หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 2 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 ชีววิทยา เลม่ 1 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 4 Slide PowerPoint_ส่อื ประกอบการสอน บรษิ ทั อักษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จากัด : 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรงุ เทพฯ 10200 Aksorn CharoenTat ACT.Co.,Ltd : 142 Tanao Rd. Pranakorn Bangkok 10200 Thailand โทรศัพท์ : 02 622 2999 โทรสาร : 02 622 1311-8 [email protected] / www.aksorn.com
1หน่วยการเรียนรู้ท่ี โครงสร้างและหน้าท่ีของพชื ดอก ผลการเรยี นรู้ • อธิบายเกี่ยวกับชนิดและลกั ษณะของเนอื้ เยอื่ พืช และเขียนแผนผังเพอื่ สรุปชนิดของเนอ้ื เยอ่ื พืช • สังเกต อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสรา้ งภายในของรากพชื ใบเล้ียงเดี่ยวและรากพืชใบเลี้ยงคจู่ ากการตัดตามขวาง • สงั เกต อธบิ าย และเปรยี บเทียบโครงสรา้ งภายในของลาตน้ พชื ใบเล้ียงเดีย่ วและลาต้นพืชใบเลย้ี งคู่จากการตัดตามขวาง • สงั เกต และอธิบายโครงสรา้ งภายในของใบพืชจากการตัดตามขวาง • สืบคน้ ข้อมูล สังเกต และอธิบายการแลกเปล่ียนแก๊สและการคายนา้ ของพืช • สบื ค้นข้อมลู และอธิบายกลไกการลาเลยี งนา้ และธาตุอาหารของพชื • สืบค้นขอ้ มลู อธบิ ายความสาคญั ของธาตอุ าหาร และยกตัวอย่างธาตุอาหารที่สาคัญที่มผี ลต่อการเจรญิ เตบิ โตของพชื • อธบิ ายกลไกการลาเลียงอาหารในพืช
เนอ้ื เย่อื พืช เนือ้ เย่ือเจรญิ (meristematic tissue) เนอื้ เยอ่ื เจรญิ ประกอบดว้ ยเซลลเ์ จรญิ ท่ีมีนิวเคลยี สขนาดใหญ่ สามารถคงคณุ สมบัตกิ ารแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ได้ตลอดชีวติ แบง่ ออกได้เปน็ 3 ชนิด ดังนี้ เน้ือเยือ่ เจรญิ ส่วนปลาย เนือ้ เยอ่ื เจริญเหนอื ข้อ เนอ้ื เยือ่ เจรญิ ด้านขา้ ง (apical meristem) (intercalary meristem) (lateral meristem)
เนื้อเยอื่ พชื เนือ้ เยือ่ เจริญส่วนปลาย (apical meristem) การเจรญิ ของเน้อื เยื่อเจรญิ สว่ นปลาย เปน็ การเจรญิ แบบปฐมภูมิ ทาให้ส่วนต่างๆ ของพืชยาวเพม่ิ ขึ้น เนื้อเยอ่ื เจรญิ ปลายยอด เนอื้ เยื่อเจรญิ ปลายราก ถา้ พบบริเวณยอดพชื เรยี กวา่ เนื้อเยอื่ เจรญิ ปลายอด ถ้าพบบรเิ วณปลายราก เรียกวา่ เนอื้ เยอื่ เจรญิ ปลายราก
เน้อื เยื่อพชื เนอ้ื เยอื่ เจริญเหนอื ขอ้ (intercalary meristem) เน้อื เย่ือเจรญิ เหนือข้อ เปน็ การเจรญิ แบบปฐมภูมิ ทาให้บริเวณข้อของพืชยืดยาวเพ่ิมขน้ึ เนอ้ื เย่ือเจรญิ เหนือขอ้ พบอยู่ระหว่างข้อตรงบริเวณเหนือขอ้ ล่าง ขอ้ หรือปลอ้ งบริเวณนจี้ ะแบง่ เซลลไ์ ดย้ าวนานกวา่ บริเวณอื่น สว่ นใหญ่มกั พบในพชื ใบเล้ยี งเด่ยี ว เชน่ หญา้ ข้าว ขา้ วโพด ไผ่
เน้อื เยอ่ื พืช เนือ้ เยอื่ เจรญิ ดา้ นขา้ ง (lateral meristem) เน้อื เย่ือเจรญิ ดา้ นข้างเป็นเนอื้ เย่อื ท่อี ยู่ในแนวขนานกบั เส้นรอบวง เรียกว่า แคมเบียม ซง่ึ เป็นเนอ้ื เยอื่ ที่มกี ารเจริญแบบทตุ ิยภูมิ ทาใหล้ าตน้ หรือรากพืชมขี นาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางเพิ่มขนึ้ คอร์กแคมเบยี ม พบในชน้ั เอพเิ ดอร์มิส เนอื้ เยอ่ื เจริญด้านขา้ ง วาสควิ ลาร์แคมเบยี ม อย่รู ะหว่างเนอื้ เยื่อทอ่ ลาเลียงน้าและท่อลาเลียงอาหาร
เน้ือเยอ่ื พชื เนื้อเย่อื ถาวร (permanent tissue) เน้อื เยือ่ ถาวรมหี ลายชนดิ แตล่ ะชนดิ พัฒนาและเปลีย่ นสภาพมาจากเนอ้ื เย่ือเจรญิ โดยเนอื้ เยือ่ ถาวรแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ระบบ ดงั น้ี ระบบเนอ้ื เยือ่ ผิว ระรบะบบบเเนนอ้ือื้ เเยยอ่ื อื่ ผพิว้นื ระบบเน้ือเย่อื ท่อลาเลยี ง
เนอ้ื เยอ่ื พืช ระบบเนื้อเย่อื ผิว เอพิเดอรม์ สิ เอพเิ ดอรม์ ิส เปน็ เนือ้ เยอื่ ทีอ่ ยรู่ อบนอกสุดของสว่ นตา่ ง ๆ ของพืช สว่ นใหญ่เปน็ เซลล์ผวิ ที่เรยี งตวั กนั เพยี งชนั้ เดยี ว เซลลค์ ุม ชน้ั เอพเิ ดอรม์ สิ บรเิ วณผิวใบจะพบเซลลค์ ุม ทม่ี รี ปู รา่ งคลา้ ยไตหรอื เมลด็ ถั่วแดง รปู ากใบ ชัน้ เอพเิ ดอรม์ สิ ในรากพชื ประกอบด้วยเซลล์ผิวและเซลลข์ นราก แตไ่ ม่พบเซลล์คุม
เน้อื เยอื่ พืช ระบบเนื้อเยอื่ ผิว เพรเิ ดริ ม์ เกดิ จากการแบ่งตวั ของเน้อื เย่ือบริเวณเสน้ รอบวงของรากและลาต้น เพรเิ ดริ ม์ ประกอบดว้ ยกลุ่มเซลลช์ ั้นนอกสดุ คือ คอรก์ หรือเฟลเลม ช้ันถดั มา คอื คอรก์ แคมเบยี มหรือเฟลโลเจน และชั้นในสุด คือ เฟลโลเดิรม์ พบในพชื ที่มีอายมุ าก
เนื้อเย่อื พืช ระบบเน้อื เยอ่ื พนื้ พาเรงคมิ า ประกอบด้วยเซลลพ์ าเรงคมิ า เปน็ เซลล์ท่ีมีชีวติ ส่วนใหญม่ ีรูปรา่ งค่อนข้างกลม ภายในมีแวคิวโอลขนาดใหญ่ มีผนังเซลลป์ ฐมภูมิท่ีมคี วามหนาบางสม่าเสมอกนั ทง้ั เซลล์ พบในบริเวณท่แี ตกตา่ งกัน อาจมีสว่ นประกอบแตกต่างกัน จึงมหี นา้ ท่ีท่ี หลากหลาย เชน่ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง สะสมอาหารหรอื สารต่าง ๆ ท่ีจาเป็น ต่อการดารงชีวติ ของพชื
เนื้อเย่อื พชื ระบบเน้ือเยื่อพน้ื คอลเลงคมิ า เปน็ เนอ้ื เยอ่ื ท่ใี หค้ วามแขง็ แรงแก่โครงสรา้ งพชื พบมากบรเิ วณใตช้ ้ันเอพเิ ดอรม์ ิสของลาต้น ก้านใบ และแผ่นใบ ประกอบดว้ ยเซลล์ท่เี รียกว่า เซลล์คอลเลงคมิ า ซงึ่ เป็นเซลลท์ ี่มีชีวติ มลี กั ษณะคลา้ ยกับเซลล์พาเรงคิมา แต่มีผนังเซลลป์ ฐมภูมิคอ่ นข้างหนา และมคี วามหนาบางไมส่ มา่ เสมอกนั
เนื้อเยอ่ื พืช ระบบเน้ือเยือ่ พื้น สเกลอเรงคมิ า ทาหน้าทชี่ ่วยพยงุ และให้ความแขง็ แรงแกส่ ว่ นต่าง ๆ ของพืช ประกอบดว้ ยเซลลท์ ่ีเรยี กว่า เซลล์สเกลอเรงคมิ า ซึง่ เปน็ เซลลท์ ่ไี ม่มชี วี ิต มที ้ังผนงั เซลลป์ ฐมภูมิและผนงั เซลลท์ ุตยิ ภูมิทค่ี อ่ นข้างหนา จาแนกออกได้เป็น 2 ชนดิ ตามลักษณะรูปรา่ งของเซลล์ ได้แก่ เซลล์เส้นใยหรือไฟเบอร์ และสเกลอรีด
เน้อื เยอื่ พชื ระบบเน้ือเยื่อทอ่ ลาเลียง ไซเล็ม ประกอบด้วยเซลล์ที่ทาหน้าทล่ี าเลียงน้า ได้แก่ เวสเซล และเทรคดี และเซลล์อน่ื ๆ ได้แก่ พาเรงคิมา ไฟเบอร์ เป็นเซลลท์ มี่ ีรปู ร่างยาว ส่วนปลายคอ่ นขา้ งแหลม ทาหนา้ ที่ลาเลยี งน้าและธาตอุ าหารจากรากไปยังสว่ นต่างๆ
เนื้อเยือ่ พชื ระบบเนื้อเยอ่ื ท่อลาเลยี ง โฟลเอม็ ประกอบด้วยเซลล์ท่ที าหน้าท่ลี าเลียงอาหาร ได้แก่ ซีฟทิวบ์ ซ่งึ มีเซลล์ คอมพาเนยี นทีภ่ ายในมีนวิ เคลียสควบคุมการทางาน และมเี ซลลอ์ ่นื ๆ ไดแ้ ก่ พาเรงคิมา ไฟเบอร์ เป็นเซลล์ที่มชี วี ิต มรี ปู ร่างของเซลล์เปน็ ทรงกระบอก ทาหน้าท่ีลาเลยี งอาหารทไ่ี ด้จากกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
โครงสร้างและหน้าท่อี วยั วะของพชื ใบ ทาหน้าทผี่ ลิตอาหารโดยกระบวนการ สงั เคราะห์ดว้ ยแสงและคายนา้ ลาต้น ทาหน้าทีล่ าเลียงน้า ธาตุอาหาร และอาหาร ไปสสู่ ว่ นตา่ งๆ และช่วยพยุงลาตน้ ราก ทาหนา้ ทด่ี ูดน้าและธาตอุ าหารที่อย่ภู ายในดิน
โครงสร้างและหน้าทอี่ วยั วะของพชื โครงสรา้ งภายในของรากพชื พืชใบเลีย้ งคู่ พชื ใบเลี้ยงเดยี่ ว ไซเลม็ โฟลเอม็ 2 3 1 1 เอพิเดอรม์ สิ เป็นเน้อื เยอ่ื ที่อยูน่ อกสดุ เซลลจ์ ะเรยี งตัวเปน็ แถวเดยี ว บางเซลลเ์ ปลย่ี นเปน็ ขนราก ทาหน้าทีด่ ูดนา้ และธาตุอาหาร 2 คอรเ์ ทกซ์ เปน็ บริเวณที่อย่ถู ดั จากเอพิเดอร์มิส สว่ นใหญ่เป็นเน้ือเย่ือพาเรงคมิ า และมชี ้นั เอนโดเดอร์มิสที่มีแถบแคสพาเรยี น 3 สตีล เป็นบริเวณทอี่ ยู่ถดั จากคอร์เทกซ์ ประกอบด้วย เพรไิ ซเคลิ มดั ทอ่ ลาเลยี ง พธิ
โครงสร้างและหน้าทอี่ วยั วะของพืช โครงสรา้ งภายในของลาต้น พชื ใบเล้ียงเดี่ยว ไซเลม็ พืชใบเลยี้ งคู่ โฟลเอม็ โฟลเอม็ ไซเลม็ ข้อแตกตา่ งระหว่างลาตน้ พืชใบเลย้ี งเดีย่ วและลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่ 1 กล่มุ ท่อลาเลียงจะกระจายท่ัวไปในเนอื้ เยื่อพ้นื 1 กลมุ่ ทอ่ ลาเลยี งจะเรยี งเปน็ ระเบียบในแนวรัศมี 2 ส่วนใหญ่ไมพ่ บเน้อื เย่อื เจรญิ วาสควิ ลารแ์ คมเบียม 2 มเี นื้อเยอื่ เจริญวาสคิวลารแ์ คมเบยี มระหวา่ งโฟลเอ็ม 3 เนื้อเยื่อพิธจะพบกลุม่ ท่อลาเลยี งกระจายอยู่เต็ม 3 เห็นขอบเขตของเน้อื เยือ่ พธิ อย่างชดั เจน 4 สว่ นใหญไ่ ม่มกี ารเจรญิ เติบโตทุติยภูมิ 4 พิธจะถูกแทนที่ดว้ ยไซเลม็ เมื่อมีการเจริญเตบิ โตทตุ ยิ ภมู ิ
การแลกเปล่ียนแก๊สและการคายนา้ ของพชื กลไกการเปดิ -ปิดของปากใบ H2O H2O ปากใบปดิ ปากใบเปิด H2O H2O 1 1 H2O H2O 2 2 H2O 3 H2O H2O 3 H2O 1 โพแทสเซยี มไอออนแพรอ่ อกจากเซลลค์ มุ 1 โพแทสเซียมไอออนแพรเ่ ข้าสเู่ ซลลค์ ุม 2 ความเขม้ ข้นของสารละลายภายในเซลล์คมุ ต่า 2 ความเขม้ ขน้ ของสารละลายภายในเซลลค์ ุมสูง 3 นา้ จงึ ออสโมซสิ ออกจากเซลลค์ ุม 3 น้าจึงออสโมซสิ เขา้ สู่เซลลค์ ุม
การลาเลียงนา้ และธาตุอาหารของพืช แบบอโพพลาสต์ น้าในดินจะเข้าสู่รากผ่านช้ันคอร์เทกซ์ของรากไป แบบซิมพลาสต์ น้าจะเคล่ือนผ่านเซลล์หน่ึงผ่านไปอีกเซลล์หน่ึง จ น ถึ ง ช้ั น เ อ น โ ด เ ด อ ร์ มิ ส โ ด ย น้ า จ ะ ผ่ า น จ า ก เ ซ ล ล์ ห น่ึ ง ไ ป ยั ง ทางไซโทพลาซึมท่อลาเลียง พลาสโมเดสมาตา และเย่ือหุ้มเซลล์ อกี เซลลห์ นงึ่ ทางผนงั เซลล์ หรอื ผา่ นทางช่องว่างระหว่างเซลล์ ผ่านชนั้ เอนโดเดอร์มิสกอ่ นเขา้ สู่ท่อลาเลียงไซเล็มตอ่ ไป
การลาเลียงอาหารของพชื 1 แหล่งสร้าง หรอื ใบสงั เคราะห์ดว้ ยแสง สร้างอาหารประเภทนา้ ตาล ซฟี ทวิ บต์ น้ ทาง 2 นา้ ตาลทพี่ ืชสรา้ งข้นึ จะถูกลาเลยี งเข้าสู่ซฟี ทิวบ์ ในรูปของน้าตาล ซูโครส ดว้ ยกระบวนการแพรแ่ บบแอกทีฟทรานสปอรต์ ทาให้ความ ไซเลม็ โฟลเอ็ม 2 1 เขม้ ข้นของสารละลายซูโครสบริเวณซีฟทิวบต์ น้ ทางสูงข้นึ เซลลค์ อม- แหลง่ สร้าง 3 น้าที่อยภู่ ายในทอ่ ไซเล็มจงึ ออสโมซิสเขา้ สซู่ ฟี ทิวบต์ ้นทางช่วยลาเลียง สารละลายซโู ครสไปยงั แหลง่ ใช้ น้า พาเนียน 4 นา้ ตาลซโู ครสจะแพรแ่ บบแอกทฟี ทรานสปอรต์ เข้าสู่เนอ้ื เย่ือพชื หรอื 3 บรเิ วณแหล่งใช้ ทาให้ความเข้มขน้ ของสารละลายซโู ครสบริเวณ ซฟี ทวิ บ์ปลายทางต่าลง โมเลกลุ น้าตาลซโู ครส 5 นา้ ทอ่ี ยู่ภายในซีฟทิวบ์ปลายทางจึงออสโมซิสออก เข้าสู่ท่อไซเลม็ 4 5 น้า เซลลค์ อม- แหล่งใช้ พาเนียน ซีฟทวิ บล์ ายทาง
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: