Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อารยธรรม อินเดีย

อารยธรรม อินเดีย

Published by 13 papungkorn singklin, 2021-10-16 16:48:01

Description: อารยธรรม อินเดีย

Search

Read the Text Version

อารยธรรม อินเดีย ลุ่ ม แ ม่ น้ำ สิ น ธุ

เป็นแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกของอินเดีย อยู่บริเวณดินแดนภาคตะวันตก ของอินเดีย (ปากีสถานในปัจจุบัน) ที่แม่น้ำสินธุไหลผ่าน อาณาเขตลุ่มแม่น้ำ สินธุครอบคลุมบริเวณกว้างกว่าลุ่มแม่น้ำไนล์แห่งอิยิปต์ โดยทุกๆปีกระแสน้ำ ได้ไหลท่วมท้นฝั่ งทำให้ดินแดนลุ่มน้ำสินธุอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำ กสิกรรม นักประวัติศาสตร์บางคนเรียกอารยธรรมในดินแดนนี้ว่า วัฒนธรรม ฮารัปปา (Harappa Culture) ซึ่งเป็นชื่อเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มน้ำ สินธุเมื่อประมาณ 3,500 – 1,000 ปี ก่อนพุทธศักราช

จากภูมิประเทศของอินเดียที่มีลักษณะเป็นรูป สามเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีเทือกเขาหิมาลัยกั้นอยู่ทาง ตอนเหนือ มีเทือกเขาฮินดูกูชอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียง เหนือ ทางด้านตะวันตกติดกับทะเลอาหรับ ส่วนทาง ตะวันออกติดกับมหาสมุทรอินเดียไปจนถึงอ่าวเบงกอล ดังนั้น ผู้ที่เดินทางบกเข้ามายังบริเวณนี้ในสมัยโบราณ ต้องผ่านช่องเขาทางด้านตะวันตกที่เรียกว่า ช่องเขาไค เบอร์ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะเข้าสู่อินเดียในสมัย โบราณ ช่องเขานี้เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อินเดีย ตลอดมา เพราะเส้นทางนี้เป็นทางผ่านของกองทัพของ ผู้รุกรานและพ่อค้าจากเอเชียกลาง อัฟกานิสถานเข้าสู่ อินเดีย เพราะเดินทางได้สะดวก

01 สมัยก่อนประวัติศาสตร์ พบหลักฐานเป็นซากเมือง โบราณ 2 แห่งในบริเวณ ลุ่มแม่น้ำสินธุ การตั้งถิ่นฐาน และเผ่าพันธุ์ 1.1 เมืองโมเฮนโจ – ดาโร ทางตอนใต้ของประเทศ ปากีสถาน 1.2 เมืองฮารับปา ในแคว้น ปันจาป ประเทศปากีสถาน ในปัจจุบัน

ef รูปปั้ นที่ค้นพบที่ค้น พบในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าเป็น ชนชั้นสูงหรือนักบวช

02 สมัยประวัติศาสตร์ อินเดียเข้าสู่ “สมัยประวัติศาสตร์” เมื่อมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้น ใช้ประมาณ 700ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยชนเผ่าอินโด – อารยัน ( Indo – Aryan ) ซึ่งตั้ง ถิ่นฐานในบริเวณลุ่มแม่น้ำคงคา สมัยประวัติศาสตร์ของอินเดียแบ่งเป็น 3 ยุค ดังนี้ (1) ประวัติศาสตร์สมัยโบราณ เริ่มตั้งแต่การถือกำเนิดตัวอักษรอินเดียโบราณ ที่เรียกว่า “บรามิ ลิปิ” ( Brahmi lipi ) เมื่อประมาณ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช และ สิ้นสุดในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 ซึ่งตรงกับสมัยราชวงศ์คุปตะ ( Gupta ) เป็นยุค สมัยที่ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพระพุทธศาสนาได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว (2) ประวัติศาสตร์สมัยกลาง เริ่มตั้งแต่เมื่อราชวงศ์คุปะสิ้นสุดลง ประมาณ คริสต์ศตวรรษที่ 6 จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อกษัตริย์มุสลิมสถาปนา ราชวงศ์โมกุล ( Mughul ) และเข้าปกครองอินเดีย (3) ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เริ่มตั้งแต่ต้นราชวงศ์โมกุล ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 จนถึงการได้รับเอกราชจากอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1947

อารยธรรมอินเดีย อารยธรรมอินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองและมีอายุเก่าแก่ ไม่แพ้อารยธรรมแหล่งอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ 1. สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ( ประมาณ 2,500-1,500 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ) ถือว่าเป็นสมัยอารยธรรม “กึ่งก่อน ประวัติศาสตร์” เพราะมีการค้นพบหลักฐานจารึกเป็นตัวอักษร โบราณแล้วแต่ยังไม่มีผู้ใดอ่านออก และไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอักษร หรือภาษาเขียนจริงหรือไม่ ศูนย์กลางความเจริญอยู่ที่เมืองโมเฮนโจ – ดาโร และเมืองฮา รัปปา ริมฝั่ งแม่น้ำสินธุประเทศปากีสถานในปัจจุบัน สันนิษฐาน ว่าเป็นอารยธรรมของชนพื้นเมืองเดิม ที่เรียกว่า “ทราวิฑ” หรือ พวกดราวิเดียน ( Dravidian )

2. สมัยพระเวท ( ประมาณ 1,500-600 ปีก่อนคริสต์ ศักราช ) เป็นอารยธรรมของชนเผ่าอินโด-อารยัน (Indo- Aryan ) ซึ่ง อพยพมาจากเอเชียกลาง เข้ามาตั้งถิ่นฐานใน บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุและคงคาโดยขับไล่ชนพื้น เมืองทราวิฑให้ถอยร่นลงไปทางตอนใต้ของอินเดีย สมัย พระเวทแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของศาสนา พราหมณ์ หลักฐานที่ทำให้ทราบเรื่องราวของยุคสมัยนี้ คือ “คัมภีร์พระเวท” ซึ่งเป็นบทสวดของพวกพราหมณ์ นอกจากนี้ยังมีบทประพันธ์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ มหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ บางทีจึง เรียกว่าเป็นยุคมหากาพย์ 3. สมัยพุทธกาล หรือสมัยก่อนราชวงศ์เมารยะ ( Maurya ) ประมาณ 600-300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ) เป็น ช่วงที่อินเดียถือกำเนิดศาสนาที่สำคัญ 2 ศาสนา คือ ศาสนาพุทธและศาสนาเชน

4. สมัยจักรวรรดิเมารยะ ( Maurya ) ประมาณ 321-184 ปี ก่อนคริสต์ ศักราช พระเจ้าจันทรคุปต์ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เมารยะได้รวบรวมแว่นแคว้น ในดินแดนชมพู ทวีปให้เป็นปึกแผ่นภายใต้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ของอินเดีย สมัยราชวงศ์เมารยะ พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์ให้เจริญรุ่งเรือง โดย เฉพาะในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ( Asoka ) ได้ เผยแพร่พระพุทธศาสนาไป ยังดินแดนทั้งใกล้และไกล รวมทั้งดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเผยแพร่เข้าสู่แผ่นดินไทยในยุคสมัยที่ยังเป็นอาณาจักรทวารวดี 5. สมัยราชวงศ์กุษาณะ ( ประมาณ 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ.320 ) พวกกุษาณะ (Kushana )เป็น ชนต่างชาติที่เข้ามารุกรานและตั้งอาณาจักร ปกครองอินเดียทางตอนเหนือ กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้ากนิษกะ รัชสมัย ของพระองค์อินเดียมีความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการแพทย์ นอก จากนั้น ยังทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ( นิกายมหายาน ) ให้เจริญรุ่งเรือง โดยจัดส่งสมณทูตไปเผยแพร่พระศาสนายัง จีนและทิเบต มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีศิลปะงดงาม และสร้างเจดีย์ใหญ่ที่ เมืองเปชะวาร์

6. สมัยจักรวรรดิคุปตะ ( Gupta ) ประมาณ ค.ศ.320-550 พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ต้นราชวงศ์คุปตะได้ทรงรวบรวมอินเดียให้ เป็นจักรวรรดิอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของอินเดีย มีความ เจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม การเมือง การ ปกครอง ปรัชญาและศาสนา ตลอดจนการค้าขายกับต่างประเทศ 7. สมัยหลังราชวงศ์คุปตะ หรือยุคกลางของอินเดีย ( ค.ศ.550 – 1206 ) เป็นยุคที่จักรวรรดิแตกแยกเป็นแคว้นหรือ อาณาจักรจำนวนมาก ต่างมีราชวงศ์แยกปกครองกันเอง 8. สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี หรืออาณาจักรเดลฮี ( ค.ศ. 1206- 1526 ) เป็นยุคที่พวกมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย มีสุลต่านเป็นผู้ ปกครองที่เมืองเดลฮี 9. สมัยจักรวรรดิโมกุล ( Mughul ) ประมาณ ค.ศ. 1526 – 1858 พระเจ้าบาบูร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โมกุลได้รวบรวมอินเดียให้เป็น ปึกแผ่นอีกครั้งหนึ่ง ได้ชื่อว่าเป็นจักรวรรดิอิสลามและเป็นราชวงศ์ สุดท้ายของอินเดีย โดยอินเดียตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1858กษัตริย์ราชวงศ์โมกุลที่ยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้าอักบาร์ มหาราช ( Akbar ) ทรงทะนุบำรุงอินเดียให้มีความเจริญรุ่งเรืองใน ทุก ๆ ด้าน และในสมัยของชาห์ เจฮัน ( Shah Jahan ) ทรงสร้าง “ทัชมาฮัล” ( Taj Mahal ) ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก เป็นงาน สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะอินเดียและเปอร์เซียที่มีความ งดงามยิ่ง

วัฒธรรมอินเดีย อินเดีย เป็นสังคมที่มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดยมีศาสนา วรรณะ และภาษา เป็น ปัจจัยหลักกำหนดรูปแบบสังคมและการเมือง อินเดียมีภาษา ราชการกว่า 22 ภาษา ซึ่งฮินดีเป็นภาษาประจำชาติที่ใช้กันมาก ที่สุด และใช้ภาษาอังกฤษในวงราชการและธุรกิจ แม้ว่าประชากร กว่าร้อยละ 82นับถือศาสนาฮินดู แต่มีประชากรที่นับถือศาสนา มุสลิม (13.4%) ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของ โลก รองจาก อินโดนีเซีย และปากีสถาน อีกทั้งยังมีผู้นับถือศาสนาอื่น เช่น คริสเตียน ซิกข์ พุทธ และเชน การจัดลำดับชั้นทางสังคมและ อาชีพในอินเดียเป็นการสะท้อนอิทธิพลของระบบวรรณะ

1. ระบบวรรณะ ตั้งแต่สมัยโบราณวรรณะที่สำคัญมี 4 วรรณะ คือ 1) วรรณะพราหมณ์ ได้แก่ นักบวช ปัจจุบันอาจตีความไปถึงนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์และนักการเมือง 2) วรรณะกษัตริย์ ได้แก่ นักรบ ซึ่งอาจรวมไปถึงข้าราชการ 3) วรรณะแพศย์ ได้แก่ พ่อค้า นักธุรกิจ 4) วรรณะ ศูทร ได้แก่ ผู้ใช้แรงงาน ชาวนา กรรมกร และคนยากจน ซึ่ง สามวรรณะแรกเป็นชนชั้นผู้ปกครอง วรรณะสุดท้ายเป็นผู้ถูกปกครองแม้ว่าวรรณะ เหล่านี้เป็นที่เข้าใจทั่วไปใน อินเดีย แต่ยังมีการแบ่งวรรณะต่ำสุดในในสังคมฮินดู เรียกกันว่าเป็นกลุ่มคนอันมิพึงแตะต้อง คือ จัณฑาล หรือเรียกชื่อใหม่ว่า ดาลิต มี ความหมายว่า อันเป็นที่รักของพระเจ้า ซึ่งเป็นชนชั้นที่ถูกเลือกปฏิบัติ ได้รับโอกาส ทางสังคมและอาชีพน้อยที่สุด ใน สังคม การปฏิรูปเศรษฐกิจและกฎหมายของ อินเดียในปัจจุบันได้พยายามลดช่องว่างของ สังคมและการกีดกันทางวรรณะเพื่อ เพิ่มโอกาสทางการศึกษา และอาชีพให้เท่าเทียมกันในสังคม เช่นมีโควตาพิเศษสำหรับ นักศึกษาดาลิตในการเข้ามหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องสอบแข่ง ขัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกด้านวรรณะยังคงฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ ซึ่งสะท้อนออกมาในด้านความคิด วัฒนธรรมและการบริหาร

2. ปรัชญาและลัทธิศาสนาของสังคมอินเดีย มีผู้เข้าใจว่า “ปรัชญาอินเดีย” หมาย ถึงปรัชญาฮินดู ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ตรงกับความเป็นจริง ความหมายที่ถูกต้องของคำว่า “ปรัชญาอินเดีย” ก็คือ หมายถึงปรัชญาทุกสำนัก หรือทุกระบบที่เกิดขึ้นในอินเดีย หรือที่คิดสร้างสรรค์ขึ้นไว้โดยศาสดาและนักคิดที่ เคยมีชีวิตอยู่หรือกำลังมีชีวิตอยู่ในอินเดีย เพราะฉะนั้นปรัชญาอินเดียจึงไม่ได้ หมายถึงเฉพาะแต่ปรัชญาฮินดู แต่หมายรวมถึงปรัชญาอื่นที่ไม่ใช่ปรัชญาฮินดู ด้วย เช่นพุทธปรัชญา ปรัชญาเชน เป็นต้น

3. เทพเจ้าของอินเดีย ใน บรรดาเรื่องราวของเทพเจ้า ของชนชาติทั้งหลายนั้น เทพเจ้าของอินเดียนับว่ามีเรื่อง ราวและประวัติความเป็นมาที่ซับซ้อนมากกว่า ชาติอื่น และกล่าวกันว่า ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ชนชาติอริยกะ หรืออินเดียอิหร่านที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในลุ่มแม่น้ำ สินธุ มีการนับถือเทพเจ้าและมีคัมภีร์พระเวทเกิดขึ้น พวก อริยกะ หรืออารยันนั้น แต่เดิมก็นับถือธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟ้า ลม และไฟ ต่อมามีการ กำหนดให้ปวงเทพเกิดมีหน้าที่กันขึ้น โดยตั้งชื่อตามสิ่งที่ เป็นธรรมชาตินั้นๆ แล้วก็เกิดมีหัวหน้าเทพเจ้าขึ้น ดังที่ ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระเวท ซึ่งก็คือพระอินทร์ จากหลัก ฐานโบราณที่เป็นจารึกบนแผ่นดินเหนียวอายุราว 1,400 ปี ก่อนคริสตกาล เรียกว่าแผ่นจารึก โบกาซ คุย หรือ จารึก เทเรีย ซึ่งขุดพบที่ตำบลดังกล่าว ของดินแดนแคป ปาโดเซีย ในตุรกี จารึกนี้ ได้ออกนามเทพเจ้าเป็นพยาน ถึง 4 องค์ นั่นก็คือ พระอินทร์ (lndra) เทพเจ้าแห่งพลัง มิทระ (Mitra) พระวรุณ (Varuna)และ นาสัตย์ (Nasatya) คือ พระนาสัตย์อัศวิน (Asvins) นับ เป็นชื่อ เทพเจ้าที่เก่าที่สุดที่ถูกเอ่ยนาม

1. สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรม อินเดียได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย (ลานด้านใน ประตูโค้ง) ที่เมือง หลวงใหม่ของพระเจ้าอัคบาร์ คือ ฟาเตห์ปูร์สิครี ใกล้เมืองอัครา แสดงสถาปัตยกรรมแบบ โมกุลแท้ในการสร้างราชวัง สุเหร่า เช่นเดียวกับหลุมศพของพระเจ้าอัคบาร์ที่สีกันดารา และ วัดโก-แมนดาล ที่โอไดปูร์ แต่งานที่เด่นที่สุด คือ ทัชมาฮัล ประดับด้วยหินมีค่า บนยอดเป็น หินสีขาว เส้นทุกเส้นเข้ากันได้อย่างงดงามกับสวน และน้ำพุ นับเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงาม ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นอกจากนั้นมีสุเหร่ามุกของเมืองอัครา เกิดนิกายขึ้นหลายนิกายในหมุ่ คนฮินดู เช่น ตันตริก ซิก มาดวา ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีซากเมืองฮารับปาและโมเฮนโจดาโร ทำให้เห็นว่ามีการวางผังเมือง อย่างดี มีสาธาร- ณูประโภคอำนวยความสะดวกหลายอย่าง เช่น ถนน บ่อน้ำ ประปา ซึ่งเน้น ประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความสวยงาม ซาก พระราชวังที่เมืองปาฏลีบุตรและตักศิลา สถูป และเสาแปดเหลี่ยม ที่สำคัญคือ สถูปเมืองสาญจี (สมัยราชวงศ์โมริยะ) และสุสานทัชมาฮาล สร้างด้วยหินอ่อน เป็นการผสมระหว่างศิลปะอินเดียและเปอร์เชีย

2. ประติมากรรม เกี่ยวข้องกับศาสนา ได้แก่ พระพุทธรูปแบบคันธาระ พระพุทธรูปแบบมถุรา พระพุทธรูปแบบอมราวดี ภาพสลัก นูนที่มหาพลิปุลัม ได้รับการยกย่องว่ามหัศจรรย์

3. จิตรกรรม สมัยคุปตะ และหลังสมัยคุปตะ เป็นสมัยที่ รุ่งเรืองที่สุดของอินเดียพบงานจิตรกรรมที่ ผนังถ้ำอชันตะ เป็น ภาพเขียนในพระพุทธ ศาสนาแสดงถึงชาดกต่างๆ ที่งดงามมาก ความ สามารถในการวาดเส้นและการอาศัยเงามืด บริเวณขอบภาพ ทำให้ภาพแลดูเคลื่อนไหว ให้ ความรู้สึกสมจริง 4. นาฏศิลป์และสังคีตศิลป์ เกี่ยวกับการฟ้อนรำ เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเพื่อบูชา เทพเจ้าตามคัมภีร์พระเวท ส่วน บทสวดสรรเสริญเทพเจ้าทั้ง หลาย ถือเป็นแบบแผนการร้องที่เก่าแก่ที่สุดใน สังคีตศิลป์ ของอินเดีย แบ่งเป็นดนตรีศาสนา ดนตรีในราชสำนักและ ดนตรีท้องถิ่น เครื่องดนตรีสำคัญ คือ วีณา หรือพิณ ใช้ สำหรับดีด เวณุหรือขลุ่ย และกลอง

5. วรรณกรรม วรรณกรรม อินเดียที่มีอิทธิพล ได้แก่ รามายณะ มหาภารตะ คัมภีร์ปุราณะและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับ ธรรมเนียมกษัตริย์ การสืบราชวงศ์ตามแบบธรรมเนียม โบราณของราชวงศ์ในลุ่มแม่น้ำคงคา วรรณกรรมอินเดีย มีอิทธิพลต่อชีวิตชาวบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย โดยการเล่า การอ่านนิทานแสดงเกี่ยวกับเนื้อเรื่องใน วรรณกรรม การแสดงหุ่นกระบอก หนัง ละครที่มีเนื้อหา ของวรรณกรรม รามายณะ มหากาพย์ และชาดก

จัดทำโดย นาย ปภังกร สิงห์กลิิ่น ม.6/1 เลขที่ 13


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook