Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 03.BU5001-L02 ปรับ27-03-63

03.BU5001-L02 ปรับ27-03-63

Published by sudjaipookonglee, 2021-06-23 05:08:55

Description: 03.BU5001-L02 ปรับ27-03-63
พุทธประวัติและพุทธประวัติเชิงวิเคราะห์

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 27 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 2 บทท่ี 2 พุทธประวัติและพุทธประวัติเชงิ วิเคราะห์ เนื้อหาประจาบท 1. ชมพูทวีป 2. สภาพสังคมในชมพทู วีปกอ่ นสมัยพุทธกาล 3. ลาดับพุทธวงศ์ 4. พทุ ธประวัติ 5. สรปุ ท้ายบท คาถามท้ายบท เอกสารอา้ งอิงประจาบทท่ี 2 จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1. นกั ศึกษาสามารถทาการเรียบเรียงเน้อื หา สรปุ ความคิด และถ่ายทอดเนือ้ หาไดด้ ้วยตนเอง 2. นักศกึ ษาสามารถสรุปเนื้อหาสาคัญ ๆ ดว้ ยกราฟิกตา่ ง ๆ เชน่ แผนภูมิ, แผนทค่ี วามคิด, กราฟ, ตาราง เป็นต้น ลงใน Google Sites/Google Slides/PowerPoint และส่งใน Google Classroom ของ อาจารย์ได้ 3. นักศึกษาสามารถนาเสนองานหน้าห้องเรียนดว้ ยเทคโนโลยีตา่ ง ๆ ได้ 4. นักศึกษาสามารถทางานเป็นกลุม่ และทางานเด่ยี วได้ 5. คะแนนผลการทดสอบ Posttest ของนักศึกษาเพิ่มขึ้นจากคะแนนผลการทดสอบ Pretest อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถติ ิ กจิ กรรมการเรียนการสอน 1. แบ่งกลุ่มนักศึกษาให้ศึกษาจากบทเรียนออนไลน์ของอาจารย์ หนังสืออ่ืนท่ีเกี่ยวข้อง เว็บไซต์ และสื่อออนไลน์ เช่น YouTube ฯลฯ ทาการวิเคราะห์เนื้อหา ด้วยการเรียบเรียง สรุปความคิด และ ถา่ ยทอดเนอ้ื หาออกมาเป็นรายงานออนไลนด์ ว้ ย Google Sites/Google Slides/PowerPoint 2. นักศึกษานาเสนอหน้าชน้ั เรียนด้วยการอภิปราย/การแสดงความคิดเห็น/การถามและการตอบ คาถาม/การตคี วามและการอธบิ ายเน้อื หาดว้ ยเหตแุ ละผล 3. ตอบคาถามท้ายบท/ค้นคว้าเพิ่มเติมในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจากห้องสมุดและเว็บไซต์ และเขียน รายงานออนไลน์ด้วย Google Sites/Google Slides/PowerPoint ส่งใน Google Classroom ของ อาจารยผ์ สู้ อน สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอน 2. แบบเรียนออนไลน์/ส่ือการเรยี นการสอนออนไลน์/Ebook 3. Computer/Projector/Google Classroom/Youtupe/ Video Clips/ Google Sites/Google Slides/ PowerPoint

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 28 การวดั ผลและการประเมินผล 1. ประเมินคุณธรรมจริยธรรม ในการเข้าช้ันเรียนตรงเวลา และประเมินพฤติกรรมด้านจิต สาธารณะในการทากิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียนจากรายงานออนไลน์ โดยใช้แบบ Checklist จานวน 10 คะแนน 2. ประเมินความรู้โดยการทดสอบกลางภาค จานวน 20 คะแนน และสอบปลายภาค จานวน 40 คะแนน รวม 60 คะแนน 3. ประเมินทักษะทางปัญญา โดยใช้ Rubrics จากการอภิปราย/การแสดงความคิดเห็น/การถาม ตอบ/การวิเคราะห์เน้อื หาทีเ่ รียน/การสรุปเนอ้ื หา/การนาเสนอหน้าชั้นเรยี น จานวน 10 คะแนน 4. ประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ โดยใช้แบบสังเกต จากการ ทางานกลมุ่ /การนาเสนอหน้าชั้นเรียน/การตรงเวลาในการส่งงานท่ีมอบหมายและการอา้ งองิ ผลงานคนอ่ืน จานวน 10 คะแนน 5. ประเมินทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสารและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยใช้ Rubrics ในการนาเสนอหน้าชั้นเรียนด้วยเทคโนโลยี และตรวจรายงานออนไลน์ของนักศึกษา จานวน 10 คะแนน

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 29 บทท่ี 2 พทุ ธประวัติและพทุ ธประวัติเชิงวิเคราะห์ 1. บทนา พุทธประวัติว่าด้วยประวัติของเจ้าชายสิทธิธัตถะแห่งศาสกยวงศ์ ต่อมาเป็นท่ีรู้จักกันในพระนาม ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้า ภาษาอังกฤษใช้คาว่า Buddha แปลว่า ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ หรือ ผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบานด้วยธรรม หลังจากพระองค์ได้ทรงค้นพบสัจจธรรม กล่าวคือ อริยสัจ 4 หรือ คน้ พบทางอันประเสริฐ เรียกวา่ อริยมรรคมีองค์ 8 (อัฎฐังคิกมรรค) ชาวพุทธส่วนใหญ่ได้ทราบประวตั ิของ พระพุทธองค์ด้วยการศึกษาเล่าเรียนจากหลักสูตรธรรมศึกษาตรี โท เอก (สาหรับคฤหัสถ์) หรือ นักธรรม ตรี โท เอก (สาหรับบรรพชิต) ของสมเด็จพระมหาสมนเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวโรรส ในขณะท่ีศึกษา ผู้ ศึกษาอาจมีความสงสัยใคร่รู้เก่ียวกับอิทธิปาฏิหาริย์ที่ปรากฎในหลักสูตรดังกล่าว หรือแม้กระท่ังใน พระไตรปิฎกเอง มักจะมีข้อความเก่ียวกับปาฏิหารย์มากมาย ตั้งแต่ประสูติไปจนถึงปรินิพพาน ดังน้ัน ใน บทน้ีจะกล่าวถึงประวัติของพระองค์ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเป็นหลัก และทาการวิเคราะห์เน้ือหาใน รูปแบบการศึกษาพุทธประวัติเชิงวิเคราะห์ไปด้วย โดยการยกเอาประเด็นการพรรณนาพุทธประวัติเชิง บุคลาธิฏฐานและธรรมาธิฏฐานเป็นหลัก เริ่มจากเร่ืองราวในชมพูทวีปก่อนสมัยพุทธกาล ลาดับพุทธวงศ์ และพุทธประวัติ ตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพานตามลาดับ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ศึกษาได้ทาการศึกษา คน้ คว้า และทาการวเิ คราะหด์ ้วยตนเองต่อไป 2. ชมพทู วปี ดนิ แดนอันเป็นแหลง่ กาเนดิ ของศาสนาพทุ ธนั้น สมัยโบราณเรยี กวา่ “ชมพูทวปี ” ปัจจุบนั ดินแดน ดงั กล่าวได้แบง่ แยกออกเปน็ หลายประเทศ ประกอบด้วย อินเดีย ปากสี ถาน อาฟกานสิ ถานตอนเหนือและ ตอนบน1 บังกลาเทศ และเนปาล มีช่ือทางภูมิศาสตร์ว่า “เอเชียใต้” หรือ “อนุทวีปอนิ เดีย” หรือ “ภารต วรรษ” ตามลักษณะภมู ปิ ระเทศแบ่งออกเป็น 2 ภาคใหญ่ คือ 1. ฮินดูสถาน (Hindustan) ได้แก่ บริเวณตอนเหนือของชมพูทวีปตั้งแต่ท่ีราบลุ่มแม่น้าสินธุ (Sindu) และที่ราบลุ่มแม่น้าคงคง (Ganges) ทอดยาวลงมาจรดเทอื กเขาสัทปุระ (Satpura) และเทือกเขา วินทยะ (Vindhya) ในภาคกลางของอินเดียโดยมีลักษณะคู่ขนานกันไปจรดชายฝ่ังทะเลอาหรับในรัฐคุ ชราตทางทิศตะวันตก และที่ราบสูงโชตสาคปุระ (Chota Nagpur Plateau) ในรัฐฌาร์ขันฑ์ทางทิศ ตะวันตกเฉยี งใต้ และถกู ค่ันด้วยแม่น้านมั มทากับป่าใหญ่เรียกว่า มหากนั ตาระ (มหากันดาร) เป็นเส้นแบ่ง โดยธรรมชาติระหว่างภาคเหนือและภาคใตข้ องชมพทู วีป 2. เดคคาน (Deccan) ได้แก่ บริเวณส่วนล่างของชมพูทวีป ต้ังแต่แม่น้านัมมทา (Narmada River) ลงมา ถูกขนาบโดยเทือกเขากัทส์ตะวันตกและตะวันออก (Western and Eastern Ghats) ขนาน กับฝ่ังทะเล ลักษณะเทือกเขาด้านตะวันตกสูงกว่าด้านตะวันออก อันเป็นเหตุให้แม่น้าส่วนใหญ่ไหลลงสู่ ทะเลดา้ นตะวนั ออก (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ ฺโต), 2552, หนา้ 42) 1 อฟั กานสิ ถานตอนเหนอื และปากสี ถานนับเป็นแคว้นคันธาระ และอัฟกานสิ ถานตอนบน นบั เป็นส่วนหน่ึงของ แควน้ กัมโพชะ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 30 คนพื้นเมืองเดิมที่อยู่ในชมพูทวีปเป็นชาวมิลักขะ (Milakkha) หรือ ดราวิเดียน (Dravidian) มีผิว ดา ถูกพวกที่อพยพมาภายหลังคือ ชนเผ่าอารยัน ซ่ึงเรียกกันว่า อริยกะ (เดิมเป็นพวกร่อนเร่) เป็นพวก นักรบ มีผิวขาว และมคี วามเจริญมากกว่า เข้าทาสงคราม ยดึ ครองดินแดนที่เป็นแหล่งอดุ มสมบูรณ์และตั้ง ถิ่นฐานเร่ิมจากบริเวณลุ่มแม่น้าสินธุ แล้วขยายตัวไปทางตะวันออกสู่ลุ่มแม่น้าคงคา ส่งผลให้ชาวมิลักขะ พวกพื้นเมืองดั้งเดิมซ่ึงสู้ไม่ได้ บางส่วนยอมอยู่ใต้อานาจการปกครอง บางส่วนอพยพลงใต้ ในสมัย พราหมณ์ตอนปลาย ใกล้จะเข้าสมัยพุทธกาล ซ่ึงเป็นยุคท่ีศาสนาพราหมณ์เจริญมากท่ีสุด แผ่นดินอินเดีย ได้แบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคเหนือ เรียกว่า มัชฌิมชนบท หรือ มัธยมประเทศ มีแม่น้าคงคาเป็นแมน่ ้า สาคัญ ส่วนภาคคาบสมุทรตอนใต้เรียกว่า ทักษิณชนบท หรือ ทักษิณประเทศ มีแม่น้าโคธาวรีเป็นแม่น้า สาคญั ในมชั ฌิมชนบท มีแคว้นต่าง ๆ ที่พวกอารยนั แบ่งกันปกครอง มที ้งั หมด 16 รฐั คอื 1. คันธาระ ต้ังอยู่ตรงลุ่มน้าสินธุตอนบน นครหลวงช่ือ ตักศิลา เป็นสถานศึกษา ศิลปวิทยา มีคณาจารย์ที่เรียกกันว่า ทิศาปาโมกข์ มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปถึงประเทศกรีก และไอยคุปต์ว่า เปน็ ศนู ยก์ ลางของวิชาการ ปจั จุบนั คอื ประเทศอัฟกานสิ ถาน 2. กุรุ ตั้งอยู่ตรงลุ่มน้ายมุนาตอนบน นครหลวงช่อื อนิ ทปัตถ์ หรืออินทรปรัสถ์ มีกษัตริย์ ปราณฑพทั้ง 5 เป็นผู้ครองนคร และตานานทางพุทธศาสนากล่าวถึงหลายแห่ง เช่น เป็นที่พระพุทธองค์ ตรัสมหาสติปัฎฐานสูตร ซึ่งสันนษิ ฐานกันว่านา่ จะเป็นมณฑลปัญจาบและเมืองเฑลหิ ปัจจุบันเรียก นิวเดลี ซ่ึงเปน็ เมอื งหลวงของอินเดยี ในปัจจุบนั 3. ปัญจาละ ตั้งอยู่ตรงลุ่มแม่น้าคงคาตอนบน นครหลวงเดมิ ช่ือ หัศดินาปุระ หรอื หัสดิน เป็นราชธานีที่สถิตของกษัตริย์เคารพจันทวงศ์ ต่อมาแยกราชธานีออกไปต้ังใหม่เป็น 2 แห่ง คือ ท่ีเมือง กัมปิละและเมืองกนั ยากุพซ์ ปัจจุบนั คอื เมืองกาโนชหรือกาเนาซ์ 4. โกศล ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาหิมาลัย กับแม่น้าคงคาตอนกลาง มีนครหลวงเดิมช่ือ อโยธ ยา ภายหลังสร้างเมืองเป็นราชธานี ปัจจุบันเรียกว่า สะเหตมาเหต แคว้นโกศลน้ีมีอานาจมากถึงกับปราบ ชนบทใกลเ้ คียงได้ เช่น สักกะ 5. มัลละ ตั้งอยู่ถัดโกศลมาทางทิศตะวันออก นครหลวงเดิมช่ือ กุสาวดี ภายหลังแยก ออกเป็น 2 ส่วน คอื กุสินารากับปาวา เปน็ ราชธานี ปัจจุบันเรียกว่า ปาตราโอนะ 6. วัชชี ตั้งอยู่ติดกับมัลละ นครหลวงชื่อ เวสาลี หรือไพสาลี เป็นราชธานีของกษัตริย์ลิจ ฉวี ปัจจุบนั เรียกวา่ เยซาระ ซงึ่ พระมหาวีระศาสดาของศาสนาเชนกเ็ กดิ ในเมืองนี้ 7. อังคะ ตง้ั อยปู่ ลายแมน่ ้าคงคา นครหลวงช่ือ จาปา เดมิ เปน็ เมืองท่ีเจรญิ รุง่ เรืองมากแต่ มาสมยั พทุ ธกาลต้องข้ึนอยกู่ บั แควน้ มคธ ซึ่งมพี ระเจ้าพมิ พสิ ารเป็นผปู้ กครอง 8. กมั โพชะ ตั้งอยู่ใต้แคว้นคันธารราษฎร์ มีนครหลวงชอ่ื ทวารกะ สร้างขน้ึ ริมมหาสมุทร ในแคว้นวลภี หรอื คุรธรราษฎร์ ปัจจบุ นั เรยี กว่า คุธรฐั เป็นแควน้ เหนอื มณฑลบอมเบยใ์ นปจั จุบนั 9. มัจฉะ ตง้ั อยรู่ ะหว่างลาน้าสินธุกับยมุนาตอนบน นครหลวงช่ือ สาคละ พระเจ้ามิลินท์ เป็นผู้ครองนครน้ี 10. สุรเสนะ ตั้งอยู่ระหว่างลาน้าสินธุกับยมุนาตอนล่าง นครหลวงช่ือ มถุรา ภายหลัง ย้ายไปสรา้ งนครทวารถะ เปน็ ราชธานีข้นึ ใหม่ 11. วังสะ ตั้งอยู่ใต้ลานา้ ยมุนา ต่อจากกาสไี ปทางทศิ ตะวนั ตก นครหลวงช่ือโกสัมพี บัดนี้ เรยี กวา่ โกแซม นครนเ้ี จรญิ รุง่ เรืองมาก เพราะเป็นศูนย์กลางการค้า พระเจ้าอุเทน เปน็ ผคู้ รองนครนี้

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 31 12. กาสี ต้ังอยู่ตรงท่ีบรรจบลาน้าคงคาและยมุนา นครหลวงชื่อ พาราณสี ปัจจุบัน เรียกว่า เบนารัส เป็นเมืองที่มีช่ือเสียงมาก ท้ังมหากาพย์มหาภารตะ และคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาได้ กลา่ วถึงบอ่ ยคร้งั 13. มคธ ตั้งอยู่ฝ่ังใต้ของแม่น้าคงคาตอนกลาง เขตตะวันออกจรดแม่น้าจาปา ตะวันตก จรดแม่น้าโสนะ ทิศใต้จรดภูเขาวินธัย เป็นแคว้นที่ใหญ่มากในคร้ังน้ัน นครหลวงช่ือ ราชคฤห์ปัจจุบันน้ี เรียกว่า ราชเคอร์ 14. มาลวะ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกแห่งแคว้นวังสะ แถบเหนือภูเขาวินธัย ภายหลัง เรียกวา่ อวนั ตี นครหลวงช่ือ อชุ เชนี ปจั จุบันคือ อุชเชน 15. เจตี ต้ังอยู่ลุ่มแม่น้าคงคา ติดต่อกับแคว้นวังสะ และอยู่ต่อแคว้นมาลวะ ออกมาทาง ทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ นครหลวงชือ่ โสตถิวดี 16. อัสสกะ ต้ังอยู่ลุ่มแม่น้าโคธาวรี นครหลวงช่ือ โปตลี (ประทีป สาวาโย, 2545, หน้า 123-125) นอกจากนี้ ยงั มีแควน้ เล็กอีก 5 แควน้ เชน่ แควน้ สักกะ โกลิยะ ภคั คะ วิเทหะ และองั คุต ตราปะ ซ่งึ แควน้ ใหญ่ในชมพูทวีปเหล่านบี้ างครงั้ เป็นมิตรกนั บางครั้งก็ทาสงครามชงิ อานาจกันตลอดเวลา แควน้ ใหญท่ มี่ ีอานาจมากท่ีสุดในสมยั พทุ ธกาล ได้แก่ แควน้ มคธและแคว้นโกศล 3. สภาพสังคมในชมพูทวปี กอ่ นสมัยพุทธกาล สภาพสังคมในชมพทู วปี ก่อนสมัยพทุ ธกาลมีลักษณะสาคัญพอสรุปได้ดังน้ี 1. ด้านการปกครอง แคว้นต่างๆ ส่วนใหญ่มีพระราชาเป็นหัวหน้าทาการปกครอง บางแคว้น ปกครองโดยคณะบุคคลท่ีนับเนื่องในราชสกุล เช่น แคว้นลิจฉวี การปกครองจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม โดยท่ัวไปแล้วจะมีคณะกรรมการปรึกษาหารือ มีสถานที่ประชุมร่วมกัน มีประธานเป็นผู้ช้ีขาด สาหรับ แคว้นสักกะสมัยนั้น นโยบายการปกครองบ้านเมืองมาจากมติส่วนใหญ่ของสมาชิกในที่ประชุม แบ่งการ ปกครองเป็น 2 ระบบ คือ 1) สมบูรณาญาสิทธิราช กล่าวคือ มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครอง มีปุโรหิต เสนาบดี เสนาอามาตย์ตามลาดับ และยังมีสภาการปกครองย่อย เช่น คาม นิคม ชนบท โดยมีผู้ปกครอง ระดบั หวั หนา้ ประจา ณ ที่น้นั อกี ดว้ ย และ 2) อภชิ นาธิปไตย หรือ สามัคคีธรรม กล่าวคือ การปกครองโดย สภาของตระกูลนั้นๆ ประกอบด้วยประธานสภากษัตริย์คล้ายดังระบบแรก มีตาแหน่งอ่ืนๆ คล้ายกัน แต่ ส่วนใหญ่จะผูกขาดไว้ที่ชนเผ่าที่มีอานาจในสภากษัตริย์ เช่น ตาแหน่งปุโรหิต เสนาบดี เสนาอามาตย์ มกั จะเปน็ เชอ้ื พระวงศ์ของกษตั ริย์เหลา่ นน้ั 2. ด้านอาชีพ ส่วนใหญ่ยึดอาชีพเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ การค้าขาย โดยเร่ิมจากมีท่ีดินเป็น สมบัติส่วนรวม ต่อมาเร่ิมมกี ารสืบทอดในการถอื สทิ ธใิ นที่ดินเกดิ ขึ้น มีอาชีพหลายอย่างเกิดขึ้นตามมา เช่น อาชีพช่าง อาชีพค้าขาย เป็นต้น ซ่ึงการค้าขายเร่ิมจากการค้าขายในหมู่ของตน ต่อมาเร่ิมมีการค้าขายใน ตา่ งเมอื งออกไปโดยใช้กองเกวยี นและเรอื เปน็ พาหนะ 3. ด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากอาชีพส่วนใหญ่ในยุคน้ันเป็นเกษตรกรรม กสิกรรม การค้าขาย และ ช่างประเภทต่าง ๆ บางแคว้นมีหัตถกรรมท่ีมีช่ือเสียง และมีการติดต่อค้าขายระหว่างแคว้นใหญ่ ๆ บาง แคว้น เช่น แคว้นอุชเชนี และโกสัมพี เป็นต้น มีการเล้ียงโคเป็นฝูงใหญ่ ๆ และมีทาสรับใช้ด้วย ทาให้ผล ผลิตต่าง ๆ เป็นของนายหรือชนชั้นปกครองมากกว่า ฐานะของคนส่วนใหญ่จึงเป็นคนจนมากกว่าสาหรับ แควน้ สักกะน้นั เศรษฐกิจสาคัญที่สดุ คือ อาชพี เกษตรกรรม

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 32 4. ด้านสังคม มีการแบ่งชั้นวรรณะเป็น 4 วรรณะใหญ่ คอื กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ผู้ อยู่ในวรรณะสูง 3 วรรณะแรก คือ กษัตริย์ พราหมณ์ และแพศย์ ได้แก่ พวกผิวขาว (อริยกะ) พวกท่ีอยู่ใน วรรณะต่า คือ พวกศูทร ได้แก่ พวกผิวดา (มิลักขะ) ซึ่งเป็นคนพื้นเมืองเดิม มีการประกอบอาชีพแตกต่าง กนั ตามวรรณะ มีการจากัดสิทธิเสรีภาพ รังเกียจเดียดฉันท์ ดูถกู เหยียดหยาม และกีดกันการสมาคมสมสู่ ระหว่างพวกทอ่ี ยูใ่ นวรรณะสงู กบั วรรณะตา่ สตรีมีฐานะด้อยกวา่ บรุ ุษ การแบง่ ช้ันวรรณะ มลี ักษณะท่สี าคัญ ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี พวกพราหมณท์ ีเ่ ปน็ นักบวชไดร้ บั การยกย่องนบั ถืออยา่ งสงู คาสอนของพราหมณ์และปรัชญาฮนิ ดู มีอิทธิพลต่อความเชื่อ ความรู้สึกนึกคิดและวิถีการดาเนินชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก นักบวชผู้ ประพฤติพรหมจรรย์ท่ีมีผู้นิยมยกย่องและนับถือมาก สามารถยกฐานะได้สูงเท่าเทียมกับจักรพรรดิชน ชนั้ สงู กบั ชนชน้ั ต่าในสงั คมมมี าก ชนชนั้ กลางมนี อ้ ย 5. ดา้ นศาสนา ความคิดดา้ นศาสนาเก่ียวกับเรือ่ งการตายแล้วเกิด ในหมู่ผู้ท่ีเช่ือเช่นนั้นยังมีความ คดิ เห็นแตกต่างกันเปน็ หลายพวก ทาใหเ้ กิดลัทธิต่าง ๆ มากมาย มีคณาจารย์เจ้าลทั ธิต่าง ๆ ทาการเผยแผ่ ลัทธิของตนจานวนมากมาย มีมากถึง 62 ลัทธิ แต่เจ้าลัทธิสาคัญๆ ก็คือครูทั้ง 6 มีปูรณกัสสปะ มักขลิ โคสาละ เป็นต้น โดยสามารถสรุปแนวคิดด้านศาสนาในแง่ของความเช่ือเก่ียวกับการเกิดและการตายคือ พวกหน่ึงเช่ือว่าตายแล้วเกิด ในหมู่ผู้ที่เช่ือเช่นนั้น ยังมีความคิดเห็นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า เดิมเคยเกิดเป็นอะไร เกิดใหม่ก็เป็นเช่นน้ัน อีกฝ่ายหน่ึงเช่ือว่า อาจไปเกิดใหม่เป็นอย่างอื่นก็ได้ อีกพวก หน่ึงเชอื่ ว่า ตายแล้วสูญ พวกทเ่ี ชอ่ื เช่นน้ีก็มีความเห็นเป็น 2 ฝ่ายเช่นกันคือ ฝ่ายหนงึ่ เช่ือว่าสูญทง้ั หมด อีก ฝ่ายหน่ึงเชื่อว่าสูญเพียงบางส่วนเก่ียวกับชีวิตหลังตาย บางพวกเชื่อว่า สัตว์หลังจากท่ีตายแล้วยังมีความ ทรงจา (สัญญา) เหลือติดอยู่ อีกพวกหนึ่งเชื่อว่าไม่มเี กี่ยวกับเร่อื งสุข ทุกข์ พวกหนึ่งเชื่อว่าสุข ทุกข์เป็นส่ิง เกิดเอง อีกพวกหนึ่งเชื่อว่ามีเหตุทาให้เกิดคือ กรรมบันดาล (ปัจจัยภายใน) หรือ เทวดาบงการให้เป็นไป (ปจั จัยภายนอก) ในยุคแรกชนชาติที่อาศัยอยู่ในชมพูทวีป จะนับถือธรรมชาติเบื้องต่า เช่น แผ่นดิน ภูเขา สัตว์ น้า ไฟ พฤกษาชาติ เปน็ ต้น มีการบูชายัญ พิธีบูชาธรรมชาติตามทกี่ าหนดและความเชื่อ เพราะถอื ว่าธรรมชาติ เหล่าน้ันเป็นมารดาของสรรพสิง่ และเป็นมารดาของตน ซึง่ ความเชื่อเหล่าน้ีเปน็ ของพวกมิลักขะโดยเฉพาะ ในยุคตอ่ มาพวกอารยนั เข้าส่อู นิ เดียแล้ว เดมิ ทีอารยนั นับถือธรรมชาตเิ บอ้ื งบนมากอ่ น จึงไดน้ าเอา การนับถือธรรมชาติเบื้องบนเข้ามา กล่าวคือ การนับถือพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ฟ้า ฝน ลม ต่อมาภายหลังได้มีการผสมผสานระหว่างการนับถือธรรมชาติเบ้ืองบนและธรรมชาติเบ้ื องต่าเข้าด้วยกัน ก่อกาเนิดตานานความเป็นมา คือ เทวกาเนิด และความเก่ียวพันกันระหว่างธรรมชาติเหล่าน้ัน มีแนว คล้ายการสืบพันธุ์ในหมู่มนุษย์ ลัทธิเหล่านี้จึงเปล่ียนเป็นลัทธินับถือภูตผีปีศาจ เช่น วิญญาณบรรพบุรุษ เป็นต้น ต้องทาพิธีศราทธะ แปลว่า กิจพิธีของผู้มีศรัทธา เพื่อบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ และบูชาเทวะ เพื่อให้เทวะช่วยเหลือบรรพบุรุษของตนให้พ้นจากนรก จึงเป็นหน้าที่อีกหน้าที่หน่ึงของบุตร ดังนั้น ผู้ไม่มี บตุ ร ถอื ว่าจะต้องตกนรกช่อื ว่า ปุตตะ ลัทธนิ ับถือเทพเจ้า เชน่ นับถือเทพเจ้าทอี่ ยบู่ นฟ้า สรวงสวรรค์ และ พื้นดิน วิวัฒนาการมาจากการนับถือธรรมชาติเบ้ืองบนและธรรมชาติเบื้องต่าดังกล่าวแล้ว เกิดข้ึนในยุค พระเวท ต่อมาภายหลัง จึงเกิดศาสนาพราหมณ์ขึ้น โดยผสมผสานระหว่างแนวคิดของชาวมิลักขะกับ อารยัน การกาเนิดของศาสนาพราหมณ์มีมานานมาก มีคัมภีร์หลักท่ีเขียนขึ้นโดยมหาฤษีในยุคก่อน ประวัตศิ าสตร์ 6. ด้านการศึกษา การศึกษาในสมัยนั้น คนท่ีมีโอกาสศึกษานั้นจะมีแต่เฉพาะวรรณะสูงเป็นส่วน ใหญ่ กล่าวคือวรรณะกษัตริย์จะศึกษาในด้านการพิชัยสงคราม การรบ การปกครองบ้านเมอื ง และวรรณะ

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัตศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 33 พราหมณ์จะศกึ ษาเก่ียวกับศาสนา พิธกี รรม อักษรศาสตร์ เวทมนต์คาถาต่าง ๆ โดยมีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ซึ่งเป็นผู้เช่ียวชาญในสาขานั้น ๆ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ให้ มีการถ่ายทอดความรู้ด้วยกัน 2 แบบ ด้วยการ เข้าไปช่วยเหลือการงานของอาจารย์ คล้ายเป็นส่วนหน่ึงในครอบครัว ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร ด้วยการ จ่ายค่าเล่าเรียนในราคาท่ีสูงมาก ทาให้คนที่จะมีโอกาสเข้าเรียนส่วนมากจะเป็นโอรสของกษัตริย์ พราหมณ์ เสนาบดี เศรษฐี โอกาสของลูกคนจนนน้ั มนี อ้ ยมาก ตามที่ (พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), 2548, หน้า 9-18) ได้กล่าวไว้ว่า วิธีการสอนนั้น จะ สอนด้วยระบบมุขปาฐะ คือบอกปากต่อปาก อาศัยความจาของอาจารย์เป็นสาคัญ ยังไม่มีตาราเป็น หลักฐานในสมัยตน้ ๆ ฐานะทางสงั คมของอาจารยท์ ิศาปาโมกข์นน้ั สงู มาก เน่ืองจากเป็นครอู าจารย์ของผู้สูง ศักดิ์เป็นส่วนใหญ่ นอกจากน้ัน ยังมีอาจารย์ผู้ช่วย เรียกว่า ปฤษฎาจารย์ มีหน้าที่คอยช่วยแนะนาในบาง เรอ่ื ง ส่วนมากจะเป็นศิษยร์ ุ่นพ่ี หรอื รุน่ เดียวกันท่ีมีความรดู้ ีกว่า มีปัญญามากกว่า จะทาหนา้ ทเ่ี ป็นปฤษฎา จารยด์ งั กลา่ ว 4. ลาดับพุทธวงศ์ เพอื่ ให้เขา้ ใจการลาดับพทุ ธวงศใ์ นภาพรวม จึงขอลาดบั ดงั นี้ 1. อาทติ ยวงศ์และศากยวงศ์ พระพุทธศาสนาได้ถือกาเนิดขึ้นหลังศาสนาพราหมณ์ประมาณ 600 ปี ก่อนศาสนาคริสต์ 543 ปี และกอ่ นศาสนาอสิ ลาม 1,124 ปี โดยมศี าสดาซ่ึงเป็นท่ีรู้จกั กนั ทว่ั โลกวา่ “พระพุทธเจ้า” มพี ระนามเดิมว่า “เจ้าชายสิทธัตถะ” เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งศากยวงศ์ และมีพระมารดาพระนามว่า “พระนางสิริมหามายา”แห่งโกลิยวงศ์ โดยมีต้นตระกูลมาจาก อาทิตยวงศ์ หรือที่เรียกกันว่า โคตมโคตร นัง่ เอง ตน้ ตระกลู ของอาทิตยวงศ์ คือพระเจา้ โอกกากราชที่ 3 แห่งแคว้นโกศล ทรงมพี ระมเหสีท้ังหมด 5 พระองค์ คือ พระนางหัตถา พระนางจิตตา พระนางชันตุ พระนางชาลินี และพระนางวิสาขา ซึ่งพระนาง หัตถา อัครมเหสีได้ให้กาเนิดพระราชโอสร 4 พระองค์ และพระธิดา 5 พระองค์ ส่วนพระชายาท่ีเหลือไม่ ปรากฏว่ามพี ระราชโอรสหรือพระราชธิดา ภายหลังพระนางหัตถาทรงสน้ิ พระชนมล์ ง พระเจ้าโอกกากราช ได้มีพระชายาใหม่ที่ทรงสิริโฉมงดงามมาก ไม่ปรากฏพระนาม ทรงต้ังให้เป็นอัครมเหสี และพระนางได้ให้ กาเนิดพระราชโอรสพระนามว่า ชันตุ ทาให้พระเจ้าโอกกากราชโปรดปรานเป็นอย่างมาก จึงพลั้งพระ โอษฐ์ประทานพรไปว่า หากพระนางประสงค์สิ่งใดจะให้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา พระนางจึงขอพระราช สมบัติให้แก่โอรสของพระนาง พระเจา้ โอกกากราชทรงห้ามหลายคร้ัง แต่สุดท้ายจาต้องยกพระราชสมบัติ ให้ตามที่พระนางปรารถนา เพราะเกรงว่าจะเสียสัตย์ ดังนั้น พระองค์จึงทรงเรียกพระโอรสทั้ง 4 ของพระ นางหัตถาพระมเหสีเก่าท่ีสวรรคตไปแล้ว มารับส่ังให้ไปสร้างเมืองใหม่ ทรงประทานผู้คน ช้าง ม้า และ ทรพั ยส์ ินใหต้ ามท่ีตอ้ งการ และพระธดิ าท้งั 5 ไดเ้ สดจ็ ตามไปดว้ ย พระโอสรท้ัง 4 พระนามว่า โอกากมุข กรกัณฑะ หัตถิกะ และสีนิปุระ และพระธิดาท้ัง 5 พระองค์พระนามว่า ปิยา สุปปิยา อานันทา วิชิตา และวิชิตเสนา โดยพระโอรสและพระธิดาทั้ง 9 ได้ เดินทางไปยังป่าไม้สากะ ในแถบภูเขาหิมาลัย พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาเป็นจานวนมากเพื่อไปแสวงหาท่ี สรา้ งพระนครอยู่ใหม่ ได้ทรงพบดาบสมีนามว่า กปิละ ซ่ึงสร้างอาศรมบาเพ็ญพรต อยู่บริเวณป่าไม้ สากะ นั้น กปิลดาบสได้ทูลถามสาเหตุท่ีต้องเสด็จออกจากพระนคร ครั้นกบิลดาบส ทราบความน้ันก็มีจิตเมตตา จึงถวายคาแนะนาให้สร้างพระนครอยู่ที่นั้นเพราะเป็นชัยภูมิอันเป็นมงคล เมื่อพระราชโอรสและพระราช ธิดาทรงสร้างพระนครแลว้ จงึ ขนานนามพระนครวา่ \"กบิลพัสด์ุ\" เพ่ือให้สมกับสถานที่อนั เปน็ ท่ีอยู่ของกบิล

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 34 ดาบส ได้สร้างเมืองกบิลพัสดุ์ข้ึน ทรงอภิเษกสมรสกันเองระหว่างพ่ีน้อง เพราะกลัวว่าจะไม่บริสุทธิ์โดย สายเลือดและจักถึงความแตกต่างกันแห่งชาติ โดยยกพระธิดาองค์ใหญ่ คือ พระนางปิยา ไว้ในฐานะ มารดา เหตุที่ตั้งช่ือเมืองว่า กบิลพัสด์ุ ก็เพราะว่าได้ขอสร้างเมืองในเขตที่กบิลดาบสอาศัยอยู่ก่อน และได้ ต้ังนามสกุลของตนขึ้นใหม่ว่า สักกะ หรือ ศากยะ ตามชื่อของป่าแห่งนั้น สถานท่ีแห่งนี้เป็นท่ีรู้จักกันใน นามว่า “แคว้นสักกะ” ในเวลาต่อมา หรืออีกนัยหน่ึงว่า คร้ันเม่ือพระเจ้าโอกกากราช ทรงทราบเร่ืองการ อภิเษกสมรสรของพระโอรสและพระธิดา ทรงพอพระทัยย่ิง โดยทรงเปล่งอุทานว่า \"สกฺยา วตโภ กุมารา ปรมสกฺยา วตโภ กุมารา\" แปลว่า \"พระกุมารสามารถหนอ พระกุมารสามารถย่ิงหนอ\" ด้วยเหตุน้ี วงศ์นี้ จึงได้ชื่อว่า \"ศากยวงศ์\" เพราะได้ทรงสร้างพระนครขึ้นในดงไม้สักกะ (ที.สี. 11/149/504-505, ที.สี.อ. (ไทย) 11/555-559) 2. โกลิยวงศ์ สมัยต่อมา พระนางปิยา พระเชฏฐภคินีเกิดเป็นโรคเรื้อน กษัตริย์น้องชายทั้ง 4 เกรงว่าจะแพร่ เช้ือโรคให้คนอื่น จึงได้รับสั่งให้ขุดสระโบกขรณีในพ้ืนดินโดยสังเขปว่าเป็นเรือน ให้พระนางอาศัยอยู่นั้น พร้อมท้ังของขบเค้ียวและของบริโภค มุงด้านบนด้วยดิน และในสมัยเดียวกัน พระเจ้ากรุงพาราณสี พระ นามว่า รามะ ทรงเป็นโรคเรื้อน เป็นที่รังเกียจของนางสนมกานัลและนักแสดงละครท้ังหลาย เกิดสังเวช พระทัย จึงทรงมอบพระราชสมบัติให้พระราชโอรสองค์ใหญ่เสด็จเข้าป่า ทรงเสวยรากไม้ในป่า ต่อมาไม่ นานนกั ทรงหายจากโรคน้นั มผี ิวพรรณผ่องใสด่งั ทองคา ทรงเสด็จไปมาในป่า ทรงทอดพระเนตรเห็นต้นไม้ มีโพรงใหญ่ แล้วทรงถากถางบริเวณนั้นใหเ้ ตียนโล่งในส่วนด้านในของต้นไม้นั้น ทรงติดประตูและหน้าต่าง ผูกบันไดประทับอยู่ ณ ท่ีแห่งน้ัน ทรงสดับเสียงของสัตว์ป่าต่าง ๆ มากมาย เช่น ราชสีห์ เสือ เนื้อ สุกร เป็นต้น และทรงอาศัยซากเนื้อที่จากสัตว์เหล่าน้ันมาเผาเสวย ต่อมาทรงได้ยินเสียงสตรีดังมาจากด้านใน ซง่ึ เกิดจากการขุดคุ้ยของเสอื ทไ่ี ด้กลิ่นพระนางปิยาน้ัน พระนางทอดพระเนตรเห็นเสือโคร่งตัวน้นั ทรงกลัว จึงสง่ เสียงร้องดังลั่น พระองค์จงึ ทรงเสด็จไปที่แห่งนัน้ แตเ่ ช้า ได้ซักถามทราบชอ่ื และสกุล ตลอดถงึ สาเหตุท่ี พระนางมาอยู่ตรงนั้นแล้ว จึงพาดบันไดลงไปรับพระนางขึ้นมาประทับท่ีพระองค์อาศัยอยู่ ทรงให้พระนาง เสวยรากไม้เช่นเดียวที่พระองค์ทรงเคยเสวย ไม่นานพระนางก็หายจากโรคเร้ือน มีผิวพรรณงดงามดั่ง ทองคา และทรงอยู่ร่วมกับพระนาง มีพระราชโอรสด้วยกันครั้งแรก 2 พระองค์ และทรงคลอดอีกครั้งๆ ละ 2 พระองค์ ทัง้ หมด 16 คร้ัง รวมเป็น 32 พระองค์ เมอื่ พระราชโอรสทง้ั หมดเจรญิ วยั แล้ว ทรงให้ศึกษา ศลิ ปศาสตร์ทกุ ชนิด เม่ือเรื่องทราบถึงกษัตรยิ ์ผู้เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระองค์ จงึ เสดจ็ มาทูลเชิญ พระราชบิดารับราชสมบัติคืน แต่พระองค์ทรงปฏิเสธและให้สร้างเมืองข้ึนใหม่ ทรงตั้งช่ือว่า โกลนคร เพราะเหตุท่ีถากถางต้นกระเบาออกแล้วสร้างเมืองข้ึน ณ ที่นั้น และเรียกอีกช่ือว่า พยัคฆบท เพราะเมือง สร้างข้ึนที่ทางเดินของเสือโคร่ง ทรงตั้งนามสกุลใหม่ว่า โกลิยะ ตามชื่อของต้นโกละน้ัน และโกลนครนี้ ได้รับการขนานนามใหม่ว่า “กรุงเทวทหะ” ในภายหลัง (ที.สี.อ. (ไทย) 11/559-562) เม่ือพระราชโอรส เจริญวัยถึงคราวสมควรทาอาวาหวิวาหมงคลแล้ว พระเจ้ารามะ จึงรับสั่งให้ไปหาคู่ครองที่ปรารถนา และ ต่อมาพระราชโอสรทั้งหมดได้ทาอาวาหวิวาหมงคลกับพระธิดาของศากยวงศ์ แห่งแคว้นสักกะ ท้ังสอง ตระกลู ได้ทาการอภิเสกสมรสกนั และกันมาเชน่ น้ตี ลอดมาจนถึงสมัยพุทธกาล 3. ศากยวงศแ์ ละโกลยิ วงศ์ กษัตริย์กรุงกบิลพัสดุ์ ได้สืบเชื้อสายกันมาโดยลาดับจนถึงยุคของพระเจ้าชัยเสนะ ทรงมีพระราช โอรสพระนามว่าสหี นุ และพระราชธิดาพระนามว่า ยโสธรา โดยพระเจ้าสหี นุทรงอภิเษกสมรสกับพระนาง กัญจนาแห่งกรุงเทวทหะ มีพระโอรสด้วยกัน 5 พระองค์ คือสุทโธทนะ สุกโกทนะ อมิโตทนะ โธโตทนะ และฆนโิ ตทนะ และพระราชธิดา 2 พระองค์ คอื ปมติ าและอมิตา

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 35 ส่วนกษัตริย์กรุงเทวทหะได้สืบเชื้อสายกันมาโดยลาดับเช่นเดียวกัน จนมาถึงยุคของพระเจ้า อัญชนะและพระกนิษฐภคินี พระนามว่า กาญจนา โดยพระเจ้าอัญชนะทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโส ธราแห่งกรุงกบลิ พัสด์ุ มพี ระโอรส 2 พระองคค์ อื สุปปพุทธะและทัณฑปาณิ และมีพระธิดา 2 พระองค์ คือ สริ ิมหามายา และปชาบดีหรือโคตมี พระราชโอรสของพระเจ้าสีหนุและพระนางกาญจนา คือ พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงอภิเษกสมรส กับพระนางสิริมหามายาแห่งโกลิยวงศ์ มีพระราชโอรส 1 พระองค์ คือ สิทธัตถะ หลังจากพระนางสิริมหา มายาทรงทิวงคต พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางปชาบดีโคตมี มีพระโอรส 1 พระองค์คือ นันทะ และมีพระราชธดิ า 1 พระองค์ คอื รปู นันทา (ประทีป สาวาโย, 2545, หน้า 123) สว่ นพระราชโอรสของพระเจ้าอัญชนะและพระนางยโสธรา คือ พระเจ้าสุปปพุทธะได้ทรงอภิเษก สมรสกับพระนางอมิตา พระธิดาองค์เล็กของพระเจ้าสีหนุและพระนางกาญจนา มีพระโอรส 1 พระองค์ คือ เทวทัต และมพี ระธิดา 1 พระองค์ คอื ยโสธราหรอื พมิ พา เจ้าชายสิทธัตถะทรงอภิเษกสมรสกับพระนางยโสธราพิมพา ซึ่งเป็นพระภคินีของพระเทวทัต นั่นเอง ทรงมพี ระโอรสดว้ ยกนั 1 พระองค์ คือ ราหลุ การลาดับพุทธวงศ์เพ่ือให้ง่ายต่อความเข้าใจและจดจา สามารถมองเห็นภาพชัดเจนจากแผนภูมิ ดงั ตอ่ ไปนี้ แหล่งที่มา : https://www.phuttha.com/พระพุทธเจ้า/ปฐมบทเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า/ลาดับ ช้ันแห่ง-2-ราชตระกลู 5. พทุ ธประวัติ ใน ส่ ว น ข อ งพุ ท ธป ระวั ติ ใน ท่ี น้ี จ ะก ล่ า ว ไป ต าม ล าดั บ ต้ั งแ ต่ พ ระพุ ท ธ อ งค์ ท รงป ระสู ติ จ น ถึ ง ปรินิพพานตามลาดับ และสอดแทรกการวิเคราะห์เนื้อหาที่เห็นว่าสาคัญ โดยอ้างเนื้อหาหลักจาก พระไตรปิฎกและอรรถกถาเปน็ หลักเพ่ือเป็นแนวทางในการศึกษาต่อไปดังน้ี 1. ตระกลู และปฐมวัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า “สิทธัตถะ” ทรงประสูติ ณ สวนลุมพินี ปัจจุบันเรียกว่า Lumbini (ออกเสียงว่า ลุมบินี) Rupandehi District (แขวงรูปันเดฮี) ในเขตตะรายตอนใต้ของเนปาล (The Terai plains of Southern Nepal) ซ่ึงอยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสด์ุกับกรุงเทวทหะ ในวันเพ็ญเดือน 6

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 36 (วิสาขปูรณมี) วันศกุ ร์ ปีจอ เวลาก่อนบ่าย ก่อนพุทธศักราช 80 ปี เน่ืองจากพระนางสริ ิมหามายาทรงทูล ขออนุญาตพระเจ้าสุทโธทนะเพื่อไปเยี่ยมสกุลของตน ณ กรุงเทวทหะ พระเจ้าสุทโธทนะทรงประทาน อนุญาตพร้อมให้เสนาอามาตย์ และราชบริพารจานวนมากคอยอารักขาคุ้มครอง ในเวลาใกล้เที่ยงพระนาง ทรงเกดิ ประชวรพระครรภ์อย่างกะทนั หนั จงึ ทรงยกพระหัตถ์ขวาขึน้ หมายจะเอ้อื มยดึ เหน่ยี วกิ่งไม้ทีอ่ ย่ใู กล้ ๆ เพ่ือประคองพระองค์ไม่ให้ซวนเซ แต่ทันใดน้ัน กิ่งไม้สาละกิ่งหน่ึง ค่อยๆ โน้มลงมาให้พระนางจับ และ ก่ิงไมอ้ น่ื ๆ ก็โน้มก่ิงลงหอ้ มลอ้ มพระองคป์ ระดุจม่าน ทรงประทบั ยืนประสตู พิ ระโอรส ณ ทแ่ี ห่งนน้ั ในระหว่างประสูติพระโอรส ได้มีเทวดาคอยรับก่อน และมีท่อน้าร้อนและท่อน้าเย็นตกลงมาจาก อากาศสนามพระวรกายของพระกุมาร ต่อจากนั้นนางสนมจึงรับต่อในภายหลัง จู่ ๆ พระโอรสก็พลันหลุด จากมือพระสนม ในขณะทพี่ ระบาทกาลังจะถงึ พ้ืนดิน กม็ ดี อกบวั บานผุดขน้ึ รองรับพระบาทของพระองค์ไว้ เป็นนิมิตหมายว่า ตลอดพระชนมายุของพระองค์จะมีแต่ความสะอาดบริสุทธ์ิ ไม่มีสิ่งมัวหมองหรือมลทิน ใด ๆ มากล้ากรายได้ หลังจากน้ัน พระองค์ทรงผินพระภักตร์ดาเนินไปทางทิศอุดร หรือทิศเหนือ ทรง ดาเนินไปได้ 7 ก้าว พร้อมกับมีดอกบัวรองรับพระบาททุกก้าว พระองค์ก็ทรงหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ทรง เหลียวดูทิศท้ังหลาย ทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นช้ีฟ้า และพระหัตถ์ซ้ายชี้ลงพื้นดิน พร้อมกับเปล่งอาสภิวาจา (วาจาท่ีไพเราะและอาจหาญ) วา่ “เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐท่ีสุด ในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว” ทันใดนั้น ก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ท้ังกลองทิพย์ก็บันลือล่ันในอากาศ แสงแดดก็อ่อนมิได้รอ้ น ฝนตกเฉพาะรอบ ๆ บริเวณ อากาศเย็นสบาย พฤกษาชาติทั้งหลายก็ผลิดอกออกช่อสวยงามตระการตายิ่งนัก เทพยดาทุกชั้นฟ้าต่างแซ่ซ้องสาธุการ โปรยปรายบุปผานานาพันธุ์เพ่ือถวายเป็นเครื่องสักการะ พร้อมเปล่งสาธุการด้วยปีติยินดี 3 ครั้งว่า “พระพุทธเจ้าทรงอุบัติข้ึนแล้วในโลก” (ขุ.มหา.อ. (ไทย) 65/69/390-391) และในขุททกนิกาย มหานิท เทส ไดอ้ ธบิ ายเหตุการณใ์ นวันประสตู ขิ องเจา้ ชายสิทธตั ถะไว้ดังนี้ ...ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์ประสูติบัดเดี๋ยวนั้น ก็ประทับยืนด้วยพระยุคลบาทอันเสมอกัน บ่ายพระพักตร์ไปเบื้องทิศอุดร เสด็จไปโดยย่างพระบาท 7 ก้าว เมื่อท้าวมหาพรหมก้ันพระเศวตฉัตร ทรง เหลียวดทู ่ัวทิศ ทรงเปล่งอาสภิวาจาว่า เราเป็นผู้เลิศในโลก, เราเป็นผู้เจรญิ ทส่ี ุดในโลก, เราเป็นผู้ประเสริฐ ที่สุดในโลก, การเกิดคร้ังนี้เป็นการเกิดครงั้ สุดท้าย. บัดนี้ ภพใหมไ่ ม่มีต่อไปดังน้ี. และการเสด็จไปของพระ ผู้มีพระภาคเจ้าน้ัน ก็เป็นอาการอันแท้ไม่แปรผัน ด้วยความเป็นบุพนิมิตแห่งการบรรลุคุณวิเศษหลาย ประการคือข้อที่พระองค์ประสูติในบัดเด๋ียวนั้นเอง ก็ได้ประทับยืนด้วยพระยุคลบาทอันเสมอกัน นี้เป็น บุพนิมิตแห่งการได้อิทธิบาท 4 ของพระองค์.อน่ึง ความที่พระองค์บ่ายพระพักตร์ไปเบ้ืองทิศอุดร เป็น บุพนิมิตแห่งความเป็นโลกุตตรธรรมทั้งปวง, การย่างพระบาท 7 ก้าว เป็นบุพนิมิตแห่งการได้รัตนะ คือ โพชฌงค์ 7 ประการ, อนึ่ง การยกพัดจามรขึ้น ท่ีกล่าวไว้ในคานี้ว่า พัดจามรทั้งหลายมีด้ามทอง ก็โบก สะบัดนี้เป็นบุพนิมิตแห่งการย่ายีเดียรถีย์ทั้งปวง, การกั้นพระเศวตฉัตร เป็นบุพนิมิตแห่งการได้เศวตฉัตร อันบริสทุ ธิ์ประเสรฐิ คือพระอรหัตตวมิ ุตติธรรม, การทอดพระเนตรเหลียวดูทั่วทิศ เป็นบุพนมิ ิตแห่งการได้ พระอนาวรณญาณคือความเป็นพระสัพพัญญู, การเปล่งอาสภิวาจา เป็นบุพนิมิตแห่งการประกาศพระ ธรรมจักรอันประเสริฐ อันใคร ๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ีก็เสด็จไปเหมือน อย่างน้ัน และการเสด็จไปของพระองคน์ ้ัน กไ็ ด้เป็นอาการอันแท้ ไมแ่ ปรผันด้วยความเป็นบุพนิมิตแห่งการ บรรลคุ ุณวิเศษเหลา่ น้นั แล…(ขุ.ม.อ. (ไทย) 65/69/390-391) เหตุการณ์เหล่านี้อธิบายได้ว่า เป็นการพรรณนาคุณของพระพุทธเจ้าแบบบุคลาธิฏฐาน แสดงให้ เห็นคุณวิเศษเฉพาะของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ขณะทรงพระเยาว์ และแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรง

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัตศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 37 เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลกโดยชี้พระหัตถ์เบ้ืองขวาข้ึนฟา้ และทรงช้ีพระหัตถ์ซ้ายลงดิน หมายความว่าการ เกิดบนโลกมนุษยใ์ นชาตินี้เปน็ ชาตสิ ุดท้ายของพระองค์ ส่วนการพรรณนาเหตุการประสูติของพระองค์ในแบบธรรมาธิฏฐาน อธิบายได้ว่า การที่พระองค์ เสด็จย่างพระบาทได้เจ็ดก้าวนั้น หมายความว่า พระองค์จะทรงดาเนินชีวิตด้วยความสะอาดบริสุทธ์ิตาม หลักโพชฌงค์ 7 อันเป็นองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ เปรยี บเสมือนบันได 7 ขัน้ อนั นาไปสู่การตรัสรแู้ ละบรรลุ พระนิพพาน คาว่า โพชฌงค์ แปลว่า ธรรมอันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ให้ต่ืน ให้เบิกบาน มี 7 ประการ ได้แก่ 1. สติ หมายถึง มสี ติ รูต้ ัวท่ัวพร้อมในสงั ขารทัง้ ปวง 2. ธรรมวิจยะ หมายถึง พนิ ิจพเิ คราะห์ในหลักธรรมทง้ั ปวง 3. วิริยะ หมายถงึ มีความเพยี รในการเผากิเลสทงั้ ปวง 4. ปตี ิ หมายถึง มีจิตเตม็ เป่ียมด้วยความปีติในธรรมหรอื ความอิม่ เอบิ ดว้ ยธรรม 5. ปสั สัทธิ หมายถงึ มีจิตสงบระงบั สะงัดจากกเิ ลสร้อยรดั หรอื ปราศจากนิวรณ์ 5 6. สมาธิ หมายถงึ มจี ิตตัง้ มนั่ เปน็ หน่ึงไม่เปน็ สอง 7. อุเบกขา หมายถงึ มีจิตวางเฉย ไม่ยึดติดในธรรมทง้ั ปวง เหตอุ ัศจรรยท์ สี าคญั ในวันประสูติเจ้าชายสิทธัตถะน้ัน ได้มสี ิ่งที่เกดิ ขึ้นพร้อมกับพระองคเ์ พ่อื เป็นคู่ พระบารมีของพระองค์ เรียกวา่ สหชาติ 7 (เกดิ ในวนั เดอื น ปี เดียวกนั กบั เจา้ ชายสทิ ธัตถะ) คือ 1. โพธ์ิพฤกษ์ หมายถึง ต้นอัสสัตถพฤกษ์ (ต้นไม้อันเป็นประโยชน์แก่ม้า เพราะเป็น ต้นไม้ใหญ่ ม้าชอบมาพักอาศัย กินใบและลูก) หลังพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว จึงเรยี กว่า ต้นพระศรีมหา โพธ์ิ แปลวา่ ต้นไมอ้ นั เป็นท่ตี รัสรู้ของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า 2. นางแกว้ หมายถงึ พระนางยโสธราพมิ พา มารดาพระราหุล 3. ขุนคลังแก้ว หมายถึง พระอานนท์ พุทธอนุชา มีหน้าท่ีคอยบริหารงาน กองทุน และ การกุศลต่าง ๆ เป็นที่ไว้ใจของเจ้าชาย และยังเป็นพุทธอุปัฏฐากที่ปรนนิบัติพระพุทธเจ้าได้นานที่สุด เป็น กาลงั สาคญั ในการทาปฐมสงั คายนา และเปน็ เอตทคั คะหลายดา้ น 4. นายฉันนะ หมายถึง มหาดเล็กและพระสหายสนิท คอยรับใช้ และติดตามเจ้าชาย สทิ ธัตถะในขณะทีท่ รงเปน็ พระโพธสิ ัตว์ ยังไมต่ รสั รู้ 5. ม้าแกว้ หมายถึง มา้ กัณฑกอัศวราช ม้าทรงหรอื มา้ เทียมราชรถ ทรงใช้ขณะเสดจ็ ออก ผนวช 6. ขุนพลแก้ว หมายถึง กาฬุทายีอามาตย์ หัวหน้าฝ่ายคุมม้าพระที่น่ังของเจ้าชาย และ เปน็ เอตทคั คะด้านการทาให้สกุลเลอ่ื มใส 7. นิธิกุมภี หมายถึง ขุมทรัพย์ 4 ขุม ประกอบด้วย (1) ขุมทองสังคนิธิ (2) ขุมทองเอล นธิ ี (3) ขุมทองอุบลนธิ ิ และ (4) ขุมทองปุณฑรกิ นธิ ิ เนื้อหาที่ได้กล่าวถึงสหชาติของเจ้าชายสิทธัตถะนั้น ปรากฏในขุททกนิกาย อรรถกถาทสกนิบาต อรรถกถากาฬุทายีเถรคาถาท่ี 1 ความวา่ “จริงอยู่ สหชาติ 7 เหล่านน้ั คือ ต้นโพธิพฤกษ์ 1 พระมารดาของ พระราหุล 1 ขมุ ทรัพยท์ ้ัง 4 ขุม 1 ช้างตระกูลอาโรหนิยะ 1 มา้ กณั ฐกะ 1 นายฉนั นะ 1 กาฬุทายี 1 ไดเ้ กิด พร้อมดับพระโพธิสัตว์เพราะเกิดในวนั เดียวกันน่ันแล” (ข.ุ เถร.อ.(ไทย) 52/322) และขุททกนกิ าย อปทาน อรรถกถากาฬุทายีเถราปทาน ความว่า “จริงอยู่ ต้นโพธ์ิพฤกษ์ มารดาของพระราหุล ขุมทรัพย์ 4 แห่ง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 38 ชา้ งทรง ม้ากัณฐกะ นายฉันนะ และกาฬุทายีอามาตย์ รวม 7 อย่างเหล่านี้ ได้เป็นสหชาติกบั พระโพธิสัตว์ เพราะเกดิ ในวันเดียวกนั ” (ขุ.อป.อ. (ไทย) 72/546/373) ข้อท่ีพงึ สงั เกตข้างต้นปรากฏว่า ไมม่ ีพระอานนท์ ในจานวนสหชาติทั้ง 7 ดังกลา่ ว แต่กลับปรากฏ ว่า มีช้างทรงตระกูลอาโรหนิยะแทน อาจเป็นความผิดพลาดในการพิมพ์หรือไม่อย่างไร ให้ผู้สนใจได้ คน้ ควา้ ศกึ ษาเพ่มิ เติมตอ่ ไป วันที่ 3 ภายหลังประสูติ อสิตดาบส หรือ กาฬเทวิลดาบส ผู้ทรงฌานสมาบัติ 8 ซ่ึงเป็นที่คุ้นเคย และเป็นท่ีนับถือของราชตระกูล ได้ทราบข่าวการประสูติของพระราชกุมาร จงึ เข้าไปในพระราชวงั เพ่ือขอ ชมพระกุมาร เมื่อท่านได้เห็นพระกุมารทรงพร้อมด้วยพระลักษณะอันเลิศ ก็ทราบว่า ต่อไปในภายหน้า พระกุมารน้ีจะได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ลุกขนึ้ จากอาสน์คุกเข่าลงถวายอัญชลีแล้ว อภิวาทลงท่พี ระบาทของพระกมุ าร แลว้ กท็ รงหวั เราะก้องไปทั้งปราสาท เพราะเห็นว่าเป็นลาภของตนทีไ่ ด้ เห็นพระกุมารทมี่ ลี ักษณะอนั ประเสรฐิ เช่นน้ัน แต่เมอ่ื พจิ ารณาเห็นว่าตนจะต้องตายเสียกอ่ นพลาดโอกาสท่ี จะได้มรรค ผล และนิพพาน มีความเสียดายนัก จึงได้ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ได้ เห็นดังน้ัน ต่างพศิ วงยิ่งนัก จงึ ได้ไถ่ถามพระดาบสถึงสาเหตุแห่งการหัวเราะและร้องไห้นั้น ครั้นได้ทราบว่า พระกุมารจะเป็นผู้มีเดชานุภาพยิ่งใหญ่ต่อไปในภายภาคหน้า ต่างก็พากันก้มกราบพระกุมาร แม้แต่พระ เจา้ สทุ โธทนะเอง กท็ รงอภวิ าทต่อพระกุมารเชน่ กัน แล้วดาบสกท็ ูลลากลบั วันท่ี 5 แห่งประสูติการณ์ของพระราชกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทรงทาพิธีทานายลักษณะและ ขนานพระนามโดยเชิญพราหมณ์ 108 คนมาเลี้ยง แล้วได้คัดเลือกพราหมณ์ชั้นยอด 8 ท่านเพ่ือทานาย ลกั ษณะพระราชกุมาร โดยพราหมณ์ 7 ท่าน ไดท้ านายเปน็ 2 นยั เหมือนกนั คือ “ถ้าพระกุมารครองความ เป็นฆราวาสต่อไป จะได้เป็นบรมจักรพรรดิ ถ้าพระกุมารออกผนวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาเอกของโลก” สว่ นโกณฑัญญะพราหมณ์หนุ่มได้ทานายเพียงประการเดียววา่ \"พระกุมารจะต้องออกผนวช และ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน\" แล้วพราหมณ์เหล่านั้นก็ได้ขนานพระนามพระกุมาร วา่ \"สิทธตั ถะ\" ซง่ึ หมายความว่า \"ต้องการส่ิงใดเป็นต้องสาเร็จทกุ ประการ\" วันที่ 7 แห่งประสูติการณ์ของพระราชกุมาร พระนางสิริมหามายาพระราชมารดา ก็เสด็จทิวงคต โดยเหตุนี้พระเจ้าสุทโธทนะจึงไดท้ รงแต่งตั้งพระนางปชาบดี ซ่ึงเปน็ พระภคินขี องพระนางสิริมหามายาขึ้น เป็นอัครมเหสี และทรงมอบภาระการเลี้ยงดูพระกุมารให้แก่พระนาง แม้ในกาลต่อมาพระนางทรงประสูติ โอรส คือ เจ้าชายนันทะ และราชธิดา คือ เจ้าหญิงรูปนันทา ก็ตาม ถึงกระนั้นพระนางก็มิได้ท่ีจะเล้ียงดู พระโอสรและพระธิดาท้งั สองให้ย่ิงไปกวา่ การเลยี้ งดเู จ้าชายสิทธตั ถะเลย เมอ่ื พระราชโอรสมีอายุได้ 7 พรรษา ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์ขึ้นอกี ครั้ง โดยในวันนั้นเป็นวันพระราช พิธีแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะพร้อมด้วยอามาตย์ ราชบริพาร พราหมณ์ คหบดี ได้เสด็จไปทาพิธีแรก นาขวัญ ณ ทุ่งนาหลวง และได้เชิญพระกุมารออกไปด้วย โดยจัดที่ประทับไว้ใต้ต้นหว้าใหญ่ มีพระพ่ีเล้ียง นางนมบริบาลแวดล้อม ขณะท่ีพระราชาเสด็จลงทาพิธีไถนาเป็นปฐมฤกษ์พร้อมด้วยอามาตย์ราชบริพาร ชั้นผู้ใหญ่รวม 108 ไถน้ัน พวกพระพี่เลี้ยงก็ออกมาชมด้วย ทิ้งพระกุมารไว้ในม่านแต่พระองค์เดียว เม่ือ พระกุมารอยู่ตามลาพังพระองค์เดียว ทรงลุกขึ้นเจริญภาวนาอานาปานสติกัมมัฎฐาน ยังปฐมฌานให้ เกิดข้ึนได้ เวลานั้นเป็นเวลาบ่าย เงาแห่งต้นไม้ทั้งหลายได้ชายไปตามตะวันทั้งส้ิน แต่เงาไม้หว้าอันเป็นท่ี ประทับของพระองค์ปรากฏตรงอยู่เสมือนเวลาเท่ียง ครั้นพระพ่ีเล้ียงท้ังหลายกลับเข้าไปในม่านเห็นพระ กุมารอยู่ในลักษณะเช่นนั้น ต่างพิศวงกับเหตุการณ์ดังกล่าว จึงออกไปกราบทูลให้พระเจ้าสุทโธทนะทรง

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 39 ทราบ เม่ือพระราชบิดาเสด็จเข้าไปเห็นก็ทรงรู้สึกอัศจรรย์พระทัยย่ิง จึงยกพระหัตถ์ข้ึนถวายอภิวาทพระ กมุ ารเป็นคารบสอง หลังจากนั้น พระราชบิดาไดท้ รงรับส่ังใหส้ รา้ งสระนา้ สาหรบั พระกมุ ารและบริวารลงเล่น มี 3 สระ ด้วยกนั คอื สระอบุ ลบวั ขาว สระประทมุ บวั หลวง และสระปณุ ฑรกิ บัวขาว ครั้นพระราชกุมารมีพระชนม์เจริญวัยได้ 8 พรรษา ควรศึกษาศิลปวิทยาได้แล้ว พระราชบิดาจึง ทรงมอบให้ \"ครูวศิ วามิตร\" ซึ่งเปน็ ครูประจาราชสานัก เป็นผู้สั่งสอนพระราชกมุ าร เจ้าชายสทิ ธัตถะทรง ศึกษาศิลปศาสตร์ 18 ประการได้อย่างว่องไว จนสิ้นความรู้ของอาจารย์ ได้แสดงความเฉลียวฉลาดในหมู่ พระญาติ ไมม่ ีพระกมุ ารอนื่ จะเทยี มเท่า 2. อภิเษกสมรส เม่ือพระราชกุมารมีพระชนม์ได้ 16 พรรษา พระราชบิดาได้ทรงรับสั่งให้สร้างปราสาทข้ึน 3 หลัง เพื่อให้เหมาะสมกับการท่ีจะประทับอยู่ 3 ฤดู และให้สร้างลงในบริเวณเดียวกัน มีทางเดินติดต่อกันท้ัง 3 หลัง เม่ือสร้างเสร็จแล้วพระบิดายังไม่ให้เจ้าชายขึ้นประทับจนกวา่ จะทาการอภิเษกแล้ว จึงได้ไปสู่ขอพระ เจ้าหญิงยโสธราพิมพา ราชธิดาพระเจ้าสปปพุทธะ แห่งกรุงเทวทหะ มาอภิเษกให้ แล้วให้ประทับอยู่อย่าง สาราญในปราสาททง้ั 3 จนเจา้ ชายสิทธัตถะ มีพระชนมายุได้ 29 พรรษา วันหน่ึงเจ้าชายสิทธัตถะมีพระทัยปรารถนาจะเสด็จประพาสพระอุทยาน จึงรับสั่งให้นายฉันนะ มหาดเล็กจัดรถเทียมด้วยม้า 4 ตัว ขับเที่ยวไปในอุทยาน ขณะท่ีกาลังเพลิดเพลินอยู่น้ันได้ทอดพระเนตร เทวทูต 4 (ทูตจากสวรรค์หรือเทวดาแปลงกายมาเพื่อดลพระทัยให้พระองค์เกิดความสังเวชพระทัย น้ีเป็น การพรรณาแบบบคุ ลาธฏิ ฐาน) คือ คนแก่ คนเจบ็ คนตาย และสมณะ โดยในวันแรกได้จาแลงเปน็ ชายชรา ผมหงอกขาว หลังโกง ถือไม้เท้ายันกันล้ม เดินกะโผลกกะเผลกไปในระหว่างทาง ก็ทรงแปลกพระทัย จึง ถามนายฉันนะว่า ชายผู้น้ีทาไมจึงรูปร่างผิดปกติต่างจากคนทั่วไป เมื่อทรงทราบว่าเป็นธรรมดาที่ทุกคน จะต้องชราด้วยกันท้ังนั้น ทรงบังเกิดความสังเวชพระทัย จึงเสด็จกลับพระราชวัง วันต่อมาเมื่อเจ้าชายได้ เสด็จประพาสพระอุทยานอีก ก็ทรงพบเห็นคนเจ็บและคนตายในวาระท่ีสองและที่สาม ทรงถามดังเช่น คราวก่อน เมื่อทรงทราบว่าเป็นของธรรมดาที่ทุกคนจะต้องเจ็บ จะต้องตาย ก็ทรงสลดสังเวชพระทัยเป็น ทวีคูณ แต่ในวาระที่สี่ได้ทรงพบภาพบรรพชิตนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ มีกิริยาสารวมน่าเคารพเลื่อมใสยิ่งนัก จึงทรงถามนายฉันนะอีก เมื่อทรงทราบว่าเป็นสมณะ ผู้แสวงหาความสงบ พระทัยของพระองค์จึงน้อมไป ในสมณเพศ มีพระทัยผ่องแผ้วเบิกบานยิ่งนัก จึงเสด็จเท่ียวอยู่ในพระอุทยานตลอดวัน ในวันน้ันเอง เจ้า หญิงยโสธราพิมพาได้ประสูติโอรส พระเจ้าสุทโธทนะจึงให้มหาดเล็กไปทูลเจ้าชายให้ทรงทราบ พระองค์ กาลังมีพระทัยน้อมไปในบรรพชา จึงทรงเปล่งอุทานว่า \"ห่วงบังเกิดขึ้นแก่เราแล้ว\" แล้วในตอนเย็น พระองค์ก็เสด็จกลบั พระราชวงั เพราะเหตนุ ้นั พระราชกุมารจึงไดพ้ ระนามวา่ \"ราหุล\" ซ่ึงแปลวา่ \"หว่ ง\" ในการพรรณาเรอ่ื งทรงทอดพระเนตรเทวทูตทั้ง 4 ในท่นี ี้ สามารถวิเคราะห์ไดว้ า่ เป็นไปได้หรือไม่ ว่าพระองค์ต้องทรงทอดพระเนตรคนแก่เป็นแน่แท้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงพระบิดา มารดา และพระอัยยิกา ของพระองค์เอง ส่วนคนเจ็บ คนตาย และสมณะน้ัน อาจมีความเป็นไปได้ที่พระราชบิดาของพระองค์จะ ปกปิดไม่ให้ทอดพระเนตรได้ โดยให้อาศัยอยู่แต่ภายในปราสาทของพระองค์ แต่หากพรรณนาแบบ ธรรมาธิฏฐาน อาจเป็นไปได้ว่าพระองค์ทรงพิจารณาเห็นความจริงที่ว่า คนเราต้องเกิด แก่ เจ็บ และตาย หลังจากได้ทอดพระเนตรคนแก่ เจ็บ ตาย และสมณะ จริง ๆ โดยไม่ได้มีการเนรมิตจากเทวดาแต่อย่างใด เนอ่ื งจากพระองค์ทรงเป็นผู้มีปัญญาเฉลยี วฉลาด เรียนจบศลิ ปศาสตร์ 18 ประการตงั้ แตท่ รงพระเยาว์ จน สิ้นความรู้ของอาจารย์

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัตศิ าสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 40 3. เสดจ็ ออกผนวช (มหาภิเนษกรมณ์) เมือ่ เจ้าชายสทิ ธัตถะได้ประสบพบวา่ คนเราจะตอ้ งเกิด แก่ เจบ็ ตาย ทรงดาริว่า แมเ้ ราเองก็หนไี ม่ พ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย น้ี และการเกิดน้แี หละเป็นเหตทุ าให้เกิดทุกข์ แต่สรรพสิ่งล้วนมีของแก้กัน เช่น มีร้อนก็มีเย็นแก้ มีมืดก็มีสว่างแก้ มีทุกข์ก็ต้องมีสุขได้ และความสุขนั้นจะต้องพ้นไปเสียจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ายังอยู่ในเพศฆราวาสก็คงหาทางแก้ทุกข์มิได้ คร้ันทรงดาริดังน้ันแล้ว ในตอนดึกคืนวันหนึ่ง ในขณะที่ทรงมีพระชนมายุได้ 29 พรรษานั่นเอง ทรงตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช โดยยอมหนีจากพระ นางพิมพา พระวรชายาคู่บารมี และโอรสราหุล ผู้เป็นสุดท่ีรักปานดวงพระหฤทัย สละโภคสมบัติ ยศศักดิ์ รชั ทายาท และอานาจวาสนาทง้ั สิ้น แล้วเสด็จหนอี อกจากพระราชวงั ทป่ี ระทับโดยมา้ ทรงช่ือ “กัณฑกอัศว ราช\" พร้อมกับมหาดเล็ก ชื่อ \"ฉันนะ\" ซ่ึงเป็นสหชาติของพระองค์ เสด็จมุ่งสู่แม่น้าอโนมา ป่าอนุปิยอัมพ วัน ในยามราตรี เมื่อถึงฝั่งตรงข้ามของแม่น้าอโนมา (ซ่ึงก้ันพรมแดนระหว่างแคว้นสักกะกับแคว้นมัลละ) ทรงรับส่ังให้นายฉันนะนาเครื่องทรงและม้ากัณฑกะกลับพระนคร ส่วนพระองค์ได้ใช้พระขรรค์ตัดพระ เมาลี (ผม) อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต ครั้งแรก พระสมณโคดมได้ประทับอยู่ ณ ป่ามะม่วงชื่ออนุปิยอัมพ วัน ริมฝ่ังแม่นา้ อโนมา ฝ่ังเมืองสาวตั ถอี ยู่ถึง 7 วัน จึงเสด็จมงุ่ ตรงไปยังกรุงราชคฤหแ์ คว้นมคธ ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ปาสราสิสูตร ได้กล่าวถึงการเสด็จออกผนวชของเจ้าชายสิทธัต ถะ ความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยต่อมา เรากาลังหนุ่ม มีเกศาดาสนิท ยังอยู่ในปฐมวัย2 เม่ือพระ มารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาจะให้บวช มีพระพักตร์อาบด้วยน้าพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ จึงปลง ผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนไม่มีเรือนบวช เม่ือบวชแล้ว ก็เสาะหาว่ากุศลเป็น อย่างไร ขณะที่แสวงหาทางสงบระงับอันประเสริฐ ซ่ึงหาทางอ่ืนยิ่งกว่ามิได้ ได้เข้าไปหาอาฬารดาบส กา ลามโคตรแล้ว กล่าวว่า ท่านกาลามะ ข้าพเจ้าปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ ในธรรมวินัยนี้ ” (ม.ม. (ไทย) 18/317/415) และยงั ปรากฏในมชั ฌมิ นิกาย มชั ฌิมปัณณาสก์ มหาสัจจกสตู ร มขี ้อความที่คล้ายกัน ว่า“อัคคิเวสสนะ ในโลกนี้ กอ่ นแต่ตรัสรู้เทียว เมื่อเรายังมิได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยูท่ ีเดียว ความปรวิ ิตก เรื่องน้ีได้มีแก่เราว่า ฆราวาสเป็นที่คับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี เคร่ืองหมองใจ ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสอัน แจง้ การทผ่ี ้อู ยู่ครองเรือน ประพฤติพรหมจรรย์ให้เต็มทส่ี ่วนเดยี ว บรสิ ทุ ธ์สิ ่วนเดียว ดงั สังข์ท่ขี ัดแล้ว ทาได้ มิใช่ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมแลหนวด ครองผ้ากาสาวพสั ตร์ ออกจากเรือนบวช อัคคิเวสสนะ โดยสมัย อนื่ เรากาลังหนุ่ม เกสายงั ดาสนิท ยังบริบูรณ์พรอ้ มด้วยเยาว์ เคร่ืองเจริญชั้นปฐมวัยอยูท่ ีเดยี ว เมื่อมารดา บดิ า ไม่ประสงคจ์ ะใหบ้ วช พากนั รอ้ งไห้นา้ ตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผมแลหนวดครองผ้ากาสาวพัสตร์ออก จากเรือนบวชแล้ว เราบวชแล้ว แสวงอยแู่ ต่ว่าสิ่งไรเป็นกุศล ค้นหาทางสงบอันประเสริฐที่ไมม่ ีส่ิงไรยิ่งกว่า คือ พระนิพพาน ได้เข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตร จึงได้กล่าวข้อประสงค์อันน้ีกะอาฬารดาบส กา ลามโคตรว่า ท่านกาลามะ เราปรารถนาประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ด้วย” (ม.ม.(ไทย) 19/411/113) ซึ่งการเสด็จออกผนวชของพระองค์นั้น เรียกว่า มหาภิเนษกรมณ์ แปลว่า การเสด็จออก เพ่ือคณุ อนั ยิ่งใหญ่ เหตุการณ์ดังกล่าวสามารถวิเคราะห์ไดว้ ่า พระองค์เสด็จออกตอ่ หนา้ พระพักตร์พระราช มารดาและพระราชบิดามีความเป็นไปได้มากกว่าเสด็จหนีออกผนวชในเวลากลางคืน เน่ืองจากได้ปรากฏ ในพระไตรปิฎกทั้งสองแห่งดังกล่าวแล้วน้ัน ทั้งยังเป็นพระดารัสของพระองค์เองอีกด้วย และยังปรากฏในทีฆนิกาย สีลขันวรรค กูฏทันตสูตร ซึ่งพราหมณ์กูฏทันตะได้กล่าวให้เหตุผลกับพวกพราหมณ์หลายร้อยคนที่พักอยู่ใน 2 ปฐมวัยในท่นี ที้ รงหมายเอาวยั หนมุ่ สาว นับตามความนยิ มตงั้ แตอ่ ายุ 15-30 ปี

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 41 บ้านขานุมัตตะถึงเหตุผลที่ท่านต้องเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้พระองค์เสด็จมาหาตน ความว่า “...ได้ยนิ ว่า พระสมณโคดมทรงละพระญาติหมู่ใหญ่ ออกผนวชแล้ว พระองค์ทรงสละเงินและทองเป็นอัน มาก ทั้งท่ีอยู่ในพ้ืนดิน ท้ังที่อยู่ในอากาศออกผนวช พระองค์กาลังรุ่น มีพระเกศาดาสนิท ยังหนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัย เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต เม่ือพระมารดาและพระบิดา ไม่ทรงปรารถนาให้ผนวช มี พระพักตร์อาบด้วยน้าพระเนตรทรงกันแสงอยู่ พระองค์ได้ทรงปลงพระเกศา และพระมัสสุ ทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์ เสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต พระองค์มีพระรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระ ฉววี รรณ ผุดผอ่ งยิง่ นัก มีพระฉวีวรรณคลา้ ยพรหม มีพระสรรี ะคล้ายพรหม น่าดู นา่ ชม มิใชน่ ้อย พระองค์ เป็นผู้มีศีล มีศีลประเสริฐ มีศีลเป็นกุศล ประกอบด้วยศีลเป็นกุศลพระองค์มีพระวาจาไพเราะ มีพระ สาเนียงไพเราะ ประกอบด้วยวาจาของชาวเมือง สละสลวย หาโทษมิได้ ให้ผู้ฟังเข้าใจเน้ือความได้ชัด พระองค์เป็นอาจารย์และปาจารย์ของคนหมู่มาก...” (ที.สี.(ไทย) 12/203/44-46 และในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ จังกีสูตร ความว่า จังกีพราหมณ์ได้กล่าวกะพราหมณ์ต่างเมืองประมาณ 500 ท่ีพักอยู่ใน หมู่บ้านโอปาสาทะความว่า “...ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ถ้าเช่นนั้น ขอท่านท้ังหลายจงพึงข้าพเจ้าบ้าง เรานี้แหละสมควรจะไปเฝ้าพระสมณโคดมพระองค์น้ันทุกประการ แต่ท่านพระสมณโคดมพระองค์น้ัน ไม่ สมควรเสด็จมาหาเราเลย ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ทราบว่า พระสมณโคดมทรงเป็นอุภโตสุชาติทั้ง ฝ่ายพระมารดาท้ังฝ่ายพระบิดา มีพระครรภ์เป็นท่ีถือปฏิสนธิหมดจดดีตลอด 7 ชั่วบรรพบุรุษ ไม่มีใคร คัดค้านติเตียนได้โดยอ้างถึงพระชาติ แม้เพราะเหตุท่ีพระสมณโคดมเป็นอุภโตสุชาติ ฯลฯ ไม่มีใครคัดค้าน ตเิ ตียนได้ โดยอา้ งถึงพระชาตินี้ ท่านพระโคดมพระองค์นั้นจงึ ไม่สมควรจะเสด็จมาหาเราท้ังหลาย ที่ถูกเรา ทั้งหลายน่ีแหละสมควรจะไปเฝ้าท่านพระโคดมพระองค์นั้น ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ทราบว่า พระ สมณโคดมทรงสละเงินและทองมากมาย ทั้งท่ีอยู่ในพื้นดิน ท้ังที่อยู่ในอากาศ เสด็จออกผนวช...พระสมณ โคดมกาลังรนุ่ พระเกศาดาสนิท ยังหนุม่ แน่นตั้งอยใู่ นปฐมวัย เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต... เม่อื พระ มารดาและพระบิดาไม่ทรงปรารถนาให้ทรงผนวช พระพักตร์อาบไปด้วยพระอัสสุชล ทรงกันแสงอยู่ พระ สมณโคดมทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้าย้อมน้าฝาด เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต...” (ม.ม.(ไทย) 21/650/343-344) ถงึ แมจ้ ะไม่ใชพ่ ระดารัสของพระองค์เอง แต่มีข้อความคล้ายคลงึ กับทั้งสอง สูตรดังกล่าวแล้ว ส่วนการเสด็จหนีออกผนวชในยามราตรีพร้อมด้วยนายฉันนะ โดยทรงม้ากัณฑกะน้ัน ปรากฏ ปรากฏในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ กัณฑกวิมาน ความว่า “ข้าพเจ้ากัณฐกอัศวราช สหชาติของ พระโอรสพระเจ้าสุทโธทนะในกรุงกบิลพัสดุ์ ราชธานีของกษัตริย์แคว้นศากยะ ครั้งใดพระราชโอรสเสด็จ ออกมหาภิเนษกรมณ์เพ่ือโพธิญาณตอนเที่ยงคืน พระองค์ใช้ฝ่าพระหัตถ์อันนุ่มและพระนขาท่ีแดงปล่ัง ค่อย ๆ ตบขาข้าพเจ้า และตรัสว่า พาเราไปสิสหาย เราบรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดมแล้ว จักยังโลกให้ ขา้ มโอฆสงสาร เมื่อข้าพเจ้าฟงั พระดารัสนน้ั ได้มีความรา่ เริงเป็นอันมาก ข้าพเจ้ามใี จเบิกบานยินดีได้รับคา ในครงั้ นัน้ ครนั้ ร้วู ่า พระศากโยรสผู้มียศใหญป่ ระทับนั่งเหนือหลงั ขา้ พเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ามีใจเบิกบานบันเทิง นาพระมหาบุรุษไปถึงแว่นแคว้นของกษัตริย์เหล่าอื่น เม่ือพระอาทิตย์ขึ้น พระมหาบุรุษนั้นมิได้ทรงอาลัย ละท้ิงข้าพเจ้าและฉันนอามาตย์ไว้เสด็จหลีกไป ข้าพเจ้าได้เลียพระบาทท้ังสอง ซ่ึงมีพระนขาแดงของ พระองค์ ร้องให้แลดูพระมหาวีระ ผู้กาลังเสด็จไป เพราะไม่ได้เห็นพระศากโยรสผู้ทรงสิริน้ัน ข้าพเจ้าป่วย หนัก ก็ตายอย่างฉับพลัน ด้วยอานุภาพแห่งบุญนั้นแหละ ข้าพเจ้าจึงมาอยู่วิมานทิพย์นี้ ซึ่งประกอบด้วย กามคุณทุกอยา่ งในเทวนคร อกี อย่างหนึง่ ขา้ พเจ้าได้มคี วามร่าเริงเพราะไดฟ้ งั เสยี งเพื่อพระโพธญิ าณว่าเรา จักบรรลุความส้ินอาสวะด้วยกุศลมูลนั่นเอง”(ขุ.วิ. (ไทย) 48/81/608-609) หากจะให้น้าหนักความ นา่ เชื่อถือ การเสด็จหนีออกผนวชในยามราตรีน่าจะมีน้าหนักน่าเชอ่ื ถือรองลงมา เน่ืองจากไม่ใช่พระดารัส

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัติศาสตร์พระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 42 ของพระพุทธองค์เอง เป็นเพียงคากล่าวของพระสาวกเท่าน้ัน กล่าวคือเป็นการสนทนาระหว่างพระมหา โมคคัลลานะกบั กัณฑกอัศวราชเทพบตุ รนนั่ เอง ฝ่ายโกณฑัญญะพราหมณ์ เมื่อได้ข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวชแล้ว จึงได้ชวนบุตร พราหมณ์ที่เคยไปร่วมทานายลักษณะเจ้าชายออกบวชตาม บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เช่ือ จึงมีผู้บวชตาม เพยี ง 5 คน รวมทั้งโกณฑัญญะพราหมณ์ อีก 4 คน คือ วัปปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอัสสชิ ทั้ง 5 น้ีรวม เรียกวา่ ปัญจวัคคีย์ ท้ัง 5 คนนไี้ ด้ตดั สินใจออกบวชติดตามหาพระสมณโคดมต่อไป และพระเจ้าพมิ พสิ ารผู้ ครองแคว้นมคธ เมื่อได้ทรงทราบข่าวการเสด็จออกบรรพชาของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงได้เสด็จไปยังสานัก พระสมณโคดม และได้ทูลถามถึงความเป็นมา วัตถุประสงค์ท่ีมา เมื่อทรงทราบว่าพระสมณโคดมเป็นราช ตระกูลในราชวงศศ์ ากยะแหง่ กรงุ กบิลพัสดุ์ เกิดเบื่อทางโลกคดิ ออกบวชเพ่อื หาทางพน้ ทุกขเ์ ช่นนี้ พระองค์ ทรงชักชวนให้พระสมณโคดมอยู่กับพระองค์ โดยทรงสัญญาว่าจะแบ่งราชสมบัติให้ปกครองก่ึงหน่ึง ซึ่งก็ ไดร้ บั การปฏิเสธจากพระสมณโคดมโดยสุภาพ 4. ทรงศึกษาในสานกั ดาบส ต่อจากน้ันพระองค์ได้เสด็จไปยังสานักของอาฬารดาบส กาลามโคตร ณ เชิงเขาบัณฑวะ เข้าฝาก ตัวเปน็ ศิษย์ ศกึ ษาจนสาเร็จตามหลักสตู รของอาจารย์ ไดส้ มาบัติ 7 คือ ได้รูปฌาน 4 อรูปฌาน 3 ครน้ั แล้ว พระองคก์ ็เสด็จไปศึกษาต่อ ณ สานกั อุทกดาบส รามบุตร ไดค้ วามรูส้ งู ขึ้นอีกขน้ั หนง่ึ คือ ได้อรปู ฌาน 4 ซึ่ง เป็นความรู้สูงสุดของอาจารย์ แต่พระองค์ก็ทรงหาพอพระทัยไม่ เพราะน่ันยังมิใช่ทางพ้นทุกข์ที่พระองค์ ทรงมุ่งหมาย พระองค์จึงลาอาจารย์เสด็จต่อไปจนถึงตาบลอุรุเวลาเสนานิคม ทรงพิจารณาเห็นว่าสถานที่ นน้ั สงบ น่ารื่นรมย์ มีพน้ื ทรี่ าบเรียบ มีแนวป่าเขียวสด มีแมน่ า้ ไหลผ่าน น้าใสสะอาด มที ่าอันดนี ่ารื่นรมย์ มี ท่ีสาหรับโคจรเพ่อื ภกิ ขาอยู่โดยรอบ จงึ ทรงประทับยบั ยัง้ เพอ่ื บาเพ็ญเพียร ณ ที่นั้นตอ่ ไป ฝ่ายปัญจวัคคีย์ซึ่งพากันติดตามพระองค์มาหลายเมืองแล้วน้ัน ได้มาพบพระองค์ที่ตาบลอุรุเวลา เสนานิคม เห็นพระองค์บาเพ็ญเพียรโดยวิธีต่าง ๆ อยู่ ก็คิดว่าพระองค์คงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็น แน่แท้ จงึ ได้พากนั เขา้ ไปอยู่ชว่ ยปรนนิบัติตั้งแตน่ ้ันมา 5. ทรงบาเพญ็ ทกุ รกริ ยิ า ณ ตาบลอุรุเวลาเสนานิคมน้ีเอง พระสมณโคดมได้เร่ิมบาเพ็ญทุกรกิริยา ซ่ึงเป็นวิธีการที่นิยมกัน อย่างแพร่หลายในสมัยน้ัน โดยคิดว่าจะเปน็ ทางแหง่ ความหลุดพน้ ทุกข์ พระองค์ได้บาเพ็ญทุกรกิริยาอย่าง แรงกล้า เช่น กดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุ (เพดานปาก) ด้วยพระชิวหา จนเหงื่อไหลจากรักแร้ กล้ันลมหายใจเข้าออก เม่ือลมเดินทางช่องนาสิก และพระโอษฐ์ไม่สะดวกแล้ว ก็เกิดเสียงอู้ ๆ ทางช่อง พระโสต และในที่สุดก็ใช้วิธีอดอาหาร โดยผ่อนเสวยน้อยลง ๆ จนพระกายเห่ียวแห้ง พระฉวีวรรณเศร้า หมอง กระดูกปรากฏท่ัวพระวรกาย เมื่อทรงลูบพระองค์พระโลมามีรอยเน่าก็หลุดร่วงจากขุมขน พระ กาลงั ก็ลดน้อยถอยลงตามลาดบั จะเสด็จไปทางไหนกค็ อยซวนเซล้ม แม้พระองคจ์ ะทรงทรมานพระกายถึง ขนาดนกี้ ห็ าบรรลคุ ุณวเิ ศษใด ๆ ไม่ พระองค์จึงทรงพิจารณาเห็นว่า การบาเพ็ญเพียรทางกายอย่างมากก็ทากันได้เพียงแค่นี้เอง ไม่ดี ไปกว่านี้แน่ ถึงกระนั้นก็หาใช่ทางหลุดพ้นไม่ พระองค์จึงทรงหวนระลึกถึงความเพียรทางใจในขณะที่ พระชนมายไุ ด้ 7 ขวบในวันพระราชพิธีแรกนาขวัญที่พระองค์ทรงเข้าถึงปฐมฌานนั้น ทรงตกลงพระทัยว่า คงจะเป็นทางตรัสรู้อย่างแน่นอน ทรงเกิดความคิดเทียบเคียงกับพิณ 3 สาย ถ้าขึงตึงนัก พอดีดก็จะขาด ออกไป ถ้าขึงหย่อนไปก็ดีดไม่เป็นเสียง แต่ถ้าขึงปานกลางย่อมดีดไพเราะเจริญใจ เม่ือเทียบกับการปฏิบัติ ก็เช่นเดียวกัน ถ้าย่อหย่อนนักคือ หมกมุ่นหนักไปในกามารมณ์จนเกินไป ก็เป็นเสมือนพิณที่ขึงหย่อนย่อม ไม่สามารถออกจากทุกข์ได้ ถ้าหากปฏิบัติตึงเกินไป เช่น การบาเพ็ญทุกรกิริยาท่ีเคยปฏิบัติมาน้ันก็เป็น

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 43 เสมือนพิณที่ขึงตึงนักพอดีดก็ขาด พระองค์ก็เช่นเดียวกัน บาเพ็ญลาบากเปล่าๆ แทบจะขาดใจก็หาได้ผล ใด ๆ ไม่ ฉะน้ัน จึงควรเดินสายกลางไม่ให้ตึงนักและหย่อนนัก ซึ่งเรยี กว่า \"มัชฌิมาปฏิปทา\" น่ีกระมังท่ีจะ เปน็ ทางแหง่ ความพน้ ทุกข์ พระสมณโคดมทรงตระหนักได้ว่า ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันและเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน การ ทรมานร่างกายก็ย่อมทาให้จิตใจไม่สงบ กระวนกระวาย เม่ือจิตใจไม่สงบปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร และ ถา้ กาลังกายไม่มกี าลงั ใจจะมีไดอ้ ย่างไร จิตใจที่เขม้ แขง็ ยอ่ มอย่ใู นร่างกายท่ีสมบรู ณ์ จึงทรงหนั กลับมาเสวย อาหารตามปกตเิ พือ่ ให้มีกาลังกาย เพ่อื จะได้เจริญสมาธภิ าวนาทาความเพียรตอ่ ไป เม่ือปัญจวัคคีย์เห็นพระสมณโคดมเลิกการบาเพ็ญทุกรกิริยากลับมาเสวยอาหารเช่นนั้น ก็คิดว่า พระองค์คงจะเลิกละความเพียรหันมาเพื่อความมักมากเสียแล้ว คงไม่อาจตรัสรู้ได้อย่างแน่นอน ถ้าตนจะ อยู่ปฏิบัติต่อไปก็คงไม่ได้อะไร จึงพากันหลีกหนีไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ปัจจุบันเรียกช่ือว่า สาร นาถ ใกลเ้ มืองพาราณสี การที่พระองค์ทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา แล้วมีปัญจวัคคีย์มาอุปัฏฐากเช่นนั้นย่อมเป็นโชคของ พระองค์ เพราะเท่ากับพระองค์ได้มีพยานยืนยันว่า การบาเพ็ญทุกรกิริยาน้ันไม่ใช่ทางตรัสรู้ โดยยก พระองค์เป็นตัวอย่างว่าทรงเคยทามาแล้ว หาใช่ทางแห่งความสาเร็จไม่ เมื่อพระองค์ทรงดาริจะบาเพ็ญ เพียรทางจิตนั้น ก็นับว่าเป็นโชคดีหรือโอกาสที่ดีต่อพระองค์อีก ท่ีมีเหตุให้ปัญจวัคคีย์หลบหนีไป เพราะ การบาเพ็ญเพียรทางจิตน้ัน จาต้องอาศัยความสงบเป็นอย่างมาก ถ้ามีคนอยู่พลุกพล่าน ย่อมก่อให้เกิด อันตรายต่อความสงัดของพระองค์ ซ่ึงนับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้มีโชคเป็นอย่างย่ิงใหญ่ สมดังคาเรียกขาน พระนามพระองค์อีกหนึ่งพระนามว่า ภควา น้ันเอง ซึ่งพจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรมได้ให้ ความหมายไวว้ า่ ทรงเป็นผมู้ โี ชค คือ จะทรงทาการใด กล็ ุล่วงปลอดภัยทกุ ประการ หรอื เป็นผู้จาแนกแจก ธรรม — Bhagavà: blessed; analyst) (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), 2558, หน้า 222) อธิบาย ความได้ว่า ภควา หรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเป็นพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่สาวกเรียกกัน แปลว่า ทรงเปน็ ผ้มู ีโชคคอื ทรงหวงั พระโพธิญาณก็ได้สมหวงั ทรงประกาศพระศาสนากช็ ักจูงผู้คนใหไ้ ด้บรรลธุ รรม ตามสมปรารถนา มีผู้คิดร้ายก็ไม่อาจทาร้ายได้ อีกนัยหน่ึงว่า ทรงเป็นผู้จาแนกแจกธรรม คือทรงแสดง ธรรมด้วยการจาแนก แจกแจงได้อย่างชัดเจนให้ผู้คนเข้าใจได้ทุกแง่ทุกมุม อีกท้ังมีความงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และทสี่ ุดอกี ดว้ ย พระสุตตันตปิฎก มัชิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อรรถกถาปาสราสิสูตร ได้กล่าวถึงเหตุการณ์หลังทรง เลิกบาเพ็ญทุกกรกิริยาไว้ว่า ในเช้าวันข้ึน 14 ค่า เดือน 6 พระสมณโคดมได้ทรงรับข้าวมธุปายาสพร้อม ถาดทองคามีค่าแสนหน่ึงปิดด้วยถาดทองคาอีกหนึ่งถาดห่อด้วยผ้าขาวจากนางสชุ าดา ซ่ึงนางนามาแก้บน ท่ีได้บุตรคนแรกเป็นชาย เมื่อทรงรับ ได้ทรงเสด็จลงสรงสนานในแม่น้าเนรัญชรา ทรงป้ันเป็นก้อนได้ 49 ก้อน แล้วทรงเสวยข้าวมธุปายาสจนหมด แล้วก็ทรงนาถาดทองใบนน้ั ไปลอยน้า โดยทรงเสยี่ งทายว่า “ถ้า เราจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันน้ี ขอถาดจงลอยทวนกระแสน้า” แล้วทรงเหว่ียงถาดไป ถาดก็ลอยทวน กระแสน้าแล้วหยุดหน่อยหนึ่ง เข้าไปสู่ภพของท้าวกาฬนาคราช วางทับของพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ (ม.มู.อ. (ไทย) 18/455-456) พระสมณโคดมเมื่อทรงเห็นเช่นนั้น ก็มั่นพระทัยว่า พระองค์จะต้องได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ทรงปีติโสมนัสอย่างย่ิง ทรงมุ่งสู่โพธิบัลลังค์ จะเห็นได้ว่า ขอ้ ความนี้เป็นขอ้ ความในช้นั อรรถกถาเท่านั้น แต่ข้อความในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ปาสราสิสูตร ปรากฏข้อความแต่เพียงว่า ทรงเสด็จถึงตาบลอรุ ุเวลาเสนานิคมอันเป็นที่น่าร่ืนรมย์ มีราวป่า เป็นที่น่าชื่นใจ มีแม่น้า มีท่าน้าใสสะอาด มีโคจรคามต้ังอยู่โดยรอบ เป็นท่ีสมควรเริ่มบาเพ็ญเพียร จึงทรง เริ่มบาเพ็ญเพียร ณ ที่แห่งน้ัน จนกระทั่งทรงบรรลเุ ปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เองโดยชอบ บรรลุพระ

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 44 นิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะ วิมุตติของพระองค์จะไม่กาเริบอีก และชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของ พระองค์ ไม่มีภพใหม่อีกต่อไป (ม.มู. (ไทย) 18/319-320/418-419) จะเห็นได้ว่าในท่ีน้ีไม่ได้พรรณนาถึง การรับขา้ วมธุปายาสจากนางสชุ าดา และการอธฏิ ฐานเส่ียงทายด้วยการลอยถาดทองคาดงั กล่าว 6. ตรสั รเู้ ปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ นับแต่การได้ออกทรงบรรพชาจนถึงเสวยข้าวมธุปายาสรวมเป็นเวลา 6 ปีเต็ม พระองค์ก็ได้เสด็จ ไปประทับน่ัง ณ โคนต้นสาละ แล้วพระดาริที่จะบาเพ็ญเพียรทางใจต่อไป โดยทรงกาหนดสถานท่ี กาหนดเวลาและกิจที่จะต้องทรงทา เม่ือเตรียมวางแผนในเรื่องดังกล่าวได้แล้วจึงเสด็จลุกจากต้นสาละ มงุ่ ตรงไปยังต้นมหาโพธท์ิ ่ที รงกาหนดหมายไว้ ขณะนั้น ได้มีคนเกี่ยวหญ้าคนหนึ่งช่ือ โสตถิยพราหมณ์ ถือหญ้ าคา 8 กา เดินสวนทางมา พราหมณ์นนั้ ได้พบพระสมณโคดมก็เกดิ เลื่อมใส จึงนอ้ มนาหญ้าคาทัง้ 8 กานนั้ เขา้ ไปถวาย พระองค์ทรงรับ แล้วเสดจ็ ไปยังต้นมหาโพธิ์ เมื่อเสดจ็ ไปถึงต้นมหาโพธ์ิแลว้ ก็ทรงพิจารณาเหน็ ว่าเบ้อื งทิศตะวันออกของต้น มหาโพธเิ์ ป็นที่เหมาะเรียบราบสม่าเสมอดี จึงทรงเอาหญ้าคาท้ัง 8 กานั้นปู ทรงพอพระทัยในบัลลังก์หญ้า นั้น โดยกาหนดนึกให้เสมอบัลลังก์แก้ว ทรงน่ังขัดสมาธิบนบัลลังก์หญ้า แล้วหันพระพักตร์ไปทางทิศ ตะวันออก หันหลังให้ต้นมหาโพธิ์ แล้วได้ตั้งสัตยาธิษฐานไว้อย่างอุกฤษฎ์ว่า \"ถ้าเรายังไม่บรรลุพระสัมมา สัมโพธิญาณตราบใด เราจักไมล่ ุกข้ึนตราบนน้ั แมว้ ่าเน้ือเลือดจะเหือดแห้งไป เหลอื แต่หนัง เอ็น กระดูก ก็ ตามท\"ี แลว้ ทรงกระทาจิตเข้าสูส่ มาธิ ขณะนั้นได้เกิดความขัดแย้งระหว่างธรรมชาติฝ่ายต่า คือ กิเลส และธรรมชาติฝ่ายสูง คือ คณุ ธรรมต่าง ๆ ในพระทยั ของพระองค์ แตพ่ ระองค์มีพลังพระทัยเข้มแข็ง สามารถประมวลเอาบารมีท่ีเคย ได้ส่ังสมอบรมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ให้เข้มแข็งหนักแน่นเสมือนแผ่นดิน หักห้ามความคิดจะกลับหลัง เสียได้โดยเด็ดขาด จนสามารถเอาชนะธรรมชาติฝ่ายต่าได้ และสามารถทาให้จิตเข้าสู่สมาธิท่ีแน่วแน่มาก ยิ่งขึ้นตามลาดับ จนได้บรรลุฌานที่ 1 ถึงท่ี 4 ตามลาดับ มีจิตท่ีแน่วแน่ม่ันคงผ่องแผ้วจากกิเลสอาสวะท้ัง ปวงได้ แลว้ ทาใหบ้ รรลญุ าณความรู้เหน็ เปน็ ขัน้ ตอนตามลาดับในราตรนี ัน้ คอื ยามที่ 1 (18.00 น. - 22.00 น.) ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ รู้และเข้าใจชาติหนหลัง ของพระองค์ไดอ้ ยา่ งแจ่มแจ้ง ทงั้ ทรงรแู้ จ้งการกาเนิดและเรอื่ งของชวี ติ ยามที่ 2 (22.00 น. - 02.00 น.) ทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ คือ ทรงรู้และเข้าใจเหตุที่สัตว์โลกต้อง ตายและเกิดมสี ภาพท่แี ตกต่างกัน ยามที่ 3 (02.00 น. - 06.00 น.) ทรงบรรลอุ าสวักขยญาณ คือ ความรูแ้ ละความเขา้ ใจอนั เปน็ เหตุ ที่ทาให้สิ้นอาสวกิเลสทั้งหลาย คือ ทรงทราบว่าการที่ขันธ์มาประชุมกันขึ้นเป็นตัวเราตัวเขานี้ ก็เพราะ ความไม่รู้ (อวิชชา) ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด (ตัณหา) ความยึดม่ัน ถือมั่น (อุปาทาน) และการกระทาของ เรา (กรรม) นั่นเอง ท้ังหมดน้ีล้วนแต่เป็นเหตุและผลของกันและกัน เปรียบเสมือนสายโซ่ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท หรือจะกลา่ วอีกอย่างหน่งึ ว่า พระองค์ตรัสรู้อริยสจั 4 อนั ได้แก่ ทกุ ข์ (สภาพที่ทนได้ยาก) สมทุ ยั (เหตุทที่ าใหเ้ กิดทุกข)์ นโิ รธ (ความดบั ทกุ ข์) และมรรค (หนทางไปสูค่ วามดบั ทุกข)์ เม่ือทรงรู้อย่างนี้แล้ว จิตของพระองค์ก็พ้นจากอาสวกิเลสทั้งปวง ไม่ยึดม่ันถือมั่นอีกต่อไป พระองค์ไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระสมั มาสัมพุทธเจา้ (ผ้ตู รสั ร้ดู ้วยพระองค์เองโดยชอบธรรม) ในร่งุ อรุณนน่ั เอง 7. ทรงดารทิ ่ีจะโปรดสัตว์ คร้ันพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงเสวยวิมุตติสุข คือความสุขอันเกิดจาก ความหลุดพ้นจากกิเลส เป็นเวลา 49 วัน (7 สัปดาห์) แล้วได้เสด็จกลับไปยังตน้ อชปาลนิโครธ ในราตรีนั้น ทรงดาริว่า พระธรรมท่ีพระองค์ได้ตรัสรู้นั้นเป็นสิ่งท่ีลึกซ้ึง ยากที่คนธรรมดาจะรู้ เข้าใจ และปฏิบัติตาม

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 45 พระองค์ได้ ทรงมพี ระทัยทอ้ ถอยไม่คิดจะสง่ั สอนผ้อู ่นื ตอ่ ไป ในพระสตุ ตนั ตปฎิ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณั ณาสก์ ความ วา่ “ขณะนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมได้ทราบดาริของพุทธองค์แล้ว ได้เกิดปริวิตกว่า โอ จะฉิบหายแหลกลาญ เสียแล้ว เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระทัยน้อมไปเพื่อขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อ ทรงแสดงธรรม จึงอันตรธานจากพรหมโลกลงมา เฉวียงผ้าห่ม ประคองอัญชลี กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงธรรม สัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีท่ีดวงตาน้อยเป็นปกติมีอยู่ เพราะ ไม่ได้สดับธรรม สัตว์เหล่าน้ันจึงเส่ือม ผู้ท่ีรู้ธรรมจักมีอยู่” (ม.มู.18/322/420-421) พระพุทธองค์จึงได้ ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นว่า “เหล่าสัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยก็มี ผูม้ ีกิเลสดุจธุลีในดวงตา มากกม็ ี ผู้มีอินทรีย์กลา้ ก็มี ผู้มอี ินทรีย์อ่อนก็มี ผู้มีอาการดีก็มี ผู้มอี าการชวั่ ก็มี ผู้พอจะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็ มี ผ้จู ะพึงสอนให้รูไ้ ดย้ ากก็มี บางพวกมีปกติเหน็ โทษและภัยในปรโลก เปรยี บเหมือนในกออุบล ในกอปทุม หรือในกอบุณฑริก ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกเกิดในน้า เจริญในน้า อยู่กับน้า จมน้าอยู่ ภายในน้า อันน้าหล่อเล้ียงไว้ บางดอกเกิดในน้า เจริญในน้า อยู่กับน้า ต้ังอยู่เสมอน้า บางดอกเกิดในน้า เจริญในน้า โผล่พ้นน้าขึ้นมาแล้วตั้งอยู่ น้าซึมเข้าไปไม่ได้ ฉันใด เราขณะที่ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้ เหน็ เหล่าสัตว์ ฉันนัน้ ” (ม.มู.18/322/421-422) สัตว์โลกท้งั หลายก็มีอุปมาเหมอื นดอกบัว ฉะนนั้ บางคนก็ มีปัญญาเฉียบแหลม สอนเพียงครั้งเดียวก็จะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง เปรียบประดุจดอกบัวท่ีอยู่พ้นน้าคอย แสงแดดอยู่ฉะน้ัน บางคนก็มสี ตปิ ญั ญาอยู่ในเกณฑด์ ี พอแนะนาให้ตรัสรู้ได้โดยงา่ ย แม้จะตอ้ งสอนกันถึง 2 -3 คร้งั ก็ตาม ยอ่ มเป็นเสมือนดอกบวั ที่อยู่เสมอผิวนา้ อีก 2 -3 วันก็จะบานฉะนน้ั บางคนแม้จะไม่ถึงกับ จะตรัสรู้มรรคผลได้ แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่จะแนะนาส่ังสอนให้ต้ังตนอยู่ในคุณธรรมความดีได้ เปรียบเสมือน ดอกบัวที่ยังอยู่ในน้า พอมีหวังจะบานได้ในอนาคต แม้จะนานสักหน่อยก็ตาม เม่ือพระองค์ทรงพิจารณา เห็นเชน่ นั้นแล้วจึงทรงรับอาราธนาท่ีจะส่งั สอนสัตว์ต่อไป น้ีเป็นการพรรณนาแบบ บุคลาธิฏฐาน แต่หาก อธิบายด้วยหลักธรรมาธิฏฐานแล้ว สามารถอธิบายได้ว่า พระพรหมในท่ีน้ีคงหมายเอาพรหมวิหาร 4 คือ (1) เมตตา ทรงมีความรักปรารถนาให้สรรพสัตว์มีความสุขกาย สบายใจ (2) กรุณา ทรงมีความเอ็นดู ปรารถนาให้สรรพสัตว์ที่มีความทกุ ข์กาย ทุกขใ์ จได้พ้นทุกข์ (3) มทุ ิตา ทรงพลอยยินดี เม่ือสรรพสตั ว์น้ัน ๆ ไดด้ ี หลุดพ้นจากความทุกข์กาย ทุกขใ์ จได้ และ (4) อุเบกขา ทรงวางพระทัยเป็นกลาง ปล่อยวาง เมื่อสัตว์ น้ัน ๆ ได้รับการแนะนาพร่าสอนแล้ว แต่ไม่สามารถพัฒนาตนเอง หรือไม่สนใจในการฝึกปฏิบัติตาม คาแนะนาพร่าสอน จนหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ซ่ึงพรหมวิหาร 4 เปน็ คณุ สมบัติของพระพุทธเจ้าทกุ ๆ พระองค์ อยู่แล้ว ดังน้ัน พระองค์จึงทรงตัดสินพระทัยที่จะประกาศคาสอนท่ีพระองค์ทรงค้นพบและตรัสรู้ด้วยด้วย พระองค์เอง สมดงั พระประสงค์ทพ่ี ระองค์เสด็จออกผนวชแต่แรกเริม่ นั่นเอง ครั้นแล้วจึงทรงดาริว่าควรจะไปสั่งสอนผู้ใดก่อน บุคคลที่มีความรู้ความสามารถพวกแรกที่ทรง ระลึกถึงได้ คอื อาฬารดาบส และอุททกดาบส แต่ขณะนั้นทั้งสองท่านได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว บุคคลต่อมา ที่ทรงระลึกถึงได้แก่ ปัญจวัคคยี ์ ซึ่งได้หนีจากพระองค์ไปอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เป็นผู้มีอุปการคุณ ต่อพระองค์ระหว่างทรงบาเพ็ญทุกรกิริยา ดังน้ัน จึงทรงตัดสินพระทัยจะแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์เป็น พวกแรก 8. ทรงแสดงปฐมเทศนา ในพระสุตตนั ตปิฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปัณณาสก์ ระบวุ ่า เมอื่ ทรงตัดสนิ พระทัยจะแสดงธรรมโปรด ปัญจวัคคีย์ จึงได้เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในระหว่างทางได้สวนทางกับ อาชวี กผหู้ น่ึง (นักบวชประเภทหนง่ึ นอกพุทธศาสนา) ชื่ออปุ กะ ระหวา่ งแมน่ า้ คยากบั โพธพิ ฤกษ์ เมื่ออุปกะ ชีวกเห็นพระพุทธเจ้ามีผิวพรรณผุดผ่องงดงามยิ่งนัก เกิดความอัศจรรย์ในใจ จึงถามว่า \"ดูก่อนอาวุโส อนิ ทรีย์ของทา่ นใสยิ่งนกั ผวิ พรรณของทา่ นบริสุทธิ์ผดุ ผ่อง ดูกอ่ นอาวโุ ส ท่านบวชอทุ ศิ ใคร ใครเป็นศาสดา

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ศิ าสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 46 ของท่าน หรอื ท่านชอบธรรมของใคร\" พระพทุ ธองค์ทรงตรัสตอบความย่อว่า \"เรารู้ธรรมด้วยตนเอง หาได้ บวชในสานักผใู้ ดไม่ ฉะนั้น จึงไม่มใี ครที่เป็นครูของเรา เราเป็นผตู้ รัสรู้เอง\" อปุ กะชีวกก้มศรีษะลง แลว้ จาก ไป (ม.มู.18/322/423-424) พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปจนถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันในตอนเยน็ วันข้ึน 14 ค่า เดือน 8 และในที่สุดพระพุทธองค์ก็ได้พบกับปัญจวัคคีย์ และได้ทาให้ปัญจวัคคีย์เชื่อในการตรัสรู้ของ พระองค์ และพรอ้ มทจี่ ะรบั ฟงั พระธรรม ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้น คือวันเพ็ญข้ึน 15 ค่า เดือน 8 ก่อนพุทธศักราช 45 ปี จึงทรงแสดงธัมมจัก กัปปวัตตนสูตรโปรดปัญจวัคคีย์ นับเป็นปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ โดยในพระวินัยปิฎก มหาวรรค กล่าววา่ พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสัง่ กะพระปัญจวัคดีย์ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุด 2 อย่างนี้อันบรรพชิต ไม่ควรเสพคือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามท้ังหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 การประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลาบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่าง” (วิ.ม. (ไทย) 6/13/44-45) เมื่อปัญจวัคคีย์ได้พิจารณาไตร่ตรองธรรมตามที่ พระพุทธองค์ทรงแสดงแล้ว “ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดแก่ท่านโกญฑัญญะว่า สิ่งใดส่ิงหน่ึงมีความเกิดข้ึนเป็นธรรมดา ส่ิงนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา” (วิ.ม. (ไทย) 6/16/48) พระพุทธองค์ทรงเปล่งอุทานว่า \"อัญญาสิ วตโภ โกณฑัญโญ\" 2 ครั้ง แปลว่า โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ โดยนิมิตท่ีพระองค์ทรงเปล่งอุทานน้ี ท่านโกณฑัญญะจึงได้นามใหม่ว่า อัญญา โกณฑัญญะ ต้ังแต่บัดน้ันเป็นต้นมา ต่อจากนั้นอัญญาโกณฑัญญะได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธ องค์จึงได้ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา ความว่า “ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจง ประพฤติพรหมจรรย์เพ่ือทาที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด” (วิ.ม. (ไทย) 6/18/50) ท่านโกณฑัญญะ นับว่าเป็น ปฐมสาวกในพระพุทธศาสนา และได้รับยกย่องจากพุทธองค์ว่า เป็นผู้เลิศกว่าสาวกทั้งหลายในด้านการได้ ดวงตาเห็นธรรม (ผู้มีราตรีนาน) เป็นประจักษ์พยานในพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้แล้วน้ัน พระธรรมอัน ลึกซงึ้ นัน้ เป็นสิง่ ที่ไม่เหลือวสิ ัยทีค่ นจะรตู้ ามได้ ในระหว่างนน้ั พระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธัมมีกถาโปรดอีก 4 ทา่ นท่ีเหลือ ท่านวัปปะและท่านภัททิยะ ได้ดวงตาเห็นธรรม และชุดสุดท้ายท่ีได้ดวงตาเห็นธรรมคือ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ แล้วพระพุทธ องค์ก็ได้ประทาน การบรรพชาอุปสมบทให้ด้วยวิธีเดียวกันกับที่ประทานให้ท่านอัญญาโกญฑัญญะ ต่อมา พระพุทธองค์ไดท้ รงแสดงอนัตตลักขณสูตรโปรดพระภกิ ษุปัญจวคั คีย์อีก กระทง่ั ได้เกิดความเข้าใจแจม่ แจ้ง จิตหลุดพ้นจากอาสวกิเลส ไม่ยึดม่ันถือมั่นด้วยอุปทานอีกต่อไป จึงได้สาเร็จเป็นพระอรหันต์พร้อมกัน ท้ังหมดทั้ง 5 องค์ ขณะนั้นได้มีพระอรหันต์เกิดข้ึนแล้วในโลก 6 องค์ด้วยกัน และได้จาพรรษาแรกท่ีป่า อสิ ิปตนมฤคทายวนั นบั วา่ เปน็ พรรษาท่ี 1 ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ในระหว่างประทับที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดยสกุลบุตรให้ได้ ดวงตาเห็นธรรม และแสดงธรรมโปรดบิดา มารดา และอดีตภรรยาของพระยสะจนท้ังสามได้ปฏิญาณตน เป็นปฐมอุบาสก และปฐมอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา ขอถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นท่ีพึ่ง ตลอดชีวิต ต่อมาหลังพระยสะได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดสหายของพระยสะในเมือง พาราณสีอีก 4 คน คือ วิมล สุพาหุ ปุณณชิ และ ควัมปติ จนได้บรรลุพระอรหันต์ หลังจากน้ันพระองค์ได้ แสดงธรรมโปรดสหายท่ีอยู่ตามชนบทนอกเมืองพาราณสีอีก 50 คน จนได้บรรลุอรหัตตผลเป็นพระ อรหนั ตท์ ง้ั หมด ในกาลน้นั ได้มพี ระอรหนั ตเ์ กดิ ข้ึนในโลกรวมท้ังหมด 61 องค์

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 47 9. ทรงประกาศพระศาสนา เมื่อทรงมีสาวกเป็นพระอรหันต์ 60 องค์ และออกพรรษาแล้ว ทรงพิจารณาเห็นสมควรว่าจะ ออกไปประกาศศาสนาให้เป็นท่ีแพร่หลายได้แล้ว พระพุทธองค์จึงทรงเรียกประชุมสาวกท้ังหมดแล้วตรัส ว่า \"ภิกษุทั้งหลาย เราได้พ้นจากบ่วงทั้งปวงท้ังชนิดที่เป็นทิพย์ และชนิดท่ีเป็นของมนุษย์แล้ว แม้ท่าน ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เราท้ังหลายจงพากันจาริกไปยังชนบทท้ังหลาย เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ มหาชนเถิด อย่าไปรวมกันทางเดียวถึงสองรูปเลย จงแสดงธรรมให้งามท้ังในเบ้ืองต้น ท่ามกลางและที่สุด พร้อมท้ังอรรถและพยัญชนะเถิด จงประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส้ินเชิง สัตว์ท้ังหลายที่มี กิเลสเบาบางนั้นมีอยู่ เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรม ย่อมจะเส่ือมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึง ผู้รู้ทั่วถึงธรรมคงจัก มีอยู่ แมเ้ ราเอง กจ็ ะไปยงั อุรุเวลาเสนานคิ มเพอื่ แสดงธรรมเช่นกนั ” พระองค์ทรงส่งสาวกออกประกาศศาสนาพร้อมกันทีเดียวถึง 60 องค์ ไป 60 สาย คือ ไปกันทุก สารทิศทีเดียว แม้พระองค์เองก็ไปเหมือนกัน ไม่ใช่แต่สาวกอย่างเดียวเท่านั้น นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีของ ผ้นู าทดี ี และเป็นตวั อย่างในการเป็นครูท่ดี อี ีกดว้ ย สาวกท้ัง 60 เมื่อได้รับพุทธบัญชาเช่นน้ัน ก็แยกย้ายกันไปประกาศศาสนาตามจังหวัด อาเภอ และตาบลต่าง ๆ ทาให้กุลบุตรในดินแดนถ่ินฐานต่าง ๆ เหล่าน้ันหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ มากมาย เมื่อเกิดความเลื่อมใสจึงขอบวช แต่สาวกเหล่านั้นยังไม่สามารถบวชให้เองได้ จึงต้องพากุลบุตร เหล่าน้ันมาเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อให้พระองค์บวชให้ ทาใหไ้ ด้รับความลาบากในการเดินทางมาก เพราะเหตุ นนั้ พระพุทธองค์จึงประทานพุทธานุญาตให้สาวกเหล่าน้ันอุปสมบทกุลบุตรได้ โดยโกนผมและหนวดเครา เสียก่อน แล้วจึงให้นุ่งห่มผ้าย้อมน้าฝาด น่ังคุกเข่าพนมมือ กราบภิกษุแล้วเปล่งวาจาว่า \"ข้าพเจ้าขอถึง พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ\" รวม 3 ครั้ง การอุปสมบทน้ีเรียกว่า \"ติสรณคมนูปสัมปทา\" คืออุปสมบทโดยวิธีให้ปฏิญญาณตนเป็นผู้ถึงไตรสรณคมน์ เป็นการใหอ้ ปุ สมบทแบบทส่ี องในพระพุทธศาสนา พรรษาท่ี 1 ทรงจาพรรษาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทรงแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ยสกุลบุตร เพื่อนพระยสะในเมืองพาราณสี และเพ่ือนตามชนบทนอกเมืองพาราณสีอีก 50 คน ได้สาวกเป็นพระ อรหันต์จานวน 60 องค์แล้ว พระพุทธองค์ทรงอาศัยพระมหากรุณาธิคุณทาการประกาศเผยแผ่คาส่ังสอน จนได้สาวกเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา กลายเป็นพุทธบริษัท 4 ข้ึนอย่างมากมายและม่ันคง การ ประกาศพระพุทธศาสนาของพระองค์ได้ดาเนินการไปอย่างเข้มแข็ง โดยการมอบหมายให้สาวกแยกย้าย กนั ไปเผยแผ่แห่งละองค์ไมใ่ หไ้ ปท่ีเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่พระองค์เอง ทรงประทานวิธกี ารบรรพชาอุปสมบท ให้พระภิกษุบวชให้แก่กุลบุตรได้เอง ทรงจาริกไปยังหมู่บ้าน ชนบทน้อยใหญ่ในแว่นแคว้นต่าง ๆ ทั่วชมพู ทวปี ตลอดเวลาอกี 44 พรรษา รวมทง้ั สิ้น 45 พรรษาตลอดพระชนมายขุ องพระองค์ พรรษาท่ี 2 เสด็จไปยังเสนานิคมในตาบลอุรุเวลา ในระหว่างทางได้สาวกกลุ่มภัททวัคคีย์ 30 คน และท่ีตาบลอุรุเวลาได้ชฎิล 3 พี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ กับศิษย์ 1,000 คน ทรง แสดงอาทิตตปริยายสูตร ท่ีคยาสีสะ เสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์กรุงราชคฤห์ แห่งแคว้นมคธ จนได้ดวงตาเห็นธรรม ถวายสวนเวฬุวันเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา ได้พระสารีบุตร และพระมหา โมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวก อีก 2 เดือนต่อมาเสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพานักที่นิโครธาราม ได้ สาวกมากมาย เชน่ นนั ทะ ราหุล อานนท์ เทวทตั และพระญาติอนื่ ๆ อนาถปิณฑิกะเศรษฐีอาราธนาไปยัง กรุงสาวตั ถีแห่งแควน้ โกศล ถวายสวนเชตวันแด่คณะสงฆ์ ทรงประทบั ทน่ี ี่ 1 พรรษา พรรษาท่ี 3 ทรงประทับที่วัดบพุ พารามที่นางวิสาขาถวาย ณ กรุงสาวตั ถี แควน้ โกศล พรรษาที่ 4 ทรงประทับท่ีเวฬวุ ันมหาวหิ าร ณ กรงุ ราชคฤห์ แคว้นมคธ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ิศาสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 48 พรรษาที่ 5 โปรดพระราชบิดาจนบรรลุอรหัตตผล ทรงไกล่เกล่ียข้อพิพาทระหว่างพระญาติฝ่าย สักกะกับพระญาตฝิ ่ายโกลยิ ะเกยี่ วกบั การใชน้ ้าในแม่นา้ โรหณิ ี ทรงบรรพชาอุปสมบท พระนางปชาบดโี คตมแี ละคณะเปน็ ภิกษณุ ี ทรงประทับท่ีนโิ ครธาราม แควน้ สกั กะ พรรษาที่ 6 ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ในกรุงสาวตั ถี ทรงจาพรรษาบนภเู ขามังกลบุ รรพต พรรษาที่ 7 ทรงเทศนาและจาพรรษาท่ีกรุงสาวัตถี ระหว่างจาพรรษาเสด็จข้ึนไปยังสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ ทรงเทศนาพระอภธิ รรมโปรดพระมารดา พรรษาที่ 8 ทรงเทศนาในแควน้ ภคั คะ ทรงจาพรรษาในสวนเภสกลาวัน พรรษาท่ี 9 ทรงเทศนาและจาพรรษาในแคว้นโกสมั พี พรรษาที่ 10 คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีแตกแยกกันอย่างรุนแรง ทรงตักเตือนไม่เชื่อฟัง จึงเสด็จไป ประทับและจาพรรษาในป่าเลเลยก์ มชี า้ งเชือกหน่ึงมาเฝา้ พิทักษ์และรบั ใชต้ ลอดเวลา พรรษาที่ 11 เสดจ็ ไปยังกรงุ สาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกนั ได้ทรงจาพรรษาในหมบู่ ้าน พราหมณช์ ่อื เอกนาลา พรรษาที่ 12 ทรงเทศนาและจาพรรษาทเ่ี วรญั ชา เกิดความอดอยากรนุ แรง พรรษาท่ี 13 ทรงเทศนาและจาพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต พรรษาที่ 14 ทรงเทศนาและจาพรรษาทกี่ รุงสาวัตถี ราหลุ ขอบรรพชาอุปสมบท พรรษาท่ี 15 เสด็จไปยงั กรงุ กบิลพสั ด์ุ พระเจา้ สปุ ปพุทธะถูกแผน่ ดนิ สบู เพราะขัดขวางทาง พรรษาที่ 16 ทรงเทศนาและจาพรรษาทอ่ี าลวี พรรษาท่ี 17 เสดจ็ ไปยังกรงุ สาวตั ถี กลับมายงั กรงุ อาลวแี ละทรงจาพรรษาท่ีกรงุ ราชคฤห์ พรรษาท่ี 18 เสดจ็ ไปยงั กรุงอาลวี ทรงจาพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต พรรษาที่ 19 ทรงเทศนาและจาพรรษาบนภเู ขาจาลิกบรรพต พรรษาท่ี 20 โจรองคุลีมาลกลับใจเป็นสาวก ทรงแต่งต้ังให้พระอานนท์รับใช้ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจาพรรษาทีก่ รงุ ราชคฤห์ ทรงเรมิ่ บัญญัติพระวนิ ัย พรรษาที่ 21-44 ทรงยึดเอาวัดพระเชตวันมหาวิหารและวัดบุพพารามเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ และเป็นท่ีประทับจาพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ ตามแว่นแคว้นต่างๆ โดยรอบ ประทบั อยูท่ ่ีพระเชตวนั มหาวิหาร 19 พรรษา และบุพพาราม 6 พรรษา พรรษาท่ี 45 ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์มีเน้ือความ ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร ความว่า พระเทวทัตปองร้ายพระพุทธเจ้าบริเวณเขาคิชฌกูฏใกล้กรุงรา ชคฤห์ถึงกับพระบาทห้อโลหิต ทรงได้รับการบาบัดจากหมอชีวก วัสสการพราหมณ์ได้เข้าเฝ้า ต่อจากน้ัน เสด็จไปยังอัมพลัฏฐิกา นาลันทา และปาฏลิคามตามลาดับ ทรงข้ามแม่น้าคงคาเสด็จต่อไปยังโกฎิคาม นาทิคาม และเวสาลี ทรงพานักในสวนของนางคณิกา อัมพปาลี เสด็จจาพรรษาท่ีเวฬุวัน ทรงเร่ิมประชวร ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ หลังจากทรงปลงอายุสังขารแล้ว ทรงเรียกประชุมสงฆ์ ณ อุปัฏฐาน ศาลา ทรงตรัสเรียกภิกษุท้ังหลายว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วเพ่ือความรู้ย่ิง ธรรมเหล่าน้ัน พวกเธอเรียนแล้ว พึงส้องเสพ พึงเจริญ พึงกระทาให้มากด้วยดี โดยที่พรหมจรรย์น้ี พึง ยัง่ ยืน พงึ ดารงอย่ไู ด้นาน เพ่ือประโยชน์ เพื่อความสุขแกช่ นเปน็ อนั มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพ่ือประโยชน์ เก้ือกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ธรรมที่เราแสดงแล้วเพ่ือความรู้ย่ิงเป็นไฉน คือ สตปิ ฏั ฐาน 4 สัมมัปปทาน 4 อิทธิบาท 4 อันทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8 ดูก่อนภิกษุ ท้ังหลาย ธรรมเหล่าน้ีทเี่ ราแสดงแลว้ แก่พวกเธอ” (ท.ี ม. (ไทย) 13/107/290)

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 49 10. เสดจ็ ดบั ขันธปรนิ พิ พาน 3 เดือนต่อมาพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ เมืองกุสินารา แห่งแคว้นมัลละ ในวัน เพ็ญเดือน 6 (วิสาขะ) เม่ือพระชนมายุ 80 พรรษา ก่อนปรินิพพาน ยังมีหลักธรรมที่สาคัญอย่างย่ิง เพื่อ ตรวจสอบพระธรรมและพระวินัยว่าเป็นคาสอนของพุทธองค์หรือไม่ เรียกว่า มหาปเทศ 4 ขณะประทับ อยู่ที่อานันทเจดีย์ ในโภคนคร โดยเน้อื ความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ระบวุ ่า พระผู้มีพระ ภาคเจ้าตรสั กบั ภิกษทุ ง้ั หลายวา่ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้ข้าพเจ้าได้ สดับมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า น้ีเป็นธรรม น้ีเป็นวินัย นี้เป็นคาสอนของพระ ศาสนาดา พวกเธอไม่พึงช่ืนชม ไม่พึงคัดค้านคากล่าวของภิกษุน้ัน คร้ันไม่ช่ืนชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียน บทพยัญชนะเหล่าน้ันให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในใจในข้อน้ีว่า นี้ ไม่ใช่คาสอนของพระผู้มพี ระภาคเจา้ พระองค์นั้น และภกิ ษุน้ีจามาผิดแล้วแน่นอน ดังนน้ั พวกเธอพึงทิ้งคา กลา่ วนน้ั เสีย ถ้าเมอื่ สอบสวนในพระสูตร เทยี บเคียงในพระวินยั ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวนิ ัยได้ พึงถึงความตกลงใจในข้อน้ีว่า นี้คาสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน และภิกษุน้ีจามาถูกต้องแล้ว แน่นอน ภกิ ษุท้งั หลาย พวกเธอพงึ ทรงจามหาปเทสขอ้ ทหี่ นง่ึ นไ้ี ว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พึงกล่าวอย่างน้ีว่า สงฆ์พร้อมท้ังพระเถระ พร้อมทั้ง ปาโมกข์อย่ใู นอาวาสโน้น ขา้ พเจ้าได้สดบั มา ได้รับมาเฉพาะหนา้ ของสงฆ์น้นั วา่ พระพักตร์พระผมู้ พี ระภาค เจ้าว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย น้ีเป็นคาสอนของพระศาสนาดา พวกเธอไม่พึงช่ืนชม ไม่พึงคัดค้านคากล่าว ของภิกษุน้ัน คร้ันไม่ชื่นชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงใน พระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในใจในข้อนี้ว่า นี้ไม่ใช่คาสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และ ภิกษุนี้จามาผิดแล้วแน่นอน ดังน้ัน พวกเธอพึงท้ิงคากล่าวน้ันเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง ในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคยี งในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงใจในข้อนีว้ ่า นี้คาสอนของพระผู้มี พระภาคเจ้าพระองค์น้ัน และภิกษุน้ีจามาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอพึงทรงจามหาปเทส ขอ้ ท่สี องนี้ไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน้ี พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุเป็นพระเถระมากรูปอยู่ใน อาวาสโนน้ เปน็ พหูสตู มอี าคมเป็นอนั มากมาถึงแล้ว เปน็ ผ้ทู รงธรรม ทรงวนิ ัย ทรงมาตกิ า ข้าพเจา้ ได้สดับ มา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระเหล่านั้นว่าน้ีเป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคาสอนของพระศาสนาดา พวก เธอไม่พึงช่ืนชม ไม่พึงคัดค้านคากล่าวของภิกษุน้ัน ครั้นไม่ช่ืนชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะ เหล่าน้ันให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระ วินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในใจในข้อน้ีว่า นี้ไม่ใช่คาสอนของ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษนุ ี้จามาผิดแล้วแน่นอน ดังนั้น พวกเธอพึงท้ิงคากล่าวนั้นเสีย ถ้า เมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคยี งในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตก ลงใจในข้อน้ีว่า นี้คาสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน และภิกษุนี้จามาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษุ ทง้ั หลาย พวกเธอพงึ ทรงจามหาปเทสขอ้ ท่สี ามน้ีไว้ ดกู ่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยน้ี พงึ กลา่ วอยา่ งน้ีว่า ภิกษุผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็น พหูสูต มีอาคมเป็นอันมากมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมา เฉพาะหนา้ พระเถระนน้ั ว่า นีเ้ ปน็ ธรรม น้ีเป็นวินยั นีเ้ ป็นคาสอนของพระศาสนาดา พวกเธอไมพ่ ึงชืน่ ชม ไม่

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 50 พึงคัดค้านคากล่าวของภิกษุนั้น ครั้นไม่ชื่นชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะเหล่าน้ันให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าสอบสวนในพระสตู ร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตร ไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในใจในข้อน้ีว่า นี้ไม่ใช่คาสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นัน้ และภิกษุน้ีจามาผิดแล้วแน่นอน ดังน้ัน พวกเธอพึงทิ้งคากลา่ วนน้ั เสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระ สตู ร เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสตู รได้ เทียบเคียงในพระวนิ ัยได้ พึงถึงความตกลงใจในข้อน้ีว่า นี้คา สอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน และภิกษุน้ีจามาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษุท้ังหลาย พวกเธอพึง ทรงจามหาปเทสขอ้ ทส่ี ีน่ ีไ้ ว้” (ที.ม. (ไทย) 13/113-116/293-295) จะเห็นได้ว่า พระองค์ได้ทรงวางหลักการไว้ให้พุทธบริษัทได้ใช้ปัญญาของตนก่อนเชื่อ หรือก่อน นามาปฏิบัติ โดยสามารถใช้มหาปเทส 4 นี้ หรอื อาจใช้ควบคู่กับหลักกาลามสูตรด้วยก็ได้ เพ่ือตัดสินว่าส่ิง ใดเป็นคาสอนของพระพุทธองค์จริง สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพ่ือความสุข เพ่ือความเจริญ เพื่อสารอก ราคะ เพื่อกาจัดกิเลส เพ่ือความคงอยู่ของพระสัจธรรมของพระพุทธศาสนา เพราะศาสนาพุทธเป็นเป็น ศาสนาแหง่ ปัญญา ไม่ใช่ศาสนาแห่งศรัทธา โดยศรัทธาต้องอาศัยปญั ญา จงึ นับว่าเปน็ ศรัทธาแบบชาวพทุ ธ โดยแท้จริง แม้ในเรื่องของการตัดสินว่าส่ิงใดเป็นกปั ปิยะหรือเป็นอกัปปิยะ กล่าวคือเป็นวัตถุท่ีควรหรือไม่ ควร พระองค์กท็ รงประทานหลกั ไว้ให้ 4 ขอ้ ในพระวนิ ยั ปิฎก มหาวรรค เภสชั ชขันธกะที่ 6 ดงั นี้ “1. ดูก่อนภกิ ษทุ ้ังหลาย สิ่งใดทเ่ี ราไมไ่ ด้ห้ามไว้ว่า ส่งิ น้ีไมค่ วร หากสง่ิ นั้นเข้ากับสิง่ ท่ีไมค่ วร ขัดกับ สิง่ ทค่ี วร ส่งิ นน้ั ไมค่ วรแก่เธอท้งั หลาย 2. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่ิงที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า ส่ิงนี้ไม่ควร หากส่ิงน้ันเข้ากับส่ิงท่ีควร ขัดกับส่ิงที่ ไม่ควร สิง่ น้นั ควรแก่เธอทั้งหลาย 3. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สง่ิ ใดท่ีเราไม่ได้อนุญาตไวว้ ่า สิ่งนี้ควร หากสง่ิ นั้นเข้ากบั สิ่งทีไ่ มค่ วร ขดั กับ สิ่งทีค่ วร สง่ิ นั้นไมค่ วรแก่เธอท้ังหลาย 4. ดกู ่อนภิกษุท้ังหลาย ส่ิงใดท่ีเราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า ส่ิงน้ีควร หากส่ิงนนั้ เข้ากับสงิ่ ที่ควร ขัดกับส่ิง ทไ่ี ม่ควร สง่ิ นัน้ ควรแก่เธอท้ังหลาย” (ว.ิ ม. (ไทย) 7/92/161) นอกจากน้ี ยังทรงอนุญาตกาลิกระคน (สิ่งท่ีปนกันระหว่างส่ิงที่ควรหรือไม่ควร) ท่ีพระภิกษุรับ ประเคนไวอ้ กี ด้วย แต่ไมข่ อกลา่ วลายระเอยี ดในทีน่ ้ี ดังนน้ั ผู้สนใจสามารถสบื ค้นไดจ้ ากพระไตรปฎิ กข้อถัด จากเภสชั ชขันธกะท่ี 6 นัน้ เถิด ก่อนวันที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน 1 วัน ได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดนายจุนทกัมมารบุตร และ นายจุนทะได้ถวายภัตตาหารเช้าเรียกว่า สูกรมัทวะ หลังจากเสวยเสร็จแล้ว ทรงประชวรหนักด้วย โลหิตปักขันทิกาพาธ ประชวรลงพระโลหิต พระอาการประชวรเริ่มหนักข้ึน ทรงเป็นห่วงนายจุนทะ จะเดือดร้อนใจ จึงทรงตรัสกับพระอานนท์ใจความว่า “บิณฑบาตสองคราว คือก่อนตรัสรู้สัมมาสัมโพธิ ญาณ และก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน มีวิบากเสมอกัน มีผลใหญ่กว่าและ มีอานิสงค์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอ่ืน ๆ ย่ิงนัก เป็นไปเพื่ออายุ วรรณะ สุขะ ยศ สวรรค์ และเป็นไปเพ่ือความ เป็นใหญ่ย่ิง ดูก่อนอานนท์ เธอพึงบรรเทาความร้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตรด้วยประการฉะน้ี” แล้ว ทรงรับสั่งพระอานนท์ว่า จะเสด็จข้ามแม่น้าหิรัญวดี เมืองกุสินารา และสาลวันอันเป็นที่แวะพักของมัล ลกษัตริย์ คร้ันถึงแล้ว ทรงรับส่ังให้พระอานนท์จัดตั้งเตียงปูลาดผ้าสังฆาฏิ แล้วเสด็จประทับบรรทม สีห ไสยาสน์ระหว่างต้นสาละทั้งคู่ โดยหันพระเศียรไปเบื้องทิศอุดร ทรงตรัสแก่พระอานนท์ในทีฆนิกาย มหาวรรค ความวา่

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัตศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนา (BU 5001) 51 “ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน 4 แหง่ เหล่าน้ี เปน็ ท่คี วรเห็นของกลุ บตุ รผมู้ ีศรัทธา เป็นท่ีควรเห็น ของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยระลึกว่า (1) พระตถาคตประสูติในที่นี่ (2) ทรงแสดงธรรมจักรให้เป็นไปในท่ีน่ี (3) ทรงเสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานท่ีน่ี และ (4) ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี่ ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดเท่ียวจาริกไปยังเจดีย์ มีจิตเลื่อมใส จักกระทากาละ (ใกล้ตาย) ชนเหล่าน้ัน ทัง้ หมดเบอื้ งหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จกั เขา้ ถงึ สุคติโลกสวรรค์” (ท.ี ม. (ไทย) 13/131/308-309) สังเวชนียสถานท้ัง 4 แห่ง นอกจากเป็นสถานที่แสวงบุญของพุทธศาสนิกชนแล้ว ยังเป็นสถานท่ี ยืนยันความมีตัวตนของพระพุทธเจ้าได้ดีทีเดียว แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ไม่ได้เป็นบุคคลในตานาน หรือเล่าขานมาเท่านั้น มีประวัติศาสตร์ มีสถานท่ี มีความเป็นมาท่ีชัดเจนท่ีสุด ผู้ที่เป็นสาวกจึงไม่มีความ สงสัยในพระศาสดาเป็นเบื้องต้น จึงสมควรศึกษาหลักธรรมคาสอนของพระองค์ให้เข้าใจถ่องแท้ แล้วน้อม นามาปฏิบัติให้รู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะคาสอนของพุทธองค์ไม่จากัดกาล ไม่จากัดเวลา สามารถ พสิ ูจนไ์ ด้ แม้กาลเวลาจะผา่ นไปนานแคไ่ หนกต็ าม ลาดับน้ัน ทรงแสดงวิธีปฏิบัติในสตรีและพระพุทธสรีระ ใจความว่า ไม่พึงดู หากดู ก็ไม่พึงพูดด้วย หากพูดด้วย ก็พึงตั้งสติไว้ เน่ืองจากว่าสตรีน้ันเป็นเพศตรงข้าม จึงเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ของ พระภิกษเุ ป็นอย่างมาก และทรงแสดงวิธีปฏบิ ัติต่อพระพุทธสรีระ ใจความว่า พวกกษัตรยิ ์ พราหมณ์ และ คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิต เล่ือมใสในตถาคตน้ันมีอยู่ เขาเหล่านั้น จักกระทาการบูชาสรีระของตถาคตเอง โดย ปฏิบัติเหมือนกับในสรีระของพระเจ้าจกั รพรรดิ คือ ห่อด้วยผา้ ใหม่ ซับด้วยสาลี ห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบาย น้ี ห่อด้วยผ้า 500 คู่ เชิญลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ามัน ครอบด้วยรางเหล็กอื่น กระทาจิตกาธานด้วย ของหอมทุกชนิด ถวายพระเพลิงพระสรีระ สร้างสถูปไว้ในทางใหญ่ 4 แพร่ง เพื่อเป็นที่ไหว้สักการะ เพ่ือ ประโยชน์และความสขุ แกผ่ กู้ ราบไหว้ตลอดกาลนาน พระพุทธองค์ทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุว่า “ดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่าง น้ีว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดอี ันเราแสดงแลว้ ได้บญั ญตั ิไวแ้ ล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันน้ัน จักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดย กาลล่วงไปแห่งเรา” (ที.ม. (ไทย) 13/141/320-321) นอกจากนี้ยังทรงอนุญาตให้พระภิกษุเรียกกันและ กันตามลาดับพรรษา โดยผู้มีพรรษาอ่อนกว่าเรียกผู้มีพรรษาแก่กว่าว่า ภนฺเต หรือ อายสฺมา ให้ผู้มีพรรษา แก่กว่าเรียกผู้มีพรรษาอ่อนกว่าว่า อาวุโส และเม่ือพระองค์ทรงปรินิพพานไปแล้ว หากสงฆ์ปรารถนาจะ ถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้าง ก็จงถอนเสีย แต่สงฆ์ไม่สามารถจะถอนสิกขาบทใด ๆ ได้ เนื่องจากพระ อานนทล์ ืมที่จะทูลถามพระองค์วา่ มสี ิกขาบทใดบา้ งที่ถือวา่ เป็นสิกขาบทเล็กน้อย ดังน้ัน พระอานนท์จึงถูก คณะสงฆ์ปรับอาบัติทุกกฏในคราวสังคายนาพระธรรมวินัยคร้ังที่ 1 และอีกประการหน่ึง ทรงให้ลงพรหม ทันฑแ์ ก่ฉนั นภิกษุ คอื ปล่อยใหพ้ ดู ตามทปี่ รารถนา ภกิ ษุไมพ่ งึ โอวาท และไม่พึงส่งั สอน ก่อนเสด็จดับขันธปรินพิ พาน ทรงโปรดสุภัททปริพาชกโดยทรงอนุญาตให้พระอานนท์ทาการบวช อุปสมบทให้ หลังอุปสมบทไม่นาน ท่านหลีกอยู่เพียงผู้เดียว ไม่ประมาท เร่งความเพียรจนได้สาเร็จเป็น พระอรหันต์ นับวา่ พระสภุ ัททะรปู น้ีคือพระสาวกรูปสุดท้ายทีไ่ ด้อปุ สมบทในสานักของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ทรงประทานปัจฉิมโอวาทก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานมีใจความว่า \"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขาร ท้ังหลายมีความเส่อื มสน้ิ ไปเป็นธรรมดา ทา่ นท้ังหลายจงยังกิจท้ังปวงให้ถงึ พร้อมด้วยความไม่ประมาท เถดิ \" (ท.ี ม. (ไทย) 13/143/322) () หลังจากปรินิพพานได้ 7 วัน ก็ได้จัดให้มีการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ณ มกุฎพันธนเจดีย์ ห่างจากเมืองกุสินาราทางทิศตะวันออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร แล้วก็มีการแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุ เพอ่ื นาไปสกั การบูชาแกบ่ รรดาเจา้ ผู้ครองนครต่าง ๆ 9 นครดว้ ยกนั

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 52 5. สรปุ ทา้ ยบท พุทธประวัติและพุทธประวัติเชิงวิเคราะห์เป็นการศึกษาเก่ียวกับชมพูทวีป สภาพสังคมในชมพู ทวีปก่อนสมัยพุทธกาล ลาดับพุทธวงศ์ พุทธประวัติโดยเน้นที่การวิเคราะห์เนื้อหาโดยการยกเอาการ พรรณนาพุทธประวัติในแบบบุคลาธิฏฐานและธรรมาธิฏฐานเป็นหลัก จะเห็นได้ว่าการเขียนพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะอยู่ในชั้นพระไตรปฎิ กหรือช้ันอรรถกถานิยมเขียนสอดแทรกเร่ืองอิทธิปาฏิหาริย์ไวม้ ากมาย ซง่ึ ยาก ตอ่ การพิสูจน์ เนื่องจากการพิสจู น์อทิ ธิปาฏิหารยิ ์ต้องอาศัยการปฏิบัติจนถึงขั้นบรรลุวิชชา 8 หรืออภิญญา 6 ดังที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก จึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ถึงกระน้ัน ก็ยังเป็นท่ีเคลือบแคลงสงสัยของปุถุชน คนธรรมดา เป็นปัญหาโลกแตก เปรียบดงั การบอกเร่ืองราวตา่ งๆ ของคนตาดีให้แก่คนตาบอดฟัง แม้คนตา ดีจะบอกชัดเจนแค่ไหน คนตาบอดก็คงสงสัยอยู่ดี เพราะไม่สามารถมองเห็นด้วยตาตนเอง ดังนั้น การ อธิบายการพรรณนาด้วยหลักบุคลาธิฏฐานและธรรมาธิฏฐาน จึงเป็นแนวทางให้ผู้ศึกษาได้ทาการศึกษา ค้นคว้า และวเิ คราะหไ์ ดด้ ้วยตนเองต่อไป ดังน้ัน เมื่อได้ศึกษาพุทธประวัติและพุทธประวัติเชิงวิเคราะห์แล้ว ทาให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าเป็น บุคคลในประวัติศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ทราบประวัติของพระองค์ได้ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยัง หลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ตลอดถึงสถานที่อ่ืน ๆ ที่ เก่ียวข้อง เช่น สารนาถ สถานท่ีแสดงปฐมเทศนา เป็นต้น โดยมีบุคคลในยุคต่างๆ เป็นสักขีพยานผ่านการ บันทึกในคัมภีร์ หนังสือ ใบลาน ศิลาจารึก ฯลฯ ทาการถ่ายทอดเร่ืองราวความเป็นมาผ่านการสังคายนา คร้ังแล้วคร้ังเล่า ซึ่งมีผู้เข้าร่วมสังคยนาในแต่ละคร้ังเป็นจานวนมาก เปรียบเสมือนการเล่าเรื่องของปู่ ย่า ตา ยายท่ีได้เล่าเร่ืองของทวดให้ลูกหลานได้ฟังสืบๆ กันมา จึงทาให้พุทธประวัติมีนาหนัก น่าเช่ือถือมาก ทส่ี ุดในบรรดาศาสดาของศาสนาตา่ ง ๆ

เอกสารประกอบการสอนวชิ า ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา (BU 5001) 53 คาถามทา้ ยบท ให้นักศึกษาวิเคราะห์ วิจารณ์ และให้เหตุผลประกอบ โดยอ้างแหล่งความรู้จากสารสนเทศ เช่น หนงั สือ ตารา อีบุ๊ก ขอ้ มลู อิเล็คทรอนกิ ฯลฯ ท่นี กั ศกึ ษาได้คน้ คว้าประกอบดว้ ย ในประเดน็ ดังต่อไปน้ี 1) พระพทุ ธองค์ประสูติและสามารถเดนิ ได้เจด็ เก้าจรงิ หรอื ? 2) เจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ 29 พรรษา เป็นไปได้หรือว่าพระองค์ไม่เคยเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย? 3) พระองค์เสดจ็ ออกผนวชตอ่ หนา้ หรือเสดจ็ ออกผนวชตอนกลางคืน? 4) ก่อนตรัสรู้ มกี ารกลา่ วถงึ พญามารและพระแม่ธรณี ทา่ นเช่ือว่าพญามารและพระแม่ธรณีมี จรงิ หรอื ไม่ อย่างไร? 5) ในตาราหรือในพระไตรปิฎกพูดถึงอิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์และพระสาวก ทา่ นเชื่อ ในปาฏิหาริย์น้ันหรอื ไม่ อยา่ งไร? 6) ท่านเชื่อหรือไม่ว่า พระองค์ทรงท้อพระทัยในการจะเทศนาส่ังสอนเวไนยสัตว์หลังตรัสรู้ และมที า้ วสหัมบดีพรหมมากราบอารธนาจึงทรงรบั คาอาราธนานน้ั ?

เอกสารประกอบการสอนวิชา ประวตั ิศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา (BU 5001) 54 เอกสารอา้ งอิงประจาบทที่ 2 ประทปี สาวาโย. (2545). สิบเอด็ ศาสนาของโลก. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร.์ พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐติ ญาโณ). (2548). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. (พิมพ์คร้งั ที่ 5). กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั . พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต). (2552). กาลานกุ รมพระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก. กรงุ เทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต). (2558). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบบั ประมวลธรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 30). กรุงเทพฯ: มลู นิธธี รรมทานกุศลจิต. เข้าถึงไดจ้ าก http มหามกุฏราชวิทยาลยั . (2557). พระไตรปฎิ กและอรรถกถาแปล. (พิมพ์ครั้งที่ 8). นครปฐม: โรงพิมพ์ มหามกุฏราชวิทยาลยั .


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook