Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2562_มจร ร้อยเอ็ด

2562_มจร ร้อยเอ็ด

Published by Thanarat MCU Surin, 2023-06-14 04:17:41

Description: 2562_มจร ร้อยเอ็ด

Search

Read the Text Version

329 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 พุทธศลิ ปกรรมปราสาทขอมในจังหวดั สุรินทร์: คณุ ค่าและความสาคัญ Buddhist Art as the Khmer Castles in Surin Province: The Value and Importance ดร.ธนรัฐ สะอาดเอ่ียม1 พระครปู รยิ ตั วิ ิสุทธิคุณ, ผศ.ดร.2 พระวฒั นา ญาณวโร,ดร.3 บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค์ของบทความวชิ าการน้ี คือเพื่อนาเสนอพุทธศิลปกรรมขอมที่มีปรากฏในจงั หวดั สุรินทร์ รวมถึงความหมายและความสาคัญ โดยการศึกษาจากข้อมูลทางเอกสารประวัติศาสตร์และ ทางหลักฐานทางโบราณคดี และซ่ึงจากหลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์และทางโบราณคดีนั้น เม่ือ พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้าในในดินแดนสุวรรณภมู ิในช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 ส่งผลให้มีผู้มีจิตศรทั ธา และอุทิศตนสร้างงานศิลปะท่ีเก่ียวเน่ืองด้วยพระพุทธศาสนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งงานศิลปะ ดังกล่าวนเ้ี รียกว่า “พทุ ธศิลป์” ในบรรดาอารยธรรมท่ีสาคญั ในโลกนี้ “อารยธรรมขอม (เขมร) โบราณ ซ่ึงเจริญข้ึนระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-18 คือ อารยธรรมท่ีมีความสาคัญมากแห่งหนึ่งในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซ่ึงรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบขอม หรือสถาปัตยกรรมแบบลพบุรีน้ัน แบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ (1) เทวลยั หรอื เทวสถาน (วดั ) (2) ธรรมศาลา ทพ่ี กั คนเดนิ ทางหรอื บ้านมี ไฟ (3) อโรคยาศาล โรงพยาบาล ในส่วนของจังหวัดสุรินทร์น้ัน ต้ังอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย เป็นจังหวัดท่ีมีปราสาทขอมต้ังอยู่เป็นจานวนมาก ท้ังปราสาทขอมท่ีเป็นของศาสนา พราหมณ์และปราสาทขอมที่เป็นของพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน แบบวัชรยาน ดังที่มีปรากฏ พุทธศิลปะผ่านสถาปัตยกรรม และประติมากรรมรูปเคารพต่าง ๆ ซึ่งจากหลักฐานข้อมูลดังกล่าวน้ี ย่อมเป็นเคร่ืองชี้ให้เห็นว่าในเขตพ้ืนที่จัดหวัดสุรินทร์น้ัน เคยมีพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน แบบ วัชรยาน เจริญรุ่งเรืองและมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตชาวจังหวัดสุรินทร์เป็นระยะเวลายาวนาน และถึงแม้ พระพุทธศาสนา นิกายมหายาน แบบวัชรยาน ในเขตพ้ืนที่จังหวัดสุรินทร์ ในปัจจุบันได้เส่ือม แต่ หลกั ฐานทางประวัติศาสตร์ และคติความเช่ือยงั คงมีอยู่ตราบเทา่ ถงึ ทุกวันน้ี 1 บณั ฑติ ศกึ ษา สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสรุ นิ ทร์ 2 สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตสรุ ินทร์ 3 บณั ฑติ ศึกษา สาขาวชิ าปรชั ญา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาลยั สงฆบ์ รุ รี มั ย์

330 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 คาสาคญั : พุทธศิลปกรรม, ปราสาทขอม, จงั หวัดสุรินทร์ Abstract The purpose of this academic article is to present the Buddhist art that appears in Surin province, including meaning and importance, by studying the data from historical documents and archaeological evidence, as results from the historical and archaeological evidences. When Buddhism was spread into the Suvarnabhumi region during the 3rd century AD, there was a devotee and dedication to create art related to Buddhism as the offering. This art is called \"Buddhist art\". Among all the important civilizations in this world, \"Khmer civilization (Khmer), ancient which grew during the 12-18 century, is one of the most important civilizations in Southeast Asia, which forms of Khmer architecture or Lopburi architecture that can be divided into 3 types: (1) Devalai or temple (temple); (2) Dhammasala, accommodation for travelers or houses with lights; (3) Arogayasala (Chapel of the hospital). In the part of Surin province located in the northeast of Thailand is a province with a large number of Khmer castles both Khmer castles belonging to Brahmanism and Khmer castles, which belonging to the Mahayana sect of Vajrayana Buddhism, as shown by Buddhist art through architecture and various idol sculptures. From this evidence, it is an indication that in the Surin province used to have the Mahayana Buddhism flourishing and influencing the way of life of Surin people for a long time. Although Buddhist Mahayana sect in Surin province at present has deteriorated, but historical evidences and beliefs still exist today. Keywords: Buddhist Art, Khmer Castle, Surin province 1.บทนา พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้าในในดินแดนสุวรรณภูมิในช่วงพุทธศตวรรษที่ 3 ส่งผลให้มีผู้มี จติ ศรัทธาและอุทิศตนสรา้ งงานศลิ ปะทเ่ี ก่ียวเนอ่ื งดว้ ยพระพุทธศาสนา เพือ่ ถวายเปน็ พุทธบูชา ซ่งึ งาน ศิลปะดังกล่าวนี้เรยี กว่า “พุทธศิลป์” ซ่ึง“คาว่า พุทธศิลป์ หรือ พุทธศิลปะกรรม สามารถแยกออกได้ เป็นคา 2 คา คอื พุทธะ + ศลิ ปะ ซ่ึง คาวา่ พุทธะ คอื เร่ืองราวทเ่ี ก่ยี วกบั พระพุทธศาสนา และเป็นคา ที่ใช้ในความหมายถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนคาว่า ศิลปะ เป็นเร่ืองราวของความงามความพงึ พอใจในสิ่งท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน ดังนั้น ความหมายโดยรวมของคาวา่ พุทธศิลป์ คือ ส่ิงท่ีมนุษย์สร้าง ข้ึนเพื่อความงาม เพ่ือความพอใจ ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาธรรมทางวัตถุถวาย เพื่อเป็นพุทธบูชาเน่ืองใน

331 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 พระพุทธศาสนา”4 โดยความประสงค์ที่แท้จรงิ ของงานพุทธศิลปน์ ้ัน ก็เพอ่ื ให้ “…เกิดผลอันเป็นคุณค่า ทางจิตใจ ให้เกิดความเกษมเบิกบานเป็นความสุขสงบและร่มเย็น จึงกล่าวได้ว่า งานพุทธศิลป์เป็น เสมือนสะพานบุญ หรือเป็นสื่อท่ีน้อมนาความศรัทธาเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา งานพุทธศิลป์ที่ ปรากฏอยูท่ กุ แขนง จึงเปน็ ประจกั ษ์แหง่ ความเลอ่ื มใสน้นั ๆ ของพุทธบริษทั ตอ่ ๆ กนั มาทุกยคุ ทกุ สมัย ท่ีได้ปรากฏต่อสายตามาถึงปัจจุบัน”5 และองค์ประกอบของงานช้ินงานท่ีมนุษย์ได้สร้างขึ้นมาน้ัน จะ สามารถระบุว่าส่ิงใดเป็นศิลปะหรือไม่น้ัน งานศิลปะนั้นจะก็ต้องเป็นงานที่“องค์ประกอบด้วยส่ิง 5 ประการ คือ (1) มนุษย์ (2) ความคิด สติปัญญาของมนุษย์ (3) การกระทาของมนุษย์ (4) ความงามท่ี พึงพอใจ (5) ความนิยมชมชอบ”6 และงานศิลปะวิจิตรศิลป์ (Fine Art) ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของานศิลป์ ซึ่งเป็น“งานอันเป็นความพากเพียรของมนุษย์ ซ่ึงนอกจากต้องใช้ความพยายามด้วยมือ และด้วย ความคิดแล้วยังต้องมีใจจดจ่ออยู่กับส่ิงท่ีทา เพ่ือให้เกิดปัญญาความคิดและความรู้สึกทางจิตพวยพุ่ง ออกมาและแทรกซึมเข้าไปในงานน้ัน” ซึ่งประเภทของงาน“วิจิตรศิลป์แสดงออกได้เป็น 5 ลักษณะ คือ วรรณคดี, ดนตรี, จิตรกรรม, ประตมิ ากรรม และสถาปตั ยกรรม” 2. อารยธรรมขอมในราชอาณาจักรไทย ในบรรดาอารยธรรมท่ีสาคัญในโลกนี้ “อารยธรรมขอม (เขมร) โบราณ ซึ่งเจริญขึ้นระหว่าง พุทธศตวรรษที่ 12-18 คือ อารยธรรมท่ีมีความสาคัญมากแห่งหน่ึงในภูมภิ าคเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ อานาจทางวัฒนธรรมของขอมแผ่ขยายไปกว้างไกล จนได้รับการยกย่องให้เป็น “มหาอานาจ” ยุค โบราณของภูมิภาคนี้ โดยมีพ้ืนท่ีครอบคลุมตั้งแต่บริเวณทะเลสาบเขมร ไปจนถึงภาคอีสานตอนล่าง ของไทย และพื้นที่ของตอนใต้ของลาวในปัจจุบัน รวมไปถึงบริเวณปากแม่น้าโขง ทางตอนใต้ของ เวยี ดนามในปัจจบุ ัน”7 ในส่วนศิลปกรรมของปราสาทขอมนั้นจัดอยู่ในประเภทสถาปัตยกรรม (Architecture) คือ “การก่อสร้างอาคาร สิ่งก่อสร้าง งานวางผังเมือง (ซึ่ง) แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ (1) สถาปัตยกรรม เคร่ืองใช้ (wood working) (2) สถาปตั ยกรรมเครือ่ งหนิ (stone making) (3) สถาปตั ยกรรมคอนกรีต เสรมิ เหลก็ (Reinforce Concrete)”8 ดงั นน้ั สถาปตั ยกรรมทางศาสนาซึ่งเป็น 1 ใน 5 งานวิจิตรศิลป์ 4 จารวุ รรณ พงึ่ เทียร, พทุ ธศิลป,์ พมิ พค์ รั้งท่ี 3, กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2555, หน้า 1. 5 เร่ืองเดยี วกัน. 6 เรือ่ งเดียวกัน. 7 เชษฐ์ ติงสญั ชล,ี ประวัตศิ าสตรศ์ ิลปะ อนิ เดียและเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้, พมิ พ์ครัง้ ที่ 3, นนทบรุ :ี มวิ เซยี มเพรส, หนา้ 220. 8 จารุวรรณ พงึ่ เทยี ร, อ้างแลว้ , หนา้ 5.

332 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 ที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นในเขตพื้นต่าง ๆ โดยกลุ่มชาติพันธ์มนุษย์ในแต่ละพื้นฐาน ซึ่งสถาปัตยกรรมทาง ศาสนานี้ เป็นศาสนสถานที่บ่งบอกความเจริญของสังคมมนุษย์ในเขตพ้ืนที่น้ัน ๆ ว่าเป็นชาติพันธ์ท่ีมี อายธรรม อน่ึง ชาติพันธ์ของก็เป็นอีกชาติพันธ์หนึ่งที่มีอารยธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะปราสาทที่ถูกสร้างข้ึนในยุคต่าง ๆ ภายใต้ชนชาติพันธข์ อม ซึ่ง“คาว่า ขอม น้ี จิตร ภูมิศักด์ิ สันนิษฐานไว้ว่า คาว่า “ขอม” น่าจะมาจากคาว่า “กะหล่อม” หรือ “กรอม” มีความหมายว่าอยู่ทาง ใต้หรอื ตา่ ตอ่ มาจากคนไทยสมยั โบราณใช้เรียกกลุ่มชาติพันธุท์ ่ีอาศยั อยู่กระจายเปน็ วงกว้างในแถบลุ่ม แม่น้าโขง และแม่น้าเจ้าพระยา ขึ้นไปจนถึงรัฐฉาน”9 “มีหลักฐานปรากฏอยู่ในจารึกสมัยสุโขทัยทว่ี ดั ศรีชุมตอนหนึ่งว่า “ขอมเรียกพระธมนั้นแล” รวมท้ังมีพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาฉบับเอ๋ยถึงคาว่า ขอมโดยส่ือความหมายถึงชาวเขมรและประเทศเขมร”10 “คานี้มีใช้ในภาษาไทลื้อ ไทใหญ่ พม่า ลาว เปน็ ต้น โดยมคี วามหมายแตกต่างกันไป แต่โดยสรปุ แล้วคาวา่ “ขอม” นา่ จะมาจากคาว่า “กะหล่อม” หรือ “ขแมรก์ ร่อม”11 และสนั ติ เมอื งสขุ ไดแ้ สดงทศั นคติเกี่ยวกับศลิ ปะขอมในเมืองไทยไว้ว่า “ศิลปะ ขอมในประเทศไทยหรือศิลปะลุพบุรี หมายถึง ศิลปะท่ีสร้างข้ึนภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมขอม การศึกษาศิลปะท่ีพบในประเทศไทย สามารถเทียบเคียงกับศิลปะของในกัมพูชาได้ เพราะมีความ ละม้ายคล้ายคลึงกับศิลปะขอมสมัยเมืองพระนคร ได้แพร่อยู่ทางภาคอีสาน และเข้าสู่ภาคกลางของ ไทย”12 ซ่ึงมีความสอดล้องกับ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิสกุล ที่ได้แสดงทัศนะไว้ว่า“ศิลปกรรมเขมรหรือ ศิลปกรรมขอมแพร่หลายอยู่ในประเทศกัมพูชา และประเทศใกล้เคียงในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12- 18 เป็นศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดยี ในระยะแรกมีลักษณะคล้ายศิลปะอินเดียมาก ต่อมามี ความเป็นตัวของตัวเองมากยิ่งข้ึน และโดดเด่นในด้านลวดลายประดับที่งดงาม ซึ่งไม่ปรากฏในศิลปะ อินเดียมาก่อน ประติมากรรมแสดงความแขง็ ปนการแสดงอานาจทีไ่ มพ่ บในศิลปะอินเดยี เชน่ กนั ”13 ดังนั้น รูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบขอม หรือสถาปัตยกรรมแบบลพบุรีนั้น แบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ “(1) เทวลยั หรือเทวสถาน (วัด) (2) ธรรมศาลา ท่ีพักคนเดนิ ทางหรือบ้านมไี ฟ (3) อโรค ยาศาล โรงพยาบาล”14 ซึ่งทั้ง 3 ประเภทยังคงมีปรากฏในหลายพื้นที่ของภาคอีสานใต้ของประเทศ ไทย และหากแบ่งเป็นกลุ่มนั้น สมเกียรติ โหลเ์ พชรัตน์ ไดแ้ บ่งกล่มุ ของศิลปะแบบลพบุรีเอาไว้ 3 กลุ่ม ใหญ่ๆ ดังนี้ “ (1) กล่มุ ศิลปะสมยั ลวปุระของชาวมอญทวารวดเี ดิม ทม่ี อี ายุอยู่ระหว่างครสิ ต์ศตวรรษท่ี 6-11 (2) กลุ่มศิลปะสมยั เมืองละโว้หรอื ลพบุรี เปน็ ศิลปะลูกผสมแบบเขมรในประเทศไทย ทอี่ ยู่ในช่วง 9 อา้ งใน ภภพพล จันทรว์ ฒั นกุล, 30 ปราสาทขอมในเมืองพระนคร, นนทบุรี: เมอื งโบราณ, 2560, หน้า 32. 10 เรอ่ื งเดียวกัน, หน้า 45. 11 เรอื่ งเดียวกัน. 12 สันติ เล็กสขุ มุ , ประวัตศิ าสตรศ์ ิลปะไทย, กรงุ เทพฯ: ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์, 2547, หน้า 62. 13 อ้างใน ภภพพล จันทร์วฒั นกุล, อ้างแลว้ , หน้า 45. 14 อ้างใน จารุวรรณ พงึ่ เทยี ร, อ้างแลว้ , หนา้ 116.

333 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 คริสต์ศตวรรษที่ 11-13 หรือปีคริสต์ศักราช 1010-1237 (3) กลุ่มศิลปะเขมรสูงชาวพุทธที่ต้ังถ่ินฐาน อยู่ในประเทศไทย มีอายุอยใู่ นระหว่างคริสต์ศตวรรษท่ี 7-11”15 จากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า“...ช่วงอารยธรรมเขมรหรือขอมในประเทศกัมพูชาได้ เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสูงสุดในราวพุทธศตวรรษท่ี 16-18 ได้แพร่ขยายเข้ามาเจริญขึ้นในดินแดนแถบ อสี านตอนล่าง ดงั ปรากฏหลกั ฐานของอารยธรรมเขมรเป็นจานวนมาก ท้งั ท่ีเปน็ ปราสาทหนิ และเมือง โบราณ” และจังหวัดสุรินทร์เป็นหน่ึงในจังหวัดชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา และเป็นอีกจังหวัด หนึ่งซ่ึงต้ังอยใู่ นเขตพ้นื ทอี่ สี านใต้ของประเทศไทย และมีหลกั ฐานทางโบราณคดขี องอารยะธรรมขอม ตั้งอยู่เป็นจานวนมาก และสัญลักษณ์ของอารายธรรมขอมท่ีปรากฏเด่นชัด โดยผ่านการสื่อจากดวง ตราของจังหวัดสุรินทร์ที่เป็นรูปของพระอินทร์ทรงช้าง และด้านหลังเป็นรูปปราสาทขอม ซึ่ง“จังหวัด สุรินทร์นี้มีช้างมาแต่โบราณ และมีผู้จับช้างป่ามาเลี้ยงเสมอ ๆ ดวงตราของจังหวัดสุรินทร์จึงมีรูปช้าง ช่ือของจังหวัดเป็นคาสนธิของคาสองคา คือ “สุระ” กับ “อินทร์” หมายถึง พระอินทร์ผู้เก่งกล้า สามารถ ภาพเจดีย์สลักปรักพัง เบื้องหลังแสดงถึงอิทธิพลการก่อสร้างของขอมโบราณ ซ่ึงมีอยู่ มากมายแห่งในภูมิภาคน้ี16 จากพงศาวดารเมืองสุรินทร์กล่าวว่า “บริเวณน้ีเป็นหลักแหล่งของชนชาติไทยสมัยเรือง อานาจ เจ้าเมืองผู้มีนามว่าขุนเกตุสร้างโบราณไว้หลายแห่ง และมีตัวอักษรภาษาไทยภาคอีสานจารึก ไว้ดว้ ย ไทยเสอื่ มอานาจลงจนถอยร่นไปอยู่ที่อืน่ เมืองขอมตง้ั ราชธานที ี่เมอื งพมิ าย”17 ดังมีปรากฏตาม อักษรศลิ าจารกึ ท่บี ้านปราสาท ดงั นี้ “สิทธิการิยะ บรมนารถชาติภริ มย์ สมชตาปะสกิ าราชา เจ้าสังฆร์ าชาพทุ ธวงษา และ เจ้าสมเด็จอุตมะวรปัญญา และเจ้าหม่อมเกษ เจ้าสมเด็จโฆตวงษา เจ้ากุลวงษา เจ้า นัครีวงษา และเจ้าเมืองเทพราชา ขุนไกร ขุนแก้ว ขุนศรี ต่างตา ขุนจันเฒ่าแก่ พ่อ แม่พ่ีน้องญาติกาวงษา ลูกหลานท้ังมวล พร้อมกันสร้างพระมหาธาตุ 3 ลูกน้ี ไว้กับ ศาสนาพระเจ้า ตราบตอ่ หา้ พนั วตั ษา นิพพานะ ปัจตโิ ยโหตุ”18 3.จังหวดั สุรินทร์ แหลง่ ปราสาทขอม 15 สมเกยี รติ โลเ่ พชรัตน์, พระพทุ ธรปู ศลิ ปะสมยั อยธุ ยา ประวัติศาสตร์ชนชาติไทยกบั ปฎิมากรรมใน พระพุทธศาสนา, พิมพค์ ร้ังที่ 3, กรุงเทพฯ: อมรินทร์พรน้ิ ตง้ิ พับลชิ ช่ิง จากัด (มหาชน), 2549, หนา้ 369. 16 สุพร ประเสริฐราชกิจ, รวมประวตั ิและสัญลกั ษณ์ 76 จงั หวดั , พมิ พค์ รั้งท่ี 3, กรุงเทพฯ: รวมสาสน์ (1977) จากัด, 2537, หน้า 83. 17 เร่อื งเดยี วกนั . 18 บรรณ สวันตรัจฉ์, พงษาวดารเมอื งสุรนิ ทร,์ พมิ พ์ครง้ั ท่ี 3, สุรนิ ทร์: สานักงานปลัดกระทรวงวฒั นธรรม , 2553, หนา้ 28.

334 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 จังหวัดสุรินทร์น้ันมีอาณาเขตดังนี้ อาณาเขตทิศเหนือติดต่อจังหวัดมหาสารคามและจังหวัด รอยเอ็ด ทิศใต้ติดต่อกับประเทศกัมพูชา ทิศตะวันออกติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ ทิศตะวันตกติดต่อ กับจังหวัดบุรีรัมย์ ห่างจากกรุงเทพมหานคร 454 กิโลเมตร พ้ืนที่ 9,101.381 ตารางกิโลเมตร แบ่ง การปกครองออกเป็น 17 อาเภอ คือ อาเภอเมืองสุรินทร์, อาเภอปราสาท, อาเภอท่าตูม, อาเภอจอม พระ, อาเภอสนม, อาเภอ เขวาสินทร์, อาเภอสนม, อาเภอรตั นบรุ ,ี อาเภอสาโรงทาบ, อาเภอ โนนนารายณ์, อาเภอสังขะ, อาเภอบัวเชด, อาเภอศีขรภูมิ, อาเภอลาดวน, อาเภอกาบเชิง, อาเภอ พนมดงรัก, อาเภอชมุ พลบรุ ี”19 ปราสาทท่ีสาคัญในเขตจังหวัดสุรินทร์ โดยแยกออกเป็นกลุ่มปราสาทของแต่ละอาเภอ เรียงลาดบั จานวนปราสาทจากมากไปน้อย ได้ดงั น้ี อาเภอสังขะ มี 6 ปราสาท ประกอบด้วย (1) ปราสาทภูมิโปน ตาบลดม (2) ปราสาทสิงข์ ศิลปะชัย ตาบลกระเทียม (3) ปราสาทมีชัยหรือปราสาทหมื่นชัย ตาบลกระเทียม (4) ปราสาทยาย เหงา ตาบลสังขะ (5) ปราสาทบา้ นจารย์ ตาบลจารย์ และ (6) ปราสาทบ้านดา่ น ตาบลบ้านดา่ น และ นอกจากปราสาทขอมโบราณแลว้ ก็ยังมีธาตุเก่าแก่องค์สาคัญอีก 1 แห่ง คือ ธาตุบ้านธาตุ ตาบลพระ แก้ว อาเภอปราสาท มี 4 ปราสาท ประกอบด้วย (1) ปราสาทบ้านพลวง อาเภอปราสาท (2) ปราสาทบ้านไพล หรือวัดโคกปราสาท อาเภอปราสาท (3) ปราสาทบ้านทะนง อาเภอปราสาท และ (4) ปราสาทองั กญั โพธิ์ อาเภอปราสาท อาเภอเมืองสุรินทร์ มี 3 ปราสาท ประกอบด้วย (1) ปราสาทเมืองที ตาบลเมืองที อาเภอ เมืองสุรินทร์ (2) ปราสาทโอรงา ตาบลเฉนียง และ (3) ปราสาทเขาพนมสวาย อาเภอเมือง สุรินทร์ และนอกเหนือจากปราสาทหินแล้ว ก็ยังมีปรากฏร่องรอยเมืองโบราณในเขตอาเภอเมือง สรุ ินทร์ คอื กาแพงเมืองสุรนิ ทรแ์ ละคูเมอื ง ทั้งชน้ั นอกและช้ันใน อาเภอศีขรภมู ิ จานวน 3 ปราสาท ประกอบด้วย (1) ปราสาทชา่ งปี่ ตาบลชา่ งปี่ (2) ปราสาท ศีขรภมู ิ หรือปราสาทบ้านระแรง ตาบลระแรง และ (3) ปราสาทบา้ นอนันตห์ รือปราสาทอานาร์ ตาบล ยาง อาเภอบัวเชด จานวน 1 ปราสาท คือ ปราสาทตามอยหรือตามอญ ตาบลบัวเชด และอีก 1 ภู คือ ภูศาลา ซง่ึ ต้ังอยู่ตาบลบัวเชดเหมอื นกัน อาเภอท่าตูม จานวน 2 ปราสาท ประกอบด้วย (1) ปราสาทบ้านบัลลังก์ ตาบลท่าตูม (2) ปราสาทนางบวั ตมู อาเภอทา่ ตูม และมแี หล่งโบราณคดอี กี 1 แหง่ คือ โนนแทน่ ตาบลโพนครก 19 สุพร ประเสรฐิ ราชกิจ, อา้ งแล้ว, หนา้ 83.

335 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 อาเภอลาดวน มีจานวน 3 ปราสาท คือ (1) ปราสาทบ้านตะเปรยี งเตียหรือปราสาทระเบียง เตีย ตาบลตระเปียงเตีย (2) ปราสาทบ้านกระดูก ตาบลลาดวน และ (3) ปราสาทบ้านลาดวน ตาบล ลาดวน อาเภอพนมดงรกั มีจานวน 3 ปราสาท คือ (1) ปราสาทตาเหมือน ตาบลปักได (2) ปราสาท ตาเหมอื นโต๊จ ตาบลปกั ได และ (3) ปราสาทตาเหมือนธม อาเภอพนมดงรักอาเภอกาบเชิง จานวน 2 ปราสาท คือ (1) ปราสาทเบง็ ตาบลปราสาทเบง (2) ปราสาทหมอนเจรญิ ตาบลกาบเชิง อาเภอเขวาสินรินทร์ มีจานวน 2 ปราสาท คือ (1) ปราสาทแก้ว ตาบลบ้านแร่ (2) ปราสาท ทอง ตาบลตากูก อาเภอสาโรงทาบ มีจานวน 1 ปราสาท คอื ปราสาทหมนื่ ศรนี ้อย ตาบลหม่นื ศรี อาเภอจอมพระ มีจานวน 1 ปราสาท คอื ปราสาทจอมพระ ตาบลจอมพระ อาเภอสนม มจี านวน 1 ปราสาท คือ ปราสาทบ้านสนม ตาบลสนม อนึ่ง จากจากลุ่มปราสาทขอมโบราณแล้ว ก็ยังมีปรากฏแหล่งโบราณคดีที่มีลักษณะเป็น ปรางค์ ในเขตอาเภอรัตนบุรี อีก 2 แห่ง คือ (1) ปรางวัดโพธ์ิศรีธาตุ ตาบลธาตุ (2) ปรางค์วัดบ้าน หนองหิน ตาบลแรด และอีก 1 โบราณสถาน คอื โบราณสถานวดั ปา่ ดงนา้ คา ตาบลเชดิ 4.พุทธศลิ ปกรรมท่มี ปี รากฏในปราสาทขอมจังหวัดสุรินทร์ 4.1 สถาปตั ยกรรม จากหลักฐานทางโบราณคดีทั้งหมดที่มีปรากฏ พบว่าปราสาทที่เป็นพุทธสถานของพระพุทธ ศาสนา ในนิกายมหายาน แบบวัชรยาน ดังมีหลักฐานปรากฏใน “ในจารึกของพระเจ้าชัยวรมันท่ี 7 (ซึ่งได้) กล่าวถึงพระปณิธานในการสถาปนาอโรคยาศาลหรือสถานพยาบาลในปีมหาศักราช 1108 (พ.ศ.1729) จานวน 102 แหง่ ทกุ ๆ วษิ ัย (เมอื ง) ทว่ั พระราชอาณาจักร”20 (1) อโรคยาศาล: จากหลกั ฐานจารกึ ปราสาทตาพรหมของพระเจ้าชัยวรมนั ที่ 7 ได้ระบไุ ว้ว่า “อโรคยาศาลจานวน 18 แห่งปรากฏจารึกที่มีข้อความคล้ายคลึงกันหมดทุกแห่ง โดยพบในประเทศ ไทยจานวน 7 หลัก และอโรคยาศาลที่ 17 แห่ง โดยพบในดินแดนประเทศไทย มีความคล้ายคลึงกัน ทางรูปแบบสถาปัตยกรรม”21 ซ่ึงการก่อสร้าง“อโรคยาศาล (นั้นจะ) ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ (1) สถานพยาบาล และ (2) สุตตาลัย (ศาสนสถานประจาอโรคยศาลหรือปราสาทศิลา) อันเป็นที่ ประดิษฐาน “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสุต” หรือพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นครูของแพทย์ที่มีแสง 20 อษั ฎางค์ ชมด,ี อา้ งแล้ว, หน้า 123. 21 จารุวรรณ พ่งึ เทียร, อา้ งแล้ว, หน้า 114.

336 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 ประภามณฑลประดุจด่ังแสงแก้วไพฑูรย์”22 ในส่วนของการจัดการสถานพยาบาลหรือโรคยาศาลนั้น จารุวรรณ พ่งึ เทียร ไดร้ ะบไุ วว้ ่า “อโรคยาศาลขนาดใหญน่ ้ันมีเจา้ หนา้ ทค่ี อยให้บรกิ ารทัง้ หมด 200 คน ขนาดเล็กมีเจ้าหน้าที่ 50 คน และพระองค์จะทรงบริจาคยารักษาโรคแก่อโรคยาศาลเหล่าน้ีปีละ 3 ครั้ง”23 และ“ในปัจจุบัน เฉพาะในดินแดนภาคอีสานของประเทศไทย พบสุคตาลัยที่เป็นศาสนสถาน ประจาอโรคยาศาลจานวนทัง้ ส้นิ 30 แห่ง ซง่ึ เกอื บราวหน่ึงในสามของจานวน อโรคยาศาลท้ังหมด ท้งั ยังพบศิลาจารึกอโรคยาศาลอีก 12 หลกั ”24 (2) สตุ ตาลยั : สาหรับในพน้ื ทจี่ งั หวดั สุรินทร์ ไดม้ กี ารสารวจพบสุคตาลัย จานวน 5 แหง่ คือ (1) ปราสาทบ้านปราสาท บา้ นถนน ตาบลกระเทียม อาเภอสังขะ (2) ปราสาทชา่ งป่ี บา้ นช่างปี่ ตาบล ช่างปี่ อาเภอศีขรภูมิ (3) ปราสาทจอมพระ บ้านจอมพระ ตาบลจอมพระ อาเภอจอมพระ (4) ปราสาทบ้านเฉนียง บ้านเฉนียง ตาบลบ้านเฉนียง อาเภอเมืองสุรินทร์ และ (5) ปราสาทตาเมือนตู๊จ บา้ นหนองคันนา ตาบลตาเมียง อาเภอพนมดงรกั ”25 4.2 ประตมิ ากรรมรูปเคารพ (1) หลักฐานท่ีค้นพบประติมากรรม: จากหลักฐานข้อมูลทางโบราณคดี ที่มีปรากฏในเขต จังหวัดสุรินทร์นั้น “นอกจากนี้ยังพบจารึกในกลุ่มจารึกพระเจ้าชัยวรวันท่ี 7 จานวน 3 หลัก คือ (1) จารึกปราสาท (สร.4) (2) จารึกตาเมือนตู๊จ (สร.1) และ (3) จารึกสุรินทร์ (สร.6)”26 “ซ่ึงในช่วงเวลา ดังกล่าวนี้ได้ปรากฏการสร้างประติมากรรมรูปเคารพเป็นจานวนมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงรูปเคารพใน พระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เช่น พระพุทธรูปปางสมาธิ พระพุทธรูปนาคปรก พระวัชรสัตว์ พระ โพธิสัตว์วัชระปาณี พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นต้น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 ปราสาทหลัก คือ ปราสาทตาเหมือน และปราสาทตาเหมือนตู๊จ ซึ่งจากการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีนั้นได้“พบ ศิลาจารึกของพระเจ้าชัยวรวันที่ 7 ประจาอโรคยาศาล 1 หลัก เป็นอักษรขอม ภาษาสันสกฤต กล่าวถึงพระไภษัชยคุรุ พระโพธิสัตว์ผู้ประทานความไม่มีโรคแก่ประชาชนผู้นับถือ” และในปราสาท จอมพระ อาเภอจอมพระ จากการค้นพบหลักฐาน “จากการดาเนนิ การขุดแต่งของกรมศิลปากรเม่ือปี พ.ศ.2530 พบโบราณวัตถุท่ีสาคัญ คือ เศียรพระโพธสิ ัตว์อวโลกเิ ตศวร และพระวชั ระสตั ว์” (2) ความหมายและความสาคญั ของประติมากรรมรูปเคารพ 22 อษั ฎางค์ ชมด,ี อา้ งแลว้ , หน้า 124. 23 จารวุ รรณ พ่งึ เทยี ร, อ้างแลว้ , หนา้ 114. 24 อัษฎางค์ ชมด,ี อา้ งแล้ว, หน้า 126. 25 เรื่องเดยี วกนั . 26 เรื่องเดียวกนั .

337 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 1.พระไภษชั ยคุรุไวฑูรยประภาสุต (Bhaisajyaguru) แนวความคิดท่ีโดดเด่นของพระพุทธศาสนามหายาน ท่ีพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทไม่มี ก็ คือเรื่องแนวความคิดในการนับถือและบูชา พระไภษัชยคุรุ หรือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงใน “ประเทศทิเบต ประเทศจีน และประเทศญ่ีปุน่ ซ่งึ มีความศรัทธาต่อพระองค์ ในฐานะพระพุทธเจ้าการแพทย์ที่มีพุทธานุภาพในการรักษาโรคท้ังในระดับกายภาพและจิต วิญญาณ”27 ดังน้ัน พระนามเต็มๆ คือ “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต พระนามของท่าน หมายถึงพระตถาคตเจ้าผู้เป็นบรมครูแห่งยารักษาโรค ผู้มีรัศมีน้าเงินดังไพฑูรย์ พระนามอ่ืน ๆ ของ ท่านคือ พระไภษัชยคุรุตถาคต พระมหาแพทย์ราชาพุทธเจ้า พระมหาไภษัชยราชพุทธเจ้า”28 แต่ใน มุมมองของนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาชาวตะวันตก ได้ให้ความหมายของพระองค์ว่าเป็น “The Medicine Buddha”29 ซ่ึงแปลว่าพระพุทธเจ้าการแพทย์, หรือ “Healing Buddha”30 แปลว่า พระพุทธเจา้ การแพทย์ และ “Master of Healing31” ซง่ึ แปลว่า อาจารยแ์ ห่งสุขภาพ กม็ ี ดังนั้น โดย ภาพรวมแล้ว แนวคิดเกี่ยวกับพระองค์ก็คือ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าเก่ียวกับการแพทย์ หรือยา โดย มงุ่ ประสงค์เพอื่ ท่จี ะช่วยรักษาสรรพสัตวใ์ หพ้ ้นจากโรค ทั้งโรคทางกายและโรคทางใจกค็ ือความโง่เขลา หรอื โรคกรรม เป็นต้น รูปลักษณ์: พุทธลักษณ์หรือรูปลักษณ์ที่มีการสร้างเป็นประติกรรมรูปเคารพ โดยเฉพาะใน ส่วนของ“การนับถือพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า หรือ “อาจารย์แห่งสุขภาพ” (Master of Healing) โดย ส่วนมากมีรูปเคารพของพระองค์ท่านกับพระอมิตาภะประดิษฐานอยู่เคียงข้างพระศรีศากยมุนีพุทธ เจ้า ซึ่งโดยปกติแล้วการสร้างรูปเคารพของพระองค์ จะทรงถือบาตรแก้วไพฑูรย์ และประดับด้วยหิน รัตนะสีน้าเงินเข้ม โดยมีความเชื่อที่ว่า มีคุณสมบัติของการรักษาสุขภาพ พระวรกายของพระองค์มีก็ ลกั ษณะเหมือนแกว้ ไพฑรู ย์และมีแสงสว่างช่วงโชติ”32 ความแตกตา่ งในข้อปลกี ยอ้ ยของแตล่ ะประเทศ น้ันมีความแตกต่าง ดังที่มีปรากฏ“ในความเชื่อของชาวจีนรูปของพระองค์อยู่ในท่านั่งสมาธิ มีรัตน เจดีย์วางบนพระหตั ถ์ บ้างถอื กระปุกยา”33 แต่ ด.ี คีโอน (D.Keown) บอกวา่ เปน็ “ขวดน้ายาทิพย์”34 27 Damien Keown, Dictionary of Buddhism, (London: Oxford University Press, 2005), p.31. 28 https://th.wikipedia.org/wiki/พระไภษชั ยคุรุ 29 Damien Keown, Ibid. p.31. 30 หน้า 65. 31 Peter Harvey, An Introduction to Buddhism Teachings, History and Practices, (UK: Cambridge University Press, 2005), p. 189. 32 Loc., Cit., p. 189. 33 https://th.wikipedia.org/wiki/พระไภษชั ยครุ ุ 34 Damien Keown, Ibid. p.31.

338 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 แต่ในมิติของความเช่ือของชาวทิเบตนั้น “...พระองค์มีกายสีน้าเงินเข้ม น่ังสมาธิ พระหัตถ์ขวาถือยา สมุนไพร (ทางจีนนิยมเป็นเห็ดหลินจือ) พระหัตถ์ซ้ายถือบาตรวางบนพระเพลา ถือกันว่าเป็น พระพุทธเจ้าท่ีสามารถรักษาโรคทางกาย และโรคทางกรรมของสัตว์โลก...”35 ซ่ึงในส่วนทิศที่ ประดิษฐานพระองค์ ซึ่งงา่ ยสาหรับการสังเกตนัน้ โดยทั่วไป “รปู สักการะพระองค์ มกั ประทบั อยู่เบ้ือง ซ้ายของพระศรีศากยมุนีพุทธะ และเสร็จประทับทางทิศตะวันออก (ตรงกันข้ามกับพระอมิตาภะ) ใน สัทธรรมปุณฑริกสูตร กล่าวถึงนางกุฎทันตีว่าเป็นรากษสีประจาในพระองค์ และทรงมีมหายักษ์ เสนาบดีรักษา 12 ตน คัมภีร์ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตสูตรน้ี พระอาจารย์ธรรมคุปต์ (พ.ศ. 1667-1702) ได้แปลเปน็ ภาษาจนี ”36 ความเช่ือ: ในส่วนของความเชื่อหรือความศรัทธาท่ีต่อพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้านั้น “พระ ไภษัชยคุรุเป็นท่ีนับถืออย่างแพร่หลายในหมู่ชาวพุทธมหายาน แต่ไม่มีนิกายเป็นของตนเองอย่าง พระอมิตาภะ ทรงมีแดนศุทธิไวฑูรย์ที่เหมือนกับแดนสุขาวดีของพระอมิตาภะ นอกจากน้ีในคัมภีร์ ไภษัชยครุ ุไวฑรู ยประภาสปั ตพุทธปรู วปณิธานสตู ร กลา่ วว่า ทรงเปน็ หนึ่งในพระไภษัชยคุรุทงั้ 7 มพี ระ โพธิสัตว์เป็นสาวก 2 องค์ คือ พระสุริยประภาโพธิสัตว์ และพระจันทรประภาโพธิสัตว์ ดังนั้น จึงเป็น ท่ีมาของพระกริ่งปวเรศ ท่ีมีการจัดสร้างขึ้นเฉพาะในราชอาณาจักรไทยแต่เพียงผู้เดียว เพราะพุทธ ลักษณะของพระกริ่งคล้ายคลึงกับพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้ามาก”37ดังน้ัน ความศรัทธาของ พุทธศาสนิกชนชาวมหายานน้นั มีความเชื่อว่า พระองค์เป็น“พระพุทธเจ้าแห่งการรกั ษาพยาบาล ทรง รักษาโรคทุกชนิด รวมทั้งโรคคืออวิชชา ในไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตสูตร ได้กล่าวถึงประณิธาน ของพระองค์ที่ขอให้สรรพสัตว์ปราศจากโรคภัยทั้งปวง”38 และในส่วนของการบูชาพระองค์ โดยเฉพาะ “ในพิธีกรรมการดูแลสุขภาพของชาวจีนนั้น ประชาชนต้องรักษาศีล 8 ข้อตลอด 7 วัน, ถวายทานต่อพระสงฆ์ บูชาพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า และสาธยายพุทธมนต์ของพระองค์ 75 คร้ัง แล้ว สร้างรูปเคารพของพระองค์อีก 7 องค์ แลว้ หลงั จากนน้ั พจิ ารณาใคร่ครวญในองค์พระปฏิมากร ซ่ึงเปน็ รูปเคารพของพระองค์ ด้วยเหตุผลเพื่อต้องการให้มีชีวิตชีวาข้ึนด้วยพลังทางจิตวิญญาณและพลังการ รักษาของพระองค.์ ในประเดน็ นก้ี เ็ พ่ือต้องการให้ผู้ที่ศรัทธาได้มกี าลงั ใจด้วยพลงั ที่เกิดจากจิตศรัทธาที่ มตี อ่ พระองค”์ 39 35 https://th.wikipedia.org/wiki/พระไภษชั ยคุรุ 36 พจนานกุ รมศัพทศ์ าสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน, กรงุ เทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2542, หน้า 51. 37 https://th.wikipedia.org/wiki/พระไภษชั ยคุรุ 38 https://th.wikipedia.org/wiki/พระไภษัชยครุ ุ 39 Peter Harvey, Ibid. p. 189.

339 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 2.พระวัชรสัตว์ (Vajrasattva): พระพุทธเจ้าผู้สูงสุดของนิกายตันตระ หมายถึง พระผู้มี สารัตถะทแี่ กรง่ ดุจวัชระ ซงึ่ ถือวา่ เปน็ หลกั สงู สุดแห่งเอกภาพ คาวา่ “วชั ระ” ในทีน่ ี้ หมายถึง ศูนยตา และคาว่า “สัตตวะ” หมายถึง ความบริสุทธิ์อันปรากฏในสรรพสัตว์และสรรพส่ิงท้ังหลายในจักรวาล ท้ังสองนี้เป็นธรรมชาติแห่งวัชระสัตว์ นอกจากน้ี ยังถือว่า วัชระสัตว์เป็นจิตบริสุทธ์ิปราศจากมลทิน ครอบครองจักรวาล และเป็นแกนของธรรมะทั้งปวงอีกด้วย บางคร้ังทางฝ่ายวัชรยานอธิบายว่า วัชร สตั ว์เปน็ หน่ึงเดียวกบั ธรรมกาย แต่บางครั้งก็อธบิ ายแยกออกมาเปน็ กายท่ี 4 ของพระพุทธเจา้ เรียกว่า สหัสกาย วิวัฒนาการแห่งความคิดในเร่ืองวัชระสัตวน์ ้ีเม่ืออธบิ ายว่า วัชรสัตว์เป็นปฐมพุทธะ หรืออาทิ พุทธะ พระองค์ทรงมีคุณลักษณะแห่งสมาธิ 5 ประการ เชื่อมโยงไปสู่ธยานิพุทธะ 5 พระองค์ ได้แก่ พระไวโรจนะ พระรัตนสัมภาวะ (รัตนเกตุ) พระอมติ าภะ พระอโมฆสทิ ธิ และพระอักโษภยะ ซง่ึ แต่ละ พระองค์ทรงเป็นใหญ่เหนือขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ตามลาดับ ชายาของ พระวัชระสัตว์ คือ พระนางวัชรวาราหี หรือ พระนางปรัชญาปารมิตา ฝ่ายเนปาลนิยมเขียนรูปพระ หัตถ์ประทับบนพระจันทร์เสี้ยวเหนือจินดามณี ซึ่งอยู่ตรงกลางดอกบัวยนยอดเขาพระสุเมรุ อันถือว่า เป็นศูนยก์ ลางของจักรวาล พระวัชระสตั ว์นั้นนยิ มทาเป็นรูปลิงค์ อนั หมายถงึ องค์กาเนิด คือ พระอาทิ พุทธะ ในธิเบต พระวัชรสัตว์มักประทับน่ังบนดอกบัวในท่าขัดสมาธิเพชร แต่บางคร้ังห้อยพระบาท ขวาอย่บู นดอกบวั ทรงมงกฎุ ลักษณะเดียวกับพระธยานโิ พธิสัตว์ พระหัตถ์ขวาทรงวชั ระอยู่ทร่ี ะดับอก และพระหัตถ์ซ้าย ทรงระฆังระดับสะโพก ต่างกับพระธยานิพุทธะองค์อ่ืนตรงท่ีมักจะอยู่ในท่ายับ-ยุม โดยท่ีศักดิของพระองค์จะถือถ้วยท่ีทาจากกะโหลกศีรษะ พระวัชรสัตว์เป็นปางที่บูชาในพิธีเฉพาะ สาหรบั ผทู้ ่เี ข้าพธิ อี ภิเษกในวัชรยานเทา่ นัน้ 40 3.พระโพธิสัตว์วัชระปาณี (Vajrapani): ซ่ึงหากแปลตามศัพท์ สามารถแปลได้ว่า “พระผู้ ถือวัชระ” เป็นเชื่อพระโพธิสัตว์องค์หน่ึง แทนอานาจทั้งมวลของพระพุทธเจ้า ดังเด่นพระอวโลกิเต ศวรเป็นสัญลักษณ์ของมหากรุณา และพระมัญชุศรีเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา ผู้ที่กราบไหว้พระวัชร ปาณี เชื่อว่า พระองค์สามารถขจัดอุปัทวันตรายทั้งปวงได้รูปพระวัชรปาณีบางคร้ังเป็นรูปคู่กับพระ ชายาในท่ายับ-ยมุ เท้าเหยยี บคนอยอู่ นั เป็นสญั ลกั ษณ์ของการเอาชนะอวชิ ชา41 4.พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (Avakokitesvara): พระองค์มีสถานะเป็นพระโพธิสัตว์ ซ่ึงมี ความสาคัญมากทีส่ ุดพระองค์หน่ึงในพระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน เปน็ พระโพธิสัตว์คู่พระบารมีของ พระอมิตาภพุทธเจา้ ทรงประกอบด้วยพระมหาเมตตา และพระมหากรุณาธิคุณคอยช่วยสรรพสัตว์ให้ พ้นจากความทุกข์ยากโดยเฉพาะในการเดินทางหรือเวลาประสบอัคคีภัย เป็นต้น ปางหนึ่งของอวโลกิ เตศวรซ่ึงเป็นสตรี ได้แก่ เจ้าแม่กวนอิม เป็นพระโพธิสัตวท์ ่ีพุทธศาสนิกชนในเอเชียตะวันออก คือ จีน 40 พจนานุกรมศพั ทศ์ าสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน, อา้ งแลว้ , หน้า 331-332. 41 เร่ืองเดียวกนั , หน้า 331.

340 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 ญ่ีปนุ่ และเกาหลี เคารพยกย่องมาก ในทเิ บตนยิ มบชู าพระนางตารา ซงึ่ เป็นพระชายาของพระอวโลกิ เตศวร และถือองคพ์ ระทะไลลามะท่ี 14 เปน็ อวตารปางหนึ่งของพระโพธสิ ตั ว์องคน์ ดี้ ว้ ย42 5. บทสรุป ดังนั้น จากหลักฐานของวัตถุทางพระพุทธศาสนามหายานท่ีปรากฏในปราสาทขอมเหล่าน้ี เป็นข้อมลู เชงิ ประจักษ์ทางโบราณคดี ซงึ่ เปน็ ข้อมลู ทส่ี ามารถระบุไดว้ า่ ในเขตพน้ื ที่ของจังหวัดสุรินทร์ ได้เคยเปน็ พ้ืนที่ ซึง่ มพี ระพทุ ธศาสนามหายาน แบบวัชรยาน ได้เผยแผ่เขา้ มาก่อนพระพุทธศาสนาเถร วาท ซึ่งพระพุทธศาสนามหายาน แบบวัชรยานนี้มีอิทธิพลต่อความเชื่อและฝ่ังรากลึกในจิตใจของ ประชาชนในเขตพื้นท่ีอย่างมาก กระท่ังมีพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาอย่างมั่นคงต่อพระรัตนตรัย และได้สร้างศาสนวัตถุ และประติมากรรมทางด้านพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นพุทธบูชาและได้ประกาศ พลังศรัทธาท่ีมีต่อหลักธรรมคาส่ังสอนของพุทธศาสิกชนในเขตพ้ืนท่ีจังหวัดสุรินทร์ ด้วยการสร้าง ปราสาทเพ่ือน้อมถวายเป็นพุทธบูชา และสร้างศาสนสถาน ประติกรรมรูปเคารพ ดังที่มีการพบภาพ แกะสลักของพระไภษัชยคุรุ พระโพธิสัตว์อวโกลิเตศวร พระวัชรสัตว์ หรือลวดลายของปราสาทท่ี ปรากฏอยู่ท่ีหน้าบัน ทับหลัง กรอบประตู ฯลฯ ล้วนแต่แสดงถึงคติความเช่ือและอิทธิพลของ พระพุทธศาสนานิกายมหายานท่ีมีอิทธิพลในเขตพื้นท่ีจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งหลักฐานทางพุทธศิลปกรรม เหล่าน้ีย่อมแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรขอมโบราณท่ีมีหลักฐานด้านโบราณคดีมาต้ังแต่ สมัยอาณาจักรเจนละ ซึ่งมีอิทธิพลในพ้ืนที่ของอีสานใต้ โดยเฉพาะเมืองสุรินทร์มากกว่า 1,000ปี รวมท้ังการสร้างสถาปัตยกรรม และประติมากรรมรูปเคารพอันเนื่องด้วยพุทธศิลป์น้ีก็เพ่ือเกื้อกูลแก่ คนทั่วไป อันเป็นการบาเพ็ญบารมีแบบพระโพธิสัตว์ ตามแบบคติความเช่ือของพระพุทธศาสนา มหายาน ในเขตพ้ืนทขี่ องจงั หวัดสุรินทร์ และใกล้เคยี ง ซ่ึงยังทรงคุณค่า และมอี ทิ ธิพลต่อคติความเช่ือ และการดาเนินชวี ิตของประชาชน เอกสารอา้ งอิง จารุวรรณ พ่ึงเทียร, พุทธศิลป์, พิมพ์ครั้งท่ี 3, กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, 2555. เชษฐ์ ติงสัญชล,ี ประวัติศาสตร์ศลิ ปะ อินเดยี และเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้, พมิ พ์คร้งั ท่ี 3, นนทบรุ ี: มิวเซยี ม เพรส. ภภพพล จนั ทร์วฒั นกลุ , 30 ปราสาทขอมในเมอื งพระนคร, นนทบรุ ี: เมืองโบราณ, 2560. 42 เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้า 43.

341 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 สันติ เล็กสขุ ุม, ประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะไทย, กรุงเทพฯ: ด่านสทุ ธาการพมิ พ,์ 2547. สมเกยี รติ โลเ่ พชรตั น,์ พระพุทธรปู ศิลปะสมยั อยุธยา ประวัติศาสตร์ชนชาติไทยกับปฎมิ ากรรมใน พระพุทธศาสนา, พมิ พ์ครัง้ ท่ี 3, กรงุ เทพฯ: อมรินทร์พริน้ ติ้งพบั ลชิ ช่งิ จากดั (มหาชน), 2549. สุพร ประเสริฐราชกจิ , รวมประวตั แิ ละสญั ลักษณ์ 76 จังหวดั , พิมพ์ครงั้ ที่ 3, กรุงเทพฯ: รวมสาส์น (1977) จากดั , 2537. บรรณ สวันตรัจฉ์, พงษาวดารเมืองสุรินทร์, พิมพ์คร้ังท่ี 3, สุรินทร์: สานักงานปลัดกระทรวง วัฒนธรรม, 2553. พจนานุกรมศพั ทศ์ าสนาสากล องั กฤษ-ไทย ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน, กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน , 2542. Damien Keown, Dictionary of Buddhism, London: Oxford University Press, 2005, p.31. Peter Harvey, An Introduction to Buddhism Teachings, History and Practices, UK: Cambridge University Press, 2005. https://th.wikipedia.org/wiki/พระไภษัชยครุ ุ.

204 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 การศกึ ษาวิเคราะหค์ ุณคา่ การเข้าอยปู่ ริวาสกรรมของพระสงฆใ์ นจงั หวัดศรสี ะเกษ An Analytical Study of Values of Parivāsakamma of Buddhist Monks in Sisaket Province พระอภสิ ทิ ธ์ิอภิสิทฺธิโก (อ่อนคำ)1 บทคัดย่อ วิทยำนิพนธ์น้ีมีจุดประสงค์เพ่ือ ๑) ศึกษำพิธีกรรมกำรอยู่ปริวำสในพระไตรปิฎก ๒)ศึกษำ พิธีกรรมกำรอยู่ปริวำสกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษ ๓) วิเครำะห์คุณค่ำของกำรเข้ำอยู่ ปริวำสกรรมของพระสงฆ์ในจงั หวดั ศรีสะเกษ ผลการศึกษาพบวา่ พิธีกรรมการอยู่ปริวาสกรรมในพระไตรปิฎกคำว่ำ ปริวำส นี้มีมำแต่สมัยพุทธกำล เป็นช่ือ ของสังฆกรรมประเภทหน่ึง ที่สงฆ์จะพึงกระทำเพื่อกำรอยู่ชดใช้ เรียกสำมัญว่ำ “กำรอยู่กรรม” เรียก รวมกันวำ่ “ปรวิ ำสกรรม” เปน็ ระเบียบปฏบิ ัติสำหรบั ภิกษทุ ี่ต้องอำบัติ \"สังฆำทิเสส\" แล้วปกปดิ ไว้ ทั้ง ที่เกิดโดยควำมตั้งใจหรือไม่ได้ต้ังใจ และอำจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตำม จึงต้องประพฤติเพ่ือเป็นกำร ลงโทษตัวเองให้ครบเท่ำกับจำนวนวันที่ปกปิดอำบัติไว้ปริวำสกรรม ในพระพุทธศำสนำ ใช้กระทำ สำหรับคน ๒ จำพวก จำพวกท่ี ๑ ได้แก่พระภิกษุที่ต้องสงั ฆำทิเสส เพื่อกำรออกจำกอำบัติสังฆำทเิ สส ซง่ึ เปน็ อำบตั ิหนักดงั กลำ่ ว จำพวกที่ ๒ ไดแ้ ก่ คฤหสั ถ์ทเ่ี คยบวชหรอื นบั ถอื ศำสนำอืน่ มำกอ่ น พิธีกรรมการอยู่ปริวาสกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษ กำรอยู่ปริวำสกรรมของ พระสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษท่ผี ู้วจิ ัยได้ศึกษำมี ๔ แหง่ คือ ๑) วดั ไตรรำษฎร์สำมัคคี ตำบลโพธ์กิ ระสังข์ อำเภอขุนหำญ จังหวัดศรีสะเกษ๒) วัดอุทยำนธรรมดงยำง ตำบลคลีกล้ิง อำเภอศิลำลำด จังหวัดศรี สะเกษ๓) วัดสำโรงพลัน ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีษะเกษ๔) วัดป่ำบ้ำนพะเยียว ตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ จำกกำรท่ีผู้วิจัยได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลโดยกำรเข้ำร่วมอยู่ ปรวิ ำสกรรม สมั ภำษณเ์ จ้ำสำนกั ท่ีจดั ปริวำสกรรม อำจำรย์กรรมและพระสงฆ์ทเ่ี ข้ำปริวำสกรรมตลอด ถึงอุบำสกอุบำสิกำที่เข้ำร่วมปฏิบัติธรรม สรุปได้ว่ำกำรจัดปริวำสกรรมของวัดท้ัง ๔ แห่งน้ันเป็นกำร จัดมำอย่ำงต่อเน่ืองมีจุดประสงค์เพื่อเปิดโอกำสให้พระสงฆ์ได้ชำระศีลของตนให้บริสุทธิ์ เป็นกำรสืบ ต่ออำยุพระพุทธศำสนำและเปิดโอกำสให้ชำวพุทธได้ร่วมทำบุญกับพระสงฆ์ด้วยกำรใหท้ ำน รักษำศีล และเจรญิ ภำวนำ วิเคราะห์คุณค่าของการเข้าอยู่ปริวาสกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษ จำกำร วิเครำะห์คุณค่ำของกำรเข้ำอยู่ปริวำสกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษพบว่ำปริวำสกรรมมี 1นิสิตหลกั สตู รพทุ ธศำสตรม์ หำบณั ฑิต สำขำวิชำพระพทุ ธศำสนำ มหำวทิ ยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำช วิทยำลยั วทิ ยำเขตสุรนิ ทร์

205 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 คุณค่ำในด้ำนต่ำงๆ ดังนี้ ด้ำนวัฒนธรรม กำรอยู่ปริวำสกรรม นับว่ำเป็นหน่ึงในประเพณีสิบสองเดือน ของชำวอีสำนท่ีชำวบ้ำนให้ควำมสำคัญเสมอมำ เป็นกำรสืบต่ออำยุพระพุทธศำสนำด้ำนสังคม ประเพณีกำรอยู่ปริวำสกรรม ทำให้ประชำชนได้สร้ำงควำมสำมคั คีใหเ้ กิดขึ้นในหมู่คณะกำรอยรู่ ่วมกนั อยำ่ งมคี วำมสุข ดำ้ นกำรศึกษำ ทำใหเ้ กิดกำรเรียนรใู้ นกำรอยู่ปรวิ ำสกรรม คนรุน่ ใหม่สบื ทอดประเพณี ต่อไป ด้ำนเศรษฐกิจ พอ่ คำ้ แม่ขำยมำมำก กจ็ ะทำให้เศรษฐกิจในหมู่บ้ำนทีจ่ ัดปรวิ ำสดีขน้ึ กำรคำ้ ขำย ในชุมชนมีปริมำณมำกเพื่อกระจำยรำยได้สู่ชุมชน หมู่บ้ำน ในกำรจัดงำนมีกำรใช้จ่ำย ได้จำกศรัทธำ ญำติโยมท่มี ำทำบญุ คาสาคัญ : ปรวิ ำสกรรม,วุฎฐำนวธิ ี,สังฆำทิเสส Abstract The aims of this thesis were: 1) to study the Parivāsakamma ritual in Tripitaka; 2) to study the Parivāsakamma ritual of the Sangha in Sisaket province; 3) to analyze the values of the Parivāsakamma of the Sangha in the province. The results of the study were as follows: The word ‘parivāsakamma’ comes from the era of the Buddha, which is the name Sangha activity that the monk should do as violated discipline indemnity. There is a common name called ‘parivāsakamma living’. It is a regulation that must be performed by the monks punished by the compensation of their Sanghathisesa discipline violation with or without intention. The monk must live in the restricted area equal to the number of the days that they concealed their offences. In this research, there are 4 places in Sikaket province that organize the ritual namely 1) Triratsamakkhi temple in Khun Han district, 2) Udayandhammadongyang temple in SilaLat district, 3) Samrongplan temple in PhraiBueng district, 4) Banphayiow temple in Kukhan district. From the interview of the key respondents, these temples organize the ritual to allow the disciple violated monks to purify their monkhood. The values of the ritual can be explained in various aspects: in term of culture, the ritual is one of the culture that E-san people give an importance as it prolongs the existence of Buddhism; in term of social dimension, the ritual causes harmony and happiness among people in the area; in terms of education, people in the new generation learn the ritual and be able to prolong it; in terms of economy, it supports the income growth of the residents in which the ritual is organized; in other words, when the laypeople come to perform offerings to the monks joining in the ritual, they spend their money in the area. Keywords:parivāsakamma,sanghathisesa ๑.บทนา ปริวำสกรรม กำรประพฤตวิ ุฏฐำนวิธีนจี้ ดั เปน็ สงั ฆกรรมชนิดหน่ึง ในพระพทุ ธศำสนำ เพรำะ เป็นกระบวนกำรและขัน้ ตอนในกำรปฏบิ ัติของพระภิกษุทีต่ ้องอำบัติสังฆำทเิ สส ๑๓ ขอ้ ข้อใดข้อหน่ึง หรือทง้ั หมด ไมว่ ่ำจะมีกำรปกปิดไวห้ รอื ไม่กต็ ำม จะต้องปฏบิ ัติตำมหลักกำรท่ีวำงไวอ้ ย่ำงเคร่งคัดเปน็

206 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 กฏกติกำตำยตวั เฉพำะของคณะสงฆ์ ซงึ่ มีพระพุทธเจำ้ เป็นศำสดำ ทัง้ นเี้ พรำะอำบตั ิสังฆำทเิ สสแม้จะ เป็นครุกำบัติ หรืออำบตั หิ นักกต็ ำม แต่กจ็ ัดอยู่ในจำพวกสเตกจิ ฉำ คืออำบัตทิ ี่พอแก้ไขได้ ดำ้ นควำม เปน็ มำของกำรประพฤตวิ ุฏฐำนวิธนี ั้น มขี นึ้ หลงั จำกที่พระพุทธเจ้ำทรงบัญญัติอำบตั สิ ังฆำทิเสสแกภ่ ิกษุ แลว้ ต่อมำก็มภี กิ ษจุ ำนวนมำกมพี ระอุทำยี เป็นต้น เปน็ อำทิกมั มิกะ คือ เปน็ ผูต้ ้องอำบัติน้ันๆ เม่อื พระ พุทธองค์ทรงทรำบก็ทรงประชมุ สงฆ์ และกำหนดวธิ ปี ฏบิ ตั ิต่ำงๆขึ้นไว้ ดงั ปรำกฏในบทสรปุ ทำ้ ย สกิ ขำบทสังฆำทเิ สสว่ำ “ภิกษุต้องอำบตั ิสังฆำทิเสส สกิ ขำบทใด สกิ ขำบทหนงึ่ แลว้ รูอ้ ยู่ แต่ปกปดิ ไวส้ นิ้ วนั มีประมำณเทำ่ ใด ภกิ ษนุ ้ันต้องอยู่ปริวำสกรรมดว้ ยควำมไม่ปรำรถนำ สนิ้ วนั มีประมำณเท่ำนน้ั ”2 ตง้ั แต่น้นั เปน็ ตน้ มำ คณะสงฆ์ไดใ้ ห้ควำมสำคญั และเอื้อเฟ้ือต่อสงั ฆกรรมประเภทนด้ี ว้ ยดีตลอดมำ ดังมี ตัวอย่ำง คือ พระอุทำยีต้องอำบัตสิ ังฆำทิเสส ชอื่ สญั เจตนิกำ สุกกวิสัฏฐิ คือ กำรเจำะจงทำใหอ้ ำสุจิ เคล่ือน แต่ไม่ได้ปิดบงั ไว้ แล้วเขำ้ ไปหำหมสู่ งฆ์พร้อมทัง้ แจ้งควำมในข้อน้นั ให้ทรำบ ภกิ ษเุ หล่ำน้นั กรำบ ทูลพระผมู้ ีพระภำคเจ้ำ พระพุทธองคจ์ งึ ทรงตรัสวำ่ “ดูก่อนภิกษุทง้ั หลำย เพรำะเหตนุ ั้นแล สงฆ์จงให้ มำนัต ๖ รำตรี เพื่ออำบตั ติ ัวหนึ่ง ชื่อสัญเตนิกำ สกุ กวสิ ัฏฐิ ไม่ได้ปดิ บงั ไวแ้ ก่ภิกษอุ ุทำยี”3 หลงั จำกนนั้ ภิกษุก็ไดม้ กี ำรต้องอำบัตนิ ี้และขออย่ปู ริวำสกรรมอย่ำงมำกมำย กำรอยปู่ ริวำสจงึ เปน็ อุบำยที่ทรงคณุ คำ่ อำจจะสอดคลอ้ งกบั ยุคสมัยปัจจบุ นั พระสงฆ์ มคี วำมร้มู ี กำรศกึ ษำ มีควำมสะดวกสบำย หรอื เป็นข้ำรำชกำรมียศมีตำแหน่ง พอเข้ำมำบวช จึงไมม่ ีใครกล้ำว่ำ กลำ่ วตักเตือน เป็นพระที่มที ิฐิมำก เป็นคนว่ำอยำกสอนอยำก กำรอยู่ปริวำสจงึ เปน็ ทำงออกทดี่ ีของ พระสงฆใ์ นปจั จบุ นั เปน็ อุบำยในกำรฝึกตน เพือ่ ให้ตนเป็นคนวำ่ ง่ำยสอนง่ำย โดยอำศยั ข้อวัตรของกำร อยู่ปริวำส ยอมใหค้ นอ่ืนส่ังสอนหรือลงโทษว่ำกลำ่ วตักเตือนได้ เปน็ อุบำยท่ีพระพุทธเจำ้ ทรงวำงไว้ให้ ปฏบิ ัติสำหรบั พระสงฆ์ในอนำคต ซ่งึ ในปจั จุบนั นบั วำ่ เหมำะสมและในภำคอีสำนบำงพนื้ ท่ยี ังมกี ำร อำรำธนำนมิ นต์พระสงฆใ์ ห้เข้ำอยปู่ รวิ ำสกรรม จงึ กลำยเป็นประเพณีท่ีเรยี กว่ำบญุ เดือนอำ้ ยหรอื บุญ เขำ้ กรรม เดิมทปี ระชำชนในภำคอสี ำนซง่ึ จงั หวัดศรีสะเกษก็เคยมีกำรนบั ถือผีมำก่อนซ่ึงไดร้ ับเอำลทั ธิ พรำหมณ์ด้ำนพธิ ีกรรมตำ่ งๆมำปฏบิ ัติ ต่อมำเมือ่ พระพทุ ธศำสนำเผยแผ่เขำ้ มำครูบำอำจำรย์ผู้มีปัญญำ ก็นำเหตุกำรณ์ที่เกิดขึน้ ในพระพุทธศำสนำประยุกต์เปน็ ประเพณที ีป่ ระชำชนในภำคอีสำนนับถือ ศำสนำพทุ ธและปฏบิ ัติกันสืบมำในโอกำสตำ่ งๆ ทง้ั สบิ สองเดือนของทุกปี เปน็ กำรผสมผสำนพธิ ีกรรมท่ี เก่ยี วกบั เรื่องผีและพธิ กี รรมทำงกำรเกษตร เขำ้ กบั พิธีกรรมทำงพระพุทธศำสนำ นักปรำชญโ์ บรำณได้ วำงฮีตสบิ สองทม่ี ำจำกมลู เหตุทำงพระพุทธศำสนำไวด้ ังนี้ เดอื นอ้ำย บญุ เขำ้ กรรม ตรงกบั เดือน ธันวำคม มูลเหตแุ หง่ กำรกระทำ ถ้ำภิกษตุ ้องอำบตั ิแลว้ จะเปน็ อำบัติเบำหรือหนัก เม่ือไม่แสดงหรอื ไม่ กำรอยู่ปริวำสกรรมเป็นสังฆกรรมที่มีควำมสลับซับซ้อนมำก ทั้งด้ำนระยะเวลำ พิธีกรรม และสังฆกรรม สังฆกรรมถือวำ่ เป็นกิจของคณะสงฆ์ท่ีพงึ จะกระทำร่วมกัน ซ่งึ ไมน่ ้อยกวำ่ ๒๐ รูป จนมี 2 ว.ิ มหำ. (ไทย) ๑/๔๔๒/๔๗๑ 3 ว.ิ จ.ู (ไทย) ๖/๙๗/๑๙๒

207 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 ข้อกำหนดไว้ว่ำ ในสีมำ(โบสถ์)แห่งหนึ่ง จะต้องบรรจุภิกษุได้ ๒๐ รูปขึ้นไป ข้อกำหนดนี้มีไว้เพ่ือสังฆ กรรมชนิดน้ีน่ันเอง และ สังฆกรรมทุกชนิดถือว่ำเป็นกิจของคณะสงฆ์ท่ีจะกระทำร่วมกัน จะละเลย มิได้ แม้แต่เพียงเล็กน้อย อีกอย่ำง กำรอยู่ปริวำสกรรมเป็นเร่ืองที่เก่ียวกับวินัยของสงฆ์ ซึ่งถือว่ำเป็น รำกแก้วของพระพุทธศำสนำ คือ เป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ ดังพุทธดำรัสท่ีวำ่ “ธรรมและวินัยท่ีเรำแสดงแลว้ บัญญัตแิ ล้วแก่เธอทั้งหลำย หลังจำกเรำล่วงลับไป ก็จะเป็นศำสดำของ เธอทั้งหลำย”4 ดังนั้นพระวินัยก็เปรียบเหมือนตัวแทนของพระศำสดำและคำพูดของพระอรหันต์ ๕๐๐ องคท์ ี่กลำ่ วกับพระมหำกสั สปะในครำวทำปฐมสังคำยนำว่ำ “ข้ำแต่มหำกสั สปะผเู้ จรญิ พระวนิ ัย เป็นอำยุของพระพุทธศำสนำ ถ้ำพระวินัยดำรงอยู่ พระพุทธศำสนำก็ช่ือว่ำ ดำรงอยู่เช่นกัน ”5 นอกจำกนั้น กำรอยู่ปริวำสกรรมยังถือเป็นข้อบังคับ เม่ือพิจำรณำให้ดีจะเห็นได้ว่ำมีควำมเหมำะสม โดยเฉพำะพระบวชใหม่ในปัจจบุ นั มจี ำนวนไม่น้อยท่ไี มไ่ ด้บวชดว้ ยศรัทธำ จงึ เป็นคนวำ่ ยำกสอนอยำก ไม่ยอมรับในคำสอนของอำจำรย์ทำให้เกิดปัญหำต่ำงๆมำกมำย ซึ่งเห็นได้จำกข่ำวสำรในปัจจุบัน งำน ปรวิ ำสกรรมจึงเปน็ ทำงออกที่ดีสำหรบั กำรฝึกอบรมพระเหล่ำน้ี ให้รจู้ กั ขอ้ วตั รกำรปฏิบัติ กำรน่งั สมำธิ กำรภำวนำ กำรเดนิ จงกรม ซงึ่ ทกุ งำนปริวำสจะมีอำจำรย์คอยสั่งสอน ควำมสำคัญของปัญหำท่ีต้องกำรวิจัยคือ ในปัจจุบันน้ีมีหลำยสำนักที่จัดงำนปริวำสกรรม แต่ ละสำนักก็ยึดรูปแบบท่ีตนเคยเห็นมำ ทำให้เกิดกำรถกเถียงกันในเรื่องข้อวัตรและกำรปฏิบัติ หรือ แมแ้ ตต่ ัวสงั ฆกรรมเอง จงึ ยำกที่จะหำข้อยุติได้ และท่ีสำคญั ที่สดุ กค็ ือ กำรไมร่ กั ษำพุทธประสงคด์ ่ังเดิม ของพระพุทธองค์ที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว โอกำสท่ีจะทำตนให้บริสุทธิ์และดำรงไว้ซ่ึงสมณะวิสัย สำรวม ระวงั ตอ่ ไป ฝำ่ ยคณะสงฆ์ทเี่ ป็นปกตัตภิกษุ หรือพระอำจำรย์กรรมกต็ ้องคอยสงเครำะห์เพื่อนบรรพชิต ด้วยกันทำงสังฆกรรม ด้วยควำมเมตตำธรรม มิใช่เพื่อผลประโยชน์อย่ำงอ่ืนใด ดังคำตรัสของพระผู้มี พระภำคเจำ้ ท่ีรบั สง่ั กับภิกษุเกย่ี วกบั เร่ืองของพระฉันนะ ซ่งึ เปน็ ภิกษุท่ีว่ำยำกสอนยำก“ท่ำนอยำ่ ทำตัว ให้เป็นคนท่ีว่ำกล่ำวตักเตือนไม่ได้ จงทำตัวให้เป็นคนท่ีเขำว่ำกล่ำวตักเตือนได้แม้ท่ำนก็จงว่ำกล่ำว ตักเตือนภิกษุทั้งหลำยโดยชอบธรรม แม้ภิกษุท้ังหลำยก็จะว่ำกล่ำวตักเตือนท่ำนโดยชอบธรรม เพรำะว่ำบริษัทของพระผู้มีพระภำคเจริญแล้วด้วยอำกำรอย่ำงนี้”6พระพุทธองค์ทรงเปิดโอกำสให้ว่ำ กล่ำวตักเตือนกันและกันและด้วยกำรช่วยเหลือกันและกันให้ออกจำกอำบัติ คำกล่ำวน้ีแสดงให้เห็น ควำมจรงิ ใจ กำรสงค์เครำะห์ซง่ึ กนั และกนั เปน็ เคร่ืองหมำยของควำมเจริญ นกั ปรำชญโ์ บรำณได้วำง ฮีตสิบสองที่มำจำกมูลเหตุทำงพระพุทธศำสนำไว้ดังน้ี เดือนอ้ำย บุญเข้ำกรรม ตรงกับเดือน ธันวำคม มูลเหตุแห่งกำรกระทำ ถ้ำภิกษุต้องอำบัติแลว้ จะเป็นอำบัตเิ บำหรอื หนกั เม่ือไม่แสดงหรือไม่ อยู่กรรมท่ำนว่ำบำปกรรม เป็นบำปกรรมติดตัวไปหลำยภพหลำยชำติ เว้นแต่ถ้ำเข้ำปริวำสกรรมแล้ว จึงจะออกจำกอำบัติได้ อย่ำงเช่นเรื่องเลำ่ ในธรรมบทอรรถกถำ ท่ีมีภิกษุต้องอำบัติแล้วไม่ได้แสดงตำย ไปแล้วบังเกิดเป็นนำครำชช่ือเอรกปัตตะ ดงั นนั้ โบรำณจึงถือเปน็ มูลเหตแุ หง่ พธิ ีบุญเขำ้ กรรมสืบมำถึง กับกำหนดปีหนง่ึ ๆ มีเดือนหนึ่งไว้อยู่กรรม เพื่อออกจำกอำบัติเสียครั้งหน่งึ ปัญหำที่พบเห็นในปจั จบุ ัน ซ่ึงก็มีหลำยสำนักที่จัดปริวำสกรรมขึ้นบังหน้ำ แต่เบื้องหลังน้ันมีผลประโยชน์ต่ำงๆแอบแฝงอยู่ 4 ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔. 5 วิ.อ. (ไทย) ๑/๑๓. 6 วิ.มหำ. (ไทย) ๑/๔๒๕/๔๕๕

208 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วิทยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 มำกมำย เช่น ปัจจัย ลำภยศ ช่ือเสียง เป็นต้น และในบำงที่อำจนำปัจจัยที่ได้ไปใช้ในทำงไม่เหมำะสม และในบำงกลุ่มออกตระเวนหำวัดเพื่อจะจัดงำนดังกล่ำว มีกำรตกลงค่ำจ้ำง ในวันกลับมีค่ำพำหนะ ถวำยให้กับทุกรูปเป็นต้น สิ่งเหล่ำน้ีบทบังคุณค่ำท่ีแท้จริงของกำรเข้ำอยู่ปริวำสกรรม กำรศึกษำวิจัย เร่ืองน้ี ผู้วิจัยได้พิจำรณำเห็นว่ำ คุณค่ำกำรอยู่ปริวำสกรรมควรที่จะหำคำตอบให้แก่เพื่อนบรรพชิต กัลยำณมิตรและประชำชนตอ่ ไป ๒. วัตถุประสงคใ์ นการวจิ ัย ๑. เพอื่ ศึกษำพิธกี รรมกำรอยูป่ ริวำสในพระไตรปิฎก ๒. เพื่อศกึ ษำพิธีกรรมกำรอย่ปู รวิ ำสกรรมของพระสงฆ์ในจงั หวัดศรสี ะเกษ ๓. วิเครำะห์คณุ คำ่ ของกำรเข้ำอยู่ปริวำสกรรมของพระสงฆใ์ นจังหวดั ศรสี ะเกษ ๓. วธิ ดี าเนนิ การวิจยั กำรวิจัยเร่ือง “กำรศึกษำวิเครำะห์คุณค่ำกำรเขำ้ อย่ปู ริวำสกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดศรีสะ เกษ” เป็นกำรวจิ ยั เชงิ คุณภำพ (Qualitative research) ศกึ ษำวเิ ครำะหค์ ณุ ค่ำกำรเขำ้ อยู่ปริวำสกรรม ของพระสงฆใ์ นจังหวัดศรสี ะเกษ ซึง่ มีลำดับขน้ั ตอนวิธีกำรทำวิจัยดงั น้ี ๑.กลมุ่ ผใู้ หข้ ้อมลู สาคัญ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญในกำรวิจัยคร้ังนี้ประกอบด้วยพระสงฆ์ที่เข้ำอยู่ปริวำสกรรม ซึ่ง ผู้วจิ ัยไดก้ ำหนดพ้ืนในกำรศกึ ษำไว้ ๔ แห่งคอื ๑. วัดไตรราษฎร์สามคั คี ตำบลโพธกิ์ ระสงั ข์ อำเภอขนุ หำญ จงั หวัดศรีสะเกษ สัมภำษณ์ เจ้ำอำวำส ๑ รูป พระสงฆ์ท่ีเข้ำอยู่ปริวำส ๕ รูป พระสงฆ์ท่ีประกอบพิธีสวดสังฆกรรม ๔ รูป อุบำสก อบุ ำสิกำที่รว่ มปฏิบัตธิ รรม ๕ คน ประชำชนทว่ั ไปทีร่ ่วมทำบญุ ๕ คน รวม ๒๐ รูป/คน ๒. วัดอุทยานธรรมดงยาง ตำบลคลกี ล้ิง อำเภอศลิ ำลำด จังหวดั ศรีสะเกษ เจำ้ อำวำส ๑ รูป พระสงฆท์ เี่ ขำ้ อยู่ปริวำส ๕ รูป พระสงฆ์ท่ปี ระกอบพิธสี วดสังฆกรรม ๔ รปู อุบำสก อบุ ำสิกำที่ร่วม ปฏบิ ัติธรรม ๕ คน ประชำชนทวั่ ไปที่รว่ มทำบุญ ๕ คน รวม ๒๐ รูป/คน ๓. วัดสาโรงพลัน ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีษะเกษ เจ้ำอำวำส ๑ รูป พระสงฆ์ที่เข้ำอยู่ปริวำส ๕ รูป พระสงฆ์ที่ประกอบพิธีสวดสังฆกรรม ๔ รูป อุบำสก อุบำสิกำที่ร่วม ปฏบิ ตั ิธรรม ๕ คน ประชำชนท่ัวไปทีร่ ่วมทำบญุ ๕ คน รวม ๒๐ รปู /คน ๔. วัดป่าบ้านพะเยียว ตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เจ้ำอำวำส ๑ รูป พระสงฆ์ท่ีเข้ำอยู่ปริวำส ๕ รูป พระสงฆ์ท่ีประกอบพิธีสวดสังฆกรรม ๔ รูป อุบำสก อุบำสิกำท่ีร่วม ปฏบิ ัติธรรม ๕ คน ประชำชนทั่วไปทีร่ ว่ มทำบุญ ๕ คน รวม ๒๐ รูป/คน รวมสัมภาษณก์ ลุ่มผใู้ ห้ข้อมลู สาคัญทง้ั สิน้ ๘๐ รปู /คน ๒. เคร่อื งมอื ทใี่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นกำรเก็บรวบรวมข้อมูลในกำรวจิ ัยครัง้ น้ีประกอบด้วย ๑. แบบสัมภำษณ์ ๒.กล้องถำ่ ยรูป

209 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 ๓. สมุดจดบันทกึ ๔.เคร่อื งบันทึกเสยี ง ๓. การสร้างแบบสัมภาษณ์ ในกำรสร้ำงแบบสัมภำษณ์น้ัน ผู้วิจัยได้ศึกษำเอกสำรและมีขบวนกำรในกำรสร้ำงแบบ สัมภำษณ์ดงั นี้ ๑. ศึกษำแนวคิด ทฤษฏี เอกสำร ตำรำ งำนวิจัยที่เก่ียวข้องและแบบสัมภำษณ์พร้อม กรอบแนวคิดในกำรวิจัยเกี่ยวกับกำรอยู่ปริวำสกรรมของวัดไตรรำษฎร์สำมัคคี ตำบลโพธ์ิกระสังข์ อำเภอขุนหำญ จังหวัดศรีสะเกษ วัดอุทยำนธรรมดงยำง ตำบลคลีกลิ้ง อำเภอศิลำลำด จังหวัดศรีสะ เกษ วัดสำโรงพลัน ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีษะเกษ วัดป่ำบ้ำนพะเยียว ตำบลใจดี อำเภอขขุ ันธ์ จังหวัดศรสี ะเกษ เพ่อื นำมำใช้เป็นแนวทำงในกำรสร้ำงแบบสัมภำษณ์ ๒. ข้อมูลท่ีได้มำจำกข้ันตอนท่ี ๑ มำเป็นประเด็นคำถำมแบบสัมภำษณ์ แล้วนำเสนอ อำจำรยท์ ีป่ รึกษำเพอื่ พิจำรณำและให้ขอ้ เสนอแนะ ๓. ปรับปรงุ แบบสมั ภำษณต์ ำมขอ้ เสนอแนะของอำจำรย์ท่ีปรกึ ษำ ๔. นำแบบสัมภำษณ์ที่ปรับปรุงแล้วให้ผู้เชี่ยวชำญจำนวน ๓ ท่ำน คือ ผศ.ดร.ทวีศักด์ิ ทองทิพย์ ผศ.บรรจง โสดำดี และพระครูปริยัติวิสุทธิคุณ ผศ.ดร.พิจำรณำควำมเหมำะสมและควำม ถกู ต้องตำมเนื้อหำ ภำษำ และควำมสอดคลอ้ งเกี่ยวกบั ประเด็นคำถำม ๕. เม่ือปรับปรุงแก้ไขแบบสัมภำษณ์ตำมคำแนะนำของผู้เชี่ยวชำญแล้วนำไปเสนอ อำจำรย์ที่ปรกึ ษำเพอ่ื ขอควำมเห็นชอบก่อนนำไปเก็บข้อมูล ๔.การเก็บรวบรวมข้อมลู ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลนน้ั ผูว้ ิจัยไดด้ ำเนินกำรดงั นี้ ๑.นำหนังสือจำกบัณฑิตวิทยำลัย สำขำวิชำพระพุทธศำสนำ มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลง กรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขตสุรินทร์ ถึงเจ้ำอำวำสวัดท่ีจัดเข้ำปริวำสกรรมและบุคคลท่ีเก่ียวข้องตำมที่ กำหนดไว้เพือ่ ขออนญุ ำตเก็บรวบรวมข้อมลู และสัมภำษณ์ ๒.สร้ำงควำมสัมพันธ์กับผู้ให้ข้อมูลหลัก และกลุ่มตัวอย่ำง พบปะพูดคุยเพื่อสร้ำง ควำมคุน้ เคยในกำรสมั ภำษณ์และเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๓. กำหนดนัดหมำยวันเวลำท่ีจะดำเนินกำรสัมภำษณ์ที่แน่นอน เพ่ือให้กลุ่มผู้ให้ข้อมูล เตรียมตัว เตรยี มเอกสำรในกำรสัมภำษณ์และเก็บขอ้ มูล ๔) ดำเนินกำรเก็บรวมรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภำษณ์กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ที่เป็นผู้ให้ และบคุ คลอืน่ ๆ โดยใชว้ ิธกี ำรบันทกึ เทป จดบนั ทึก และกำรสนทนำ กับกลุ่มตัวอย่ำง ๕.การวิเคราะห์ขอ้ มลู ผวู้ จิ ัยทำกำรวิเครำะห์ข้อมลู ที่ไดจ้ ำกกำรสัมภำษณโ์ ดยใช้ กำรแปลควำม กำรตคี วำมและ นำ เสนอข้อมูลโดยกำรพรรณนำวิเครำะห์ (Descriptive Analysis) เพ่ืออธิบำยกำรอยู่ปริวำสกรรม และวิเครำะหค์ ุณค่ำของกำรอยู่ปรวิ ำสกรรมของคณะสงฆ์จงั หวัดศรีสะเกษใน ๓ ประเดน็ ดังน้ี ๑.ควำมเปน็ มำกำรอยู่ปริวำสกรรมของวัดทงั้ ๔ แห่งคอื ๑) วัดไตรรำษฎร์สำมัคคี ตำบลโพธิก์ ระสงั ข์ อำเภอขนุ หำญ จงั หวัดศรสี ะเกษ ๒) วัดอทุ ยำนธรรมดงยำง ตำบลคลกี ลิ้ง อำเภอศิลำลำด จังหวดั ศรีสะเกษ

210 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 ๓) วดั สำโรงพลัน ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบงึ จงั หวดั ศรษี ะเกษ ๔) วัดป่ำบ้ำนพะเยยี ว ตำบลใจดี อำเภอขุขันธ์ จงั หวัดศรีสะเกษ ๒. ปจั จัยแห่งควำมสำเร็จของกำรอย่ปู ริวำสกรรมของวดั ท้ัง ๔ แห่ง ๓. คุณคำ่ ของกำรอยู่ปริวำสกรรมของวัดทง้ั ๔ แหง่ ๔. ผลการวิจยั ๑.พธิ กี รรมอยู่ปริวาสกรรมในพระไตรปิฎก ผลกำรศกึ ษำพบวำ่ กำรอยปู่ รวิ ำสกรรมจัดเป็นสังฆ กรรมทำงพระพุทธศำสนำเพรำะเป็นกระบวนกำรและข้ันตอนในกำรปฏิบัติของภิกษุที่ต้องสังฆำทิเสส ๑๓ ข้อ แม้ข้อใดข้อหนึ่งไม่ว่ำจะปกปิดไว้หรือไม่ก็ตำมจะต้องปฏิบัติตำมหลักกำรที่วำงไว้อย่ำงเคร่งครัด ซ่ึงเป็นกฎกติกำเฉพำะของท้ังน้ีเพรำะอำบัติสังฆำทิเสสแม้จะเป็นครุกำบัติ หรืออำบัติหนักก็ตำม แต่ก็ จัดเปน็ จำพวก สเตกจิ ฉำ คืออำบตั ิที่พอแก้ไขได้ ปริวำสกรรม ในพระพุทธศำสนำ ใช้กระทำสำหรับคน ๒ จำพวก จำพวกท่ี ๑ ได้แก่พระภิกษุ ที่ต้องสังฆำทิเสส เพ่ือกำรออกจำกอำบัติสังฆำทิเสส ซึ่งเป็นอำบัติหนักดังกล่ำว จำพวกท่ี ๒ ได้แก่ คฤหสั ถ์ท่ีเคยบวชหรือนับถือศำสนำอน่ื มำกอ่ น ปริวำสกรรมสำหรับพระภิกษุท่ีต้องอำบัติสังฆำทิเสสประกอบด้วย ๑) อัปปฏิจฉันนปริวำส หมำยถึง ปริวำสสำหรับภิกษุที่ต้องติดอำบัติสังฆำทิเสสแล้วไม่ได้ปกปิดไว้ ๒)ปฏิจฉันนปริวำส หมำยถึง ปริวำสสำหรับอำบัติที่ปิดไว้วันเดียวชื่อสัญเจตนิกำสุกกวิสัฏฐิปิดไว้วันเดียวแล้วบอกภิกษุทั้งหลำยว่ำ “ท่ำนทั้งหลำย กระผมต้องอำบัติ ๑ ตัวช่ือสัญเจตนิกำสุกกวิสัฏฐิ ปิดไว้วันเดียว กระผมจะปฏิบัติ อย่ำงไร”ภิกษุทั้งหลำยจึงนำเรื่องนี้ไปกรำบทูลพระผู้มีพระภำคให้ทรงทรำบ พระผู้มีพระภำครับสั่งว่ำ “ภกิ ษุท้งั หลำย ถำ้ อยำ่ งนั้น สงฆ์จงใหป้ รวิ ำสวันเดียว เพ่ืออำบัติ ๑ ตัวช่ือสญั เจตนิกำสกุ กวิสฏั ฐิ ปดิ ไวว้ ัน เดียวแก่ภิกษุ7 ๓) สุทธันตปริวำส หมำยถึง ปริวำสสำหรับอำบัติหลำยตัว ปิดไว้หลำยครำวต้องอำบัติ สังฆำทิเสสหลำยตัว ภิกษุน้ันไม่รู้ที่สุดอำบัติ ไม่รู้ที่สุดรำตรี ระลึกที่สุดอำบัติไม่ได้ ระลึกท่ีสุดรำตรีไม่ได้ ไม่แน่ใจในท่ีสุดอำบัติ ไม่แน่ใจในท่ีสุดรำตรี จึงบอกแก่ภิกษุทั้งหลำยว่ำ “ท่ำนท้ังหลำยกระผมต้องอำบัติ สังฆำทเิ สสหลำยตวั กระผมไมร่ ู้ทสี่ ดุ อำบัติ ไมร่ ทู้ ีส่ ดุ รำตรี ระลกึ ท่สี ดุ อำบตั ไิ มไ่ ด้ ระลกึ ทส่ี ดุ รำตรไี ม่ได้ ไม่ แน่ใจในที่สุดอำบัติ ไม่แน่ใจในท่ีสุดรำตรีกระผมจะปฏิบัติอย่ำงไร”ภิกษุทั้งหลำยจึงนำเรื่องน้ีไปกรำบทูล พระผู้มีพระภำคให้ทรงทรำบพระผ้มู ีพระภำครบั ส่ัง ว่ำ “ภิกษุท้ังหลำย ถ้ำเช่นนั้น สงฆ์จงให้สุทธันตปริวำสเพื่ออำบัติเหล่ำน้ัน แก่ภิกษุนั้น8 ๔) สโมธำน ปริวำส หมำยถึง สโมธำนปริวำส คือ ปริวำสที่ประมวลอำบัติท่ีต้องแต่ละครำวเข้ำด้วยกัน แล้วอยู่ ประพฤตปิ ริวำสตำมจำนวนรำตรที ่ีปิดไวน้ ำนทส่ี ุด 7วิ.จู. (ไทย) ๖/๑๐๒/๑๙๗. 8 ว.ิ จู. (ไทย) ๖/๑๕๖/๒๕๕.

211 การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 ปริวำสสำหรับคฤหัสถ์ หรือเรียกว่ำติตถิยปริวำสติตถิยปริวำส คือ ผู้ท่ีเคยเป็นเดียรถีย์มีควำม ประสงค์จะบรรพชำและอุปสมบท ในพระพุทธศำสนำจะต้องประพฤติวุฏฐำนวิธี (ปริวำส) ๔ เดือน ปริวำส เรียกว่ำ ติตถิยปริวำสท่ำนจัดเป็น อปฏิจฉันนปริวำสคือให้โกนผม ปลงหนวด นุ่งห่มกำสำยะทำ ผ้ำห่มเฉวียงบ่ำข้ำงหน่ึงไหว้เท้ำภิกษุท้ังหลำยเปล่งวำจำถึงพระรัตนตรัย ๓ จบ แล้วให้ภิกษุรูปหนึ่งสวด ประกำศขอให้สงฆ์ให้ปริวำส(กำรอบรม) ๔ เดือน เม่ือไม่มีผู้ใดคัดค้ำนจึงสำเร็จไปขั้นหน่ึงในระหว่ำง ๔ เดือน ถ้ำประพฤติตนไม่เรียบร้อยไม่เป็นท่ีพอใจ ก็ไม่ควรบวชให้ ถ้ำประพฤติตนเรียบร้อยเป็นท่ีน่ำพอใจ จึงบวชให้ พระผมู้ พี ระภำคได้ประทำนพระพุทธำนุญำตพิเศษแก่พระญำตผิ เู้ กิดในศำกยะสกุล ถ้ำเคยเป็น เดียรถีย์มำก่อนแล้วมำขอบวชพึงอุปสมบทให้ ไม่ต้องประพฤติวุฏฐำนวิธี(ปริวำส) ๔ เดือน พระผู้มีพระ ภำคทรงให้ข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติ “ติตถิยปริวำส”แก่พวกชฎิลบูชำไฟ เพรำะทรงถือว่ำเป็นผู้สั่งสอนศำ สนิกในทำงท่ีเหมำะสมอยู่แล้ว คอื เป็นพวกกรรมวำทีและกริ ิยำพำท ๒. พิธีกรรมอยู่ปริวาสกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษ ผลกำรศึกษำพบว่ำ กำรจัดงำน เข้ำปริวำสกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดศรีเกษส่วนมำกจะจัดหลังจำกออกพรรษำแล้วโดยเฉพำะวัดท่ีจัด งำนเขำ้ ปริวำสกรรมท้ัง ๔ แห่งทผี่ ู้วจิ ัยได้กำหนดเปน็ สถำนทศ่ี ึกษำเก็บข้อมลู โดยผวู้ จิ ยั ไดเ้ ข้ำร่วมงำนเข้ำ ปริวำสกรรมเพ่ือศึกษำและเก็บข้อมูลในสภำพจริง พบว่ำกำรจัดงำนเข้ำปริวำสกรรมถือเป็นงำนใหญ่ของ วดั มกี ำรเตรียมกำรอย่ำงต่อเนื่อง ทัง้ เขยี นโครงกำร ขออนญุ ำตจัดงำนจำกผู้ปกครองสงฆ์ตำมลำดับ กำร ประชุมคณะกรรมกำรท้ังฝ่ำยบรรพชิตและคฤหัสถ์ เพ่ือเตรียมควำมพร้อมและมอบหมำยภำระหน้ำท่ี ให้แก่บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่ร่วมเป็นคณะกรรมกำรในแผนกต่ำงๆ เช่นแผนกสถำนท่ี แผนกต้อนรับ พระสงฆ์และผู้มำร่วมทำบุญ แผนกอำหำรเป็นต้น เมื่อถึงกำหนดวันจัดงำนมีพระสงฆ์มำเข้ำปริวำสกรรม เป็นจำนวนมำกบำงแห่งมีจำนวนพระสงฆ์เป็นพันทั้งพระเข้ำปริวำสกรรมและอำจำรย์กรรม รวมถึงญำติ โยมที่มำร่วมปฏิบัติธรรม กิจกรรมในแต่ละวันของกำรเข้ำปริวำสกรรมน้ัน เป็นไปตำมพระธรรมวินัย กำหนด รวมถึงกำรจัดให้มีกำรเทศน์กำรบรรยำยธรรมแก่พุทธศำสนิกชนท่ีมำร่วมงำน กำรจัดเข้ำปริวำส กรรมของคณะสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษ จึงเป็นกำรจัดงำนที่มีคุณูประกำรต่อคณะสงฆ์ผู้ต้องอำบัต สังฆำทิเสสและเป็นประโยชน์ต่อพุทธศำสนกิ ชนอย่ำงแท้จรงิ ๓. วิเคราะห์คุณค่าของการเข้าอยู่ปริวาสกรรมของพระสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษ ผล กำรศึกษำพบว่ำ จำกกำรที่ผู้วิจัยได้เข้ำร่วมงำนปริวำสกรรมและจำกกำรศึกษำข้อมูลเพ่ือนำมำวิเครำะห์ ให้เห็นคุณค่ำหรือประโยชน์ของกำรเข้ำปริวำสกรรมทำให้สรุปได้ว่ำกำรเข้ำปริวำสกรรมของคณะสงฆ์ จังหวัดศรีสะเกษมีคุณค่ำต่อไปนี้ ๑) คุณค่ำต่อพระสงฆ์ กำรเข้ำปริวำสกรรมมีคุณค่ำต่อพระสงฆ์ผู้ต้อง อำบัติหนักคืออำบัติสังฆำทิเสส ที่จะได้โอกำสในกำรชำระศีลของตนให้บริสุทธ์ิด้วยกำรเข้ำปริวำสกรรม ๒) คุณค่ำต่อสังคม กำรจัดเข้ำปริวำสกรรมของวัดหรือสำนักที่จัดงำนแต่ละครั้งต้องใช้ทุนทรัพย์มำก ทั้ง ทุนท่ีเป็นเงินหรือปัจจัยต่ำงๆ และทุนท่ีเป็นบุคลำกรท้ังฝ่ำยบรรพชิตและคฤหัสถ์ท่ีจะต้องร่วมแรงร่วมใจ กันจัดงำนเพือ่ ให้งำนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทำใหว้ ดั และบำ้ นเกิดควำมสำมัคคีปรองดองกัน ร่วมกนั ทำงำน และร่วมกันแก้ปัญหำท่ีอำจเกิดขึ้น ๓) คุณค่ำด้ำนกำรศึกษำ กำรจัดงำนเข้ำปริวำสกรรมทำให้เกิดกำร เรียนรู้ร่วมกันท้ังเรียนรู้ในด้ำนพระธรรมวินัยและเรียนรู้ในเรื่องของขบวนกำรจัดงำน กำรทำงำนร่วมกัน ระหว่ำงวัดและชุมชน ๔) คุณค่ำด้ำนเศรษฐกิจ กำรจัดงำนเข้ำปริวำสกรรมทำให้เกิดกำรหมุนเวียนของ ระบบเศรษฐกิจ ในงำนเข้ำปริวำสกรรมแต่ละแห่งมีกำรมำต้ังร้ำนจำหน่ำยสินค้ำท่ีจำเป็นเช่นร้ำนขำย

212 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังที่ 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ท่ี 22 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 เครือ่ งอัฐบริขำรของพระสงฆ์ รำ้ นขำยสินค้ำเบด็ เตล็ด ตลอดถึงชุมชนไดน้ ำสินค้ำที่มีในชุมชนมำฝำกขำย แก่ผ้ทู ม่ี ำร่วมงำน มำทำบญุ แต่ละวันดว้ ย ๕. อภปิ รายผล จำกกำรศึกษำกำรจัดงำนเข้ำปริวำสกรรมของคณะสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษ ทำให้ผู้วิจัยได้พบ ข้อมูลในกำรจัดงำน กำรร่วมแรงร่วมใจกันระหว่ำงวัดและชุมชน กำรเอื้อเฟ้ือต่อพระธรรมวินัยของ พระสงฆ์ กำรปฏิบัติตำมหลักพุทธธรรม โดยเฉพำะกำรร่วมปฏิบัติธรรมอยู่ปริวำสกรรม เพื่อเสริมสร้ำง ศีลธรรมจรยิ ธรรมเพ่ิมบุญบำรมีแก่ผู้ใฝ่ธรรม ยอ่ มชำระจิตใจให้บรสิ ุทธ์ิและให้เกิดควำมสนั ตสิ ุขแก่ตนเอง และครอบครัว จำกกำรศกึ ษำมำทั้งหมดสำมำรถนำมำอภปิ รำยผลได้ดังน้ี ปริวำสกรรม มีมำตั้งแต่สมัยพุทธกำลเป็นช่ือของสังฆกรรมประเภทหนึ่งที่สงฆ์จะพึงกระทำ ซึ่ง ในปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลำยในหมู่พระภิกษุสงฆ์ ซ่ึงกำรอยู่ปริวำสเรียกได้อีกอย่ำงหน่ึงว่ำ กำรอยู่ กรรม จึงนิยมเรียกรวมกันว่ำ ปริวำสกรรมเป็นกำรชดเชิญกำรอยู่ใช้ หรือ เรียกสำมัญว่ำ “กำร อยู่กรรม (วุฏฐำนวิธี) คืออยู่ให้ครบ กระบวนกำร ส้ินสุดกรรมวิธีทุกขั้นตอนของกำรอยู่ปริวำส กรรมทั้งนี้ก็ เพ่ือให้ ผู้อยู่ใช้กรรมหรือควำมผิดท่ีได้ล่วงละเมิดพระวินัย หรือต้องอำบัติสังฆำทิเสส ซ่ึงอำจจะล่วงละเมิดโดย ควำมต้งั ใจหรือไม่ได้ต้ังใจหรืออำจล่วงละเมดิ โดยรู้ตวั หรือไม่รู้ตวั ก็ดนี ้ัน ใหพ้ ้นมลทิน หมดจดบรสิ ุทธ์ิไม่มี เหลือเคร่ืองเศร้ำหมองอันจะเป็นอุปสรรคในกำรประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญในทำงจิตของพระภิกษุสงฆ์ ปริวำสกรรมมีเพื่อสำหรับบุคคล ๒ ประเภทคือ ปริวำสกรรม สำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่แล้วใน พระพุทธศำสนำแต่ต้องครุกำบัติ ปรวิ ำสกรรมสำหรับ คฤหัสถ์ หรอื พวกเดียรถีย์ กำรอยู่ปริวำสกรรมของ พระภิกษุท่ีพระองค์ทรงบัติญัตไว้ เพื่อกำรอนุเครำะห์และให้ โอกำสกับภิกษุท่ีต้องอำบัติสังฆำทิเสสกลับ ตัวประพฤติตนเองเสียใหม่แล้วให้สงฆ์สวดรับกับเข้ำ หมู่คณะโดยมีข้อกำหนดและขั้นตอนต่ำงๆมำกมำย และคอ่ นข้ำงยุ่งยำก พระผมู้ ีพระภำคเจ้ำจึงมี เงอื่ นไขกับพระภิกษุผู้อยู่ปริวำสหลำยข้อ คลำ้ ย ๆ เปน็ กำร ลงโทษและให้ลดทิฏฐิ เช่น ไมใ่ ห้กรำบ ไหว้ ไมล่ กุ รบั ในขณะทภี่ ิกษนุ ้นั กำลังอยู่ปรวิ ำส เปน็ ต้น กำรศึกษำ และประพฤติปฏิบัติตำมหลักพุทธธรรมขั้นต้น มีทำน ศีล ย่อมเอำชนะกิเลสอย่ำงหยำบ ซึ่งนำมำ ประโยชนแ์ ละควำมสุขในชวี ติ ท้ัง ทำงกำย ทำงวำจำ และทำงใจเป็นประโยชน์สุขแกต่ นเองและผูอ้ ่ืน กำรจัดงำนเข้ำปริวำสกรรมของคณะสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษเป็นไปตำมพระธรรมวินัยที่ พระพุทธเจ้ำบัญญัติไว้ เป็นกำรอนุเครำะห์ต่อพระสงฆ์ท่ีต้องอำบัติ เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคมและ ประเทศชำติ กำรจัดงำนเข้ำปริวำสกรรมของคณะสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษเป็นกำรอนุรักษ์ รักษำ ประเพณีดัง้ เดิมของชำวพุทธทีม่ ีมำต้ังแตส่ มยั พุทธกำลและเป็นกำรรักษำประเพณีฮิตสิบสองคองสิบสี่ของ ชำวอสี ำนอกี ด้วย คุณค่ำของกำรจัดปริวำสกรรมพบว่ำ สังคมและวัฒนธรรมไทย มีควำมสัมพันธ์กันและกัน ดังกล่ำวแล้ว สงั คมจงึ หมำยรวมถึงวฒั นธรรมด้วย ในทำนองเดยี วกนั วัฒนธรรมก็มักจะหมำยรวมถึงสังคม ด้วย เพรำะทั้งสองมีควำมสัมพันธ์เป็นเน้ือเดียวกัน ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อควำมสำเร็จในกำรพัฒนำท่ี ย่งั ยนื ปัจจัยหนง่ึ คือ คุณภำพของประชำกร ดงั นน้ั กำรพัฒนำคุณภำพบุคคลไมว่ ่ำจะผ่ำนกลวิธีกำรใด เช่น กำรวิจัย กำรปฏิบัติกำรจริง ควรมีเป้ำหมำยอยู่ท่ี กำรที่ทำให้บุคคลมีควำมสำมำรถในกำรจัดกำรกับ ปัญหำท่ีเป็นเหตุแห่งควำมทุกข์ของมนุษย์ท้ังหมดได้ ซ่ึงอำจเร่ิมจำกส่ิงท่ีใกล้ตัวท่ีสุดคือกำรจัดกำร ทุกข์ จำกปัญหำชีวิต โดยใช้หลักกำรและหลักพุทธธรรมของพระพุทธศำสนำเป็นพื้นฐำน กำรศึกษำและ

213 การประชุมวิชาการระดบั ชาติ คร้ังท่ี 1 วทิ ยาลยั สงฆร์ ้อยเอด็ ประจาปี 2562 วนั ที่ 22 กุมภาพนั ธ์ 2562 ประพฤติประปฏิบัติ โดยละเอียดมีควำมเพ่งพินิจด้วยสติปัญญำที่ถูกต้องดีงำมตมหลักพุทธธรรมขั้นสูง ย่อมเอำชนะอวิชชำได้ด้วยควำมเข้ำใจท่ีถูกต้องรู้แจ้งแทงตลอดทั้งสมมติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ เป็น ควำมจริงอันประเสริฐสุด เปน็ ผู้บรรลปุ ระโยชน์สุขแก่ตนเอง สังคม ประเทศชำติ และมวลมนุษยชำติตำม ลำดบั กำรปฏิบัตนิ น้ั แทจ้ รงิ เรยี กวำ่ ถงึ พระนิพพำน ๖. สรปุ และข้อเสนอแนะ จำกกำรศึกษำวิเครำะห์คุณค่ำพิธีกรรมเข้ำปริวำสกรรมของคณะสงฆ์ในจังหวัดศรีสะเกษ ผ้วู ิจัยมขี ้อเสนอแนะในเชิงนโยบำยและขอ้ เสนอแนะในกำรทำวิจยั คร้ังตอ่ ไปดังนี้ ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย คณะสงฆ์ควรมีนโยบำยสนับสนุนส่งเสริมให้มีกำรจัดงำนเข้ำปริวำสกรรมอย่ำงจริงจังและ ต่อเนื่อง เพรำะกำรจดั งำนเข้ำปรวิ ำสกรรมมีประโยชน์ทงั้ ต่อคณะสงฆ์ เปน็ กำรเผยแผพ่ ุทธธรรมและมี ประโยชน์ตอ่ ชมุ ชนและสงั คมในวงกว้ำง ข้อเสนอแนะเพ่ือการทาวจิ ยั ครั้งต่อไป ๑.ควรมีกำรศึกษำเปรียบเทียบถึงปัญหำ อุปสรรคและควำมสำเร็จของกำรจัดงำนเข้ำปริวำส กรรมของคณะสงฆ์ในเขตอีสำนใต้ ๒. ควรมีกำรศึกษำประเด็นกำรจัดงำนเข้ำปริวำสกรรมของคณะสงฆ์ไทยและคณะสงฆ์ใน ต่ำงประเทศทเ่ี ป็นเถรวำทด้วยกัน บรรณานุกรม มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลัย.พระไตรปิฎกภำษำไทย ฉบับมหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั . กรุงเทพมหำนคร : โรงพิมพม์ หำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั , ๒๕๓๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook