Mr. sakthawutเอกสารประกอบการเรยี นวิชาภาษาไทยพ้นื ฐาน ระดบั ชนั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เรยี บเรยี งโดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภ ู เรื่อง คำรำชำศพั ท์
Mr. sakthawut เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เร่ือง คาราชาศพั ท์
ตวั ช้ ีวดั และสาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ นื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ที่สอดคลอ้ งกบั เน้ ือหาในเอกสารประกอบการเรียนวชิ าภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เร่ือง คาราชาศพั ท์ ******************** สาระที่ ๔ หลกั การใชภ้ าษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาและ พลงั ของภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็ นสมบตั ิของชาติ ตวั ช้ ีวดั ท ๔.๑ (ม.๔-๖/๓) ใชภ้ าษาเหมาะสมแกโ่ อกาส กาลเทศะ และบุคคล รวมท้งั คาราชา ศพั ทอ์ ยา่ งเหมาะสม Mr. sakthawut
เอกสำรประกอบกำรเรียนวิชำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชัน้ มัธยมศึกษำตอน ก ปลำย เร่ือง คำรำชำศพั ท์ คำนำ เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย เรื่อง คาราชาศัพท์ ผูเ้ ขียนจดั ทาข้ ึนเพ่ือใชป้ ระกอบการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดับช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลาย เร่ือง คาราชาศพั ท์ และเพื่อใหน้ ักเรียนที่สนใจใชเ้ ป็ นแนวทางการศึกษาในเรื่อง การเขียนและการอ่านบทรอ้ ยกรอง โดยเน้ ือหาประกอบดว้ ย ความหมายของคาราชาศพั ท์ ที่มาของคา ราชศพั ท์ ความสาคญั ของคาราชาศพั ท์ ภาษาท่ีใชใ้ นคาราชาศพั ท์ หลกั การใชค้ าราชาศพั ท์ ซ่ึงเน้ ือหาใน แต่ละเรื่องเป็ นการนาเอาแนวคิดทฤษฎี ผลงานวิจยั เทคนิควิธีการต่าง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเขียนและ อ่านบทรอ้ ยกรอง มาวิเคราะหส์ รุปเป็ นองคค์ วามรูเ้ พื่อความเขา้ ใจเน้ ือหา ตลอดจนมีระบบ QR Code ระบบ AR เพ่ือใชเ้ ป็ นตวั อยา่ งในการอา่ น และเอกสารอา้ งอิงเพ่ือการคน้ ควา้ เพ่ิมเติม ขอขอบพระคุณผูเ้ ขียนเอกสาร ตารา บทความ และผลงานวิจยั ทุกท่านที่ผูเ้ ขียนไดน้ ามาอา้ งอิง คุณค่าและประโยชน์ของหนังสือเล่มน้ ี ผูเ้ ขยี นขอมอบแด่คุณพ่อ คุณแม่ และครูอาจารยท์ ่ีไดอ้ บรมสงั่ สอน และวางพ้ ืนฐานการศึกษาใหก้ บั ผูเ้ ขียน ผูเ้ ขียนหวงั เป็ นอย่างยง่ิ วา่ เอกสารประกอบการเรียนวิชาภาษาไทยพ้ ืนฐาน ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษา ตอนปลาย เร่ืองคาราชาศัพท์เล่มน้ ี คงจะเป็ นประโยชน์แก่การจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย พ้ ืนฐาน ในระดับช้นั มธั ยมศึกษาตอนปลาย และนักเรียนผูส้ นใจ เพ่ือต่อยอดองคค์ วามรู้ หากผู้อ่านมี ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติมผูเ้ ขียนยินดีท่ีจะนามาปรบั ปรุงแกไ้ ขการจดั พิมพค์ ร้งั ต่อไป Mr. sakthawut ศกั ทาวุฒ โคตรชมภู ธนั วาคม ๒๕๖๑ โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษำตอน ข คานา ปลำย เรื่อง คำรำชำศัพท์ สารบญั สารบญั รปู ภาพ สำรบญั สารบญั ตาราง ความหมายของคาราชาศพั ท์ ก ท่ีมาของคาราชศพั ท์ ข ความสาคญั ของคาราชาศพั ท์ ค ภาษาที่ใชใ้ นคาราชาศพั ท์ ง หลกั การใชค้ าราชาศพั ท์ ๑ บรรณานุกรม ๑ ๒ ๓ ๔ ๓๒ Mr. sakthawut โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชนั้ มัธยมศกึ ษำตอน ค ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศพั ท์ สำรบญั รูปภำพ ภำพที่ ๔.๑ ภาพ QR Code แสดงตวั อยา่ งการใชเ้ จา้ ในพระบรมราโชวาท ๒๐ ภำพท่ี ๔.๒ ภาพ QR Code แสดงตวั อยา่ งการใชค้ าราชาศพั ทร์ ะหวา่ งสมเด็จพระสงั ฆราช ๒๑ กบั สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภำพที่ ๔.๓ ภาพ QR Code แสดงตวั อยา่ งการ ใชเ้ จา้ ในพระบรมราโชวาท ๒๒ ภำพที่ ๔.๔ ภาพ QR Code แสดงตวั อยา่ งการกราบบงั คมทูลรายงานของทหาร ๒๕ ซ่ึงมีการใชค้ าวิเศษณท์ ี่เป็ นราชาศพั ท์ “พระพุทธเจา้ ขา้ ขอรบั ” Mr. sakthawut โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษำตอน ง ปลำย เร่ือง คำรำชำศัพท์ สำรบญั ตำรำง ตำรำงที่ ๔.๑ ตารางแสดงตวั อยา่ งสามานยานามและอาการนามท่ีเป็ นราชาศพั ท์ ๗ ตำรำงท่ี ๔.๒ ตารางอกั รานุกรมปลายบทสงั ขยา ๑๕ ตำรำงท่ี ๔.๓ ตารางคาข้ นึ ตน้ สรรพนาม คาลงทา้ ย ในหนังสือราชการ ๑๘ และคาท่ีใชใ้ นการจ่าหนา้ ซอง ตำรำงที่ ๔.๓ ตารางแสดงการใชค้ าราชาศพั ทท์ ่ีเป็ นคาสรรพนาม ๒๑ ตำรำงท่ี ๔.๔ ตารางแสดงคาราชาศพั ทท์ ี่เป็ นคากริยาอนั บญั ญตั ิไวแ้ ยกตามช้นั บุคคล ๒๔ ตำรำงท่ี ๔.๕ ตารางแสดงคาราชาศพั ทท์ ี่ผูน้ อ้ ยที่จะตอ้ งใชแ้ ก่บุคคลชน้ั ต่าง ๆ ๒๕ ตำรำงที่ ๔.๖ ตารางแสดงการบญั ญตั ิการใชค้ าราชาศพั ทป์ ระเภทประติชญาวเิ ศษณ์ ๒๗ ตำรำงที่ ๔.๖ ตารางแสดงคาสุภาพกบั คาสามญั ๒๘ Mr. sakthawut โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชน้ั มัธยมศึกษำตอน ๑ ปลำย เร่ือง คำรำชำศัพท์ คำรำชำศพั ท์ ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนไทยให้ความเคารพเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความ จงรกั ภักดี ซึ่งแสดงออกดว้ ยกิริยา วาจา จึงมีการคิดคน้ ถอ้ ยคาที่เห็นสมควรว่าสุภาพและเป็ นคาสูง สมพระเกียรติ ซ่ึงมีความแตกต่างจากถอ้ ยคาที่ใชพ้ ดู ในหมสู่ ามญั ชน คาราชาศพั ทจ์ ึงไดใ้ ชเ้ ป็ นภาษาแบบ แผนสืบต่อกนั มา และถือไดว้ า่ เป็ นวฒั นธรรมทางภาษาแขนงหนึ่ง การใชค้ าราชาศัพท์ มีหลักเกณฑ์อยู่มากพอสมควร ซึ่งการที่จะใชค้ าราชาศัพท์ใหถ้ ูกตอ้ ง ตอ้ งศึกษาหลกั เกณฑก์ ารใชอ้ ย่างละเอียดถ่ีถว้ น ถา้ หากใชไ้ ม่ถูกตอ้ ง หรือไม่เหมาะสมก็อาจจะเขา้ ข่าย หม่ินพระบรมเดชานุภาพโดยรูเ้ ท่าไม่ถึงการณ์ได้ การใชค้ าราชาศัพทใ์ หถ้ ูกตอ้ ง แสดงใหเ้ ห็นถึงความ เป็ นคนสุภาพ มสี มั มาคารวะ มีความประณีตในการใชภ้ าษา แสดงใหเ้ ห็นถึงความรอบรูใ้ นการใชภ้ าษา ดังน้ัน การเรียนรูค้ าราชาศัพท์จึงเป็ นการปลูกฝังใหค้ นไทยไดต้ ระหนักถึงความสาคัญของ ภาษาไทย เป็ นการส่งเสริมให้มีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมทางภาษาของประเทศ อันเป็ นสิ่ง ทรงคุณค่าควรแกก่ ารอนุรกั ษ์ และเป็ นการปลกู ฝังคา่ นิยมท่ีดีงามของคนไทยใหก้ บั ผูเ้ รียน ๑. ควำมหมำยของ “คำรำชำศพั ท”์ คาราชาศัพท์ หมายถึง ถ้อยคาสุภาพที่ใชใ้ หเ้ หมาะสมกับฐานะของบุคคลต่าง ๆ พระยา อุปกิตศิลปสาร (๒๔๙๓ : ๒๒๖) ไดบ้ อกขอบเขตการใชร้ าชาศพั ท์ ไวว้ ่า ใชก้ บั บุคคล ๕ ประเภท ไดแ้ ก่ พระราชา เจา้ นาย พระสงฆ์ ขุนนาง และคนสุภาพ โดยทัว่ ไปจากการสังเกตพบว่า บุคคลประเภทพระราชา(พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจา้ พระบรมราชินีนาถ) กบั บุคคลประเภทเจา้ นาย(พระบรมวงศานุวงศ)์ จะใชร้ าชาศพั ท์ ที่เป็ นชุดเดียวกัน ส่วนบุคคลประเภทขุนนาง(ขา้ ราชการ) กับบุคคลประเภทคนสุภาพ(สุภาพชน) จะใชค้ าราชาศพั ทใ์ นชุดเดียวกนั Mr. sakthawut ๒. ทม่ี ำของคำรำชำศพั ท์ หากนักเรียนเขา้ ใจความหมายของคาราชาศัพท์แลว้ นักเรียนควรที่จะรูว้ ่าคาราชาศัพท์น้ัน แทจ้ ริงแลว้ มคี วามเป็ นมาอยา่ งไร มีใชม้ ายาวนานเพียงไร แต่ก่อนน้ันคาราชาศพั ทย์ งั ไมบ่ ญั ญตั ิใชต้ ายตวั คาราชาชาศพั ทท์ ่ีใช้ในปัจจุบนั เมื่อคร้งั สุโขทยั ใน ยุคของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชยงั ใชก้ บั สามญั ชนทวั่ ไปอยู่ ซึ่งสงั เกตไดจ้ ากศิลาจารึกสุโขทยั หลกั ท่ี ๑ จารึกพ่อขุนรามคาแหง ความตอนหน่ึงว่า “คนในเมืองสุโขทยั น้ ีมกั โอยทาน มกั ทรงศีล” (บรรทดั ท่ี ๙ ดา้ นท่ี ๒) ศิลาจารึกสุโขทยั หลกั ท่ี ๒ จารึกวดั ศรีชุม “พระศรีรตั นมหาธาตุเจา้ กูลุกหน่ึง มีพรรณงามดงั ทอง...เสด็จมาแต่กลางหาว” (บรรทดั ที่ ๖๖ ดา้ นที่ ๒) “คนท้งั หลายไหวค้ นั เต็มแผ่นดิน อุปมากงั เรียง ท่อนออ้ ยไวม้ าก... เขาจึงข้ นึ บงั คม” (บรรทดั ท่ี ๗๓ ดา้ นที่ ๒) จากตวั อยา่ งที่ยกมาน้ัน จะเห็นว่าคาราชา ศพั ทอ์ นั ไดแ้ ก่ ทรง เสด็จ บงั คม ยงั ใชก้ บั สามญั ชนทวั่ ไปอยู่ ดงั น้ัน คาราชาศพั ทน์ ้ันสนั นิฐานวา่ ไมไ่ ดเ้ กิดข้ นึ ในสมยั อาณาจกั รสุโขทยั หรือหากแมม้ ีการใชค้ า ราชาศพั ทก์ ็อาจเป็ นเพียงแค่การยมื คาบาลี สนั สกฤต และเขมรมาใชเ้ ท่าน้ัน โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวิชำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับชน้ั มธั ยมศึกษำตอน ๒ ปลำย เรื่อง คำรำชำศพั ท์ ในสมัยอาณาจักรอยุธยา รัชกาลของพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้มีระเบียบ การใชค้ าราชาศัพท์เกิดข้ ึนคร้ังแรก ดังที่ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ (อา้ งจาก สมเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระยา นริศรานุวดั ติวงศ.์ ๒๕๐๕ : ๑๐๗) กล่าวไวว้ ่า ระเบียบราชาศพั ทจ์ ึง เริ่มเกิดข้ ึนต้งั แต่รชั กาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็ นตน้ แต่เจา้ นายเคยตรสั อยูแ่ ต่กอ่ นอยา่ งไรก็ตรสั อยูอ่ ยา่ งน้ัน ใชร้ าชาศพั ทแ์ ต่กบั พระเจา้ แผ่นดินหรือเจา้ นายที่ทรงศกั ด์ิสูงกวา่ หรือเสมอกนั สอดคลอ้ งกบั พลตรีหม่อมทวีวงศถ์ วลั ยศกั ด์ิ (อา้ งจาก ม.ล. ปี ย์ มาลากุล. ๒๕๐๗) กล่าวว่า ราชาศพั ท์ที่ปรากฏเป็ น ลายลกั ษณ์อกั ษรฉบบั แรกเห็นจะเป็ นกฎมนเทียรบาลในรัชสมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กรุงศรี อยุธยา ในกฎมนเทียรบาลฉบับน้ ี มีพระราชกาหนดถอ้ ยคาที่จะใชก้ ราบทูล คาท่ีใชเ้ รียกส่ิงของใช้ และวธิ ีใชร้ บั คา อาจถือเอาเป็ นราชาศพั ทฉ์ บบั แรกได้ ดังน้ัน สรุปไดว้ ่า การถือกาเนิดของคาราชาศัพท์อย่างเป็ นทางการน้ัน เกิดข้ ึนในสมยั อยุธยา รชั กาลของพระบรมไตรโลกนาถ เพราะมีการสรา้ งระเบียบราชาศพั ทข์ ้ นึ ใชใ้ นรชั สมยั น้ัน หลงั จากน้ันคาราชาศัพทไ์ ดม้ ีการบญั ญตั ิใชเ้ พิ่มเติม ซึ่งสาเหตุของการประดิษฐ์คิดคน้ คาราชา ศัพท์เพิ่มเติมน้ัน สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ (อา้ งจาก สมเด็จเจา้ ฟ้า กรมพระยา นริศรานุ วัดติวงศ์. ๒๕๐๕ : ๑๐๗) ได้อธิบายว่า คาราชาในศัพท์คร้ังแรกจะไม่มี มากมายนัก ต่อมาภายหลงั จึงคิดเพ่ิมเติมข้ ึน ดว้ ยเกิดคิดเห็นว่าของเจา้ ควรจะผิดกบั ไพร่ท้งั หมด ใช่แต่ เท่าน้ัน ยงั คิดใชร้ าชาศพั ทผ์ ิดกนั ในเจา้ ต่างช้นั Mr. sakthawut คำรำชำศพั ทเ์ กิดข้ ึนในสมยั อาณาจกั รอยุธยา อาณาจกั รสุโขทยั ความยาวนานของการใชค้ าราชาศัพท์ ทาใหน้ ักเรียนเห็นอะไรท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ภูมิปัญญาทาง ภาษาไทยต้งั แต่อดีต จนถึงปัจจุบนั ______________________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________________ ๓. ควำมสำคญั ของคำรำชำศพั ท์ พระวรเวทยพ์ ิสิฐ (อา้ งจากกองบรรณาธิการเพื่อนเรียนเด็กไทย. ๒๕๕๑ : ๙) กล่าวไวว้ า่ ตน้ เดิม ที่จะเกิดมีราชาศัพท์ข้ ึนก็เพราะ เม่ือไทยเราต้ังชาติเขม้ แข็งข้ ึนในดินแดนที่เขา้ มาปกครองใหม่ คือ ดินแดนประเทศสยามน้ ี เราก็เลือกผูท้ ี่มีความสามารถ มีลกั ษณะเป็ นอจั ฉริยบุคคลในคณะ แลว้ ยกข้ ึน เป็ นประมุขของชาติเพ่ือคุม้ ครองชาติใหม้ นั่ คง และนาชาติใหป้ ระสบชยั ตลอดถึงความเป็ นอารยชาติ ผูท้ ่ี ไดร้ บั เลือกเป็ นประมุขน้ ีเรียกกนั วา่ พระราชาธิบดี เมื่อเกิดมีพระราชธิบดีข้ ึน จึงตอ้ งยกยอ่ งพระองคท์ ่าน ใหส้ ุงกวา่ คนในชาติ และตอ้ งสรา้ งสิ่งที่เป็ นเครื่องประดบั พระเกียรติยศใหส้ ูง พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (อา้ งจากกองบรรณาธิการเพื่อนเรียน เด็กไทย. ๒๕๕๑ : ๙) กล่าวไวว้ ่า นอกจากคาพูดและวิธีพูดทวั่ ไปแลว้ ยงั มีคาพูดและวิธีพูดสาหรบั ชน เฉพาะหมเู่ ฉพาะเหล่าอีกดว้ ย เช่น ราชาศพั ทข์ องเรา เป็ นตน้ ฝรงั่ ไมม่ ีราชาศพั ทเ์ ป็ นคาตายตวั แต่มีวิธี โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษำตอน ๓ ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศัพท์ พูดยกยอ่ งช้นั พระมหากษัตริยห์ รือช้นั ผูด้ ีเหมือนกนั แต่วิธีพุดเช่นน้ ีไมม่ ีกฎเกณฑต์ ายตวั โดยมากมกั จะ เป็ นวิธีพุดอยา่ งสุภาพเท่าน้ันเอง วิทยา งามวิเศษ (ม.ป.ป. : ๘) ไดก้ ล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนรูค้ าราชาศพั ทไ์ วว้ า่ เพราะเหตุ ท่ีว่าสถาบนั พระมหากษัตริยเ์ ป็ นสถาบนั ที่สูงสุดของประเทศมาต้งั แต่โบราณ พระเจา้ แผ่นดินทรงใกลช้ ิด กบั ประชาชนอย่างแนบแน่นประการหนึ่ง และการอ่านหรือศึกษาวรรณคดีก็ดี การรบั สารสื่อมวลชนใน ปัจจุบนั ก็ดี เหล่าน้ ีลว้ นตอ้ งมีคาราชาศพั ทเ์ ก่ียวขอ้ งอยู่ดว้ ยเสมอประการหน่ึง ดงั น้ัน การเรียนรูค้ าราชา ศพั ทจ์ ึงเป็ นส่ิงที่มปี ระโยชน์ท้งั ทางตรงและทางออ้ มมากมาย ดงั จะเห็นไดด้ งั ต่อไปน้ ี ๑) ช่วยใหส้ ามารถใชภ้ าษาไทยไดถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสมกบั ช้นั ของบุคคล ทาใหไ้ ม่มีปัญหา ในการสื่อสาร ๒) ไดเ้ รียนรูถ้ ึงวฒั นธรรมของชาติ โดยที่ราชาศพั ทเ์ ป็ นวฒั นธรรมทางภาษา ท่ีมีความ ประณีตนุ่มนวล และน่าฟัง ๓) ทาใหร้ ูค้ าศัพท์มากข้ ึน ไดช้ ่ือว่าเป็ นผูร้ ูภ้ าษาไทยที่ดี ผูร้ ูม้ ากย่อมทาใหเ้ กิดความ คลอ่ งแคลว่ ชานาญ ๔) ช่วยฝึกฝนอบรมจิตใจผูศ้ ึกษาใหป้ ระณีตในการใชภ้ าษา และผลทาใหเ้ ป็ นคนมีนิสยั สุขุมรอบคอบ ละเอียดลออ ๕) ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพใหแ้ ก่ตนเอง สามารถเขา้ สมาคมกบั ผูอ้ ื่นไดโ้ ดยไม่เคอะเขิน ไมเ่ ป็ นท่ีเยย้ หยนั ของบุคคลอื่น เพราะไดศ้ ึกษาถอ้ ยคาท่ีควรใชก้ บั บุคคลตามฐานะมาแลว้ จากท่ีครูไดย้ กคาพูดของบุคคลมาขา้ งตน้ น้ัน นักเรียนจะเห็นถึงความสาคญั และประโยชน์ของ การเรียนรูค้ าราชาศัพท์ ท้ังในเชิงการเรียนรู้วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เชิงการเรียนรู้ภาษา เรียนรูก้ ารอยู่ร่วมกบั ผูอ้ ่ืนในสงั คม เป็ นการฝึกบุคลิกภาพของผูเ้ รียนเอง ปลูกฝังการแสดงออกถึงความ เคารพและเทิดทูนสถาบนั พระมหากษัตริย์ และที่สาคญั อีกอย่างหนึ่งคือการธรรมรงรักษาความเป็ น เอกลกั ษณข์ องชาติไทยอีกดว้ ย Mr. sakthawut ๔. ภำษำทีใ่ ชใ้ นคำรำชำศพั ท์ คาราชาศัพท์ไม่ไดม้ ีที่มาจากภาษาไทยเพียงภาษาเดียว ในทางตรงกันขา้ มคาราชาศัพท์ ส่วนมากน้ันเป็ นคาต่างประเทศเป็ นส่วนใหญ่ คาท่ีเป็ นคาราชาศัพทข์ องไทยน้ันส่วนใหญ่เป็ นคาภาษา เขมร ภาษาสนั สกฤต และภาษาบาลี ภาษาอื่น ๆ ก็นามาใชเ้ ป็ นคาราชาศพั ทบ์ า้ ง แต่ก็ไมม่ ากนัก คาราชาศพั ท์ที่มีที่มาจากภาษาบาลี ชาวพุทธถือกนั ว่าภาษาบาลีเป็ นภาษาท่ีศักด์ิสิทธ์ิ เพราะ เป็ นภาษาท่ีจารึกพระไตรปิ ฎกซ่ึงเป็ นคมั ภีรส์ าคญั ของพุทธศาสนา ตอ้ งเคารพกราบไหว้ จนอาจกล่าวได้ ว่าคาราชาศัพท์ท่ีมีมาแต่เดิมน้ันมาจากภาษาบาลีมากที่สุด เช่น พระรูป พระวักกะ พระราชอาสน์ พระราชบิดา เป็ นตน้ คาราชาศัพท์ที่มีที่มาจากภาษาสันสกฤต ซ่ึงภาษาสันสกฤตน้ันไทยนามาใชโ้ ดยเขา้ มาทาง ศาสนาพราหมณ์ พิธีกรรมทางพราหมณย์ งั มีความเกี่ยวข้องกบั สถาบนั พระมหากษัตริยจ์ นถึงปัจจุบนั น้ ี ภาษาสนั สกฤตเป็ นภาษาระดบั สูงของพราหมณ์ เป็ นภาษาที่พราหมณใ์ ชต้ ิดต่อกบั เทพเจา้ เช่นเดียวกนั กบั สถาบนั พระมหากษัตริยท์ ่ีใหส้ ถานะพระมหากษัตริยเ์ ป็ นดงั่ สมมติเทพซึ่งเป็ นความเช่ือของพราหมณ์ โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวิชำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดบั ช้นั มัธยมศกึ ษำตอน ๔ ปลำย เรื่อง คำรำชำศพั ท์ เราจึงนาคาภาษาสันสกฤตมาใชเ้ ป็ นคาราชาศัพท์ใชก้ ับกษัตริย์ผูเ้ ป็ นดัง่ สมมติเทพ เช่น พระเนตร สวรรคต พระกรรณ เป็ นตน้ คาราชาศพั ท์ท่ีมีท่ีมาจากภาษาเขมร เป็ นที่รูก้ นั ดีว่าในช่วงยุคขอมเรืองอานาจ เมืองน้อยใหญ่ ละแวกน้ันต่างใหก้ ารยอมรบั วา่ ชาติขอมเป็ นชาติที่มีอารยธรรม มีความเจริญ เชน่ เดียวกนั กบั อาณาจกั ร อยุธยาท่ียอมรบั อิทธิพลของขอมมากที่สุด แมก้ ระทงั่ การใหส้ ถานะกษัตริยเ์ ป็ นสมมติเทพก็มาจากขอม คนสมยั น้ันจึงยอมรบั และนิยมภาษาขอมไปดว้ ย ซึ่งกองบรรณาธิการเพ่ือนเรียนเด็กไทย (๒๕๕๑ : ๙) ไดอ้ ธิบายวา่ นักปราชญท์ างประวตั ิศาสตรแ์ ละทางภาษากล่าววา่ การนาคาในภาษาเขมรมาใชน้ ้ันเป็ น การเทิดพระเกียรติพระเจา้ อยู่หวั ไทยในฐานะทรงเป็ นผูป้ กครองแผ่นดิน ภาษาเขมรที่ใชเ้ ป็ นคาราชา ศพั ท์ เช่น พระราชดาเนิน โปรดเกลา้ ฯ เป็ นตน้ คาราชาศพั ทท์ ี่มีท่ีมาจากภาษาไทยเอง โดยปรกติแลว้ ภาษาไทยจะไม่นามาใชเ้ ป็ นคาราชาศพั ท์ แต่จะนามาใชไ้ ดต้ ่อเมื่อเอาไปนาหนา้ ภาษาอ่ืน เชน่ มีพระดารสั นาจณั ฑ์ พระที่นัง่ ชา้ งทรง เป็ นตน้ คาราชาศพั ทท์ ี่มีท่ีมาจากภาษาอ่ืน ๆ คาราชาศพั ทท์ ี่นามาจากภาษาอ่ืน ๆ นอกเหนือจากกล่าว มาขา้ งตน้ มีจานวนน้อยมาก แต่ก็มีบา้ งประปราย เช่น พระสุหร่าย มาจากคาภาษาเปอรเ์ ซีย พระเกา้ อ้ ี มาจากคาภาษาจีน เป็ นตน้ ท่มี ำของคำรำชำศพั ท์ Mr. sakthawut รบั อทิ ธิพลจำก โดยเช่ือว่ำ ภำษำบำลี ศำสนำ บทสวดมีควำมศักด์ิสิทธ์ิ กำรใชภ้ ำษำบำลีกบั พระมหำกษัตริย์ จงึ เป็ นภำษำสูง รบั อทิ ธิพลจำก โดยเช่ือว่ำ ภำษำสนั สกฤต ศำสนำ ภำษำสนั สกฤต เป็ นภำษำ ช้นั สูงของพรำหมณ์ ท่ีใชต้ ิดต่อกับ รบั อทิ ธิพลจำก โดยเชื่อว่ำ เทพ กำรใช้ภำษำสันสกฤตกับ พระรำชำท่ีเปรียบสมมติเทพ จึง ภำษำเขมร วฒั นธรรม เป็ นภำษำชน้ั สูง เป็ นค่ำนิยม ว่ำชำติเขมร เป็ นชำติท่ีมีอำรยธรรม มีควำม เจริญ จึงใชภ้ ำษำเขมรกับสถำบัน พระมหำกษตั ริย์ ๕. หลกั กำรใชค้ ำรำชำศพั ท์ การใชร้ าชาศพั ท์ใหถ้ ูกตอ้ งน้ันจาเป็ นอย่างย่ิงท่ีจะตอ้ งทราบวา่ ราชาศัพทท์ ่ีใชน้ ้ันเป็ นคาชนิดใด มหี ลกั การวธิ ีการใชอ้ ยา่ งไร เพื่อที่จะเขา้ ใจคาราชาศพั ทเ์ ลือกใชไ้ ดถ้ ูกตอ้ งตามวตั ถุประสงค์ พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๔๘๐ : ๑๕๘) ไดอ้ ธิบายว่า คาท้ังหลายที่ตอ้ งเปลี่ยนแปลงใชต้ าม ระเบียบราชาศพั ท์ ไดแ้ ก่ คานาม คาสรรพนาม คากริยา คาวเิ ศษณ์ โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวิชำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชน้ั มัธยมศึกษำตอน ๕ ปลำย เรอ่ื ง คำรำชำศพั ท์ Mr. sakthawut๕.๑ คานามท่ีเป็ นราชาศพั ท์ หมายถึง คาราชาศพั ทท์ ี่ใชเ้ รียกสิ่งต่าง ๆ ราชาศพั ทท์ ี่เป็ นคานาม ตามหลกั ไวยากรณม์ ี ๒ ลกั ษณะ ดงั น้ ี ๕.๑.๑ คานามที่ไมต่ อ้ งใชค้ าใด ๆ เขา้ ประกอบใหเ้ ป็ นราชาศพั ท์ ไดแ้ ก่ ๑) สมุหนาม หรือคานามที่บอกหมวดหมู่ คานามประเภทน้ ีเป็ นช่ือของหมคู่ ณะ ไม่เจาะจงบุคคล จึงนิยมใชเ้ ป็ นสามญั ชนผูห้ น่ึง ไม่ตอ้ งเปลี่ยนแปลงราชาศัพท์ ถึงจะเกี่ยวกบั พระราชา หรือเจา้ นายก็ตาม ตัวอย่างคาเช่น สมาคม คณะ มูลนิธิ รฐั บาล เป็ นตน้ ตวั อย่างการใชค้ าในประโยค รฐั บาลของสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั เป็ นตน้ ๒) คานามที่เป็ นราชาศัพท์อยู่แลว้ เช่น คาว่า วงั ตาหนัก หม่อม หม่อมหา้ ม ชายา เจา้ จอม สาสน์ เป็ นตน้ ซึ่งหากตอ้ งการท่ีจะใชใ้ นระดบั ท่ีสงู กวา่ ศกั ด์ิของคาน้ัน ตอ้ งประกอบคาอ่ืน เขา้ ดว้ ย เช่น คาว่า วัง หมายถึงที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ เติมคาว่า พระราช นาหน้าคาเป็ น พระรำชวัง หมายถึงท่ีประทับของประมหากษัตริยซ์ ่ึงรองจากพระบรมหาราชวงั เติมคาว่า พระบรม มหาราช นาหนา้ คาเป็ น พระบรมมหำรำชวงั หมายถึงที่ประทบั ใหญ่ของพระมหากษัตริย์ เป็ นตน้ ๕.๑.๒ คานามท่ีตอ้ งใชค้ าอ่ืนเขา้ ประกอบใหเ้ ป็ นราชาศพั ท์ มีหลกั การประกอบคา ดงั น้ ี ๑) คาที่ใชส้ าหรบั พระมหากษัตริย์ หรือชน้ั ของพระราชา การใชค้ าว่า “พระบรม” หรือ “พระบรมราช” หรือ “พระบรมมหา” หรือ พระพระบรมอคั รราช” หรือ “พระอคั รราช” หรือ “พระอคั ร” หรือ “พระมหา” ใชน้ าหนา้ คานามท่ีเป็ น ชื่อที่สาคัญอันควรยกย่องให้เป็ นเกียรติยศ เช่น พระบรมมหาราชวัง พระบรมนามาภิไธย หรือพระปรมาภิไธย พระบรมวงศานุวงศ์ พระบรมราชชนนี พระบรมราโชวาท พระมหากรุณาธิคุณ พระอคั รมเหสี พระอคั รชายา พระอคั รราชเทวี เป็ นตน้ การใชค้ าว่า “พระราช” ใชน้ าหน้านามท่ีใชเ้ ฉพาะพระราชา มีความสาคญั รอง จากพระบรม เช่น พระราชวงั พระราชวงศ์ พระราชดารสั พระราชวนิ ิจฉยั เป็ นตน้ การใชค้ าวา่ “พระ” ใชน้ าหนา้ นามที่เป็ นสามญั ทวั่ ไป ซึ่งไมน่ ับวา่ เป็ นของสาคัญ เช่น พระสหาย พระเกา้ อ้ ี พระบาท พระโรค เป็ นตน้ คาว่า “พระ” จะไมน่ าหน้าคาที่มี “พระ” อยูใ่ นคา อยู่แลว้ เช่น ฉลองพระองค์ ฉลองพระหัตถ์ รถพระที่นัง่ รถยนต์พระที่นัง่ ธารพระกร พานพระศรี เป็ นตน้ การใช้ “พระราช” กบั “พระ” หากเป็ นบุคคลท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั พระราชาท่ีมสี ถานะ เป็ นพระราชเหมือนกนั ท่ีไม่ใช่เจา้ นายมียศ จะใช้ “พระราช” นาหนา้ เช่น พระราชบิดา พระราชภคินี หากเป็ นบุคคลเก่ียวขอ้ งกบั พระราชาที่มีสถานะเป็ นราชนิกุล หรือสามญั ชน จะใช้ “พระ” นาหน้า เช่น พระสหาย พระพี่นาง พระนม พระอยั ยิกา พระอาจารย์ เป็ นตน้ คากริยาบางคาเม่ือเติมคาว่า “พระ” นาหน้าก็จะเป็ นคานาม เช่น จากคาว่า ประชวร(ป่ วย) เป็ น พระประชวร(ความเจ็บป่ วย) เป็ นตน้ การใช้ “หลวง” หรือ “ตน้ ” ตามหลงั คานามที่เป็ นช่ือของส่ิงที่ไม่มีความสาคญั หรือมิไดก้ ล่าวใหค้ วามสาคญั และคาน้ันเป็ นคาไทยแท้ เช่น ลูกหลวง วงั หลวง มา้ ตน้ ชา้ งตน้ เป็ นตน้ พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๔๘๐ : ๑๖๐) ไดอ้ ธิบายการใชค้ าว่า “หลวง” และคาว่า “ตน้ ” ตามหลัง โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับชั้นมัธยมศกึ ษำตอน ๖ ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศพั ท์ คานามให้เป็ นราชาศัพท์ สรุปได้ว่า หลวง” ใช้กับคาสามัญทั่วไป ท้ัง คน สัตว์ และส่ิงของ “ตน้ ” ใชเ้ ฉพาะกบั สตั ว์ สถานท่ี และสิ่งของ เท่าน้ัน ในหลวง เป็ นคานามสามญั ท่ีบุคคลทวั่ ไปใชเ้ รียกพระมหากษัตริย์ ไมน่ ับเป็ นคา ราชาศพั ท์ ๒) คาท่ีใชส้ าหรบั เจา้ นาย บุคคลท่ีจดั อยู่ในกลุ่มน้ ีไดแ้ ก่ พระราชินี พระยุพราช วงั หนา้ เจา้ นายชน้ั สงู พระองคเ์ จา้ หมอ่ นเจา้ การใชค้ าว่า “พระราช” จะใชน้ าหน้านามท่ีใชส้ าหรับพระราชินี พระยุพราช วงั หนา้ พระมหาอุปราช ตลอดจนพระบรมราชโอรส พระบรมราชธิดา และนามสาคัญ เช่น พระราช เสาวนีย์ พระราชบญั ชา พระราชกิจ พระราชประวตั ิ พระราชดาริ พระราชหฤทยั พระราชกุศล เป็ นตน้ การใชค้ าว่า “พระ” จะใชน้ าหน้านามท่ีใชส้ าหรับพระราชินี พระยุพราช วงั หนา้ พระมหาอุปราช ตลอดจนพระบรมราชโอรส พระบรมราชธิดา ในนามที่ไม่สาคญั และสาหรบั เจา้ นายทวั่ ไป ท้งั นามสาคญั และไมส่ าคญั เช่น พระเศียร พระองค์ พระหตั ถ์ พระหทยั เวน้ แต่คาท่ีเป็ น ราชาศพั ทเ์ จา้ นายอยูแ่ ลว้ เช่น หม่อม วงั ที่นัง่ เครื่อง(อาหาร) รถที่นัง่ มา้ ที่นัง่ หากญาติที่เป็ นเจา้ นายดว้ ยกนั มกั จะใชค้ าว่า “พระเจา้ ” นาหนา้ เช่น พระเจา้ พ่ี พระเจา้ ลุง แต่หากเป็ นคาบาลี สันสกฤต จะใชค้ าว่า “พระ” เช่น พระเชษฐา พระภาดา เป็ นต้น Mr. sakthawut ส่วนญาติท่ีไมใ่ ช่เจา้ นายดว้ ยกนั จะนิยมนาหนา้ ดว้ ยคาวา่ “พระ” ๓) คานามท่ีเป็ นชื่อคน สัตว์ ส่ิงของ หรือส่ิงอ่ืนท่ีเป็ นของห่างไกล มิได้ เกี่ยวเน่ืองกับพระมหากษัตริยห์ รือเจา้ นาย รวมท้ังเป็ นคาท่ีมีข้ ึนมาในช้นั หลงั ๆ ซ่ึงในบางทีก็เป็ นคา ต่างภาษา เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ คอมพิวเตอร์ กราฟิ ก ลิงค์ คลินิก เฟซบุ๊ก เป็ นตน้ ไมต่ อ้ งเปลี่ยนแปลงให้ เป็ นราชาศพั ทแ์ ต่อยา่ งใด ใหใ้ ชค้ าเดิมตามปรกติ ตวั อยา่ ง สามานยานามและอาการนามท่ีเป็ นราชาศพั ท์ ตำรำงท่ี ๔.๑ ตารางแสดงตวั อยา่ งสามานยานามและอาการนามที่เป็ นราชาศพั ท์ รำชำศพั ท์ ช้นั บุคคล หมำยเหตุ ๑) คาสงั่ พระบรมราชโองการ พระราชา ของเรา พระราชโองการ พระราชา ทวั่ ไป พระบวรราชโองการ พระบวรราช วงั หน้าที่ดารงพระเสมอพระราชา พระราชเสาวนีย์ พระราชินี พระเสาวนีย์ พระราชินี พระราชโองการ พระยพุ ราช บางคร้ังใช้ “พระราชดารัส” ซึ่ง พระราชบญั ชา พระยพุ ราช แปลวา่ คาพดู กไ็ ด้ พระบญั ชา เจา้ นาย บางคร้ังมีการใช้ “พระดารัส” ซึ่ง รบั สงั่ เจา้ นาย แปลว่าคาพูดน่ีใชไ้ ม่ได้ แต่ใชค้ าว่า “รบั สงั่ ” ใหห้ มายถึง คาพดู ได้ พระประศาสน์ สมเด็จเจา้ พระยา บญั ชา ขนุ นางช้นั สงู เจา้ พระยา คาสงั่ ตา่ จากขนุ นางช้นั สงู ลงมาถึงช้นั สุภาพชน โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชั้นมัธยมศึกษำตอน ๗ ปลำย เรื่อง คำรำชำศพั ท์ รำชำศพั ท์ ช้นั บุคคล หมำยเหตุ ๒) จดหมาย พระราชหตั ถเลขา พระราชา ของเรา พระราชสาสน์ พระราชา ทวั่ ไป, มกั ใชก้ บั การต่างประเทศ ลายพระราชหตั ถ์ พระราชินี พระยุพราช พระมหาสมณสาสน์ พระมหาสมณะเจา้ พระสมณสาสน์ พระสงั ฆราชเจา้ ลายพระหตั ถ์ หรือพระอกั ษร เจา้ นาย ศุภอกั ษร เสนาบดี, เจา้ ประเทศราช คือเสนาบดีรับพระบรมราชโองการ มีไปถึงเจ้าประเทศราช หรือเจ้า ประเทศราชมาถึงเสนาบดี เพ่ือให้ กราบบงั คมทลู สารตรา เสนาบดี ดาเนินกระแสพระบรมราชโองการ ถึงหวั เมอื งหรือทูตอยปู่ ระเทศ ตรา, ตราน้อย เสนาบดี บอกขา้ ราชการส่วนกระทรวงถึงหวั เมือง หรือทูตอยู่ต่างประเทศมาถึง Mr. sakthawut กระทรวง ใบบอก หวั เมอื ง, ทูตอยตู่ ่างประเทศ หนังสือแจง้ ราชการมาจากหวั เมอื ง ลิขติ พระสงฆ์ จดหมาย, หนังสือ สามญั ใชไ้ ดต้ ้งั แต่เสนาบดีถึงคนสามญั ๓) ภรรยา พระราชินี, พระมเหสี พระราชา สาหรบั ภรรยาเอก พระสนม พระราชา สาหรบั ภรรยารอง หม่อม, หม่อมหา้ ม, พระชายา เจา้ นาย ภรรยา ขนุ นาง, สุภาพชน ๔) นามอื่น ๆ พระเจา้ พระราชา พระเศียร เจา้ นาย โยม พระสงฆ์ รวมถึงบิดามารดาดว้ ย ๕.๒ ราชาศัพท์ท่ีเป็ นวิสามานยนาม (นามช่ือเฉพาะ) มีวิธีการประกอบคาใหเ้ ป็ นราชาศัพท์ ดงั น้ ี ๕.๒.๑ คาราชาศพั ท์ที่เป็ นวิสามานยนามจะตอ้ งมีคานาหน้า เรียกว่า วิสามานยนาม นาหนา้ ชื่อ พระราชา ใชค้ าว่า “พระบาทสมเด็จพระ” นาหน้าพระปรมาภิไธย(ช่ือ) ซึ่งมีวิธีเขียน พระปรมาภิไธย(ชื่อ) ๓ อยา่ ง ดงั น้ ี ๑) ใชพ้ ระนามเต็มตามที่จารึกในพระสุพรรณบฏั เชน่ พระปรมาภิไธย(ช่ือ)เต็ม รชั กาลท่ี ๑ แหง่ รางวงศจ์ กั รี ตามจารึกพระสุพรรณวา่ “พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจกั รพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทรา โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษำตอน ๘ ปลำย เร่ือง คำรำชำศัพท์ Mr. sakthawutธิราช รตั นากาศภาสกรวงศ์ องคป์ รมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรตั นราชชาติอาชาวศรยั สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรปรมาธิเบศร โลกเชฎวิสุทธ์ิ รตั นมงกุฎประกาศ คตามหาพุทธางกรู บรมบพิตร พระพุทธเจา้ อยูห่ วั ” พระปรมาภิไธย(ช่ือ)เต็ม รชั กาลที่ ๘ แหง่ รางวงศจ์ กั รี ตามจารึกพระสุพรรณว่า “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลอดุลยเดช วิมลรามาธิบดี จุฬาลงกรณราชปรียวร นัดดา มหิตลานเรศวรางกูร ไอศูรยสันตติวงศวิสุทธ์ วรุตมขตั ติยศกั ตอรรคอุดมจกั รีบรมราชวงศนิวิฐ ทศพิธราชธรรมอุกฤษฎนิบุณ อดุลยกฤษฎาภินิการรังสฤษฎ์ สุสาธิตบูรพาธิการ ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุ รักษ์อดุลยพิ เศษ สรรพเทเวศรานุ รักษ์ ธัญอรรคลักษณวิจิตร โสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมงคประณตบาทบงกชยุคล อเนกนิกรชนสโมสรสมมต ประสิทธิวรยศม โหดมบรมราชสมบตั ิ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉตั ร สรรพรฐั ทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรตั นสรณารกั ษ์ วิศิษฎศกั ต อคั รนเรศรามาธิบดี พระอฐั มราะบดินทร สยามนิ ทราธิราชบรมนาถบพิตร” พระปรมาภิไธย(ช่ือ)เต็ม รชั กาลที่ ๙ แหง่ รางวงศจ์ กั รี ตามจารึกพระสุพรรณวา่ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤ บดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” ๒) อยา่ งกลาง จะละสรอ้ ยพระปรมาภิไธย เช่น พระปรมาภิไธย(ชื่อ)อย่างกลาง รัชกาลท่ี ๑ แห่งราชวงศ์จักรกรี คือ “พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจกั รีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” พระปรมาภิไธย(ชื่อ)อย่างกลาง รัชกาลท่ี ๘ แห่งราชวงศ์จักรกรี คือ “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอฐั มรามาธิบดินทร” พระปรมาภิไธย(ชื่อ)อยา่ งกลาง รชั กาลที่ ๙ แห่งราชวงศ์จกั รกรี คือ “สมเด็จ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช สยามนิ ทราธิราช บรมนาถบพิตร” ๓) อยา่ งยอ่ คือ จะเอาแต่ส่วนสาคญั ของประปรมาภิไธยไว้ เชน่ พระปรมาภิไธย(ช่ือ)อย่างย่อ รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรกรี คือ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” พระปรมาภิ ไธย(ชื่อ)อย่างย่อ รัชกาลท่ี ๘ แห่งราชวงศ์จักรกรี คือ “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล” พระปรมาภิไธย(ช่ือ)อย่างย่อ รัชกาลท่ี ๙ แห่งราชวงศ์จักรกรี คือ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช” พระมหากษัตริยท์ ี่ยงั มิไดร้ บั พระบรมราชาภิเษก พระมหากษัตริยใ์ นอดีต และพระราช สมญั ญา ใช้ “สมเด็จพระ” เช่น สมเด็จพระเจา้ อยู่หวั มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สมเด็จ พระเจา้ ตากสินมหาราช สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระนารายณม์ หาราช เป็ นตน้ และในสมยั กรุงรตั นโกสินทร์ มีการขานพระบรมราชสมญั ยานามกษัตริยแ์ ต่พระองค์ เช่น สมเด็จพระปิ ยะมหาราช สมเด็จพระมหาธีรราชเจา้ เป็ นตน้ โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวิชำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชนั้ มัธยมศึกษำตอน ๙ ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศัพท์ ส่วนพระราชาบางพระองค์ ท่ีใชค้ านาหน้าพระปรมาภิไธย(ช่ือ)ต่างกัน เช่น พระ จกั รพรรดิ สมเด็จพระเจา้ สมเด็จพระ พระเจา้ เช่น พระจกั รพรรดิไฮเลเซลาสซีท่ี ๑ สมเด็จพระเจา้ จอรจ์ ท่ี ๕ พระเจา้ พิมพิสาร เป็ นตน้ คาที่ใชส้ าหรบั เจา้ นาย มีสามานยนามท่ีใชเ้ ป็ นคานาพระนามเจา้ นายโดยเฉพาะเพ่ือ บอกสกุลยศและอิสริยยศ เรียกวา่ คาสามานยนามบอกเครือญาติ และคาสามายานามบอกช้นั เจา้ นาย ๑) คาสามานยนามบอกเครือญาติ เรียกว่าตาแหน่งพระบรมวงศานุวงศ์ ของพระราชา ๒) คาสามายานามบอกชน้ั เจา้ นาย มีท้งั หมด ๓ ชน้ั ไดแ้ ก่ เจา้ ฟ้า คือ พระราชโอรสของพระราชามมี่ ารดาเป็ นเจา้ ดว้ ยกนั พระองคเ์ จา้ คือ พระราชโอรสพระเจา้ แผ่นดิน พระโอรสของวงั หน้า พระโอรส ของเจา้ ฟ้า หมอ่ มเจา้ ท่ีทรงสถาปนาเล่ือนพระยศข้ ึน หมอ่ มเจา้ คือ พระราชโอรสของพระองคเ์ จา้ ที่ดารงพระยศมาแต่เดิม เจา้ นายที่มีพระอิสริยยศ “ต่างกรม” มีอีก ๖ ช้นั คือ สมเด็จกรมพระยา กรม พระยา กรมพระ กรมหลวง กรมขนุ และกรมหมน่ื เม่ือเขียนพระนามเจ้านาย จะต้องลงสามานยานามบอกเครือญาติ กบั สามานยนามบอกช้นั กอ่ น แลว้ จึงต่อดว้ ยพระนาม ซึ่งอาจเป็ นพระนามเดิม หรือพระนามกรม หรือท้งั สองอย่าง ถ้าทรงมียศทางทหารหรือพลเรือน จะลงสามานยน ามบอกยศ ในเบ้ ืองต้นด้วยก็ได้ ตัวอย่างเช่น พลเอก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้ามหาวชิราลงกรณ ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ้า บ ร ม ว ง ศ์เ ธ อ เ จ้า ฟ้ า ก ร ม พ ร ะ ย า น ริ ศ ร า นุ วัด ติ ว ง ศ์ พ ร ะ เ จ้า ห ล า น เ ธ อ พระองคเ์ จา้ พชั รกิติยาภา เป็ นตน้ วิเคราะหส์ ว่ นประกอบพระนาม พระเจา้ หลานเธอพระองคเ์ จา้ พชั รกิติยาภา Mr. sakthawut พระเจา้ หลานเธอ พระองคเ์ จา้ พชั รกิติยาภา __________________________ __________________________ ___ เจา้ นายช้นั หม่อมเจา้ น้ัน ไม่มีสามานยนามบอกเครือญาติ แต่ตอ้ งลงราชสกุล ต่อท้ายนามด้วย เช่น พลเรือเอก หม่อเจ้ากาฬวรรณดิศ ดิสกุล หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล หมอ่ มเจา้ ปุสาณ สวสั ดวิ ตั น์ เป็ นตน้ คาท่ีใชส้ าหรับพระสงฆ์ พระสงฆ์มีหลายช้ัน ท่ีเรียกกันว่า “ยศชา้ ง ขุนนางพระ” มี สามานยนามบอกสมณศกั ด์ินานามต่างกนั ตามช้นั ๑) ช้นั สมเด็จพระราชาคณะ ใชค้ าว่า “สมเด็จพระ” นาหน้าราชทินนามและ จะลงนามเดิม นามฉายา เพ่ือใหแ้ น่ชัดดว้ ยก็ได้ เช่น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) สมเด็จพระมหารชั มงั คลาจารย์ (ชว่ ง วรปุญฺโญ) พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน) เป็ นตน้ ๒) เจ้านายท่ีทรงผนวชและทรงสมณศักด์ิ เป็ นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เป็ นสมเด็จพระสงั ฆราชเจา้ ใหล้ งพระนามและคานาหน้าพระนามสามานยนามบอกเครือญาติใหค้ รบ แลว้ เติมนามตาแหน่งสมณศักด์ิไวข้ า้ งทา้ ย เช่น พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวฒั น์ สมเด็จ โดย นายศกั ทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับชนั้ มัธยมศกึ ษำตอน ๑๐ ปลำย เรือ่ ง คำรำชำศพั ท์ Mr. sakthawutพระสงั ฆราชเจา้ เป็ นตน้ ถา้ ไม่อย่างน้ันก็ใชน้ ามแสดงสมณศกั ด์ินาหน้าพระนาม เช่น สมเด็จพระมหา สมณเจา้ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็ นตน้ ซ่ึงจะนิยมใชก้ นั ในปัจจุบนั หากไมไ่ ดเ้ ป็ นเจา้ นายมาก่อนให้ ใชแ้ บบหลงั เท่าน้ัน ซึ่งหมายรวมถึงมีฐานันดรศักด์ิทางราชสกุล เพราะจะไม่มีสามานยนามบอกเครือ ญาติ ส่วนสมเด็จพระสงั ฆราชท่ีไม่ใช่เจา้ นายใชค้ านาหน้าพระนามอยา่ งสมเด็จพระราชาคณะ แลว้ เติม ตาแหน่งไวท้ า้ ย เช่น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆรำช สมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสงั ฆรำช เป็ นตน้ ๓) ช้นั พระราชาคณะ ใชค้ าวา่ “พระ” นาหน้าราชทินนามเหมอื นกนั หมดต้งั แต่ เจ้าคณะรอง พระราชาคณะช้ันสูง (ช้ันธรรม ช้ันเทพ ช้ันราช) เช่น พระธรรมวิสุทธิมงคล (บัว ญาณสมฺปนฺ โน) พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี) พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กลฺยาโณ) เป็ นตน้ ลงไปจนถึงชน้ั สามญั เชน่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) พระศรวี ชิรโมลี (บุญถม สุนฺทรเมธี ป.ธ.๙) เป็ นตน้ ๔) ช้นั พระครู ใชค้ าว่า “พระครู” นาหน้า เช่น พระครูอภิบาลธรรมาภิวฒั น์ พระครูปริยตั ิธรรมาภิรม เป็ นตน้ ๕) พระสงฆท์ ่ีเป็ นเปรียญใชค้ าวา่ “พระมหา” นาหน้าช่ือและนามสกุล พรอ้ ม ท้งั นามฉายา และจะบอกเปรียญธรรมเท่าประโยคท่ีสอบไล่ไดด้ ว้ ยก็ได้ เช่น พระมหำสมปอง ตาลปุตฺโต พระมหำสุพจน์ สุเขสิโน ๖) พระสงฆต์ าแหน่งต่าง ๆ ก็มีสามานยนามนาหน้าช่ือแตกต่างกนั ออกไปตาม ตาแหน่ง เช่น พระอธิการพรมปัญญาวโร (สาล)ี พระสมุหอ์ ิ่ม อาบเอม(เปมงฺกโร) เป็ นตน้ ๗) พระอนุจร ใช้คาว่า “พระ” นาหน้าชื่อ นามสกุล และนามฉายา เช่น พระผิน เกิดชอบ (ญาณทีโป น.ธ. เอก) ๘) สามเณร ใชค้ าว่า “สามเณร” นาหน้าชื่อ จะลงฉายาวุฒิเปรียญหรือ นักธรรม หรือลงท้งั สองประการก็ได้ เช่น สำมเณรศกั ทาวุฒ โคตรชมภู (น.ธ. ตรี) สำมเณรใจดี ใส สะอาด (ป.ธ. ๔, น.ธ. เอก) เป็ นตน้ ๙) ราชตระกูล ต้งั แต่ หม่อมหลวง หม่อมราชวงศ์ หม่อมเจา้ ข้ ึนไปถึง เจา้ ฟ้า ท่ีทรงอุปสมบทหรือบรรพชา เรียกพระยศในราชตระกูลนาหนา้ ฉายาดว้ ย เช่น หม่อมรำชวงศพ์ ระช่ือ สุจิตฺโต หม่อมเจำ้ สามเณรเพลารถ ทูลกระหม่อมพระประชาธิปกศักด์ิเดชน์ พระเจำ้ นอ้ งยำเธอ พระองคเ์ จำ้ พระมนุษยนาคมานพ เป็ นตน้ คาที่ใชส้ าหรบั ขนุ นางและสุภาพชน วิสามานยนามหรือช่ือของบุคคลช้นั น้ ี ก็ตอ้ งมีสามานยนามนาชื่อเช่นเดียวกับช้นั อ่ืน และมอี ยู่ ๒ อยา่ ง คือสามานยนามบอกยศ กบั สามานยนามบอกคานาชื่อ ซึ่งกล่าวตามลาดบั ดงั น้ ี ๑) สามานยนามบอกยศ ใชท้ ัว่ ไปกับขุนนางและบุคคลทัว่ ไปที่มียศ ซ่ึงใน ปัจจุบนั น้ ีมีเพียงยศทหารกบั ตารวจ สว่ นยศของขา้ ราชการพลเรือนในปัจจุบนั ไม่มีแลว้ ซึ่งครูขอยกเอายศ ของขา้ ราชการทหาร ตารวจ และพลเรือน(สมยั ก่อน) ยศสญั ญาบตั รมาอธิบายดงั น้ ี โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษำตอน ๑๑ ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศพั ท์ ยศฝ่ ายพลเรือน มี มหาอามาตยน์ ายก มหาอามาตย(์ ช้นั เอก ช้นั โท ช้นั ตรี)Mr. sakthawut อามาตย(์ ช้นั เอก ช้นั โท ช้นั ตรี) รองอามาตย(์ ช้นั เอก ช้นั โท ช้นั ตรี) ในส่วนฝ่ ายราชสานักมียศต่างหาก แยกออกไป ท้งั แยกออกตามหนา้ ท่ีกรมกองอีก คือ มหาดเล็ก เป็ นจางวาง(ช้นั เอก ช้นั โท ช้นั ตรี) หวั หม่ืน รองหวั หมื่น จา่ หุม้ แพร รองหุม้ แพร มหาดเล็กวิเศษ ตารวจหลวง เป็ นพระตารวจ(ชน้ั เอก ชน้ั โท ชน้ั ตรี) ๑ ขุนตารวจ(ช้นั เอก ชน้ั โท ชน้ั ตรี) ในยุคหลงั จึงเป็ น มหาเสวก เสวก และรองเสวก ท้งั หมด ๒) สามานยนามที่เป็ นคานาชื่อ ไดแ้ ก่ บรรดาศักด์ิ กบั คาที่กฎหมายเรียกว่า “คานานาม” จะพดู กอ่ น เด็กชายท่ีมีอายุ ๑๕ ปี ลงมา ไม่ใช่ผูท้ ี่เนื่องในพระราชวงศ์ ใชค้ านาหน้าช่ือ พรอ้ มกบั นามสกุลวา่ “เด็กชาย” เช่น เด็กชำยพรอ้ มบุญ บุญพรอ้ ม เดก็ ชำยอรุณ จงเจริญ เป็ นตน้ ชายที่มีอายุเกิน ๑๕ ปี ข้ ึนไป ไม่ใช่ผูท้ ่ีเน่ืองในพระราชวงศ์ ใชค้ านาหน้าชื่อ พรอ้ มกบั นามสกุลวา่ “นาย” เชน่ นำยพิชยั งามนอ้ ย นำยยงยุทธ เจริญใจ เป็ นตน้ หญิงโสดที่มีอายุ ๑๕ ลงมา ไมใ่ ชผ่ ูท้ ี่เนื่องในพระราชวงศ์ ใชค้ านาหนา้ ช่ือพรอ้ ม กบั นามสกุลวา่ “เด็กหญิง” เช่น เดก็ หญิงแกว้ ตา ดวงใจ เด็กหญงิ อนงค์ ชาญณรงค์ เป็ นตน้ หญิงโสดที่มอี ายุ ๑๕ ข้ นึ ไมใ่ ชผ่ ูท้ ี่เน่ืองในพระราชวงศ์ ใชค้ านาหนา้ ชื่อพรอ้ มกบั นามสกุลวา่ “นางสาว” เชน่ นำงสำววารุณี ศรีวิไล นำงสำวนิติพร รอบรู้ เป็ นตน้ หญิงที่สมรสแล้ว ไม่ใช่ผู้ท่ีเนื่องในพระราชวงศ์ ใชค้ านาหน้าชื่อพรอ้ มกับ นามสกุลวา่ “นาง” เช่น นำงสมยั กาลดี นำงใบบวั สอนดี เป็ นตน้ บรรดาศกั ด์ิโบราณที่เป็ นสามานยนามนาหนา้ ชื่อ ท่ีนักเรียนควรทราบมีดงั น้ ี “สมเด็จเจา้ พระยา” เช่น สมเด็จเจำ้ พระยำดารงราชานุภาพ เป็ นตน้ “เจา้ พระยา” เช่น เจำ้ พระยำศรีธรรมมาโศกราช เป็ นตน้ “พระยา” เช่น พระยำพิชยั ดาบหกั เป็ นตน้ “เจา้ หมน่ื ” เช่น เจำ้ หม่ืนไวยวรนาถ เป็ นตน้ “หมอ่ ม” เช่น หม่อมราโชทยั เป็ นตน้ “จมนื่ ” เช่น จม่ืนศรีสรรกั ษ์ เป็ นตน้ “หลวง” เชน่ หลวงสรศกั ด์ิมนตรี เป็ นตน้ “นาย” เช่น นำยวรกิจบรรหาร เป็ นตน้ “ขุน” เช่น ขุนสุนทรวิจิตร เป็ นตน้ “จ่า” เชน่ จำ่ ผลาญอริพิษ เป็ นตน้ “หมืน่ ” เช่น หม่ืนพากยฉ์ นั ทวจั น์ เป็ นตน้ “พนั ” เช่น พนั บุตรศรีเทพ เป็ นตน้ ๑ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ดารงพระยศ “สมเด็จพระตารวจ” โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวิชำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษำตอน ๑๒ ปลำย เรือ่ ง คำรำชำศัพท์ บรรดาศกั ด์ิฝ่ ายสตั รี มีสามานยนามนาหน้าชื่อท่ีต่างจากสามญั ชน ที่นักเรียนMr. sakthawut ควรทราบมีดงั น้ ี “ท่านผูห้ ญิง” ภรรยาเอกของ “เจา้ พระยา” สมยั ก่อน จะนิยมใชค้ านาหน้าชื่อ เป็ น “ท่านผูห้ ญิง” และตามดว้ ยราชทินนามเจา้ พระยาที่เป็ นสามี เช่น ท่ำนผูห้ ญิงมหาเสนา เป็ นตน้ หากเจา้ พระยาผูเ้ ป็ นสามีเสียชีวิต จะลงชื่อตวั เพิ่มลงหนา้ ราชทินนามดว้ ย เช่น ท่ำนผูห้ ญิงตลบั ยมราช เป็ นต้น และใช้กับสตรีท่ีไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่หม่อมห้ามของเจ้านาย เป็ นผู้ได้รับพระราชทาน เคร่ืองราชอิสริยาภรณจ์ ุลจอมเกลา้ ฝ่ ายใน ชน้ั ทุติยจุลจอมเกลา้ วเิ ศษ ข้ นึ ไป ผูเ้ ป็ น “หมอ่ มราชวงศ”์ และ “หม่อมหลวง” เมื่อไดเ้ ป็ นท่านผูห้ ญิงแลว้ ใหใ้ ชค้ าว่า “ท่านผูห้ ญิง” นาหน้าชื่อแทน เช่น หม่อมหลวง มณีรตั น์ บุญนาค เปลี่ยนเป็ น ท่ำนผหู้ ญงิ มณีรตั น์ บุญนาค เป็ นตน้ “คุณหญิง” ใชน้ าหน้าช่ือภรรยาของ “พระยา” และใชน้ าหน้าชื่อสตรีที่ไดร้ ับ พระราชทานเคร่ืองราชอิสริยาภรณจ์ ุลจอมเกลา้ ฝ่ ายใน ต้งั แต่ช้นั จตุตถจุลจอมเกลา้ ข้ ึนไปจนถึงช้นั ทุติย จุลจอมเกลา้ ผูท้ ี่เป็ น “หมอ่ มราชวงศ”์ หรือ “หมอ่ มหลวง” ใหใ้ ชค้ าขา้ งตน้ นาหนา้ ช่ือเหมือนเดิมไม่ตอ้ ง เปล่ียนเป็ น “คุณหญิง” นาหนา้ ช่ือ หรือเติมใส่ในคานาหนา้ ช่ือ “นาง” ใชน้ าหน้าชื่อภรรยาของผูม้ ีบรรดาศกั ด์ิตา่ กวา่ “พระยา” และไม่ไดเ้ ป็ น “หม่อมราชวงศ”์ หรือ “หมอ่ มหลวง”๒ ซึ่งคาวา่ “นาง” จะนาหนา้ ราชทินนามของสามเี ม่ือสามียงั มีชีวิต อยู่ แต่เมื่อสามีถึงแก่กรรมแลว้ ก็จะใหล้ งชื่อตวั ลงหนา้ ราชทินนามของสามี ทานองเดียวกบั “ท่านผูห้ ญิง” ส่วนผู้ที่เป็ น “หม่อมราชวงศ์” หรือ “หม่อมหลวง” ใหใ้ ชค้ าขา้ งตน้ นาหน้าช่ือเหมือนเดิมไม่ตอ้ ง เปล่ียนแปลง และตามดว้ ยราชทินนามของสามีตลอด “คุณ” ใชน้ าหน้าช่ือสตรีโสด ท่ีไม่ใช่ “หม่อราชวงศ์” หรือ “หม่อมหลวง” และไดร้ บั พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกลา้ ฝ่ ายใน ไม่ว่าช้นั ใดก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ เป็ นสมาชิกแห่งเคร่ืองราชอิสริยาภรณจ์ ุลจอมเกลา้ อยู่ เชน่ คณุ นงลกั ษณ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา เป็ นตน้ “ทา้ ว” เป็ นคานาหนา้ ช่ือขา้ ราชการฝ่ ายในตาแหน่งทา้ วนาง เช่น ทำ้ วศรีสุดา จนั ทร์ ทำ้ วศรีสจั จา เป็ นตน้ “หม่อม” เป็ นคานาหน้าช่ือสตรีสามัญชน ท่ีเป็ นหม่อมหา้ มของเจา้ นาย ใช้ นาหน้าชื่อตัวและชื่อราชสกุล เช่น หม่อมกอบแกว้ อาภาภร ณ อยุธยา เป็ นตน้ ผู้ท่ีเป็ น “หม่อม ราชวงศ์” หรือ “หม่อมหลวง” ใหใ้ ชค้ าขา้ งต้นนาหน้าชื่อเหมือนเดิมไม่ตอ้ งเปล่ียนเป็ น “หม่อม” นาหนา้ ชื่อ หรือเติมใส่ในคานาหนา้ ชื่อ เชน่ หม่อมหลวงสรอ้ ยระยา้ ยุคล เป็ นตน้ “เจา้ จอม” เป็ นคานาหน้าช่ือพระสนม ต่อทา้ ยดว้ ยคาท่ีบ่งบอกว่าเป็ นสนมใน รชั กาลใด เช่น เจำ้ จอมแส ในรชั กาลท่ี ๕ เป็ นตน้ “พระ” เป็ นคานาหน้าช่ือพระสนมในรัชกาลที่ ๖ เช่น พระสุจริตสุดา พระอิทราณี เป็ นตน้ ๕.๒.๒ วิสามานยานามท่ีเป็ นชื่อบุคคล อาจแบ่งไดเ้ ป็ น ๒ อยา่ ง คือ ช่ือตนเอง กบั ราช ทินนาม ๒ หมอ่ มราชวงศ์ และหมอ่ มหลวง จะไมม่ กี ารเขยี นยอ่ ดว้ ยวธิ ีใด ๆ ท้งั ส้ นิ โดย นายศกั ทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษำตอน ๑๓ ปลำย เรือ่ ง คำรำชำศัพท์ ๑) ช่ือตนเอง หรือนามเดิม ย่อมหมายรวมนามสกุลท่ีบุคคลใชต้ ามกฎหมาย ดว้ ย เช่น นที ดอนสง่า อาภรณ์ อ่วมชยั เจริญ เป็ นตน้ ซึ่งเมื่อเติมคานาหนา้ ช่ือเป็ น นาย นางสาว และ นางแลว้ ก็ถือวา่ เป็ นวิสามานยนามราชาศพั ทท์ ี่ถูกตอ้ งสมบรู ณ์ เช่น นายนที ดอนสง่า นางสาวอาภรณ์ อว่ มเจริญชยั เป็ นตน้ ๒) ราชทินนาม คือนามท่ีไดร้ ับพระราชทานพรอ้ มกับอิสริยยศ๓ สมณศักด์ิ๔ และบรรดาศกั ด์ิ๕ นามที่บุคคลไดร้ บั พระราชทานน้ ีถือเป็ น “ราชทินนาม” ท้งั ส้ ิน เชน่ ไชยาศรีสุริโยภาส (เจา้ นาย) อุบาลีคุณูปมาจารย์ (พระสงฆ)์ พหลพลพยุหเสนา (ขุนนาง) เมื่อประกอบสามนยนาม เขา้ ขา้ งหนา้ ตามระเบียบแลว้ จะเป็ นวิสามานยนามราชาศพั ทท์ ่ีสมบรู ณ์ ดงั น้ ี พระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอ กรม หม่นื ไชยาศรีสุริโยภาส พระอุบาลี คุณูปมาจารย์ พนั เอก พระยำพหลพลพยุหเสนา เป็ นตน้ ๕.๒.๓ ลกั ษณะนาม ที่ตอ้ งใชต้ ามราชาศพั ทม์ อี ยู่ ๒ ชน้ั คือช้นั พระราชา และชน้ั เจา้ นาย ซ่ึงมกี ารเปลี่ยนแปลงคาสามญั ใหเ้ ป็ นราชาศพั ท์ ดงั น้ ี ๑) พระมหากษัตริย์ และเจา้ นายช้นั สูงใชล้ กั ษณะนามราชาศพั ทว์ า่ “พระองค”์ เช่น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ท้งั สองพระองค์ ทรงเป็ นนักพฒั นาที่แทจ้ ริง เป็ นตน้ ๒) เจา้ นายช้นั รองลงมาใหใ้ ชล้ กั ษณะนามราชาศพั ทว์ ่า “องค”์ เช่น หม่อมเจา้ ท้งั สององค์ เป็ นตน้ Mr. sakthawut ๓) ร่างกาย เคร่ืองเสวย เครื่องใชส้ อย ของพระมหากษัตริยแ์ ละของเจา้ นาย ใหใ้ ชล้ กั ษณะนามราชาศพั ทว์ ่า “องค”์ เช่น พระทนต์ ๒ องค์ เสวยไดห้ ลายองค์ พระแสงปื น ๑๐ องค์ เป็ นตน้ ลกั ษณะนำม หรอื สงั ขยำ๖ ตำรำงที่ ๔.๒ ตารางอกั รานุกรมปลายบทสงั ขยา ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งสิ่งที่ใชก้ บั คำน้นั ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งสิ่งท่ีใชก้ บั คำน้นั อกั ษร ก กระบอกน้า, ปื น, ขา้ วหลาม กระบวน แห่ กระบอก เทศน์ กลกั ไมข้ ดี ไฟ กณั ฑ์ ดา้ ยกลุ่ม, ป่ านกลุ่ม กอ กอไผ่, กอหญา้ กลุ่ม กองทหาร, กองอิฐ, กองทราย กอ้ น กอ้ นดิน, กอ้ นอิฐ, กอ้ นศิลา, กอง ผกั กา, พลกู า กอ้ นขา้ วตู กา ๓ ราชบณั ฑิตยาสถาน (๒๕๕๖ : ๑๔๑๗) ไดอ้ ธิบายความหมายของ อิสริยยศ ไวว้ ่า ยศที่พระมหากษัตริยท์ รงสถาปนา เจา้ นายใหส้ ูงข้ ึน เนื่องจากไดป้ ฏิบตั ิราชการแผ่นดิน มีความดีความชอบ เชน่ สถาปนาพระองคเ์ จา้ ข้ ึนเป็ นเจา้ ฟ้า สถาปนาหมอ่ มเจา้ ข้ ึนเป็ นพระองคเ์ จา้ , ยศอนั ยง่ิ ใหญ่ที่สามญั ชนไดร้ บั สถาปนาข้ ึนเป็ นเจา้ ๔ ราชบณั ฑิตยาสถาน (๒๕๕๖ : ๑๑๖๗) ไดอ้ ธิบายความหมายของ สมณศกั ด์ิ ไวว้ ่า ยศพระสงฆท์ ่ีไดร้ ับพระราชทานมี หลายช้นั แต่ละช้นั มีพดั ยศเป็ นเครื่องกาหนด ๕ ราชบัณฑิตยาสถาน (๒๕๕๖ : ๖๕๑) ไดอ้ ธิบายความหมายของ บรรดาศักด์ิ ไวว้ ่า ฐานันดรศักด์ิที่พระราชทานแก่ ขา้ ราชการหรือบุคคลทวั่ ไป แบ่งออกเป็ น เจา้ พระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น พนั และทนาย โดยมีราชทินนามต่อทา้ ย เช่น เจา้ พระยายมราช พระยาพลเทพ. ๖ วทิ ยา งามวเิ ศษ (ม.ป.ป. : ๑๒๓) ใหค้ วามหมายของ สงั ขยา ไวว้ า่ คาทา้ ยคาของการนับจานวนสง่ิ ตา่ ง ๆ โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษำตอน ๑๔ ปลำย เรอ่ื ง คำรำชำศพั ท์ ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งสิ่งที่ใชก้ บั คำน้นั ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งส่ิงท่ีใชก้ บั คำน้นั อกั ษร ก กุลี ผา้ นุ่ง, ผา้ ขาวมา้ , ผา้ โสร่ง(ผา้ กุ กงิ่ กงิ่ ไม,้ งาชา้ ง หนึ่งเท่ากบั ผา้ ประเภทเดียวกนั เกล็ด พิมเสน, เกล็ดปลา, เกล็ดกระ อกั ษร ข รวมกนั เป็ นห่อหนึ่ง มจี านวน ขด ๒๐ ผืน) ขบวน ขวด เชอื กขด, ขดลวด, หวายขด ขนัด สวน เขด็ แห่ ขนาน ยารกั ษาโรค โขลง ขวดชนิดต่าง ๆ ขอน ใชก้ ับส่ิงหนึ่งหรือขา้ งหนึ่งของ อกั ษร ค ดา้ ย (ชนิดท่ีเป็ นขด) ของท่ีเป็ นคู่ เช่น กาไล ๑ ขอน คน ชา้ ง เป็ นตน้ , สงั ข,์ ท่อนไมผ้ ุ คมั ภีร์ คู่ คน คนั ร่ม, ฉตั ร, รถ, คนั กระสุน, หนา้ หนังสือคมั ภีร์ คา ไม,้ แรว้ , คนั ชงั่ , คนเบด็ อกั ษร ง ใชก้ บั ของสองส่ิงท่ีคู่กนั จาพวก เครือ หมากพลูคา, คาพูด, คาขา้ ว, งาน เดียวกัน เช่น ชอ้ นสอ้ ม กาไล คากลอน๗ ตะเกียบ เป็ นตน้ และคาว่า ๘ อกั ษร จ ควรใชค้ าวา่ ๔ คู่ กลว้ ย จนั่ จบี ท่ีดิน (พ้ ืนที่ ๑ งาน = ๑๐๐Mr. sakthawut ตารางวา) อกั ษร ฉ ฉบบั จนั่ หมาก, จนั่ มะพรา้ ว จบั ขนมจีน พลูจบี จุก หอมแดง, กระเทียม (ที่มัดใน อกั ษร ช ลกั ษณะมดั รวมกนั เป็ นจุก ๆ) ช่อ ชุด หนังสือท่ีเป็ นแผ่น ฉาก ส่ิงท่ีก้นั บงั ที่เรียกว่าฉาก การ เล่นต่าง ๆ ที่แสดงประกอบกบั อกั ษร ซ ฉาก และเปล่ียนฉากเป็ นตอน ซอ ๆ ไป เชน่ ตลก ๖ ฉาก ซ่ี ช่อดอกไม,้ ดอกมะม่วง ช้ ิน ช้ นิ เน้ ือ, ช้ ินผา้ ของท่ีรวมกันเป็ นชุด เช่น ถว้ ย เชือก ชา้ ง ชา ๑ ชุด เป็ นตน้ , การละเล่น ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนการแสดงเป็ น ชุด ๆ เชน่ ละคร ๒ ชุด เป็ นตน้ ตอไมไ้ ผ่ ซอง ส่ิงท่ีทาข้ ึนเป็ นซอง ส่ิงท่ีบรรจุ ฟัน๘, ซี่กรง, ซี่โครง รวมอยู่ในซองด้วย เช่น พลู จดหมาย บหุ รี่ เป็ นตน้ ๗ กลอน ๒ วรรค = ๑ คากลอน ๘ ฟัน ในราชาศพั ทใ์ ชค้ าวา่ พระทนต์ ลกั ษณะนามราชาศพั ทใ์ ชค้ าวา่ องค์ แทนซ่ี โดย นายศกั ทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับชน้ั มัธยมศึกษำตอน ๑๕ ปลำย เรือ่ ง คำรำชำศพั ท์ ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งส่ิงท่ีใชก้ บั คำน้นั ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งสิ่งที่ใชก้ บั คำน้นั อกั ษร ด ดวง ไฟ, ดา ว, ดวงตรา , โคม , ดอก ดอกไม,้ ธูป, ดอกไมไ้ ฟ ตะเกียง ดุน้ ดุน้ ฟืน ดา้ ม ดา้ มปากกา อกั ษร ต ตน อมนุษย์ เช่น ยักษ์ ฤๅษี อสูร ตน้ เสา, ตน้ ไม,้ ซุง เป็ นตน้ ตบั ใบจากที่เยบ็ เป็ นตบั ใชส้ าหรบั ตลบั สิ่งที่ทาข้ ึนเป็ นตลับ, ส่ิงท่ีบรรจุ มุงหลงั คา, พลูทเ่ี รียงกนั เป็ น รวมอยู่ในตลับ เช่น ข้ ีผ้ ึง ตลับ ตบั แป้ง เป็ นตน้ ไตร ผา้ ไตร (คาว่า “ตวั ” ในราชาศพั ทก์ า้ มใชก้ บั คาแสลงจานวนส่ิงของ แต่ใหบ้ อกช่อื สิ่งน้ันซ้า เช่น กางเกง ๑ กางเกง เส้ ือ ๑ เส้ ือ เป็ นตน้ อกั ษร ถ เถา เถาวัลย์, ตลับ(ใชก้ บั ส่ิงของท่ี แถบ แพรแถบ, ผา้ แถบ เป็ นเถา), ปิ่ นโต แถว คนหรือสัตว์หรือสิ่งของท่ีเรียง กนั เป็ นแนว เช่น แถวทหาร มด ท่ีเดินเป็ นแถว เป็ นตน้ อกั ษร ท Mr. sakthawut ทะลาย มะพรา้ ว, หมาก ท่อน ฟืน, ผา้ เท เหลา้ แท่ง ดินสอ, เงนิ , ทอง, ตะกวั่ อกั ษร น นัด๙ กระสุนปื น, พลุ, ยงิ ปื น นาย ผชู้ าย, ขา้ ราชการฝ่ ายหนา้ อกั ษร บ บท คาถา, โคลง, กลอน, ร่าย, บาท เป็ นส่วนหน่ึ งขอองบทแห่ง ฉนั ท,์ เพลง คาถา หรือคาประพันธ์ เช่น บาน หนา้ ต่าง, ประต,ู กระจก, ฉาก โคลง ๑ บาท กลอน ๒ บาท เป็ นตน้ , ใชแ้ สดงน้าหนัก เช่น ทองหนัก ๑ บาท เป็ นต้น, แสดงเวลา ๑ บาทเท่ากับ ๖ นาที (คาว่า “ใบ” ในราชาศพั ท์ หา้ มใชก้ บั คาแสดงจานวนต่าง ๆ แต่ใหบ้ อกชือ่ ส่ิวน้ันซ้า ๆ เชน่ จาน ๑ จาน ถว้ ย ๑ ถว้ ย เป็ นตน้ ) อกั ษร ป บน้ั มะขามเปี ยก, ป้ั นชงน้ าชา ปาก ปากกา, แห, อวน, สวิง, เปล, (ใชว้ า่ ป้าน กม็ ี) โพงพาง ปึ ก ข้ ผี ้ ึงปึ ก, น้าตาปึ ก, กระดาษปึ ก ป้ ื น เลื่อย ๙ พระราชปฏิสนั ถารแขกเมือง ตามโบราณ ก็เรียกวา่ ๓ นัด หรือ ๓ คร้งั หรือใชส้ านวนความวา่ ๓ ผดั ๓ นัด (กองบรรณาธิการเพอ่ื น เรียนเด็กไทย, ๒๕๕๑ : ๒๐๓) โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับช้นั มธั ยมศกึ ษำตอน ๑๖ ปลำย เรื่อง คำรำชำศพั ท์ ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งสิ่งที่ใชก้ บั คำน้นั ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งสิ่งท่ีใชก้ บั คำน้นั อกั ษร ผ ผล๑๐ ผลไมท้ ุกชนิด ผืน ผา้ , พรม, หนัง, เส่ือ ผูก หนังสือใบลาน แผง ยาแผง, เคร่ืองกาบงั ท่ีทาเป็ น แผ่น ก ร ะ ด า ษ , ก ร ะ ด า น , อิ ฐ , แผง ขา้ วเกรียบ, กระเบ้ ือง, กระจก อกั ษร ฝ ตดั ฝัก ฝงู ฝักถวั่ , ไขป่ ลา, ฝักมะขาม ฝา ฝาโถ, เปลือกหอย, ขนมครก อกั ษร พ ฝูงนก, ฝงู ปลา, ฝูงลิง, ฝงู โค พวง ม า ลั ย , ผ ล ไ ม้ห รื อ ข อ ง ที่ พบั ผา้ หรือกระดาษท่ีพบั ไว้ พู เช่ือมโยงกันอยู่เป็ นพวง เช่น แพ ส่ิงท่ีติดกันเป็ นแพ เช่น แพซุง อกั ษร ฟ พวงเงาะ พวงล้ ินจ่ี เป็ นตน้ ธูปเ ที ย นแ พ ข้า ว เ ม่า ท อด ฟอง พทู ุเรียน เป็ นตน้ อกั ษร ม ไข่เป็ ด, ไข่ไก่ ฟ่ อน ห ญ้า ห รื อ ต้น ข้า ว ท่ี เ อ า ม า มวน รวมกันเป็ นมัดท่ีมัดรวมกัน มดั จานวนมาก, ธนบตั ร เมล็ด บหุ รี่ มว้ นMr. sakthawut พรม, แพร อกั ษร ย ของท่ีมัดรวมกันไว้ เช่น ฟื น เมด็ เพชร, พลอย ยก เป็ นตน้ พนั ธุไ์ มต้ ่าง ๆ อกั ษร ร รวง ไมย้ ก, ชกมวย, เฆย่ี น, หนังสือ ยวง ยวงขนุน รปู ยก เรือน ขา้ วรวง, ขา้ วฟ่ างรวง ราง รางบรรทัด, กบ, ระนาด, โรง ภิกษุ, สามเณร, บาทหลวง, ลกู คิด อกั ษร ล ส่ิงท่ีเป็ นรปู เรียง ใบพลูท่ีซอ้ นกนั ลา นาฬกิ า ไร่ ท่ีดิน (๑ ไร่ = ๔๐๐ ตารางวา) เล่ม ละคร, หนัง, โขน อกั ษร ว รวั , โห่ ลา เรือ, ไมไ้ ผ่, ออ้ ย วง เข็ม, เกวียน, ไมก้ ลัด, หนังสือ เลา ขลุ่ย เย็บเป็ นเล่ม, พดั , พาย, แจว, ดาบ, กระป่ี , เสียม ฆอ้ ง, แหวน, วงเล่นตระกรอ้ , คณะดนตรี ๑๐ ไมใ่ ชค้ าวา่ “ลกู ” โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชน้ั มัธยมศึกษำตอน ๑๗ ปลำย เรื่อง คำรำชำศัพท์ ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งส่ิงที่ใชก้ บั คำน้นั ลกั ษณะนำม ตวั อยำ่ งส่ิงที่ใชก้ บั คำน้นั อกั ษร ส สาย สรอ้ ย, รัดประคด, ถนน, ว่าว, สารบั อา ห า ร ที่ จัด ไ ว้เ ป็ น ส า รับ , เขม็ ขดั เส้ ือผา้ ท่ีจดั ไวเ้ ป็ นสารบั เสน้ ขน, ผม, ไหม, ดา้ ย, เชอื ก อกั ษร ห หมู่ คนหรือส่ิงของท่ีรวมกันเป็ น หลงั เรือน, เรือนแพ, มุง้ , ตึก, บา้ น คณะ เช่น หมู่ทหาร โต๊ะหมู่ หวั เผือก, กลอย, มนั เป็ นตน้ แหนบ แหนบรถ, ใบตองที่มว้ นพับไว้ หวี กลว้ ยที่ยังเรียงติดกันเรียกว่า ในลักษณะเป็ นแหนบ, แหนบ เรียงหวี ถอนหนวด ห่า ฝนตก อกั ษร อ องค์ พระพุทธรูป, เทวดา, เทวรูป, หมอ่ มเจา้ , เจดีย์ (ต้งั แต่พระองคเ์ จาข้ ึนไปใช้ พระองค์ พระราชามพี ระราชดารัสก่ีคา ก็ใชค้ าวา่ มพี ระราชดารสั เท่าน้ันองค์ เสวยก่ีคาใชว้ า่ เสวยกีอ่ งค์ พระ บรมรูปกีแ่ ผ่น ก็ใชว้ ่าพระบรมรูปก่ีองค์ คาว่า “อนั ” หา้ มใชต้ ่อทา้ ยคาที่แสดงจานวนสิ่งของต่าง ๆ โดยมากใหอ้ อกช่ือซ้า เช่น แปรง ๑ แปรง ไมบ้ รรทดั ๑ ไมบ้ รรทดั เป็ นตน้ ) ๕.๒ คาราชาศพั ทท์ ี่เป็ นคาสรรพนาม Mr. sakthawut คาสรรพนามที่จะตอ้ งเปลี่ยนแปลงตามราชาศพั ท์ มีเพียงบุรุษสรรพนามเพียงพวกเดียว และมีคาใชม้ ากสาหรบั บุคคลต่างชน้ั กนั ท่ีใชเ้ ป็ นแบบแผนมาแต่ก่อน มีดงั น้ ี ตำรำงท่ี ๔.๓ ตารางคาข้ ึนตน้ สรรพนาม คาลงทา้ ย ในหนังสือราชการ และคาที่ใชใ้ นการจ่าหน้าซอง (สวสั ดิการ สานักงานปลดั สานักนายกรฐั มนตรี, ๒๕๓๙ : ๖๓) ผรู้ บั หนงั สือ คำข้ ึนตน้ สรรพนำม คำลงทำ้ ย คำที่ใชใ้ นกำรจำ่ หนำ้ ซอง ๑. พระราชวงศ์ ขอเดชะฝ่ าละอองธุลี บุรุษท่ี ๒ ใตฝ้ ่ าละอองธุลี ควรมิควรแล้วแต่จะ ขอพระราชทาน ๑.๑ พระบาท พ ร ะ บ า ท ป ก เ ก ล้ า - พระบาท ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ทูลเกลา้ ทูลกระหม่อม ปกกระหม่อม บุรุษท่ี ๑ ขา้ พระพุทธเจา้ โปรดกระหม่อม ขอเดชะ ถวาย ขอเดชะ สมเด็จพระเจา้ อย่หู วั ขา้ พระพุทธเจา้ ......ล..ง..ช..่อื ...... ขา้ พระพุทธเจา้ (ออก บุรุษท่ี ๒ ใตฝ้ ่ าละอองธุลี (หรือจะเอาคาว่าขอเดชะ ขอพระราชทาน ๑.๒ สมเด็จพระ ช่ือเจ้าของหนังสือ) ขอ พระบาท ม า ไ ว้ท้า ย ชื่ อ เ จ้า ข อ ง ทูลเกลา้ ทูลกระหม่อม บรมราชินีนาถ พระราชทานพระบรมราช บรุ ุษท่ี ๑ ขา้ พระพุทธเจา้ หนังสือกไ็ ด)้ ถวาย ขอเดชะ วโรกาสกราบบงั คมทูลพระ กรุณาทราบฝ่ าละอองธุลี ค ว ร มิ ค ว ร แ ล้ว แ ต่ พระบาท จ ะ ท ร ง พ ร ะ ก รุ ณ า โ ป ร ด เ ก ล้า โ ป ร ด ก ร ะ ห ม่ อ ม ขอเดชะฝ่ าละอองธุลี ข อ เ ด ช ะ ข ้า พ ร ะ พุ ท ธ เ จ ้า พ ร ะ บ า ท ป ก เ ก ล้ า - ...ล...ง.ช..่ือ.... (หรือจะเอาคาว่า ปกกระหมอ่ ม ข อ เ ด ช ะ ม า ไ ว้ท้า ย ชื่ อ เจา้ ของหนังสือก็ได)้ ขา้ พระพุทธเจา้ (ออก ชื่ อ เ จ้ า ข อ ง ห นั ง สื อ ) ขอพระราชทานพระราช ว โ ร ก า ส ก ร า บ บั ง ค ม ทู ล ท ร า บ ฝ่ า ล ะ อ อ ง ธุ ลี พระบาท โดย นายศกั ทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวิชำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษำตอน ๑๘ ปลำย เรือ่ ง คำรำชำศัพท์ ผรู้ บั หนงั สือ คำข้ ึนตน้ Mr. sakthawut สรรพนำม คำลงทำ้ ย คำที่ใชใ้ นกำรจำ่ หนำ้ ขอพระราชทานกราบ ควรมิควรแล้วแต่จะ ซอง ๑.๓ สมเด็จพระ บงั คมทูล (ออกพระนาม) บุรุษที่ ๒ ใตฝ้ ่ าละอองพระ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ บรมราชินี , สมเด็จ ทราบฝ่ าละอองพระบาท บาท ขโ า้ ปพรระพดุทกธเรจา้ ะ....หล...ง.มช...อ่ื่ ..อ....ม. ขอพระราชทานกราบ พร ะ บร ม รา ชชนนี , บังคมทูล (ระบุพระ สม เ ด็ จ พระ ยุ พร า ช ขอพระราชทาน บุรุษท่ี ๑ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ควรมิควรแล้วแต่จะ นาม) ( ส ย า ม ม กุ ฎ ร า ช กราบทูล (ออกพระนาม) โปรดเกลา้ โปรดกระหม่อม กุมาร), สมเด็จพระ ทราบฝ่ าพระบาท บุรุษท่ี ๒ ใตฝ้ ่ าพระบาท ขา้ พระพทุ ธเจา้ ..ล...ง.ช...อ่ื ......... ขอพระราชทาน บรมราชกุมารี บุรุษท่ี ๑ ขา้ พระพุทธเจา้ กราบทูล (ระบุพระ ขอประทานกราบทูล ควรมิควรแล้วแต่จะ นาม) ๑ . ๔ ส ม เ ด็ จ (ออกพระนาม) ทราบฝ่ า บรุ ุษท่ี ๒ ใตฝ้ ่ าพระบาท โปรดเกลา้ โปรดกระหม่อม เจา้ ฟ้า พระบาท บุรุษที่ ๑ ขา้ พระพุทธเจา้ ขา้ พระพุทธเจา้ .....ล...ง.ช...ื่อ...... ขอประทานกราบ ทลู (ระบุพระนาม) ๑.๕ พระบรมวงศ์ กราบทูล (ออกพระ บุรุษที่ ๒ ฝ่ าพระบาท ควรมิควรแล้วแต่จะ ชน้ั พระองคเ์ จา้ นาม) ทราบฝ่ าพระบาท บรุ ุษที่ ๑ โปรด กราบทูล (ระบุ พระนาม) ๑ . ๖ พ ร ะ เ จ้า กราบทูล (ออกพระ - ชาย ควรมิควรแล้วแต่จะ วรวงศเ์ ธอ (ท่ีมิไดท้ รง นาม) ทราบฝ่ าพระบาท เกลา้ กระหม่อม โปรด ทู ล ( ร ะ บุ พ ร ะ กรม) พระอนุวงศ์ช้ัน - หญงิ นาม) พระวรวงศ์เธอ(ที่ทรง ทลู (ออกพระนาม) เกลา้ กระหมอ่ มฉนั แลว้ แต่จะโปรด กรม) บรุ ุษที่ ๒ ฝ่ าพระบาท ทู ล ( ร ะ บุ พ ร ะ ขอประทานกราบทูล บุรุษที่ ๑ ควรมิควรแล้วแต่จะ นาม) ๑.๗ พระอนุวงศ์ (ออกพระนาม) - ชาย โปรดเกลา้ โปรดกระหม่อม ชน้ั พระวรวงศ์เธอ (ที่ กระหม่อม ขอประทานกราบ มไิ ดท้ รงกรม) กราบทูล (ออกพระ - หญงิ ควรมิควรแล้วแต่จะ ทลู (ระบพุ ระนาม) นาม) หม่อมฉนั โปรด ๑.๘ พระอนุวงศ์ บุรุษท่ี ๒ ฝ่ าพระบาท กราบทูล (ระบุ ช้นั หมอ่ มเจา้ นมสั การ(ออกนาม) บุรุษท่ี ๑ ขอนมสั การดว้ ยความ พระนาม) - ชาย เคารพอย่างยงิ่ ๒. พระภิกษุ กระหมอ่ ม นมัสการ (ออก ๒ . ๑ ส ม เ ด็ จ - หญงิ นาม) หมอ่ มฉนั พระสงั ฆราชเจา้ ๒ . ๒ ส ม เ ด็ จ บรุ ุษที่ ๒ ใตฝ้ ่ าพระบาท บรุ ุษที่ ๑ ขา้ พระพทุ ธเจา้ พระสงั ฆราช บุรุษที่ ๒ ฝ่ าพระบาท บุรุษท่ี ๑ ๒ . ๓ ส ม เ ด็ จ พระราชาคณะ, รอง - ชาย สมเด็จพระราชาคณะ เกลา้ กระหม่อม - หญิง เกลา้ กระหม่อมฉนั บุรุษท่ี ๑ พระคุณเจา้ บุรุษท่ี ๒ กระผม – ดิฉนั โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวิชำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษำตอน ๑๙ ปลำย เรื่อง คำรำชำศพั ท์ ผรู้ บั หนงั สือ คำข้ ึนตน้ สรรพนำม คำลงทำ้ ย คำที่ใชใ้ นกำรจำ่ หนำ้ ซอง ๒.๔ พร ะร าชา นมสั การ(ออกนาม) บรุ ุษที่ ๑ พระคุณเจา้ ขอนมสั การดว้ ยความ นมัสการ (ออก คณะ บุรุษท่ี ๒ กระผม – ดิฉนั เคารพอยา่ งสูง นาม) ๒ .๕ พ ร ะ ภิ ก ษุ นมสั การ(ออกนาม) บรุ ุษที่ ๑ ท่าน ขอนมสั การดว้ ยความ นมัสการ (ออก สงฆท์ วั่ ไป บุรุษท่ี ๒ ผม – ดิฉนั เคารพ นาม) ๓. บคุ คลธรรมดา ๓ . ๑ ป ร ะ ธ า น กราบเรียน บุรุษที่ ๑ ขา้ พเจา้ , กระผม, ขอแสดงความนับถือ กราบเรียน องคมนตรี, นายก - ผม, ดิฉนั อยา่ งย่งิ รัฐมนตรี, ประธาน บรุ ุษท่ี ๒ ท่าน รัฐสภา, ประธานสภา ผู้ แ ท น ร า ษ ฎ ร , ป ร ะ ธ า น วุ ฒิ ส ภ า , ประธาน ศาลฎีกา , รฐั บรุ ุษ ๓ . ๒ บุ ค ค ล เรียน บรุ ุษที่ ๑ ขา้ พเจา้ , กระผม, ขอแสดงความนับถือ เรียน ธรรมดา นอกจาก ๓.๑ ผม, ดิฉนั บุรุษที่ ๒ ท่าน หมายเหตุ ๑) ผทู้ ี่เชิญกระแสพระบรมราชโองการไปยงั ผใู้ ด ไมต่ อ้ งใชค้ าลงทา้ ยในหนังสือ ๒) คาท่ีใชใ้ นหนังสือถึงพระราชวงศ์ และพระภิกษุ ตาม ๑ และ ๒ ใหใ้ ชค้ าราชาศัพท์ หรือถอ้ ยคาสุภาพ ซ่ึงเป็ นไปตาม ขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือตามที่ราชการกาหนดMr. sakthawut ๓) ในกรณีท่ีมีหนังสือถึงผูร้ ับระบุเฉพาะตาแหน่ง ใหใ้ ชค้ าข้ ึนตน้ สรรพนาม คาลงทา้ ยในหนังสือราชการและคาท่ีใชใ้ นการจ่า หนา้ ซอง ตามตาแหน่ง ตำรำงที่ ๔.๓ ตารางแสดงการใชค้ าราชาศพั ทท์ ี่เป็ นคาสรรพนาม สรรพนำม ผพู้ ดู ผฟู้ ัง หมำยเหตุ สรรพนำมบรุ ุษท่ี ๑ ขา้ พระพุทธเจา้ ผนู้ อ้ ยทวั่ ไป พระราชา, เจา้ นาชน้ั สงู เกลา้ กระหมอ่ มฉนั ผนู้ อ้ ยผหู้ ญงิ พระเจา้ วรวงศ์เธอ (ท่ีมิไดท้ รง กร ม ) พร ะ อนุ ว งศ์ช้ันพร ะ วรวงศเ์ ธอ(ที่ทรงกรม), สมเด็จ พระสงั ฆราช เกลา้ กระหม่อม ผนู้ อ้ ยผชู้ าย พระเจา้ วรวงศ์เธอ (ที่มิไดท้ รง กร ม ) พร ะ อนุ ว งศ์ช้ันพร ะ วรวงศเ์ ธอ(ท่ีทรงกรม), สมเด็จ พระสงั ฆราช กระหม่อม ผเู้ สมอกนั เจา้ นายผูเ้ สมอกนั หรือเจา้ นาย ชน้ั ผนู้ อ้ ย ผนู้ อ้ ยทวั่ ไป พระอนุวงศ์ช้นั พระวรวงศ์เธอ (ที่มิไดท้ รงกรม), พระอนุวงศ์ ช้นั หมอ่ มเจา้ เกลา้ กระผม ผนู้ อ้ ยทวั่ ไป ขุนนางชน้ั สงู โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษำตอน ๒๐ ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศพั ท์ สรรพนำม ผพู้ ดู ผฟู้ ัง หมำยเหตุ สรรพนำมบุรุษที่ ๑ เกลา้ ผม, กระผม ผนู้ อ้ ยทวั่ ไปMr. sakthawutส ม เ ด็ จ พ ร ะ ร า ช า ค ณ ะ ,สตรีมกั นาไปใช้ พระราชาคณะ, ขุนนางช้นั สูง, ปัจจุบนั เลิกใชแ้ ลว้ เกลา้ กระผม พระสงฆ์ ประธานองคมนตรี, นายก - กระผม พระสงฆ์ รัฐมนตรี, ประธานรัฐสภา, ปัจจุบนั ผชู้ ายนิยมใชค้ าว่า ผม ผม ขนุ นางช้นั ผใู้ หญ่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ใชใ้ นสมยั โบราณ ปัจจุบนั ไม่ ขนุ นาง ประธานวุฒสิ ภา, ประธานศาล นิยมใช้ ดีฉนั , ดิฉนั สุภาพชน ฎกี า, รฐั บรุ ุษ, สุภาพชน อีฉนั , อฉิ นั พระสงฆ์ สมเด็จพระราชาคณะ ฉนั เจา้ นาย พระราชาคณะ, พระเถระ อาตมาภาพ ขุนนางผใู้ หญ(่ ชาย) พระสงฆ์ ขา้ ผนู้ อ้ ย (หญงิ ) ขุนนางเสมอกัน, ผู้น้อยกว่า ขา้ , เรา๑๑ ผเู้ สมอกนั (หญิง) สุภาพชน ขา้ พเจา้ , ขา้ ฯ ผใู้ หญ่ พระสงฆด์ ว้ ยกนั สรรพนำมบุรุษที่ ๒ ผเู้ สมอกนั ผนู้ อ้ ยที่ยกย่อง ใตฝ้ ่ าละอองธุลีพระบาท พระสงฆ์ พระสงฆผ์ นู้ อ้ ย ใตฝ้ ่ าละอองพระบาท ผนู้ อ้ ย ผใู้ หญท่ ่ีไม่ใช่เจา้ นาย ผเู้ สมอกนั ใตฝ้ ่ าพระบาท พระราชา, ผใู้ หญ่ ผนู้ อ้ ย ทุกช้นั ผเู้ สมอกนั ใชอ้ ยา่ งสุภาพกบั บุคคลทุกช้นั ผใู้ หญ่ ผนู้ อ้ ย ใชเ้ ป็ นกลาง ๆ ทวั่ ไป ผนู้ อ้ ย พระราชา, สมเด็จพระบรม ราชินีนาถ ผนู้ อ้ ย สมเด็จพระบรมราชินี, สมเด็จ พระบรมราชชนนี, สมเด็จพระ ยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี สมเด็จเจา้ ฟ้า, พระบรมวงศช์ ้นั พระองคเ์ จา้ ๑๑ ภาพท่ี ๔.๑ ภาพ QR Code แสดงตวั อยา่ งการใชเ้ จา้ ในพระบรมราโชวาท (ราชกิจจานุเบกษา, ๒๔๖๙ : ๒๕๙๘ – ๒๖๐๐) โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวิชำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับช้นั มธั ยมศึกษำตอน ๒๑ ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศัพท์ สรรพนำม ผพู้ ดู ผฟู้ ัง หมำยเหตุ สรรพนำมบุรุษที่ ๒ ฝ่ าพระบาท เจา้ นายที่เสมอกนั หรือผนู้ อ้ ย เจา้ นายช้นั รองลงมา กวา่ ฝ่ าบาท คนผนู้ อ้ ย พระเจา้ วรวงศ์เธอ (ที่มิไดท้ รง ท่าน กร ม ) พร ะ อนุ ว งศ์ช้ันพร ะ สมเดจ็ บรมบพิตรพระราช ผเู้ สมอกนั , ผนู้ อ้ ย ว ร ว ง ศ์ เ ธ อ ( ท่ี ท ร ง ก ร ม ) , สมภารเจา้ ๑๒, บรมบพิตร ผใู้ หญ่ พระอนุวงศ์ช้นั พระวรวงศ์เธอ พระราชสมภารเจา้ พระสงฆ์ (ท่ีมไิ ดท้ รงกรม) มหาบพติ ร หมอ่ มเจา้ หม่อมเจา้ บพติ ร๑๓ พระราชา เจา้ เมอื งหลวง พระเดชพระคุณ พระสงฆ์Mr. sakthawut พระราชาทวั่ ไป ใตเ้ ทา้ กรุณาเจา้ พระสงฆ์ สมเด็จพระบรมราชินี นาถ, ใตเ้ ทา้ กรุณา สมเด็จพระบรมราชินี, สมเด็จ ใตเ้ ทา้ พระสงฆ์ พระบรมราชชนนี, สมเด็จพระ เธอ พระสงฆ์ ยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), ผนู้ อ้ ย สมเด็จพระบรมราชกุมารี ผนู้ อ้ ย เจา้ นาย, ขนุ นางชน้ั สูง ผนู้ อ้ ย พระราชาคณะช้นั สูง, เจา้ นาย ผนู้ อ้ ย ชน้ั สูง ผใู้ หญ่ พระราชาคณะชน้ั สงู สมเด็จเจา้ พระยา สมเด็จพระราชาคณะ, ขุนนาง ช้นั สงู , สตรีบรรดาศกั ด์ิช้นั สูง พระราชาคณะ, ขุนนางผูใ้ หญ่ กว่า, สตรีบรรดาศกั ด์ิ ผนู้ อ้ ยท่ียกย่อง ๑๒ ภาพที่ ๔.๒ ภาพ QR Code แสดงตัวอยา่ งการใชค้ าราชาศัพทร์ ะหวา่ งสมเด็จพระสงั ฆราช กบั สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว (https://www.youtube.com /watch?v=goHEKrazHCg, สืบค้นเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๑) ๑๓ หากเป็ นการเขียนหนังสอื พระสงฆท์ ่านจะมีแบบใชส้ รรพนามบุรุษท่ี ๒ บพิตร ตามหลงั พระอิสริยศกั ด์ิของเจา้ นาย เชน่ สมเด็จพระราชภคินีบพิตร พระบรมวงศบ์ พิตร เป็ นตน้ โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวิชำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชัน้ มธั ยมศึกษำตอน ๒๒ ปลำย เรื่อง คำรำชำศพั ท์ สรรพนำม ผพู้ ดู ผฟู้ ัง หมำยเหตุ สรรพนำมบุรุษท่ี ๒ ผใู้ หญ่ ผนู้ อ้ ย เจา้ ๑๔ แก ผใู้ หญ่ ผนู้ อ้ ย ท่าน สุภาพชน สุภาพชน ปัจจุบนั ใช้ “คุณ” หล่อน ชายที่รกั หญิงท่ีรกั ปัจจุบันไม่นิยมใช้ มักพบใน วรรณกรรม สรรพนำม แทนบคุ คล บรุ ุษที่ ๓ พระองค์ พระราชา, เจา้ นายช้นั สงู พระ, ธ(ในคาประพนั ธ)์ พระราชา, เจา้ นายชน้ั สงู ท่าน เจา้ นาย, ขนุ นางชน้ั ผใู้ หญ่กวา่ , พระสงฆผ์ นู้ ับถือ, สุภาพชน เธอ ผทู้ ่ียกย่อง หล่อน ผหู้ ญิงที่เป็ นหญงิ สาว เขา ผเู้ สมอกนั , ผไู้ มส่ นิทสนมกนั แก คนแกท่ ่ีไม่ใช่ผนู้ ับถือ มนั สตั ว,์ ส่ิงของ ๕.๓ คาราชาศพั ทท์ ี่เป็ นคากริยา คากริยาท่ีใชเ้ ป็ นราชาศพั ท์ หมายถึง คาราชาศพั ท์ท่ีแสดงอาการ การกระทาต่าง ๆ ส่วนมาก Mr. sakthawut เป็ นคากริยาท่ีใชส้ าหรบั พระราชา เจา้ นาย พระสงฆ์ ซ่ึงมีลกั ษณะดงั น้ ี ๕.๓.๑ คากริยาท่ีเป็ นราชาศพั ทเ์ ฉพาะอยูแ่ ลว้ มคี วามแตกต่างจากคาสามญั ทวั่ ไป เชน่ ประทม, ผทม, บรรทม เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ นอน เสวย เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ กิน ผนวช เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ บวช ทอดพระเนตร เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ ด,ู แล, มอง, เห็น เสด็จ เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ ไป โปรด เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ รกั , ชอบ ประชวร เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ เจ็บ, ป่ วย ประทาน เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ ให้ สรง เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ ลา้ ง, อาบน้า กร้ ิว เป็ นคาราชาศพั ทห์ มายความวา่ โกรธเคือง ทรง เป็ นคาราชาศพั ทแ์ ปลความหมายไดม้ าก ซ่ึงแลว้ แต่นามขา้ งทา้ ยจะบง่ บอกความ เช่น ทรงรถ ทรงธรรม ทรงศีล ทรงเรือใบ เป็ นตน้ ๑๔ ภาพท่ี ๔.๓ ภาพ QR Code แสดงตัวอย่างการ ใชเ้ จา้ ในพระบรมราโชวาท (ราชกิจจานุเบกษา, ๒๔๖๙ : ๔๒๙๕ – ๔๒๙๘) โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษำตอน ๒๓ ปลำย เรอ่ื ง คำรำชำศัพท์ ๕.๓.๒ คากริยาท่ีใชค้ าว่า “ทรง” นาหน้าคากริยาธรรมดา เช่น ทรงฟัง ทรงหนังสือ ทรงรบั ทรงงาน เป็ นตน้ คาว่า “ทรง” จะไมน่ าหนา้ คากริยาที่เป็ นราชาศพั ทเ์ ฉพาะอยูแ่ ลว้ ตามขอ้ ๕.๓.๑ จะตอ้ งใชเ้ ฉพาะคากริยาที่เป็ นคาราชาศพั ทเ์ ฉพาะเท่าน้ัน ใหน้ ักเรียนวเิ คราะหค์ าต่อไปน้ ีวา่ คาใดผิด คาช้ ีแจง : ใหเ้ ขยี น ลงในของคาท่ีผิด และเขยี น ลงในของคาท่ีถูกตอ้ ง ทรงทอดพระเนตร ทรงเบ็ด ทรงประชวร ทรงตรสั ทรงฟัง ทรงกร้ ิว ๕.๓.๓ ใชค้ าว่า “ทรง” นาหน้านามราชาศพั ทห์ รือนามทวั่ ไปใหเ้ ป็ นกริยาวลีราชาศพั ท์ คือ ใหค้ าว่า “ทรง” ทาหน้าที่เป็ นสกรรมกริยา๑๕ และมีกรรมเป็ นคานามราชาศพั ท์และคานามทัว่ ไป ที่เรียกวา่ กริยาวลีน้ันเพราะ มกี ริยา มกี รรม แต่ไมม่ ีประธาน เชน่ ทรงฟุตบอล ทรง + ฟุตบอล(นามสามญั ) ทรงกรุณา ทรง + กรุณา(นามสามญั ) ทรงเมตตา ทรง + เมตตา(นามสามญั ) ทรงพระบงั คนเบา ทรง + พระบงั คนเบา(นามราชาศพั ท)์ ทรงพระเมตตา ทรง + พระเมตตา(นามราชาศพั ท)์ Mr. sakthawutทรงพระกรุณาทรง + พระกรุณา(นามราชาศพั ท)์ ทรงพระราชดาริ ทรง + พระราชดาริ(นามราชาศพั ท)์ ๕.๓.๔ “ทรงมี” หรือ “ทรงเป็ น” จะใชไ้ ดก้ ็ต่อเมื่อมีคานามสามญั หรือคากริยาสามญั ต่อทา้ ยเท่าน้ัน เช่น ทรงเป็ นอาจารย์ ทรงเป็ นพุทธมามกะ ทรงมีทุนสารอง เป็ นตน้ ส่วนคาวา่ “มี” หรือ “เป็ น” จะตอ้ งมีคานามราชาศพั ทห์ รือกริยาราชาศัพทต์ ่อทา้ ย เช่น ทรงพระมหากรุณาหรือมีพระมหา กรุณา มีพระราชเสาวนีย์ มพี ระบรมราชโองการ เป็ นตน้ ๕.๓.๕ ใชค้ าว่า “เสด็จ” นาหน้าคากริยาบางคาทานองเดียวกับการใชค้ าว่า “ทรง” นาหนา้ ความหมายหลกั จะอยทู่ ี่กริยาหลงั เช่น เสด็จพระราชดาเนิน๑๖ เสด็จไป เสด็จกลบั เสด็จประพาส เสด็จผ่านพิภพ เสด็จเถลิงถวลั ยราชสมบตั ิ เสด็จสวรรคต เป็ นตน้ คาว่า “เสด็จ” จะไม่ใชน้ าหน้านาม สามญั ๕.๓.๖ คากริยาท่ีหมายถึงวา่ “มีคาสงั่ ” ใหใ้ ชค้ าวา่ “มี” นาหนา้ คาราชาศพั ทท์ ่ีหมายถึง “คาสงั่ ” ตามช้นั บุคคล หลงั จากน้ันเติมคาวา่ “สงั่ ” ลงทา้ ย เวน้ แต่คาวา่ มีรบั สงั่ มคี าสงั่ ไมต่ อ้ งเติม เช่น มพี ระบรมราชโองการเหนือเกลา้ ฯ สงั่ มีพระราชโองการดารสั เหนือเกลา้ ฯ สงั่ เป็ นตน้ ๕.๓.๗ คาราชาศพั ทท์ ี่เป็ นคากริยาอนั บญั ญตั ิไวแ้ ยกตามช้นั บุคคล คาราชาศัพทท์ ี่เป็ น คากริยาจาพวกน้ ีนักเรียนจาเป็ นที่จะตอ้ งจดจา และสงั เกตดว้ ยตวั ของนักเรียนเอง ๑๕ สกรรมกริยา(กริยามกี รรม) หมายถึง กริยาที่ตอ้ งมกี รรมมารบั จงึ จะไดค้ วามสมบรู ณ์ (วเิ ชียร เกษประทุม, ๒๕๕๗ : ๔๔) ๑๖ ใชเ้ ฉพาะพระราชา, สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระบรมราชินี, สมเด็จพระบรมราชชนนี, สมเด็จพระยุพราช(สยาม มกุฎราชกุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี อาจใชว้ า่ เสด็จ ฯ ก็ได้ โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษำตอน ๒๔ ปลำย เรื่อง คำรำชำศพั ท์ ตำรำงท่ี ๔.๔ ตารางแสดงคาราชาศพั ทท์ ี่เป็ นคากริยาอนั บญั ญตั ิไวแ้ ยกตามช้นั บุคคล กริยำ คำรำชำศพั ท์ ช้นั บุคคล หมำยเหตุ ตาย สวรรคต, เสด็จสวรรคต พ ร ะ ร า ช า , ส ม เ ด็ จ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จ พระบรมราชินี, สมเด็จพระ บรมราชชนนี , สมเด็จพระ ยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี, พระ บรมวงศช์ ้นั สมเด็จเจา้ ฟ้าทีทรง พระเศวตฉตั ร ๗ ชน้ั ทิวงคต พระบรมวงศช์ น้ั สมเด็จเจา้ ฟ้าท่ี ไดร้ บั การเฉลิมพระยศพิเศษ ส้ ินพระชนม์ พระบรมวงศ์ช้ันสมเด็จเจา้ ฟ้า ลงมาจนถึงพระอนุ วงศ์ช้ัน พ ร ะ อ ง ค์ เ จ้ า , ส ม เ ด็ จ พ ร ะ สัง ฆ ร า ช เ จ้า , ส ม เ ด็ จ พระสงั ฆราช ถึงชีพิตกั ษัย, ส้ ินชพี ติ กั ษัย พระอนุวงศช์ ้นั หม่อมเจา้ ภาษาพดู คือ ส้ ินชีพ มรณภาพ พระสงฆ,์ สามเณร ถึงแกพ่ ริ าลยั เ จ้า ปร ะ เ ท ศ ร า ช , ส ม เ ด็ จ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดารงรา Mr. sakthawut เจา้ พระยา ชานุภาพทรงใชส้ าหรับเจา้ คุณ พระประยรู วงศ์ ถึงแกอ่ สญั กรรม เจา้ พระยา, นายกรัฐมนตรี, ควรใชแ้ ก่ผเู้ ทียบเท่าดว้ ย รฐั มนตรี, ประธานรฐั สภา ถึงแกอ่ นิจกรรม พระยา, ขา้ ราชการช้นั พเิ ศษ ควรใชแ้ ก่ผเู้ ทียบเท่าดว้ ย ถึงแก่กรรม ขุนน า งช้ันต่า กว่ า พร ะ ย า , สุภาพชน ลม้ อสูร, สตั วใ์ หญ่ ตาย สตั ว์ กนิ เสวย พ ร ะ ร า ช า , เ จ้ า น า ย , พระสงั ฆราช ชอบ, รกั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชา โปรดเกลา้ ฯ โปรด เจา้ นาย เดิน เสด็จพระราชดาเนิน พระราชา ทรงพระดาเนิน เจา้ นาย นอน เขา้ ท่ีพระบรรทม พระราชา บรรทม, ประทม, ผทม เจา้ นาย จาวดั พระสงฆ์ ป่ วย ทรงพระประชวร, ประชวร พระราชา, เจา้ นาย อาพาธ พระสงฆ์ รู้ ทราบฝ่ าละอองธุลีพระบาท พระราชา ทราบฝ่ าละอองพระบาท สมเด็จพระบรมราชินี นาถ, สมเด็จพระบรมราชินี, สมเด็จ พระบรมราชชนนี, สมเด็จพระ ยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี ทราบฝ่ าพระบาท เจา้ นายช้นั สงู โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวิชำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับชั้นมธั ยมศกึ ษำตอน ๒๕ ปลำย เรื่อง คำรำชำศัพท์ กริยำ คำรำชำศพั ท์ ช้นั บคุ คล หมำยเหตุ ทรงทราบ เจา้ นาย, พระสงั ฆราช ให้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชา พระราชทาน, พระราชทาน พระราชทาน สมเด็จพระบรมราชินี นาถ, สมเด็จพระบรมราชินี, สมเด็จ พระบรมราชชนนี, สมเด็จพระ ยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี ประทาน เจา้ นาย, พระสงั ฆราช เกดิ ทรงพระราชสมภพ พระราชา ทรงสมภพ, ทรงประสูติ เจา้ นาย ๕.๓.๘ คาราชาศพั ทท์ ่ีผูน้ อ้ ยท่ีจะตอ้ งใชแ้ กบ่ ุคคลช้นั ต่าง ๆ มีดงั น้ ี ตำรำงท่ี ๔.๕ ตารางแสดงคาราชาศพั ทท์ ่ีผนู้ อ้ ยท่ีจะตอ้ งใชแ้ กบ่ ุคคลช้นั ต่าง ๆ กริยำ คำรำชำศพั ท์ ชน้ั บุคคล ให้ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย (ของเล็ก) พระราชา, สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, นอ้ มเกลา้ ฯ ถวาย (ของใหญ)่ สมเด็จพระบรมราชนิ ี, สมเด็จพระบรมราช ถวาย (สิ่งท่ีเป็ นนามธรรม) ชนนี, สมเด็จพระยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี ถวาย เจา้ นาย, พระสงฆ์ Mr. sakthawut ขอ ขอพระราชทาน พระราชา, สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระบรมราชนิ ี, สมเด็จพระบรมราช ชนนี, สมเด็จพระยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี ขอประทาน เจา้ นาย, พระสงฆ์ ขอให้ ขอพระราชทานทูลเกลา้ ฯ ถวาย (ของ พระราชา, สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, เล็ก), ขอพระราชทานน้อมเกลา้ ฯ ถวาย สมเด็จพระบรมราชนิ ี, สมเด็จพระบรมราช ( ของให ญ่) , ขอพร ะ ร า ชท า นถ ว า ย ชนนี, สมเด็จพระยุพราช(สยามมกุฎราช (นามธรรม) กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี ขอประทานถวาย เจา้ นาย, พระสงั ฆราช ขอถวาย พระสงฆ์ ไหว้ ถวายบงั คม พระราชา, เจา้ นาย นมสั การ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ทา...ให้ เชน่ เขยี นให้ เป็ นตน้ รบั พระราชทาน...ฉลองพระเดชพระคุณ พระราชา, สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, เช่น รับพระราชทานเขียนฉลองพระเดช สมเด็จพระบรมราชินี, สมเด็จพระบรมราช พระคุณ เป็ นตน้ ชนนี, สมเด็จพระยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี บอก กราบบงั คมทูลพระกรุณา พระราชา กราบบงั คมทลู สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระ บรมราชินี, สมเด็จพระบรมราชชนนี, สมเด็จพระยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี, เจา้ นายชน้ั สูง กราบทลู เจา้ นายช้นั รองลงมา ทลู เจา้ นายผเู้ สมอกนั , เจา้ นายผนู้ อ้ ยกวา่ กราบเรียน ขนุ นางชน้ั สูง เรียน ขุนนางชน้ั รองลงมา โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษำตอน ๒๖ ปลำย เรอ่ื ง คำรำชำศัพท์ กริยำ คำรำชำศพั ท์ ชน้ั บุคคล บอก ถวายพระพร พระสงฆบ์ อกแก่พระราชา หรือเจา้ นาย เจริญพร พระสงฆบ์ อกกบั ขุนนาง ขอบใจ รูส้ ึกขอบพระมหากรุณาธิคุณเป็ นลน้ เกลา้ พระราชา, สมเด็จพระบรมราชินีนาถ, ฯ สมเด็จพระบรมราชนิ ี, สมเด็จพระบรมราช ชนนี, สมเด็จพระยุพราช(สยามมกุฎราช รูส้ ึกขอบพระเดชพระคุณเป็ นลน้ เกลา้ ฯ กุมาร), สมเด็จพระบรมราชกุมารี ขอบพระทยั เจา้ นายช้นั สูง รูส้ ึกขอบพระคุณ เจา้ นายผนู้ อ้ ย ขอบพระคุณ ขนุ นางช้นั สงู ขอบคุณ, ขอบใจ สุภาพชนผใู้ หญก่ ว่า สุภาพชนท่ีเสมอกนั ๕.๔ คาราชาศพั ทท์ ี่เป็ นคาวิเศษณ๑์ ๗ คาวิเศษณ์ท่ีจัดไดว้ ่าตอ้ งเปล่ียนแปลงใชจ้ ากคาสามญั ใหเ้ ป็ นราชาศัพท์ มีอยู่แต่คาวิเศษณ์ที่ แสดงคารบั เรียกวา่ ประติชญาวเิ ศษณ์ และมบี ญั ญตั ิการใชค้ าราชาศพั ทป์ ระเภทน้ ีตามช้นั บุคคล ดงั น้ ี ตำรำงท่ี ๔.๖ ตารางแสดงการบญั ญตั ิการใชค้ าราชาศพั ทป์ ระเภทประติชญาวเิ ศษณ์ ผใู้ ช้ คำรำชำศพั ท์Mr. sakthawut ใชส้ ำหรบั บุคคล พระสงฆ,์ สามเณร ขอถวายพระพร พระราชา, เจา้ นาย พระสงฆ,์ สามเณร เจริญพร ขุนนาง ผนู้ อ้ ย (ชาย) พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้า ข้า , ข อ รับ ใ ส่ เ ก ล้า ใ ส่ พระราชา กระหมอ่ ม ผนู้ อ้ ย (หญงิ ) พระพุทธเจา้ ขา้ ขอรบั ๑๘, พระพทุ ธเจา้ ขา้ เจา้ นายช้นั สูง หมอ่ มเจา้ ขุนนางเสมอกนั ขอรบั กระหม่อม, กระหม่อม สมเด็จเจา้ พระยา ขอรบั ใส่เกลา้ กระผม ขนุ นางชน้ั สงู ขอรบั กระผม ขนุ นางชน้ั รองมา ขอรบั ผม ขุนนาง, พระสงฆ,์ สุภาพชน ขอรบั , ครบั พระราชา เพคะใส่เกลา้ ใส่กระหม่อม เจา้ นายช้นั สงู เพคะ, กระหม่อม เจา้ นายช้นั รองลงมา เพคะ ขุนนาง, พระสงฆ,์ สุภาพชน เจา้ ค่ะ, ค่ะ ขุนนางเสมอกนั ๑๗ คาวิเศษณ์ หมายถึง คาที่ทาหน้าท่ีประกอบคาอ่ืนหรือขยายคาอื่น ไดแ้ ก่ คานาม คาสรรพนาม คากริยา และคาวิเศษณ์ เพ่อื บง่ ช้ ลี กั ษณะต่าง ๆ สถานท่ี ปริมาณ จานวน ฯลฯ (วเิ ชียร เกษประทุม, ๒๕๕๗ : ๔๘ ) ๑๘ ในทางปฏิบัติในปัจจุบนั คาน้ ีใชก้ บั พระมหากษัตริยด์ ว้ ย เช่น ใชใ้ นการกราบบังคมทูลรายงานตัวของทหาร เป็ นตน้ (กองบรรณาธิการเพือ่ นเรียนเด็กไทย, ๒๕๕๑ : ๓๐) ภาพที่ ๔.๔ ภาพ QR Code แสดงตวั อยา่ งการกราบบงั คมทูลรายงานของทหาร ซึ่งมีการใชค้ าวเิ ศษณท์ ี่เป็ นราชาศพั ท์ “พระพทุ ธเจา้ ขา้ ขอรบั ” (https://www.youtube.com/watch?v=๕๖๙txnqCRIM, สืบคน้ เม่ือวนั ที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๑) โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษำตอน ๒๗ ปลำย เรือ่ ง คำรำชำศพั ท์ ผใู้ ช้ คำรำชำศพั ท์ ใชส้ ำหรบั บคุ คล สุภาพชนเสมอกนั ขอรบั , ครบั สุภาพชน ผใู้ หญ่ จะ้ ผนู้ อ้ ย คนสามญั จะ้ คนสามญั ๕.๕ คาสุภาพ จากท่ีนักเรียนไดศ้ ึกษาเก่ียวกับการเปล่ียนคาสามญั ใหเ้ ป็ นคาราชาศัพท์ไปขา้ งตน้ แลว้ น้ัน มีคาอีกจาพวกหน่ึงท่ีนักเรียนควรที่เขา้ ใจและนาไปใชใ้ หถ้ ูกต้อง คาจาพวกน้ ีเรียกว่าคาสุภาพ ซ่ึงนักเรียนจะตอ้ งรจู้ กั หลกั การที่จะเปลี่ยนคาธรรมดาใหเ้ ป็ นคาสุภาพ ลกั ษณะของคาสุภาพมดี งั น้ ี ๕.๕.๑ ไม่ใชค้ าท่ีหยาบกระดา้ งอันแสดงถึงความไม่เคารพ เช่น การใชค้ าอุทาน เช่น หือ ! เออ ! โวย้ ! เป็ นตน้ รวมถึงการแสดงอวจั นภาษาในลกั ษณะ อนั ไดแ้ กพ่ ยกั หนา้ แทนการขานรบั สนั่ ศีรษะซา้ ยขวาแทนการปฏิเสธ เป็ นตน้ ๕.๕.๒ คาหยาบ เช่น คาวา่ อา้ ย หากตดั ออกไดก้ ็ตดั ออก เช่น อา้ ยบา้ เป็ น บา้ เป็ นตน้ ใชไ้ ดเ้ พียงแต่นาหนา้ ชื่อนักโทษหรือผูร้ า้ ยเท่าน้ัน คาว่า อี มกั ใชค้ าว่า นาง แทน เช่น อีแอ่น เป็ น นางแอ่น เป็ นตน้ หากตดั ออกไดก้ ็ตดั ออก เช่น อีกา เป็ น กา เป็ นตน้ ใชไ้ ดเ้ พียงแต่นาหนา้ ช่ือนักโทษหรือผูร้ า้ ยเท่าน้ัน คาวา่ ข้ ี เม่ือใชก้ บั คนจะใชค้ าแทนวา่ คูถ หรืออุจาระ เมอื่ ใชก้ บั สตั วจ์ ะใชค้ าแทนวา่ มลู Mr. sakthawut คาวา่ เยีย่ ว เมือ่ ใชก้ บั คนจะใชห้ รือสตั วจ์ ะใชค้ าแทนวา่ มตู ร หรือปัสสาวะ ๕.๕.๓ ไม่ใช้คาเปรียบเทียบกับของหยาบ หรือไม่ใช้คาสองแง่สองง่าม ๑๙ เช่น การใชค้ าว่า ปลาช่อน หรือ สากกะเบือ หรือขวด เปรียบกบั อวยั วะทางเพศของผูช้ าย การใชค้ าว่า หอย เปรียบกบั อวยั วะทางเพศของผูห้ ญิง การใชค้ าว่า ไข่ เปรียบกบั อวยั วะทางเพศของผูช้ าย เป็ นตน้ ดังน้ัน จึงมีการเล่ียงไปใชค้ าอื่นแทน เช่น ปลาช่อน ใชค้ าแทนว่า ปลาหาง สากกะเบือ ใชค้ าแทนว่า ไมต้ ีพริก เป็ น แต่ในบางคร้งั เล่ียงใชค้ าน้ันไม่ไดก้ ็จะนิยมต่อทา้ ยดว้ ยลกั ษณะหรือชื่อเฉพาะของสิ่ง เช่น หอยขม หอยโขง่ หอยนางรม ไขไ่ ก่ ไขเ่ ป็ น ไขน่ กกระจอกเทศ เป็ นตน้ ๕.๕.๔ ไม่ใชค้ าผวน คือคาบางคาเมอ่ื ผวนแลว้ จะเกิดเป็ นคาไม่สุภาพ เช่น ผักบุง้ ผวนก็ จะเป็ น พุ่งบกั เป็ นตน้ ดังน้ันจึงมีการเล่ียงไปใชค้ าอ่ืนแทน เช่น คาวา่ ผักบุง้ ใชค้ าแทนวา่ ผักทอดยอด คาวา่ แปดตวั ใชค้ าแทนวา่ ส่ีคู่ คาวา่ ควรดว้ ย ใชค้ าแทนวา่ สมควร หรือเห็นควร เป็ นตน้ ๑๙ สุกญั ญา ภทั ราชยั (๒๕๔๐ : ๑๐๐) ใหค้ านิยามคาวา่ “สองแงส่ องงา่ ม” หมายถึง การเล่ียงกล่าวถอ้ ยคาท่ีส่ือถึงอวยั วะ ทางเพศและพฤติกรรมทางเพศ โดยไมพ่ ดู ตรงไปตรงมาหรือเรียกวา่ “คาสงั วาสชนิดออ้ มหรือคาสงั วาสชนิดสองงา่ ม” โดย นายศักทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษำตอน ๒๘ ปลำย เรอ่ื ง คำรำชำศัพท์ ตำรำงท่ี ๔.๖ ตารางแสดงคาสภุ าพกบั คาสามญัMr. sakthawutคำสำมญั คำสภุ ำพ ควาย กลว้ ยกุ กระบือ กลว้ ยไข่ กลว้ ยส้นั ขนมข้ หี นู กลว้ ยเปลือกบาง กลว้ ยกระ ขนมใส่ไส้ ขนมดอกเหล็ก ขนมทราย ววั ขนมสอดไส้ เต่า โค ชา้ งสีดอ ( ชา้ งพลายมีงาส้นั ) จิตรจลู จิตรจลุ ปลิง ชา้ งนรการ ดอกสลิด ชลั ลุกะ ชลั ลุกา ดอกซ่อนชู้ ดอกขจร ดอกนมแมว ดอกซ่อนกล่ิน ดอกผกั บุง้ ดอกถนั วฬิ าร์ ดอกยห่ี ุบ ดอกทอดยอด ดอกผกั ตบ ดอกมณฑาขาว ดอกข้ เี หล็ก ดอกสามหาว ออกลูก ( ใชก้ บั สตั ว์ ) ดอกเหล็ก ตน้ เหงือกปลาหมอ ตกลูก ตน้ ทองกวาว ตน้ จะเกรง ตน้ พุงดอ ตน้ ปาริชาต ตน้ ปาริฉตั ร ตน้ ตาแย ตน้ หนามรอบขอ้ เถาหวั ลิง ตน้ อเนกคุณ เถาตดู หมู ตูดหมา เถาศีรษะวานร สตั วข์ ้ ี เถากะพงั ไหม ถวั่ งอก ถ่ายมลู เถาหมามยุ้ ถวั่ เพาะ อเี กง้ เถามยุ้ อีเล้ ิง นางเกง้ อีเหน็ นางเล้ ิง ปลาช่อน นางเห็น ปลาสลิด ปลาหาง ปลาไหล ปลาใบไม้ ปลารา้ ปลายาว ปลาล้ นิ หมา ปลามจั ฉะ หวั ปลี ปลาล้ ินสุนัข ผลข้ กี า ปลี กลว้ ย ลกู ตะลิงปลิง ผลลูกกา ลูกอนี ูน ผลมลู ละมงั่ ผลนางนูน ผกั สามหาว ผกั ตบ โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู ผกั ทอดยอด ผกั บุง้
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดับชัน้ มัธยมศึกษำตอน ๒๙ ปลำย เรอ่ื ง คำรำชำศพั ท์ คำสุภำพ คำสำมญั ผลอลุ ิด Mr. sakthawut ลกู แตงโม ผกั สามหาว ผกั ตบ ผกั ทอดยอด ผกั บุง้ ผกั รูน้ อน ผกั กระเฉด ผกั ไผ่ ผกั ไห่ ผกั ปลาบ ผกั นางร้ ิน ผกั อีร้ ิน ฟักเหลือง ฟักทอง มุสิกะ หนู มะเขอื เผา มะเขอื กะหาแพะ เยอื่ เคย กะปิ รากดิน ไสเ้ ดือน โรคกลาก ข้ กี ลาก โรคเกล้ ือน ข้ เี กล้ ือน โรคเร้ อื น ข้ เี ร้ ือน โรคเร้ อื นกุฎฐงั หหู นาตาเล่อ ลนั่ ทม (ลีลาวดี ) ดอกลนั่ ทม ศศะ กระต่าย ศิลา หนิ สุกร หมู สุนัข หมา เหด็ ปลวก เห็ดโคน หอยนางรม หอยอีรม ประจาเดือน ถึงผา้ ขนมจีน ขนมเสน้ นารจี าศีล กลว้ ยบวชชี จรกาลงสรง ถวั่ เขยี วตม้ โสเภณี หญิงงามเมอื ง คาต่าง ๆ ท่ีกาหนดเป็ นคาสุภาพดังกล่าวขา้ งตน้ น้ัน ใชเ้ ป็ นคาสุภาพที่สมควรกราบบังคมทูลพระหา กษัตริยม์ าแต่กอ่ น ปัจจบุ นั ไม่มีขนบนิยมนามาไปใชใ้ นการกราบบงั คมทูลอยา่ งเดิมแลว้ และมีผใู้ ชไ้ มม่ าก ชื่อตน้ ไม้ สตั ว์ สิ่งของ สถานท่ี ซ่ึงคนทวั่ ไปเรียกเป็ นท่ีนิยมและเขา้ ใจกนั ในปัจจุบนั ก็ใชก้ ราบบงั คมทูลได้ ยกเวน้ คาผวนและ คาหยาบ ไม่ควรใชใ้ นการกราบบงั คมทลู ๕.๖ หลกั การเพ็ดทูล๒๐ จากที่นักเรียนไดศ้ ึกษาทาความเขา้ ใจถึงหลกั การต่าง ๆ เก่ียวกบั คาราชาศพั ทแ์ ลว้ สุดทา้ ยครูจะ อธิบายหลกั การนาไปใช้ ซ่ึงเรียกวา่ เพ็ดทูล ซ่ึงในการกราบบงั คมทลู พระกรุณา เพ็ดทลู เจา้ นาย ตลอด จนถึงกราบเรียนบุคคลช้นั สูง นอกจากนักเรียนจะมีพ้ ืนฐานการใชค้ าราชศพั ทแ์ ลว้ นักเรียนจาเป็ นท่ี จะตอ้ งใชถ้ อ้ ยคาใหถ้ ูกตอ้ ง ดงั น้ ี ๒๐ ราชบณั ฑิตยาสถาน (๒๕๕๔ : ๘๔๕) ไดอ้ ธิบายความหมายของ เพ็ดทูล ไวว้ า่ พดู กบั เจา้ นาย, พดิ ทูล ก็วา่ โดย นายศกั ทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษำตอน ๓๐ ปลำย เรื่อง คำรำชำศัพท์ ๕.๖.๑ การใชค้ าสาหรบั พระราชาเมื่อจะกราบบงั คมทูลพระกรุณาโดยไมม่ พี ระราชดารสั ดว้ ยก่อน ตอ้ งข้ ึนคานาหนา้ วา่ “ขอเดชะฝ่ าละอองธุลีพระบาทปกเกลา้ ปกกระหมอ่ ม” แลว้ จึงดาเนินเรื่อง เมือ่ จบแลว้ ใหล้ งทา้ ยวา่ “ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหม่อม ขอเดชะ” ถา้ มีพระราชดารัสสัง่ ใหก้ ราบบังคมทูลรับว่า “พระพุทธเจา้ ขา้ ขอรับ รับใส่เกลา้ ใส่ กระหม่อม” แลว้ จึงดาเนินเร่ือง เมื่อจบแลว้ ใหล้ งทา้ ยว่า “ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม ขอเดชะ” แต่ถา้ เป็ น การด่วนใหด้ าเนินเสียก่อน แลว้ ลงทา้ ยว่า “พระพุทธเจา้ ขา้ ขอรับ รบั ใส่เกลา้ ใส่กระหม่อม หรือ”ดว้ ย เกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม ขอเดชะ” หรือ”ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม” ๕.๖.๒ เมื่อจะกล่าวถึงตนเองไดร้ บั ความสุขสบาย หรือพน้ ภยั ต่าง ๆ ใหข้ ้ ึนตน้ ว่า “ขอ เดชะพระบารมีปกเกลา้ ฯ” แลว้ จึงดาเนินเรื่อง ๕.๖.๓ เมื่อจาเป็ นตอ้ งกล่าวถึงคาหยาบ เช่น อุจาระ ปัสสาวะ เป็ นตน้ ตอ้ งข้ ึนตน้ ดว้ ยคา ราชาศพั ทท์ ี่มคี วามหมายวา่ ขอโทษ ทุกครง้ั ซ่ึงใชก้ บั บุคคลแต่ละช้นั ดงั น้ ี ๑) พระราชา ใช้ “ไมค่ วรจะกราบบงั คมทลู พระกรุณา” ๒) เจา้ นายชน้ั สูง ใช้ “ไมค่ วรจะกราบบงั คมทลู ” ๓) เจา้ นายชน้ั รองลงมา ใช้ “ไมค่ วรจะกราบทลู ” ๔) ขนุ นาง ใช้ “ไมค่ วรจะกราบเรียน” Mr. sakthawut๕) สุภาพชน ใช้ “ขอโทษ” ๕.๖.๔ เม่ือกล่าวถึงเรื่องที่ตนเองได้กระทาพลาดพล้ังลงไป หรือเกรงจะพลาดพล้ัง ในมารยาทของการพูดแลว้ ก็ตอ้ งแสดงความเสียใจ ตรงกบั ภาษาองั กฤษที่ใชค้ าว่า Sorry ในการแสดง ความเสียใจ ส่วนในการเพ็ดทูลพระราชา สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระ บรมราชชนนี สมเด็จพระยุพราช(สยามมกุฎราช กุมาร) และสมเด็จพระบรมราชกุมารีน้ัน ใหใ้ ชค้ าว่า “พระราชอาญา(อาชญา) เป็ นลน้ เกลา้ ฯ(ไม่พน้ เกลา้ ฯ)” ต่อทา้ ยเร่ือง ส่วนเจา้ นายช้นั สูง ใหใ้ ชค้ าว่า “พระอาญา(อาชญา) เป็ นลน้ เกลา้ ฯ(ไมพ่ น้ เกลา้ ฯ)” ๕.๖.๕ เม่ือกล่าวถึงเรื่องที่ตนเองไดร้ บั การอนุเคราะห์ ใหใ้ ชว้ ่า “พระมหากรุณาธิคุณ เป็ นลน้ เกลา้ ฯ” ต่อทา้ ยเร่ือง สาหรับกราบบงั คมทูลพระกรุณา และใหใ้ ชว้ ่า “พระเดชพระคุณเป็ น ลน้ เกลา้ ฯ” ต่อทา้ ยเรื่อง สาหรบั เจา้ นาย หรือจะใชค้ าน้ ีกบั พระมาหากษัตริยก์ ็ได้ คลงั คำรำชำศพั ทส์ ำหรบั นกั เรยี น หมวดเครือญำติ หมวดกริยำ หมวดเครือ่ งใช้ หมวดรำ่ งกำย หมวดอำหำร โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวิชำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษำตอน ๓๑ ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศพั ท์ Mr. sakthawut บนั ทกึ เพมิ่ เตมิ ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................. โดย นายศกั ทาวุฒ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรียนวิชำภำษำไทยพนื้ ฐำน ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษำตอน ๓๒ ปลำย เรอื่ ง คำรำชำศพั ท์ อำ้ งองิ Mr. sakthawutกองบรรณาธิการเพ่ือนเรียนเด็กไทย. คู่มือกำรใชแ้ ละควำมหมำยรำชำศัพท์ ฉบับสมบูรณ์ ครบทุกหมวด. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพเ์ พชรกะรตั จากดั , ๒๕๕๑. นริศรานุวดั ติวงศ,์ สมเด็จ ฯ เจา้ ฟ้า กรมพระยา. สำสน์ สมเด็จ เล่ม ๒๓ ฉบบั องคก์ ารการคา้ คุรุสภา พิมพจ์ าหน่าย. พระนคร : โรงพิมพค์ ุรุสภา, ๒๕๐๕. ปี ย์ มาลากุล, ม.ล. กิริยำมำรยำทและกำรใชถ้ อ้ ยคำในรำชสำนัก. พระนคร : โรงพิมพพ์ ระจนั ทร์, ๒๕๐๗. พระบรมราโชวาท พระราชทานแกค่ ณะลกู เสือในการสวนสนามถวายพระพรชยั ในการพระราชพิธี ฉตั ร มงคล วนั ท่ี ๒๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๔๖๙. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๓ วนั ท่ี ๖ มีนาคม ๒๔๖๙, หนา้ ๔๒๙๕ – ๔๒๙๘. พระบรมราโชวาท พระราชาทานแก่เสือที่ไดม้ าชุมนุมถวายไชยมงคล เนื่องในการเฉลิมพระชนมพ์ รรษา วนั ที่ ๔ มกราคม พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๘. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๒ วนั ที่ ๒๓ มกราคม ๒๔๕๘, หนา้ ๒๕๙๘ – ๒๖๐๐. แพรวโพยม บุณยะผลึก. “ภาษาฝรัง่ เศสในภาษาไทย.” วำรสำรอกั ษรศำสตร์ ปี ท่ี ๓๓ : ฉบับท่ี ๑ (มกราคม – มถิ ุนายน ๒๕๔๗) : ๑๔๔. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนำนุ กรม ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์คร้ังที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๕๖. วเิ ชียร เกษประทุม. หลกั ภำษำไทย. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ พ.ศ. พฒั นา, ๒๕๕๗. วทิ ยา งามวเิ ศษ. รำชำศพั ท.์ กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพภ์ ูมิปัญญา, ม.ป.ป. วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์. “ไทย + เขมร ไทยลุ่มน้าเจา้ พระยา.” ศิลปศำสตร์ ๑ ปี ท่ี ๔ : ฉบับที่ ๑ (มกราคม – มถิ ุนายน ๒๕๔๔) : ๓ – ๒๗. วิไลศักด์ิ กิ่งคา. ภำษำต่ำงประเทศในภำษำไทย. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, ๒๕๕๐. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ เทศนาพระราชพิธีถวายพระเพลิงรชั กาลท่ี ๙ (ออนไลน์). สืบคน้ จาก : https://www.youtube.com/watch?v=goHEKrazHCg [ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๑], ๒๕๖๐. สวสั ดิการสานักงานปลดั สานักนายกรฐั มนตรี. ระเบียบสำนักนำยกรฐั มนตรี ว่ำดว้ ยงำนสำรบรรณ พ.ศ. ๒๕๒๖ พรอ้ มภำคผนวกฉบบั แกไ้ ข พ.ศ. ๒๕๓๙ และคำอธบิ ำย. กรุงเทพมหานคร : สานักนายกรฐั มนตรี, ๒๕๓๙. สุกัญญา ภัทราชยั . เพลงปฏิพำกย์ : บทเพลงแห่งปฏิภำณของชำวบำ้ นไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๔๐. สานักราชบณั ฑิตยสภา. คอมพิวเตอร.์ (ออนไลน์.) แหล่งที่มา : http://www.royin.go.th. ๓ กนั ยายน ๒๕๖๑, ๒๕๕๐. โดย นายศกั ทาวฒุ โคตรชมภู
เอกสำรประกอบกำรเรยี นวชิ ำภำษำไทยพน้ื ฐำน ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษำตอน ๓๓ ปลำย เร่อื ง คำรำชำศัพท์ อุปกิตศิลปะสาร, พระยา. วจวี ิภำค. พระนคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๔๙๓. _______________. หลกั ภำษำไทย. กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพไ์ ทยวฒั นพานิช, ๒๔๘๐. Mr. sakthawut โดย นายศักทาวุฒ โคตรชมภู
ผจู้ ดั ทำ นำยศกั ทำวุฒ โคตรชมภู นักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั นครพนม Mr. sakthawut
Mr. sakthawut
Mr. sakthawut ID LiNE : guykap12333 Facebook : ศกั ทาวุฒ โคตรชมภู G – mail : [email protected]
Search
Read the Text Version
- 1 - 43
Pages: