Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชุดเกร็งข้อสอบรวม 14 เรื่อง

ชุดเกร็งข้อสอบรวม 14 เรื่อง

Published by lannmbo, 2023-04-16 12:36:47

Description: ข้อสอบรวม 14 เรื่อง

Search

Read the Text Version

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หน้า 1 เนื้อหาหนว่ ยท่ี 1 มาตรฐานและตัวช้ีวัด กลุ่มพชื กลุม่ สตั ว์ และกลุม่ ที่ไมใ่ ชพ่ ชื และสตั ว์ โครงสร้างและลกั ษณะของสง่ิ มีชีวติ ว 1.3 ป.4/1 ระบบนิเวศและโซ่อาหาร ความสมั พันธ์ระหว่างสิ่งมีชวี ติ กับสง่ิ มีชีวติ และความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ว 1.1 ป.5/1-5/4 สง่ิ มชี วี ิตกับสง่ิ ไมม่ ชี ีวิต สง่ิ แวดลอ้ มกับการดารงชวี ติ ของส่ิงมีชวี ติ 1. นักเรียนสงั เกตการบานของดอกไม้ชนดิ หนึ่งพบว่า ดอกไม้จะเร่ิมบานในช่วงเวลาสายของทุกวนั แต่ในวนั ท่ที ้องฟ้ามดื ครม้ึ ดอกไม้จะไมบ่ านในเวลาดังกลา่ ว การตอบสนองของสัตว์ในข้อใด มสี งิ่ เรา้ เหมอื นกบั สถานการณข์ ้างตน้ (ONET’2562) 1. ก้งิ กือม้วนตัวเม่ือถกู สมั ผัส 2. สุนัขกระดกิ หางเมื่อได้ยินเสียงเจ้าของ 3. รมู า่ นตาของแมวหดตวั เลก็ ลงเมอ่ื อยู่ในท่ีสว่าง 4. ปลากัดเพศเมยี ว่ายเขา้ หาเมอ่ื เห็นปลากัดเพศผู้ 2. ผลการศึกษาลักษณะพฤติกรรมการปกป้องลูกของแมไ่ กต่ ัวหน่งึ ตอ่ สถานการณ์ตา่ ง ๆ เป็นดังตาราง สถานการณ์ ผลการสังเกตพฤติกรรมของแมไ่ ก่ แม่ไกเ่ ห็นลกู ไก่และได้ยินเสยี งลกู ไก่รอ้ ง แม่ไก่กางปีกปกปอ้ งลกู แมไ่ ก่ไมเ่ ห็นลูกไก่แตไ่ ด้ยนิ เสยี งลูกไก่ร้อง แมไ่ กก่ างปกี ปกปอ้ งลูก แมไ่ กไ่ ม่เหน็ ลกู ไกแ่ ละไม่ไดย้ ินเสยี งลูกไกร่ อ้ ง แมไ่ กห่ บุ ปีก แม่ไกเ่ ห็นลูกไก่ปลอมที่ไม่สง่ เสยี งรอ้ ง แม่ไกห่ บุ ปีก แมไ่ กก่ างปีกปกป้องลูก แม่ไก่เห็นลกู ไก่ปลอมทสี่ ง่ เสียงร้อง จากข้อมลู พฤตกิ รรมของแมไ่ ก่เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ใด (ONET’2560) 1. ตัวของลูกไก่ 2. ตัวของลกู ไก่ปลอม 3. เสียงร้องของลกู ไก่ 4. การกางปกี ของไก่ 3. สายใยอาหารในป่าแหง่ หนงึ่ เปน็ ดังนี้ (ONET’2556) จากสายใยอาหาร ข้อใดกลา่ วถกู ตอ้ ง 1. งูกนิ อาหารได้หลากหลายเท่ากบั หมาปา่ 2. หมาป่าและงูเปน็ ผ้บู ริโภคลาดบั 3 3. จานวนผู้บรโิ ภคลาดับ 2 มเี ทา่ กับ ผู้บริโภคลาดบั 3 4. ถา้ มีคนลา่ สัตวจ์ ับหมาป่าและยิงนกไปจนหมด กระต่ายและหนูจะเหลืออยจู่ านวนเทา่ กัน 4. ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกลว้ ยไมป้ ่าที่เกาะบนต้นไมใ้ หญ่ มลี กั ษณะเชน่ เดยี วกบั ข้อใด (ONET’2556) 1. รากับสาหร่ายในไลเคนส์ 2. เหาฉลามกบั ฉลาม 3. ต้นหญา้ กบั ต้นขา้ วในนา 4. โพรโทซัวในลาไสข้ องปลวก สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 5. การอย่รู ่วมกันของสงิ่ มีชีวติ สองชนดิ ในแหล่งท่ีอยู่หน่งึ ๆ ถา้ กาหนดให้ สญั ลักษณ์ + เป็นการไดป้ ระโยชนจ์ ากการอยูร่ ว่ มกนั - เปน็ การเสยี ประโยชนจ์ ากการอยรู่ ่วมกนั 0 เป็นการไม่ไดป้ ระโยชน์และไมเ่ สียประโยชนจ์ ากการอยู่ร่วมกัน ถ้าใช้สญั ลกั ษณ์ แสดงความสมั พนั ธข์ อง “พลดู า่ งเกาะต้นมะมว่ ง” พลูดา่ งและต้นมะม่วง มคี วามสมั พนั ธ์ตรงกับสญั ลักษณ์ ข้อใด เรยี งตามลาดบั (ONET’2555) 1. + และ 0 2. 0 และ + 3. + และ - 4. + และ + 6. ในระบบนิเวศ จะมคี วามสมั พันธร์ ะหว่างส่งิ มชี ีวติ กลุ่มต่าง ๆ และมคี วามสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวติ กบั ส่ิงแวดล้อมที่ เกย่ี วข้องกบั แหลง่ ทอ่ี ยู่อาศัย แหลง่ อาหาร และแหลง่ สืบพนั ธุ์ เปน็ ตน้ แบบของความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสงิ่ มชี ีวิตในข้อใดท่ีแตกต่างกนั (ONET’2559) 1. ผึ้งทารงั บนตน้ ไม้ และมดแดงกับต้นมะมว่ ง 2. พยาธิกับคน และแบคทเี รียในลาไสข้ องปลวก 3. ต้นข้าวกบั ตน้ หญา้ ในนา และวัชพชื กบั ต้นถ่วั เหลืองในไร่ 4. นกเอยี้ งกับควาย และรากับสาหร่ายทีอ่ ย่รู ่วมกันเปน็ ไลเคนส์ 7. โซ่อาหารในนาข้าวแห่งหน่ึง เปน็ ดงั นี้ ระหวา่ งฤดูทานา ถ้าชาวนาจบั งใู นนาข้าวแหง่ นี้จนหมด เหตกุ ารณใ์ นขอ้ ใดมโี อกาสเกิดขน้ึ ได้มากที่สดุ (ONET’2560) 1. หนเู พม่ิ จานวนมากขึน้ 2. ตน้ ขา้ วเพ่มิ จานวนมากข้นึ 3. ตน้ ข้าวถูกหนูทาลายนอ้ ยลง 4. นกเคา้ แมวเพิ่มจานวนมากขึน้ 8. การศึกษาจานวนหอยทากในพ้นื ที่ 1 ตารางเมตร จากบรเิ วณท่มี ีอุณหภูมผิ ิวดนิ และความชื้นสมั พัทธ์ของสิ่งแวดลอ้ ม แตกต่างกนั 4 บรเิ วณ ไดผ้ ลดังตาราง บริเวณ อณุ หภูมผิ วิ ดนิ ความชน้ื สมั พทั ธ์ จานวนหอยทากทีพ่ บ (องศาเซลเซยี ส) (ร้อยละ) (ตวั ) 1 25 20 1 2 25 70 50 3 40 20 4 4 40 70 10 จากข้อมูล เม่อื สารวจพ้นื ทบี่ ริเวณหนง่ึ ซง่ึ มีอณุ หภูมผิ วิ ดิน 30 องศาเซลเซียส และมคี วามชื้นสัมพัทธร์ อ้ ยละ 50 พบหอยทากจานวน 20 ตวั ในพื้นที่ 1 ตารางเมตร หากตอ้ งการทาฟาร์มเล้ียงหอยทากในบรเิ วณนี้ ควรปรับสภาพแวดล้อมอย่างไรเพื่อใหจ้ านวนหอยทากเพิ่มขนึ้ (ONET’2561) 1. เพ่ิมอุณหภมู ิ ลดความชนื้ 2. เพิม่ อณุ หภมู ิ เพ่ิมความชน้ื 3. ลดอณุ หภมู ิ ลดความชนื้ 4. ลดอุณหภูมิ เพิม่ ความช้ืน สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หน้า 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 9. ต้นไม้ใหญแ่ ห่งหน่ึงเปน็ ที่อยอู่ าศยั ของสิง่ มชี ีวิต 5 ชนดิ ได้แก่ พืชกาฝาก แมลง ก้ิงกา่ นกกนิ พชื และเหย่ียว ซึง่ ส่ิงมสี ่งิ มีชีวิตเหล่านี้ มีความสมั พันธ์กนั ดังสายใยอาหาร จากข้อมลู ขอ้ ความใดตอ่ ไปนถี้ ูกตอ้ งหรือไม่ (ONET’2561) ใช่ หรอื ไมใ่ ช่ ขอ้ ความ ใช่ / ไมใ่ ช่ ใช่ / ไมใ่ ช่ 9.1 พชื กาฝากเป็นผูผ้ ลิตของสายใยอาหารนี้ 9.2 เมือ่ นกกินพืชถา่ ยมลู บนต้นไม่ใหญจ่ ะช่วยให้พชื กาฝากขยายพนั ธไ์ุ ด้เพ่มิ ข้ึน ใช่ / ไมใ่ ช่ ความสมั พันธ์ระหว่างนกกินพืชกับกาฝากกนิ พืช เรยี กว่า “ภาวะพึง่ อาศัย” 9.3 หากมีนกกนิ แมลงเพ่ิมเข้ามาในสายใยอาหารน้ี จานวนนกกินพืชจะ ไม่เปลย่ี นแปลง 10. แผนผังโซ่อาหาร (มี 2 คาตอบจาก 6 ตัวเลือก) จากแผนผงั โซ่อาหาร ถ้าส่ิงมชี วี ิต C ตายหมด จะมเี หตกุ ารณใ์ ดเกดิ ขึน้ ไดบ้ า้ ง (ONET’2552) 1. สง่ิ มชี วี ิต A มีจานวนเพิม่ ข้นึ 2. สง่ิ มีชวี ิต A มีจานวนเท่าเดิม 3. สง่ิ มีชวี ติ B มีจานวนลดลง 4. ส่ิงมีชีวิต B มีจานวนเพมิ่ ขึ้น 5. สง่ิ มีชีวติ D มีจานวนลดลง 6. สง่ิ มีชวี ติ D มจี านวนเพิ่มขึ้น 11. แผนภาพสายใยอาหาร (มี 2 คาตอบจาก 6 ตวั เลือก) ขอ้ ความทีถ่ กู มี 2 ข้อ คือขอ้ ใด (ONET’2558) 1. ผบู้ รโิ ภคลาดบั 1 ทสี่ าคัญทีส่ ดุ คือกวาง 2. งูเป็นทงั้ ผบู้ รโิ ภคลาดับ 2 และลาดับ 3 3. ผ้บู ริโภคลาดบั 2 มี 2 ชนิด คอื กบ และ งู 4. ผู้บรโิ ภคลาดับ 3 มี 2 ชนดิ คือ งู และ เหยี่ยว 5. ถา้ กระตา่ ยถูกคนจบั ไปกินเป็นอาหารจนหมดจะทาให้เสอื สญู พนั ธ์ุ 6. สายใยอาหารน้ีมผี ู้บรโิ ภคลาดับสดุ ท้าย 2 ชนิด จงึ ประกอบด้วย 2 โซ่อาหาร สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หนา้ 4 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 12. ความสัมพันธร์ ะหว่างสงิ่ มชี วี ิตในระบบนเิ วศ เปน็ ดงั แผนภาพ (ONET’2562) ต้นข้าว แมลง นกเอยี้ ง หนู เหยีย่ ว จากแผนภาพ ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ ง 1. เหยย่ี วกนิ ทัง้ พืชและสัตว์เปน็ อาหาร 2. แมลงและหนู เป็นผู้บรโิ ภคลาดับท่ี 1 3. หากนกเอย้ี งหายไปจากระบบนิเวศนี้ แมลงจะลดจานวนลงดว้ ย 4. หากเกิดโรคระบาดในตน้ ขา้ ว จะส่งผลกระทบตอ่ ผบู้ ริโภคลาดบั ท่ี 1 เทา่ น้นั 13. นกั เรยี นสารวจกลมุ่ สงิ่ มชี ีวติ ท่อี ยู่บนพน้ื หญ้าบริเวณสวนหลังบ้าน และบันทกึ ส่ิงทสี่ ารวจไดไ้ ว้ ดังนี้ “พบหนอนกาลงั กัดกนิ ใบหญา้ ในขณะท่นี กซึง่ ทารงั อยบู่ นตน้ ไทรบินลงมาจบั หนอนกินเป็นอาหาร โดยนกมักจะถูกงูจบั กนิ เปน็ อาหาร” จากผลการสารวจ ข้อใดเขยี นโซอ่ าหารไดถ้ กู ตอ้ ง (ONET’2563) 1. หญา้  นก หนอน 2. หญ้า หนอน นก งู 3. ต้นไทร หนอน  นก 4. ตน้ ไทร หนอน นก งู 14. สายใยอาหารในป่าแหง่ หนึ่งเปน็ ดงั น้ี (ONET’2557) ข้อใดทาใหเ้ กิดผลกระทบต่อสายใยอาหารรนุ แรงท่ีสุด 1. คนไปแผว้ ถางหญา้ ออกจนหมดเพื่อสรา้ งบา้ นจดั สรร 2. กระตา่ ยถูกจับไปขายเป็นสตั ว์เลีย้ ง 3. มนี กอพยพเขา้ มาเพิ่มในฤดูหนาว 4. หนูถกู จับไปเป็นอาหารจนหมด สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หน้า 1 เนื้อหาหน่วยที่ 2 มาตรฐานและตัวช้วี ดั หน้าทข่ี องราก ลาต้น ใบ และดอกของพืชดอก พืชดอกและพชื ไม่มดี อก ว 1.2 ป.4/1 ว 1.3 ป.4/2 1. จากภาพ ถา้ เกิดการปฏิสนธิแลว้ สว่ นประกอบของดอกไม้ หมายเลขใดทเี่ จรญิ เตบิ โตเป็นเมลด็ (ONET’2550) 1. หมายเลข 1 2. หมายเลข 2 3. หมายเลข 3 ภาพส่วนประกอบของดอกไม้ชนดิ หนึ่ง 4. หมายเลข 4 2. เซลล์สืบพนั ธ์เุ พศเมียอยทู่ ีส่ ่วนใด (ONET’2555) 1. A 2. B 3. C 4. D 3. พิจารณาตารางแล้วตอบคาถาม ตารางส่วนประกอบของดอกไมช้ นดิ ต่าง ๆ ดอกไม้ชนดิ ใดเป็นดอกไม่สมบรู ณ์เพศ (ONET’2555, 2556) 1. A และ B 2. B และ C 3. C และ D 4. A และ D 4. เมื่อต้งั สวนขวดน้ีท้งิ ไว้ 24 ชั่วโมง เกิดการเปลีย่ นแปลงของแกส๊ ในขวดอย่างไร (ONET’2553) 1. ปรมิ าณแกส๊ ออกซิเจนในขวดเพ่มิ ข้ึนในตอนเชา้ แตล่ ดลงในตอนบ่าย 2. ปริมาณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ในขวดลดลงในเวลากลางวัน แตเ่ พ่มิ ข้นึ ในเวลากลางคนื 3. แก๊สออกซิเจนในขวดลดลงในเวลากลางวนั แตเ่ พม่ิ ขึ้นในเวลากลางคืน 4. ปริมาณแกส๊ ออกซิเจนและแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดเ์ พิม่ ข้ึนในเวลากลางวนั แต่ลดลงในเวลา กลางคนื สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 5. เดก็ ชายนาวนิ เก็บดอกไม้ 4 ชนิด ชนิดละ 2 ดอกมาศึกษาโดยการผ่าและดึงดสู ่วนประกอบต่าง ๆ ของดอก แล้วบันทกึ ผลการศกึ ษาเปน็ ตาราง จากตาราง ขอ้ ใดสรปุ ถูกตอ้ ง (ปี 2558) 1. ดอกไมท้ ่มี สี ่วนประกอบไมค่ รบส่วน แตส่ มบูรณเ์ พศ คอื A และ B 2. ดอกไมท้ ่มี ีส่วนประกอบครบส่วน และสมบูรณเ์ พศ คือ A และ C 3. ดอกไมท้ มี่ สี ่วนประกอบไมค่ รบส่วน และไม่สมบูรณ์เพศ คอื B และ C 4. ดอกไม้ที่มีส่วนประกอบครบสว่ น แตไ่ ม่สมบูรณ์เพศ คือ C และ D 6. เดก็ ชายนทีสารวจพืชในโรงเรียน แล้วแบ่งพชื เปน็ 3 กลมุ่ ดงั นี้ กลมุ่ ที่ 1 ไดแ้ ก่ หญ้า พทุ ธรักษา กลุ่มท่ี 2 ได้แก่ ทานตะวัน ถว่ั สิลง กลุ่มท่ี 3 ได้แก่ เฟนิ ข้าหลวงหลังลาย มอส เด็กชายนทใี ชล้ กั ษณะอะไรบา้ งในการจาแนกพชื ไดเ้ ปน็ 3 กลุ่ม (ปี 2558, 2559) 1. พชื มีดอกหรอื ไมม่ ีดอก และการมีท่อลาเลยี งหรอื ไม่มที ่อลาเลียง 2. พชื มดี อกหรือไม่มดี อก และการเปน็ พชื ใบเลีย้ งเด่ียวหรอื ใบเล้ยี งคู่ 3. พืชมดี อกหรือไมม่ ีดอก และการมีดอกสมบูรณเ์ พศหรอื ไม่สมบรู ณ์เพศ 4. การเป็นพืชใบเลี้ยงเดย่ี วหรอื ใบเล้ียงคู่ และการมที ่อลาเลียงหรอื ไม่มีท่อลาเลียง 7. วิธกี ารจาแนกพืชเปน็ พวกใบเลย้ี งเดี่ยว และใบเล้ียงคู่ ทีส่ ะดวกรวดเรว็ และแมน่ ยาทส่ี ดุ คือวธิ ีการในข้อใด (ปี 2555) 1. ขุดทง้ั ต้นข้ึนมาจากดินเพือ่ ศึกษาระบบราก 2. นาใบมาศึกษาลักษณะการเรียงตัวของเสน้ ใบ 3. แกะเมลด็ เพื่อดใู บเลยี้ ง และนบั จานวนใบเล้ยี ง 4. เพาะเมล็ดใหง้ อกเปน็ ตน้ กล้าเพ่ือนบั จานวนใบเล้ียง 8. นักเรียนคนหน่งึ เลอื กเก็บตน้ ไม้ 3 ชนดิ จากสวนของโรงเรยี นเพอื่ นาไปประกอบการเรียน เร่ือง การจาแนกกล่มุ พชื ดังรปู พืชใบเลย้ี งคู่ คอื พืชชนดิ ใด (ปี 2556) 1. A 2. A และ B 3. B และ C 4. D สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หนา้ 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 9. นาพชื ชนิดเดยี วกนั 2 ต้น มาจัดชุดการทดลอง ก และ ข จากนน้ั เดด็ ใบพืชสเี ขียวทีม่ ีขนาด และอายเุ ท่ากันจาก การทดลองแต่ละชุด มาทดสอบดว้ ยสารละลายไอโอดีน ได้ผลการทดสอบเป็นดงั ภาพ จากภาพ ผลการทดสอบเกดิ จากการจัดชุดการทดลองตามข้อใด (ONET’2560) 1. ชดุ การทดลอง ก และ ข ไวใ้ นทมี่ ืด แตไ่ ม่ไดร้ ดน้าในชดุ การทดลอง ข 2. ชดุ การทดลอง ก และ ข ไวใ้ นทมี่ แี สง แตไ่ มไ่ ด้รดน้าในชุดการทดลอง ก 3. ชุดการทดลอง ก ไวใ้ นที่มืด ชดุ การทดลอง ข ไวใ้ นทม่ี แี สง และรดน้าท้ังสองชุดการทดลอง 4. ชุดการทดลอง ก ไวใ้ นทีม่ แี สง ชุดการทดลอง ข ไวใ้ นที่มดื และรดน้าท้งั สองชุดการทดลอง 10. ขอ้ มูลแสดงวัฏจกั รชวี ิต ของพืชมดี อก 4 ชนดิ เปน็ ดังนี้ จากขอ้ มูล หากชาวสวนต้องการปลูกพืช เพ่ือเก็บดอกไปขายควรเลือกปลูกพืชชนิดใด เพอ่ื ให้สามารถเกบ็ ดอกได้เร็วท่ีสุด (ONET’2560) 1. ชนดิ ก 2. ชนิด ข 3. ชนดิ ค 4. ชนิด ง 11. พชื ตน้ หนึ่งมดี อกไม่สมบรู ณเ์ พศ โดยดอกเพศผูแ้ ละดอกเพศเมยี อยู่บนต้นเดียวกนั เริ่มมีดอกพร้อมกนั แตใ่ ชร้ ะยะเวลาใน การเจรญิ ไปเป็นดอกท่พี รอ้ มปฏสิ นธิไมเ่ ทา่ กนั ดงั ภาพ หากต้องการใหพ้ ชื ต้นนต้ี ดิ ผลจากการผสมเกสรของดอกในตน้ เดียวกนั นกั เรยี นควรชว่ ยผสมเกสรหลงั การเพาะเมล็ดก่ีวนั (ONET’2561) 1. 21 วัน 2. 35 วนั 3. 41 วนั 4. 50 วัน 12. ถ้าต้องการศึกษาวา่ “พชื เจรญิ เติบโตได้ดใี นดนิ ต่างชนดิ กันหรอื ไม่” ควรออกแบบการทดลองอยา่ งไร(ONET’2552) 1. ปลกู พืช 2 ชนดิ ในดนิ ชนิดเดียวกัน 2. ปลูกพชื ชนดิ เดยี วกนั ในดินต่างชนิดกัน 3. ปลกู พชื ชนดิ เดยี วกันในดินผสมเหมอื นกัน 4. ปลกู พืชชนิดเดยี วกันในดนิ ชนิดเดียวกนั แตใ่ ส่ปุ๋ยต่างกนั สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หน้า 4 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 13. แผนผังแสดงการจัดกลมุ่ พชื 5 ชนิด ออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้ (ONET’2560) มอส ตาลึง กหุ ลาบ พทุ ธรกั ษา ข้าว จากแผนผัง พืชชนดิ ใดต่อไปน้คี วรจดั ไวใ้ นกลุม่ ก กลมุ่ ก กล่มุ ข มอส ตาลงึ กุหลาบ พทุ ธรกั ษา ขา้ ว 1. เฟิน 2. บัว 3. มะลิ 4. ชวนชม 14. ขอ้ มลู แสดงโครงสร้างภายนอกของพืช 4 ชนิด เปน็ ดงั ตาราง โครงสรา้ งภายนอก ชนิดของพืช ราก ลาต้น ใบ จานวนกลบี ผล ดอก (กลบี ) A ✓  B ✓ ✓✓  ✓ C ✓ ✓ D ✓ ✓✓ 3 ✓ ✓✓ 5 ✓✓ 6 ✓ หมายถึง มสี ่วนประกอบ และ  หมายถงึ ไม่มีสว่ นประกอบ ข้อใดกลา่ วถงึ ประเภทของพืชแต่ละชนดิ ไดถ้ ูกตอ้ ง (ONET’2561) 1. พชื A เปน็ พืชไม่มดี อก ส่วนพชื B เปน็ พืชใบเลย้ี งเด่ียว 2. พืช B เป็นพืชใบเล้ียงเด่ียว สว่ นพชื D เป็นพืชใบเลย้ี งคู่ 3. พชื B เป็นพชื ใบเลย้ี งคู่ สว่ นพชื C เป็นพืชใบเล้ยี งเด่ยี ว 4. พชื C เปน็ พืชใบเลีย้ งเดยี่ ว ส่วนพชื A เปน็ พืชไมม่ ดี อก 15. ถ้าตอ้ งการศกึ ษาผลของแสงทีม่ ีตอ่ การคายนา้ และการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพชื ชนิดหนึง่ โดยนาพชื ทม่ี อี ายแุ ละ จานวนใบเท่ากนั มาจัดชดุ การทดลองในภาวะทแี่ ตกต่างกัน ดังตาราง ชดุ การทดลอง การจัดชดุ ทดลอง ตาแหน่งท่วี าง 1 คลมุ ใบพืชดว้ ยถุงพลาสตกิ ใส ท่ีมแี สง 2 คลุมใบพืชดว้ ยถงุ พลาสตกิ ใส ท่มี ดื 3 ไมค่ ลุมใบพืชดว้ ยถงุ พลาสติกใส ทม่ี ีแสง 4 ไมค่ ลุมใบพืชดว้ ยถุงพลาสตกิ ใส ที่มืด วางชดุ การทดลองทั้ง 4 ชดุ ไวเ้ ป็นเวลา 1 วัน แล้วเปรยี บเทยี บปริมาณนา้ ทพี่ ืชคายออกมาและการสร้างอาหารของพชื ชุดการทดลองคูใ่ ดสามารถเปรยี บเทียบผลการทดลองเพื่อศกึ ษาเรอ่ื งดงั กล่าวได้ (ONET’2562) 1. ชุดการทดลองที่ 1 และ 2 2. ชุดการทดลองที่ 1 และ 3 3. ชุดการทดลองท่ี 2 และ 3 4. ชุดการทดลองที่ 2 และ 4 สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 5 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 16. ตัดส่วนประกอบของพชื ชนิดหน่ึงได้แก่ ราก ลาตน้ ใบ แลว้ แยกแตล่ ะส่วนประกอบใส่ในภาชนะ A B และ C ภาชนะละ 1 ช้ิน จากนัน้ บันทึกผลการสงั เกตลักษณะภายนอก และการทดสอบแปง้ ด้วยสารละลายไอโอดีน สว่ นประกอบใน ผลการสงั เกตลักษณะภายนอก ผลการทดสอบแปง้ ภาชนะ A สี ข้อ ปลอ้ ง และตา ปากใบ เปล่ียนเป็นสีนา้ เงนิ เขม้ B เปลยี่ นเป็นสีนา้ เงินเข้ม C สีนา้ ตาลอ่อน พบ ไมพ่ บ ไมเ่ ปลย่ี นแปลง สเี ขียว ไม่พบ พบ สขี าว ไม่พบ ไมพ่ บ หากต้องการวาดส่วนประกอบท่ีมีโครงสร้างทาหน้าท่ีคายน้าและทาหนา้ ทีด่ ดู น้าของพชื ควรเลอื กสว่ นประกอบในภาชนะใด มาวาด ตามลาดบั (ONET’2561) 1. A และ C 2. B และ A 3. B และ C 4. C และ B 17. นกั เรียนปลกู พืชชนิดหนง่ึ ในกระถาง จนกระทง่ั เรมิ่ ออกดอก กอ่ นท่ดี อกจะบานหนึง่ วนั นักเรยี นเอาถงุ กระดาษ ครอบดอกเอาไวห้ นง่ึ ดอก ปิดปากถุงด้วยคลิปหลังจากนั้นหนง่ึ สัปดาห์ เม่ือนกั เรยี นนาถุงกระดาษออก พบว่า ภายในดอก นตี้ ิดผลและภายในผลมีเมลด็ ให้พิจารณาข้อความต่อไปน้ี แล้วตอบคาถาม ก. ดอกของพืชชนิดน้ีเปน็ ดอกสมบูรณเ์ พศ ข. พืชชนิดน้ีสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศ ค. พืชชนดิ น้มี ีการถ่ายเรณูเกดิ ข้ึน ขอ้ ความในขอ้ ใดทอ่ี ธิบายสิ่งท่ีเกิดขึ้นได้ชัดเจนท่สี ดุ สาหรับพืชชนดิ น้ี (ONET’2559) 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ก และ ค 4. ก ข และ ค 18. มะละกอเปน็ พชื ทีม่ รี ากเปน็ ระบบรากแก้ว ลาตน้ ไมพ่ บข้อปล้อง และมเี ส้นใบแบบรา่ งแห ดอกของมะละกอมี 3 ชนดิ ซึ่งมสี ว่ นประกอบดังตาราง ชนิด กลีบเลี้ยง ส่วนประกอบของดอก กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี ก มี มี มี มี ข มี มี ไม่มี มี ค มี มี มี ไมม่ ี เม่ือขยายพันธโ์ุ ดยใช้เมล็ดจากต้นแมพ่ นั ธ์มุ ักพบว่ามะละกอตน้ ใหม่ทีไ่ ด้จะมีลกั ษณะไม่เหมือนต้นแม่พันธ์ุ เกษตรกรจงึ นยิ ม ขยายพนั ธุ์มะละกอด้วยวธิ ีการตอนก่งิ ซ่ึงจะเลือกใชก้ ิ่งของต้นทโ่ี ตเตม็ ที่แล้ว (ONET’2562) จากข้อมลู ข้อความต่อไปนถี้ ูกต้องใช่หรอื ไม่ ข้อความ ใช่ หรอื ไม่ใช่ 18.1 การตอนก่ิงเป็นการขยายพันธ์พุ ืชที่ทาให้ไดม้ ะละกอลกั ษณะเหมือนตน้ แมพ่ ันธ์ุ ใช่ / ไมใ่ ช่ ทุกประการ และทาใหต้ น้ มะละกอโตเต็มที่เร็วกวา่ การเพาะด้วยเมลด็ 18.2 ดอกมะละกอชนดิ ก จดั เปน็ ดอกสมบรู ณเ์ พศ ส่วนดอกมะละกอชนิด ข ใช่ / ไมใ่ ช่ และ ค จัดเปน็ ดอกไม่สมบรู ณเ์ พศ ใช่ / ไม่ใช่ 18.3 มะละกอจดั เป็นพืชใบเลีย้ งเดีย่ ว สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หน้า 1 เนอื้ หาหนว่ ยที่ 3 มาตรฐานและตัวชว้ี ดั สตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั และสัตวไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลัง การจาแนกสัตว์มีกระดูกสนั หลัง ว 1.3 ป.4/3-4/4 1. ขอ้ ใดเป็นลักษณะเฉพาะของสัตว์ครึ่งน้าครง่ึ บก (ONET’2555) 1. หายใจดว้ ยเหงือก 2. เปน็ สัตว์เลอื ดเย็น 3. มขี าหลงั ยาวกว่าขาหนา้ 4. ผิวหนังเปยี กชืน้ อยู่เสมอ 2 สัตว์ชนดิ ใดสืบพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศได้ (ONET’2550) 1. กงิ้ กอื 2. ไสเ้ ดอื น 3. ไฮดรา 4. พยาธิปากขอ 3. ตาราง ลกั ษณะลาตวั จานวนขา และบริเวณทอี่ าศัยของสตั ว์ 4 ชนดิ ชนิดของสัตว์ ลักษณะลาตัว จานวนขา บริเวณท่อี าศยั A มีครบี มเี กลด็ ไมม่ ขี า ในนา้ B ผวิ หนังเปยี กช้ืน ไมม่ เี กล็ด 4 ขา บนบก C ผวิ หนงั แห้ง มเี กลด็ ปกคลุม 4 ขา บนบก D มีปกี ขนเป็นแผง 2 ขา บนบก ถ้าพบสตั วช์ นิดหนึ่งมจี ะงอยปากแขง็ มขี นเป็นแผง มเี กลด็ ที่ขาและนวิ้ เทา้ สัตว์ชนดิ น้ี ควรจดั อยพู่ วกเดียวกับสัตว์ชนดิ ใด ในตาราง (ONET’2552) 1. A 2. B 3. C 4. D 4. การศกึ ษาลักษณะภายในและภายนอกของตัวอย่างสัตว์มีกระดูกสนั หลัง 4 ชนดิ ไดข้ ้อมูลดังตาราง ลกั ษณะภายในและภายนอก ชนดิ ของสัตว์ อวัยวะทใี่ ช้ในการหายใจ การออกลกู ผวิ หนังปกคลุมตวั (ตวั เตม็ วัย) A เรยี บ B ปอดและผิวหนงั เปน็ ไขม่ ีว้นุ ใสห้มุ เรียบ C มเี กลด็ D ปอด เป็นตัว มเี กลด็ ปอด เปน็ ไข่มเี ปลือกแขง็ หุม้ เหงือก เป็นตวั “โรคพษิ สุนขั บ้าเปน็ โรคตดิ ต่อร้ายแรง มักพบได้ในสัตว์เลยี้ งลกู ดว้ ยนม” จากขอ้ มลู สัตว์ชนิดใดเสี่ยงตอ่ การเป็นโรคพิษ สนุ ัขบ้า (ONET’2561) 1. ชนดิ A 2. ชนดิ B 3. ชนดิ C 4. ชนดิ D สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หนา้ 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 5. แผนภมู ิการแบง่ กลุม่ สตั ว์โดยใช้ลักษณะบางอย่างเปน็ เกณฑ์ (ONET’2558) สัตวก์ ลุ่ม 3 และกลุม่ 4 มีลักษณะใดเหมือนกนั 2. เลอื ดเย็น และผวิ หนงั มีเกลด็ 1. เลอื ดเยน็ และไมม่ ีเหงือก 4. ไม่มีเหงือก และผิวหนงั ไม่มีเกล็ด 3. ไมม่ ีเหงอื ก และผวิ หนงั มเี กล็ด 6. ตารางแสดงลักษณะบางประการของสัตว์ 4 ชนิด ชนิดของสตั ว์ การปฏสิ นธิ สภาพการออกลกู รูปรา่ งตัวอ่อนและตัวเตม็ วัย A ภายนอก เปน็ ไข่ ไมม่ เี ปลือกแขง็ ห้มุ เหมอื นกนั B ภายนอก เป็นไข่ ไมม่ ีเปลือกแขง็ หมุ้ ไม่เหมอื นกัน C ภายใน เป็นไข่ มีเปลือกแขง็ หุ้ม เหมอื นกัน D ภายใน เหมอื นกัน เปน็ ตัว พจิ ารณาจากตาราง ปลากดั มลี ักษณะเหมือนกับสตั ว์ชนดิ ใด (ONET’2559) 4. D 1. A 2. B 3. C 7. ตารางลกั ษณะสาคัญของกลมุ่ สัตว์มกี ระดกู สันหลัง จากตาราง กลมุ่ ที่ 2 เป็นสตั ว์ในขอ้ ใด (ONET’2557) 4. จ้งิ จกนา้ 1. แย้ 2. เตา่ 3. ตุ๊กแก สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หนา้ 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 8. นกั เรียนกลุ่มหนงึ่ ไดร้ ับมอบหมายจากครูให้ไปสารวจชนิดของสัตว์ในบริเวณสนามและร่องปลูกดอกไม้ของโรงเรียน ผลการสารวจพบสัตว์ 8 ชนิด ดังน้ี นกกางเขน กบ งูเขียว กิ้งกือ มดแดง ไส้เดือนดิน จิ้งจก ผีเส้ือ ถ้านักเรียน ต้องการจาแนกสตั ว์เหล่านเี้ ป็นสองกลมุ่ เกณฑก์ ารจาแนกท่ีควรใช้เป็นลาดบั แรก คอื ขอ้ ใด (ONET’2556) 1. การไมม่ ีปกี – การมีปีก 2. การเปน็ สัตว์เลอื ดเย็น – การเปน็ สัตวเ์ ลือดอุ่น 3. การมปี ฏิสนธิภายนอก – การมปี ฏสิ นธิภายใน 4. การไมม่ ีโครงรา่ งแข็งภายในรา่ งกาย – การมีโครงรา่ งแขง็ ภายในร่างกาย 9. จากแผนผงั สัตวช์ นดิ ท่ี 2 และชนิดท่ี 3 มีลักษณะใด เหมือนกัน (ONET’2551) 1. มขี น 2. มเี กล็ด 3. มีปกี 4. ไมม่ ปี ีก 10. ตารางแสดงขอ้ มลู ลกั ษณะเฉพาะของสัตว์มีกระดูกสนั หลัง 4 ชนิด เปน็ ดงั น้ี ชนิดของสตั ว์ ลกั ษณะเฉพาะ A ผวิ หนงั เปียกช้นื ไมม่ ีขน อาศยั อยู่ไดท้ ั้งบนบกและในนา้ ออกลกู เป็นไข่ B ผิวหนังมีเกล็ด มคี รีบ อาศยั อยใู่ นน้าตลอดชีวติ ออกลกู เป็นไข่ C ผิวหนังมีขนเป็นแผงปกคลุม อาศัยอยบู่ นบก ออกลกู เป็นไข่ D ผวิ หนังมขี นเปน็ เสน้ ปกคลมุ อาศัยอย่บู นบก ออกลูกเปน็ ไข่ จากขอ้ มลู ข้อใดระบกุ ลมุ่ ของสตั ว์มกี ระดกู สันหลังทั้ง 4 ชนดิ ไดถ้ ูกต้อง (ONET’2563) ชนดิ สตั ว์ AB C D กลมุ่ สัตว์เล้ียงลูก 1. กลุ่มสตั ว์สะเทินนา้ กลมุ่ ปลา กลุ่มนก สะเทินบก ด้วยน้านม 2. กลุ่มสัตว์สะเทินนา้ กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์เลย้ี งลูกดว้ ยนา้ นม กลมุ่ นก สะเทินบก กลุ่มนก 3. กลุ่มปลา กลุ่มสตั วส์ ะเทินน้า กลมุ่ สตั ว์เลยี้ งลูกดว้ ยนา้ นม สะเทนิ บก กลุ่มสัตวเ์ ล้ยี งลูก ด้วยนา้ นม 4. กลุ่มปลา กล่มุ สตั วส์ ะเทนิ นา้ กลมุ่ นก สะเทนิ บก สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 4 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 11. ศึกษาการเปล่ียนแปลงอุณหภูมิร่างกายของสัตว์ 3 ชนิด โดยให้สัตว์อยู่ในห้องท่ีมีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส เป็น เวลา 3 ชว่ั โมง จากนัน้ ให้สตั วพ์ กั 1 ชั่วโมง ในหอ้ งท่มี อี ณุ หภูมิ 25 องศาเซลเซยี ส แลว้ จงึ นาสัตว์ไปอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 ชว่ั โมง บนั ทกึ อุณหภมู ิร่างกายของสตั ว์กอ่ นและหลังการทดลอง ได้ผลดงั ตาราง ชนดิ ของ อุณหภูมิรา่ งกายของสตั วใ์ นแตล่ ะหอ้ ง สัตว์ ห้องอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส หอ้ งอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียส A B กอ่ นทดลอง หลงั ทดลอง ก่อนทดลอง หลังทดลอง C 39 39 39 39 25 20 25 30 37 37 37 37 เม่ือศกึ ษาลกั ษณะภายในและภายนอกเพ่มิ เตมิ สามารถจาแนกสตั ว์ A B และ C ได้เป็น 2 กลุม่ ซึง่ มีลักษณะ ดังน้ี กลุ่มที่ 1 : หายใจด้วยปอด ผิวหนังเรียบ ออกลกู เปน็ ตวั มีต่อมสรา้ งนา้ นม กลมุ่ ที่ 2 : หายใจด้วยปอดและผิวหนัง ผิวหนงั เปียกช้นื ไม่มีเกลด็ ออกลกู เป็นไข่ จากขอ้ มูล ขอ้ ใดระบุชนิดของสัตว์แตล่ ะกลุม่ ได้ถูกต้อง (ONET’2562) 1. กลุ่มที่ 1 ได้แก่ สตั วช์ นิด A และ B 2. กล่มุ ที่ 1 ไดแ้ ก่ สตั ว์ชนดิ C เทา่ นนั้ 3. กลุ่มที่ 2 ไดแ้ ก่ สตั ว์ชนดิ B เท่าน้นั 4. กลุ่มท่ี 2 ไดแ้ ก่ สัตวช์ นิด A และ C 12. ขอ้ มลู แสดงลกั ษณะภายในและภายนอกของสัตว์มกี ระดูกสนั หลัง 4 ชนิด เปน็ ดังตาราง อณุ หภูมิในรา่ งกายของสตั ว์ชนดิ ใดไม่เปล่ยี นแปลงตามสภาพแวดลอ้ ม (ONET’2560) 1. A 2. B 3. C 4. D สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หนา้ 1 เนือ้ หาหน่วยท่ี 4 มาตรฐานและตัวชีว้ ัด ว 1.3 ป.5/1-5/2 - ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม 1. แผนผงั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของถ่ัว จากแผนผัง สดั สว่ นของลักษณะต้นสูงตอ่ ต้นเตี้ยในรุน่ ลูก เปน็ เทา่ ใด (ONET’2550) 1. 1: 1 2. 1 : 2 3. 1 : 3 4. 3 : 1 2. การผสมพนั ธุส์ ัตว์ในลักษณะใดทชี่ ่วยป้องกนั การถา่ ยทอดลักษณะไม่ดีของพ่อไปสู่ลูก (ONET’2551) 1. ผสมกันตามธรรมชาติ 2. ผสมกบั พนั ธ์แุ ท้ลกั ษณะดี 3. ผสมระหว่างญาติใกล้ชดิ กัน 4. ผสมกับพนั ธุท์ ่มี ลี กั ษณะเหมอื นพ่อ 3. แผนผงั การผสมพนั ธุร์ ะหวา่ งหนูขนสดี ากับหนขู นสขี าว จากแผนผงั ข้อสรปุ ใดถูกต้อง (ONET’2551) 2. ลกู ทีไ่ ดม้ ขี นสดี า 50% 1. ลกู ทไ่ี ด้มีขนสดี า 75% 4. ขนสีขาวเป็นลกั ษณะเด่น 3. ขนสดี าเปน็ ลกั ษณะเด่น 4. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ การถ่ายทอดทางพันธุกรรมไดถ้ กู ต้อง (ONET’2560) 1. ลักษณะทางพนั ธุกรรมบางอยา่ งของพอ่ แม่อาจไมป่ รากฏในรนุ่ ลกู 2. ลกั ษณะทางพันธกุ รรมของปู่ ยา่ ตา ยาย จะไมถ่ า่ ยทอดใหร้ ุน่ หลาน 3. พอ่ ถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมให้ลูกชาย และแม่ถา่ ยทอดใหล้ ูกสาว 4. ลกั ษณะทางพันธกุ รรมของพ่อแม่ที่ปรากฏในลกู คนแรกแลว้ จะไมป่ รากฏในลูกคนถัดไป สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หนา้ 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 5. ขอ้ มูลแสดงลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของบคุ คลในครอบครวั หน่ึงเป็นดงั นี้ จากข้อมูลในตาราง ลูกไดร้ ับการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมส่วนใหญ่จากใคร (ONET’2553) 1. พ่อและย่า 2. ปูแ่ ละตา 3. แม่และยาย 4. ย่าและยาย 6. ครอบครัวหนึ่งมีลักษณะภายนอก แสดงดงั ตาราง ลกั ษณะภายนอก พอ่ แม่ ลูกชาย ลกู สาว ลักยม้ิ มี ไมม่ ี มี มี ต่ิงหู มี มี มี มี น้วิ โปง้ งอน ไมง่ อน งอน งอน การหอ่ ล้ิน ไม่ได้ ได้ ได้ ไม่ได้ ทรงผม ผมส้ัน ผมยาว ผมสัน้ ผมยาว จากข้อมูล ข้อใดกลา่ วถงึ การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมในครอบครวั นี้ไม่ถูกตอ้ ง (ONET’2561) 1. ลูกชายมลี ักษณะทางพันธกุ รรมเหมอื นพอ่ 3 ลักษณะ 2. ลกู สาวมลี ักษณะทางพนั ธุกรรมเหมอื นแม่ 1 ลักษณะ 3. ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของลูกชายเหมอื นแมม่ ากกว่าทีล่ ูกสาวเหมือนแม่ 4. ลักษณะทางพันธุกรรมของลูกชายเหมือนพอ่ มากกว่าท่ลี ูกสาวเหมอื นพอ่ 7. จากแผนผัง ขอ้ สรุปใดถกู ต้อง (ONET’2558) 1. ลกั ษณะขนสีขาวของลูกเป็นลกั ษณะเด่นแทเ้ หมอื นของพ่อ 2. ลักษณะขนดา่ งเป็นลกั ษณะด้อย ลกู ที่มขี นดา่ งจงึ ตายหมด 3. ลักษณะขนดา่ งไมถ่ า่ ยทอดไปสู่ลูก 4. ลักษณะขนสีขาวเป็นลักษณะเดน่ สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 8. พ่อและแม่มีลกั ษณะภายนอกดังน้ี พ่อ : มีผิวขาว มลี ักย้ิม นิว้ โป้งไม่งอน และมีทรงผมสนั้ แม่ : มผี วิ ขาว มีลักยมิ้ นว้ิ โปง้ งอน และมที รงผมสนั้ จากข้อมลู ลกั ษณะใดของพ่อและแม่ไม่สามารถถ่ายทอดไปยังลูกได้ (ONET’2562) 1. สีผวิ 2. ทรงผม 3. การมลี กั ยิ้ม 4. ลักษณะน้ิวโป้ง 9. ในครอบครวั หนงึ่ พอ่ และแม่มลี ักษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะแบบเวียนซา้ ยส่วนลกู ชายมีลักษณะการเวียน ของขวญั บนศีรษะแบบเวยี นขวา ซง่ึ ตา่ งจากพ่สี าวที่มลี ักษณะการเวียนของขวญั บนศีรษะแบบเวียนซ้าย จากสถานการณ์ เพราะเหตใุ ดลกู ชายคนนจี้ งึ มลี กั ษณะการเวียนของขวัญบนศรี ษะแตกตา่ งจากสมาชิกคนอื่นในครอบครวั (ONET’2563) 1. ลกั ษณะการเวียนของขวญั บนศีรษะไม่ใช่ลกั ษณะทางพันธุกรรม 2. ลักษณะการเวยี นของขวัญบนศรี ษะของลูกแตล่ ะคนต้องแตกต่างกนั 3. ลักษณะการเวียนของขวัญบนศีรษะแบบเวียนขวาเป็นลักษณะทพ่ี บเฉพาะในเพศชายเท่านั้น 4. ลักษณะการเวยี นของขวัญบนศีรษะแบบเวียนขวาเปน็ ลักษณะแฝงในรนุ่ พอ่ แม่ทป่ี รากฏในรนุ่ ลูก สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หน้า 1 เนอ้ื หาหนว่ ยท่ี 5 มาตรฐานและตวั ชว้ี ัด อาหารและสารอาหาร การเลือกรบั ประทานอาหาร ความสาคญั ของสารอาหาร ว 1.2 ป.6/1-6/5 ระบบยอ่ ยอาหาร การดแู ลรกั ษาอวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร 1. ในการตรวจหาชนดิ ของวติ ามินในผักชนดิ ต่าง ๆ ตาราง วติ ามินท่ีพบในผกั ชนิดตา่ ง ๆ ถา้ วติ ามนิ B1 B2 และ C ละลายน้าได้ ส่วนวิตามิน A D และ K ละลายได้ในไขมนั ผกั ชนิดใด ท่เี มอื่ ลา้ งน้าแลว้ สูญเสีย วติ ามินนอ้ ยทสี่ ดุ (ONET’2550) 1. ชนดิ ที่ 1 2. ชนดิ ท่ี 2 3. ชนิดที่ 3 4. ชนดิ ท่ี 4 2. ตาราง จานวนคนไทยทขี่ าดสารอาหารชนดิ ต่าง ๆ จากการสารวจใน พ.ศ.2540 เพือ่ ให้คนไทยมสี ุขภาพดีถ้วนหนา้ ควรรณรงคใ์ ห้บริโภค 20,000 อาหารประเภทใดเป็นอนั ดับแรก (ONET’2551) 5,000 1. บริโภคข้าวใหม้ าก ๆ 2. บริโภคนมและเนอ้ื สัตว์เพมิ่ ขึน้ 1 8,000 3. บรโิ ภคผักและผลไม้ให้มากขึ้น 1,500 4. บริโภคอาหารที่ปรงุ ดว้ ยเกลือไอโอดนี เปน็ ประจา 3. เมือ่ นักเรยี นรบั ประทานอาหารประเภทแปง้ และโปรตนี จะเกดิ การดูดซึมสารอาหารมากที่สดุ บรเิ วณใด (ONET’2560) 1. ปาก 2. ลาไสเ้ ลก็ 3. ลาไสใ้ หญ่ 4. กระเพาะอาหาร 4. ตาราง ปริมาณธาตเุ หล็กที่นักเรยี น 4 คนได้รับ (ONET’2552) ถา้ เดก็ ในวัยเรียนต้องไดร้ บั ธาตุเหล็ก 15 มิลลกิ รัมตอ่ วัน จากตาราง นักเรียนคนใดมีโอกาสเป็นโรคโลหติ จางมากทส่ี ุด 1. นกั เรยี นคนที่ 1 2. นักเรียนคนท่ี 2 3. นกั เรียนคนท่ี 3 4. นักเรยี นคนที่ 4 สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หนา้ 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 5. ตารางปริมาณสารอาหารประเภทต่าง ๆ ในอาหาร 4 ชนดิ กาหนดให้ โปรตนี และคาร์โบไฮเดรต 1 กรมั ใหพ้ ลังงาน 4.5 กโิ ลแคลอรี่ ไขมัน 1 กรัม ใหพ้ ลงั งาน 9 กโิ ลแคลอรี่ จากตารางและสงิ่ ทีก่ าหนดให้ อาหารชนิดใดทใ่ี หพ้ ลังงานสูงสุด (ONET’2556) 1. A 2. B 3. C 4. D 6. จากรปู ธงโภชนาการทรี่ ะบุสดั สว่ น สาหรับเดก็ หญิงอายุ 10 ปี ที่มรี า่ งกายสมสว่ นซึ่งควรได้รบั พลงั งานประมาณวันละ 1,600 กโิ ลแคลอร่ี A และ B ในธงโภชนาการควรเป็นอาหารประเภทใด (ONET’2558) 1. A คอื โปรตนี B คอื ไขมนั 2. A คอื นา้ ตาล B คือไขมัน 3. A คือขา้ ว B คือผลไม้ 4. A คอื ข้าว B คือน้าตาล น้ามนั เกลอื 7. ตารางปรมิ าณสารอาหารประเภทต่าง ๆ ในอาหาร 4 ชนดิ กาหนดให้ โปรตนี และคารโ์ บไฮเดรต 1 กรมั ให้พลงั งาน 4.5 กโิ ลแคลอรี่ ไขมัน 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน 9.0 กโิ ลแคลอร่ี อาหารชนิดใดใหพ้ ลงั งานสูงสุด (ONET’2558) 1. A 2. B 3. C 4. D สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 8. ตารางปรมิ าณแรธ่ าตุในอาหาร 4 ชนิด (ONET’2559) ชนดิ อาหาร ปรมิ าณแรธ่ าตุ (มิลลกิ รมั ) แคลเซียม ฟอสฟอรสั เหลก็ A B 126 30 4.6 C 141 27 0.9 D 49 165 2.0 7 63 2.5 จากตาราง ถ้านักเรยี นต้องการมีร่างกายสมส่วน กระดูกและฟันแขง็ แรง นักเรยี นจะเลอื กรับประทานอาหารชนดิ ใด 1. A 2. B 3. C 4. D 9. ข้อมูลแสดงพลังงานของอาหาร 6 ชนิด เป็นดงั นี้ (ONET’2560) หากต้องการรบั ประทานอาหารให้ได้รับพลงั งานมากที่สุด ควรเลอื กรบั ประทานอาหารตามขอ้ ใด 1. ก๋วยเตย๋ี วเน้อื สับ 1 จาน และกล้วยไข่ 2 ผล 2. กว๋ ยเตี๋ยวเนอ้ื สบั 1 จาน และสม้ เขยี วหวาน 1 ผล 3. กว๋ ยเตีย๋ วเสน้ ใหญร่ าดหน้าไก่ 1 จาน และเต้าหนู้ มสด 1 ถ้วย 4. ก๋วยเตีย๋ วเส้นใหญ่ราดหน้าไก่ 1 จาน สม้ เขยี วหวาน 1 ผล และมะมว่ งสุก 1 ผล 10. ตารางชนิดของอาหารท่ีรับประทานในมื้อตา่ ง ๆ ของแตล่ ะวนั ของนักเรียน 4 คน (ONET’2557) ใครรับประทานอาหารได้ครบทกุ หมู่ท่สี ุด 3. ค 4. ง 1. ก. 2. ข สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หน้า 4 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 11. ตารางปรมิ าณแรธ่ าตใุ นอาหาร 4 ชนดิ ชนิดอาหาร แคลเซยี ม ปรมิ าณแรธ่ าตุ (มลิ ลิกรัม) เหล็ก 126 ฟอสฟอรสั 4.6 A 141 30 0.9 B 49 165 2.0 C 7 27 2.5 D 63 จากตาราง ถา้ ต้องการป้องกนั โรคโลหติ จาง ตอ้ งเลือกรบั ประทานอาหารชนดิ ใด (ONET’2557) 1. A 2. B 3. C 4. D 12. ตาราง ปริมาณโปรตนี ทีเ่ ดก็ ช่วงอายตุ ่าง ๆ ตอ้ งการในแต่ละวนั ช่วงอายขุ องเด็ก (ปี) ปรมิ าณโปรตนี ทีต่ ้องการแต่ละวนั (กรมั ตอ่ นา้ หนกั ตัว 1 กโิ ลกรมั ) <1 1–6 2 7 – 12 1.5 13 - 20 1.2 1 เดก็ อายุ 10 ปี ทมี่ นี า้ หนกั 30 กโิ ลกรมั ตอ้ งการปริมาณโปรตนี วันละเทา่ ใด (ONET’2550) 1. 30 กรมั 2. 36 กรมั 3. 45 กรมั 4. 60 กรัม 13. กาหนดให้ A B C D และ E คอื อาหาร 5 ชนดิ ซึ่งมสี ารอาหารหลักและปริมาณพลังงานต่อหน่งึ หนว่ ยบรโิ ภค ดังตาราง ชนิดอาหาร สารอาหารหลัก พลงั งาน (กโิ ลแคลอรี) A โปรตนี และนา้ 450 B ไขมัน 450 C 300 D คาร์โบไฮเดรต 0 E แรธ่ าตุ และวติ ามนิ 650 ไขมนั และคาร์โบไฮเดรต จากข้อมลู ควรเลือกรับประทานอาหารในขอ้ ใด เพ่ือให้ไดพ้ ลงั งานรวม 1,400 กโิ ลแคลอร่ี และไดร้ บั สารอาหารครบทุก ประเภท (ONET’2561) 1. A B และ C 2. A C และ E 3. A B C และ D 4. A C D และ E สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 5 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 14. ศกึ ษาแผนภูมิมาตรฐานการเจริญเติบโตของร่างกายของเด็กชาย แล้วตอบคาถาม เด็กชายปวิช หนัก 65 กโิ ลกรมั สงู 160 เซนติเมตร มีการเจรญิ เติบโตของรา่ งกายตามข้อใด (ONET’2555) 1. สมส่วน 2. ท้วม 3. เรมิ่ อ้วน 4. อ้วน 15. ตารางแสดงผลการทดสอบสารอาหารท่ีพบในอาหาร 4 ชนดิ เป็นดังนี้ ชนดิ อาหาร ผลการทดสอบ A หยดสารละลายไอโอดีน ถกู ับกระดาษ B C ไมเ่ ปลีย่ นแปลง โปรง่ แสง D เปลี่ยนเป็นสนี า้ เงนิ เขม้ โปร่งแสง ไมเ่ ปล่ยี นแปลง ไมโ่ ปรง่ แสง เปล่ียนเป็นสนี ้าเงนิ เขม้ โปร่งแสง ข้อใดระบุองค์ประกอบของอาหารแตล่ ะชนดิ ไดส้ อดคล้องกับผลการทดสอบ (ONET’2562) 1. อาหารชนดิ A มแี ป้งและไขมนั เป็นองค์ประกอบ 2. อาหารชนิด B มแี ปง้ เปน็ องคป์ ระกอบ 3. อาหารชนดิ C มีไขมันเป็นองค์ประกอบ 4. อาหารชนดิ D มีแป้งและไขมนั เปน็ องคป์ ระกอบ สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หนา้ 6 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 16. ในระบบยอ่ ยอาหารของมนษุ ย์ อวยั วะใดดดู ซมึ อาหารได้มากท่ีสดุ (ONET’2550) 1. ปาก 2. ลาไสเ้ ล็ก 3. สาไส้ใหญ่ 4. หลอดอาหาร 17. ถ้านกั เรียนรบั ประทานข้าวกบั กุง้ ตม้ เปน็ อาหารกลางวัน อวยั วะใดทยี่ อ่ ยกุ้งต้มเปน็ ลาดบั แรก (ONET’2551) 1. ลาไส้เล็ก 2. สาไสใ้ หญ่ 3. หลอดอาหาร 4. กระเพาะอาหาร 18. เด็กชายวัชราชอบกนิ เนือ้ หมูติดมัน ไมช่ อบกนิ ผกั และผลไม้ และกินอาหารไมต่ รงเวลาเป็นประจา ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเกี่ยวกับระบบการยอ่ ยอาหารของเด็กคนนี้ (ONET’2557) 1. ตับจะทางานหนักเพ่อื สร้างนา้ ดีสาหรบั การย่อยไขมัน 2. บริเวณหลอดอาหารจะมกี รดหล่ังออกมาปรมิ าณมาก 3. ลาไสใ้ หญ่ดดู ซมึ น้าไดน้ อ้ ยลง เน่อื งจากกินอาหารทม่ี เี ส้นใยมาก 4. ลาไส้เลก็ ขบั เคลือ่ นอาหารได้งา่ ยขน้ึ เนอื่ งจากกนิ อาหารที่มีเสน้ ใยมาก 19. กราฟแสดงการเตบิ โตด้านความสูงของเพศหญิงและเพศชายในช่วงอายุต่าง ๆ ความสงู (ซม.) ข้อใดอธบิ ายกราฟได้ถกู ตอ้ ง (ONET’2558) 1. อตั ราการเจริญเติบโตของเพศหญิงและเพศชายไม่แตกต่างกัน 2. ช่วงอายุ 10 –14 ปี เพศหญงิ และเพศชายมกี ารเจริญเตบิ โตเท่า ๆ กัน 3. ชว่ งอายุ 15 – 20 ปี เพศชายมกี ารเจริญเตบิ โตมากกว่าเพศหญิง 4. หลังอายุ 20 ปี ท้งั เพศหญิงและเพศชายหยุดการเจรญิ เติบโต 20. แผนภาพแสดงอวัยวะในระบบย่อยอาหาร เปน็ ดังน้ี ปาก กระเพาะอาหาร อวยั วะ A อวัยวะ B ทวารหนกั จากแผนภาพขา้ งต้น ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง (ONET’2562) 1. แป้งจะถูกย่อยทกี่ ระเพาะอาหาร และถกู ดดู ซมึ เข้าสู่รา่ งกายที่อวัยวะ A 2. กากอาหารจะผ่านอวัยวะ B โดยไม่มกี ารดูดซมึ แล้ว เพือ่ ขับออกผ่านทางทวารหนกั 3. เลือดจากหวั ใจไปยังอวยั วะ B จะมปี ริมาณแก๊สออกซิเจนสงู เนอื่ งจากผ่านการแลกเปลย่ี นแกส๊ ที่ปอด 4. เลอื กจากอวัยวะ A เข้าสู่หัวใจจะมีปริมาณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดต์ ่า เพราะมกี ารสร้างพลังงานจาก สารอาหาร สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 7 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 21. ตารางแสดงสารอาหารที่พบในอาคาร 4 ชนดิ เปน็ ดังนี้ ชนิด สารอาหาร อาหาร คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมนั เกลอื แร่ วติ ามนิ 1 ✓ ✓ ✓ ✓ 2    ✓✓ 3    ✓ 4 ✓  ✓  ✓ หมายถงึ พบสารอาหาร  หมายถึง ไม่พบสารอาหาร จากขอ้ มลู ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ ง (ONET’2563) 1. ถ้าเลอื กรบั ประทานอาหารชนดิ ที่ 1 กับ 4 จะทาให้ไมไ่ ดร้ ับพลังงาน 2. ถ้าเลอื กรบั ประทานอาหารชนดิ ท่ี 1 กับ 2 จะทาใหไ้ ด้รบั สารอาหารครบทกุ หมู่ 3. ถ้าเลือกรบั ประทานอาหารชนิดที่ 2 กบั 3 จะช่วยสร้างความอบอุน่ แกร่ ่างกาย 4. ถ้าเลอื กรบั ประทานอาหารชนิดท่ี 2 กับ 4 จะชว่ ยซ่อมแซมกลา้ มเนอ้ื ส่วนที่สึกหรอ 22. หากรับประทานขา้ วตม้ ไก่ ทมี่ ีสว่ นประกอบหลกั ไดแ้ ก่ ขา้ ว และเนอ้ื ไก่ ข้อใดกลา่ วถงึ การยอ่ ยอาหารท่ีเกดิ ขึน้ ภายหลังจากรบั ประทานขา้ วต้มไก่ไดถ้ กู ต้อง (ONET’2563) 1. เน้อื ไกเ่ ท่านัน้ ทจ่ี ะถกู ย่อยดว้ ยเอนไซมจ์ ากตับอ่อน 2. เนื้อไกจ่ ะไม่ถกู ย่อยเม่ืออาหารลาเลียงมาถงึ กระเพาะอาหาร 3. ข้าวและเนือ้ ไก่จะถูกยอ่ ยเป็นครัง้ สุดท้ายทีบ่ ริเวณลาไสเ้ ลก็ 4. ข้าวจะถูกบดเคีย้ วให้มขี นาดเล็กลง แต่ไมไ่ ดเ้ กิดการยอ่ ยทบ่ี รเิ วณปาก สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หนา้ 1 เน้ือหาหน่วยท่ี 6 มาตรฐานและตวั ช้วี ัด สมบัตทิ างกายภาพของวัสดุ สสารและการวดั มวล-ปริมาตร การเปลยี่ นสถานะของสสาร การละลายของ ว 2.1 ป.4/1-4/4 สารในน้า การเปล่ยี นแปลงทางเคมี การเปลยี่ นแปลงทผ่ี นั กลับไดแ้ ละผันกลับไม่ได้ การแยกสารเน้อื ผสม ว 2.1 ป.5/1-5/4 ว 2.1 ป.6/1 1. น้าแกว้ ท่ที ้าจากวัสดุต่างกัน 4 ชนดิ มาใสน่ ้าอุณหภูมิ 90 องศาเซลเซยี ส แล้วตัง้ ไวท้ ่บี ริเวณเดยี วกัน เมือ่ เวลาผ่านไป 10 นาที พบวา่ น้าในแก้วมอี ุณหภูมเิ ปลีย่ นไป ดงั นี้ วสั ดุ อณุ หภมู ิของน้าในแก้วเม่ือเวลาผ่านไป 10 นาที (องศาเซลเซียส) A 70 B 65 C 60 D 55 ถ้าน้าวัสดุทั้ง 4 ชนิดไปท้ากระติกที่มีลักษณะเหมือนกัน แล้วใส่น้าแข็งปริมาณเท่ากัน น้าแข็งในกระติกท่ีท้าจากวัสดุ ชนิดใดจะหลอมเหลวชา้ ท่ีสดุ (ONET’2560) 1. A 2. B 3. C 4. D 2. น้าสาร A และ B ซ่งึ แตล่ ะชนิดมปี รมิ าตร 500 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร ใสใ่ นภาชนะใส มีฝาปิดทม่ี รี ปู ทรงและความจุ แตกตา่ งกนั 3 ใบ สงั เกตลกั ษณะของสารทอ่ี ยู่ในภาชนะ ได้ดงั ภาพ จากข้อมลู สาร A และ สาร B มสี ถานะใด ตามล้าดบั (ONET’2561) 1. แกส๊ และของแขง็ 2. ของเหลวและแก๊ส 3. ของแขง็ และของเหลว 4. ของเหลวและของเหลว 3. เมือ่ น้าแผ่นกระจกไปองั เหนอื ไอนา้ แล้วพบว่าหยดนา้ เกาะทแ่ี ผ่นกระจกการเปลยี่ นแปลงนี้ เปน็ การเปลยี่ นสถานะของน้า อย่างไร (ONET’2552) 1. ของแขง็ เป็นของเหลว 2. ของเหลวเป็นแก๊ส 3. แกส๊ เป็นของเหลว 4. ของเหลวเป็นของแข็ง สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทา้ โดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หนา้ 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 4. น้าวัสดุ 3 ชนดิ มาขูดกนั ได้ผลดังตาราง ตาราง ผลการทดสอบความแขง็ ของวัสดุ วัสดุทนี่ า้ มาขูดกนั วัสดทุ ่ีเกดิ รอย วสั ดุที่ไมเ่ กดิ รอย ชนดิ ท่ี 1 และ 2 ชนิดที่ 2 ชนดิ ที่ 1 ชนดิ ที่ 2 และ 3 ชนดิ ที่ 2 ชนดิ ท่ี 3 ชนดิ ที่ 1 และ 3 ชนิดท่ี 1 ชนิด 3 จากตาราง สามารถสรุปได้อยา่ งไร (ONET’2550) 2. วสั ดุชนดิ ท่ี 3 แขง็ ทส่ี ดุ 1. วสั ดชุ นดิ ที่ 2 แข็งท่สี ุด 4. วสั ดุชนดิ ที่ 3 ออ่ นท่สี ดุ 3. วสั ดุชนดิ ท่ี 1 ออ่ นทสี่ ดุ 5. ใส่น้าปริมาณเทา่ กันทีอ่ ุณหภูมิ 20oC ลงในภาชนะทีท่ า้ ด้วยวสั ดุ 4 ชนิด แลว้ แชใ่ นอา่ งน้าร้อนอุณหภมู ิ 80oC ดงั ภาพ เม่ือเวลาผา่ นไป 3 นาทนี า้ ในภาชนะทท่ี ้าด้วยวัสดุชนดิ ใดจะมอี ุณหภมู ิสูงท่ีสดุ (ONET’2551) 1. แกว้ 2. ทองแดง 3. พลาสติก 4. กระเบ้ือง 6. ให้พลงั งานความรอ้ นเท่ากนั เพือ่ ต้มน้า 50 ลกู บาศก์เซนตเิ มตรในบีกเกอร์ขนาดเท่ากนั ทที่ ้าด้วยวสั ดุต่างกนั บนั ทกึ เวลาทที่ ้าใหน้ ้าเดอื ด ได้ผลตามตาราง ตาราง เวลาทใี่ ชใ้ นการท้าให้นา้ เดอื ดเม่อื ตม้ นา้ ในบีกเกอร์ท่ที ้าด้วยวสั ดตุ ่างกนั วัสดทุ ใ่ี ช้ทา้ บกี เกอร์ เวลาทใี่ ช้ในการท้าให้น้าเดอื ด (นาที) จากขอ้ มลู วสั ดุชนดิ ใดถา่ ยโอนความรอ้ นได้ช้าที่สุด A 5 (ONET’2552) B 9 1. A 2. B C 8 3. C 4. D D 7 7. การกระทา้ ใดเป็นการเปล่ยี นแปลงทางเคมี (ONET’2550) 1. ละลายเกลือในน้า 2. ใสน่ ้าในชอ่ งแชแ่ ข็ง 3. เผากระดาษไดเ้ ถ้าสีดา้ 4. ตดั กระดาษดว้ ยกรรไกร 8. วธิ ีการใดเหมาะสมท่จี ะใชแ้ ยกของผสมระหว่างเศษอิฐก้อนเลก็ ๆ กบั ทรายออกจากกัน (ONET’2551) 1. การร่อน 2. การกรอง 3. การระเหดิ 4. การระเหยแหง้ สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทา้ โดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 9. มีวสั ดุ 3 ชนิดคือ 1 2 และ 3 ถ้าน้าวตั ถุ 2 ชนิดมาขูดกัน ได้ผลดังตาราง ตาราง ผลทเ่ี กดิ จากการนา้ วสั ดุ 2 ชนดิ มาขดู กัน วสั ดนุ า้ มาขดู กัน ผลทเ่ี กดิ จากการนา้ วัสดุ 2 ชนดิ มาขูดกัน ชนิดท่ี 1 และ 2 วสั ดทุ เ่ี กิดรอย วัสดุที่ไมเ่ กิดรอย ชนดิ ที่ 2 และ 3 ชนิดท่ี 1 และ 3 ชนิดที่ 2 ชนดิ ที่ 1 ชนิดที่ 2 ชนิดท่ี 3 ชนดิ ท่ี 3 ชนดิ ที่ 1 จากตาราง ขอ้ ความใดสรุปไดถ้ กู ตอ้ ง (ONET’2552) 1. วัสดชุ นดิ ท่ี 1 แข็งมากที่สุด 2. วัสดุชนิดที่ 2 แขง็ มากทส่ี ดุ 3. วสั ดชุ นดิ ท่ี 3 แขง็ มากทสี่ ุด 4. วสั ดุชนิดท่ี 1 และ 3 แขง็ มากท่สี ุดเท่ากัน 10. นา้ ก้อนนา้ ตาลไปละลายในของเหลวชนดิ ต่าง ๆ ทอ่ี ณุ หภูมิห้อง บนั ทกึ เวลาท่นี ้าตาลละลายจนหมด ดังแผนภูมิ (ONET’2555) แผนภูมิ แสดงเวลาท่ใี ช้ในการละลายของนา้ ตาลในของเหลว 4 ชนิด ของเหลวชนดิ ใดทา้ ละลายดีท่ีสุด 1. A เพราะใชเ้ วลามากกวา่ D 2. B เพราะใช้เวลาน้อยกว่า C 3. C เพราะใช้เวลามากทีส่ ดุ 4. D เพราะใช้เวลานอ้ ยท่สี ดุ 11. สสารกลมุ่ ใดตอ่ ไปนี้มสี ถานะเปน็ ของแข็ง ของเหลว และแก๊สตามลา้ ดบั (ONET’2550) 1. เกลอื น้าเชอ่ื ม สารสม้ 2. ไอน้า นา้ ปลา น้าตาลทราย 3. ผงซกั ฟอก น้ามันพืช อากาศ 4. นา้ เกลือ ควันไฟ นา้ สม้ สายชู 12. สารกลมุ่ ใดมสี ถานะเดยี วกันทุกชนิด (ONET’2552) 1. ออกซเิ จน ลม น้าอัดลม 2. น้ามัน น้าตาล น้าปลา 3. ปรอท น้าเช่ือม น้าอัดลม 4. ทองค้าเปลว ปรอท ทองเหลอื ง สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ท้าโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 4 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 13. สารในข้อใดตอ่ ไปนี้ ที่จดั อยู่ในสถานะเดียวกนั ทั้งหมด (ONET’2556) 1. สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม 2. น้าตาลทราย น้าปลา น้าเชอ่ื ม 3. น้าอดั ลม นา้ แข็ง น้าโซดา 4. น้าส้มสายชู นา้ มนั พืช แอลกอฮอล์ 14. การกระท้าในขอ้ ใดเป็นการเปลยี่ นแปลงทางเคมี (ONET’2556) 1. เทเกลือลงในนา้ เดือด 2. ผสมปุย๋ เคมีกับน้าไวร้ ดตน้ ไม้ 3. เตมิ นา้ ส้มสายชลู งในก๋วยเตี๋ยว 4. เผาต้นไม้ใหเ้ ปน็ ถ่านไวห้ งุ ต้ม 15. พิจารณาสารในแต่ละขอ้ ตอ่ ไปน้ี จากข้อมูล ถา้ สารในแต่ละข้อมมี วลหรอื ปริมาตรเท่ากัน สารใด ทีแ่ สดงสมบตั ิ “สารมรี ูปร่างคงที่” (ONET’2560) 1. แชมพเู ท่านั้น 2. แชมพูและอากาศ 3. ก้อนยางลบเทา่ น้นั 4. อากาศและกอ้ นยางลบ 16. ตาราง การเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ข้นึ เมอ่ื น้านา้ ไปทดลองดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ หลอดทดลองที่ การทดลอง การเปลย่ี นแปลงทเ่ี กดิ ข้ึน 1 ให้ความรอ้ นกบั นา้ น้าเดือดเปน็ ไอ ได้สารละลายน้าเกลือ 2 ผสมน้ากบั เกลอื เกิดฟองแกส๊ น้ามนั พชื ลอยอยู่บนผวิ น้า 3 ผสมน้ากับผงฟู 4 ผสมนา้ กบั นา้ มนั พืช จากข้อมูลในตาราง การทดลองในหลอดทดลองใดท่สี มบัตขิ องสารไม่เปลี่ยนแปลง (ONET’2551) 1. หลอดท่ี 1 2. หลอดท่ี 2 3. หลอดท่ี 3 4. หลอดที่ 4 สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ท้าโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หนา้ 5 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 17. ตาราง ผลการรอ่ นดว้ ยตะแกรงและการละลายในนา้ ของสาร 4 ชนดิ ชนดิ ของสาร การร่อนดว้ ยตะแกรง การละลายในนา้ A ผา่ น ละลาย B ไมผ่ า่ น ละลาย C ผา่ น ไม่ละลาย D ไม่ผา่ น ไม่ละลาย ถ้าสารทงั้ สี่ชนดิ ผสมอยดู่ ้วยกนั เมือ่ ร่อนดว้ ยตะแกรงแลว้ น้าสารที่ผ่านตะแกรงไปละลายน้า สารทไ่ี มล่ ะลายน้า เหลือเป็นตะกอนอย่คู อื สารใด (ONET’2552) 1. สาร A 2. สาร B 3. สาร C 4. สาร D 18. นา้ ของผสม ซงึ่ ประกอบด้วยสาร 3 ชนดิ คือ สาร A สาร B และสาร C มาแยกดว้ ยวิธีการดังน้ี สาร A , B และ C ควรเปน็ สารใด ตามลา้ ดับ (ONET’2558) 1. ผงทองแดง น้าตาลทราย ผงถา่ น 2. ผงทองแดง เกลือแกง แปง้ มนั 3. ผงตะไบเหล็ก เกลือแกง ผงถา่ น 4. ผงตะไบเหลก็ น้าตาลทราย เกลือแกง 19. พิจารณาสถานการณ์ 4 สถานการณ์ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1.ใส่เกลอื ลงในนา้ 2.วางช็อกโกแลต 3.ใส่ถงุ ชาลงในน้าร้อน 4.แชน่ า้ ในชอ่ งแชแ่ ขง็ ท่ีอณุ หภูมหิ อ้ ง ไว้ในห้องทอ่ี ากาศรอ้ น แลว้ ปิดฝาแกว้ จากสถานการณ์ เม่ือเวลาผ่านไป 10 นาที สถานการณ์ใดทเ่ี กดิ กระบวนการควบแน่น (ONET’2561) 1. สถานการณ์ที่ 1 2. สถานการณ์ท่ี 2 3. สถานการณท์ ่ี 3 4. สถานการณท์ ่ี 4 สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทา้ โดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 6 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 20. ตาราง สมบัติบางประการของสารชนดิ ต่าง ๆ สาร ลักษณะเน้ือสาร สี การดูดด้วยแม่เหลก็ A ผงละเอียด ดา้ ดดู B ผงละเอียด ขาว ไมด่ ดู C ก้อนขนาด 0.5 cm ดา้ ดดู D ก้อนขนาด 0.5 cm ใสไมม่ ีสี ไม่ดดู ถ้าท้าการแยกสาร A B C และ D ที่ผสมกนั อยโู่ ดยการร่อนด้วยตะแกรงที่มรี ขู นาด 0.3 cm และนา้ สารทตี่ ดิ อยู่บน ตะแกรงมาดดู ดว้ ยแม่เหล็กสารที่ถูกแมเ่ หล็กดดู ไว้คือสารใด (ONET’2551) 1. สาร A 2. สาร B 3. สาร C 4. สาร D 21. ข้อมูลแสดงขนาดของสารและสมบตั ิการละลายน้าของสาร 3 ชนิด เปน็ ดงั น้ี สาร ขนาดของสาร (มลิ ลิเมตร) การละลายนา้ W 2.5 ไมล่ ะลาย X 7.0 ละลาย Y 6.3 ไมล่ ะลาย ครูให้นกั เรยี นแยกสารเนอ้ื ผสม W X Y และนา้ ผสมอยู่ โดยทดลองตามล้าดบั ดงั น้ี 1. น้าสารเน้อื ผสมท่มี ีสาร W X Y และน้าผสมอยู่ ไปกรองดว้ ยกระดาษกรอง 2. นา้ สารละลายท่ีกรองไดจ้ ากข้อ 1 ไประเหยแห้ง 3. น้าสารส่วนที่ค้างอยู่บนกระดาษกรองไปลา้ งด้วยนา้ 3 รอบ แล้วผึ่งแดดใหแ้ หง้ จากน้ันนา้ ไปรอ่ นด้วยตะแกรงทมี่ รี ู ขนาด 5 มิลลิเมตร จากการทดลอง สารชนิดใดสามารถแยกออกมาจากสารเนือ้ ผสมได้ (ONET’2561) 1. สาร X เท่าน้ัน 2. สาร Y เท่าน้นั 3. สาร W เท่านนั้ 4. สาร W X และ Y 22. น้ากอ้ นนา้ ตาลท่มี มี วลเทา่ กันไปละลายในของเหลว 4 ชนดิ ที่มปี ริมาตรและอุณหภูมิเทา่ กนั บันทกึ เวลาทีน่ ้าตาล ละลายจนหมดก้อน ได้ผลดงั แผนภูมิ ของเหลวชนิดใดเป็นตัวทา้ ละลายที่ดีท่ีสดุ (ONET’2559) 1. A 2. B 3. C 4. D สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทา้ โดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หน้า 7 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 23. สารผสมประกอบดว้ ย สาร 4 ชนดิ ทีม่ ีลกั ษณะและสมบตั แิ ตกตา่ งกันดังตาราง ตาราง ลักษณะและสมบัตขิ องสาร 4 ชนดิ ชนิดของสาร ลกั ษณะ การละลายนา้ A ผงละเอยี ดเหมอื นแปง้ ได้ B ผงละเอยี ดเหมือนเกลือปน่ ไมไ่ ด้ C เมด็ ขนาด 0.6 ซม. ได้ D เม็ดขนาด 0.4 ซม. ไมไ่ ด้ เมอื่ แยกสารผสมโดยการรอ่ นด้วยตะแกรงท่ีมีรขู นาดเสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 0.5 ซม. นา้ สารทีผ่ า่ นการรอ่ นแลว้ ไปผสมกบั น้าเปล่าใหเ้ ข้ากนั จากนน้ั นา้ ไปกรองด้วยกระดาษกรอง นา้ ของเหลวทผี่ ่านกระดาษกรองไประเหยแหง้ หลังจากใช้ กระบวนการแยกสารทกุ ขนั้ ตอนทก่ี า้ หนดใหข้ ้างต้นแล้ว ตวั เลือกขอ้ ใดกล่าวไดถ้ กู ต้อง (มีคา้ ตอบถูก 2 ข้อ) (ONET’2558) 1. สารท่ีแยกออกจากสารผสมได้เป็นล้าดบั แรกคือ A 2. สารทแี่ ยกออกจากสารผสมได้เป็นลา้ ดบั แรกคือ C 3. สาร A และ B ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ 4. สาร B และ C ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ 5. สาร B และ D ไมส่ ามารถแยกออกจากกนั ได้ 6. สารทุกชนิดสามารถแยกออกเปน็ อสิ ระได้ 24. ข้อมลู แสดงการเปลี่ยนแปลงของสาร เป็นดังนี้ A. เกลือละลายในน้า B. น้ากลายเป็นไอ C. ไม้ถกู เผากลายเปน็ ถ่าน D. ผลไมถ้ กู บม่ จนสุกงอม E. เหล็กเกดิ สนมิ F. หยดน้าในอากาศกลายเปน็ ลูกเห็บ จากข้อมลู ข้อใดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมีทงั้ หมด (ONET’2560) 1. A B และ F 2. B C และ D 3. D E และ F 4. C D และ E 25. นา้ สารผสมทีป่ ระกอบด้วยเกลอื ปน่ ผงเหลก็ และทรายละเอยี ด ซึง่ อยู่ในบีกเกอร์ A ไปแยกตามขน้ั ตอนต่อไปน้ี ก. น้าแม่เหล็กมาดูดสารผสมที่อยู่ในบีกเกอร์ A ข. เติมน้าลงในบีกเกอร์ A คนสารให้ผสมกัน แล้วน้าไปกรองดว้ ยกระดาษกรอง จะได้ของเหลวอยใู่ นบีกเกอร์ B ค. นา้ ของเหลวท่อี ยู่ในบีกเกอร์ B ไปให้ความร้อน ข้อความตอ่ ไปน้กี ล่าวถกู ต้องใชห่ รอื ไม่ (ONET’2560) ข้อความ ใช่ หรอื ไมใ่ ช่ 25.1 เมอ่ื แยกสารผสมตามข้ันตอน ก – ค สารท่ีเหลอื อยู่ในบกี เกอร์ B คอื เกลอื แกง ใช่ / ไม่ใช่ 25.2 ถ้าท้าการทดลองในขั้นตอน ก – ข แล้ว จะสามารถแยกของแเขง็ ท้ังหมดออกจากของเหลวท่ี ใช่ / ไมใ่ ช่ อย่ใู นบีกเกอร์ B ได้ 25.3 ถา้ ไม่ได้ใชว้ ธิ ีการในข้ันตอน ก สารละลายทไี่ ด้หลังการกรองจะมีผงเหล็กผสมอยดู่ ้วย ใช่ / ไมใ่ ช่ สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทา้ โดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หนา้ 8 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 26. น้าสาร A ใส่ในภาชนะปิดใบหนึ่ง แลว้ นา้ ไปวางไว้ในบรเิ วณทีม่ ีอุณหภมู แิ ตกตา่ งกัน พบวา่ สาร A เกดิ การเปล่ียน สถานะแตกต่างกัน ดงั ภาพ จากขอ้ มลู ข้อสรปุ ใดถูกตอ้ ง (ONET’2562) 1. สาร A ท่ีสถานะ X และ Z จะมีมวลไม่เทา่ กนั 2. สาร A ท่ีสถานะ X มปี ริมาตรมากกวา่ ทส่ี ถานะ Y 3. ถา้ ลดอุณหภมู ิของสาร A ที่สถานะ Y สารจะเปลี่ยนเปน็ สถานะ Z 4. สาร A ท่ีสถานะ Y จะมกี ารจดั เรยี งตวั ของอนภุ าคอยู่ห่างกันมากทส่ี ุด 27. สาร A B C และ D เป็นสารทไี่ ม่ละลายนา้ และมีขนาดของสารเมอ่ื เปรียบเทียบกับขนาดรขู องตะแกรงกบั ขนาดรู ของวสั ดุท่ใี ชก้ รองสาร เปน็ ดังนี้ ชนิดของสาร ขนาดของสารเมอ่ื เปรียบเทียบกบั A ขนาดรูของตะแกรง ขนาดรูของวัสดทุ ี่ใชก้ รองสาร B C ขนาดของสารใหญ่กว่ารูของตะแกรง ขนาดของสารใหญ่กวา่ รขู องตะแกรง D ขนาดของสารเล็กกว่ารูของตะแกรง ขนาดของสารเล็กกวา่ รขู องตะแกรง ขนาดของสารใหญก่ ว่ารูของตะแกรง ขนาดของสารใหญ่กวา่ รขู องตะแกรง ขนาดของสารเล็กกว่ารูของตะแกรง ขนาดของสารใหญก่ วา่ รขู องตะแกรง ถา้ นา้ น้าทมี่ ีสาร 4 ชนิดนีผ้ สมอยู่มากรอง โดยเทใสใ่ นภาชนะที่ภายในประกอบดว้ ย ตะแกรง และวัสดทุ ่ใี ชก้ รองสาร ดังภาพ จากขอ้ มลู สารชนิดใดติดค้างอยู่บนวสั ดทุ ใ่ี ชก้ รองสาร (ONET’2562) 1. สาร B เทา่ น้ัน 2. สาร D เทา่ น้ัน 3. สาร A และสาร C 4. สาร B และสาร D 28. น้าสาร W X Y และ Z ซึ่งมลี กั ษณะเป็นก้อนของแขง็ สีขาว ขนาดเทา่ กนั มาท้าการทดลองดังนี้ * ผสมสาร W กับน้า ไดข้ องเหลวใส และมฟี องแกส๊ เกิดขน้ึ * ผสมสาร X กับสารละลายเกลือแกง ได้ของเหลวใส ไมม่ สี ี * ใหค้ วามร้อนกบั สาร Y พบว่า สารมลี กั ษณะเหลวและมีสีน้าตาล * เผาสาร Z พบว่า มแี กส๊ เกิดขน้ึ และของแขง็ สขี าวแตกเป็นผงละเอียดสขี าว จากผลการทดลอง พบว่า มกี ารทดลองของสารเพียงชนิดเดียวเท่านน้ั ทีไ่ ม่มสี ารใหม่เกิดขึน้ จากข้อมลู การทดลองของสารใดเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (ONET’2563) 1. สาร W 2. สาร X 3. สาร Y 4. สาร Z สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทา้ โดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 9 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 29. ทดสอบสมบตั วิ สั ดุ 4 ชนิด โดยทา้ การทดลอง 3 การทดลองดงั นี้ การทดลองที่ 1 น้าเหล็กขดู บนวัสดุ การทดลองท่ี 2 ใหค้ วามรอ้ นกบั วัสดุ จนวัสดมุ อี ุณหภมู เิ พ่มิ ขน้ึ 10 องศาเซลเซียส การทดลองท่ี 3 ต่อวสั ดกุ กับวงจรไฟฟา้ โดยให้หลอดไฟฟา้ และวัสดุต่อกนั แบบอนุกรม ผลการทดลองท่ไี ด้เป็นดังตาราง วัสดุ การเกิดรอยบนวัสดุ เวลาท่ใี ชใ้ นการทา้ ใหว้ สั ดุ ความสว่างของหลอด เมอื่ นา้ เหลก็ มาขดู มอี ณุ หภมู ิเพ่ิมขึ้น (นาที) ไฟฟา้ A เกิดรอย 5 ไมส่ ว่าง B เกดิ รอย 2 สว่าง C ไม่เกิดรอย 1 สว่าง D ไม่เกิดรอย 8 ไม่สวา่ ง ข้อใดกล่าวถกู ตอ้ ง (ONET’2563) 1. วสั ดุ A นา้ ไปผลิตเปน็ ตวั น้าไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ ของพัดลมได้ 2. วสั ดุ C สามารถตัดใหเ้ ป็นแผ่นได้ โดยใช้เครอ่ื งตัดที่ท้าจากเหล็ก 3. ตะแกรงย่างทท่ี า้ จากวัสดุ D ทา้ ให้อาหารสุกชา้ กว่าทีท่ ้าจากวัสดุ C 4. ดา้ มจบั กระทะทที่ า้ จากวสั ดุ B ป้องกันความรอ้ นไปสู่มอื ได้ดีกวา่ วสั ดุ A 30. การเปลยี่ นสถานะของสารใดเกดิ ขึ้นเน่อื งจากสารสูญเสียความร้อน (ONET’2563) 1. น้าชาท่ีต้มอย่ใู นหมอ้ มีไอน้าเกดิ ขนึ้ 2. เทียนไขเกิดการออ่ นตัวหลงั จากจุดไฟเพอื่ ให้ความสว่าง 3. ไอสารสนี ้าตาลรวมตวั เปน็ หยดเกาะอยูข่ ้างขวดแก้วทีแ่ ชเ่ ยน็ 4. นา้ แข็งแห้งทีว่ างไวน้ อกตูเ้ ย็นมีควนั เกิดขน้ึ และมขี นาดเลก็ ลง 31. ศกึ ษาผลของแรงโนม้ ถว่ งท่มี ีต่อวัตถุ A และวัตถุ B ในบริเวณเดยี วกัน ซึ่งวตั ถทุ ้ังสองมมี วลเท่ากัน แต่วตั ถุ A มีขนาดใหญก่ ว่าวตั ถุ B โดยทา้ การศกึ ษา ดังนี้ ตอนที่ 1 ชัง่ น้าหนกั ของวัตถทุ ้งั สองช้นิ ตอนที่ 2 สังเกตการเคล่อื นท่ี โดยเม่ือปลอ่ ยวัตถุ A พบว่า วตั ถุ A ตกสู่พ้ืน ในตอนท่ี 1 น้าหนักของวัตถทุ งั้ สองเปน็ อยา่ งไร และในตอนท่ี 2 ถ้าโยนวัตถุ B ในทิศทางขึ้น วตั ถุ B จะเคลื่อนที่ อยา่ งไร (ONET’2563) เปรยี บเทยี บน้าหนัก พยากรณ์การเคล่อื นท่ีของวตั ถุ B 1. เท่ากนั เคลือ่ นท่ขี น้ึ แลว้ ตกสพู่ นื้ 2. เท่ากนั เคล่อื นทีข่ ึ้นแล้วไม่ตกสพู่ ื้น 3. วัตถุ A มากกว่าวสั ถุ B เคลื่อนทขี่ ้นึ แล้วตกสูพ่ น้ื 4. วัตถุ A มากกวา่ วัสถุ B เคลอื่ นทข่ี ึ้นแล้วไม่ตกส่พู ้ืน สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทา้ โดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หนา้ 10 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 32. ทดสอบสมบตั ขิ องเส้นเอน็ ยืด A B และ C ทีม่ ขี นาดเท่ากนั และมีความยาวเริ่มต้น 17 เซนตเิ มตรโดยผูกเสน้ เอ็น ยดื เขา้ กับคานไม้ ดังภาพ แขวนตมุ้ น้าหนกั มวล 2 กโิ ลกรมั ทีข่ อเกย่ี วของเสน้ เอ็ดยืดแตล่ ะเส้น แล้วบนั ทกึ ความยาวของเสน้ เอ็นยืดขณะแขวน และหลงั จากนา้ ตุ้มน้าหนกั ออก ได้ผลดงั ตาราง ชนิดของเสน้ เอน็ ยืด ความยาวของเสน้ เอน็ ยดื (เซนตเิ มตร) ขณะแขวนต้มุ น้าหนกั หลังน้าต้มุ นา้ หนักออก A 19 19 B 18 17 C 20 18 จากขอ้ มูล ข้อใดเรียงล้าดบั เสน้ เอ็นยืดท่ีมสี ภาพยดื หยนุ่ จากมากไปนอ้ ยไดถ้ กู ต้อง (ONET’2562) 1. เสน้ เอ็นยืด B A และ C 2. เส้นเอ็นยดื B C และ A 3. เส้นเอน็ ยดื A C และ B 4. เส้นเอน็ ยดื C A และ B 33. นกั เรียนคนหน่งึ เตรยี มเครือ่ งดม่ื น้าอัญชนั มะนาว โดยมีขั้นตอนดังน้ี 1) ต้มนา้ ให้เดือดแล้วใสด่ อกอญั ชนั สนี ้าเงิน จะได้นา้ อัญชนั ท่ีมสี นี ้าเงิน 2) ใชผ้ า้ ขาวบางกรอบเพอื่ แยกเอาน้าอญั ชนั ซึ่งมสี ีน้าเงนิ 3) เติมน้าตาลทรายลงไปในนา้ อญั ชนั ได้เปน็ น้าอัญชนั ท่ีมสี นี ้าเงิน 4) เติมน้ามะนาวลงไป ไดเ้ ป็นนา้ อญั ชนั มะนาวทมี่ ีสมี ่วง จากข้อมูล ข้ันตอนใดมีสารใหมเ่ กดิ ขึ้น (ONET’2562) 1. ขน้ั ตอนที่ 1 2. ขั้นตอนที่ 2 3. ขัน้ ตอนท่ี 3 4. ข้ันตอนท่ี 4 สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดท้าโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หนา้ 1 เน้ือหาหน่วยท่ี 7 มาตรฐานและตัวชว้ี ัด แรงลัพธ์ การวดั แรงท่กี ระทาตอ่ วตั ถุ และแรงเสียดทาน ว 2.2 ป.5/1-5/2 ว 2.2 ป.5/3 ว 2.2 ป.5/4-5/5 1. รถลากจงู ออกแรง 1,000 นิวตนั ลากรถที่ตกหล่ม โดยเจา้ ของรถชว่ ยออกแรง 100 นิวตัน ผลักท้ายรถ เน่ืองจาก เครอ่ื งยนตไ์ มท่ างาน ทาใหล้ ากรถขึ้นจากหล่มไดพ้ อดี ถ้าเจ้าของรถไม่ช่วยออกแรงผลักรถทตี่ กหล่ม รถลากจูงจะตอ้ งออก แรงเทา่ ใด จงึ ลากรถขึ้นจากหลม่ ได้ (ONET’2551) 1. 100 นวิ ตนั 2. 900 นิวตนั 3. 1,100 นิวตัน 4. 1,200 นวิ ตนั 2. ถ้าชายคนท่ี 1 ออกแรง 5 นิวตัน สามารถผลักตู้เสือ้ ผ้า ไปตามพน้ื ราบไดไ้ กลเป็นระยะทางหนึ่ง ถ้ามชี ายคนท่ี 2 มาชว่ ยออกแรง 4 นวิ ตัน ผลักตู้เสื้อผ้าพร้อมกันกบั ชายคนท่ี 1 ไปในทิศทางเดยี วกนั ขอ้ ใดสรปุ ถกู ต้อง (ONET’2547) 1. ตเู้ สอ้ื ผ้าเคลอื่ นทไ่ี ปเล็กน้อย 2. ตู้เส้อื ผ้าจะเคล่อื นทไี่ ปไดไ้ กลขนึ้ ดว้ ยแรง 2 แรง 3. ตเู้ ส้อื ผ้าไม่เคลื่อนทดี่ ้วยแรง 2 แรงท่ไี ม่เท่ากัน 4. ตูเ้ สอื้ ผ้าจะเคลอ่ื นที่เอียงไปทางด้านข้างตามแรงที่มากกว่า 3. มะลิทดสอบแผน่ ยาง ชนิด A และ ชนดิ B โดยวางแผน่ ยางชนดิ A บนพ้นื แลว้ ออกแรงดึงแผน่ ยาง ในทศิ ทางขนานกบั พ้ืนดงั ภาพ พร้อมทงั้ บนั ทกึ ระยะทางทแ่ี ผน่ ยางท่ีเคลือ่ นท่ไี ดใ้ นเวลา 10 นาที จากนน้ั ทาซ้าโดยเปลี่ยนแผ่นยางเป็นชนดิ B ซึง่ มีมวลเท่ากับชนดิ A แล้วออกแรงดึงขนาด เท่าเดมิ ได้ผลเป็นดังตาราง ชนดิ ของแผ่นยาง ระยะทางท่แี ผ่นยางเคลอื่ นทไ่ี ด้ (เซนตเิ มตร) A 35 B 60 หากตอ้ งการเลือกแผน่ ยางจากขา้ งตน้ ไปทาพน้ื รองเทา้ เพ่อื ปอ้ งกันการล่นื ลม้ ควรเลือกแผน่ ยางชนดิ ใด เพราะเหตใุ ด (ONET’2561) 1. ชนดิ A เพราะแผ่นยางเกิดแรงเสียดทานมากกวา่ 2. ชนดิ A เพราะแผน่ ยางเกดิ แรงเสียดทานนอ้ ยกว่า 3. ชนิด A เพราะแผน่ ยางเกิดแรงเสียดทานมากกว่า 4. ชนดิ A เพราะแผน่ ยางเกิดแรงเสียดทานน้อยกว่า สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 4. ตารางระยะทางทกี่ ลอ่ งเคลื่อนทบ่ี นพืน้ ผวิ ลักษณะตา่ ง ๆ เม่อื ออกแรงผลักเทา่ กนั ในระยะเวลาเท่ากัน ชนดิ พนื้ ผิว ระยะทางทีก่ ล่องเคลอ่ื นทไ่ี ด้ (เมตร) จากขอ้ มูลในตาราง พ้นื ผวิ ท่กี ่อให้เกดิ A 2.1 แรงเสียดทานมากทีส่ ุดคือข้อใด B 2.5 (ONET’2553) C 2.7 D 3.0 1. A 2. B 3. C 4. D 5. จงพจิ ารณาการออกแบบสิง่ ประดิษฐต์ ่อไปน้ี ก. การออกแบบชดุ นกั กฬี าว่ายน้า ข. การออกแบบดอกยางรถยนต์ ค. การออกแบบรถแขง่ ง. การออกแบบจรวด การออกแบบส่งิ ประดิษฐ์ ที่ตอ้ งลดแรงเสยี ดทานคอื ขอ้ ใด (ONET’2556) 1. ก ข ค 2. ข ค ง 3. ก ข ง 4. ก ค ง 6. กาหนดประโยชน์ของแรงเสยี ดทาน ดังน้ี A. การสวมรองเทา้ ผ้าใบว่ิง D. การทาพน้ื ผวิ ถนนคอนกรตี ให้หยาบ B. การใช้พน้ื เอยี งขนของขนึ้ ท่สี งู E. การใช้รถเข็นของในห้างสรรพสนิ ค้า C. การใชต้ ลับลูกปนื ในระบบลอ้ และเพลา F. การทาผิวยางรถยนต์ให้มีร่องเปน็ ลวดลาย ขอ้ ใดเป็นการใชป้ ระโยชนจ์ ากการเพิม่ แรงเสียดทาน (ONET’2555) 1. A D F 2. A C F 3. B C E 4. B E F 7. ทดลองออกแรงผลักวตั ถกุ อ้ นหนึง่ ให้เรมิ่ เคลื่อนที่ไปบนพืน้ ผิวทีแ่ ตกตา่ งกัน 3 ชนดิ คอื A B และ C ผลการทดลอง พบว่า บนพื้นผิว A B และ C ตอ้ งออกแรงผลกั วตั ถุ 10 15 และ 8 นิวตนั ตามลาดับ เปรยี บเทยี บแรงเสยี ดทาน เปน็ ไปตามข้อใด (ONET’2559) 1. C < A < B 2. A < B < C 3. B < A < C 4. A < C < B 8. ออกแรงทเี่ ทา่ กนั ในชดุ การทดลอง A B C และ D ลากแทง่ ไม้ใหเ้ คลื่อนทีบ่ นพื้นผวิ ชนดิ ตา่ ง ๆ จากจุด X ไปยงั จุด Y ดังภาพซ้ายมอื พบว่าแท่งไม้ใช้เวลาในการเคลื่อนท่บี นพนื้ ผิวแตล่ ะชนิดแตกต่างกัน ดงั ตาราง ชดุ การทดลอง พื้นผิว เวลา (วนิ าท)ี A กระดาษ 6 B คอนกรีต 15 C หนิ อ่อน 9 D 12 อฐิ แรงเสียดทานในชุดการทดลองใดมีค่ามากทีส่ ุด (ONET’2560) 4. D 1. A 2. B 3. C สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 9. น้าใสออกแรงดึงกลอ่ งทว่ี างอย่นู ่ิงบนพ้นื ราบ ด้วยแรงขนาด 20 นิวตัน ในแนวราบพบวา่ กล่องยงั คงอย่นู ่งิ จากขอ้ มูล ขอ้ ใดเขยี นแผนภาพแสดงแรงแนวราบท่กี ระทาตอ่ กลอ่ ง และระบุขนาดของแรงลพั ธ์ทก่ี ระทาต่อกล่อง ไดถ้ ูกต้อง (ONET’2563) แผนภาพของแรงท่กี ระทาต่อกลอ่ ง ขนาดของแรงลัพธ์ 1. แรงดงึ 20 นิวตนั กล่อง ไมเ่ ทา่ กับศนู ย์ แรงเสียดทานมากกว่า 20 นวิ ตัน 2. แรงดึง 20 นวิ ตัน กลอ่ ง ไมเ่ ท่ากับศนู ย์ แรงเสยี ดทานมากกว่า 20 นวิ ตนั 3. แรงดึง 20 นวิ ตัน กลอ่ ง เท่ากบั ศนู ย์ แรงเสียดทาน 20 นวิ ตัน 4. แรงดงึ 20 นิวตัน กล่อง เทา่ กับศูนย์ แรงเสยี ดทาน 20 นิวตนั 10. ศึกษาการเคล่อื นท่ีของวตั ถบุ นพน้ื ยางและพืน้ กระจก โดยผลกั วัตถุแล้วปล่อยมอื ให้วัตถุเคลือ่ นที่บนพ้ืนชนดิ หนึ่งจาก ตาแหน่งเรม่ิ ตน้ บนั ทึกตาแหนง่ สดุ ท้ายท่ีวัตถเุ คล่อื นท่ไี ปได้ จากนน้ั ทดลองซา้ โดยผลกั ให้วตั ถมุ ีความเรว็ เริ่มตน้ เท่าเดิม แตเ่ ปล่ยี นเปน็ พน้ื อีกชนิดหนงึ่ ผลเป็นดังภาพ การทดลองครัง้ ใดมแี รงเสียดทานน้อยกว่า และคร้ังดังกล่าวใช้พ้นื ชนิดใด (ONET’2562) 1. ครง้ั ที่ 1 และใชพ้ ้นื ยาง 2. ครงั้ ท่ี 1 และใช้พื้นกระจก 3. คร้งั ท่ี 2 และใช้พืน้ ยาง 4. ครั้งท่ี 2 และใช้พื้นกระจก สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หนา้ 4 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 11. ในการทดลองลากกล่องใบเดยี วกันบนพนื้ ผิวลกั ษณะต่าง ๆ ดว้ ยตาชงั่ สปริง (ดังภาพ) อา่ นขนาดของแรงทีใ่ ช้เมือ่ กลอ่ งเร่ิมเคล่ือนท่ี ไดผ้ ลดังตาราง ตาราง ขนาดของแรงท่ีใช้ลากเมอื่ กล่องเรม่ิ เคลอื่ นทบี่ นพ้ืนผิวลักษณะต่าง ๆ ลักษณะของพ้ืนผวิ ขนาดของแรงท่ใี ช้ลากเม่ือกลอ่ ง เรม่ิ เคลอ่ื นท่ี (นิวตัน) ชนิดที่ 1 5 ชนดิ ท่ี 2 6 ชนิดท่ี 3 7 ชนดิ ท่ี 4 9 จากขอ้ มลู การลากกล่องบนพนื้ ผิวชนิดใดเกิดแรงเสียดทานมากที่สดุ (ONET’2552) 1. ชนดิ ที่ 1 2. ชนดิ ท่ี 2 3. ชนิดท่ี 3 4. ชนิดท่ี 4 สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หน้า 1 เน้ือหาหนว่ ยท่ี 8 มาตรฐานและตัวชีว้ ดั การไดย้ ินเสียง เสยี งสูงและเสียงต่า เสยี งดังและเสยี งค่อย การวดั ระดบั เสียง มลพษิ ทางเสียง ว 2.3 ป.5/1-5 1. ตารางปริมาณเวลาที่อนุญาตให้พนักงานทา่ งานได้อย่างปลอดภัยท่คี วามเข้มเสียงเมอ่ื ไดร้ บั อยา่ งตอ่ เน่ืองในระดับต่าง ๆ ระดับความเข้มเสยี งท่ไี ด้รบั อย่างตอ่ เน่ือง (เดซิเบล) 91 90 85 80 เวลาท่ีอนญุ าตให้ท่างานไดอ้ ย่างปลอดภัย (ช่วั โมง) 6789 จากตาราง การท่างานลักษณะใดมโี อกาสไดร้ บั อนั ตรายจากเสียงมากทีส่ ดุ (ONET’2550) 1. ทา่ งาน 5 ช่ัวโมงในบริเวณท่มี ีระดับความเข้มเสียง 91 เดซเิ บล 2. ท่างาน 6 ช่วั โมงในบรเิ วณทีม่ รี ะดับความเขม้ เสียง 90 เดซิเบล 3. ท่างาน 8 ชว่ั โมงในบรเิ วณทีม่ รี ะดบั ความเข้มเสียง 80 เดซิเบล 4. ท่างาน 9 ชวั่ โมงในบรเิ วณทม่ี ีระดบั ความเข้มเสียง 85 เดซิเบล 2. ตาราง ผลการฟังเสียงกระด่ิง เมอ่ื เขย่าขวดปดิ ฝาสนิท ระหว่างขวดที่มอี ากาศและขวดท่ีสบู อากาศออกหมด การทดลอง การทดลอง ผลการฟงั เสียงกระดิ่ง ขั้นท่ี 1 ไดย้ นิ กระด่ิงในขวดทีม่ อี ากาศ เขย่าขวด ข้ันที่ 2 สบู อากาศออกจนหมด ไม่ได้ยิน สรปุ ผลของการทดลองนคี้ ืออะไร เขยา่ ขวด 1. ขนาดของขวดมีผลต่อการได้ยินเสียง 3. เสียงเคล่ือนที่โดยอาศัยอากาศเป็นตัวกลาง 2. ความถใ่ี นการเขย่าขวด ทา่ ให้เกิดเสียง 4. อากาศมผี ลตอ่ ความถีใ่ นการสน่ั ของกระดิ่ง 3. ภาพการฟังเสียงที่เกดิ จากการเคาะชอ้ นใต้ผิวน้่าในกลอ่ งพลาสติก จากการทดลอง นักเรียนสามารถได้ยินเสยี งเคาะช้อนใต้ผิวน่า้ ไดช้ ดั เจน การทดลองน้ตี รวจสอบเรือ่ งใด (ONET’2551) 1. น้่าเป็นตัวกลางในการเคล่อื นทีข่ องเสียง 2. ช้อนเปน็ ตวั กลางในการเคลื่อนท่ีของเสียง 3. ขนาดชอ้ นมผี ลตอ่ การเกิดเสียงใตน้ ่า้ 4. ปรมิ าณนา่้ มีผลต่อระดับความเขม้ ของเสียง สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทา่ โดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 4. ทดลองตีกลอง 4 ใบ ด้วยแรงเท่าเดมิ แลว้ บันทกึ ระดับเสียงท่ีได้ยิน แสดงผลดังตาราง ระดับเสยี งท่ีได้ยนิ เม่อื ตีกลอง 4 ใบ ทลี ะใบดว้ ยแรงเทา่ เดิม กลอง เสยี งทไ่ี ดย้ ิน จากตาราง การตกี ลองแลว้ ทา่ ให้ผิวหน้าของกลองส่นั ด้วยความถี่ ตา่ สุดคือการตีกลองในข้อใด (ONET’2551) ใบท่ี 1 แหลมที่สดุ 1. ใบท่ี 1 2. ใบท่ี 2 ใบท่ี 2 แหลม 3. ใบที่ 3 4. ใบที่ 4 ใบที่ 3 ทุ้ม ใบที่ 4 ทุ้มทสี่ ุด 5. แขวนแผ่นเหลก็ ชนิดเดียวกัน มคี วามหนาเท่ากนั แตม่ ขี นาดตา่ งกัน ดงั ภาพ (ONET’2552) แผน่ ที่ 1 แผน่ ท่ี 2 แผ่นที่ 3 แผ่นที่ 4 ถ้าตแี ผ่นเหล็กดว้ ยแรงเท่ากนั เสยี งท่ีเกดิ เป็นอย่างไร (เลอื ก 2 ค่าตอบจาก 6 ตวั เลือก) 1. แผน่ ที่ 1 เสียงสงู กวา่ แผน่ ที่ 3 2. แผน่ ที่ 2 เสยี งสูงกว่าแผน่ ท่ี 1 3. แผน่ ที่ 2 เสยี งสงู กว่าแผน่ ที่ 4 4. แผ่นที่ 3 เสยี งสงู กวา่ แผน่ ที่ 1 5. แผ่นท่ี 3 เสยี งสงู เท่ากับแผ่นที่ 4 6. แผน่ ที่ 4 เสยี งสงู กว่าแผ่นท่ี 2 6. ในรายการทางโทรทัศน์ นักร้องได้ร้องเพลงท่อนหนึ่งในท่านองเสียงที่เป็นเสียงสูงมาก ถ้านักร้องคนน้ีเปรียบเสมือน แหลง่ ก่าเนิดเสียง ในขณะทน่ี ักร้องกา่ ลงั ร้อนเพลงท่อนน้ี ข้อใดกล่าวถกู ต้อง (ONET’2556) 1. แหล่งก่าเนดิ เสียง สั่นชา้ 2. แหลง่ ก่าเนิดเสยี งสน่ั เรว็ 3. แหลง่ ก่าเนิดเสยี ง มพี ลังงานเสียงมาก 4. แหล่งกา่ เนดิ เสียง มีพลังงานเสียงน้อย 7. ขณะท่ีนักดนตรดี ดี สายกตี ารด์ ้วยตัวดดี (ป๊ิก) ผฟู้ งั ได้ยินเสียงกีตาร์ได้เนื่องจากเหตใุ ด (ONET’2558) 1. สายกตี ารก์ ระทบกบั ตัวกีตาร์เกิดเสียงออกมา 2. สายกีตารส์ ัน่ เพราะถูกดีดจึงท่าใหเ้ กิดเสียงออกมา 3. สายกีตารไ์ ม่ทา่ ให้เกิดเสยี ง แต่ตัวดดี ทา่ ให้เกดิ เสียงออกมา 4. สายกีตาร์ทถี่ ูกดีดสั่นแลว้ กระทบสายกีตาร์ท่ีอยตู่ ิดกันทา่ ให้เกิดเสียงออกมา สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ท่าโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หน้า 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 8. ใส่นา้่ ในแกว้ ประมาณครึ่งแก้ว จากน้ันใชแ้ ท่งไมเ้ คาะแก้วและฟงั เสียงที่เกิดข้นึ ต่อมาเทน้า่ ปรมิ าณครง่ึ หนึ่งออกจาก แกว้ ใบเดมิ จากนั้นเคาะแก้วด้วยแรงที่นอ้ ยลงกว่าครั้งแรก และฟงั เสยี งทีเ่ กิดข้ึน คร้งั แรก เคาะแก้วท่มี นี ่า้ ครง้ั หลงั เคาะแกว้ ที่มีน้า่ น้อยลง ประมาณครึ่งแกว้ และเคาะดว้ ยแรงนอ้ ยลงกว่าครั้งแรก จากขอ้ มูล เสยี งเคาะทไี่ ด้ยินในคร้ังหลังจะต่างจากครัง้ แรกอย่างไร (ONET’2560) 1. เสยี งท้มุ และคอ่ ยกว่าเดิม 2. เสียงทุ้มและดงั กว่าเดมิ 3. เสียงแหลมและค่อยกว่าเดิม 4. เสียงแหลมและดังกว่าเดิม 9. นา่ แกว้ 4 ใบทีม่ ีรปู ร่าง ขนาดและมวลเทา่ กนั มาใส่น้่าในปริมาณต่างกัน ดังรูป เม่ือเคาะแก้วท้ัง 4 ใบ จะเกิดเสียงท่ี ตา่ งกนั ABCD แกว้ ใบไหนเกิดเสยี งที่มีความถนี่ ้อยท่สี ดุ (ONET’2557) 1. A 2. B 3. C 4. D 10. รดั กล่องพลาสตกิ ด้วยยาง A และยาง B ซึ่งเหมือนกัน ทดสอบดงึ ยาง A ขนึ้ ดังภาพ แลว้ ปล่อยยาง ฟงั เสียงท่ี เกิดขึน้ จากนัน้ ทดสอบเชน่ เดมิ กับยาง B แต่ดงึ ขึน้ ใหส้ ูงกว่ายาง A เสียงทเี่ กิดขนึ้ จากการดงึ ยางแต่ละเสน้ มสี ่ิงใดต่างกนั และต่างกนั อยา่ งไร (ONET’2561) 1. ความถข่ี องเสยี ง โดยยาง A เกิดเสียงสงู กว่า 2. ความถีข่ องเสยี ง โดยยาง B เกดิ เสียงสูงกวา่ 3. ความดงั ของเสียง โดยยาง A เกดิ เสยี งดงั กว่า 4. ความดังของเสียง โดยยาง B เกิดเสียงดงั กวา่ ยาง A ยาง B 11. กตี าร์เป็นเครื่องดนตรที ี่ประกอบด้วยสายกตี ารห์ ลายเสน้ ท่มี ขี นาดต่าง ๆ กนั เมือ่ กดสายกตี ารท์ ี่ต่าแหน่งเดียวกนั แล้ว ดีด ข้อใดกล่าวถูกต้อง (ONET’2559) 1. เส้นท่หี นาส่นั เร็วกว่าเสน้ ทีบ่ าง 2. เสน้ ทห่ี นาส่ันชา้ กวา่ เสน้ ทบ่ี าง 3. เส้นท่ีหนาส่ันเทา่ กับเส้นที่บาง 4. เสน้ ทห่ี นาไมเ่ กดิ การส่ัน แตเ่ ส้นท่ีบางเกิดการสนั่ สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทา่ โดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

หน้า 4 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 12. มาลที ดสอบการเกิดเสยี งจากการตรี ะนาดของเลน่ ซงึ่ ถูกระนาดแตล่ ะแผ่นมีความหนาเท่ากนั โดยกา่ หนดแผ่นลกู ระนาด X Y และ Z ดังภาพ จากนั้น มาลตี คี รัง้ ท่ี 1 ที่แผน่ Y แล้วฟงั เสยี งท่ีเกดิ ขึ้น ถา้ มาลตี อ้ งการให้เกิดเสียงคร้งั ท่ี 2 เปน็ เสียงแหลมกวา่ และดัง กว่าครงั้ ที่ 1 มาลคี วรตที ีแ่ ผ่นใด และตลี กู ระนาดอยา่ งไร (ONET’2562) XYZ 1. ตีท่แี ผ่น X ดว้ ยแรงนอ้ ยกวา่ เดิม 2. ตีทแี่ ผ่น X ด้วยแรงมากกวา่ เดมิ 3. ตที ี่แผน่ Z ดว้ ยแรงนอ้ ยกวา่ เดิม 4. ตที ่แี ผ่น Z ดว้ ยแรงมากกว่าเดิม 13. โป้งและก้อยจะศึกษาปัญหาว่า “ความดงั ของเสียงทไ่ี ด้ยินขนึ้ กบั ระยะห่างของแหล่งก่าเนิดเสียงกบั ผู้สงั เกตอย่างไร” โดยทง้ั สองคนได้ออกแบบการทดลองดังน้ี ขนั้ ตอนท่ี 1 วางวทิ ยไุ ว้กลางหอ้ งและเปิดวิทยุ ข้นั ตอนที่ 2 สังเกตและเปรยี บเทียบความดังของ เสียงทต่ี า่ แหนง่ A B และ C ซ่ึงในข้นั ตอนนโ้ี ป้ง และก้อยไดอ้ อกแบบต่างกนั ดงั แผนภาพ ปญั หาดงั กลา่ วมีตวั แปรต้นเปน็ สงิ่ ใด และการออกแบบของใครสอดคล้องกบั ปญั หาน้ี (ONET’2563) 1. ความดงั ของเสียง และ การออกแบบของโป้ง 2. ความดังของเสียง และ การออกแบบของกอ้ ย 3. ระยะหา่ งของแหล่งก่าเนิดเสียงกับผสู้ ังเกต และ การออกแบบของโป้ง 4. ระยะหา่ งของแหลง่ ก่าเนิดเสียงกบั ผู้สงั เกต และ การออกแบบของก้อย สรปุ วทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทา่ โดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หนา้ 1 เน้อื หาหนว่ ยที่ 9 มาตรฐานและตวั ชว้ี ดั ตวั กลางแสง และเงามืด เงามัว ว 2.3 ป.4/1 ว 2.3 ป.6/7-8 1. ตาราง ลกั ษณะของเปลวเทียนท่มี องเหน็ เมอื่ มองผ่านวัตถุชนดิ ตา่ ง ๆ ชนิดของวัตถุ ลกั ษณะของเปลวเทียนท่มี องเห็น ขอ้ ใดคือวตั ถทุ ึบแสง วัตถุโปรง่ แสง และวัตถโุ ปร่งใส A เห็นไมช่ ัด เรียงตามลาดับ (ONET’2552) B เห็นชัดเจน C ไมเ่ ห็น 1. A B C D เห็นไม่ชดั 2. B D A E เห็นชัดเจน 3. C A E F เหน็ ไม่ชดั 4. C B F 2. ถ้าต้องการปรบั ปรงุ ห้องนา้ ใหม้ คี วามสว่างจากธรรมชาติเพม่ิ ข้นึ โดยทาช่องแสงเพ่มิ เติมและไม่ให้มองเห็นทะลภุ ายใน หอ้ งนา้ วัสดุขอ้ ใดทเี่ หมาะสมสาหรบั เลือกใชท้ าชอ่ งแสง (ONET’2559) 1. แผน่ หนิ หยกสีเขยี วบาง 2. แผน่ กระเบ้อื งปพู ้ืน 3. แผน่ แก้วใส 4. แผ่นเหลก็ 3. ภาพการเกดิ เงาของวัตถตุ อ่ ไปนี้ ภาพใดเกิดไดจ้ รงิ (ONET’2551) 1. ทิศของแสง 2. ทศิ ของแสง 3. ทิศของแสง 4. ทิศของแสง 4. ภาพการทดลองในหอ้ งมืด (ONET’2557) เม่อื ส่องไฟฉายไปยังวตั ถุ A มีเงามดื เกิดข้นึ วัตถุในขอ้ ใดอยใู่ นประเภทเดียวกันกับวัตถุ A 1. หนงั สือ กระจกใส 2. พลาสติกใส แผน่ ใสอัด 3. นา้ กระดาษไข 4. สมุด จานกระเบอื้ ง สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หนา้ 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 5. ศึกษาการมองเหน็ แสงผ่านวตั ถุ A B C และ D โดยวาง เทยี นไขและวตั ถุกน้ั แสงคร้งั ละ 2 ชนดิ ในแนวเดยี วกัน ณ ตาแหนง่ ท่ี 1 และ 2 ดังภาพ สังเกตแสงจากเทียนไขผา่ นวัตถุ ก้นั แสงทั้งสอง จากนนั้ ทาการทดลองซา้ โดยเปลยี่ นวตั ถกุ น้ั แสง ผลเป็นดงั ตาราง การทดลอง วตั ถกุ นั้ แสง แสงจากเทยี นไขผ่านวตั ถกุ ้ันแสง ตาแหน่งที่ 1 ตาแหน่งที่ 2 ครง้ั ที่ 1 เห็นชดั เจน เหน็ ไม่ชัดเจน ไมเ่ หน็ ครั้งที่ 2 AB ครงั้ ที่ 3 AC ✓ ครงั้ ท่ี 4 BC BD ✓ ✓ ✓ จากขอ้ มูล ข้อความต่อไปนีถ้ ูกต้องใชห่ รอื ไม่ (ONET’2562) ข้อความ ใช่ หรอื ไม่ใช่ ใช่ / ไม่ใช่ 5.1 วัตถุ A และ B เป็นวัตถทุ บึ แสง ใช่ / ไม่ใช่ ใช่ / ไม่ใช่ 5.2 วัตถุ C เปน็ ตวั กลางโปร่งใส และวตั ถุ D เป็นตวั กลางโปรง่ แสง 5.3 ถา้ ไมท่ าการทดลองคร้งั ท่ี 3 ก็สามารถสรปุ ได้ว่า วัตถุ B เปน็ ตัวกลางชนิดใด 6. ฟิล์มกันรอยสาหรับตดิ หน้าจอโทรศัพท์ 3 ชนดิ มีลักษณะการมองเห็นภาพหนา้ จอโทรศพั ท์ผ่านฟลิ ม์ ดงั ตาราง ชนิดของฟิลม์ กนั รอย ลกั ษณะการมองเห็นภาพหนา้ จอโทรศพั ท์ผา่ นฟิล์ม A เหน็ ชัดเจน B เห็นไม่ชัดเจน C เห็นไม่ชดั เจนมากกว่าชนดิ B ข้อความใดถกู ตอ้ ง (ONET’2563) 1. ฟิลม์ กันรอย A เปน็ ตัวกลางของแสง 2. ฟิล์มกนั รอย C เปน็ วัตถทุ บึ แสง 3. ฟิลม์ กนั รอย B และ C เปน็ ตัวกลางโปร่งใส 4. แสงสามารถผ่านฟิลม์ กนั รอย A ได้น้อยกว่าฟิลม์ กันรอย B สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หนา้ 1 เน้ือหาหน่วยที่ 10 มาตรฐานและตัวชี้วัด แรงไฟฟ้า วงจรไฟฟ้า การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้า การต่ออุปกรณไ์ ฟฟ้า ว 2.2 ป.6/1 1. วงจรไฟฟา้ ในภาพใดแสดงทิศทางการไหลของกระแสไฟฟา้ ถูกต้อง (ONET’2550) ว 2.3 ป.6/1-6 (เมือ่ ให้ แทนทิศการไหลของกระแสไฟฟา้ ) 4. 1. 2. 3. 2. จากภาพ ส่วนประกอบของวงจรท่ที าหน้าท่เี ปน็ แหลง่ กาเนิด ไฟฟา้ คอื อะไร (ONET’2551) 1. สายไฟ 2. หลอดไฟ 3. ถา่ นไฟฉาย 4. ลวดทองแดง 3. จากภาพขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ ง (ONET’2553) 1. ก เป็นการต่อวงจรไฟฟา้ แบบขนาน หากหลอด A ดบั หลอด B จะดบั ดว้ ย 2. ก เป็นการตอ่ วงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม หากหลอด A ดับหลอด B ยงั สามารถใช้งานได้ 3. ข เป็นการตอ่ วงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รม หากหลอด A ดบั หลอด B จะดบั ดว้ ย 4. ข เปน็ การตอ่ วงจรไฟฟา้ แบบขนาน หากหลอด A ดบั หลอด B ยงั สามารถใชง้ านได้ สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทาโดย เพจวทิ ยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 2 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 4. ตอ่ วงจรไฟฟา้ ทม่ี ีหลอดไฟฟา้ 3 หลอด แบบอนุกรมพบว่าหลอดไฟฟา้ สว่างทง้ั 3 หลอด แผนภาพของวงจรไฟฟา้ ดงั กลา่ วสอดคลอ้ งกับข้อใด และถา้ ถอดหลอดไฟฟ้าในวงจรน้ีออก 1 หลอด จะเหลือหลอดไฟฟา้ ทีย่ ังคงสว่างอยจู่ านวน เทา่ ใด (ONET’2562) ตัวเลอื ก แผนภาพวงจรไฟฟา้ จานวนหลอดไฟทย่ี งั คงสว่างอยู่ 1. 0 2. 2 3. 0 4. 2 5. ต่อวงจรไฟฟา้ 2 วงจร ดังแผนภาพ โดยเมือ่ ตอ่ ใหเ้ ปน็ วงจรไฟฟ้าปดิ แลว้ หลอดไฟฟา้ สว่างทัง้ 4 หลอด ถา้ หลอดไฟฟา้ ในแต่ละวงจรชารุด 1 หลอด วงจรใดที่ยังคงมีหลอดไฟฟ้าสว่างอยู่ (ONET’2561) 1. วงจร A ซ่งึ เปน็ การตอ่ แบบขนาน 2. วงจร A ซง่ึ เป็นการต่อแบบอนกุ รม 3. วงจร B ซึ่งเปน็ การต่อแบบขนาน 4. วงจร B ซึ่งเปน็ การต่อแบบอนุกรม 6. เม่ือต่อกระแสไฟฟ้าครบวงจร หลอดไฟสว่างทกุ ดวง ถ้านา หลอดไฟหมายเลข 2 ออกจากวงจร หลอดไฟหมายเลขใดจะดบั (ONET’2550,2551) 1. หมายเลข 1 2. หมายเลข 3 3. หมายเลข 4 4. หมายเลข 5 สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หนา้ 3 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 7. ภาพใดทีห่ ลอดไฟ เซลล์ไฟฟ้า สวติ ช์ ตอ่ กันแบบอนุกรม (ONET’2555) 1. 2. 3. 4. 8. ขณะน้ีหลอดไฟฟ้า A B C D และ E สวา่ งอยู่ ถ้าหลอดไฟฟา้ ตอ่ ไปน้ชี ารดุ ใชง้ านไมไ่ ดแ้ ลว้ หลอดไฟฟ้าที่เหลือ อกี 4 หลอด ยงั คงสวา่ งอยู่ใช่หรอื ไม่ (ONET’2560) ข้อความ ใช่ หรือ ไมใ่ ช่ 8.1 หลอดไฟฟา้ A ชารุด แต่ B C D และ E ยังสว่างอยู่ ใช่ / ไมใ่ ช่ 8.2 หลอดไฟฟ้า B ชารดุ แต่ A C D และ E ยังสว่างอยู่ ใช่ / ไม่ใช่ 8.3 หลอดไฟฟา้ D ชารุด แต่ A B C และ E ยงั สว่างอยู่ ใช่ / ไมใ่ ช่ 9. ตอ่ วงจรไฟฟ้าดงั แผนภาพ เมอื่ กดสวติ ซ์ลงให้เปน็ วงจรปดิ หลอดไฟฟ้าจะเป็นอย่างไร (ONET’2561) หลอดไฟฟา้ A หลอดไฟฟ้า B 1. สวา่ ง ไมส่ ว่าง 2. ไม่สว่าง สวา่ ง 3. สวา่ ง สวา่ ง 4. ไมส่ วา่ ง ไม่สวา่ ง สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเขา้ ม.1 จดั ทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์

หน้า 4 Ī SCIENCE BY TEACHER KARN 10. ทดสอบสมบตั ิการนาไฟฟ้าของวัตถุ A B และ C โดยตอ่ วงจรไฟฟ้าดังภาพ เม่ือกดสวิตซ์ พบว่า หลอดไฟฟ้าสว่างเพยี ง 1 หลอด วัตถุ A B และ C ควรเปน็ วัสดปุ ระเภทใด (ONET’2562) วตั ถุ A วัตถุ B วตั ถุ C 1. ฉนวนไฟฟ้า ตัวนาไฟฟา้ ตัวนาไฟฟา้ 2. ฉนวนไฟฟ้า ฉนวนไฟฟ้า ตัวนาไฟฟ้า 3. ตัวนาไฟฟา้ ตัวนาไฟฟ้า ฉนวนไฟฟา้ 4. ตัวนาไฟฟ้า ฉนวนไฟฟ้า ฉนวนไฟฟ้า 11. ทดลองเกีย่ วกบั แรงไฟฟา้ ตามลาดบั ดงั นี้ 1) นาวตั ถุ A ถูกบั ผา้ สักหลาด พบวา่ วัตถุ A จะเกิดการถ่ายโอนประจุไฟฟา้ จากวัตถุ A ไปยังผา้ สักหลาด 2) นาวัตถุ A เข้าใกล้กับวัตถุ B ซ่ึงเปน็ วตั ถทุ ่มี ีสภาพเปน็ กลางทางไฟฟ้า 3) นาวัตถุ A เข้าใกลก้ บั วตั ถุ C พบวา่ วตั ถุ A และวตั ถุ C เกดิ การผลักกนั เมอ่ื นาวตั ถุ A เข้าใกล้กับวตั ถุ B ผลของแรงไฟฟา้ ทีเ่ กิดข้นึ จะทาใหล้ ักษณะประจไุ ฟฟา้ บนวัตถุ B เปน็ อย่างไร และวัตถุ C เป็นประจุไฟฟา้ ชนิดใด (ONET’2563) ผลของแรงไฟฟา้ เมือ่ นาวตั ถุ A เขา้ ใกลว้ ัตถุ B ประจุไฟฟ้าของวตั ถุ C 1. ประจุไฟฟ้าบวก 2. ประจไุ ฟฟา้ ลบ 3. ประจุไฟฟา้ บวก 4. ประจุไฟฟ้าลบ 12. เม่ือตอ่ วงจรไฟฟา้ 4 วงจร ดังภาพ พบวา่ หลอดไฟฟา้ ทกุ ดวงสวา่ งทั้ง 4 วงจร ถ้ายกสวติ ซ์ขน้ึ ท้ัง 4 วงจร วงจรใดทีจ่ ะมหี ลอดไฟฟ้าสว่าง 2 ดวง (ONET’2563) 1. 2. 3. 4. สรปุ วิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หน้า 1 เนอ้ื หาหน่วยที่ 11 มาตรฐานและตัวชว้ี ดั แหล่งน้า การอนุรกั ษน์ ้า วัฏจกั รของน้า ว 3.2 ป.5/1-5 เมฆ หมอก น้าค้าง ฝน หมิ ะ และลกู เหบ็ 1. ขอ้ ใดกลา่ วไมถ่ กู ต้อง (ONET’2556) 1. เมฆทกุ ชนดิ บนท้องฟา้ ท้าใหเ้ กดิ ฝนตก 2. เมฆเกิดจากการควบแนน่ ของไอนา้ ในอากาศ 3. เมฆบนท้องฟา้ ประกอบด้วยนา้ ทง้ั ในสถานะของเหลวและของแข็ง 4. การเปลี่ยนแปลงของประจไุ ฟฟา้ ภายในกอ้ นเมฆ ท้าใหเ้ กดิ ฟ้าแลบ ฟ้ารอ้ ง 2. วัฏจกั รน้าในบริเวณหนงึ่ แสดงดงั แผนภาพ โดยมีหมายเลขแสดงล้าดบั กระบวนการการหมุนเวียนของน้า (ONET’2563) จากวัฏจกั รนา้ ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ ง 1. กระบวนการท่ี 1 เกิดขน้ึ กบั แหล่งนา้ ผิว ดนิ ขนาดใหญ่เทา่ นนั้ 2. กระบวนการที่ 2 เกิดจากการควบแน่น ของไอนา้ เปน็ ละอองน้า 3. กระบวนการที่ 3 เกดิ จากการ หลอมเหลวของเมฆเปน็ ฝน 4. กระบวนการที่ 4 เกิดจากการ เปลีย่ นแปลงสถานะของน้า 3. ข้อมลู การพยากรณอ์ ากาศของจังหวัดในประเทศไทย 2 จังหวัด ของสปั ดาหห์ นึง่ ในช่วงฤดูรอ้ น เป็นดงั น้ี จงั หวดั A มีอากาศรอ้ นอบอ้าวและมฝี นตกบางพน้ื ท่ี จงั หวดั B มีลมกระโชกแรงและมีพายุฝนฟ้าคะนองบางพ้นื ท่ี จากข้อมูล จงั หวดั ใดควรแจง้ เตือนประชาชนให้เตรียมรับมอื กับพายลุ กู เหบ็ ในช่วงเวลาดังกล่าว และลูกเหบ็ เกดิ จาก กระบวนการใด (ONET’2563) จงั หวดั ที่ควร กระบวนการเกดิ ลูกเหบ็ แจง้ เตอื นประชาชน 1. A การชนและรวมกันของละอองนา้ ในเมฆ 2. A การควบแน่นของไอน้าเมอื่ สัมผัสกบั อากาศเย็นใกลพ้ น้ื โลก 3. B การพอกตัวเป็นชั้นของน้าแข็งจากการถกู พัดวนในเมฆ 4. B ผลึกนา้ แขง็ ในเมฆตกลงมายังพนื้ โลกทมี่ ีอณุ หภูมิอากาศต้่ากว่าจุดเยอื กแข็ง สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดท้าโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หน้า 1 เนื้อหาหนว่ ยท่ี 12 มาตรฐานและตัวชี้วดั ลมบก ลมทะเล และมรสุม ภยั ธรรมชาติ และปรากฏการณเ์ รือนกระจก ว 3.2 ป.6/4-9 1. ความกดอากาศมีความสมั พนั ธก์ ับอณุ หภูมิอย่างไร (ONET’2550) 1. บรเิ วณท่มี ีอุณหภูมสิ งู จะมีความกดอากาศสูง 2. บริเวณที่มีอุณหภมู สิ งู จะมีความกดอากาศตา่ 3. บรเิ วณทม่ี ีอณุ หภูมิต่าจะมีความกดอากาศต่า 4. บริเวณท่มี ีอุณหภูมไิ ม่เปลย่ี นแปลงจะมคี วามกดอากาศสูง 2. ทิศทางการเคลื่อนท่ขี องอากาศ ข้อใดถูกตอ้ ง โดยให้เลอื กตอบ 2 ขอ้ (ONET’2552) 1. ความกดอากาศสูง ความกดอากาศต่า ความกดอากาศสงู 2. ความกดอากาศสูง ความกดอากาศต่า ความกดอากาศสงู 3. ความกดอากาศสูง ความกดอากาศต่า ความกดอากาศสงู 4. อุณหภมู ิอากาศสูง อณุ หภมู อิ ากาศต่า อุณหภูมอิ ากาศสงู 5. อณุ หภูมิอากาศสงู อณุ หภมู ิอากาศตา่ อณุ หภมู ิอากาศสงู 6. อณุ หภมู ิอากาศสงู อุณหภมู อิ ากาศต่า อณุ หภูมิอากาศสงู 3. ภยั พบิ ัติใดทไี่ ม่นา่ จะมโี อกาสเกดิ ขนึ้ ในประเทศไทย (ONET’2559) 1. ฝนตกหนักตดิ ตอ่ กนั หลายวัน นา้่ ป่าไหลหลาก เกดิ ดินถล่มทับถมบ้านเรอื นเสยี หาย 2. ภูเขาไฟระเบดิ พ่นลาวา เกิดหมอกควนั ปกคลมุ ไปท่ัว กินบรเิ วณกวา้ งไปจนถึงประเทศอนิ โดนีเซยี 3. เกิดพายุไตฝ้ ่นุ รุนแรง พดั เข้าฝงั่ ของประเทศไทย คลน่ื สงู เกิดสองเมตร ทา่ ความเสียหายให้ผอู้ ยอู่ าศัยในพื้นท่ี ชายฝงั่ 4. ปรมิ าณน้า่ ในเข่ือนมีมากเกินความสามารถท่ีเข่ือนจะกกั เก็บไว้ จงึ เรง่ ปล่อยนา้่ ออกท่าใหน้ ้่าท่วมบา้ นเรอื นเกิด ความเสียหายเปน็ วงกว้าง 4. ขอ้ ใดกลา่ วไม่ถกู ตอ้ ง (ONET’2563) 1. แกส๊ เรอื นกระจกสามารถเกิดได้จากกจิ กรรมของมนษุ ย์เท่านน้ั 2. การปลกู ตน้ ไม้และการประหยัดไฟฟา้ สามารถชว่ ยลดปรมิ าณแก๊สเรอื นกระจกได้ 3. พ้นื ทวปี และมหาสมุทรจะปลอ่ ยรงั สที ่ดี ดู กลนื ไว้กลับสบู่ รรยากาศในรปู ของรงั สีอนิ ฟราเรด 4. ปริมาณแก๊สเรือนกระจกทีเ่ หมาะสมจะช่วยควบคมุ อณุ หภมู ขิ องโลกให้เหมาะตอ่ การด่ารงชีวติ ของสงิ่ มีชวี ิต สรุปวิทยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จดั ท่าโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครูกานต์

Ī SCIENCE BY TEACHER KARN หนา้ 1 เนอื้ หาหนว่ ยที่ 13 มาตรฐานและตัวชวี้ ดั หนิ การใช้ประโยชน์ของหนิ วัฏจกั รของหนิ แร่ และการเกดิ ซากดึกดาบรรพ์ ว 3.2 ป.6/1-6/3 1. โทนไี่ ปสารวจบริเวณเชิงภเู ขาไฟท่ดี ับแล้วร่วมกับเพือ่ น ๆ และเกบ็ หินมาจานวนหนง่ึ หนิ บางก้อนเบามาก จึงลองเอาไปใส่ ในอ่างนา้ ปรากฏวา่ หนิ บางก้อนลอยน้า นักเรียนคิดว่าหินก้อนทีล่ อยน้าไดน้ ีน้ ่าจะเป็นหินชนิดใด (ONET’2555) 1. แกรนิต 2. บะซอลต์ 3. พมั มิช 4. ออบซิเดยี น 2. การตรวจพบซากสิง่ มีชีวิตในหนิ มปี ระโยชน์อย่างไร (ONET’2550) 1. ใชเ้ ป็นแนวทางศึกษาแรธ่ าตุในหนิ 2. พฒั นาการทาปยุ๋ จากซากสิ่งมีชีวิต 3. ใชเ้ ป็นแนวทางศกึ ษาสิง่ มีชวี ติ ในอดีต 4. ทานายลักษณะของสงิ่ มชี ีวิตในอนาคต 3. ตาราง สมบัตขิ องหินชนิดตา่ ง ๆ ในแตล่ ะกลมุ่ กลุ่ม ชนิดของหนิ สมบัตขิ องหนิ สีของหนิ ส่ิงทพี่ บในเนอื้ หนิ 1 ชนดิ ที่ 1 เทาปนดา ผลึกสีดา ชนิดที่ 2 นา้ ตาลปนขาว ผลึกสขี าว 2 ชนิดที่ 3 ดาปนขาว ซากพืชซากสัตว์ ชนดิ ที่ 4 เทาปนขาว ซากพชื จากขอ้ มูลในตาราง ถา้ จัดให้หินชนดิ ท่ี 1 และชนิดที่ 2 อยใู่ นกล่มุ ท่ี 1 หินชนดิ ที่ 3 และหินชนดิ ท่ี 4 อยใู่ นกลุ่มที่ 2 การจดั กลุ่มดงั กลา่ วใช้เกณฑ์อะไร (ONET’2551) 1. สีของหิน 2. ชนดิ ของหิน 3. สงิ่ ที่พบในเน้อื หนิ 4. สขี องหินและสิง่ ทีพ่ บในเนอื้ หิน 4. ก้อนหนิ ที่พบในลาธารทกี่ ระแสนา้ ไหลเชย่ี วมักมีลักษณะใด (ONET’2552) 1. มีขนาดเลก็ เท่าน้นั 2. มีผิวเรยี บ กลมมน 3. มีผิวขรุขระ และสากมอื 4. มขี นาดใหญ่ขนึ้ เพราะมีตะกอนอ่นื มาจบั ท่ีผิว 5. ข้อใดเป็นปัจจัยสาคญั ทที่ าใหห้ ินตะกอนกลายเป็นหินแปร (ONET’2558) 1. การผพุ ังและการพัดพา 2. ความรอ้ นและความดัน 3. การกัดกรอ่ นและการตกผลึก 4. การหลอมละลายและการตกผลึก 6. รพู รนุ มากมายในหินอัคนบี างชนดิ เกดิ ข้นึ เนื่องจากอะไร (ONET’2556) 1. ฟองแก๊สในลาวา 2. การผุพงั ของแร่องค์ประกอบหิน 3. การสลายตัวของแร่องค์ประกอบหิน 4. การจดั เรยี งตวั ของแรข่ ณะลาวาเยน็ ตัวเป็นหนิ สรุปวทิ ยาศาสตร์ O-NET ป.6 & สอบเข้า ม.1 จัดทาโดย เพจวิทยาศาสตร์ ป.6 ครกู านต์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook