บทที่ 4 ส่อื การเรยี นการสอน สื่อนับวาเปนสิ่งท่ีมีบทบาทสําคัญอยางมากในการเรียนการสอนตั้งแตอดีตจนถงึ ปจจุบันเพราะสื่อเปนตัวกลางที่ชวยใหการส่ือสารระหวางผูสอนและผูเรียนดําเนินไปอยางมีประสิทธิภาพชว ยใหผเู รียนไดเขา ใจความหมายของเน้ือหาไดตรงกับที่ผสู อนตองการ ไมวาส่อื นนั้ จะอยูในรูปแบบใดก็ตาม ลวนแตเปนทรัพยากรที่สามารถอํานวยความสะดวกในการเรียนรูไดท้ังส้ิน การใชสื่อถือเปนการส่ือสารระหวางผูเรียนและผสู อน ผูสอนตอ งเลือกใชส ื่อและชองทางการสอ่ื สารใหถูกตอ งเหมาะสมกับเน้ือหาท่ีจะสอน เหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรูของผูเรียน รวมถึงความเหมาะสมกับสภาพแวดลอมในการเรียนดวย ทั้งนี้การใชสื่อที่ไมเหมาะสมกับสภาพการณอาจทําใหการเรียนการสอนไมบรรลุตามจุดมุงหมายท่ีตั้งไว นอกจากน้ีเมื่อเลือกส่ือประเภทใดแลวยอมคํานึงถึงเทคโนโลยีของสื่อแตล ะประเภทดวย เพื่อเลือกใชสื่อท่ีทันสมัยและสามารถส่ือสารดวยชองทางตางๆ เพื่อสงเน้ือหาใหผูเรียนเกิดการเรียนรูไดอยางดีที่สุด เหมาะแกการเรียนรูของผูเรียน โดยผูสอนสามารถเลือกใชสื่อแตละประเภทตามทฤษฎีการเรียนรูและรูปแบบการเรียนรูของผูเรียนแตละคนได ในปจจุบันสามารถแบกส่ือการเรียนการสอน 6 ประเภทดวยกัน ไดแก 1) ส่ือพ้ืนฐาน 2) สือ่ แอนะล็อก3) ส่อื ดจิ ทิ ัล 4) สอ่ื มลั ติมีเดีย 5) ส่ือไอซที ี และ 6) สื่อยุคใหมสอ่ื การเรียนการสอน ส่ือ (medium, pl.media) เปนคํามาจากภาษาลาตินวา medium แปลวา ระหวาง(between) หมายถึง สิ่งใดก็ตามที่บรรจุขอมูลสารสนเทศหรือเปนตัวกลาง ใหขอมลู สงผา นจากผูสงหรอื แหลงสงไปยังผรู บั สามารถส่ือสารกนั ไดตรงตามวตั ถุประสงค เมื่อผสู อนนาํ มาใชประกอบการสอนจะเรียกวา สื่อการสอน (instructional media) และเม่ือนําใหผูเรียนใชจะเรียกวา ส่ือการเรียน(learning media) โดยเรียกรวมกันวา ส่ือการเรียนการสอน หรืออาจเรียกสั้นๆ วา สื่อการสอนดังน้ันผูสอนจําเปนตองศึกษาถึงลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติของสื่อแตละชนิด เพื่อเลือกสื่อใหตรงกับวัตถุประสงคการสอนและจัดประสบการณการเรียนรใู หแกผูเ รียน โดยตองมกี ารวางแผนอยางเปนระบบในการใชสอ่ื ดวย เพ่ือใหกระบวนการเรยี นการสอนเปนไปอยางมปี ระสิทธิภาพ ส่อื การเรียนการสอน หมายถึง ทุกส่ิงทุกอยางที่ผูสอนและผูเรียนนาํ มาใชในการเรียนการสอน เพื่อชวยใหก ระบวนการเรยี นรดู ําเนินไปสูเปา หมายอยา งมปี ระสทิ ธิภาพ โดยใชว สั ดุส่ิงของท่ีมอี ยูในธรรมชาติ อุปกรณ เคร่อื งมือ รวมท้ังวิธีการสอนและกิจกรรมในรปู แบบตางๆ (สาํ นักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน , 2554) คณุ คาของส่อื การเรียนการสอน มดี งั ตอไปน้ี 1. ชว ยใหผูเรยี น เรียนรูไดดขี นึ้ จากประสบการณต รงอยางมคี วามหมาย 2. ชวยใหผเู รียน เรียนรไู ดเร็ว และใชเวลานอยลง
48 3. ชวยกระตุน ใหผูเรียนมีความสนใจในการเรียนมากขึ้น และสรางการมีสวนรวมในการเรียนอยา งกระตือรอื รน 4. ชวยสงเสริมการคิด สรา งความคิดรวบยอด ถายโยงความรูสูความจําระยะยาว และมีความคงทน ทําใหผ ูเรยี นสามารถเรยี กคนื ความรูไดต ลอดเวลา เมื่อผสู อนตอ งการวดั และประเมนิ 5. ชวยสงเสรมิ การคดิ วิเคราะหแ ละไตรตรอง 6. ชวยแกไขปญ หาในการเรียนรู หรือขอ จาํ กัดของผเู รียนเปนรายบคุ คล ไดแก 6.1 ทําใหเรียนรสู ง่ิ ทซี่ ับซอนไดง า ยขน้ึ 6.2 ทําใหเ รยี นรสู ิง่ ท่ีเปนนามธรรมใหเปนรูปธรรมมมากข้ึน 6.3 ทําใหส ามารถสงั เกตสิ่งท่ีเคล่ือนไหวเรว็ โดยจาํ ลองใหชา ลงได 6.4 ทาํ ใหสามารถสงั เกตสงิ่ ที่เคล่อื นไหวชา โดยจําลองใหเ ร็วข้ึนได 6.5 ทาํ ใหส ง่ิ ทม่ี ขี นาดใหญใหเลก็ ลงเพอื่ การศกึ ษาไดงา ยขึ้น 6.6 ทําสง่ิ ที่เลก็ มาจนตามองไมเห็น ขยายใหช ดั เจนเหน็ รายละเอยี ดมากขึน้ 6.7 นาํ ส่งิ ทเ่ี กิดข้ึนในอดตี มาศกึ ษาในปจจุบนั ได 6.8 นาํ ส่ิงท่อี ยูหา งไกล หรืออยูในสภาพแวดลอมอ่ืน มาศึกษาภายในช้ันเรยี นได 7. ชวยลดการบรรยายของผสู อนลง โดยใหส ือ่ ทาํ หนาทีถ่ ายทอดความรูใหแกผ ูเรียน 8. ชวยทําใหผูเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดีขึ้น เพราะสื่อการเรียนการสอนจะตองผา นการหาประสทิ ธิภาพกอ นนํามาใชในการเรียนการสอน อยางไรก็ตาม ปญหาในการนําสื่อการเรียนการสอนมาใชในหองเรียนในสภาพปจจุบันพบวาครูยังคงสอนแบบบรรยายหนาชั้นเรียน โดยใหผูเรียนรับฟงแลวจินตนาการตามเพ่ือจดจําเน้ือหา ซ่ึงบางเน้ือหาที่เปนนามธรรม อาจทําใหผูเรียนไมสามารถเขาใจได สงผลตอคุณภาพการเรียนรขู องผูเ รยี น ปญหาเหลาน้ี เกิดขึ้นจากผมู ีสว นเกย่ี วขอ ง 2 กลุม ดังน้ี 1. กลุมผูบริหาร ในอดีตผูบริหารมักไมใหความสนใจ ไมตระหนักในคุณคาและความสําคัญของสือ่ เทาท่ีควร มอบหมายใหเปนหนาท่ีของครูในการคิดวางแผนสรางสื่อการเรียนการสอนเอง ขาดการวางนโยบายดานการพัฒนาส่ือการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สถานศึกษาบางแหง อยูในถน่ิ ทรุ กันดาร ไมสามารถหาวัสดุ อุปกรณ หรือเทคโนโลยีมาใชในการเรยี นการสอนได รวมถึงไมมีกระแสไฟฟาใช จงึ ทําใหกลุมผูบรหิ าร ไมสามารถจัดสภาพแวดลอมและเตรียมสอ่ื การเรยี นการสอนใหกับผูเรียนอยา งเพียงพอ 2. กลุมผูสอน ครูผูสอนมีความรับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอนโดยตรง และมีความรอบรใู นเนื้อหาวิชาท่ีตนเองรับผิดชอบ แตมักขาดเทคนิคในการใชส่ือการเรียนการสอนในการถายทอดความรู เน่ืองจากขาดความเขาใจในการเลือก ออกแบบ สราง และการประเมินส่ือ รวมถึงการประยุกตใชทฤษฎีการเรยี นรู กับการนําส่ือการเรยี นการสอนไปใช จึงทําใหครูขาดความสนใจทจี่ ะพฒั นาส่ือการเรยี นการสอน และเนนการบรรยายหนาชั้นเรยี น และการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทไ่ี มไดวางแผนอยางเปน ระบบ สงผลใหผ ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของผเู รยี นตา่ํ ดงั จะเห็นไดจ ากผลการทดสอบทางการศึกษาแหง ชาติข้ันพื้นฐาน (Ordinary National Educational Test: O-NET)
49 ข ง จื้ อ ก ล า ว ว า I see and I forget, I hear and I remember, I do and Iunderstand. (เมื่อฉันไดเห็น ฉันก็จะลืม, ถาฉันไดยิน ฉันก็จะจํา, ยิ่งฉันไดทํา ฉันย่ิงเขาใจ) สะทอนถงึ ภาพท่ี 4.1 ไดเปนอยางดี เพราะรปู แบบการเรียนรูของคนเราแบงเปน 3 รปู แบบ ไดแ กก ารฟง การดูและการกระทํา การใหประสบการณการเรียนรูขอคนจึงอิงอยูกับท้ัง 3 รูปแบบนี้ เอดการ เดล(Dale, 1969:105-135 อางใน กิดานันท มลิทอง,2548:103-105) ไดแบงส่ือการสอนโดยสรางเปนกรวยประสบการณ (Cone of Experience) ดังภาพท่ี 4.1 ภาพที่ 4.1 กรวยประสบการณของ เอดการ เดล (Edgar Dale) ทีม่ า: กดิ านันท มลทิ อง, 2548: 103 จากภาพที่ 4.1 จะเห็นไดวาแนวทางในการอธิบายถึงความสัมพันธระหวางสื่อโสตทัศนประเภทตางๆ ขณะเดียวกันเปนการแสดงขั้นตอนของประสบการณการเรียนรูและการใชสื่อแตละประเภทของกระบวนการเรียนรูดวย แตละสวนจะเปนตัวแทนของขั้นตอนท่ีอยูร ะหวางประสบการณตรงและประสบการณนามธรรมอยางท่ีสุด เมื่อพิจารณาจากฐานของกรวยขึ้นไปสูจุดยอดบนจะเปนการคอยๆ ลดความเปนประสบการณตรงลงไปในแตล ะขั้นตอน และในทางกลับกันหากดูจากจดุ ยอดของกรวยลงมาจะเปน การเพมิ่ ประสบการณตรงและเกิดการเรยี นรูมากขึ้นทลี ะขน้ั ตอนเชนกัน ดงั น้ี ประสบการณตรง เปนการใหประสบการณที่เปนจริงมากที่สุดโดยการใหผูเรียนไดรับประสบการณตรงอยางมคี วามหมายจากของจรงิ ดว ยการเหน็ สัมผัสจบั ตอ ง ล้ิมรส ไดยิน และไดกลิ่นเพ่ือใหผูเรียนมีสวนรวมโดยตรง เชน สัมผัสขนสัตวเพ่ือรับรูความออนนุม รับประทานมะนาวเพื่อรับรูรสเปร้ียว ฯลฯ อยูในสถานการณจริง เชน อยูใตดินโดยเดินทางดวยรถไฟใตดิน ฯลฯ หรือดวยการกระทาํ ของตนเอง เชน การจัดดอกไม ทํากับขาว เหลานเี้ ปนตน
50 ประสบการณรอง เปนการเรียนรูโดยใหผูเรียนเรียนจากสง่ิ ที่ใกลเคียงความเปนจริงที่สุดประสบการณน้ีจะใชเมื่อสื่อที่จะนําเสนอเปนสื่อขนาดใหญเกินกวาที่จะนําเขามาในหองเรียนและไมสามารถนําไปชมเพื่อใหรับประสบการณตรงได เชน ตึกระฟา หอไอเฟล เรือดําน้ํา หรือเปนสื่อที่อยูภายในสิ่งมีชีวิตหรือวัตถุที่ไมสามารถผาออกดูได ในกรณีน้ีจะใชของจําลองแทน เชน โครงกระดูกกลองถายรูป หรือหากไมสามารถไปในสถานท่ีจริงหรืออยูในสถานการณจริงไดจะใชการจําลองก็ไดเชน การลงบตั รเลือกตั้ง การนัง่ ในหองนักบนิ จําลอง เปนตน ประสบการณนาฏกรรมหรอื การแสดง เปน การแสดงบทบาทสมมตุ ิหรือการแสดงละครเพ่ือเปนการจัดประสบการณแกผูเรียนในเร่ืองที่มีขอจํากัดดวยยุคสมัย เวลา และสถานที่ เชนเหตุการณในประวัติศาสตรหรือเรื่องราวท่ีเปนนามธรรม โดยใหผูเรยี นมีสวนรวมเพ่ือเรียนรจู ากการสวมบทบาทสมมตุ ิในการแสดงน้ัน การสาธิต เปนการแสดงหรือการกระทําประกอบคําอธิบายของความจริง แนวคิดหรือกระบวนการ เพื่อใหเห็นลําดับขั้นตอนของการกระทําน้ัน เชน การตัดเย็บเสื้อผา การปรุงอาหาร ในการสาธิตนี้ถึงแมสวนมากแลวผูเรียนจะเปนผูสังเกตการณ (observer) เทานั้น แตในบางครั้งอาจมีการกระทาํ (doing) รว มดวย การศึกษานอกสถานท่ี เปนการใหผูเรียนพบเห็นและเรยี นรูจากประสบการณภายนอกสถานทเ่ี รยี น โดยการเย่ียมชมสถานที่ตางๆ เชน เย่ียมชมอุทยานประวัติศาสตรเพื่อดูวัตถุและสถานที่โบราณ ไปสวนสัตวเ พอ่ื ดสู ตั วนานาชนดิ นิทรรศการเปนการจัดแสดงสิ่งของตางๆ เชน การจัดปายนิเทศ เพ่ือใหสาระประโยชนและความรูแกผูเรียน โดยนําส่ือนานาประเภทมาจัดรวมกันเพ่ือใหไดรับประสบการณหลายอยางผสมผสานกันมากท่ีสุด เชนในการจัดนิทรรศการวันเขาพรรษาอาจมีการใชภาพกราฟก ท้ังภาพถายภาพวาดประกอบขอความตัวอักษร เสนอภาพเคลื่อนไหวดวยแผนวีซีดีเก่ียวกับการทาํ บญุ ท่ีวัด มเี สียงแสดงธรรมจากเคร่ืองเสียง มขี องจรงิ เกีย่ วกับของถวายพระ เปนตน โทรทัศน โดยใชท้ังโทรทัศนการศึกษาและโทรทัศนการสอน เพ่ือใหขอมูลความรูแกผูเ รียน หรือผชู มที่อยูในหองเรยี นหรอื อยูท างบาน และใชสง ไดทงั้ ในระบบวงจรเปดและวงจรปด การสอนอาจจะเปน การสอนสดหรือบนั ทึกลงวีดิทศั นกไ็ ด ภาพยนตร เปนภาพเคลื่อนไหวและเสียงที่บันทึกเร่ืองราวเหตุการณ ลงบนฟลม แตในปจจุบันเปนการใชแ ผนวีซีดี/ดวี ีดี แทน เพื่อใหผ ูเ รียนไดรับประสบการณท ้ังภาพและเสยี ง การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพน่ิง ในขั้นตอนน้ีของกรวยประสบการณเปนการใชสื่อหลายประเภท ส่ือเสียงและภาพอาจใชไดทั้งการเรียนรายบุคคลหรือเปนกลุม สื่อในขั้นตอนน้ีจะใหประสบการณนอยกวาส่ือโสตทัศนที่กลาวมาขางตนทั้งนี้เน่ืองจากภาพน่ิง (ภาพถายหรือภาพเลียนแบบของจริง) ขาดความเคล่ือนไหวและเสียงการกระจายเสียงของวิทยุจะไดยินเพียงเสียงโดยไมมีภาพเหมือนการแพรสัญญาณของโทรทัศนและการบันทึกเสียงเปนการบันทึกขอมูลตางๆ ท่ีใหเฉพาะเสียง ทัศนสัญลักษณ สื่อในขั้นตอนน้ีเปนการนําเสนอสัญลักษณทางทัศนะ เชน แผนท่ีแผนภูมิ แผนภาพ กราฟ หรือเคร่ืองหมายซึ่งเปนส่ิงที่เปนสัญลักษณทนความเปนจริงของสิ่งตางๆหรอื ขอมูลทีต่ อ งการใหเรียนรู
51 วจนสญั ลักษณ เปนข้ันจุดยอดกรวยซ่ึงนําเสนอประสบการณขน้ั ที่เปนนามธรรมท่ีสุดในลกั ษณะสัญลกั ษณทางวาจาหรอื กิริยา ซึ่งจะไมเกี่ยวของกบั ลักษณะทางกายภาพของส่ิงทใี่ ชแทน เชนคําวา มา จะไมมีรูปรางหรือเสียงเหมือนมา ในขั้นตอนนี้จึงเปนนามธรรมของทุกสิ่งท่ีไมเปนรปู รางเหมือนตัวตนที่แทจรงิ ของส่งิ นั้นแตจะสอ่ื ความหมายของสง่ิ นั้นแทน วจนสัญลักษณ อาจเปนคําทสี่ ื่อความหมายไดชัดเจน เชน สุนัข รถยนต แนวคิด เชน ความงาม หลักการทางวิทยาศาสตร เชน กฎความโนมถวง สูตร เชน H20 รวมถึงส่ิงใดๆ ท่ีเปนตัวแทนของสัญลักษณไดแก ตัวหนังสือในภาษาเขียนและเสียงของคําพูดในภาษาพูด การใชวจนสัญลักษณเปนสื่อในการเรียนการสอนจึงควรใชรวมกับส่อื ในขนั้ ตอนอน่ื ๆ ดว ยเพ่อื ใหผูเรียนเกิดการเรียนรแู ละความเขาใจทถี่ กู ตอ งสอื่ พน้ื ฐาน จากกรวยประสบการณของเอดการ เดล จะเห็นไดวาสามารถแบงสื่อไดเปน 3 ประเภทใหญๆ ไดแก วัสดุ อุปกรณ และเทคนิควิธีการ โดยใชส่อื โสตทัศนเปนหัวใจหลัก คือ ตาดู หูฟง แมวาจะเปนการใชเทคนิควิธีการเปนสื่อในการเรียนการสอน แตในบางกรณีก็ตองใชสื่อโสตทัศน ประกอบในการนําเสนอดวย ในชวงแรกๆ มีการนําส่ือโสตทัศนมาใชใ นการศึกษา โดยใชภาพและเสียงในการนําเสนอเนื้อหา ในลักษณะส่ือธรรมดาและสื่ออิเล็กทรอนิกส เชน แผนเสียงและเครื่องเลนแผนเสียงเทปเสียงและเครอ่ื งเลนเทป ฟลมและเคร่ืองฉายภาพยนตร ภาพถาย แผนท่ี ของจําลอง ของจริง สื่อเหลาน้ีนับเปนสื่อแบบด้ังเดิม (traditional media) หรือเรียกวา ส่ือพื้นฐาน สวนใหญเปนอุปกรณการสอน (teaching aids) เนนสิ่งทีน่ ํามาสอน ตอมาเนนการรับรูทางดา นเสียงกับภาพ จึงใชคําวาโสตทัศนอุปกรณหรือโสตทศั นูปกรณ (audio-visual aids) กิดานันท มลิทอง (2548) ไดเรียบเรียงการใชเทคโนโลยีเสียงและภาพเพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพการศึกษาในชวงศตวรรษท่ีแลวถึงปจบุ ันของประเทศสหรัฐอเมริกา ซ่ึงตอมาไดนําเขามาเผยแพรและใชในการเรียนการสอนของประเทศไทย หัวขอน้ีไดสรุปเฉพาะการใชส่ือโสตทัศนแตล ะประเภทที่ใชในการเรียนการสอน และแสดงเปนคาบเวลาทส่ี ําคัญผูเขยี นไดส รปุ และนํามาเสนอเปน ภาพที่ 4.2 ดงั น้ี (เขา สยู ุคสื่อโสตทัศน) (เขา สูยุคเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร)พ.ศ.2448-2463 | 2453 | 2463-2480 | 2484-2489 | 2493-2509 | 2520 - ปจจุบนั- สไลด ภาพยนตร - ภาพยนตร - เครื่องฉาย - โทรทัศน - ไมโครคอมพิวเตอร- ฟลม ภาพยนตร - วิทยุ ภาพขามศรี ษะ เพื่อการศึกษา ป 2523 เปน ตนมา- ส่งิ พมิ พ - หนังสอื - เคร่ืองจาํ ลอง - เคร่ืองฉายภาพยนตร - อินเทอรเน็ต- ของจําลอง การบิน - เครื่องฉายฟล ม สทริป - อุปกรณด ิจิทลั- แผนภมู ิ - เคร่ืองเสยี ง - เครื่องฉายสไลด - เครื่องฉายสไลด - เทคโนโลยีกอนหนา น้ี ฯลฯ - หองปฏิบัติการ - มกี ารใชอยาง ทางภาษา แพรหลายภาพท่ี 4.2 การใชเทคโนโลยีเสียงและภาพในชวงศตวรรษท่ีแลวถึงปจจบุ ัน
52 จากภาพที่ 4.2 จะเห็นไดวาชวงกอนป พ.ศ.2509 เปนการใชสื่อการเรียนการสอนในรูปแบบเกา เมื่อเปรียบเทียบกับปจจบุ ัน เชน สงิ่ พิมพ บัตรคาํ โปสเตอร ของจริง ของจาํ ลอง กระดานชอลก กระดานผาสําลี กระดานนิเทศ แผนภูมิ กราฟ การสาธิต ฯลฯ สื่อเหลานี้ครูสามารถผลิตและถา ยทอดเนื้อหาไดด วยตนเอง ดังภาพการนาํ เสนอผลงานการส่อื พื้นฐานของนักศกึ ษา ท่ี 2.3-2.29ภาพที่ 4.3 บัตรคํา ภาพท่ี 4.4 แผนภาพภาพที่ 4.5 กระดานนิเทศ ภาพท่ี 4.6 ของจําลอง
53ภาพที่ 4.7 pop-up ภาพท่ี 4.8 ส่ือ 3 มติ ิภาพท่ี 4.9 โปสเตอร ภาพที่ 4.10 ส่ือประเภทอุปกรณทดลอง
54ภาพที่ 4.11 การต ูน ภาพท่ี 4.12 สื่อประเภทเกมภาพท่ี 4.13 หนังสือเลมเลก็ ภาพที่ 4.14 แผนภูมิ
55ภาพท่ี 4.15 หุนกระดาษและหุนนวิ้ มือ ภาพที่ 4.16 วิธสี อนโดยใชบัตรคาํ
56ภาพท่ี 4.17 วธิ ีสอนโดยใชเกมภาพท่ี 4.18 การจัดมุมความรู
57ส่ือแอนะลอ็ ก สื่อแอนะล็อก ซ่ึงเปนอุปกรณอิเล็กทรอนิกส ท่ีใชในการถายทอดเนื้อหาจากวัสดุใหเห็นเปน ภาพขนาดใหญ ที่ฉายไปยงั จอภาพ หรอื ถายทอดเสียงจากวสั ดบุ ันทึก แบงออกเปน 1) เคร่ืองฉายเชน เครื่องฉายภาพขามศีรษะ เคร่ืองฉายภาพทึบแสง เคร่ืองฉายสไลด เคร่ืองฉายภาพยนตร2) เคร่อื งเสียง เปน อุปกรณแปลงสญั ญาณคล่ืนไฟฟา ความถ่ีเสียงใหเปนคล่ืนเสียงเพอื่ ใหเหมาะสมกับการไดยิน เชน ลําโพงและวิทยุ หรือเปนวัสดุอุปกรณในการรับหรือบันทึกเสียง เชน แถบเทปและเครื่องเทปเสียง และ 3) เคร่ืองแปลง/ถายทอดเสียง เชน กลองโทรทัศน เคร่ืองเลนวีดิทัศน เครื่องวชิ วลไลเซอร ดงั ภาพตัวอยางที่ 4.19-4.24ภาพที่ 4.19 เคร่อื งวชิ วลไลเซอร ภาพท่ี 4.20 เคร่ืองเสยี งภาพที่ 4.21 เครื่องฉายภาพขามศีรษะ ภาพที่ 4.22 เคร่ืองฉายสไลด
58 ภาพที่ 4.23 เคร่ืองฉายภาพยนตร ภาพท่ี 4.24 เคร่ืองฉายฟลม สทรปิสื่อดิจิทัล ดิจิทัล (digital) กิดานันท มลิทอง (2548) กลาววา มาจากคําวา digit หมายถึง ตัวเลขหรือ เลขโดด ดังนั้น คําวา digital มีความหมายคลายกับน้ิวมือทเี่ ราใชนับจํานวน เมื่อนําคําน้ีมาใชเปนสัญญาณดิจิทัล จึงหมายถึงสัญญาณท่ีมีลักษณะเลขโดดโดยเฉพาะที่เปนเลขฐานสอง (binarynumber) แยกจากกันคือ 1 และ 0 ซ่ึงเปนจังหวะไฟฟา เปด หรือ ปด จึงมีความไดเปรียบในการบีบอัดและความเที่ยงตรงในการบันทึกและการอาน รวมถึงความแมนยําในการเขาถึงขอมูล สามารถใชงานกับระบบคอมพิวเตอรไดโดยตรง เมื่อนําระบบดิจิทัลมาใชเปนส่ือ จึงหมายถึง อุปกรณอเิ ลก็ ทรอนิกสท ่ใี ชใ นการถายทอดเน้อื หาและแปลงสัญญาณทน่ี ํามาใชแทนระบบแอนะล็อก ส่ือระบบดิจทิ ัลไดแก ภาพตวั อยา ง ดังนี้ภาพที่ 4.25 เคร่อื งเลน ซดี /ี ดีวีดี แบบพกพา ภาพท่ี 4.26 เคร่ืองเลน ซีดี/ดวี ีดี
59ภาพท่ี 4.27 กลอ งดิจิทัล ภาพที่ 4.28 เครอื่ งวิดีโอโพรเจก็ เตอร ภาพที่ 4.29 สายตอ พว งสื่อดิจิทัล นอกจากคอมพิวเตอรแลว ปจจุบันมีส่ือดิจิทัลอีกมากมายใหผูสอนไดเลือกใชกันอยางแพรหลาย หลักการทํางานที่สําคัญของส่ือดิจิทัล คือ รูปแบบขอมูลตองเปนตัวเลข แตเนื่องจากสัญญาณภาพและเสียงโดยธรรมชาติจะเปนระบบแอนะล็อก เมอื่ จะนํามาใชในรูปแบบดิจิทัล จึงตอ งมีการแปลงขอมูลใหเปนเลขฐานสองเสียกอน เพื่อบันทึกขอมูลลงในส่ือดิจิทัล และแปลงกลับไปเปนแอนะลอ็ กอีกครั้งหน่ึง เพื่อใหเปนภาพ ภาพเคล่อื นไหวและเสียงตามธรรมชาติเดิมตอไป ดงั ภาพที่ 4.30
60 ภาพที่ 4.30 หลกั การทํางานของส่ือดิจทิ ลั ตัวแปลงแอนะล็อกเปนดิจิทัลและตัวเขารหัส จะดําเนินการเปล่ียนความถ่ีของภาพและเสยี งจากตนแหลง ซ่งึ เปนแอนะลอ็ ก หรอื กระแสดวยอปุ กรณต รวจจับ เชน กลองถายภาพระบบดิจิทัลจะมีชิปซีซีดี ประกอบดวยโฟโตเซลลขนาดจ๋ิวจํานวนมากรับแสงท่ีสงกระทบวัตถุและเปล่ียนเปนสัญญาณไฟฟา เปนจุดเริ่มตนของขบวนการแอนะล็อก จากน้ันสงตอใหอุปกรณแปลงสญั ญาณใหเปนเลขฐานสอง แตเ น้อื จากขอ มูลทไี่ ดร ับน้ันมจี ํานวนมากจึงตอง เขา รหัส และ บีบอัด เพอ่ื ลดทอนขอมลูใหเหลือเพียงสวนท่ีจําเปนตองใชจรงิ สงผลใหมีขนาดเล็กและไมเปลืองเนื้อท่ีจัดเก็บ และสะดวกในการสงผานระบบเครือขายที่เปนชองการการส่ือสารไดอีกดวย ซึ่งภาพและเสียงอาจใชมาตรฐานที่นิยมกันในปจจุบัน เชน ภาพท่ีใชมาตรฐาน JPEG หรือ เสียงเพียงอยางเดียวในมาตรฐาน MP3,WAVE หรอื ภาพ ภาพเคล่ือนไหว และเสยี ง มาตรฐาน MPEG, AVI หรือ MP4 เปน ตน สาํ หรับวัสดุดจิ ิทัล เมื่อมีการเขารหัสและบีบอัดขอมูลแลว จะบนั ทึกขอมลู ลงในวัสดุตางๆเชน ฮารดดิสก แผนซดี ี แผนดีวีดี แผนเมมโมรีสตกิ๊ เทปเสียง เปนตน นอกจากน้ีสามารถสงขอมูลท่ีถูกบีบอัดในลักษณะของแฟมขอมูล (data file) และแบบสายธารขอมูล (streaming data) ไปในเครือขายคอมพิวเตอรในระบบการส่ือสารแถบกวาง (broadband communication system)ระบบเครอื ขา ยเฉพาะท่ี (local area network: LAN) หรอื เครอื ขายอินเทอรเน็ต
61 ตัวถอดรหัสและตัวแปลงดิจิทัลเปนแอนะล็อก เม่ือบันทึกขอมูลลงส่ือหรือสงไปยังเครอื ขา ยแลว เม่ือตอ งการใชงานขอมูล เชน ดูภาพ ฟงเสียง หรือดภู าพยนตร จะตองนําวสั ดุท่ีเปนสื่อดิจิทัลไปใชกับอุปกรณท่ีมาตรฐานตรงกัน เชน เคร่ืองเลน MP3 เคร่ืองเลนซีดี/ดีวีดี หากใชกับคอมพิวเตอร ตองใชกับซอฟตแวรท่ีรองรับกับมาตรฐานน้ันๆ ดวย และตองมีอุปกรณเช่ือมตอ เชนชองเสียบ USB เพ่ืออานไฟลขอมลู เคร่ืองอานซีดี/ดีวีดี เพ่ืออานสื่อดิจิทัล หรือเช่ือมตอกับเครือขายอนิ เทอรเนต็ /LAN (เครอื ขายทองถิน่ ) เพอื่ สามารถใชสายธารขอมลู ได เปนตน เนาวนิตย สงคราม (2554) กลาวถึงเหตุผลที่ควรใชดิจิทัลวีดิทัศนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวา ผูเรียนยอมมีความคุนเคยกับการชมภาพยนตรมาต้ังแตเล็ก เชน การตูน สารคดีเปนตน โดยสวนใหญมักเปนการนําเสนอเร่ืองราวดวยภาพและคําพูด ในโรงเรียนตางประเทศไดนําดิจิทัลวีดิทัศนมาใชในการเรียนการสอน เชน การเลาเร่ืองประวัติศาสตร ศาสนา นิยาย ชีวิตจริงเพลง (มิวสิควิดโี อ) เหตุการณรวมสมัย ใชฝกการพูดหรือการออกเสยี ง เปนตน สําหรบั ประเภทของดิจิทัลวีดิทัศนที่ใชในการเรียนการสอน ไดแก 1) การบรรยาย ลักษณะคลายหนังสั้น หรือละครโทรทัศน 2) สารคดี เปนการนําเสนอขอเท็จจริง เร่ืองราวเก่ียวกับบุคล เหตุการณ เพื่อนําเสนอสาระความรู 3) แอนิเมช่ัน ท่ีสรางข้ึนดวยโปรแกรมคอมพิวเตอร เชน Macromedia Flash เพื่อนําเสนอเรื่องราวท่ีเปนสาระความรูตางๆ และ 4) การเลาเร่ืองแบบดิจิทัล เพ่ือนําเสนอเรื่องราว มุมมองขอ เทจ็ จรงิ ของผูเรียน ทง้ั ภาพ เสยี ง ขอความ สอ่ื พ้ืนฐานใชนําเสนอเนื้อหาในลักษณะส่ือธรรมดาและสอ่ื อิเล็กทรอนกิ สร ะบบแอนะล็อกในระยะเวลาตอมาดวยพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจทิ ัล ทําใหม ีการใชส่ือดิจิทัล แทนสอื่ แอนะล็อก ท้ังวัสดุและอุปกรณ เชน เดิมใชเครื่องฉายภาพศีรษะนําเสนอเน้ือหาโดยใชแผนโปรงใส แตปจจุบันเปล่ียนมาเปนการใชโปรแกรมนําเสนอ Microsoft Office PowerPoint แทน และฉายดวยเคร่ืองวดิ ีโอโพรเจ็กเตอร และการฉายภาพยนตรดวยฟลมหรือวดี ิทัศน เปลี่ยนมาใชแผนวีซีดีหรือแผน ดีวีดีแทน ซ่งึ ใหภาพและเสียงท่คี มชัดมากกวา หรือการฟงเพลงดวยเทปคาสเซต็ ตระบบแอนะล็อก เปลี่ยนมาเปนการฟงจากแผนซีดีระบบดิจิทัล เปนตน ดังน้ันผูสอนควรทราบถึงคุณลักษณะและคุณสมบัติของส่ือแตละประเภท เพื่อการเลือกและประยุกตใชรวมถึงบูรณาการสื่อพื้นฐานและส่ือดิจิทัลใหเหมาะสมกับเนื้อหา รวมถึงวิธีจัดการเรียนการสอน ตารางท่ี 2.1 แสดงการเปรยี บเทียบสื่อพ้ืนฐานสอ่ื แอนะลอ็ ก และสื่อดจิ ทิ ลั รวมถงึ คุณสมบตั ิของส่ือในการนําเสนอในภาพรวม
62ตารางท่ี 3.1 เปรียบเทียบการนาํ เสนอเนอื้ หาดว ยสื่อพืน้ ฐาน สอื่ แอนะลอ็ ก ส่อื ดจิ ิทัลและคณุ สมบัติการนาํ เสนอ ส่อื พ้ืนฐาน/ส่อื แอนะลอ็ ก ส่ือดจิ ทิ ัลภาพน่งิ ประเภท -แผน โปรงใสและเครื่องฉายภาพ -คลิปอารต บนแผน ซีดหี รือภาพถาย ภาพวาด ขามศีรษะ อินเทอรเ น็ต -สไลดและเคร่อื งฉายสไลด -กลอ งดิจทิ ัล คอมพิวเตอร -แผนโปสเตอร -กระดานนิเทศเสียงหรือคําพดู -เทปเสยี งและเครอ่ื งเลน/บันทกึ เทป -แผนซดี ี/ดีวดี /ี MP3และเคร่ืองเลน -เสยี งจากอินเทอรเนต็รายการโทรทัศน -จอโทรทศั น -จอภาพคอมพิวเตอรขอมูลอกั ขระ/ -สงิ่ พิมพประเภทหนังสือ วารสาร -การแพรส ัญญาณบนอนิ เทอรเน็ตขอ มูลรวม -มัลตมิ เี ดียซดี ีของจริงของจําลอง -วัสดุของจริง 3 มิติ -หนังสืออเิ ลก็ ทรอนิกสทม่ี า: กิดานันท มลทิ อง, 2548: 137 -อนิ เทอรเน็ต -ภาพ 3 มิติ ความเปนจรงิ เสมอสื่อมัลตมิ เี ดีย กิดานันท มลิทอง (2548) และ ณัฐกร สงคราม (2553) กลาวถึงความเปนมาของสื่อในอดีต สรุปไดวา มักเปนส่ือในรูปแบบเด่ียว หรือ สื่อประสมแบบดั้งเดิม ที่มีการถายทอดเนื้อหาไปยังผูรบั สารเพียงชองทางเดียว ไมวาจะผานทางการมองเห็น ทางการฟง หรือการสัมผัส แตมีขอจํากัดดานความนาสนใจและเทคนิคในการนําเสนอเพ่ือใหผูใชเกิดการรับรู ตอมาจึงมีแนวคิดในเรื่องการผสมผสานสื่อเกิดขึ้น ในลักษณะวิธีการใชสื่อขามกัน (cross-media approach) คําวา มัลติมีเดียหรือสื่อประสมแบบใหม ถูกใชครั้งแรกในป ค.ศ.1965 ในรปู แบบของการแสดงท่ีผสมผสานระหวางแสง สี ดนตรีและศิลปะการแสดง ตอมาในชวงป ค.ศ.1970 นิยามของสื่อมัลติมเี ดีย มีลักษณะเปนการนําเครื่องฉายหลายเครื่องมาใชรวมกับเทปเสียง หรือ วัสดุ อุปกรณตางๆ เชน เคร่ืองฉายสไลดเคร่อื งฉายภาพโปรง ใส เคร่ืองเลนวีดิทัศน มาใชง านรวมกนั ดวยวิธีการตางๆ ในคราวเดียวกันหรอื เปนลําดับขน้ั ตอน ตอมามีการนําเอาระบบคอมพิวเตอรมาเปนตัวชวยควบคุมการทาํ งานของอุปกรณแตละชิ้น โดยมีวัตถุประสงคเ พื่อเราใหเกิดความนาสนใจและใหผูชมเกดิ การรับรูอยางหลากหลายทั้งการมองเห็นและไดยิน เรียกอีกอยางหนึ่งวา คอมพิวเตอรมเี ดยี สําหรับราชบัณฑิตยสถาน ไดบ ัญญตั ศิ ัพทของคํา multimedia เปนศพั ทบญั ญตั ิเทคโนโลยสี ารสนเทศไววา 1. สื่อประสม 2. สื่อหลายแบบ
63 รูปแบบของมัลตมิ ีเดีย แบง ออกไดเ ปน 2 ประเภทใหญๆ ไดแ ก 1. มัลติมีเดียเพ่ือการนําเสนอ (presentation multimedia) มีวัตถุประสงคมุงสรางความตื่นตาต่ืนใจ นาสนใจ นาติดตามและถายทอดผานประสาทสัมผัสที่หลากหลาย เชน ตัวอักษรภาพและเสียง ปจจุบันพัฒนาถึง ขั้นทีใ่ หผูชมไดสัมผัสไดถ ึงความรูสึกตา งๆ เชน ความรอน ความเย็นการส่นั สะเทอื น หรือกล่นิ 2. มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ (interactive multimedia) มีวัตถุประสงคมุงสรางใหผูใชสื่อสามารถโตตอบไดโ ดยตรงผานโปรแกรมมัลติมีเดียอาจเรยี กไดวาเปนส่ือประสมเชิงโตตอบ มีลักษณะของส่ือหลายมิติ (hypermedia) สามารถแบงเน้ือหาออกเปนสวนยอยและผูใชสามารถขามไปใชขอมูลในสวนอ่ืนๆ ท่ีเชื่อมโยงถึงกันดวยจุดเชื่อมโยงหลายมิติไดทันที เขาถึงขอมูลสารสนเทศท่ีไมจําเปน ตองเรยี งลําดับเน้อื หา อาจกลา วไดว า สือ่ หลายมติ ิ = สื่อประสม + จดุ เช่ือมโยงหลายมติ ิ รปู แบบของเนื้อหาในมัลติมีเดีย โดยทั่วไปจะประกอบไปดวยสอ่ื การรบั รู ไดแก 1. ขอ ความหรือตัวอกั ษร (text) 2. ภาพกราฟก (graphics) ท้ังแบบบิตแม็ป ซ่ึงเปนภาพท่ีสรางข้ึนจากตารางจุดภาพ(grid of pixels) และแบบเวกเตอร (vector graphics) ท่ีสรางข้ึนจากรูปทรงท่ีข้ึนอยูกับสูตรทางคณิตศาสตร ทําใหมีเสนท่ีน่ิมนวลและมีความคมชัดแมขยายใหญขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึงภาพท่ีไดจากการวาดดวยมือหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร หรือจากการแสกน รวมถึงภาพน่ิง (still images)หรอื ภาพท่ไี ดจากการถายจากกลองดิจทิ ลั อกี ดวย 3. เสียง (sound) หมายถึง เสียงที่บันทึกและเก็บไวในรูปแบบดิจิทัล สามารถนาํ กลับมาเลนซ้าํ ได (play back) 4. ภาพเคลื่อนไหว (animation) หมายถึง การนําภาพกราฟกมาทําใหมกี ารเคล่ือนไหวเชน ภาพการตนู ซึง่ ในปจุบันสามารถสรางไดงาย เรยี กวาการตูนท่ีสรางขึ้นมาจากคอมพิวเตอรดิจิทัล(digital computer cartoon animation) โดยอาศัยโปรแกรมกราฟกตางๆ โดยเฉพาะโปรแกรมMacromedia Flash ทนี่ าํ มาใชสรา งการต นู 2 มิติ หรือ 3 มติ ไิ ด 5. ภาพเคล่ือนไหวแบบวีดิทัศน (full-motion video) เปนส่ืออีกรูปแบบหน่ึงที่นิยมใชกับมลั ติมีเดีย เน่ืองจากสามารถแสดงภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสยี งไปพรอมๆ กนั ได 6. ปฏิสัมพันธ (interactive) หมายถึง การท่ีผูใชสามารถโตตอบส่ือสารกับโปรแกรมมัลติมเี ดียได เชน การเลอื กดูขอมูลท่ีสนใจ โดยไมเรียงลําดับเนอ้ื หา โดยใชเ มาส แปนพิมพหรือสัมผสัหนา จอ การส่ังงานดว ยเสียง เปนตน ประโยชนของมัลติมีเดีย ดวยคุณสมบัติของมัลติมีเดียหรือส่ือประสม ท่ีนําเสนอสื่อหลากหลายรูปแบบในคราวเดียวกัน รวมถึงการมีปฏิสัมพันธโตตอบกับผูใชแลวใหผลปอนกลับหรือตอบโตก ับผูใชในทันที ทําใหมีผูนยิ มใชส่ือประเภทนีอ้ ยางแพรหลายและนํามาใชเพื่อเอื้อประโยชนใ นการโฆษณา ประชาสัมพันธ การส่ือสารโทรมนาคม การแพทยและสาธารณสุข การคาและพาณิชยการบันเทิงและนันทนาการ ภูมิศาสตร และการพิมพ ในหลายรูปแบบตามท่ีตองการ สําหรับประโยชนทเ่ี อ้ือตอการเรยี นการสอน นน้ั ไดแ ก
64 1. การส่ือสารความรู เน้ือหาของมัลติมีเดียชวยในการส่ือสารความรูจากผูสอนหรอื จากแหลง เรยี นรตู า งๆ ไปสูผเู รียนไดอยา งชัดเจนกวาสื่อแบบดั้งเดิม 2. เนนผูเรียนเปนศูนยกลาง มัลติมีเดียสามารถสนองตอบตอการใชงานของผูเรียนไดทันที เนื่องจากผูเรียนสามารถเลือกเนื้อหาหรือกําหนดจังหวะในการเรียนของตนไดเองตามวันและเวลาทีต่ อ งการ 3. ความยืดหยุน มัลติมีเดียสามารถนํามาประยุกตใชกับการจัดการเรียนการสอนไดทุกรูปแบบและสถานการณ เนื่องจากสื่อมัลติมีเดียสามารถใชไดหลากหลายวิธี เพื่อนําเสนอเนื้อหาที่ดีท่สี ุดแกผูเ รยี น 4. ปฏิสัมพันธ มัลติมีเดียสามารถกระตุนใหผูเรียนรูสึกกระตือรือรนและกระฉับกระเฉงตลอดเวลาท่ีเรียนเน้ือหาจาก บทเรียน เนื่องจากส่ือมัลติมีเดียท่ีสรางจากโปรแกรมคอมพิวเตอรสามารถมปี ฏสิ ัมพันธโตต อบผูเรียนไดหลายวิธกี ารและอยางรวดเร็ว 5. สนองตอบตอการใชสื่อการเรียนการสอนอยางหลากหลาย ดวยแนวคดิ การจัดการเรียนรูแบบรวมมือระหวางกันของผูเรียน การเรียนรูแบบโครงงาน และสนับสนุนการเรียนรูที่เอื้อใหผเู รยี นแสวงหาความรูไดด วยตนเอง ขอ จาํ กดั ของมลั ติมีเดีย แมว ามัลติมีเดียจะมคี ณุ ลักษณะที่เอ้ือตอการเรยี นรูทีด่ ี แตในการนํามาประยกุ ตใชก บั การจดั การเรียนการสอนของไทย พบวา ยังมีขอ จํากดั อยูหลายประการ ไดแ ก 1. ทักษะการผลิต สื่อมัลติมีเดียในปจจุบันยังมีการผลิตและนํามาใชในการจัดการเรียนการสอนในช้ันเรียนโดยผูสอนเปนผูออกแบบใหเหมาะสมกับปญหาการเรียนการสอนในช้ันเรียนของตนนอย ท้ังน้ีอาจเกี่ยวของกับทักษะในการสรางส่ือมัลติมีเดียท่ีตองสามารถใชส่ือไดหลากหลายรูปแบบแลวนํามาผสมผสานเปน สือ่ มัลติมเี ดยี 2. กระบวนการหาประสิทธิภาพ ปจจุบันพบวาผูผลิตสื่อมัลติมีเดียขาดกระบวนการหาประสทิ ธิภาพสือ่ และวิเคราะหผลการตรวจสอบสือ่ ทาํ ใหสอ่ื มัลติมเี ดียถูกสรา งข้ึนโดยไมมีการประเมินคณุ ภาพเพอ่ื นําไปสกู ารแกไข 3. การออกแบบมัลติมีเดีย มัลติมีเดียสวนใหญท่ีผลลิตข้ึนมา ขาดการนําหลักทฤษฎีการเรียนรูมาใชในการออกแบบส่ือมัลติมีเดียและการบรรจุวิธีสอนลงในสื่ออยางเปนข้ันตอนและเปนระบบ 4. ทีมงานพัฒนามัลติมีเดยี การสรางส่ือมัลติมเี ดียที่ไดคุณภาพตองอาศัยคณะผูพัฒนาที่มีความสามารถครบถวนที่จะผสมผสานส่ือหลากหลายรูปแบบลงไปในส่ือมัลติมีเดีย รวมถึงการขาดแคลนบุคลากรท่ีมีความสามารถในดานการสรางสื่อมัลติมีเดียและตองมีความรูดานการออกแบบการเรยี นการสอนอกี ดวย 5. ความพรอมในการใชงานมัลติมีเดีย แมส่ือมัลติมีเดียท่ีมีคุณภาพและเอ้ือตอการเรียนรูของผูเรียนไดดีเพียงใด แตขอจํากัดดานความซับซอนในการใช ราคาคอมพิวเตอร อุปกรณตอพวงเพอื่ ใหสือ่ มัลติมีเดียนําเสนอเน้ือหาไดสมบรู ณมีราคาแพง ตอ งอาศัยเครอื ขายอินเทอรเน็ต ตองใชไฟฟา อาจทําใหผูสอนหรือผูเรียนมีความรูสึกไมสะดวกในการใชงาน และหันไปใชส่ือรปู แบบอื่นแทนโดยเฉพาะสือ่ พนื้ ฐาน ท่ีสรา งขึน้ มาจากคอมพิวเตอรท ผ่ี สู อนมคี วามถนดั มากกวา
65ส่อื ไอซีทีและสื่อยุคใหม สํานักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน (2554) ไดใหความหมายของสื่อไอซีที(Information and Communications Technology media) วาหมายถึง เทคโนโลยีท่ีใชในการนําเสนอขอมลู สารสนเทศ ความรู ฯลฯ ผานอุปกรณอิเล็กทรอนิกสตางๆ เชน คอมพิวเตอร โทรศัพทโทรศัพทเคลอื่ นที่ โทรทัศน ดีวีดี วิดีโอ วิดโี อคอนเฟอรเร็นซ รวมท้ังการนําเสนอผา นระบบเครือขายอินเทอรเน็ต สื่อไอซีที มีคุณสมบัติคลายคลึงกับสื่อมัลติมีเดีย จึงทําใหผูเรียนมีความสนใจ สามารถนําเสนอเน้ือหาท่ีเปนนามธรรมใหเปนรูปธรรมได ทําใหผูเรียนมองเห็นความสัมพันธของเรื่องราวตางๆ ทเี่ รียนรูไดงาย รวดเร็ว รวมทั้งจดจําเนื้อหาไดคงทนข้ึน และกระตุนใหเกิดความคิดสรางสรรคสง่ิ ใหม ส่อื ไอซที ีจาํ แนกตามแหลงที่มา มีรายละเอียดดงั น้ี 1. สื่อไอซีทีที่ครูไมตองผลิตเอง โดยที่ครไู มม ีความรูในการผลิตสื่อแตตอ งมีความสามารถในการใชสื่อ แยกเปน 1.1 สื่ออิเลก็ ทรอนกิ สท ่มี ีขายตามทองตลาด 1.2 สอื่ ท่มี ีบริการบนอนิ เทอรเ น็ต ทงั้ ของหนว ยงานราชการและสถานศึกษา 1.3 สอ่ื ท่ีหนวยงานตน สังกัดจดั สรรให 1.4 ส่ือที่ครูคนอ่ืนผลิตและครูยืมมาใช อาจนํามาจากอินเทอรเน็ต ไดรับการบริจาคการเผยแพรทางวิชาการของเพ่ือนครู หรือหนวยงานทางการศึกษา แตตองพิจารณาถึงความถูกตองของเน้ือหาและคณุ ภาพของส่ือนั้นดว ย 1.5 สือ่ ไอซีที ทค่ี รทู า นอน่ื รวมกบั ผูเรยี นผลติ ขน้ึ และครยู ืมมาใช 1.6 สื่อไอซีที ท่ีผูเรียนผลิต จากการเรียนรูในวิชาตางๆ ไดแก การจัดทํารายงานดวยโปรแกรมประมวลผลคํา โปรแกรมตารางคํานวณ โปรแกรมฐานขอมูล โปรแกรมสรางภาพน่ิงภาพเคลื่อนไหว ภาพเลื่อน การเขยี นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร และการสรา งผลงานดวยโปรแกรมประยุกตอน่ื เชน หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส รายการโทรทศั น แอนเิ มช่นั ซเี อไอ เปนตน 2. ส่ือไอซีทีที่ครูเปนผูผลิตและผูใช โดยครูเปนนักเทคนิค นักออกแบบกิจกรรมการเรียนรูดวยสื่ออิเล็กทรอนิกส เปนผูเช่ียวชาญดา นเน้ือหา ดําเนินการผลิตตามวัตถุประสงคและความตอ งการของตนเอง 3. ส่ือไอซีทีที่ครูสอนใหผูเรียนผลิต เปนส่ือท่ีไดจากกิจกรรมการเรียนการสอนในวิชาตางๆ ที่ครูมอบหมายใหผูเรียนไดศกึ ษาคนควาหาความรูแลวนํามาจัดทําเปนผลผลิตของการจัดการเรยี นรูในลักษณะส่ืออิเลก็ ทรอนิกส 4. ส่ือไอซีทีท่ีครูและผูเรียนรวมกันผลิต โดยครูตองมีความสามารถดานคอมพิวเตอรเปนผูสอนใหผูเรียนสามารถใชโปรแกรมในการผลิตสื่อ รวมถึงมีความรูในเนื้อหาท่ีจะบรรจุลงในส่ือพรอ มกบั เปนผูเชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพของส่อื ทีร่ วมกนั ผลติ ข้ึน 5. สื่อไอซีทีที่ครูรวมกันผลิตในลักษณะเครือขายภายในและภายนอกสถานศึกษา เปนการรว มมือของครูผูสอนเองที่รวมตวั กันผลิตสื่อเปนกลมุ และนําไปเผยแพรหรือใชงานรว มกัน ซึ่งเปนการประหยัดเวลาและคา ใชจาย
66 จินตวีร คลายสังข (2555) กลาววา เด็กยุคใหม หรือ ยุค Net Gen ท่เี กิดข้ึนมาพรอ มกับเทคโนโลยีและอินเทอรเน็ต จะมีลักษณะโดดเดน คือ กลาคิด กลาทํา กลาพูด กลาถาม มีความใฝรูเม่ือสงสัยก็จะสามารถหาคําตอบไดดวยตนเอง แมบางคร้ังจะยังขาดวิจารณญาณในการเลือก คัดกรองคําตอบ แตพวกเขาก็สามารถหาคําตอบมาได การมาบรรจบกันของเทคโนโลยี สูการสรางนวัตกรรมการศึกษาใหมๆ จนกลายเปนเทคโนโลยีการศึกษา ทําใหวัสดุอุปกรณตางๆ เปนจากระบบแอนะล็อกมาเปนดิจิทัล ทําใหใชงานไดสะดวก รวดเร็วและถูกตอง ซึ่งเปนคุณสมบัติอยางหน่ึงของระบบคอมพิวเตอรค อื การประมวลผล จัดเกบ็ และคน คืนสารสนเทศ เมื่อนําคอมพิวเตอรมาใชรว มกันกับการส่ือสารความเร็วสูงและเช่ือมตอกับเครือขายอินเทอรเน็ต ทําใหโลกเราในปจจุบันเขาสูยุคของเทคโนโลยีและการสื่อสาร (Information and Communications Technology: ICT) ซ่ึงในสมัยแรกเร่ิม นักเทคโนโลยีการศึกษามักแบงสื่อ ออกเปน สื่อส่ิงพิมพ ส่ือเสียง ส่ือภาพ ส่ือวีดิทัศน ส่ือมัลติมีเดีย และส่ือเว็บ แตในปจจุบันเสนแบงระหวางสื่อตางๆ เหลาน้ันเหมือนจะจางหายไป เหลือเพียงส่ือแบบเดียวคือ ส่ืออิเล็กทรอนิกส (electronic media) เพราะเกิดจากการมาบรรจบกันของสือ่ กบั เทคโนโลยดี จิ ทิ ลั ทักษะที่จําเปนอยางหนึ่งของผูเรียนยุคใหม ในศตวรรษท่ี 21 คือ การรูไอซีที ซ่ึงแปลมาจากคําวา ICT literacy หมายถึง การท่ีผูเรียนใชเทคโนโลยีดิจิทัล เครื่องมือส่ือสาร และเครือขายเทคโนโลยีสารสนเทศ สรางเครือขายเพ่ือการเรียนรูทางสังคมออนไลนและแลกเปลี่ยนเรียนรูสารสนเทศรว มกับผูอ่ืนอยางสรางสรรค มีวิจารณญาณและจริยธรรม ดังที่ พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ.2542 หมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และจากกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศแหงชาติ (IT 2020) ประกาศเมื่อวันท่ี 22 มีนาคม 2554 ที่มียุทธศาสตรเนนการพัฒนาการศึกษาดวยไอซีที (e-Education) เพื่อนําพาประเทศไทยเขาสูสังคมแหง ภูมิปญญาและการเรียนรู (knowledge-based economy and society) เพ่ือยกระดับของคุณภาพชีวิตของคนไทย สงผลทําใหคุณภาพการศกึ ษาของเด็กไทย เพอื่ นําไปสูท ักษะการเรียนรูตลอดชวี ิต โดยใชไ อซีทเี ปน เครอ่ื งมือ วจิ ารณ พานชิ (2556) เสนอแนะวาไวในหนังสือการสรางการเรียนรู สูศตวรรษที่ 21 วาครูตองใชไอซีทีในการกลับทางหองเรียน โดยใหผ ูเรยี น เรียนวิชาที่บานผานทางสื่อไอซีที แลวกลับมาทําการบา นทีโ่ รงเรยี น การสรางหองเรยี นกลับทาง (the flipped classroom) มขี ัน้ ตอนดังน้ี
67 ภาพท่ี 4.31 การสรางหองเรียนกลับทาง ที่มา: การสรา งการเรยี นรูส ูศตวรรษที่ 21, 2556: 48 ขาวการศึกษาของหนังสือพิมพเดลินิวส ฉบับวันท่ี 3 พฤษภาคม พ.ศ.2556 เร่ืองหองเรียนกลับดาน สรุปไดวา เปนแนวทางจัดการเรียนการสอนแบบใหมท่ี Jonathan และ Aaronครูวิชาเคมีของโรงเรียน Woodland Park High School สหรัฐอเมริกา คิดคนขึ้น นักเรียนบางสวนของพวกเขาจาเปนตองขาดเรียนบอยคร้ังเพราะถูกกิจกรรมตางๆ ดึงตัวออกไป ท้ัง 2 คนจึงระดมสมองคิดหาทางแกไข จนนําไปสู Flipped Classroom ในป ค.ศ.2007 จนถึงปจจุบัน กระแสFlipped Classroom แพรขยายเปนวงกวางออกไปในอเมริกา และในปการศึกษา 2556 ช้ันเรียนในโรงเรยี นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา สังกัดสาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน จะปรับตัวใหเปนหอ งเรยี นกลบั ดานเชน กัน วิธีการคือ ครูบันทึกวิดีโอการสอนในช้ันเรียน แลวใหเด็กไปดูเปนการบาน จากน้ันครูใชช้ันเรียนสําหรับชี้แนะนักเรียนใหเขาใจแกนความรูโดยใชเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือใหเด็กสามารถเรียนรูไดดวยตัวเอง ดังนั้นครูจะแจกส่ือใหเด็กไปเรยี นรูลวงหนาที่บาน หรือใหเด็กไปดูสอื่ อยางยูทูบเม่ือมาเขาช้ันเรียนในวันรุงข้ึน นักเรียนจะซักถามขอสงสัยตางๆ จากน้ันก็ลงมือทํางานที่ไดรับมอบหมายเปนรายบคุ คลหรอื รายกลมุ โดยมีครคู อยใหค ําแนะนําตอบขอ สงสยั การตรวจสอบวาเด็กไดดูส่ือท่ีครูใหไปเรียนรูลวงหนาหรือไมนั้น สามารถตรวจสอบจากบันทึกโนตที่มาสงใหครู อาจบันทึกมาในสมุด เขาไปเขยี นไวในบล็อกของครู หรือเขียนสง มาทางอเี มลและจะใหเด็กตง้ั คําถามมาดวยอยางนอ ย 1 ขอ อยางไรก็ตาม จะตองมีการฝกทักษะในการจดบันทึกใหแ กนกั เรียนกอ นชวงตน ปการศึกษาเพ่ือเตรียมความพรอ มในการเขาสูหองเรียนกลบั ดา นใหเด็ก
68การวางแผนในการใชสอ่ื การสอน ในนําสื่อการเรียนการสอนไปใชอยางเปนระบบ ผูเขียนขอแนะนําแบบจําลองของไฮนิกและคณะ (Heinich, and Others, 1999) ท่เี รียกวา The ASSURE model มีขน้ั ตอนดังน้ี 1. การวิเคราะหลักษณะผูเรยี น (analyze learner characteristic) เปนการวิเคราะหลักษณะของผูเรียน เพื่อใหผูสอนทราบวา ผูเรียนมีความพรอมในการเรียนมากนอยเพียงใด เนื่องจากตองเลือกส่ือใหมีความสัมพันธกับลักษณ ะท่ัวไปและลักษณะเฉพาะของผูเรียน ลักษณะท่ัวไป ไดแก อายุ ระดับความรู สภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของผูเรียนแตละคน ลักษณะเฉพาะ ไดแก ทักษะและความรูพ้ืนฐานที่มีมากอน ความชํานาญในทักษะทจี่ ะสอนมมี ากนอยเพียงใด ทักษะในการเรียนดา นภาษา การอาน เขียน การคํานวณและ ทศั นคตติ อรายวชิ าทจ่ี ะเรยี น 2. การกําหนดวัตถปุ ระสงค (state objective) การตั้งวัตถุประสงค มีจุดมุงหมายที่ผูสอนกําหนดข้ึนเพื่อคาดหวังวา ผูเรียนจะสามารถบรรลถุ ึงสิ่งใดหรือมีความสามารถใหมอ ะไรบางในการเรยี นนัน้ ทาํ ใหผูสอนทราบวา ตองเลือกส่ือประเภทใด วิธีการใดใหเหมาะสมและถูกตองกับวัตถุประสงคแตละขอ การกําหนดวัตถุประสงคโดยใชห ลักการ the ABCDs of well-stated objective ประกอบไปดวย 2.1 ผูเรียน (audience) บทเรยี นกําหนดใหผเู รียนตองปฏิบตั ิอะไรบา ง 2.2 พฤติกรรม (behavior) เปนการคาดหวังวาผูเรียนจะสามารถทําอะไรไดบางหลังจากการเรยี นรู 2.3 เงื่อนไข (condition) เปนพฤติกรรมของผูเรียนท่ีผูสอนกําหนดในวัตถุประสงคและสามารถสงั เกตเห็นพฤติกรรมที่คาดหวังของผูเรียนได 2.4 มาตรฐาน (degree) คือเกณฑในการวัดพฤติกรรมที่ผูเรียนแสดงออกมาใหเห็นวา มคี วามสามารถอยใู นระดับใด ท้งั ในดานเชิงปรมิ าณและคณุ ภาพ 3. การเลือก ดัดแปลง หรือออกแบบสือ่ ใหม (select, modify, design materials) การเลือกประเภทของสื่อท่ีเหมาะสมและถูกตอง สามารถดําเนินการไดดงั ตอ ไปน้ี 3.1 เลือกจากสื่อที่มีอยูแลว โดยปรกติ สถานศึกษาจะมีทรัพยากรที่ใชเปนส่ือการเรียนการสอนไดอยูแลว ผูสอนเพียงแตตรวจสอบและเลือกใหตรงกับลักษณะของผูเรียนและวัตถปุ ระสงคข องการเรยี นรู 3.2 ดัดแปลงสื่อทม่ี ีอยูแลว ใหใชไดดีและมีความเหมาะสมกับเนอ้ื หามากย่ิงขนึ้ ผสู อนควรคาํ นงึ ถงึ เวลาและงบประมาณในการดดั แปลงดว ยวา คมุ คาหรือไม 3.3 การออกแบบส่ือใหม เปนกรณีท่ีไมมีส่ือเดิมหรือสื่อเดิมไมสามารถดัดแปลงใหใชไดตามความตองการ ผูสอนจึงจําเปนตองออกแบบและจัดทําส่อื ใหม โดยคาํ นึงถึง ความเหมาะสมกับเน้อื หา ถูกตองตามจุดมุงหมายของการสอนและลักษณะของผูเรียน มีงบประมาณในการจดั ทํา มีเคร่อื งมอื และผชู ํานาญการในการจัดทําส่อื และมีกระบวนการหาประสิทธภิ าพส่ือ
69 4. การใชสอ่ื (utilize materials) การใชส่อื เปน ขนั้ ท่ีผสู อนนําสื่อไปใชในการเรียนการสอน ควรดําเนินการดงั น้ี 4.1 เตรียมตัวใชส่อื โดยการดูหรืออา นเน้ือหาในสื่อกอน 4.2 จดั เตรียมสถานที่ จดั ทีน่ ั่งเรยี น ทตี่ ิดต้ังหรือแสดงสอื่ ทดลองความพรอมของสื่อวาใชง านไดหรือไม กอนใชในการเรียนการสอนจริง 4.3 เตรียมตัวผูเรียน เปนการแนะนําผูเรียนในขณะที่ผูสอนกําลังใชส่ือในการเรียนการสอนวาควรปฏิบัตติ นเองอยางไร หรอื แนะนาํ วธิ กี ารใชสอ่ื 4.4 ควบคุมชั้นเรียน ผูสอนควรจูงใจใหผูเรียนสนใจส่ือการเรียนการสอนที่นําเสนอและกระตนุ ใหผูเรยี นมีความกระตอื รอื รนที่จะเรียนรูจากส่อื ตลอดเวลาในการจัดการเรียนการสอน 5. การกําหนดการตอบสนองของผเู รียน (require learner response) ผูสอนควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ใชสื่อท่ีเปดโอกาสใหผูเรียนมีสวนรวมและสามารถตอบสนองการเรียนรู มผี ูสอนเสรมิ แรงโดยใหขอมูลปอนกลับทันที การตอบสนองของผเู รียนควรกระทําโดยเปดเผย ท่ีใชวิธีการเขียนหรือพูดออกมา และการตอบสนองภายในตวั ของผูเรียน ท่ีใชวธิ ีการคิดในใจหรือการทองจํา การทําแบบฝกหัด การตอบคําถาม การอภิปราย หรือการใชบทเรียนคอมพิวเตอรชวยสอน จะเปดโอกาสใหผูเรียนมีการตอบสนองและไดรับการเสริมแรงระหวางเรียนจากผสู อนไดเปน อยางดี 6. การประเมิน (evaluation) การประเมินการใชสือ่ การเรียนการสอน สามารถดาํ เนนิ การได 3 ลักษณะ ไดแ ก 6.1 การประเมินกระบวนการสอน เปนการตรวจสอบวาเม่ือผูสอนจัดการเรียนการสอนแลว สามารถบรรลุตามวัตถปุ ระสงคที่กําหนดขึ้นหรือไม ท้ังผูสอน ส่ือการสอน และวิธีการสอนการประเมินสามารถทาํ ไดกอน ระหวางและหลงั การสอน 6.2 การประเมินความสําเรจ็ ของผูเรียน จะข้ึนอยกู ับวัตถุประสงคที่ผูสอนไดต้ังไววามีเกณฑเทาใด การวัดผลสามารถทําไดโดยการทดสอบ การสอบปากเปลา หรอื ตรวจสอบผลงานของผูเรียน สิ่งท่ีจะสะทอนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของผูเรียนมากท่ีสุด คือ พฤติกรรมการปฏิบัตงิ านและการแสดงออกของผูเรียน 6.3 การประเมินสื่อและวิธีสอน ดําเนินการไดโดยใหผูเรียนรวมกันอภิปรายและวิจารณส อื่ การเรยี นการสอนและเทคนิควิธีการสอนของผูสอนวามีความเหมาะสมเพียงใด จากข้ันตอนท้ัง 6 ขั้นตอน ของแบบจําลอง ASSURE สะทอนถึงการวางแผนการใชส่ือการเรียนการสอนอยางเปนระบบ ในสภาพแวดลอมท่ีเปนจริงในชั้นเรียน ผูสอนสามารถนําแบบจําลองน้ีไปประยุกตใชในการวางแผนการสอนไดอยางมีประสิทธิภาพ และเปนหลักการที่นาเช่ือถือและไดรับการยอมรับ สามารถอางอิงประสิทธิภาพในการสอนของผูสอนได นอกจากนี้ยังเปนหลกั ประกันถึงความสาํ เรจ็ ในการสอนเพ่ือใหผูเ รียนเกิดการเรยี นรูไดเปนอยางดี
70การหาประสิทธิภาพส่อื และวิเคราะหผลการตรวจสอบสือ่ มนตรี แยมกสิกร (2551) ไดสรุปวา การหาคาประสิทธิภาพส่ือการสอนท่ีมหี ลักการและแนวคิดสนับสนุน มี 2 วิธี คือ 1) เกณฑมาตรฐาน 90/90 (The 90/90 Standard) ตามแนวคิดของเปร่ือง กุมทุ และ 2) E1/E2 ตามแนวคดิ ของชัยยงค พรหมวงศ เกณฑมาตรฐาน 90/90 มีหลักการสําคัญ คือ การเรียนแบบรอบรู (Mastery Learning)ที่มีความเช่ือวาผูเรยี นทุกคนสามารถท่ีจะเรียนจนประสบความสําเร็จได ถาหากวามีเวลาท่ีใชในการเรียนรูตามท่ีตองการ ซึ่งเปนท่ีมาของการเรียนเพ่ือรอบรู (Mastery Learning) รูปแบบการสอนวิธีน้ีสง ผลดตี อการศกึ ษาหลายดาน ไดแ กคะแนนสอบ ความสามารถในการจาํ เนอ้ื หาบทเรียน ความเร็วในการเรียน ทัศนคตขิ องนกั เรยี นตอ การเรียน และทศั นคตขิ องอาจารยต อนักเรียน การประยุกตแนวคิดนี้เพ่อื นาํ ไปออกแบบ CAI ไดด งั ตอไปน้ี จากแนวคิดของ Carroll และ Bloom ท่ีไดเสนอรูปแบบการเรียนเพื่อรอบรูไวแลวนั้นตอมา Hotchkis (1986 อางถึงใน จงจิต ตรีรัตนธํารง, 2543) อาจารยแหงมหาวิทยาลัยแมคไควรีประเทศออสเตรเลีย ไดทําการศึกษาคนควาเก่ียวกับการเรียนเพื่อรอบรู พบวา องคประกอบการเรียนรูของ Carroll ยังขาดประเด็นท่ีสําคัญอีกประการหน่ึง คือ ประสบการณเดิมของผูเรียน สวนทฤษฎกี ารเรยี นเพื่อรอบรขู อง Bloom ซง่ึ ไดแนวคิดมาจาก Carroll แมวา จะเปนทฤษฎีการเรียนรทู ่ีมีประสิทธิภาพและทําใหผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงข้ึนแตยังขาดปจจัยท่ีสําคัญคือเคร่ืองมือท่ีเหมาะสมกับการสอนเปนกลุม ในสภาพของหองเรียนที่มีผูเรยี นจํานวนมาก Hotchkis จึงไดเสนอแนวทางในการจัดการเรียนรูโดยไดเสริมปจจยั ท่ีสาํ คญั อีกประการหน่ึง คอื ประสบการณกอนเรียน และไดนําแนวคิดของการพัฒนาการเรียนรูตามเสนโคงของความถ่ีสะสม ซึ่งมีความสอดคลองและเหมาะสมกับหลักการเรียนเพอื่ รอบรมู าพฒั นาข้ันตอนการสอน แบงออกเปน 5 ข้ัน คอื 1.ขั้นการรับรู (Acquisition) ในข้ันนี้ ครูเร่ิมเสนอเนื้อหาใหมใหแกผูเรียน ผูเรียนเร่ิมเรยี นรแู ละจะไดรับปจจยั สําคัญดานตางๆ ไดแ ก เจตคติ ความคิดรวบยอด ความรู ความเขาใจ ผูเรียนจะเร่ิมลองผิดลองถูกกับสิ่งที่เรียนรู ความถูกตองและความแมนยําในการเรียนรูจะมีนอย ในข้ันน้ีครผู สู อนควรดาํ เนนิ การดังนี้ 1.1 จดั เรียงเนื้อหาในหลักสตู รตามลําดบั ความยากงา ย ใหเนอ้ื หามีความสมั พันธกนั 1.2 กาํ หนดเวลาท่เี หมาะสมในการเรยี นแตล ะบทเรียน 1.3 เตรยี มแบบทดสอบซ่งึ ประกอบดวยแบบทดสอบยอยและแบบทดสอบรวม 1.4 กาํ หนดแผนการสอน โดยเนน การสอนใหเกิดความคดิ รวบยอดแกผ เู รียนเปนสาํ คัญเม่ือทาํ การสอน ครูควรสังเกตในเรื่องความเหมาะสมของเวลาท่ีใหผ ูเรยี นแตล ะคน และแตละบทเรียน ความยากงายเหมาะสมกับทกั ษะพ้นื ฐานของผูเรยี น และปญ หาที่อาจเกิดขนึ้ ในระหวา งการเรยี นรขู องนกั เรียน 2.ขั้นเกดิ ความคลอ งตวั (Fluency) ในข้ันนี้ ผูเ รยี นจะไดรับการฝก ฝนทกั ษะ จนเกดิความเขาใจในเนือ้ หา ภายหลังจากผูเรียนไดเรียนรแู ละเกิดความคดิ รวบยอดทถี่ ูกตอ งแลว การปฏบิ ตั ิของผูเรยี นจะเพิ่มความถูกตองมากขึ้น ดงั นน้ั ผูสอนตอ งเตรยี มกิจกรรมการสอนใหมากพอ เพ่อื ฝกใหผูเ รยี นเกิดความคลองแคลว แมน ยาํ และรวดเรว็ ในบทเรยี น
71 3.ขนั้ เกดิ ความคงทน (Maintenance) ในขั้นนส้ี บื เนือ่ งมาจากความคลอ งตัวในเนื้อหาอนั เน่อื งมาจากการฝกปฏบิ ตั ิของผูเรยี นในขั้นท่ี 2 ความคงทนของความรทู ี่ไดรบั จะอยูไดนานและไมลืม เน่อื งจากมีความแมน ยาํ ในสิง่ ท่ีเรียนจากการปฏิบตั ิและประสบการณใ นการลองผิดลองถกู มาหลายครัง้ แลว วิธีการท่จี ะพิจารณาวาผูเรียนจาํ ไดนานและถาวรในสวนที่มีความจาํ เปนตอการเรยี นในบทเรียนตอไป คือ การทดสอบอยางสมาํ่ เสมอ อกี ท้ังมอบหมายงานทที่ ํา เพ่ือใหรูวาเปน เรื่องสาํ คญั 4.ขั้นนําไปประยุกตใช (Application) ข้ันน้ี เมื่อผูเรียนมีความชํานาญในความรูที่เรียนมาการนําไปใชในท่ีนี้ เปนการเพ่ิมประสบการณของผูเรียน โดยเนนท่ีการแกปญหาจากเหตุการณสมมติในหองเรียน ท้ังน้ี เปนความจําเปนของครูท่ีตองพิจารณาวา การนําความรูไปประยุกตใชของผูเรยี น ถามีเหตุการณท่ีเกิดข้ึนในสภาพแวดลอมเปนประจํา ครูอาจนําเหตุการณทั้งหมดมากําหนดเปนภาพการแกปญหาเพียงเล็กนอย สําหรับเหตุการณท่ีไมมีโอกาสเห็น ครูจึงควรจัดสอนหรือใหเปนขอ แกปญหาใหมากและบอยคร้ัง เพ่ือใหผูเรียนไดมีโอกาสในการแกปญหาใหมากทสี่ ุดเทาที่จะมากไดและเปน การเพิ่มความชาํ นาญในการแกปญ หาใหแ กผ ูเรยี นดวย 5.ขั้นปรับใชใหถูกกับสถานการณ (Adaptation) ในขั้นน้ี ผูเรียนจะสามารถนําความรูมาดดั แปลงหรือประยุกตใชไดท กุ ๆ สถานการณท่ีผูเรียนมีโอกาสในการแกปญ หาจริงในชวี ิตประจําวันซึง่ อาจจัดเปนเหตุการณสมมติ เพื่อใหผูเรียนเห็นแนวทาง โดยมีครูเปนผูแนะนํา ถาผูเรียนไมสามารถแกปญหาเองไดถูกตองในชั้นเรียน ผูเรียนตองคิดตัดสินใจและลงมือกระทําดวยตนเอง หากเกิดขอผิดพลาด ผูเรียนจะพยายามทบทวนและหาแนวทางแกไขตอไปดว ยตนเอง การห าประสิทธิภาพ E1/E2 มีหลักการการประเมินพฤติกรรมอยางตอเนื่อ ง(กระบวนการ) และการประเมินสุดทาย (product) ของผูเรยี น โดยกําหนดคาประสิทธิภาพ E1 เปนประสิทธิภาพของกระบวนการ ประเมินจากการทดสอบระหวางเรียน E2 เปนประสิทธิภาพของผลลัพธ ประเมินจากการทดสอบหลังเรียน มีแนวคิดพื้นฐานที่สําคัญ ไดแก 1) การสรางการมีสวนรวมในกิจกรรมการเรียนรูอยางกระฉับกระเฉง 2) การจัดประสบการณการเรียนรูแบบคอยเปนคอยไป โดยจัดลําดับเนื้อหาจากงายไปยาก จากสิ่งท่ีซับซอนนอยไปสูมากขึ้นตามลําดับ 3) การจัดประสบการณแ หงความสําเร็จ เพ่ือสรางความรูสึกที่ดี มีความภาคภูมใิ จ มีความมั่นใจ และมีพลังท่ีจะเรียนรูตอไป 4) การใหขอ มูลยอนกลับแบบทันทที ันใด โดยใหผูเรียนทราบผลการเรียนรูของตนเองในระหวางเรียนวามีคุณภาพเพียงใด ช้ีใหเห็นขอดี ขอดอย ใหคําแนะนําในการเรียนรู เพ่ือใหผูเรียนปรับเปล่ียนพฤติกรรม ไปสูทิศทางท่ีเปนเปาหมายของการเรียนรู ซ่ึงเปนจุดเดนของการหาคาประสทิ ธิภาพ E1/E2 สาํ หรบั นิยามประสิทธภิ าพของ E1/E2 มรี ายละเอยี ดดังนี้ E1 หมายถึง คารอยละของคะแนนเฉลี่ยทเี่ กดิ ขึน้ จากการทํากจิ กรรมระหวา งเรยี น E2 หมายถึง คารอยละของคะแนนเฉล่ียท่ีเกิดจากการทําแบบทดสอบหลงั การเรยี น
72การหาประสทิ ธิภาพของ E1/E2 สามารถคาํ นวณไดจ ากสูตร ∑X NE1 A X= 100เม่ือ E1 หมายถึง คาประสทิ ธิภาพของกระบวนการเรียนรู ∑ X หมายถึง ผลรวมของคะแนนกิจกรรมระหวางเรยี นของผูเรียนทุกคนN หมายถงึ จาํ นวนผเู รยี นที่ใชในการประเมนิ ประสิทธิภาพส่ือA หมายถึง คะแนนเต็มของกิจกรรมระหวา งเรยี น ∑F NE2 B X= 100เมื่อ E2 หมายถึง คา ประสิทธิภาพของผลลัพธการเรียนรู ∑ F หมายถงึ ผลรวมของคะแนนท่ีไดจากแบบทดสอบหลังเรยี นของผูเรียนทุกคนN หมายถงึ จาํ นวนผเู รยี นที่ใชในการประเมนิ ประสทิ ธิภาพสื่อB หมายถึง คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน อยางไรก็ตามเมื่อเทียบการหาคาประสิทธิภาพ E1/E2 กับ การหาคาประสิทธิภาพตามเกณฑมาตรฐาน 90/90 มนตรี แยมกสิกร (อางแลว) เสนอความเห็นวา คาประสิทธิภาพ E1/E2 จะแสดงคาแบบรวม เปนการมองเฉพาะภาพรวมของกลุมผูเรียน ยังขาดกระบวนการที่จะพิจารณาผลการเรียนรูเปน รายบคุ คล เหมือนกับการหาคา ประสิทธิภาพตามเกณฑมาตรฐาน 90/90 จากวิธีการหาประสิทธิภาพส่ือและวิเคราะหผลการตรวจสอบสื่อขางตน สามารถวิเคราะหและนําเสนอการประเมินและปรับปรุงส่ือการเรียนการสอนเพื่อหาคาประสิทธิภาพ แสดงเปน แผนผัง (flowchart) ดงั ตอไปนี้
73 แผนผังการตรวจสอบคุณภาพและปรับปรงุ ประสิทธิภาพของสอื่ นวัตกรรมการศึกษา และเทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื การเรียนรู ตามแนวคิด E1/E2 เรม่ิ การออกแบบการเรียนการสอน การออกแบบสว นนาํ เสนอ ตนแบบส่อื ฯที่ออกแบบและสรา ง การใชง าน ปรับปรงุ ลักษณะหรอื วธิ ีการ ขอคิดเห็นหรือ ความจําเปนในการ ใช การตรววจสอบคุณภาพ ปรับปรุงโครงสรางภายใน จากผเู ช่ียวชาญ ปรบั ปรงุ เนอ้ื หาสาระ ไมใช การตรวจสอบ ใช ทดลองสื่อฯ แบบเด่ียว (1:1) [1-3 คน] ประสิทธิภาพ/คณุ ภาพของสอื่ ฯ ตามเกณฑท่ีกาํ หนด ความจําเปน ใช ปรับปรุง ในการปรับปรุง สื่อมีประสิทธิภาพตามเกณฑที่ผูออกแบบและสราง กําหนด (E1/E2) จากการหารประสิทธิภาพและ ไมใช ตรวจสอบคุณภาพของส่ือ พรอมท่จี ะนําไปทดลองใช จริงกบั กลุมตัวอยา ง หรอื กลุมเปา หมาย ทดลองสื่อฯ แบบกลุม (1:10) [6-10 คน] ขอคิดเห็นจาก ปรับปรงุ ผเู ชีย่ วชาญ ใช ความจําเปนในการ ปรบั ปรงุ ปรับปรงุ จบหมายเหตุ : ไมใช1. ขั้นท่ี ถึง หมายถึง การทดลองใชสอ่ื ฯ กบั ผูเรียนทีม่ ีคณุ สมบตั ิ ทดลองส่ือภาคสนาม (1:100) [15-30 คน] ใกลเคียงกับกลมุ ตัวอยางหรือกลมุ เปาหมาย เปนการตรวจสอบรอบแรก ความจําเปนในการ ใช ปรับปรงุ (pilot testing) เพ่อื ตรวจสอบความเขาใจภาษา การใชงาน แบบทดสอบ ปรับปรุง และขอคิดเห็นอ่ืน ๆ2. ข้นั ท่ี เปนการตรวจสอบภาคสนาม (field testing) เพื่อหาประสิทธภิ าพ ไมใ ช กับผเู รียนที่มีคุณสมบัติ และในสภาพการณที่ใกลเคยี งกบั กลมุ ตัวอยา งหรือ กลุมเปาหมาย3. กลุมตัวอยา งไดม าโดยการสุมตัวอยางจากประชากรโดยใชว ธิ ีทางสถิติ4. กลุม เปาหมาย คือ กลมุ ผูเรียนทผี่ ูสอนตองการศึกษาหรือทดลองใชส่ือเพอื่ การแกไขปญหาการเรียนการสอนในชนั้ เรียนท่ีกําหนดวัตถุประสงคไ ว ภาพที่ 4.32 แผนผงั การตรวจสอบและปรบั ปรุงหาคา ประสิทธภิ าพของส่ือ
Search
Read the Text Version
- 1 - 27
Pages: