วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 123 กันโตงดาร: สัญลักษณ์แหง่ จติ วญิ ญาณของบรรพชนชาวพทุ ธเขมรสรุ นิ ทร์ Kantongdar: A Spiritual Sign of the Buddhist Khmer Ancestors in Surin พระมหาธนรัฐ รฏฺ เมโธ Phramaha Thanarat Ratthametho มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตสุรินทร์ Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Surin Campus E-mail: [email protected] บทคัดย่อ วตั ถุประสงค์ของบทความฉบบั น้ีเพือ่ ศกึ ษาภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ของชาวไทยพทุ ธเชื้อ สายเขมรในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ ในเรอ่ื งประเพณกี ารทาบุญอุทศิ ในชว่ งเทศกาลบุญสารทเดือน 10 หรอื “บุญแซนโฎนตา” โดยเฉพาะจะมี “กนั โตงดาร” ซึ่งเปน็ สัญลักษณข์ องการประกอบพิธี ทาบุญอุทิศ “ทักษิณานุประทาน” กับการบรู ณาการองค์ความรู้หลักในพระพุทธศาสนาคือ พระไตรปิฎกและศาสตรส์ มยั ใหม่มาเปน็ ฐานแห่งการศึกษาวเิ คราะห์ โดย “นัยแห่งคณุ คา่ ของกนั โตงดาร” นี้ ผู้เขียนได้วิเคราะห์ถึงคุณค่าท่ีแฝงอยู่ในสื่อเชิงสัญลักษณ์โดยสรุปได้ท้ังหมด 10 ประการ คือ 1) สัญลกั ษณแ์ หง่ ความกตัญญูกตเวที 2) สญั ลักษณแ์ หง่ ความสามคั คใี นเครือ ญาติ 3) สัญลักษณ์แห่งประเพณีระหว่างคนเปน็ กบั คนตาย 4) สัญลักษณ์แห่งกรรมบันดาล 5) สัญลกั ษณ์แห่งการแบ่งปัน 6) สัญลักษณ์แห่งความอดุ มสมบูรณ์ 7) สญั ลักษณ์การจดั ระเบียบ สังคมตามนยั แห่งพระพทุ ธศาสนา 8) สญั ลกั ษณแ์ ห่งบญุ มหาสังฆทาน 9) สัญลักษณแ์ ห่งการ สอ่ื สารเชิงวฒั นธรรมในสังคมพทุ ธ และ 10) สญั ลกั ษณแ์ หง่ จติ วญิ ญาณบรรพชน ดงั นัน้ แล้ว กนั โตง ดารจึงเป็นสญั ลกั ษณ์ทหี่ ล่อหลอมพลังศรัทธาและจิตวญิ ญาณของบรรพชน และเปน็ อุบายหลอ่ หลอมดว้ ยสือ่ ด้านมติ แิ ห่งจติ วญิ ญาณ และพัฒนาเป็นมรดกทางวฒั นธรรม (Cultural Heritage) ของชาวพทุ ธเขมรสรุ ินทร์ในทสี่ ดุ คาสาคญั : ประเพณีสารท, บรรพชน, ชาวเขมรสุรนิ ทร์ Abstract The objective of this article is to study the local wisdom of Thai Buddhist Khmer in Surin province, particularly in the offerings dedicated to the deceased’s ceremony during the tenth month Sath festival (Saen Don Tar) of Surin Province.
124 | Academic MCU Buriram Journal Especially, “Kantongdar” is known as the sign of the offerings dedicated to the deceased’s ceremony (Dakkhinanupdana) through integration between the main Buddhist knowledge, known as the Tipitaka, and modern sciences which would be the sources of analytical study. An Author has been analyzing the value of Kantongdar’s meaning into 10 meanings in which concealed in this sign and to be summarized as followed; 1) a sign of gratitude, 2 ) a sign of unity in the relationship, 3) a sign of tradition between the living and the dead, 4) a sign of Kamma and rebirth , 5) a sign of generosity, 6 ) a sign of fruitfulness, 7 ) a sign social organization in Buddhism, 8 ) a sign of offering dedicated to the Sangha’s ceremony (Mahasanghadana), 9) a sign of the Buddhist cultural communication, and 10)a sign of spiritual ancestors. Therefore, Kantogndar is known as the sign of integration between the power of faith and spiritual ancestors. It is a strategy blended by sight in the spiritual dimension and developed into the cultural heritage of Buddhist Khmer Surin eventually. Keywords: Sath Festival, Ancestors, Surin Khmer 1. บทนา พระพุทธศาสนามีหลกั คาสอน 2 ระดบั คือ ระดบั พื้นฐาน เรยี กวา่ โลกยิ ะ (Worldly) หรืออาจจะเรยี กว่าพระพุทธศาสนาแบบชาวบ้าน ซ่ึงเหมาะสมกับพุทธศาสนิกชนที่ยังต้อง ประกอบสัมมาชพี เลยี้ งตัวและครอบครวั และระดับสูงสดุ อันเปน็ อุดมคติจัดเปน็ ขน้ั ปร มัตถ์ เรียกว่าโลกุตตระ (Ultimate Reality) ดังน้ัน หลักธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธศาสนาน้ัน จึงเปน็ แนวทางในการปฏิบตั ิเพ่อื ให้เกดิ ความปกติสขุ ความเจรญิ ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ทง้ั น้ี ศาสนิกผนู้ าคาสอนของพระพุทธองคไ์ ปเผยแผ่ โดยหน้าทห่ี ลักกค็ อื พระสงฆ์ ผู้มหี น้าท่ีเป็นพระธรรมทตู (Buddhist Missionary) ตอ้ งออกไปเผยแผ่หลักธรรมของ พระพุทธศาสนา ดังเฉกเชน่ ปฐมพทุ ธดารสั ที่พระพทุ ธองคไ์ ด้สง่ พระอรหันตสาวกชดุ แรกออกไป ประกาศพระศาสนาวา่ “ภิกษุทัง้ หลาย พวกเธอจงเทีย่ วจารกิ ไป เพื่อประโยชน์และควา มสุข แก่ชนหมู่มาก เพ่ืออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เก้ือกูล และความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ ทง้ั หลาย” (ว.ิ ม.(ไทย) 4/34/40) เมอ่ื มีการส่งพระธรรมทตู ไปประกาศพระศาสนา พระพุทธศาสนา ได้แผ่ขยายออกจากมาตุภูมิคือประเทศอินเดีย และแผ่ขยายมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมใิ น พุทธศตวรรษที่ 3 ในยุคพระเจา้ อโศกมหาราช (K.L. Hazra, 1968: 40) ทาใหป้ ระเทศไทย และ ประเทศเพ่ือนบ้าน อันประกอบไปด้วยพม่า, กัมพูชา และลาว ได้นับถือและยกย่องให้ พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาประจาชาติ และยงั คงมพี ุทธศาสนกิ ชนใหก้ ารเคารพศรทั ธาเล่ือมใส
วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 125 มาจนถึงปจั จบุ ัน และสบื เนือ่ งจากพระพุทธศาสนาได้แผข่ ยายไปตามแตล่ ะภูมิภาคของแต่ละ ประเทศ ซึง่ มคี วามหลากหลายด้านเช้ือชาติ และวัฒนธรรม ตามแบบอัตลกั ษณเ์ ฉพาะถิ่นของ ตนเอง ก่อให้เกิดมวี ัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามที่มีพระพทุ ธศาสนาเป็นฐานหลกั แหง่ ศรทั ธา จงั หวัดสุรินทร์เป็นจงั หวัดท่ตี ั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนใต้ของประเทศ ไทย ซง่ึ มีกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ท่ีอาศยั อย่ทู ีห่ ลากหลาย อาทเิ ช่น กลมุ่ เขมร, กลุม่ สว่ ย, กลมุ่ ลาว, ซึง่ กลมุ่ ชาตพิ ันธ์เหลา่ นี้ ประชากรโดยสว่ นมากมีการนับถอื พระพทุ ธศาสนาแบบเถรวาท และมีประเพณี วฒั นธรรมเฉพาะถนิ่ ในประเด็นนี้ ผเู้ ขียนมงุ่ นาเสนอเฉพาะกลุ่มเขมรทีอ่ าศัยอยใู่ นจังหวัดสรุ นิ ทร์ ซ่ึง “กลุ่มเขมรนี้ เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองทีส่ าคัญกลุ่มหนง่ึ ในบริเวณภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ตอนล่าง หรอื อีสานใต้ของประเทศไทยและเป็นกล่มุ ที่มีบทบาทเด่นชัด ในการควบคุมอิทธิพล ทางการเมอื งของดนิ แดนอีสานระหวา่ งพทุ ธศตวรรษที่ 12-18” (ธวัช ปณุ โณทก, 2528: 17-18) และกลุ่มชาวพุทธเขมรสุรนิ ทรน์ ้ี ก็มีประเพณีท่ีเกี่ยวขอ้ งกับพระพุทธศาสนา ที่เด่นชดั และ แตกต่างจากกลุ่มลาว และกลุ่มส่วย ในบางประเพณี น่นั คอื ประเพณแี ซนโฎนตา หรือการทาบญุ สารทเดอื น 10 ซ่ึงมคี วามโดดเดน่ และมีอตั ลักษณเ์ ฉพาะถ่ิน ซึ่งแสดงถงึ การเปน็ กลุ่มชาตพิ ันธ์ุท่มี ี อารยธรรมเป็นของตนเอง โดยเฉพาะการจัดทา “กันโตงดาร” สื่อสัญลักษณ์ในประเพณีแซนโฎนตา ดังนัน้ ในบทความฉบบั น้ีผเู้ ขียนประสงคน์ าเสนอคณุ คา่ ของ “กันโตงดาร”สง่ิ ทเี่ ปน็ สือ่ สัญลักษณ์ แห่งจิตวิญญาณทางวัฒนธรรมของชาวพุทธเขมรสรุ นิ ทรใ์ นแง่มุมตา่ ง ๆ ที่ได้กลายเป็นอบุ ายหลอ่ หลอมให้ชาวพทุ ธเขมรสุรินทร์ได้อยูร่ ่วมกันอย่างสันติสขุ โดยใชห้ ลักการบรู ณาการรว่ มกบั พุทธ ธรรมและศาสตร์สมัยใหม่ ท้ังนี้เพ่ือให้อนุชนได้ตระหนักรแู้ ละเห็นคุณค่าในการอนุรักษ์และ สืบสานต่อไป 2. ชาวเขมรสรุ นิ ทร์ในประเทศไทย มีนักวิชาการหลายท่านได้แสดงทัศนะเอาไว้ ดังนี้ ธวัช ปุณโณทกได้กล่าวว่า “กลมุ่ เขมรเป็นกลุ่มชนพน้ื เมืองทสี่ าคัญกลมุ่ หนึง่ ในบรเิ วณภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ตอนใตข้ อง ประเทศไทยและเป็นกลุ่มท่ีมบี ทบาทเด่นชัด ในการควบคมุ อทิ ธพิ ลทางการเมืองของดินแดน อสี านระหว่างพทุ ธศตวรรษที่ 12-18” (ธวัช ปณุ โณทก, 2528: 17-18)และ พรี ะศักดิ์ วรฉัตร ไดใ้ ห้แนวคิดไวว้ ่า “ชาวสุรินทรส์ ว่ นใหญ่เป็นชุมชนที่พูดภาษาเขมร มขี นบธรรมเนยี มประเพณี และวฒั นธรรม ทค่ี ลา้ ยคลึงกบั ชาวเขมรในประเทศกัมพชู าประชาธิปไตย ภาษาท่ใี ช้เปน็ ภาษา ในตระกลู มอญเขมร ชาวบ้านนบั ถอื พระพทุ ธศาสนา นิกายเถรวาท (Theravada Buddhism) มีความเช่ือเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ผสมกับหลักคาสอนทางพระพุทธศาสนา มีวัดเปน็ ศูนยก์ ลางในการประกอบพธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา ในด้านขนบธรรมเนยี มประเพณีเกยี่ วกบั การเกิดนัน้ จะตอ้ งมกี ารอยไู่ ฟแบบชาวบา้ น การโกนจุก การบวช การแตง่ งาน ตอ้ งมกี ารเซ่นไหวผ้ ี บรรพบุรษุ ด้วย งานศพ นิยมนาไปฝงั ไว้ระยะหน่ึงก่อน ปีถัดมาจึงนาขึ้นมาเผา โดยสรุปแล้ว ชาวบ้านจะนับถอื ผี 3 ประเภท คอื ผีประจาหมบู่ ้าน ผเี ฝ้าบา้ น และผีบรรพบรุ ษุ เมอื่ ชาวบ้าน
126 | Academic MCU Buriram Journal จะประกอบพธิ ีกรรมใด ๆ ก็จะตอ้ งบอกกล่าวให้ผีเหล่านไี้ ดร้ ับรู้ (พีระศักด์ิ วรฉัตร,์ 2530: 37) ซึ่งมีความสอดคล้องกับแนวความคิดของ ธวัช ปุณโณทก ที่กล่าวไว้อีกประเด็นหน่ึงว่า “ชาวเขมรสุรินทร์นัน้ คอื ประชากรอีสานทีใ่ ชภ้ าษาเขมร มจี ารตี ประเพณขี องกลุ่มชนเด่นชัด ในเรือ่ งของการแต่งกาย เครื่องดนตรี การรบั ประทานขา้ วเจ้า ซ่ึงตา่ ง ๆ ไปจากกลมุ่ วฒั นธรรม ไทย ลาว หมู่บา้ นชาวไทยเขมรมกี ารนับถอื ศาสนาพุทธ และถือเป็นสถาบนั สาคญั ของหมู่บ้าน มคี วามเช่ือเรอ่ื งบรรพบรุ ุษ มกี ารเซน่ ไหว้ผีบรรพบุรุษในวันสารทเดือน 10 เรียกวา่ แซนโฎนตา” (ธวชั ปุณโณทก, 2528: 352-392) 3. ความหมายของกันโตงดาร คาว่า “กันโตง”หรือ “กระทง” ตามนยั แห่งพธิ กี รรมนี้ คือ กระทงใบตองท่ีเยบ็ ดว้ ย กา้ นมะพรา้ วหรือไม้ซ่ีเลก็ ๆ มีลักษณะเย็บเปน็ ส่ีมุม ขนาด 10 X 10 ซม. หรือแลว้ แตข่ นาดของ ภาชนะทใ่ี ส่รอง มลี กั ษณะคล้ายกระทง สาหรับห่อหรือใสข่ ้าว กับขา้ ว ของหวาน หรอื ผลไม้ตา่ ง ๆ และมีกรวยท่ที าจากใบตองครอบ มขี นาดเทา่ กับขนาดของกระทง วางครอบเอาไว้ดา้ นบนกระทง และมีธูปปักไว้บนกรวยสาหรับจดุ ในขณะพระสงฆ์ประกอบพิธีสวดทาบุญอุทิศหรือ “ดาร” บางทอ้ งทไ่ี ด้มีการนาดอกไมเ้ รียกวา่ ดอกบายเบณ็ ฑ์มาปักประดบั ไว้ดา้ นบนขา้ ง ๆ ธูป 1 ดอก กับดอกไม้ 1 ชอ่ บนยอดกรวย อกี ด้วย สว่ นคาวา่ “ดาร คือ การสวดแผอ่ านิสงสบ์ ุญกศุ ลไปให้ ดวงวญิ ญาณบรรพบุรุษท่ีกาลงั จะได้รบั การปลดปลอ่ ยให้มายังโลกมนุษย์” (อัษฎางค์ ชมดี บก., 2551: 47) ดงั นนั้ “กันโตงดาร” หรือ “กระทงดาร” กค็ ือ กระทงใบตองที่บรรจบุ ายเบ็ณฑ์ หรอื บายบัดตระโบล ซ่งึ เปน็ การใช้ข้าวใหม่ซ่ึงเพง่ิ ออกรวงเป็นน้านม นามาต้มแลว้ ผสมด้วยนม ถั่ว งา นา้ ตาล น้าใบเตย เพื่อใหม้ สี เี ขยี วสวยงามและมีกลิ่นหอม เมื่อขา้ วสุกแล้วก็ปน้ั เปน็ ก้อนใส่ พานเปน็ รปู ทรงกรวย คล้ายทรงพมุ่ ข้าวบิณฑ์ ตรงกลางใส่อาหารคาวหวาน หมาก พลู บุหร่ี และใสเ่ งนิ ตามต้องการ 4. ประเพณแี ซนโฎนตา: สารทชาวพุทธเขมรสุรินทร์ 1. ความหมายของประเพณีแซนโฎนตา คาว่า “แซนโฎนต” เปน็ ภาษาท้องถน่ิ เขมร ‘แซน’ แปลวา่ เซ่นไหว้ สว่ นคาวา่ ‘โฎนตา’ มีคาอยู่สองคา คือ ‘โฎน’ หมายถึง โคตรเหง้าตระกูล ส่วนคาว่า ‘ตา’ หมายถึง บรรพบรุ ุษ ทั้งหลา ยทั้งปวง (ท่ีล่วงลับไปแล้ว ) (อัษฎางค์ ชมดี บก, 2 551: 123) พร ะธรรมโมลี (ทองอยู่ ญาณวสิ ุทฺโธ, ดร.) ท่ีปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 เจา้ อาวาสวดั ศาลาลอย (พระอารามหลวง) จังหวดั สุรนิ ทร์ ไดใ้ ห้ทศั นะเกยี่ วกับพิธีกรรมแซนในชุมชนชาวเขมรวา่ “วัตถสุ ิง่ ของ เรียกวา่ ‘สแนน’ กิรยิ าท่ีทา เรียกว่า ‘แซน’ เช่น จุดธปู จุดเทียน ร้องเรียก อญั เชญิ เท่าท่จี ะจาชอ่ื ได้ ให้ ลงมาเสวยมาบริโภคอาหารหรือสิง่ ของเหล่านั้น อาหาร หรอื ส่งิ ของท้งั หมด เรียกว่า ‘สแน’
วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 127 2. ตน้ ธารแห่งความเชือ่ ประเพณีแซนโฎนตาของชาวเขมรสุรินทร์ ขอ้ มลู จากการสัมภาษณ์นักปราชญ์ท้องถ่ินทั้งฝา่ ยบรรพชิต มีพระครพู ศิ าลธรรมโกศล (สานนท์ สปญฺโญ) ทีป่ รกึ ษาเจ้าคณะอาเภอปราสาท วดั ปราสาทวารศี รกี ญุ ชร ตวั แทนพระมหาเถระ ผู้รัตตัญญู และฝ่ายฆราวาสตัวแทนผู้สูงอายุจากบ้านโคกพลู เมื่อวันที่ 4, 7 ตุลาคม 2554 ตามลาดับ พระอธิการช่วง ฐิตโสภโณ ได้สรปุ ทัศนะแห่งต้นธารแห่งความเช่ือของประเพณี แซนโฎนตาของชาวไทยเชื้อสายเขมรสรุ นิ ทร์ วา่ คนเขมรชาวสรุ ินทร์ตัง้ แต่โบราณกาลมีความเชือ่ วา่ วันแซนโฎนตานี้หากลกู หลาน คนใดไม่ทาบญุ ไปให้ไม่จัดสารบั เซน่ ไหว้ หรือไมไ่ ปร่วมพิธกี รรม โดยไมม่ เี หตุผลอันควร ผีบรรพบุรุษอาจไมพ่ อใจ และอาจจะโยงไปเปน็ เหตุให้ ทามาหากินไมร่ าบรน่ื เพราะถูก เปรตทเี่ ปน็ ญาตสิ าปแชง่ จิตใจเกิดความกงั วลไม่เป็นสุข ด้วยความเช่อื ทฝ่ี ังใจของชาวเขมร สรุ นิ ทรอ์ ย่างนี้ ชาวเขมรสุรินทรท์ ุกคนจึงพยายามไปร่วม หรอื ไม่ก็จดั เครื่องเซน่ ไหว้ที่บ้าน ของตน ถึงจะมีภารกจิ มากมายอย่างไร เมื่อวนั นีม้ าถงึ จะต้องไปรว่ มมีสว่ นรว่ มให้ได้ แล้ว ความเปน็ สิริมงคลจึงจะเกิดขนึ้ แก่ตน และครอบครวั มีความเจริญรุง่ เรอื งในหน้าที่การงาน นอกจากนยี้ ังเปน็ พิธีกรรมทก่ี ่อใหเ้ กดิ การประสานสัมพันธ์อันแนน่ แฟน้ ของญาติ ที่เป็นท้งั พนี่ อ้ งรว่ มสายโลหิตทาใหเ้ หน็ บทบาทและหนา้ ท่ีของพิธกี รรม ท่ีเกดิ จากความเชื่อเกีย่ วกบั ผีบรรพบุรษุ ว่า เป็นพิธีกรรมที่ทาขึ้นเพ่ือจุดมุ่งหมาย ท่ีสนองความต้องการ และเป็น เครื่องมือในการควบคุมความประพฤติของคนในสงั คม เพื่อเปน็ แนวทางปฏบิ ตั ิอกี ด้วย 3. ช่วงกาหนดการพิธีแซนโฎนตา อัษฎางค์ ชมดี ได้กล่าวไว้ว่า “พิธีสารทเดอื นสบิ ของชาวไทยเชือ้ สายเขมรในจงั หวดั สรุ นิ ทร์ เปน็ งานท่ีสาคัญและย่งิ ใหญ่ ซึ่งจัดเป็นประจาทุกปี เช่ือกันว่าเป็นงานประเพณีท่มี ีการ ทาบุญและมคี วามรื่นเริงด้วย เปน็ การทาบุญอทุ ิศส่วนกศุ ลใหพ้ อ่ แม่ปู่ย่าตายายที่ล่วงลบั ไปแลว้ ช่วงนี้พืชผลการเกษตรกาลังให้ผลในช่วงนีจ้ งึ เป็นโอกาสดที ่ีลูกหลานตอ้ งทาบญุ ซึ่งในปัจจุบนั จังหวัดสุรินทรไ์ ด้มีการประกวดกระเชอโฏนตา (กระจาดสาหรบั ใสเ่ ครอ่ื งเซน่ ไหว้บูชาผบี รรพ บุรุษ) มกี ารจดั งานฉลองอยา่ งสนกุ สนานกนั มาก จงึ เป็นทร่ี ู้จกั กันอยา่ งแพรห่ ลาย ประเพณีสารท เดือนสบิ ของจงั หวดั สรุ นิ ทร์ มีลักษณะการจดั พธิ กี รรมตา่ ง ๆ ซ่ึงเม่ือแบง่ ประเภทการจัดพธิ ีกรรม ตามช่วงของระยะเวลาแล้วมี 2 ประเภท ดังน้ี ช่วงท่ี 1 เบณฑต์ จู (สารทเล็ก) คาว่า เบณฑ์ ในทีน่ คี้ อื ช่ือเรยี กเทศกาลงาน “เบณฑ์ตูจ” ซง่ึ เป็นคาภาษาเขมร แปลว่า สารทเลก็ การเซน่ ไหว้ผบี รรพบรุ ษุ ครงั้ แรกกระทาใน วนั นี้ บรรดาญาตพิ ีน่ อ้ งของแตล่ ะครอบครวั และชาวบา้ นคนอน่ื ๆ ต้องไปทาบุญถวายภตั ตาหาร พระทุก ๆ วันมไิ ดข้ าดโดยมีคาศัพท์ท่เี รยี กเทศกาลงานบุญชว่ งนี้ว่า เทศกาลบญุ การ์เบณฑ์ บญุ ถือ ศลี หรือจะเรียกวา่ เทศกาลบุญ หรือบุญเลี้ยงพระก็ได้ เหตทุ ีต่ ้องเรยี กอย่างน้ี เพราะตลอด ช่วงเวลาของสารทเล็กน้ี ชาวบา้ นตอ้ งหมนั่ ไปทาบุญเลย้ี งพระท่ีวัดทกุ วัน และตอ้ งรักษาศีล 5
128 | Academic MCU Buriram Journal ให้ครบถว้ น ซงึ่ กนิ เวลารวมตลอดเทศกาลนานถึง 15 วนั เบณฑ์ตูจ แปลว่า บณิ ฑ์เลก็ คอื บุญนี้ เขาเรียกอกี อย่างหน่งึ ว่า เบณฑม์ าจากศพั ท์ภาษาบาลวี ่า ปณิ ฑะ แปลว่าก้อนข้าว ช่วงท่ี 2 เบณฑ์ทม (สารทใหญ)่ มีชว่ งระยะเวลาการทาบุญให้ผีบรรพบุรุษ ตลอด 7 วนั เริม่ มกี ารประกอบพิธีตามวดั ต่าง ๆ เพื่อทาบุญอทุ ิศไปให้ผบี รรพบรรุ ุษ “เรียกอกี อยา่ งหนง่ึ ว่า พธิ สี วดดาร ซ่งึ จะเริ่มตง้ั แตว่ นั แรม 9 คา่ ถึงวนั แรม 15 ค่า เดือน 10 พิธีสารทที่ สาคัญจะประกอบพธิ ีในวันแรม 14 ค่า ชว่ งนี้จะมีพิธเี ซน่ ไหวต้ ลอดวัน แต่การรวมญาตเิ พื่อเซ่น ไหว้ จะประกอบพธิ ีในเวลาประมาณ 16.00-18.00 น. เปน็ ต้นไป จนถงึ รุ่งเช้า ซงึ่ ประเพณีสารทน้ี มีระยะเวลายาวนานถึง 15 วัน” (อษั ฎางค์ ชมดี บก., 2551: 123) การจัดประเภทของพิธีสารทเดือนสบิ น้ี จัดตามระยะเวลาของการจดั งานแต่ละชว่ ง แตล่ ะตอน ซง่ึ ผ้เู ขียนเหน็ วา่ การประกอบพธิ ีสารทนั้น เป็นการประกอบพิธตี ามระยะเวลา โดยแต่ ละข้ันตอนนนั้ มพี ิธีกรรมท่ไี ม่เหมือนกัน จึงเหมาะแก่การแบง่ ประเภทเพื่อชอื่ พิธกี รรมต่าง ๆ ตามระยะเวลาแต่ละช่วงน่นั เอง 4. เปา้ ประสงค์ของพธิ แี ซนโฎนตา พิธีสารทเป็นกิจกรรมอันเนื่องด้วยพระพุทธศาสนา ท่ีพุทธศาสนกิ ชนชาวไทย เช้ือสายเขมร ในจงั หวัดสรุ ินทร์ ทุกคนไมเ่ ลือกเพศและวัย สามารถปฏิบตั ไิ ดแ้ ละอานวยประโยชน์ ให้แก่บุคคลได้ในชีวิตประจาวัน และเป็นพิธีกรรมที่ชาวไทยเชื้อสายเขมร โดยส่วนมากมี ความรู้สึกว่าเป็นเรอ่ื งใกล้ตัว และสามารถประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้ ไมใ่ ช่เรอื่ งทีห่ า่ งไกล และไรค้ ณุ ค่า กระท่งั ไมส่ ามารถปฏิบัติในชีวิตประจาวนั ได้ ดงั นั้นแล้วเปา้ ประสงคข์ องพิธีแซนโฎนตา ของชาวไทยเช้อื สายเขมร ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์น้ี พระครพู ิศาลธรรมโกศล ทีป่ รึกษาเจ้าคณะอาเภอ ปราสาท เจา้ อาวาสวัดปราสาทวารี อาเภอปราสาท ตวั แทนพระมหาเถระ ผูร้ ัตตัญญูและปราชญ์ ท้องถิ่นชาวเขมรสุรินทร์ ได้แสดงทัศนะวา่ จุดมุ่งหมายหรือเปา้ ประสงค์ของพิธีแซนโฎนตา โดยประมวลได้ 7 ประการ คือ 1) เพ่ือแสดงความกตัญญกู ตเวที แก่ผู้มีอุปการะหรือญาติผู้ลว่ งลับไปแล้วก็ สามารถทาได้ โดยถวายทักษณิ าทานอทุ ิศสว่ นบุญไปให้ 2) เพอ่ื อทุ ิศส่วนบญุ ให้กับเปรต เพราะภมู ขิ องสตั ว์ผตู้ ้องเสวยผลกรรมท่ีเคย กระทาไว้ เม่ือครั้งเป็นมนุษย์เปน็ ภูมทิ ไี่ ร้อาชีพ ขาดอาหาร คอยรบั ส่วนบุญทเ่ี ขาอทุ ิศให้อยา่ ง เดยี วเทา่ น้นั 3) เพอ่ื การแสดงความอาลัยรัก ผูม้ อี ุปการะหรือญาตผิ ลู้ ่วงลับไป ดว้ ยการร้องไห้ เศร้าโศก คร่าครวญนนั้ มิได้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เพราะไม่สามารถจะเรียกรอ้ งใหท้ ่าน เหล่านนั้ กลับฟื้นคืนชีพได้ แต่ทกั ษณิ าทานทบี่ คุ คลถวายในพระสงฆเ์ ท่านัน้ ยอ่ มสาเร็จประโยชน์ แกญ่ าติผลู้ ว่ งลบั ไปแลว้
วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 129 4) เพอ่ื เป็นกศุ โลบาย พิธีสารทน้ีใชเ้ ป็นกศุ โลบายเพอ่ื สง่ั สอนใหบ้ คุ คล มีจิตใจ เสียสละบรจิ าคทาน เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อส่ังสมบญุ ไว้ในภายหน้า 5) เพอื่ เป็นเคร่ืองยดึ เหนยี่ วจติ ใจ ของชาวไทยเชอ้ื สายเขมรโดยอาศัยบรรพบรุ ษุ ร่วมกนั ก่อให้เกดิ ความรกั ความสามัคคี ในครอบครัวหมู่วงศาคณาญาตแิ ละชุมชน 6) เพ่ือส่งเสริมความเป็นสิริมงคล ตามหลักมงคลสูตรในพระพุทธศาสนา คอื การส่งเสรมิ ใหเ้ ล้ยี งดบู ิดามารดา เม่ือบิดามารดาลว่ งลบั ไป ลกู หลานก็สมควรทจี่ ะแสดงความ กตญั ญูกตเวทดี ้วยการทาบุญอุทิศส่วนบุญไปให้ 7) เพื่อเปน็ บรรทัดฐานทางสังคม ให้คนในสังคมไดแ้ สดงออกถึงความกตัญญู กตเวทีตอ่ ผ้มู ีพระคุณทั้งหลาย อาทิ พอ่ แม่ บรรพบุรุษผกู้ ่อกาเนดิ ชวี ิตลกู หลาน แล้วเลี้ยงดอู ้มุ ชู จ น สา มา ร ถเล้ียงดูตน เองได้ และแสดงควา ม เคารพต่อผู้ มีพร ะ คุณ ต่อ ต น เ อ ง (พระอธิการช่วง ฐติ โสภโณ (ตงั้ อยู่), 2554: 86-87) 5. ประโยชน์ของประเพณีแซนโฎนตาชาวไทยเชือ้ สายเขมรในจังหวัดสุรนิ ทร์ พระอธิการช่วง ฐิตโสภโณ ไดป้ ระมวลสาระสาคญั ของประเพณสี ารทไว้ 5 อย่างคือ 1) ได้รับรู้ประสบการณ์จากบรรพบุรษุ ที่ถ่ายทอด ความรู้ ความเข้าใจใน ประเพณที ้องถน่ิ ของตนเอง ซึง่ ควรแกก่ ารอนุรักษไ์ ว้ แม้พธิ กี รรมบางอย่างจะหมดไปแล้วก็ตาม แต่กน็ บั วา่ เป็นมรดกสาคัญทต่ี กทอดมาถึงยุคนี้ 2) ไดท้ ราบถงึ เหตผุ ลทีบ่ รรพบุรุษได้ปฏบิ ัตแิ ละสบื ทอดกันมาหลายชว่ั อายุคน และทราบจุดม่งุ หมายของประเพณีทแี่ ทจ้ รงิ ซ่งึ ควรท่จี ะดัดแปลงแกไ้ ขให้เหมาะสม กบั ยุคสมัย ดกี ว่าจะทอดทง้ิ ใหเ้ สือ่ มหายไป เพราะว่าเจตนา เป้าหมายและประโยชน์กเ็ ห็นไดว้ ่ามีข้อดีอยู่ไม่น้อย 3) มีโอกาสได้บรจิ าคทาน สมาทานศีล ภาวนา และได้ฟังพระธรรมเทศนา จากพระสงฆ์ และได้รับความรกั ความผกู พัน สามัคคสี มานฉันท์กันในหม่บู ้านเพื่อนบา้ นดว้ ยกนั 4) ได้ปลกู ฝังเมตตาธรรมต่อบคุ คลท่ัวไป และช่วยให้ทราบถึงกจิ กรรม ความ เป็นมาทีม่ กี ารสบื เนอ่ื งตลอดมา ซงึ่ เป็นเอกลักษณแ์ ละมคี วามสาคญั ตอ่ ครอบครัว ชมุ ชน สงั คม 5) มีโอกาสแสดงความกตัญญูกตเวทีแกบ่ ุพการี ญาติพี่น้องผูล้ ่วงลบั ไปแลว้ สะท้อนให้เห็นถึงอทิ ธิพลของพุทธศาสนาทีม่ ตี อ่ สังคมไทย และช้ใี หเ้ ห็นวา่ ชาวจังหวดั สุรินทรใ์ ห้ ความสาคญั ในการบารงุ พุทธศาสนา ด้วยประเพณีท่งี ดงาม เพือ่ ใชใ้ นพิธกี รรมทางศาสนาตงั้ แต่ โบราณกาล (พระอธิการช่วง ฐิตโสภโณ (ตงั้ อย)ู่ , 2554: 109-110) 6. ประเพณดี ีงาม อนั เนอ่ื งด้วยพธิ ีแซนโฎนตา ในระหว่างวนั เวลาการประกอบพิธีแซนโฎนตาของชาวเขมรสุรนิ ทร์ น้ี ก็จะมพี ิธขี อง ชาวเขมรสุรนิ ทรท์ ี่เชอื่ มโยงกับพระสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนา และความสมั พันธ์ฉนั ทเ์ ครือญาติ ดังท่ี อษั ฎางค์ ชมดีไดร้ ะบุเอาไวจ้ านวน 2 พธิ ีด้วยกันคือ
130 | Academic MCU Buriram Journal 1) พธิ ีกันซง หรือ กันสงฆ์ ในภาษาไทย (“กัน” แปลว่า ถือ, ปฏิบตั ิ สว่ น “ซง” คอื พระสงฆ์, กัน ซง หรือ กันสงฆ์ หมายถงึ การปรนนิบตั ิวัตถากต่อพระสงฆ์) โดยมรี ะยะเวลา เร่มิ ต้ังแต่วันแรม 1 ค่าเดือน 10 ไปจนถึงวนั แรม 14 คา่ เดอื น 10 โดยชาวบา้ นจะจดั เวรกันเปน็ เจา้ ภาพทาบุญทวี่ ัดทกุ วนั บา้ นท่ีเปน็ เวรจะตอ้ งรับผิดชอบภาระต่าง ๆ ในวดั ดูแลปรนนบิ ัตพิ ระ เณร และเปน็ เจา้ ภาพทาบญุ ประจาวัน เนอื่ งจากจะมชี าวบา้ นมาถวายภตั ตาหารเชา้ และเพลทกุ วัน ส่วนตอนกลางคนื กม็ ีพธิ ีสวดมนต์และเทศน์ ปัจจัยท่ไี ด้รับจากการทาบญุ ประจาวนั ผูท้ เี่ ปน็ เวรหรือเจา้ ภาพประจาวันกจ็ ะรวบรวมถวายพระสงฆห์ ลังจากเทศนจ์ บแลว้ ในช่วงเวลา “กันซง” น้ี พระสงฆจ์ ะไมไ่ ด้ออกบิณฑบาต ชาวบา้ นจะมาทาบญุ โดยทาอาหารมาถวายพระสงฆ์ท่ีวัด เพราะชว่ งเวลาดงั กลา่ วยังอยูใ่ นชว่ งเข้าพรรษาและเป็นฤดฝู น ซึง่ ในระยะน้ีเมืองสุรินทร์ เป็นชว่ ง ฤดูฝน โดยจะมีฝนตกชุกมาก อาจจะตกทง้ั วนั ท้งั คนื หรอื ตกในช่วงเช้าซ่งึ เป็นเวลาทพ่ี ระสงฆ์ ออกบิณฑบาต พระคงลาบาก ซ่ึงพอถึงวันพระ คือ ในวันแรม 8 ค่า เดือน 10 ก็จะทาพิธี “ฉลองสงฆ์” กันครง้ั หน่งึ 2) ประเพณจี ูนโฎนตาโดยบรรดาลูกหลานและญาตพิ ่นี ้องท่ไี ปทามาหากินอยู่ แดนไกลก็จะทยอยกนั จูนโฎนตา นน่ั คือพากนั กลบั บา้ นมาไหว้พ่อแม่ปยู่ ่าตายาย และญาตผิ ใู้ หญ่ ทีเ่ คารพนบั ถือ โดยจะเอามะพร้าว ข้าวสารเหนยี ว ขนมนมเนยตา่ ง ๆ มามอบใหท้ ่าน (พร้อมทง้ั มอบเงนิ จานวนหนง่ึ ด้วย) เพ่ือใหท้ า่ นได้ใช้ทาบญุ ในวันแซนโฎนตา หากพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหาชีวิต ไมแ่ ล้ว กจ็ ะพากนั ไปกราบไหว้ญาติผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอย่หู รือที่เคารพนับถอื โดยมอบขา้ วของเงนิ ทองดงั กลา่ วใหท้ า่ นไวท้ าบุญในวนั แซนโฎนตา หรอื หากไม่สามารถทาได้ กจ็ ะนาสง่ิ ของเหลา่ น้ี ไปถวายพระท่วี ัดแทน ซ่งึ กเ็ หมอื นกับการได้ทาบุญอุทศิ ส่วนกุศลใหญ้ าติผใู้ หญ่ทล่ี ว่ งลับไปแล้ว เช่นกัน (อษั ฏางค์ ชมดี, 2551: 122-123) อน่งึ ในจงั หวัดสุรนิ ทรน์ อกจากชาวไทยเชอื้ สายเขมรแล้ว ยังมีชาวไทยกวยหรือกยู และชาวไทยเชอื้ สายลาวทม่ี ปี ระเพณงี านบญุ เดือน 10 หรอื งานสารทเหมอื นกบั ชาวไทยเชอื้ สาย เขมร ซง่ึ ตรงกบั วันขน้ึ 14 ค่า เดือน 10 ของทุกปี 5. กันโตงดาร: สัญลกั ษณแ์ ห่งคณุ ค่าตามนัยพระพทุ ธศาสนา ในพิธีแซนโฎนตาก็จะมกี ันโตงดารเป็นสญั ลกั ษณ์ส่ือถึงแง่มุมตา่ ง ๆ ดังน้ี 1. กันโตงดารคือสญั ลกั ษณ์แห่งความกตญั ญูกตเวที ชาวพทุ ธเขมรสุรนิ ทร์มีคติความเชอื่ วา่ ในพิธวี ันแซนโฎนตา แรม 14 คา่ เดือน 10 ของทกุ ปี ถา้ ลูกหลานชาวพุทธเขมรสุรินทร์ คนใดไม่ไดจ้ ดั ทาหรอื ไม่มารว่ มพิธี โดยไมม่ เี หตุผลอัน สมควรบรรพบุรุษอาจไม่พอใจ อาจจะเปน็ สาเหตุเชือ่ มโยงสง่ ผลให้ทามาหากนิ ไม่ราบรน่ื จิตใจ เกดิ ความกังวลไมเ่ ปน็ สุข ดว้ ยความเชือ่ อย่างนี้ทุกคนจงึ พยายามไปรว่ มพธิ ี หรือไมก่ จ็ ดั เครอื่ งเซน่ ไหว้ท่ีบ้านของตน จากนัยแหง่ การแสดงออกน้ีเองจึงกลายมาเปน็ สอื่ เชงิ สญั ลักษณ์ กลุ่มชนชาว พุทธเขมรสุรินทร์ได้ยึดเอาคติเรื่องความกตัญญูกตเวที ในทางพระพุทธศาสนาที่สอนว่า
วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 131 “ความกตญั ญกู ตเวทเี ปน็ เครอื่ งหมายของคนดี” (อง.ปญฺจก. (ไทย) 22/42/66) นามาเป็นอุบาย หลอ่ หลอมคนในสงั คมให้รู้จกั แสดงความกตญั ญูกตเวทีต่อบุพการีชน ทง้ั ผยู้ ังมีชวี ติ อยแู่ ละผู้ท่ี ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นบุญแห่งทักษิณานุปร ะทาน และเป็นไปตามหลักคาสอน ทา ง พระพทุ ธศาสนาที่สอนเรอ่ื งหนา้ ทขี่ องบตุ รธิดาทีพ่ ึงปฏบิ ตั ิตอ่ พ่อแม่คอื “เม่อื ทา่ นล่วงลับไปแลว้ ทาบุญอุทิศให้ท่าน” (ที.ปา. (บาลี) 11/199/202) บุญแซนโฎนตา ซ่ึงมีกันโตงดารเปน็ สื่อ สัญลกั ษณ์ ว่ามกี ารทาบุญอทุ ิศไปให้บรรพชนนี้ จึงเป็นสัญลกั ษณ์แหง่ “การแสดงความกตญั ญู กตเวทีตามคติทางพระพุทธศาสนา ซ่ึงได้แก่ความกตัญญูกตเวทีต่อบุคคล ผู้มีความดี หรือมี อุปการะตอ่ ตนเป็นสว่ นหนึง่ หรอื ตอ่ บุคคลผไู้ ดบ้ าเพญ็ คุณประโยชน์ หรือมคี ณุ ความดีเกือ้ กลู แก่ ส่วนรวมอกี ส่วนหน่ึง”(พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต), 2551: 2) ซ่ึงชาวพุทธเขมรสรุ ินทร์ได้ ยึดถอื และปฏิบัตเิ ป็นประจาทกุ ปีอย่างตอ่ เนอ่ื งด้วยดีเสมอมา 2. กันโตงดารคอื สัญลกั ษณแ์ ห่งความสามคั คใี นเครอื ญาติ มารค ตามไท กล่าวว่า “ความสามคั คี หมายถึง ศกั ยภาพของสังคมที่จะทาบางอยา่ ง รว่ มกนั ในบางสถานการณ์ทีเ่ กดิ ขึ้น” (มารค ตามไท, 63-64) กล่าวคือ “ความสามคั คี อาจจะ ไม่ใช่สง่ิ ท่ีปรากฏทุกวันในสงั คม แตจ่ ะดารงอยูใ่ นลกั ษณะ “ของแฝง” ซ่ึงของแฝงในมิตนิ ้หี มายถงึ “ศกั ยภาพ” ด้วยเหตนุ ้ี “สามคั คจี ะเกดิ ข้ึน หรือแสดงตนออกมาได้ เมื่อคนในสังคมต้องการความ ร่วมมือเพอ่ื กระทาอะไรบางอย่าง หรือเพอื่ ปกป้องอะไรบางอยา่ ง ซ่งึ เป็นสง่ิ ท่คี นในสงั คมมองว่า “มีคณุ ค่า” (Value) และเมอื่ ใดคณุ คา่ ดังกลา่ วมีแนวโนม้ จะถูกทาลาย เมอ่ื น้นั ความสามคั คกี จ็ ะ ถูกเรยี กข้ึนมาเพอื่ ทาหนา้ ที่ในการปกป้อง”(พระมหาหรรษา ธมฺมหฺ าโส (นธิ ิบญุ ยากร), 2554: 129-130) ตามในนัยแหง่ พระพทุ ธศาสนานัน้ ไดใ้ ห้คณุ ค่าและความสาคัญของความสามคั คี วา่ “ความสามัคคีของคนในสงั คมเปน็ เหตุนามาซงึ่ สนั ตสิ ขุ ” (ข.ุ ธ.(ไทย) 25/194/93) และได้อธิบาย คณุ คา่ ของความเป็นญาตวิ ่า “ความสนิทสนมคือญาติที่ดี” (ข.ุ ธ.(ไทย) 25/204/96) ซึง่ มีความ สอดคล้องกับการปฏิบัติของชาวพุทธเขมรสุรินทร์ ในช่วงการประกอบพิธีสารทเดือน 10 โดยบรรดาญาตพิ ่นี ้องในสายโลหติ กไ็ ด้มีโอกาสในการกลับไปเย่ียมพอ่ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ซึง่ เม่ือ ไปเย่ยี มแลว้ ก็จะมกี ารมอบเครื่องอปุ โภคบรโิ ภค ตามกาลงั ของตน แด่ญาตผิ ู้ใหญอ่ าทเิ ชน่ เสอ้ื ผา้ ผ้าไหม เป็นต้น แล้วญาติผูใ้ หญ่ก็จะให้พรแด่ลูกหลาน เพ่ือความเป็นสิรมิ งคล ซ่ึงประเพณี ดังกล่าวเรียกว่า “ประเพณีการจูนโฎนตา” ประเพณีอันดีงามนี้เองจัดเป็นวัฒนธรรม “ซึ่งวัฒนธรรมก็จดั เป็นวินัยอย่างหน่ึง เพราะเป็นแบบแผนของสังคม และเป็นเคร่ืองฝึก พฤติกรรมคน เป็นไปในรูปแบบอย่างใดอย่างหน่ึงเฉพาะตัวตลอดจนเป็นเอกลักษณ์” (พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), 2549: 199)ซ่งึ เอกลกั ษณ์นี้ไดก้ ่อใหเ้ กิดความรกั สามัคคีระหว่าง เครือญาติ เกิดความเสียสละ เพราะเครื่องเซ่นไหว้น้ัน ทุกคนมีส่วนหามา และมีโอกาสได้ ชว่ ยเหลือซึ่งกันและกัน อนั เปน็ อุบายในการสงเคราะห์ญาติอย่างหนึง่ และพระพุทธองคต์ รัสว่า “การสงเคราะห์ญาตเิ ปน็ มงคล” (ข.ุ ธ.(บาลี) 25/5/3, ขุ.ธ.(ไทย) 25/7/7) อีกด้วย ดงั น้ันความ
132 | Academic MCU Buriram Journal สามคั คีในหมญู่ าตจิ งึ เปน็ “วิถชี ีวติ หรอื ทฝ่ี รั่งเรียกวา่ life-style อนั เปน็ สว่ นหน่ึงของวฒั นธรรม” (พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยุตฺโต), 2549: 199)อนั เป็นเอกลกั ษณ์แห่งความสามัคคใี นเครือญาติของ ชาวพุทธเขมรในจังหวัดสุรินทร์ 3. กนั โตงดารคือสญั ลักษณ์แหง่ ประเพณีระหว่างคนเป็นกบั คนตาย ในแง่คตชิ นวิทยา ศิรพิ ร ณ ถลาง ไดใ้ ห้ทศั นะว่า “ในสงั คมประเพณี (Traditional Societies) ไม่ว่าจะเป็นระดับชนเผ่าท่ีเป็นสังคมขนาดเลก็ ประกอบด้วยครอบครวั 20-30 ครอบครัว...หรือสังคมขนาดใหญ่ เช่น สังคมหมูบ่ ้านในสงั คมเกษตรกรรม...ลว้ นแต่ใหค้ วามสาคญั กบั การประกอบพธิ ีกรรม จงึ จะพบว่าในสงั คมประเพณจี ะมพี ิธีกรรมในระยะหวั เล้ยี วหัวต่อของ ชวี ิต พธิ ีกรรมอันเนอ่ื งดว้ ยการผลติ พธิ กี รรมบูชาอานาจเหนือธรรมชาติ และพธิ ีกรรมตามปฏทิ นิ ในแต่ละเดือน” (ศิราพร ณ ถลาง, 2557: 364) และได้ให้คาตอบที่ชัดเจนว่า เพราะเหตใุ ด พธิ กี รรมจึงมีความสาคัญในสังคมประเพณี กล่าวคอื “ในสังคมประเพณี (Traditional Societies) นัน้ ได้มองวา่ พิธีกรรมมีหนา้ ท่ีตอบสนองความตอ้ งการของมนษุ ยถ์ งึ 2 ดา้ น คอื ทัง้ ทางด้านสงั คม และทางดา้ นจติ ใจ” (ศิราพร ณ ถลาง, 2557: 364) ดังนัน้ เมื่อมองโดยรวมภาพแลว้ การประกอบพิธี แซนโฎนตา ในเดือน 10 ของชาวพุทธเขมรสรุ ินทร์นี้ ซึง่ ได้กาหนดให้มกี ารทาบุญอุทศิ (บญุ ดาร) เพ่อื อทุ ิศสว่ นบุญสว่ นกุศลให้กับเปตชน หรอื ผู้ลว่ งลบั ไปแลว้ สง่ิ น้จี ัดได้วา่ เป็นการแสดงออกถงึ ความกตัญญูตกเวทีต่อบุพการีชน ตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา ซ่ึงพิธีดังกล่าวเรียกว่า “ปพุ เปตพลี”(อง.ปญฺจก. (บาลี). 22/41/48) (Offerings dedicated to the deceased) อันเปน็ หนง่ึ ใน ห้า พลี (พลี 5 (1 ) ญา ติพลี ( 2 ) อติถิพลี ( 3 ) ปุพฺพเปตพลี ( 4 ) ร า ชพลี และ (5) เทวตาพลี) และเป็นพธิ ีกรรมที่ตอบสนองทางดา้ นจิตใจของชาวพุทธเขมรสุรนิ ทรโ์ ดยภาพรวม ได้อย่างดยี ง่ิ 4. กันโตงดารคือสญั ลกั ษณ์แหง่ กรรมบันดาล คาวา่ กรรม (Volitional action) ถา้ แปลตามศพั ท์ คือ “การงานหรอื การกระทา แต่ ในทางธรรมตอ้ งจากดั ความจาเพาะลงไป คอื การกระทาทปี่ ระกอบดว้ ยเจตนาหรือการกระทาที่ เปน็ ไปด้วยความจงใจ ถา้ เปน็ การกระทาท่ไี มม่ ีเจตนา กไ็ มเ่ รยี กว่ากรรม ในความหมายทางธรรม” (พระเทพเวที (ป.อ.ปยุตโฺ ต), 2531: 15) ในคติความเชอื่ เร่อื งกรรมในโบราณ ศาสตราจารย์จานงค์ ทองประเสรฐิ ไดใ้ หท้ ัศนะว่า “ความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษนัน้ เชอื่ กันวา่ เมอ่ื ตายไปแล้ววญิ ญาณ จะตกนรกหรอื ข้นึ สวรรค์ขึน้ อยกู่ ับผลกรรมทีก่ ระทาไว้ในขณะทมี่ ีชวี ิตอยู่ ในยุคของพวกอารยัน น้นั มีความเชอ่ื วา่ การสรา้ งสรรค์จกั วาลและการใหก้ าเนดิ มนษุ ยน์ นั้ เปน็ ผลทีเ่ กิดจากการเซ่น สรวงแต่ดั้งเดิม นน่ั คือเป็นผลลัพธท์ ี่เกดิ จากการสังเวยตนเอง” (จานงค์ ทองประเสรฐิ , 2540: 8) ซึ่งมีความสอดคลอ้ งกับข้อสรุปจากการทาวจิ ยั ของพระอธกิ ารชว่ ง ฐิตโสภโณ ทส่ี รปุ ไว้วา่ คติความเช่อื เรอ่ื งกรรมและการเกิดใหม่ ทีป่ รากฏในพิธสี ารทเดอื นสบิ ของชาวจงั หวัด สรุ ินทร์ ซ่ึงสอดคล้องดว้ ยลกั ษณะของความเชื่อทผี่ สมผสานกันระหวา่ งความเช่อื เดิมของ
วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 133 ชาวบา้ นกับคตคิ วามเชอื่ ของพระพุทธศาสนาสืบทอดกันมาตามลาดับ จึงก่อเกิดประเพณี และพธิ กี รรม ซ่ึงได้รบั อิทธิพลจากความเชือ่ เกยี่ วกบั เรือ่ งจติ วิญญาณวา่ หลังจากทตี่ ายไป แล้ว เช่ือวา่ ผทู้ ากรรมใดไวย้ อ่ มได้รบั ผลกรรมนนั้ ทาดไี ดข้ ึน้ สวรรค์ ทาชัว่ ตกนรกเปน็ เปรต ตอ้ งทนทกุ ข์ทรมาน เพราะผลแหง่ บาปกรรมท่ที าไว้นนั่ เอง และในภมู แิ หง่ เปรตพวกเขา สามารถดารงชพี อยูด่ ้วยการอาศยั สว่ นบุญจากการอปุ การะของญาตพิ ่ีน้องหรือผอู้ ื่นเทา่ นน้ั หากไม่มีใครอทุ ิศไปให้ก็ไมไ่ ดร้ บั บุญ ซ่งึ ผลการวจิ ัยทพ่ี บน้ันมีความสอดคล้องกับคติความ เชอ่ื เร่อื งกรรมในทางพระพุทธศาสนา (พระอธิการชว่ ง ฐิตโสภโณ, 2554: 151) 5. กนั โตงดารคอื สัญลกั ษณแ์ หง่ การแบ่งปนั ในช่วงวันแรม 14 ค่า เดอื น 10 ชาวพทุ ธเขมรสรุ นิ ทร์มีความเชอ่ื ว่า “เปน็ วนั ที่บรรพ บรุ ษุ ทลี่ ว่ งลับแล้วเดนิ ทางมาถงึ โลกมนษุ ย์ ชาวไทยเชื้อสายเขมรทกุ ครอบครัวจะจดั เตรียมตั้ง เคร่อื งเซ่นไหว้ที่บ้าน โดยจัดใส่กนั จือเบ็นเพือ่ ญาติ ๆ ใชส้ าหรบั เซน่ ไหว้บรรพบุรษุ การทาพิธี แซนโฎนตาโดยผอู้ าวุโสก็จะเรียกถามหาลูกหลาน ญาติพนี่ ้องว่ามาพรอ้ มหนา้ กนั หรอื ยงั และให้ มารวมกนั แลว้ จะเริม่ เซ่นไหวโ้ ดยจุดธูปเทียน ยกขันหา้ ไหวแ้ ละต่างก็พดู เรียกดวงวิญญาณบรรพ บรุ ษุ ให้มารับเครือ่ งเซ่นไหว้ แล้วรนิ นา้ ให้ล้างมอื และรนิ เคร่อื งดม่ื เชน่ เหลา้ นา้ อดั ลม ฯลฯ ชบ้ี อกให้ร้วู า่ มีเครอื่ งเซน่ ไหวอ้ ะไรบา้ ง เสมือนการมารายงานตัวตอ่ บรรพบุรษุ ว่าได้มารอตอ้ นรบั แล้ว ในพธิ เี ซน่ ไหว้ใช้เวลาประมาณ 20 –30 นาที เมื่อทาพธิ ีเสร็จแลว้ ลูกหลานญาตพิ นี่ ้องก็จะนา อาหารเครื่องเซ่นไหว้ตา่ งๆ มารบั ประทานรว่ มกันเปน็ การสร้างความสัมพันธ์ในหมู่ลูกหลาน ญาติ มิตร เพราะหนง่ึ ปี มคี รัง้ เดยี ว ลกู หลานท่ไี ปอยู่หมบู่ ้านอื่นหรือต่างจงั หวัดจะไดร้ ู้จักคุน้ เคยกนั ” (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์, 2560: 46) ซึ่งเป็นส่ือสัญลักษณ์แห่งความ “จาคะ” (ส.ส.(บาล)ี 15/855/316) คอื การแบง่ ปนั ความเสียสละ ความมีน้าใจ สามารถเสียสละความสขุ สาราญความพอใจส่วนตนเพอื่ คนอ่นื .ตลอดจนมจี ติ ใจเอ้อื เฟื้อเผ่อื แผ่ต่อญาตมิ ิตรสหาย ไมใ่ จแคบ ซงึ่ หลกั ฆราวาสธรรม 4 คือ (1) สจั จะ ฝึกตน (2) ทมะ ฝกึ ตน (3) ขันติ อดทน และ (4) จาคะ เสียสละ 6. กันโตงดารคอื สัญลกั ษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ชาวไทย เชือ้ สายเขมรในจงั หวัดสรุ นิ ทร์ เมอื่ ถงึ วันประเพณงี านบญุ เดือน 10 หรือ งานสารท ก็จะมีการทาบุญบูชา ราลกึ และอุทศิ อาหาร ขา้ วของเคร่อื งใช้แกบ่ รรพบรุ ษุ ปู่ย่า ตา ยาย หรือบุพการีผูล้ ่วงลับไปแล้วเชน่ เดยี วกันกับกลุ่มคนไทยอน่ื ๆ แต่จะแตกต่างกนั ในขนั้ ตอน พธิ กี รรม ในวันแรม 14 ค่า เดือน 10 ของทุกปีนั้น ชาวไทยเช้ือสายเขมรสุรนิ ทร์ เช่ือว่าวิญญาณ ของบรรพบุรษุ จะกลับมาเย่ยี มลกู หลาน หรือญาตพิ ี่น้องที่ยังมชี ีวิตอยู่ สมาชิกในครอบครัวท่ี อาศัยอยูท่ อ่ี ืน่ หรอื ทแี่ ยกครอบครัวจะกลบั มาเยย่ี มบา้ น ลกู สาวหรอื ลกู สะใภจ้ ะตอ้ งเตรยี มของ ฝาก ภาษาเขมรทอ้ งถน่ิ สรุ นิ ทร์เรียกว่า “กันจือเบ็น” (กระเฌอสาหรับจัดเตรียมเคร่อื งเซ่นไหว)้ เช่น เส้ือผ้าเครอื่ งใชม้ าส่งครอบครวั ใหญ่ และจะช่วยกนั จดั เตรยี มเครื่องเซน่ ไหว้ เชน่ อาหาร
134 | Academic MCU Buriram Journal เครื่องด่ืม ขนม ผลไม้ เสื้อผ้าเครื่องใช้ เพ่ือใช้ในการเซ่นไหว้บรรพบุรุษของครอบครวั (พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรนิ ทร์, 2560: 46) และมี “ประเพณีจนู โฎนตา โดยบรรดาลูกหลาน และญาติพ่ีน้องทีไ่ ปทามาหากนิ อยู่แดนไกลก็จะทยอยกนั จนู โฎนตา น่นั คอื พากนั กลบั บ้านมาไหว้ พอ่ แมป่ ยู่ า่ ตายาย และญาตผิ ใู้ หญท่ เ่ี คารพนับถอื โดยจะเอามะพรา้ ว ข้าวสารเหนยี วขนมนมเนย ต่าง ๆ มามอบให้ท่าน (พรอ้ มทงั้ มอบเงินจานวนหนึง่ ดว้ ย) เพือ่ ให้ท่านไดใ้ ช้ทาบญุ ในวันแซน บญุ โฎนตา หากพอ่ แม่ ปยู่ า่ ตายายหาชวี ติ ไม่แล้ว ก็จะพากันไปกราบไหว้ญาตผิ ใู้ หญ่ทยี่ งั มชี ีวติ อยู่ หรือทีเ่ คารพนบั ถือ โดยมอบขา้ วของเงินทองดงั กล่าวใหท้ ่านไว้ทาบุญในวนั แซนโฎนตา หรือหาก ไมส่ ามารถทาได้ ก็จะนาสง่ิ ของเหล่านีไ้ ปถวายพระทีว่ ดั แทน ซ่ึงกเ็ หมือนกับการได้ทาบุญอุทิศ ส่วนกศุ ลให้ญาติผใู้ หญ่ทีล่ ่วงลับไปแลว้ เช่นกนั ” (อษั ฏางค์ ชมด,ี 2551: 122-123) จากประเดน็ แห่งการจดั เตรยี มกระเฌอโฎนตา หรอื กนั จอื เบน็ ซ่งึ เป็นประเพณสี าหรับผตู้ ายไปแลว้ และ ประเพณีการจนู โฎนตาซึ่งเปน็ ประเพณสี าหรับคนเป็น ผู้ยงั มชี วี ติ อยู่ ทั้งสองอย่างนี้จึงกลายเป็น การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ให้มวลสมาชิกที่อาศัยอยู่ในสังคมเดียวกันได้รบั รูถ้ ึงความอุดม สมบูรณ์ของข้าวปลา อาหาร ในปีนน้ั ๆ และเป็นดัชนชี ี้วัดความรุ่งเรืองด้านเศรษฐกจิ ของ ประเทศชาตโิ ดยรว่ มอกี ด้วย ดังน้นั แล้ว “สตรผี ู้เป็นสะใภ้ ผตู้ อ้ งการความสุขจากการครองเรอื น และต้องการใหค้ รอบครัวมีความสขุ ไม่มปี ญั หาขดั แย้งภายในบา้ น จงึ ควรเอาใจใส่ รับผิดชอบ งานทท่ี าอยูใ่ ห้เรยี บร้อยให้การงานนัน้ ลลุ ว่ งสาเร็จไปได้ดว้ ยดี” (พระครูวาทวี รวฒั น์, 2557: 45) 7. กนั โตงดารคอื สัญลักษณ์การจดั ระเบยี บสังคมตามนยั แหง่ พระพุทธศาสนา ในความคิดเรื่องการจัดระเบียบสังคมตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา มีปรากฏใน สงิ คาลกสตู ร (ท.ี ปา. (ไทย) 11/242-247/199-218) ซ่งึ ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ ได้สรปุ ความเห็นไวว้ ่า “แนวคดิ เรอ่ื งการจัดระเบียบสงั คมโดยกล่าวถงึ สงั คมแบบโครงสรา้ ง หนา้ ที่ เนน้ การปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ ของบุคคลกลมุ่ ตา่ ง ๆ ตามหลักทิศ 6 และการจดั ระเบยี บภายในตัวบุคคลไดแ้ ก่การเว้นจาก บาปกรรม 14 ประการ ท้งั สองประการนเี้ รยี กรวมกันวา่ เปน็ อรยิ ะวนิ ยั ซ่ึงถือเป็นเคร่ืองมือในการ จัดระเบียบสังคม” (ทวีศักด์ิ ทองทิพย์ และคณะ, 2546: 97-98) สาระความสาคัญของ สิงคาลกสูตรนี้ สุชีพ ปุญญานภุ าพ ได้กล่าวถึงวา่ “ชาวยุโรปเล่ือมใสกนั มาก เพราะเชอ่ื ว่า สามารถแกป้ ญั หาสงั คมได้ โดยเสนอหลักทศิ 6 อันแสดงวา่ บุคคลทุกประเภทในสังคม ควรปฏิบตั ิ ตอ่ กนั ในทางท่ีดงี าม ไม่มีการกดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลงไป” (สุชีพ ปุญญานุภาพ, 2528: 363) ดังนน้ั แล้ว สาระสาคัญจากพิธีแซนโฎนตา ของชาวพุทธเขมรสุรินทร์ ซึ่งมีกันโตงดารเป็นส่ือเชิง สัญลักษณ์แหง่ การแสดงออกน้ี สามารถจดั เปน็ การปฏิบตั ิตามหนา้ ทตี่ ามโครงสรา้ งของสังคม โดยเฉพาะการปฏบิ ัตติ ามหน้าที่ตามหลักแห่งทิศ 6 ในสิงคาลกสตู รน้ี สามารถจดั เปน็ ตัวดัชนีชว้ี ดั ใหเ้ หน็ ว่า ประเพณีดังกลา่ วนี้เป็นเครือ่ งมือทางสงั คม (Social Tools) ของชาวพุทธเขมรสรุ นิ ทร์ ทเี่ ปน็ เคร่ืองมือสาคญั ในการจัดระเบียบสังคมตามนัยแห่งพระพทุ ธศาสนา (Social Organization in Buddhism) น่นั เอง
วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 135 8. กันโตงดารคอื สญั ลักษณ์แหง่ บุญมหาสงั ฆทาน ดังท่ีกล่าวมาแล้วในเบื้องต้นว่า ประเพณีอันดีงามอันเก่ียวข้องโดยตรงกับ พระพทุ ธศาสนากค็ อื ประเพณีกันสงฆ์ ซึ่งเปน็ ชว่ งโอกาสอันดีทช่ี าวพทุ ธเขมรสุรินทร์ ไดว้ ่างเวน้ จากการทานาในฤดฝู น เพอ่ื รอเกบ็ เก่ยี วผลผลิตในฤดถู ัดไป ได้มีโอกาสในการทาบญุ ถวายการ อปุ ถมั ภ์พระสงฆใ์ นพระพุทธศาสนาอนั เป็นการทาบญุ ตามกาล ซ่ึงนอกเหนอื จากพิธกี ันสงฆ์แล้ว ตลอด 15 วันดังกล่าวแล้วก็ยังมีพิธีกรรมที่สาคัญในช่วงเย็นของวันแรม 15 ค่า เดอื น 10 ชาวพทุ ธเขมรสรุ นิ ทร์ “มีการเตรียมเคร่อื งเซ่นไหว้ เปล่ยี นเสือ้ ผา้ ใหมซ่ ่งึ ได้จัดเตรยี มไว้แลว้ พร้อม บอกให้วญิ ญาณบรรพบุรษุ ไปที่วดั เพื่อฟงั พระเจริญพระพทุ ธมนต์ จากนั้นพระสงฆ์จะทาพธิ มี อบ เครอื่ งเซ่นไหว้แกบ่ รรพบุรุษ แล้วกลับมาบ้านเตรียมปทู ีน่ อนและเครอ่ื งใชส้ าหรับใหบ้ รรพบุรุษ เชื่อว่าบรรพบุรุษจะค้างที่บ้านในคืนนี้ ก่อนสว่างก็จะทาเรือกาบกล้วย ใส่เงินกระดาษ ขนม อาหาร เครือ่ งดื่ม ผลไม้ และเสือ้ ผา้ ของใชข้ นาดเลก็ จุดธูปเทียนแลว้ ลอยไปในแม่นา้ หรือบ่อใน บริเวณบา้ นเพอื่ เปน็ การสง่ วิญญาณบรรพบุรษุ กลบั สูย่ มโลกกอ่ นสวา่ ง หากไมท่ าเรือส่งท่านกจ็ ะ กลับไปยมโลกไมไ่ ด้ และจะติดค้างอยใู่ นโลกมนุษย์กระทงั่ ถึงวนั แซนโฎนตาอีกรอบนับเป็นการ สร้างบาปและความ ทุกขแ์ กว่ ิญญาณบรรพบรุ ุษ” (พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ สุรนิ ทร์, 2560: 46) และในวนั แรม 15 คา่ เดือน 10 เชา้ ตรู่ชาวไทยเชอื้ สายเขมรทุกครอบครวั ก็จะนาเครอื่ งเซ่นไหว้ ไปวดั อีก เพอ่ื ทาบญุ อทุ ศิ แก่ผไี มม่ ญี าติ ซ่ึงจดั เป็นบญุ มหาสงั ฆทาน อันมีผลานสิ งสม์ ากตามคติ ความเช่อื ของพระพุทธศาสนา “ดงั ท่พี ระพุทธเจา้ ไดท้ รงตรัสสรรเสรญิ สงั ฆทานวา่ เลศิ มีผลมาก ท่ีสุด ดังพุทธพจน์วา่ ‘เราไม่กล่าวว่า ปาฏิบุคลิกทานมีผลมากกว่าของที่ให้แก่สงฆ์ไม่ว่าโดย ปรยิ ายใด ๆ’ และไดต้ รัสชักชวนใหใ้ หส้ งั ฆทาน” (ม.อุ.(บาลี) 14/710-3/459-461; อ้างใน มงฺคล. (บาล)ี 2/16; อง.ฺ ฉกฺก. (บาลี) 22/330/439) 9. กันโตงดารคือสัญลกั ษณแ์ ห่งการส่ือสารเชงิ วฒั นธรรมในสังคมพทุ ธ มนุษย์เป็นสัตวส์ ังคม (Social Being) มีการดารงชีวิตอยู่โดยอาศัยปัจจยั 4 ในการ ดารงชวี ติ อนั ประกอบดว้ ย อาหาร เครือ่ งนุ่งหม่ ท่อี ยู่อาศยั และยารกั ษาโรค ซึง่ เปน็ ความต้องการ ทางกายภาพของมนุษย์ ซ่งึ นอกเหนือจากความต้องการทางกายภาพแลว้ “การดารงชีพของ มนุษยจ์ ะอาศยั เพยี งแคก่ ารดารงชีพตามสญั ชาตญาณ คงยังไม่เพียงพอตอ่ การดารงชพี ในสังคม ซ่ึงปฏิเสธไม่ไดว้ ่ามนษุ ย์ตอ้ งการเครือขา่ ยสังคม (Social Network) ในการอยู่รว่ มกนั อย่างสงบสขุ พึง่ พาอาศยั ชว่ ยเหลอื ซ่งึ กันและกัน แลกเปลีย่ นขา่ วสารอยา่ งสรา้ งสรรค์ เพอื่ พฒั นาตนเองและ สังคม” (พิชญาพร ประครองใจ, 2558: 31) ดงั น้นั แล้ว “ตราบใดท่มี นษุ ยจ์ าเป็นต้องอย่รู ว่ มกนั ในสงั คม การตดิ ต่อสื่อสารยอ่ มมีความจาเปน็ อย่างแน่นอน ท้งั น้เี พอื่ สรา้ งความเปน็ ระเบียบใน การอยูร่ ว่ มกนั สรา้ งความเข้าใจ ใหค้ วามช่วยเหลอื และสร้างความสามคั คหี รือมติ รภาพท่ีดตี ่อกัน” (พิชญาพร ประครองใจ, 2558: 31) ซงึ่ ตามนัยสญั ลักษณ์แห่งการส่อื สารน้ี ชาวพุทธเขมรสรุ นิ ทร์ ได้คิดประดิษฐ์เคร่ืองมือในการสื่อสารทางสังคม ( Social Communication) โดยอาศัย
136 | Academic MCU Buriram Journal พระพุทธศาสนาเป็นแกนพื้นฐานของอดุ มคติในการดาเนินชีวิต มากลายเป็นการสื่อสารทาง วัฒนธรรม (Cultural Communication) น่ันคือ กันโตงดารในพิธีแซนโฎณตานี้เอง เพราะ กันโตงดารนี้เป็น ส่ือประเภทอวัจนภาษา “ชนิดวัตถุภาษา (Objectics) ซ่ึงเกิดจากการ เลอื กใช้อวจั นภาษาทเี่ ลือกวัตถมุ าใช้เพอ่ื แสดงความหมายบางประการให้ปรากฏ” นน่ั เอง (สจุ รติ เห็นชอบ และคณะ, 2541: 41) ซงึ่ ตราบใดทชี่ าวพุทธเขมรสุรินทร์ ยงั คงรกั ษา สืบสานประเพณี การแซนโฎนตานี้อยู่ ตราบนั้นการสื่อสารเชิงวัฒนธรรมในสังคมพุทธ (Cultural Buddhist Communication) ย่อมมี และสนั ติสุข (Peace) ในสังคมก็ยอ่ มมีเม่อื น้ัน และก็เป็นอบุ ายหล่อ หลอมจากสื่อดา้ นจติ วิญญาณ กลายเปน็ มรดกทางวฒั นธรรม (Culturalheritage) ของชาวพุทธ เขมรสรุ ินทร์ในท่ีสุด 10. กนั โตงดารคือสัญลักษณ์แห่งจิตวญิ ญาณบรรพชน คมั ภีรพ์ ระพุทธศาสนาเถรวาท ไดบ้ ันทึกคติความเชอ่ื เรอ่ื ง “ปพุ พเปตพลี” คือการ ทาบุญอทุ ิศใหผ้ ูล้ ่วงลบั ดงั มีปรากฏใน ชานสุ โสณสิ ตู ร, ติโรกุฑฑสูตร, เรอื่ งเปรตทเ่ี คยเปน็ มารดา พระสารบี ุตร เป็นต้น ซงึ่ สอดคลอ้ งกับช่วงเทศกาลการทาบุญสารทเดือน 10 ของชาวพุทธเขมร สุรินทร์ ก็มีการประกอบพิธีตามวัดต่างๆ เพื่อทาบุญอุทศิ ให้ผีบรรพบุรุษ ซึ่งเรยี ก ตามศพั ท์ ท้องถิน่ ภาษาเขมรสุรนิ ทร์ อกี อย่างวา่ “พิธีสวดดาร” อนึ่ง ในพิธีสวดดารนี้ สิง่ ของทเี่ ปน็ เคร่ือง สักการะทขี่ าดเสียไมไ่ ด้เลยก็คือ “กันโตงดาร” ซึ่งมลี ักษณะดังท่ีกลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ การจัดพธิ ี ทาบุญทิศหรอื บญุ ดารน้ี จะจดั แบบเล็ก ๆ ในระดับครอบครวั หรือแบบใหญโ่ ตในระดับจังหวัดนน่ั ก็สามารถทาได้ แต่ท่ซี ่งึ ขาดเสียไมไ่ ด้เลยก็คือ “กันโตงดาร” เคร่ืองสักการะสาหรับประกอบพิธี นัน่ เอง โดยในขณะการประกอบพธิ ที าบุญดาร เมอ่ื พระสงฆ์สวดมนต์ถงึ บทตโิ รกุฑฑสตู ร ทายก ผู้นาประกอบพธิ ี กจ็ ะเริม่ กรวดนา้ ลงไปท่ถี าดทีใ่ ส่กนั โตงดาร พรอ้ มกับกล่าวคาแผอ่ ุทิศบญุ กศุ ล ให้กบั บรรพชน ผวู้ ายชนมว์ ่า “อิท โน ญาตีน โหตุ สขุ ิตา โหนฺตุ ญาตโย” แล้วก็กล่าวคาอุทศิ ดว้ ย ภาษาเขมรทอ้ งถิ่นตามความเช่อื ของแต่ละบุคคล ดงั นั้นแล้ว กันโตงดารจึงเปน็ สอ่ื สญั ลกั ษณ์ที่ หลอ่ หลอมพลงั ศรัทธาและจิตวญิ ญาณของบรรพชน ซึง่ ชาวพุทธเขมรสรุ นิ ทรม์ คี ติความเช่ือว่า บรรพชนผู้ลว่ งลับไปแลว้ เมื่อได้รบั สว่ นบญุ ท่ลี ูกหลานอทุ ศิ ไปให้กจ็ ะอนุโมทนาสว่ นบญุ และให้ พรแด่บรรดาญาติ ลูก หลาน ใหม้ คี วามสขุ มคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งในหน้าท่กี ารงาน 5. สรุป ดงั นนั้ ประเพณีการทาบุญอทุ ิศแด่บรรพชนทเ่ี น่อื งด้วยเทศกาลบุญสารทเดือน 10 หรือ “บญุ แซนโฎนตา” ซึ่งเปน็ ประเพณีชาวไทยพทุ ธ เชือ้ สายเขมรในจงั หวดั สุรนิ ทร์ โดยเฉพาะ จะมี “กันโตงดาร” ซึ่งเป็นสื่อเชิงสัญลักษณ์ของการประกอบพิธีทาบญุ อุทิศ “ทักษณิ านุ ประทาน” หรอื ท่เี รียกวา่ ในภาษาถิน่ วา่ “พิธีทาบญุ ดาร” นอกจากเป็นสว่ นหน่ึงของศาสนพธิ แี ลว้ เรายงั สามารถวิเคราะห์ถึงคุณค่าทแี่ ท้จรงิ อันแฝงอยู่ในกันโตงดาร ทั้งน้ีโดยอาศัยการบูรณาการ องค์ความรู้ระหว่างเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวพุทธเขมรสุรินทร์ กับองค์ความรู้หลักใน
วารสารวิชาการ มจร บุรีรัมย์ | 137 พระพุทธศาสนาคือพระไตรปิฎกและศาสตร์สมัยใหม่ มาเป็นฐานการศึกษาวิเคราะห์ โดยเปา้ ประสงค์คอื เพ่ือเป็นเสาหลกั ของฐานความคดิ ให้กบั ผู้อา่ นได้มองเห็นคุณค่าความสมั พันธ์ กันระหวา่ งพระพุทธศาสนาและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ทเี่ ปน็ อตั ลกั ษณ์เฉพาะถิ่นของชาวพทุ ธเขมร สรุ นิ ทร์ ดังน้นั โดย “นัยแห่งคณุ ค่าของกันโตงดาร” น้ี ผูเ้ ขียนได้วเิ คราะหถ์ งึ คณุ คา่ ทแี่ ฝงอยู่ใน สญั ลักษณ์น้ีเอาไว้โดยสรปุ ทัง้ หมด 10 ประการดว้ ยกนั คือ 1) สญั ลกั ษณแ์ หง่ ความกตญั ญกู ตเวที 2) สัญลักษณ์แหง่ ความสามคั คใี นเครอื ญาติ 3) สญั ลกั ษณแ์ หง่ ประเพณรี ะหวา่ งคนเปน็ กับคน ตาย 4) สัญลกั ษณแ์ หง่ กรรมบนั ดาล 5) สัญลักษณ์แหง่ การแบ่งปัน 6) สญั ลกั ษณ์แหง่ ความอดุ ม สมบรู ณ์ 7) สัญลักษณก์ ารจัดระเบยี บสังคมตามนัยแหง่ พระพุทธศาสนา 8) สัญลกั ษณแ์ ห่งบุญ มหาสังฆทาน 9) สัญลกั ษณแ์ ห่งการส่ือสารเชิงวัฒนธรรมในสังคมพุทธ 10) สัญลักษณ์แห่งจิต วญิ ญาณบรรพชน ดงั น้นั แล้ว กันโตงดารจึงเปน็ สอื่ เชงิ สัญลกั ษณท์ ่หี ล่อหลอมพลังศรัทธาและจิต วิญญาณของบรรพชน ของชาวพุทธเขมรสรุ ินทร์ ซงึ่ แฝงด้วยคติธรรมและคุณค่าทอ่ี นชุ นคนรุ่น หลงั พงึ ตระหนักรู้ และเหน็ คณุ คา่ ในการอนุรกั ษ์และสบื สาน และกเ็ ป็นอบุ ายหล่อหลอมจากสื่อ ด้านจิตวิญญาณ กลายเป็นมรดกทางวฒั นธรรม (Cultural heritage) ของชาวพุทธเขมรสรุ ินทร์ ในทส่ี ดุ เอกสารอา้ งองิ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฏก. กรงุ เทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, 2500. มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลัย. กรุงเทพฯ: มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, 2539. จานงค์ ทองประเสริฐ. บอ่ เกดิ ลทั ธิประเพณอี ินเดีย เลม่ 1. กรงุ เทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2540. ธวชั ปุณโณทก. ความเชอ่ื พื้นบ้านอันสัมพันธ์กบั ชีวิตในสังคมอีสาน, วัฒนธรรมพืน้ ฐาน, คตคิ วามเช่ือ. ม.ป.ท., 2528. พระครวู าทีวรวัฒน์ “การประยกุ ตใ์ ช้โอวาท 10 ในการเสริมสร้างครอบครวั สนั ติสขุ ” ในวารสาร สันติศกึ ษาปรทิ รรศน์ มจร, ปที ่ี 2 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มิถุนายน 2557. พระมหา หรรษา ธมมฺ หาโส รองศาสตราจารย์ ดร. บรรณาธิการ (มกราคม-มิถนุ ายน 2557). พระเทพเวที (ป.อ.ปยุตฺโต). กรรมตามนัยแห่งพระพุทธศาสนา. พิมพ์เฉพาะบท ครั้งท่ี 1. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พร้นิ ตงิ้ กรฟุ๊ จากัด, 2531. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). การพัฒนาทีย่ ่ังยืน. พิมพค์ รัง้ ที่ 10. กรงุ เทพฯ: มลู นิธโิ กมลคีมทอง, 2549. พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต). พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครง้ั ท่ี 12. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2551.
138 | Academic MCU Buriram Journal พระมหาหรรษา ธมฺมหฺ าโส (นธิ ิบญุ ยากร) พทุ ธสนั ตวิ ธิ ี การบรู ณาการหลักการและเครื่องมือ การจดั การความขัดแยง้ . กรุงเทพฯ: บรษิ ทั 21 เซน็ จรู ่ี จากัด, 2554. พระอธกิ ารช่วง ฐิตโสภโณ (ต้ังอย)ู่ . “ศึกษาคตทิ างพระพุทธศาสนาทป่ี รากฏในประเพณสี ารท เดอื นสิบ (แซนโฎนตา) ของจังหวดั สรุ นิ ทร์”. วทิ ยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑติ . บณั ฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , 2554. พชิ ญาพร ประครองใจ. หลกั นเิ ทศศาสตร.์ กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2558. พรี ะศกั ด์ิ วรฉตั ร์. “โครงสรา้ งอานาจชุมชนชาวไทยท่พี ูดภาษาเขมรในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื : กรณีศึกษา ตาบลพรหมเทพ อาเภอท่าตูม จงั หวัดสรุ นิ ทร์”. วิทยานิพนธ์ศิลปะศาสต รมหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวโิ รฒ มหาสารคาม, 2530. มารค ตามไท. “ความสามัคคี”. ใน สันติวิถี: ยุทธศาสตร์ชาติเพ่ือความมั่นคง. สถาบัน ยทุ ธศาสตร์ สานักงานสภาความมั่นคงแหง่ ชาติ (รวบรวม). ทวีศักดิ์ ทองทิพย์ และคณะ. “การศึกษารปู แบบการจดั ระเบียบสังคมตามแนวพทุ ธศาสตร์”. รายงานการวิจัย. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, 2546. สจุ รติ เหน็ ชอบ และคณะ. การใช้ภาษาไทย. พิมพค์ ร้ังท่ี 6. นนทบุรี: มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, 2541. สชุ พี ปญุ ญานภุ าพ. พระไตรปิฎกฉบับประชาชน. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, 2528. ศริ าพร ณ ถลาง. ทฤษฎีคติชนวทิ ยา วิธีวิทยาในการวิเคราะห์ตานาน-นิทานพ้ืนบา้ น. พิมพ์ คร้งั ที่ 3. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2557. อษั ฎางค์ ชมดี บก. 100 เรื่อง เมอื งสรุ ินทร์. อุบลราชธานี: โรงพมิ พธ์ รรมออฟเซท็ , 2551. พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ สรุ ินทร์. ไงแซนโฎนตา (สารทชาวไทยเชือ้ สายเขมร), [ออนไลท์] แหล่งที่มา: http://www.finearts.go.th/surinmuseum/parameters/km/item [22 กมุ ภาพนั ธ์ 2560] k.L.Hazra. History of Theravada Buddhism in South-East Asia. New Delhi: Mushiram Manoharlal Publisher, 1968.
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: