Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เครื่องดนตรีไทย

เครื่องดนตรีไทย

Published by apassara1306, 2021-02-02 09:54:20

Description: ความหมายของเครื่องดนตรีไทย และเครื่องดนตรีไทยแต่ละประเภท

Keywords: เครื่องดนตรีไทย

Search

Read the Text Version

ดนตรีแห่ง การศึ กษา BY ครูปอน นางสาว อภัสรา สั งฤทธิ รหัสนักศึ กษา 62040108127 เ ยี ย ม ช ม W W W . D E E S I T E . C O . T H

ความหมายของดนตรีไทย คาวา่ “ดนตรี” มาจากภาษาสันสกฤตวา่ “ตนั ตริ” แปลวา่ สาย หรือ เคร่ืองสาย พจนานุกรมไทย ฉบบั ราชบญั ฑิตยสถาน ใหค้ วามหมายของคาวา่ “ดนตรี” วา่ “ลาดบั เสียงอนั ไพเราะ” คาวา่ “ดนตรี” ตรงกบั คา ภาษาองั กฤษวา่ “music” หมายถึงศิลปะและศาสตร์ ของการร้อยกรองเสียง หรือเสียงเคร่ืองดนตรี เขา้ เป็น ทานอง เสียงประสาน จงั หวะ ลีลา และกระแสเสียง เพอ่ื ใหบ้ ทเพลงมีโครงสร้างที่สมบรู ณ์ และก่อใหเ้ กิด ความสะเทือนอารมณ์ ประเภทของเคร่ืองดนตรีไทย เคร่ืองดนตรีไทย คือ สิ่งที่สร้างข้ึนสาหรับทาเสียงใหเ้ ป็ นทานอง หรือจงั หวะ วธิ ีท่ีทาใหม้ ีเสียงดงั ข้ึนน้นั มี อยู่ ๔ วธิ ี คือ  ใชม้ ือหรือสิ่งใดส่ิงหน่ึงดีดท่ีสาย แลว้ เกิดเสียงดงั ข้ึน ส่ิงท่ีมีสายสาหรับดีด เรียกวา่ \"เครื่องดีด\"  ใชเ้ ส้นหางมา้ หลายๆ เส้นรวมกนั สีไปมาท่ีสาย แลว้ เกิดเสียงดงั ข้ึน ส่ิงท่ีมีสายแลว้ ใชเ้ ส้นหางมา้ สี ใหเ้ กิด เสียงเรียกวา่ \"เครื่องสี\"  ใชม้ ือหรือไมต้ ีที่สิ่งน้นั แลว้ เกิดเสียงดงั ข้ึน สิ่งท่ีใชไ้ มห้ รือมือตี เรียกวา่ \"เคร่ืองตี\"  ใชป้ ากเป่ าลมเขา้ ไปในส่ิงน้นั แลว้ เกิดเสียงดงั ข้ึน ส่ิงท่ีเป่ าลมเขา้ ไปแลว้ เกิดเสียงเรียกวา่ \"เคร่ืองป่ า\" เคร่ืองทุกอยา่ งท่ีกล่าวแลว้ รวมเรียกวา่ เคร่ืองดีด สี ตี เป่ า เคร่ืองดีด เครื่องดีดทุกอยา่ งจะตอ้ งมีส่วนท่ีเป็นกระพงุ้ เสียง บางทีกเ็ รียกวา่ กะโหลก สาหรับทาให้ เสียงที่ดีดน้นั กอ้ งวานดงั ข้ึนอีก เครื่องดีดของไทยที่ใชใ้ นวงดนตรีแต่โบราณเรียกวา่ \"พณิ \" ซ่ึงมาจากภาษาของชาวอินเดีย ที่วา่ \"วณี า\" ในสมยั หลงั ๆ ตอ่ มาจึงบญั ญตั ิช่ือเป็นอยา่ งอื่น ตามรูปร่างบา้ ง ตามภาษาของชาติใกลเ้ คียงบา้ ง เช่น\"กระจบั ปี่ \" ซ่ึงมีกระพงุ้ เสียงรูปแบน ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั กลมรี คลา้ ยรูปไข่ มีคนั ตอ่ ยาวเรียวข้ึนไป ตอนปลายบานและงอนโคง้ ไปขา้ งหลงั เรียกวา่ ทวน มี สายทาดว้ ยเอน็ หรือไหม ๔ สาย ขึงผา่ นหนา้ กะโหลก ตามคนั ข้ึนไปจนถึงลูกบิด ๔ อนั ผกู ปลาย สายอนั ละสาย มีนมติดตามคนั ทวนสาหรับกดสายลงไปติดสนั นม ใหเ้ กิดเสียงสูงต่าตามประสงค์ ผดู้ ีดตอ้ งนงั่ พบั เพียบทางขวา วางตวั กระจบั ปี่ (กะโหลก) ลงตรงหนา้ ขา ขวา กดนิ้วตามสายดว้ ยมือ ซา้ ย ดีดดว้ ยมือขวา รูปกระจบั ปี่ (หรือพิณ) ของไทยมีลกั ษณะดงั ในภาพ

เครื่องดีดของไทยท่ีใชก้ นั อยอู่ ยา่ งแพร่หลายในปัจจุบนั ก็คือ \"จะเข\"้ จะเขเ้ ป็นเครื่องดีดท่ีวางนอนตาม พ้ืนราบ ทาดว้ ยไมท้ อ่ นขดุ เป็ นโพรงภายใน ไมแ้ ก่นขนุนเป็นดีท่ีสุด ดา้ นล่างมีกระดานแปะเป็นพ้นื ทอ้ ง เจาะ รูระบายอากาศพอสมควร มีเทา้ ตอนหวั ๔ เทา้ ตอนทา้ ย ๑ เทา้ รวม เป็น ๕ เทา้ มีสาย ๓ สาย สายเอก (เสียง สูง) กบั สายกลางทาดว้ ยเอน็ หรือไหม สายต่าสุด ทาดว้ ย ลวดทองเหลืองเรียกวา่ สายลวด ขึงจากหลกั ตอน หวั ผา่ นโตะ๊ และนม ไปลอดหยอ่ ง แลว้ พนั กบั ลูกบิดสายละลูก มีนมต้งั เรียงลาดบั บนหลงั ๑๑ นม สาหรับกด สายใหแ้ ตะเป็นเสียงสูงต่าตามตอ้ งการ การดีดตอ้ งใชไ้ มด้ ีดทาดว้ ยงาชา้ งหรือกระดูกสัตว์ เหลากลม เรียว แหลม ผกู พนั ติดกบั นิ้วช้ี มือขวา ดีดปัดสายไปมา ส่วนมือซา้ ยใชน้ ิ้วกดสายตรงสนั นมตา่ งๆ ตามตอ้ งการ เคร่ืองสี เคร่ืองดนตรีที่ตอ้ งใชเ้ ส้นหางมา้ หลายๆ เส้นรวมกนั สีไปบนสายซ่ึงทาดว้ ยไหมหรือเอน็ น้ี โดยมาก เรียกวา่ \"ซอ\" ท้งั น้นั ซอของไทยท่ีมีมาแต่โบราณก็คือ \"ซอสามสาย\" ใชบ้ รรเลงประกอบ ในพระราชพีธี สมโภชตา่ งๆ ซอสามสายน้ี กะโหลกสาหรับอุม้ เสียง ทาดว้ ยกะลามะพร้าวตดั ขวางใหเ้ หลือพทู ้งั สามอยู่

ดา้ นหลงั ขึงหนา้ ดว้ ยหนงั แพะหรือหนงั ลูกววั มีคนั (ทวน) ต้งั ตอ่ จากกะโหลก ข้ึนไปยาวประมาณ ๑.๒๐ เมตร ทาดว้ ยงาชา้ งหรือไมแ้ ก่น กลึงตอนปลายใหส้ วยงาม มีลูกบิดสอด ขวางคนั ทวน ๓ อนั สาหรับพนั ปลายสาย เร่งใหต้ ึง หรือหยอ่ นตามตอ้ งการ มีทวนล่างตอ่ ลงไป จากกะโหลก กลึงใหเ้ รียวเล็กลงไปจนแหลม เล่ียมโลหะตอนปลาย เพ่ือใหแ้ ขง็ แรงสาหรับปักลงกบั พ้นื สายท้งั สามน้นั ทาดว้ ยไหมหรือเอน็ ขึงจากทวน ล่างผา่ นหนา้ ซอซ่ึงมีหยอ่ งรองรับข้ึนไปตามทวน และร้อยเขา้ ในรู ไปพนั ลูกบิดสายละอนั ส่วนคนั ชกั หรือ คนั สีน้นั ทาคลา้ ยคนั กระสุน ขึงดว้ ยเส้น หางมา้ หลายๆ เส้น สีไปมาบนสายท้งั สามตามตอ้ งการ สิ่งสาคญั ของซอสามสายอยา่ งหน่ึง คือ \"ถ่วงหนา้ \" ถ่วงหนา้ น้ี ทาดว้ ยโลหะประดิษฐใ์ หส้ วยงาม บางทีถึงแก่ฝังเพชร พลอยก็มี แตจ่ ะตอ้ งมีน้าหนกั ไดส้ ่วนสัมพนั ธ์กบั หนา้ ซอ สาหรับติดตรงหนา้ ซอตอนบนดา้ นซา้ ย ถา้ ไมม่ ี ถ่วงหนา้ แลว้ เสียงจะดงั อูอ้ ้ีไมไ่ พเราะ ซออู้ เป็นเคร่ืองสีท่ีมีสาย ๒ สาย ทาดว้ ยไหมหรือเอ็น เรียกวา่ สายเอกและสายทุม้ เช่น เดียวกบั ซอดว้ ง แต่ กะโหลกซ่ึงเป็ นเครื่องอุม้ เสียงทาดว้ ยกะลามะพร้าว ตดั ตามยาวใหพ้ อู ยขู่ า้ งบน ขึงหนา้ ดว้ ยหนงั แพะหรือ หนงั ลูกววั มีทวน (คนั ) เสียบยาวข้ึนไปกลึงกลมตลอดปลาย มีลูกบิด สาหรับพนั สาย ๒ อนั คนั ชกั น้นั ร้อย เส้นหางมา้ ใหอ้ ยภู่ ายในระหวา่ งสายท้งั สอง

การเรียกสายของเครื่องดนตรี ท้งั เครื่องดีด และเครื่องสีวา่ \"เอก\" และ \"ทุม้ \" น้ี เรียกตามลกั ษณะของ เสียง สายที่มีเสียงสูงกเ็ รียกวา่ สายเอก สายท่ีมีเสียงต่ากเ็ รียกวา่ สายทุม้ ตลอดจน เคร่ืองตีท่ีจะกล่าวต่อไปน้ีก็ อนุโลมเช่นเดียวกนั เคร่ืองท่ีมีเสียงสูงก็เรียกวา่ เอก เครื่องที่มีเสียงต่า ก็เรียกวา่ ทุม้ เครื่องตี เครื่องดนตรีท่ีตีแลว้ ดงั เป็ นเพลงหรือเป็นจงั หวะมีมากมาย จะกล่าวเฉพาะที่ควรจะรู้จกั และ ใชก้ นั อยู่ ทวั่ ไป คือกรับ เป็ นเคร่ืองตีท่ีเมื่อตีแลว้ ดงั กรับ - กรับ กรับอยา่ งหน่ึงเป็ นไมไ้ ผผ่ า่ ซีก ๒ อนั ถือ มือละอนั แลว้ เอาทางผวิ ไมต้ ีกนั เรียกวา่ \"กรับคู\"่ หรือ \"กรับละคร\" เพราะโดยมากใชป้ ระกอบการเล่นละคร อีกอยา่ งหน่ึง เป็นกรับท่ีทาดว้ ยไมเ้ น้ือแขง็ หรืองาชา้ ง เป็นซีกหนาๆ ประกบ ๒ ขา้ ง แลว้ มีแผน่ โลหะ หรือไม้ หรืองา ทาเป็นแผน่ บางๆ หลายๆ อนั ซอ้ นกนั อยขู่ า้ งใน เจาะรูตอนโคน ร้อยเชือกเหมือนพดั เรียกวา่ \"กรับพวง\" กรับ ระนาดเอก ระนาด เป็ นเครื่องตีท่ีทาดว้ ยไมห้ รือเหลก็ หรือทองเหลืองหลายๆ อนั เรียงเป็นลาดบั กนั บางอยา่ งก็ร้อย เชือกหวั ทา้ ยแขวน บางอยา่ งก็วางเรียงกนั เฉยๆ ระนาดเอก ลูกระนาดทาดว้ ยไมไ้ ผบ่ ง หรือไมช้ ิงชงั ไมพ้ ะยงู และไมม้ ะหาด ลูกระนาด ฝานหวั ทา้ ยและ ทอ้ งตอนกลาง ตดั ใหม้ ี ความยาวลดหลนั่ กนั ตามลาดบั ของเสียง โดยปกติมี ๒๑ ลูก เรียงเสียงต่าสูงตามลาดบั ลูก

ระนาดทุกลูกเจาะรูร้อยเชือกหวั ทา้ ยแขวนบนรางซ่ึงมีรูปโคง้ ข้ึน มีเทา้ รูปส่ีเหล่ียม ตรงกลางสาหรับต้งั ไม้ สาหรับตีมี ๒ อยา่ งคือ ไมแ้ ขง็ (เม่ือตอ้ งการเสียงดงั แกร่ง กร้าว) และไมน้ วม (เม่ือตอ้ งการเสียงเบาและ นุ่มนวล) ระนาดท้มุ ลูกระนาดเหมือนระนาดเอก แตใ่ หญ่และยาวกวา่ มี ๑๗ ลูก รางที่แขวนน้นั ดา้ นบนโคง้ ข้ึน แต่ ดา้ นล่างตรงขนานกบั พ้ืนราบ มีเทา้ เลก็ ๆ ตรงมุม ๔ เทา้ ไมต้ ีใชแ้ ตไ่ มน้ วม การเทียบเสียงระนาดเอก และระนาดทุม้ เม่ือตอ้ งการใหส้ ูงต่า ใชข้ ้ีผ้งึ ผสมกบั ผงตะกว่ั ติดตรงหวั และทา้ ย ดา้ นล่าง ถ่วงเสียงตามตอ้ งการ ระนาดเอกเหลก็ ลูกระนาดทาดว้ ยเหล็ก วางเรียงบนราง ไม่ตอ้ งเจาะรูร้อยเชือกมี ๒๐ ลูก หรือมากกวา่ น้นั ถา้ ลูกระนาดทาดว้ ยทองเหลืองกเ็ รียกวา่ ระนาดทอง

ระนาดทุ้มเหลก็ เหมือนระนาดเอกเหล็กทุกประการ นอกจากลูกระนาดใหญแ่ ละยาวกวา่ มี ๑๗ ลูก ถา้ ทาดว้ ยทองเหลืองก็เรียก ระนาดทุม้ ทอง การเทียบเสียงระนาดเอกเหลก็ และระนาดทุม้ เหลก็ น้ี ใชต้ ะไบถูหวั ทา้ ยดา้ นล่างและทอ้ งลูก ระนาด ไม่ ใชข้ ้ีผ้งึ ผสมผงตะถว่ั ติด เม่ือตอ้ งการใหล้ ูกไหนเสียงสูงข้ึน กต็ ะไบหวั หรือทา้ ยใหบ้ าง ถา้ ตอ้ งการให้ต่าก็ ตะไบทอ้ งใหบ้ าง ฆ้อง ทาดว้ ยโลหะ เป็นแผน่ กลม ตรงกลางมีป่ ุมกลมนูนข้ึนสาหรับตี ขอบนอกหกั มุมลงรอบตวั เป็นรูป เหมือนฉตั ร ฆอ้ งมีหลายชนิด คือ ฆอ้ งโหมง่ เป็ นฆอ้ งขนาดเข่ือง ขนาดต้งั แตเ่ ส้นผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ถึง ๔๕ เซนติเมตร โดยปกติใชแ้ ขวนไมข้ าหยงั่ ๓ อนั หรือทาเป็นรูปอยา่ งอื่น ตีดว้ ยไมซ้ ่ึงพนั ดว้ ย ผา้ เป็นป่ ุมตอนปลาย เสียงดงั โหมง่ - โหม่ง จึงเรียกช่ือตามเสียง

ฆ้องวงใหญ่ มี ๑๖ ลูก ขนาดลดหลนั่ กนั ไปตามลาดบั ลูกตน้ ขนาดใหญ่ เสียงต่า อยทู่ าง ซา้ ยของผตู้ ี ลูกยอด ขนาดเล็ก เสียงสูง อยทู่ างขวาของผตู้ ี ทุกลูกผกู บนร้านซ่ึงทาเป็นวงรอบตวั คนตี เวน้ ดา้ นหลงั ไว้ ผตู้ ีนงั่ ใน กลางวง ตีดว้ ยไมท้ ี่ทาดว้ ยแผน่ หนงั หนา ตดั เป็นวงกลม มีดา้ ม เสียบตรงรูกลางแผน่ หนงั ฆ้องวงเลก็ รูปร่าง ลกั ษณะเหมือนฆอ้ งวงใหญ่ แต่มีขนาดเล็กกวา่ เทา่ น้นั มีจานวนลูกฆอ้ ง ๑๘ ลูก การเทียบเสียงฆอ้ งวงใหญ่และฆอ้ งวงเลก็ น้ี ใชข้ ้ีผ้งึ ผสมกบั ผงตะกวั่ ติดตรงดา้ นล่างของ ป่ ุมฆอ้ ง เพ่ือใหไ้ ด้ เสียงสูงต่าตามตอ้ งการ ฉิ่ง ทาดว้ ยโลหะหล่อหนา รูปเหมือนฝาชี ปากกวา้ งประมาณ ๖ เซนติเมตร มีรูตรงกลาง สาหรับร้อย เชือก สารับหน่ึงมี ๒ อนั เรียกวา่ คู่ ตีใหท้ างปากเขา้ กระทบประกบกนั ดงั ฉ่ิง – ฉบั

ฉาบ ทาดว้ ยโลหะหล่อ บางกวา่ ฉ่ิง รูปเหมือนฉิ่งแตม่ ีชานต่อออกไปรอบตวั สารับหนึง มี ๒ อนั เรียกวา่ คู่ เหมือนกนั ฉาบน้ีมี ๒ ขนาด อยา่ งเล็กขนาดเส้นผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๑๓ เซนติเมตร เรียกวา่ \"ฉาบเล็ก\" อยา่ งใหญ่ขนาดเส้นผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ ๒๕ เซนติเมตร เรียกวา่ \"ฉาบใหญ\"่ กลองทดั เป็ นเคร่ืองตีที่ทาดว้ ย ไมท้ ่อน กลึงใหไ้ ดร้ ูปและ สดั ส่วน ภายในขดุ เป็นโพรง ขึง หนา้ ท้งั สองขา้ งดว้ ยหนงั ววั หรือหนงั ควาย ตรึงดว้ ยหมุด (เรียกวา่ แส้) ขนาด หนา้ กลองเส้นผา่ นศูนย์ กลางประมาณ ๔๖ เซนติเมตร เทา่ กนั ท้งั สองหนา้ ตวั กลองยาวประมาณ ๕๑ เซนติเมตร มีหู สาหรับแขวนเรียกวา่ หูระวงิ ๑ หู ชุดหน่ึงมี ๒ ลูก ลูกเสียงสูงเรียกวา่ ตวั ผู้ ลูกเสียงต่าเรียกวา่ ตวั เมีย ก่อนจะใชต้ อ้ งติดขา้ วสุกผสมกบั ข้ีเถา้ บดใหเ้ ขา้ กนั ติดตรงกลางหนา้ ล่างซ่ึงไมไ่ ดใ้ ชต้ ี เพื่อ ใหเ้ สียง นุ่มนวลข้ึน ใชต้ ีดว้ ยไม้ ทอ่ นยาวประมาณ ๕๐ เซนติเมตร กลองแขก เป็นกลองท่ีมีรูปร่างยาวประมาณ ๕๗ เซนติเมตร ขึงหนา้ ดว้ ยหนงั แพะหรือ หนงั ลูกววั หนา้ ขา้ ง หน่ึงใหญ่ กวา้ งประมาณ ๒๐ เซนติเมตร เรียกวา่ \"หนา้ รุ่ย\" หนา้ ขา้ งเลก็ กวา้ ง ประมาณ ๑๗ เซนติเมตร เรียกวา่ \"หนา้ ตา่ น\" มีสายโยง่ เร่งเสียงถึงกนั ท้งั สองหนา้ ห่างๆ ทาดว้ ย หวายผา่ ซีก และอีกเส้นหน่ึงพนั ยดึ สาย

เป็นคูๆ่ รอบกลองเรียกวา่ รัดอก สารับหน่ึงมี ๒ ลูก ลูก เสียงสูงเรียกวา่ ตวั ผู้ ลูกเสียงต่าเรียกวา่ ตวั เมีย ใชต้ ี ดว้ ยมือท้งั สองหนา้ โทน เป็นเคร่ืองตีท่ีขึงหนงั หนา้ เดียว รูปร่างตอนตน้ โต แลว้ ค่อยเรียวลงไป ตอนสุดผาย ออกนิดหน่อย มีสาย โยงเร่งเสียงจากหนา้ มาถึงคอ ซ่ึงมีอยู่ ๒ อยา่ งคือ โทนมโหรีกบั โทนชาตรี รูปร่างลกั ษณะตา่ งกนั เลก็ นอ้ ย โทนมโหรี สาหรับใชใ้ นวงมโหรี ในสมยั โบราณเรียกวา่ \"ทบั \" จึงไดเ้ รียกท้งั สองชื่อติดกนั วา่ \"โทน ทบั \" ตวั โทนทาดว้ ยดินเผา สายโยงเร่งเสียงมกั ใชไ้ หมหรือเอน็ (อยา่ งสายซอ) หรือดา้ ย ขึงหนา้ ดว้ ยหนงั แพะ หรือหนงั ลูกววั หรือหนงั งูเหลือม โทนชาตรี ตวั โทนทาดว้ ยไม้ สายโยงเร่งเสียงมกั จะใชห้ นงั ขึงหนา้ ดว้ ยหนงั ลูกววั โดยมาก ทาง ภาคใตม้ กั ใชข้ นาดใหญ่ ส่วนภาคกลางใชข้ นาดยอ่ มกวา่ รามะนา เป็นเคร่ืองตีท่ีขึงหนงั หนา้ เดียว รูปร่างแบน (หรือส้ัน) มี ๒ อยา่ ง คือ รามะนา ลาตดั และ รามะนามโหรี รามะนาตดั น้นั มีขนาดใหญ่ แต่จะไม่พดู ถึง เพราะมิไดอ้ ยใู่ นวงดนตรี จึงกล่าวแตเ่ ฉพาะ รามะนาที่ใชใ้ นวงมโหรีเทา่ น้นั

รามะนาในวงมโหรี ขึงหนา้ ดว้ ยหนงั ลูกววั ตรึงดว้ ยหมุด ตวั กลองส้ัน กลึงใหท้ างปาก สอบเขา้ มี เส้นเชือกควน่ั เป็นเกลียว ยดั หนุนริมหนา้ ภายใน สาหรับหมุนใหห้ นา้ ตึงข้ึน เรียกวา่ \"สนบั \" ตะโพน เป็ นเคร่ืองตีที่ขึงหนงั ๒ หนา้ ตวั หุ่นทาดว้ ยไม้ ตรงกลางป่ อง ภายในขดุ เป็ นโพรง หนงั ท่ีขึง หนา้ เจาะรูรอบ มีเส้นหนงั เล็กๆ ควนั่ เป็นเกลียวถกั เรียกวา่ \"ไส้ละมาน\" ใชห้ นงั ตดั เป็ นแถบเล็กๆ เรียกวา่ \"หนงั เรียด\" ร้อยไส้ละมานโยงท้งั สองหนา้ เร่งเสียงตามตอ้ งการ ตรงกลางมีหนงั เรียดพนั เป็น \"รัดอก\" วาง นอนบนเทา้ ซ่ึงทาดว้ ยไมเ้ ขา้ รูปกบั หนา้ ตะโพน หนา้ ใหญ่เรียกวา่ \"หนา้ เท่ง\" หนา้ เลก็ เรียกวา่ \"หนา้ มดั \" เวลา จะตีตอ้ งติดขา้ วสุกผสมกบั ข้ีเถา้ ทางหนา้ เทง่ ถ่วงเสียงใหพ้ อเหมาะ เครื่องเป่ า เครื่องดนตรีไทยท่ีใชล้ มเป่ าแลว้ ดงั เป็นเสียงน้นั แบง่ ออกไดเ้ ป็ น ๒ ประเภท ประเภท หน่ึงตอ้ งมีลิ้น ที่ทาดว้ ยใบไม้ หรือไมไ้ ผ่ หรือโลหะ สอดใส่เขา้ ไว้ เมื่อเป่ าลมเขา้ ไป ลิ้นก็จะเตน้ ไหว ใหเ้ กิดเสียง เรียกวา่ \"ป่ี \" อีกประเภทหน่ึงไม่มีลิ้น แตม่ ีรูบงั คบั ทาใหล้ มท่ีเป่ าหกั มุม แลว้ เกิดเป็นเสียงข้ึน เรียกวา่ \"ขลุ่ย\" ท้งั ปี่ และ ขลุ่ย ลกั ษณนามเรียกวา่ \"เลา\" ซ่ึงมีอยหู่ ลายประเภท แต่จะกล่าวเฉพาะที่ควรรู้เท่าน้นั คือ ป่ี ใน ทาดว้ ยไมช้ ิงชงั หรือไมพ้ ะยงู กลึงใหป้ ่ องกลางและบานปลายท้งั ๒ ขา้ งเล็กนอ้ ย เจาะเป็นรู กลวงภายใน มีรูสาหรับปิ ดเปิ ดนิ้วใหเ้ ป็ นเสียงสูงต่า เจาะท่ีตวั ปี่ ๖ รู ๔ รูบนเรียงตาม ลาดบั แลว้ เวน้ ห่าง พอควรจึงถึง ๒ รูล่าง ลิ้นป่ี ทาดว้ ยใบตาลตดั กลมมน ซอ้ น ๔ ช้นั ผกู ติดกบั หลอดโลหะท่ีเรียกวา่ \"กาพวด\" สอดกาพวดเขา้ ในรูป่ี ดา้ นบนแลว้ จึงเป่ า ที่เรียกวา่ ปี่ ในน้ี มาเรียกกนั เมื่อมีป่ี รูปร่างอยา่ งเดียวกนั แต่ขนาดต่างกนั เกิดข้ึน คือ ป่ี ที่ยอ่ มกวา่ ปี่ ใน เลก็ นอ้ ยเรียก \"ป่ี กลาง\" และป่ี ขนาดเล็กเรียกวา่ \"ปี่ นอก\" ปี่ ไฉน เป็นป่ี ที่มี ๒ ท่อน สวมต่อกนั มีรูปเหมือนดอกลาโพง ยาวประมาณ ๑๙ เซนติเมตร บรรเลง ร่วมกบั กลองชนะ ในงานพระบรมศพ พระศพเจา้ นาย หรือศพท่ีไดร้ ับพระราชทานเกียรติยศ ป่ี ชวา รูปร่างเหมือนปี่ ไฉน แต่ใหญ่กวา่ ยาวประมาณ ๓๙ เซนติเมตร บรรเลงร่วมในวง เครื่องสายปี่ ชวา และปี่ พาทยน์ างหงส์

ขลุ่ย เป็นเครื่องเป่ าที่ไม่มีลิ้น ทาดว้ ยไมร้ วก (ท่ีทาดว้ ยไมช้ ิงชงั หรืองาชา้ งกม็ ี) มีรูส่ีเหลี่ยมผนื ผา้ อยู่ ดา้ นใต้ ซ่ึงทาใหล้ มหกั มุมลง เรียกวา่ รูปากนกแกว้ รูที่สาหรับปิ ดเปิ ดนิ้วบงั คบั เสียงสูงต่าอยดู่ า้ นบน ๗ รู และ ดา้ นล่างเรียกวา่ รูนิ้วค้า อีก ๑ รู ดา้ นขวามีรูสาหรับปิ ดเยอ่ื (เยอ่ื ในปลอ้ งไมไ้ ผห่ รือเยอ่ื หวั หอม) เพ่ือให้ เสียงแตก (เม่ือตอ้ งการ) ขลุ่ยรูปร่างอยา่ งเดียวกนั น้ีมี ๓ ขนาด คือ \"ขลุ่ยหลิบ\" ขนาดเลก็ มีเสียงสูง ยาว ประมาณ ๓๖ เซนติเมตร \"ขลุ่ยเพียงออ\" ขนาดกลาง เสียงระดบั กลาง ยาวประมาณ ๔๕ เซนติเมตร และ \"ขลุ่ยอู\"้ ขนาดใหญ่ มีเสียงต่า ยาว ประมาณ ๖๐ เซนติเมตร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook