูป มี วดั ท้งั สนิ้ 267,000 วัด ซ่งึ นบั ว่าพระพทุ ธศาสนากลบั มาเจรญิ ขึน้ อกี ครั้งในประเทศจีน

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 133 สมัยสาธารณรฐั ประชาชนจนี สาธารณรัฐจีนได้เปล่ียนช่ือประเทศอีกคร้ังหนึ่ง เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ปกครองด้วยลัทธิ คอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ. 2492 ลัทธิคอมมิวนิสต์น้ีมีคาสอนท่ีขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก พระพุทธศาสนาจึงไม่อาจอยู่ได้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยในระยะแรกพรรคคอมมิวนิสต์ยังไม่ใช้ ความรนุ แรง เพราะพระพทุ ธศาสนายงั มีอทิ ธิพลอยู่ในจติ ใจของประชาชนมากพอสมควร แต่แลว้ ในปี พ.ศ. 2494 รัฐบาลได้ออกกฎหมายเพิกถอนสิทธิวดั ในการยึดครองท่ีดิน เปน็ การบบี ให้พระสงฆ์ต้องลาสิกขาบท โดยทางอ้อม พระภิกษุที่ยังไม่ลาสิกขาก็ต้องไปประกอบอาชีพเอง เช่น ทาไร่ ทานา เป็นต้น ทั้งที่ยังครอง เพศเป็นภิกษุอยู่ และในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมคร้ังใหญ่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และ ได้มีเหตุการณ์ที่ กระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากนั่นคือ รัฐบาลได้ยึดวัดเป็นของราชการ ห้ามพระสงฆ์ ประกอบศาสนกิจต่าง ๆ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาถือเป็นความผิดกฎหมาย พระภิกษุถูกบังคับให้ลา สิกขา พระคัมภีร์ต่าง ๆ ถูกเผา พระพุทธรูป และวัดถูกทาลายไปเป็นอันมากใน พ.ศ. 2509 - 2512 จาก เหตุการณ์นี้ทาให้พระพุทธศาสนาเกือบสูญสลายไปจากประเทศจีนกันเลยทีเดียว เมื่อประธานพรรค คอมมวิ นสิ ต์จีน เหมา เจ๋อ ตุง ได้ถึงแก่อสญั กรรม รัฐบาลชุดใหม่ของจีนก็คลายความเขม้ งวดลงบา้ งและให้ เสรีภาพในการนับถอื ศาสนาของประชาชนมากขนึ้ ในปี พ.ศ. 2519 สมัยปจั จบุ นั นับตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา เต่ิงเส่ียวผิง มีอานาจมากข้ึน ได้บริหารประเทศ ดาเนินนโยบาย การค้าแบบเสรี ปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกจิ ของประเทศให้ทันสมัยข้ึน ทาให้ก้าวข้ึนมาเป็นผู้นาระดับต้น ๆ ของโลก โดยได้ยกเลิกอุดมการณ์และโครงสร้างทางการเมืองแบบเหม๋าเจ๋อตุงไปท้ังหมด ปัจจุบัน สาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีการฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาลัทธิมหายานข้ึนใหม่ในประเทศ นอกจากน้ีรัฐบาล จีนยังให้การสนับสนุนจัดต้ังพุทธสมาคมแห่งประเทศจีน และสภาการศึกษาพระพุทธศาสนาแห่งประเทศ จีนขึ้นในกรุงปักก่ิงอีกด้วย เพ่ือเป็นศูนย์กลางการติดต่อเผยแผ่พระพุทธศาสนากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ชาวจีนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาคู่ไปกับลัทธิขงจ้ือ และลัทธิเต๋า และมีผู้นับถือพระพุทธศาสนาเถร วาทเฉพาะในมณฑลยูนนาน ซึ่งโดยท่วั ไปเป็นชนกลุ่มน้อยชาวไทล้ือและชาวไทใหญ่ ปัจจุบันคนจนี เร่ิมหัน มาสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะมณฑลท่ีอยู่ตามริมทะเลท่ีสามารถติดต่อกับ ต่างประเทศได้ เช่น เซี่ยงไฮ้ และกวางตุ้ง เป็นต้น จึงหวังได้ว่าพระพุทธศาสนาจะกลับมารุ่งเรืองเช่นดัง อดตี อยา่ งไมต่ ้องสงสัย 17. พระพทุ ธศาสนาในเกาหลี พุทธศาสนาเข้าสู่เกาหลีเม่ือราว พ.ศ. 915 เมื่อราชทูตจากจีนนาคัมภีร์และภาพวาดไปยัง อาณาจักรโคกูรยอ โดยการนาของพระสมณทูตซุนเตา ต่อมาราว พ.ศ. 928 พระชาวอินเดียนามว่า มาลานันทะ ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในแคว้นปีกเซ ส่วนแคว้นซิลลา ได้มีหลวงจีนนามว่า อาเต้า เดินทางจากแคว้นโคกรูยอ เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา หลังจากน้ัน พระพุทธศาสนาจึงเจริญมั่นคงข้ึน ในเกาหลีสืบมา ส่วนนิกายท่ีมีอิทธิพลต่อเกาหลีจนถึงปัจจุบันคือ นิกายวัน โดยพระเกาหลี นามว่า บับซัง เป็นผู้ก่อตงั้ อีกนิกายหนึ่งที่มอี ิทธิพลอยูท่ างทิศตะวันออกคือ นิกายวิชญาณ กอ่ ต้ังโดยพระเกาหลี นามว่า เชิ้งหน่าง หรือ ฮวนฉ่าง ซ่ึงท่านได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดียก่อนจะนาคัมภีร์กลับมาด้วย จานวนมากและได้ตั้งนิกายดังกล่าวขึ้น ด้านศิลปกรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีโดดเด่นและล้าค่าท่ีสุดได้ถูก สร้างข้ึนที่ถ้าสุกกุลัมในแคว้นซิลลา ใกล้ยอดเขาโตฮัมโดยขุนนางท่านหน่ึง อีกท้ังเป็นสัญลักษณ์ที่สาคัญ ของประเทศเกาหลีเลยทีเดียว ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 11 ไดน้ ิกายเซน หรือซอน ได้เข้ามามีบทบาทแทน

134 พระพุทธศาสนามหายานแบบจีน และในปี พ.ศ. 2505 ได้แตกนิกายเป็น 2 นิกาย คือ นิกายโชกาย ถือ พรหมจรรย์ และนิกายแตโก ไม่ถือพรหมจรรย์มีครอบครัวได้ โดยอ้างว่าเพ่ือจะได้ไม่ลดจานวนของ พระภกิ ษแุ ละภิกษณุ ี 18. พุทธศาสนาในญ่ีปนุ่ พระพุทธศาสนาได้แพร่หลายจากประเทศเกาหลีเข้าไปสู่ดินแดนประเทศญี่ปุ่น ในราวปลายพุทธ ศตวรรษท่ี 11 ในรัชสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิกิมเมอิ (จักรพรรดิองค์ที่ 29 ของญ่ีปุ่น) ทรงเห็นว่าศาสนา ชินโตท่ีกาลังจะก่อต้ังข้ึน มีหลักปรัชญาและหลักคาสอนเทียบกับหลักปรัชญาและหลักคาสอนของพุทธ ศาสนาไม่ได้ พระองค์จึงรับเอาศาสนาพุทธเข้าประเทศญ่ีปุ่น แต่ที่ปรึกษาฝ่ายการทหารและฝ่ายทางลัทธิ ชินโตไม่เห็นด้วย พยายามขัดขวางทุกวิถีทางไม่ให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายในญ่ีปุ่น ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจงึ ไม่สามารถแพรห่ ลายออกไปในหมูช่ นชนั้ ต่าง ๆ ต่อมาประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 12 พระเจ้าจักรพรรดิโยเม (จักรพรรดิองค์ที่ 31) ได้โปรดให้สร้างพระพุทธรูปยากุชินโยโร (ได้แก่พระพุทธรูป ไภสัชยคุรุ) พระพทุ ธรูปองคน์ ้ีสรา้ งเสร็จหลงั จากทีพ่ ระองค์สวรรคตแลว้ 20 ปี และปัจจุบนั อยู่ในวัดโฮริอจู ิ (วัดนี้มีช่อื เสียงมากและเป็นสิ่งก่อสรา้ งท่ที าด้วยไม้เก่าแกท่ ่ีสดุ ในโลก ต้ังอยทู่ ่ีเมืองนารา เมอื งหลวงเก่าของ ญีป่ นุ่ ) พระพทุ ธศาสนาเริ่มแพรห่ ลายในญป่ี ุ่นมากข้นึ ในรชั สมัยของเจ้าชายโชโตกุ พระองคท์ รงพิจารณา เห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นแหล่งความคิดที่ก่อให้เกิดปัญญา พระองค์ได้พยายามส่งเสริมฟ้ืนฟู พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ในทุกวิถีทาง สามารถกล่าวได้ว่าเจ้าชายโชโตกุเปรียบดังพระเจ้าอโศกแห่ง ประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดยี ว เน่อื งจากพระองค์ได้ส่งคณะทตู และนักศึกษาไปยังประเทศจีน เพ่ือศึกษาค้นคว้า หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมอื่น ๆ ของจีน เพ่ือนามาพัฒนาประเทศญ่ีปุ่นให้เจริญย่ิงขึ้น ทรงส่งคณะทูตไปประเทศจีนหลายคร้ัง แต่ละคร้ังได้อัญเชิญพระไตรปิฎก และคัมภีร์อ่ืน ๆ จานวนมาก มายังประเทศญ่ีปุ่น ทรงประกาศพระบรมราชโองการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ ยุคนี้ นบั เป็นยุคที่ศาสนาพทุ ธในญี่ปุ่นมีความเจริญมากย่ิงกว่ายุคใด ๆ พระองค์ทรงมีความรอบรใู้ นพระไตรปฎิ ก ทรงเขียนอรรถกถาพระสูตรอธิบายไว้ จานวน 3 เล่ม เรียกรวมกันว่า \"ซันเกียวคิโช\" อันได้แก่ ยุยมาเกียว โชมันเกียว และโฮกเกเกียว ทัง้ 3 เล่มแบ่งออกเปน็ 8 บรรพ เป็นตาราทางพระพุทธศาสนาชดุ แรก ท่ีเขียน เป็นภาษาญ่ีปุน และสูตรอรรถกถาอีก 3 เล่ม มีความสาคัญต่อพระพุทธศาสนาในประเทศญ่ีปุ่นมาก เล่ม แรกคือ ยุยมาเกียว เป็นหลักคาสอนเกี่ยวกับฝ่ายมหายาน ส่วน 2 เล่มหลังเก่ียวกับคาอธิบายหลักคาสอน ทางเอกยานโดยเฉพาะ (สัทธัมปุณฑริกสูตร วิมลเกียรตินิเทศสูตร และศรีมาลาเทวีสิงหนาทสูตร) อีกทั้ง จักรพรรดินีซุยโกะ จักรพรรดินีองค์แรกของญ่ีปุ่นได้ตราพระราชเสาวนีย์เก่ียวกับการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาโดยให้ยึดถือเป็นนโยบายของประเทศนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้พระศาสนาพุทธได้รับความ นยิ มแพรห่ ลาย กลายเปน็ ศาสนาประจาชาติโดยปรยิ าย นกิ ายสว่ นใหญ่ในระยะเร่ิมแรกของญ่ีปนุ่ เป็นนกิ ายมหายาน หลักธรรมการปฏิบัติจงึ ค่อนข้างหนัก ไปทางฝ่ายมหายาน ปัจจุบันนิกายที่คนส่วนใหญ่นักถือกันมากมี 4 นิกายคือ นิกายเซน เทนได สุขาวดี และนิจเิ รน นิกายเซนเชื่อว่าความเป็นพุทธมีอยู่กับทุกคน เพียงรอวันปลุกขึ้นมา ดว้ ยอุบายวิธี หรือปริศนา ธรรม หากเข้าใจได้เมอ่ื ไหร่ จะบรรลุพระโพธญิ าณทันที นกิ ายเทนได นับถือสัทธรรมปุณฑรกิ สูตรเป็นหลัก ถือว่าเป็นเอกยานหรือพุทธยาน เหนือกว่าสาวกยาน ปัจเจกโพธยิ าน และโพธิสัตวยาน นิกายสุขาวดี เน้น ความมีศรัทธาต่อพระอมิตาภพุทธเจ้าเป็นหลัก มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อไปเกิดในพุทธเกษตรสุขาวดี ส่วน

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 135 นิกายนิจิเรน นับถือสัทธัมปุณฑริกสูตร โดยเชื่อว่าจะทาให้บรรลุพระโพธิญาณได้ เพียงบริกรรมนอบน้อม สัทธรรมปุณฑรกิ วา่ นมู เมียวโฮเรงเงเกยี ว ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 ศาสนาชินโตท่ีเคยขัดแย้งกับพระพุทธศาสนาแต่เร่ิมแรกค่อย ๆ ปรับแนวความคิด หลักปรัชญาให้ผสมกลมกลืนกบั พระพุทธศาสนา โดยอธิบายว่า พระเจ้าของชินโตก็คือ พระโพธสิ ัตว์ในศาสนาพุทธนั่นเอง ชาวญ่ีปุ่นจึงหันมาเคารพนับถือพระพุทธศาสนาและศาสนาชินโตควบคู่ กันไป ในโบสถ์วัดจะมรี ูปพระเจา้ ของศาสนาชนิ โตรวมอยดู่ ้วยเสมอ เช่น มีรปู เทพีอะมะเตระสโุ อมิกามิ (ซ่ึง ลัทธิชินโตเคารพนับถือว่าเป็นผู้สร้างประเทศญ่ีปุ่น) ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ พุทธศาสนิกชนชาวญ่ีปุ่น อธิบายว่าเทพีองค์นี้ เป็นการอวตารของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือ เจ้าแม่กวนอิมโพธิสัตว์ น่ันเอง ลกั ษณะพทุ ธศาสนาในญป่ี นุ่ จึงมกี ารปฏิบัติท่แี ปลกแตกต่างกวา่ ประเทศในเอเซยี ทวั่ ไป 20. พระพทุ ธศาสนาในโลกตะวันตก มหี ลักฐานว่า พระพุทธศาสนาแพร่หลายไปถึงตะวนั ตกมานาน มผี ู้แปลชาดก ซึ่งเป็นคัมภีร์หน่ึง ในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนา เป็นภาษาซีเรียค และภาษาอาหรับ เช่น Kalilag and Dammag และ แปลพุทธประวัติเป็นภาษากรีก โดยจอห์นแห่งดามัสกัส จนแพร่หลายในหมู่ชาวคริสต์ในนามของบาร์ลา อมั และโยซาฟัต เร่ืองนี้เป็นท่ีนยิ มของชาวคริสต์ จนกระทั่ง เมื่อประมาณ พ.ศ. 1800 ชาวครสิ ต์ยกย่องโย ซาฟตั ใหเ้ ป็นนักบญุ แหง่ นิกายคาทอลกิ ความสนใจในพุทธศาสนาเริ่มข้ึนอีกคร้ังในยุคอาณานิคม เม่ือมหาอานาจตะวันตกได้มีโอกาส ศกึ ษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างละเอียดมากขึ้น ปรัชญาในยุโรปสมัยนั้นได้รับอิทธิพลจากศาสนา ในตะวันออกมาก การเปิดประเทศของญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. 2396 ทาให้มีการยอมรับศิลปวัฒนธรรมญ่ีปุ่น รวมทั้งวัฒนธรรมเกี่ยวกับศาสนาพุทธด้วย งานแปลคัมภีร์ทางพุทธศาสนาเป็นภาษาตะวันตกเริ่มขึ้นโดย Max Muller ผูจ้ ัดพิมพ์ Scared Books of the East \"คัมภีรศ์ ักด์สิ ิทธิ์แห่งตะวันออก\" มีการจัดตัง้ สมาคม บาลีปกรณ์เพ่ือจัดพิมพ์พระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพุทธศาสนาอื่น ๆ แต่ความสนใจยังจากัดในหมู่ ปญั ญาชน พทุ ธศาสนาเขา้ สู่อังกฤษครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2448 โดย J.R. Jackson เป็นผู้ก่อตั้งพุทธสมาคมใน อังกฤษ และ Charls Henry Allen Bernett ผู้ซึ่งต่อมาบวชเป็นพระภิกษุในพม่า มีฉายาว่า \"อานันทเมต เตยยะ\" เป็นพระภกิ ษุชาวอังกฤษคนแรก คณะสงฆไ์ ทยส่งคณะทูตไปเผยแผ่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2507 และ ได้สร้างวดั ไทยชอ่ื วัดพทุ ธประทปี ในลอนดอน มกี ารต้ังสมาคมเผยแผ่พระพุทธศาสนาครง้ั แรกเมื่อ พ.ศ. 2446 ต่อมามีชาวเยอรมันไปบวชเป็น พระภิกษุท่ีศรีลังกา การเผยแผ่พุทธศาสนาในเยอรมันชะงักไปในช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี 1 และถูกห้ามใน สมัยของฮิตเลอร์ หลังสงครามโลกคร้ังท่ี 2 จึงมีการฟื้นฟูพุทธศาสนาโดยพระภิกษุจากพม่า และมีการ ตดิ ตอ่ กับพทุ ธสมาคมในศรลี งั กา มวี ัดไทยในเบอรล์ นิ เชน่ กนั พุทธศาสนาเข้าสู่สหรัฐอเมริกาต้ังแต่ พ.ศ. 2448 โดยเป็นพุทธศาสนาจากจีนและญ่ีปุ่น ในยุค ตอ่ มาจึงเป็นพุทธศาสนาแบบทิเบต ใน พ.ศ. 2504 มหาวิทยาลัยวิสคอนซินเปดิ สอนปรญิ ญาเอกสาขาพุทธ ศาสตร์เป็นแห่งแรกในสหรัฐ คณะสงฆ์ไทยสร้างวัดไทยแห่งแรกในสหรัฐเมื่อ พ.ศ. 2515 (สุชาติ หงษา, 2545, หนา้ 170-175) ประวัติศาสตร์พระพทุ ธศาสนาในตะวนั ตก (ประวตั ิศาสตร์พระพทุ ธศาสนา, 2563) ชาวตะวนั ตก มีโอกาสัมผัสถิ่นพระพุทธศาสนาครั้งสาคัญ ในสมัยที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีกกรีฑาทัพบุก อินเดียในระหว่างปี 326323 ก่อนคริสต์ศตวรรษ ซึ่งตรงกับ พ.ศ.217-220 หรือหลังพุทธปรินิพพานได้

136 217-220 ปี ซึ่งในขณะน้ันพระพุทธศาสนาดั้งเดิมคือเถรวาทกาลังเจริญรุ่งเรืองอยู่ในอินเดีย ระยะเวลา ประมาณ 3 ปีแหง่ การมาของกองทัพกรีกคร้ังนน้ั เป็นไปไดว้ ่ามีการศึกษาและแลกเปล่ียนวันธรรมระหว่าง กันพอสมควร ทหารกรกี คงไดส้ ัมผั พระพุทธศาสนาผา่ นวิถีชวี ติ ของชาวพุทธในอนิ เดีย มยั น้นั ไมม่ ากก็นอ้ ย และคงเลา่ ขานตอ่ ๆ กนั ไปในยโุ รปหลงั จากทท่ี หารเหลา่ นัน้ กลับไปยงั อาณาจักรมาซิโดเนียของตนแลว้ เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยกทัพกลับแล้ว จันทรคุปต์ก็สามารถยึดเมืองปาฏลีบุตรจากพระ เจ้านันท์แห่งกรกี ได้สาเร็จ และปราบดาภิเษกตนเองเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โมรยิ ะในเมืองปาฏลีบุตร เม่ือปี พ.ศ.222 และได้ปกครองอยู่นาน 26 ปี ในรัชสมัยของพระองค์ เมกาสเธเนส (Magasthenes) เอกอัครราชทูตจากเมืองอเล็กซานเดรียแห่งกรีก ได้เดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร และได้บันทึกเรื่อง พราหมณ์และสมณะท้ังหลายในอินเดียไว้ นักเขียนกรีกและละตินหลายท่านใช้บันทึกน้ีอ้างอิงเรื่องราวใน อินเดีย ชาวตะวันตกได้รับรู้เร่ืองราวของพระพุทธศาสนาอย่างละเอียดชัดเจนจากหนังสือช่ือ Description of the World ของมาร์โค โปโล (Marco Polo) ทไ่ี ด้เดนิ ทางไปอยใู่ นประเทศจีนนานถึง 16 ปี ในชว่ งปี พ.ศ.1818 - พ.ศ.1834 ได้พบพุทธศาสนกิ ชาวจีนจานวนมาก โดยได้เขียนไวว้ ่า \"ตาบลซาจู อยู่ ในเมืองตังกุก ประชาชนทั้งหลายนับถือพุทธปฏิมา ยกเว้นชาวเตอร์ก และพวกซะราเซนบางคนท่ีเป็นคริส เตียน ประชาชนที่นับถือพุทธปฏิมาเหล่านี้มีภาษาพูดของตัวเอง ไม่ประกอบการค้าขาย เล้ียงชีพด้วยการ เพาะปลูกธัญพืช มีภิกษุและวดั มากหลาย วัดท้ังหลายมีพุทธปฏิมาแบบต่างๆ ประชาชนเคารพนบั ถือพุทธ ปฏิมาเหล่านัน้ อยา่ งท่วมท้นหวั ใจ ฯลฯ\" เมือ่ มารโ์ ค โปโล เดนิ ทางกลบั จากประเทศจนี มาถงึ ประเทศอิตาลี ได้เล่าเร่ืองดังกล่าวแก่ชาวอิตาลี แม้ไม่ค่อยมีคนเชื่อและสนใจในคราวน้ัน แต่ต่อมาภายหลังพระ สันตะปาปา นิโคลา ท่ี 4 (Nicholas) ได้จัดส่งพวกนักบวชไปสืบพระพุทธศาสนาในประเทศจีน ท่านแรก คือ นักบวชจอห์น แห่งมอนเตคอร์วิโน เขาได้พานักอยู่ที่จีนหลายปี และได้ส่งจดหมายทูลรายงานพระ สันตะปาปาถึงความเป็นไปของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน หลังจากนั้นเป็นต้นมา จึงมีการจัดส่ง นักบวชคริสต์ไปเป็นระยะๆ เพื่อเผยแผ่ศาสนาของตน เรื่องราวการเดินทางของนักบวชเหล่านี้เป็นท่ีสนใจ ของชาวยุโรปจานวนมาก ในปี พ.ศ.2085 บาทหลวงฟรานซิสคัส ซาเวริอุส (Franciscus Xaverius) แห่ง ประเทศสเปนเดินทางมาอินเดีย และอีก 1 ปีหลังจากน้ันได้เดินทางไปถึงกัว (Gua) ครั้งนั้น บาทหลวงได้ พบพ่อค้าชาวญี่ปุ่นชื่อ ยาจิโร (Yagiro) พ่อค้าท่านน้ีเล่าให้ฟังถึงเรื่องพุทธประวัติและหลักคาสอนของ พระพุทธศาสนา คณะนักบวชคริสต์จึงบันทึกเรื่องราวเหล่านี้รายงานกลับไปยังทวีปยุโรปท้ังหมด แต่มิได้ จัดพิมพเ์ ผยแพร่ ส่วนมากจะเก็บรกั ษาไว้ในห้องสมดุ นับต้ังแต่ พ.ศ.2144 เป็นต้นมา ประเทศในแถบตะวันตกหลายประเทศทยอยกันออกล่าอาณา นิคม เช่น เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส อิตาลี เบลเยี่ยม รัสเซีย เยอรมนีและสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ได้เข้ายึดครองประเทศด้อยพัฒนาในทวีปเอเชีย แอฟริกา และโอเชียเนียไว้ได้มากมาย ช่วงนี้จึง เกิดการถา่ ยทอดแลกเปลี่ยนวันธรรมไปสู่กันและกัน ชาวตะวันตกจานวนไม่น้อยได้สัมผสั พระพุทธศาสนา ในยุคน้ี นอกจากนกั ล่าเมืองข้ึนแล้ว ยังมีคณะมิชชนั นารีจากยุโรปหลายคณะได้เดินทางมาเผยแพร่ศาสนา คริสต์ในประเทศจีน ญี่ปุ่น ศรลี ังกา ไทย และประเทศอนิ โดนีเซยี คริสตศ์ าสนจักรหลายประเทศอาศัยฝา่ ย การเมืองเป็นเครื่องมือบังคับให้ชาวเอเชียในประเทศที่ตกเป็นเมืองขึ้นเปล่ียนศาสนา ในขณะเดียวกัน ชาวตะวันตกไม่น้อยได้เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะความท่ีเป็นศาสนาที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วย ตนเอง มีเหตุมีผล รองรับวิทยาศาสตร์ได้ นอกจากน้ี เรื่องราวพระพุทธศาสนาในเอเชียก็ถูกส่งกลับไปให้ ชาวตะวนั ตกได้ศึกษากนั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 137 รายงานท่ีคณะมิชชันนารีส่งไปกลับไปประเทศตะวันตกน้ัน เป็นการศึกษาเรียนรู้วิถีวัฒนธรรม ของพุทธศาสนิกชนผ่านการสังเกตและสนทนาเป็นหลัก มิได้เป็นความรู้ท่ีได้จากการค้นคว้าคัมภีร์ พระพุทธศาสนาโดยตรง จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ค.ศ.1801-1900 หรือ พ.ศ.2344-2443) ไดม้ ีการ จัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือไวยากรณ์ภาษาบาลีเล่มแรกในทวีปยุโรป โดยบาทหลวงแล เซน เบอร์นูฟ และ บาทหลวงท่านนี้เป็นคนแรกที่บอกว่า ชาวยุโรปคนแรกที่ศึกษาภาษาบาลีคือ ซิมมอน เดอ ลา ลู แบร์ (Simon de la Loubere บาทหลวงผู้ร่วมคณะเอกอัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ที่ได้ เดินทางมาประเทศไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เม่ือพ.ศ.2230-2231 ท่านได้พิมพ์หนังสือ Description du Royaume de Siam เผยแพร่ใน พ.ศ. 2234 โดยแทรกเร่ืองประวัติพระเทวทัตและ พระปาติโมกขย์ อ่ เอาไว้ดว้ ย ตอ่ มาในศตวรรษท่ี 20 เป็นยุคทองของนิกายมหายาน ชาวพุทธนิกายมหายาน หลายนิกายเข้าไปเผยแผใ่ นตะวันตก และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พทุ ธศาสนิกชนในแต่ละประเทศจึง มีจานวนเพ่ิมมากขน้ึ เร่ือยๆ ตราบกระทง่ั ปจั จุบัน 21. สรุปท้ายบท พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามาในในประเทศไทย โดยแบ่งเป็น 4 ยุค คือ ยุคเถรวาทแบบสมัย พระเจ้าอโศก ยุคมหายาน ยุคเถรวาทแบบพุกาม และยุคเถรวาทแบบลังกาวงศ์ ตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัย อาณาจกั รอา้ ยลาว สมยั ลพบุรี สมัยพกุ าม สมยั กรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบรุ ี และสมยั กรุง รัตนโกสินทร์ และในขณะเดยี วกัน พระพุทธศาสนายังได้เผยแพร่ไปในต่างประเทศ เช่น ลาว พม่า กมั พูชา เวยี ดนาม พารเ์ ทีย ทร่ี าบตาริม จนี เกาหลี ญ่ปี ุ่น องั กฤษ กรกี เยรมนี และสหรัฐอเมริกา ตามหลกั ฐานการนบั ถือพระพุทธศาสนาของไทยเริ่มปรากฏหลกั ฐานชัดเจนในสมัยอาณาจักรอ้าย ลาว กล่าวคือ พ.ศ. 612 สมัยพ่อขุนหลวงเมาหรือเม้า กษัตริย์แห่งอาณาจักรอ้ายลาว แต่หลักฐานที่ น่าเช่ือถือมากที่สุดคือ พ.ศ. 275-305 เป็นปีที่พระโสณะและพระอุตตระได้เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในสุวรรณภูมิน้ัน ห่างจาก พ.ศ. 612 ถึง 307 ปี จึงเชื่อได้ว่า คนไทยน่าจะนับถือพระพุทธศาสนามาก่อน พ.ศ. 612 ตามหลักฐานดังกล่าวแล้ว กล่าวคอื อาจนับถือมาต้ังแต่พทุ ธศตวรรษท่ี 3 ราว พ.ศ. 305 น่ันเอง จากทกี่ ล่าวมาทัง้ หมดทาให้เราทราบว่า หากยคุ ใด สมัยใดทผี่ ู้นาประเทศนั้น ๆ เช่น พระมหากษัตริย์ ทรง สนใจและได้ศึกษาหลักธรรมคาสอนของพระพุทธศาสนาดว้ ยศรัทธาแลว้ พระพุทธศาสนาจะได้รับการเชิด ชูบูชา และได้รับการทานุบารุงด้วยดีไม่ว่าจะเป็นด้านศาสนวัตถุ ศาสนสถาน ศาสนบุคคล และศาสนพิธี อันเน่ืองจากพระธรรมคาสอนของพระพุทธองค์น้ัน เป็นสัจธรรม สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง คงทนต่อ การพิสจู น์ เหนอื กาลเวลา ไม่ว่าจะลว่ งไปนานถงึ สองพันกวา่ ปแี ลว้ กต็ าม พระธรรมคาสอนของพระองค์ยัง เป็นสัจธรรมเสมอ แต่หากยุคสมัยใด ผู้นาไม่มีศรัทธา ไม่สนใจศึกษาพระธรรมคาสอนของพระพุทธองค์ พระพุทธศาสนามกั ถูกคกุ คาม ทาลายจากผมู้ ีอานาจเหล่านัน้ ดังนนั้ จากการศึกษาในบทนที้ าให้เราทราบวา่ อานาจของผู้นาในแต่ละประเทศนั้น สามารถทาให้ พระพุทธศาสนาเจริญและเส่ือมได้ ส่วนเหตุที่ทาให้พระพุทธศาสนาเจริญเจริญม่ันคงอยู่ได้คือ ปริยัติ ปฏิบตั ิ และปฏิเวธ ของพุทธศาสนกิ ชน กลา่ วคอื ชาวพุทธต้องศกึ ษาพระธรรมคาสอนของพระพุทธองค์ให้รู้ แจ้งแทงตลอด น้อมนาพระธรรมคาสอนมาประพฤติปฏิบัติให้เป็นวิถีชีวิตของทุกคน และปฏิบัติจนถึงขั้น ปฏิเวธคอื การเข้าผลของการปฏิบัติจากปรยิ ัติและปฏบิ ัติท้ังสองนั้น จะเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ให้ย่ังยืนสถาพรต่อไปชั่วลูกช่ัวหลาน แต่ในทางตรงข้าม ชาวพุทธต่างผลักภาระปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง เช่น ผลักภาระให้เป็นหน้าท่ีของพระสงฆ เพียงอย่างเดียว

138 พระพุทธศาสนาจะเจริญแบบลุ่มๆ ดอนๆ ไมเ่ จรญิ เตม็ ที่ เปรียบดังพืช ผัก หรือตน้ ไม้ ทไ่ี มไ่ ด้รับการดแู ลรด น้า พรวนดนิ ใหป้ ุย๋ ใหน้ า้ อย่างทว่ั ถงึ ย่อมแคระแกรน โตบ้าง ไม่โตบา้ ง เห่ยี วเฉาบ้าง ตายบ้าง นน่ั เอง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 139 คาถามทา้ ยบท 1. ให้นักศึกษาสรุปเหตุการณ์สาคัญของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยและต่างประเทศ ด้วย แผนผังกราฟิก อาทิ แผนที่ความคิด ฯลฯ โดยยกเหตุการณ์ท่ีนักศึกษาต้องการนาเสนอให้เพ่ือนทราบ อย่างน้อย 5 เหตกุ ารณ์ โดยบอกเหตุผลท่ีต้องการนาเสนอเหตุการณ์น้ันๆ ประกอบด้วย 2. ใหน้ ักศึกษาวเิ คราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโลกตะวนั ตก เชน่ ประเทศอังกฤษ เยรมนี และสหรัฐอเมริกา โดยการอ่านเน้ือหาเพิ่มเติมจากเร่ือง สถานการณ์พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตกของ ศาสตราจารย์ ดร.อุทิศ ศิริวรรณ หรือค้นคว้าเพ่ิมเติมจากบทความใน Google Scholar แล้วทาการ อภิปรายในประเด็นที่นาเสนอพอสังเขปไมเ่ กนิ 3 หน้ากระดาษ A4 3. ให้นักศึกษาค้นคว้าบทบาทของคณะสงฆ์ไทยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เช่น พระธรรมทูต เป็นต้น ด้วยการเรียบเรียง สรุปความคิด ด้วยตาราง Excel 1 (เคร่ืองมือในการ ประยุกต์ใช้เทคนิคการสรุปทุกอย่างลงในกระดาษแผ่นเดียวของโตโยต้าในรายวิชาประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนาของนักศึกษามมร.สธ.) ท่ีอาจารย์กาหนดให้ แล้วถ่ายทอดเน้ือหาด้วยคาพูดของนักศึกษา เองอยา่ งนอ้ ย 1 หน้ากระดาษ A4 4. จงวิเคราะห์สาเหตุของความเจริญและเสื่อมของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยในยุคต่าง ๆ โดยยกเหตกุ ารณ์ทีส่ าคญั ในยุคนั้นๆ อภิปรายพอสังเขปไมเ่ กิน 3 หนา้ กระดาษ A4

140 เอกสารอา้ งองิ ประจาบทท่ี 5 เดวิด เค. วัยอาจ. (2556). ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป. (กาญจนี ละอองศรี, บ.ก., และ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะ, ผู้แปล) (พิมพ์ครั้งท่ี 2). กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตาราสังคมศาสตร์และ มนษุ ยศาสตร์. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. (20 เมษายน 2563). เข้าถึงได้จาก https://www.kalyanamitra.org/ th/article_detail.php?i=14212 พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ). (2548). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. (พิมพ์คร้ังที่ 5). กรุงเทพฯ: มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2531). พระพุทธศาสนาในอาเซีย. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระพุทธศาสนาในตะวันตก ประเทศสหรัฐอเมริกา . (20 เมษายน 2563). เข้าถึงได้จาก https://www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=14221 พระมหาดาวสยาม วชิรปญฺโญ. (2557). พุทธศาสนาในเวียดนาม. (พิมพ์คร้งที่ 2). กรุงเทพฯ: เม็ดทราย พริน้ ติ้ง. พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ). (2534). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในจีน. กรุงเทพฯ: สุทธิสาร การพมิ พ์. ฟ้ืน ดอกบัว. (2542). พระพทุ ธศาสนากับคนไทย. กรงุ เทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. ฟ้ืน ดอกบัว. (2554). ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนาในนานาประเทศ. กรุงเพทฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. ราชบัณฑิตยสถาน. (2548). พจนานุกรมศพั ทศ์ าสนาสากลองั กฤษ-ไทย ฉบบั ราชบญั ฑิตยสถาน. (พมิ พค์ รั้ง ที่ 2). กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน. สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย. (2537). พุทธศาสนประวัติระหว่าง 2500 ปีล่วงมาแล้ว. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์สรุ วัฒน.์ สุชาติ หงษา. (2545). ประวตั ิศาสตรพ์ ทุ ธศาสนาจากอดีตถงึ ปจั จบุ นั . กรงุ เทพฯ: สถาบนั บันลอื ธรรม.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook