Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศิลปศึกษา(ทช31003)

ศิลปศึกษา(ทช31003)

Published by สภาพร6 ม่านสุวรรณ, 2021-01-21 09:08:21

Description: ศิลปศึกษา(ทช31003)

Search

Read the Text Version

เรื่องที่ 1 จดุ เส้น สี แสง เงา รูปร่าง และรูปทรง จดุ เส้น สี แสงเงา รูปร่าง รูปทรง จดุ ……………………………………… คอื องคป์ ระกอบท่ีเลก็ ท่ีสดุ จดุ เป็นสงิ่ ท่ีสามารถบอกตาํ แหนง่ และทิศทางโดยการนําจดุ มาเรียงตอ่ กนั ให้เป็นเส้น การ รวมกนั ของจดุ จะเกิดนํา้ หนกั ท่ีให้ปริมาตรแก่รูปทรง เป็นต้น เส้น หมายถึง จดุ หลายๆจดุ ที่เรียงชิดตดิ กนั เป็นแนวยาว โดยการลากเส้นจากจดุ หน่งึ ไปยงั อีกจดุ หนึง่ ในทิศทางท่ีแตกตา่ งกนั จะเป็นทิศมมุ 45 องศา 90 องศา 180 องศาหรือมมุ ใดๆ การสลบั ทิศทางของเส้นท่ีลากทําให้เกิดเป็นลกั ษณะตา่ ง ๆ ในทางศลิ ปะเส้นมีหลายชนิดด้วยกนั โดยจําแนกออกได้เป็นลกั ษณะใหญ่ๆ คือเสนั ตงั้ เส้นนอน เส้นเฉียงเส้นโค้ง เส้นหยกั เส้นซกิ แซก ความรู้สกึ ท่ีมีต่อเส้น เส้นเป็นองคป์ ระกอบพนื ้ ฐานที่สาํ คญั ในการสร้างสรรค์ เส้นสามารถแสดงให้เกิดความหมายของภาพและให้ความรู้สกึ ได้ ตามลกั ษณะของเส้น เส้นท่ีเป็นพนื ้ ฐาน ได้แก่ เส้นตรงและเส้นโค้งจากเส้นตรงและเส้นโค้งสามารถนํามาสร้างให้เกิดเป็น เส้นใหม่ ๆ ท่ีให้ความรู้สกึ ที่แตกตา่ งกนั ออกไปได้ดงั นี ้ เส้นตัง้ ให้ความรู้สกึ แขง็ แรง สงู เดน่ สง่างาม น่าเกรงขาม เส้นนอน ให้ความรู้สกึ สงบราบเรียบ กว้างขวาง การพกั ผอ่ น หยดุ นิ่ง

เส้นแนวเฉียง ให้ความรู้สกึ ไมป่ ลอดภยั ไมม่ น่ั คง ไมห่ ยดุ นง่ิ เส้นตดั กัน ให้ความรู้สกึ ประสานกนั แขง็ แรง เส้นโค้ง ให้ความรู้สกึ อ่อนโยน น่มุ นวล เส้นคด ให้ความรู้สกึ เคลื่อนไหวไหลเลื่อน ร่าเริง ตอ่ เนื่อง เส้นประ ให้ความรู้สกึ ขาดหาย ลกึ ลบั ไมส่ มบรูณ์แสดงสว่ นท่ีมองไมเ่ หน็ เส้นขด ให้ความรู้สกึ หมนุ เวยี นมนึ งง นกั ออกแบบนําเอาความรู้สกึ ท่ีมตี อ่ เส้นที่แตกต่างกนั มาใช้ในงานศิลปะประยกุ ต์โดยใช้เส้นมาเปล่ียนรูปร่างของตวั อกั ษร เพ่อื ให้เกิดความรู้สกึ เคลอ่ื นไหวและทําให้สื่อความหมายได้ดียิ่งขนึ ้ สี ทฤษฎีสี หมายถึง หลกั วชิ าในเร่ืองของสีที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา และเม่ือสามร้อยกวา่ ปี ทีผา่ นมา ไอแซก นวิ ตนั ได้ ค้นพบวา่ แสงสีขาวจาก ดวงอาทติ ย์เม่ือหกั เห ผา่ นแทง่ แก้วสามเหลย่ี ม ( prism) แสงสีขาวจะกระจายออกเป็ นสรี ุ่ง เรียกวา่ สเปคตรัม มี 7 สี ได้แก่ มว่ ง คราม น้ําเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง และได้กําหนดให้เป็นทฤษฎีสีของแสง ความจริงสี รุ่งเป็นปรากฏการณ์ ตามธรรมชาตทิ ี่เกิดขนึ ้และพบเหน็ กนั บอ่ ยๆ โดยเกดิ จากการหกั เห ของแสงอาทิตย์หรือ แสงสวา่ ง

เมือ่ ผา่ นละอองนํา้ ในอากาศและกระทบตอ่ สายตาให้เห็นเป็นสี มผี ลทางด้านจตวิ ทิยา ทางด้านอารมณ์ และความรู้สกึ การท่ีได้เห็นสจี ากสายตา สายตาจะสง่ ความรู้สกึ ไปยงั สมองทําให้เกิดความรู้สกึ ตา่ งๆ ตาม อิทธิพลของสี เช่น สดชื่น เร้า ร้อน เยือกเย็น หรือต่นื เต้น มนษุ ย์เราเก่ียวข้องกบั สีตา่ งๆ อยตู่ ลอดเวลาเพราะ ทกุ สง่ิ ที่อยรู่ อบตวั นนั้ ล้วนแตม่ ีสีสนั แตกตา่ งกนั มากมาย นกั วชิ าการสาขาตา่ งๆ ได้ศกึ ษาค้นคว้าเรือง่ สี จนเกดิ เป็นทฤษฎีสี ตามหลกั การของนกั วิชาการสาขา ตา่ ง ๆ เชน่ แมส่ ขี องนกั ฟิ สกิ ส์ หรือ (แม่สขี องแสง) (Spectrum Primaries) เป็นสีที่เกิดจากการผสมกนั ของคล่ืนแสง มี 3 สี คือ แม่สีของนักเคมี (Pigmentary Primaries) คือสีท่ใี ช้ในวงการอุตสาหกรรมและวงการศลิ ปะ หรือเรียกอีกอย่าง หนง่ึ วา่ สีวตั ถธุ าตุ ท่ีเรากําลงั ศกึ ษาอยใู่ นขณะนี ้โดยใช้ในการเขยี นภาพเกี่ยวกบั พาณิชยศลิ ปะ ภาพโฆษณา ภาพประกอบเร่ืองและภาพเขียน ของศลิ ปินตา่ ง ๆ ประกอบด้วย สีขนั้ ท่ี 1 (Primary Color) คอื แมส่ พี นื ้ ฐาน มี3 สี ได้แก่ 1. สีเหลือง (Yellow) 2. สีแดง (Red)

3. สีนํา้ เงิน (Blue) สีขนั้ ท่ี 2 (Secondary color) คือ สที ่ีเกิดจากสขี นั้ ท่ี 1 หรือแมส่ ผี สมกนั ในอตั ราสว่ นที่เทา่ กนั จะทําให้เกดิ สีใหม่ 3 สี ได้แก่ 1. สีส้ม (Orange) เกดิ จาก สแี ดง (Red) ผสมกบั สีเหลือง (Yellow) 2. สมี ว่ ง (Violet) เกิดจาก สแี ดง (Red) ผสมกบั สนี ํา้ เงิน (Blue) 3. สเี ขยี ว (Green) เกดิ จาก สเี หลอื ง (Yellow) ผสมกบั สีนํา้ เงิน (Blue) สีขนั้ ท่ี 3 (Intermediate Color) คือสีท่ีเกดิ จากการผสมกนั ระหว่างแม่สกี บั สีขนั้ ท่ี 2 จะเกดิ สีขนั้ ท่ี 3 ขนึ ้ อีก 6 สี ได้แก่ 1. สีนํา้ เงินม่วง ( Violet-blue) เกิดจาก สนี ํา้ เงนิ (Blue) ผสมสีมว่ ง (Violet) 2. สีเขยี วนํา้ เงิน ( Blue-green) เกิดจาก สนี ํา้ เงิน (Blue) ผสมสีเขยี ว (Green) 3. สีเหลอื งเขียว ( Green-yellow) เกิดจาก สีเหลอื ง(Yellow) ผสมกบั สเี ขียว (Green) 4. สีส้มเหลือง ( Yellow-orange) เกดิ จาก สเี หลือง (Yellow) ผสมกบั สสี ้ม (Orange)

5. สีแดงส้ม ( Orange-red) เกิดจาก สแี ดง (Red) ผสมกบั สีส้ม (Orange) 6. สีมว่ งแดง ( Red-violet) เกดิ จาก สีแดง (Red) ผสมกบั สมี ่วง (Violet) เราสามารถผสมสเี กิดขนึ ้ ใหมไ่ ด้อีกมากมายหลายร้อยสีด้วยวธิ ีการเดยี วกนั นีต้ ามคณุ ลกั ษณะของสีที่จะกลา่ วต่อไป จะเห็นได้วา่ สที งั้ 3 ขนั้ ตามทฤษฎีสดี งั กล่าว มผี ลทําให้เราสามารถนํามาใช้เป็นหลกั ในการเลอื กสรรสีสาํ หรับงาน สร้างสรรค์ของเราได้ซึ่งงานออกแบบมไิ ด้ถกู จํากดั ด้วยกรอบความคดิ ของทฤษฎีตามหลกั วชิ าการเท่านนั้ แตเ่ ราสามารถ คดิ ออกนอกกรอบแหง่ ทฤษฎีนนั้ ๆ ได้เท่าท่ีมนั สมองของเราจะเค้นความคดิ สร้างสรรคอ์ อกมาได้ คุณลักษณะของสีมี 3 ประการ คือ

1. สีแท้ หรือความเป็ นสี (Hue ) หมายถงึ สที ี่อยใู่ นวงจรสธี รรมชาติ ทงั ้ 12 สี (ดภู าพสี 12 สีในวงจรสีประกอบ) สี ท่ีเรา เห็นอย่ทู กุ วนั นีแ้ บง่ เป็น 2 วรรณะ โดยแบง่ วงจรสีออกเป็น 2 สว่ น จากสเี หลอื งวนไปถึงสีมว่ ง คือ 1. สีวรรณะร้อน (Warm Color) ให้ความรู้สกึ รุนแรง ร้ อน ตน่ื เต้น ประกอบด้วย สีเหลือง สีเหลอื งส้ม สีส้ม สีแดงส้ม สแี ดง สีมว่ งแดง สีมว่ ง 2. สีวรรณะเย็น (Cool Color) ให้ความรู้สกึ เยน็ สงบ สบายตาประกอบด้วย สีเหลอื ง สเี ขียวเหลอื ง สเี ขียว สีนํา้ เงินเขยี ว สี นํา้ เงนิ สีมว่ งนํา้ เงิน สีมว่ ง เราจะเห็นวา่ สเี หลอื ง และสีมว่ ง เป็นสีท่ีอย่ไู ด้ทงั้ 2 วรรณะ คอื สีกลางท่ีเป็นได้ทงั้ สรี ้อน และสี เยน็ 2. ความจดั ของสี (Intensity) หมายถงึ ความสด หรือความบริสทุ ธ์ขิ องสใี ดสหี น่ึง และสที ี่ถกู ผสมด้วยสีดําจนหมน่ ลง ความจดั หรือความบริสทุ ธจ์ิ ะลดลงความจดั ของสจี ะเรียงลาํ ดบั จากจดั ที่สดุ ไปจนหมน่ ที่สดุ ได้หลายลําดบั ด้วยการคอ่ ยๆ เพม่ิ ปริมาณของสีดําที่ผสมเข้าไปทีละน้อยจนถึงลําดบั ที่ความจดั ของสีมนี ้อยที่สดุ คอื เกือบเป็นสีดํา 3. นา้ หนักของสี (Values) หมายถึง สที ่ีสดใส (Brightness) สีกลาง (Grayness) สที ึบ(Darkness) ของสแี ตล่ ะสีสที กุ สจี ะมีนํา้ หนกั ในตวั เอง ถ้าเราผสมสขี าวเข้าไปในสีใดสีหนึง่ สนี นั้ จะสวา่ งขนึ ้ หรือมนี ํา้ หนกั ออ่ นลงถ้าเพมิ่ สีขาวเข้าไปทีละ น้อยๆ ตามลําดบั เราจะได้นํา้ หนกั ของสที ่ีเรียงลาํ ดบั จากแก่สดุ ไปจนถงึ อ่อนสดุ นํา้ หนกั อ่อนแก่ของสี เกดิ จากการผสมด้วย สีขาว เทา และ ดาํ นํา้ หนกั ของสจี ะลดลงด้วยการใช้สขี าวผสม( tint) ซง่ึ จะทําให้เกดิ ความรู้สกึ น่มุ นวล ออ่ นหวาน สบาย ตา นํา้ หนกั ของสจี ะเพิ่มขนึ ้ ปานกลางด้วยการใช้สเี ทาผสม ( tone) ซ่งึ จะทําให้ความเข้มของสลี ดลง เกดิ ความรู้สกึ ท่ีสงบ ราบเรียบ และนํา้ หนกั ของสจี ะเพ่ิมขนึ ้ มากขนึ ้ ด้วยการใช้สดี าํ ผสม ( shade) ซ่ึงจะทําให้ความเข้มของสีลดความสดใสลง เกดิ ความรู้สกึ ขรึม ลกึ ลบั นํา้ หนกั ของสียงั หมายถึงการเรียงลาํ ดบั น้ําหนกั ของสแี ท้ด้วยกนั เอง โดยเปรียบเทียบ นํา้ หนกั อ่อนแก่กบั สขี าว – ดํา เราสามารถเปรียบเทียบระหวา่ งภาพสกี บั ภาพขาวดําได้อย่างชดั เจนและเม่ือเรานําภาพสที ่ีเราเหน็ วา่ มสี ีแดงอยหู่ ลายคา่ ตงั้ แตอ่ ่อน กลาง แก่ ไปถ่ายเอกสารขาว-ดาํ เมอื่ นํามาดจู ะพบวา่ สีแดงจะมีนํ้าหนกั ออ่ น แกต่ งั้ แต่ ขาว เทาดํา นนั่ เป็นเพราะวา่ สแี ดงมีนํา้ หนกั ของสแี ตกตา่ งกนั นน่ั เอง สีตา่ งๆ ท่ีเราสมั ผสั ด้วยสายตาจะทําให้เกิดความรู้สกึ ขึน้ ภายในตอ่ เรา ทนั ทีที่เรามองเหน็ สไี มว่ ่าจะเป็นการแต่งกาย บ้านที่ อยอู่ าศยั เคร่ืองใช้ตา่ งๆ แล้วเราจะ ทําอย่างไร จงึ จะใช้สไี ด้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกบั หลกั จติ วทิ ยา เราจะต้อง เข้าใจว่าสใี ดให้ความรู้สกึ ตอ่ มนษุ ย์อยา่ งไร ซึง่ ความรู้สกึ ที่เก่ียวกบั สีสามารถจําแนกออกได้ดงั นี ้ สีแดง ให้ความรู้สกึ ร้อน รุนแรง กระต้นุ ท้าทาย เคล่อื นไหว ต่นื เต้น เร้าใจ มีพลงั ความอดุ มสมบรู ณ์ความมงั่ คงั่ ความรัก ความสําคญั และอนั ตรายจะทําให้เกดิ ความอดุ มสมบูรณ์เป็นต้น สีสม้ ให้ความรู้สกึ ร้อน อบอนุ่ สดใส มีชีวติ ชีวาวยั รุ่น ความคกึ คะนอง และการปลดปลอ่ ย สีเหลือง ให้ความรู้สึก แจม่ ใส ร่าเริง เบกิ บานสดชื่น ชีวติ ใหม่ ความสกุ สวา่ ง สีเขยี ว ให้ความรู้สกึ งอกงาม สดชื่น สงบเงียบร่มรื่น ร่มเยน็ การพกั ผอ่ น การ ผอ่ นคลายธรรมชาติ ความปลอดภยั ปกติ ความสขุ ความสขุ มุ เยือกเย็น

สีเขียวแก่ ให้ความรู้สกึ เศร้าใจแก่ชรา สีนํา้ เงิน ให้ความรู้สกึ สงบ สขุ มุ สภุ าพ หนกั แนน่ เคร่งขรึม เอาการเอางาน ละเอียด รอบคอบ สง่างาม มศี กั ดศ์ิ รี สงู ศกั ดิ์ เป็นระเบยี บถอ่ มตน สีฟ้ า ให้ความรู้สกึ ปลอดโปร่ง โลง่ กว้าง โปร่งใส สะอาด ปลอดภยั ความสวา่ ง ลมหายใจ ความเป็น อิสรเสรีภาพ การชว่ ยเหลอื สีคราม จะทําให้เกดิ ความรู้สกึ สงบ สีมว่ ง ให้ความรู้สกึ มีเสนห่ ์ นา่ ตดิ ตาม เร้นลบั ซอ่ นเร้น มอี ํานาจ มพี ลงั แฝงอยู่ ความรัก ความเศร้า ความผิดหวงั ความสงบ ความสงู ศกั ดิ์ สีน้าตาล ให้ความรู้สกึ เก่า หนกั สงบเงียบ สีขาว ให้ความรู้สกึ บริสทุ ธิ์ สะอาด ใหม่ สดใส สีดา ให้ความรู้สกึ หนกั หดหู่ เศร้าใจ ทึบตนั สีชมพู ให้ความรู้สกึ อบอนุ่ อ่อนโยน นมุ่ นวล อ่อนหวาน ความรัก เอาใจใส่ วยั รุ่น หน่มุ สาว นา่ รักความสดใส สีไพล จะทําให้เกิดความรู้สกึ กระช่มุ กระชวย เป็นหนมุ่ สาว สีเทา ให้ความรู้สกึ เศร้า อาลยั ท้อแท้ ความลกึ ลบั ความหดหู่ ความชรา ความสงบ ความเงียบ สภุ าพ สขุ มุ ถ่อมตน สีทอง ให้ความรู้สกึ ความหรูหรา โออ่ า่ มรี าคา สงู คา่ สงิ่ สําคญั ความเจริญรุ่งเรืองความสขุ ความมง่ั คงั่ ความรํ่ารวย การ แผก่ ระจาย จากความรู้สกึ ดงั กลา่ ว เราสามารถนําไปประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจําวนั ได้ในทกุ เรื่อง และเมอื่ ต้องการสร้างผลงาน ท่ีเก่ียวกบั การใช้สเี พ่ือที่จะได้ผลงานท่ีตรงตามความต้องการในการสอ่ื ความหมาย และจะชว่ ยลดปัญหาในการ ตดั สนิ ใจที่จะ เลอื กใช้สตี า่ งๆได้ เชน่ 1. ใช้ในการแสดงเวลาของบรรยากาศในภาพเขยี น เพราะสบี รรยากาศในภาพเขยี นนนั้ ๆ จะแสดงให้รู้วา่ เป็นภาพตอนเช้า ตอนกลางวนั หรือตอนบา่ ย เป็นต้น

2. ในด้านการค้า คอื ทําให้สนิ ค้าสวยงาม น่าซือ้ หา นอกจากนีย้ งั ใช้กบั งานโฆษณา เช่น โปสเตอร์ตา่ งๆช่วยให้จําหน่าย สนิ ค้าได้มากขนึ ้ 3. ในด้านประสทิ ธภิ าพของการทํางาน เช่น โรงงานอตุ สาหกรรม ถ้าทาสีสถานที่ทํางานให้ถกู หลกั จติ วทิ ยา จะเป็นทาง หนง่ึ ที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้น่าทํางาน คนงานจะทํางานมากขนึ ้ มีประสทิ ธิภาพในการทํางานสงู ขนึ ้ 4. ในด้านการตกแตง่ สีของห้อง และสีของเฟอร์นิเจอร์ ชว่ ยแก้ปัญหาเร่ืองความสวา่ งของห้อง รวมทงั้ ความสขุ ในการใช้ ห้อง ถ้าเป็นโรงเรียนเดก็ จะเรียนได้ผลดีขนึ ้ ถ้าเป็นโรงพยาบาลคนไข้จะหายเร็วขนึ ้ สร้างสรรค์งานออกแบบจะเป็นผ้ทู ี่ เก่ียวข้องกบั การใช้สีโดยตรง มณั ฑนากรจะคดิ ค้นสขี นึ ้ มาเพอื่ ใช้ในงานตกแตง่ คนออกแบบฉากเวทีการแสดงจะคดิ ค้นสี เกี่ยวกบั แสง จติ รกรก็จะคดิ ค้นสีขนึ ้ มาระบายให้เหมาะสมกบั ความคดิ และจินตนาการของตน แล้วตวั เราจะคดิ ค้นสีขนึ ้ มา เพอ่ื ความงาม ความสขุ สําหรับเรามไิ ด้หรือสที ี่ใช้สาํ หรับการออกแบบนนั้ ถ้าเราจะใช้ให้เกดิ ความสวยงามตรงตามความ ต้องการของเรา มหี ลกั ในการใช้กว้างๆ อยู่ 2 ประการ คอื การใช้สีกลมกลืนกนั และ การใช้สตี ดั กนั 1. การใช้สีกลมกลืนกัน การใช้สีให้กลมกลืนกนั เป็นการใช้สหี รือนํ้าหนกั ของสใี ห้ใกล้เคยี งกนั หรือคล้ายคลงึ กนั เชน่ การใช้สีแบบเอกรงค์ เป็นการ ใช้สีสีเดียวที่มนี ้ําหนกั ออ่ นแกห่ ลายลําดบั การใช้สีข้างเคียง เป็นการใช้สีท่ีเคียงกนั 2 – 3 สี ในวงสี เช่น สแี ดง สสี ้มแดง และสมี ว่ งแดง การใช้สีใกล้เคยี ง เป็นการใช้สี ที่อย่เู รียงกนั ในวงสีไมเ่ กิน 5 สีตลอดจนการใช้สีวรรณะร้อนและวรรณะเยน็ (warmtonecolors and cool tone colors) ดงั ได้กลา่ วมาแล้ว 2. การใช้สีตัดกัน สีตดั กนั คอื สที ่ีอยตู่ รงข้ามกนั ในวงจรส(ี ดภู าพวงจรสี ด้านซ้ายมอื ประกอบ) การใช้สีให้ตดั กันมีความจํา เป็นมาก ในงานออกแบบ เพราะชว่ ยให้เกดิ ความน่าสนใจ ในทนั ทีที่พบเหน็ สีตดั กนั อยา่ งแท้จริงมี อย่ดู ้วยกนั 6 คสู่ ี คือ 1. สเี หลือง ตรงข้ามกับ สมี ว่ ง 2. สีส้ม ตรงข้ามกบั สนี ํา้ เงนิ 3. สแี ดง ตรงข้ามกบั สีเขียว 4. สีเหลอื งส้ม ตรงขามกบั สีมว่ งนํา้ เงิน 5. สีส้มแดง ตรงข้ามกบั นํา้ เงินเขียว 6. สีมว่ งแดง ตรงข้ามกับ สเี หลืองเขียว

ในงานออกแบบ หรือการจดั ภาพ หากเรารู้จกั ใช้สีให้มสี ภาพโดยรวมเป็นวรรณะร้อน หรือวรรณะเยน็ เราจะ สามารถ ควบคมุ และสร้างสรรค์ผลงานให้เกดิ ความประสานกลมกลนื งดงามได้งา่ ยขนึ ้ เพราะสีมอี ทิ ธิพลตอ่ มวล ปริมาตร และ ชอ่ งวา่ ง สีมคี ณุ สมบตั ทิ ี่ทําให้เกิดความกลมกลนื หรือขดั แย้งได้ สีสามารถขบั เน้นให้เกดิ จดุ เดน่ และการรวมกันให้เกดิ เป็น หน่วยเดยี วกนั ได้เราในฐานะผ้ใู ช้สีต้องนําหลกั การตา่ งๆ ของสีไปประยกุ ต์ใช้ให้สอดคล้องกบั เป้ าหมายในงานของเรา เพราะสีมผี ลตอ่ การออกแบบ คอื 1. สร้างความรู้สกึ สใี ห้ความรู้สกึ ตอ่ ผ้พู บเห็นแตกตา่ งกนั ไป ทงั้ นีข้ นึ ้ อย่กู บั ประสบการณ์ และภมู หิ ลงั ของแตล่ ะคน สบี าง สสี ามารถรักษาบาํ บดั โรคจิตบางชนิดได้ การใช้สีภายใน หรือภายนอกอาคาร จะมผี ลในการสร้างบรรยากาศได้ 2. สร้างความน่าสนใจ สีมีอิทธิพลตอ่ งานศลิ ปะการออกแบบ จะช่วยสร้างความประทบั ใจ และความน่าสนใจเป็นอนั ดบั แรกท่ีพบเห็น 3. สีบอกสัญลักษณ์ของวัตถุ ซ่งึ เกิดจากประสบการณ์ หรือภมู หิ ลงั เช่น สีแดงสญั ลกั ษณ์ของไฟ หรืออนั ตราย สเี ขียว สญั ลกั ษณ์แทนพืช หรือความปลอดภยั เป็นต้น 4. สีช่วยให้เกดิ การรับรู้ และจดจา งานศลิ ปะการออกแบบต้องการให้ผ้พู บเห็นเกดิ การจดจําในรูปแบบ และผลงาน หรือเกิดความประทบั ใจ การใช้สีจะต้องสะดดุ ตา และมีเอกภาพแสงและเงา แสงและเงา หมายถึงแสงท่ีสอ่ งมากระทบพนื ้ ผวิ ที่มีสอี ่อนแกแ่ ละพนื ้ ผวิ สงู ตํ่า โค้งน้นู เรียบหรือขรุขระทําให้ปรากฏแสงและเงาแตกตา่ ง กนั ตวั กําหนดระดบั ของคา่ นํา้ หนกั ความเข้มของเงาจะขนึ ้ อยกู่ บั ความเข้มของแสง ในท่ีท่ีมีแสงสว่างมากเงาจะเข้มขนึ ้ และ ในท่ีท่ีมีแสงสวา่ งน้อย เงาจะไมช่ ดั เจน ในที่ท่ีไม่มีแสงสวา่ งจะไมม่ ีเงา และเงาจะอยใู่ นทางตรงข้ามกบั แสงเสมอ คา่ นํา้ หนกั ของแสงและเงาท่ีเกิดบนวตั ถุ สามารถจําแนกเป็นลกั ษณะท่ี ตา่ ง ๆ ได้ดงั นี ้ 1. บริเวณแสงสว่างจดั (Hi-light) เป็นบริเวณท่ีอยใู่ กล้แหลง่ กําเนิดแสงมากที่สดุ จะมีความสวา่ งมากท่ีสดุ วตั ถทุ ่ีมีผวิ มนั วาวจะสะท้อนแหลง่ กําเนิดแสงออกมาให้เห็นได้ชดั 2. บริเวณแสงสว่าง (Light) เป็นบริเวณที่ได้รับแสงสวา่ ง รองลงมาจากบริเวณแสงสวา่ ง จดั เน่ืองจากอย่หู ่างจาก แหลง่ กําเนดิ แสงออกมา และเร่ิมมคี า่ นํา้ หนกั ออ่ น ๆ 3. บริเวณเงา (Shade) เป็นบริเวณที่ไมไ่ ด้รับแสงสว่าง หรือเป็นบริเวณที่ถกู บดบงั จาก แสงสวา่ งซึ่งจะมีคา่ นํา้ หนกั เข้ม มากขนึ ้ กวา่ บริเวณแสงสวา่ ง 4. บริเวณเงาเข้มจดั (Hi-Shade) เป็นบริเวณท่ีอย่หู า่ งจากแหลง่ กําเนิดแสงมากท่ีสดุ หรือ เป็นบริเวณท่ีถกู บดบงั หลาย ๆ ชนั้ จะมคี า่ นํา้ หนกั ที่เข้มมากไปจนถงึ เข้มที่สดุ

5. บริเวณเงาตกทอด เป็นบริเวณของพนื ้ หลงั ที่เงาของวตั ถทุ าบลงไป เป็นบริเวณเงาท่ีอยู่ ภายนอกวตั ถแุ ละจะมีความ เข้มของคา่ นํา้ หนกั ขนึ ้ อยกู่ บั ความเข้มของเงา นํา้ หนกั ของพืน้ หลงั ทิศทางและระยะของเงา ความสาคัญของค่านา้ หนัก 1. ให้ความแตกตา่ งระหวา่ งรูปและพนื ้ หรือรูปทรงกบั ที่วา่ ง 2. ให้ความรู้สกึ เคลื่อนไหว 3. ให้ความรู้สกึ เป็น 2 มติ ิ แกร่ ูปร่าง และความเป็น 3 มติ แิ กร่ ูปทรง 4. ทําให้เกิดระยะความตนื ้ -ลกึ และระยะใกล้ -ไกลของภาพ 5. ทําให้เกดิ ความกลมกลืนประสานกนั ของภาพ เรื่องที่ 2 ทศั นศลิ ป์ สากล ทศั นศลิ ป์ สากล ความหมายของศลิ ปะและทศั นศลิ ป์ ศลิ ปะ หมายถงึ ผลแห่งความคดิ สร้างสรรคข์ องมนุษย์ท่ีแสดงออกมาในรูปลกั ษณ์ตา่ งๆให้ปรากฏซึ่งความสนุ ทรียภาพ ความประทบั ใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนยิ ม และทกั ษะของบคุ คลแตล่ ะคนนอกจากนีย้ งั มี นกั ปราชญ์ นกั การศกึ ษา ท่านผ้รู ู้ ได้ให้ความหมายของศลิ ปะแตกตา่ งกนั ออกไป เชน่ การเลยี นแบบธรรมชาติ การ แสดงออกของบคุ ลกิ ภาพทางอารมณ์ของมนษุ ย์ ความสัมพนั ธ์ระหว่างศลิ ปะกับมนุษย์ การสร้างสรรค์ทางศลิ ปะ ของมนษุ ย์เป็นกิจกรรมในการพฒั นาสตปิ ัญญาและอารมณ์ท่ีมีมาตงั้ แตส่ มยั โบราณตงั้ แตย่ คุ หนิ หรือประมาณ 4,000 -5,000 ปี ลว่ งมาแล้ว นบั ตงั ้ แตม่ นษุ ย์อาศยั อย่ใู นถํา้ เพงิ ผา ดํารงชีวิตด้วยการลา่ สตั วแ์ ละหาของ ป่ าเป็นอาหาร โดยมากศลิ ปะจะเป็นภาพวาด ซ่งึ ปรากฏตามผนงั ถํา้ ต่างๆ เชน่ ภาพววั ไบซนั ท่ีถํา้ อลั ตาริมา ในประเทศ สเปน ภาพสตั ว์ชนิดตา่ งๆที่ถํา้ ลาสล์โกในประเทศฝรั่งเศส สําหรับประเทศไทยท่ีพบเห็น เช่นผาแต้ม จงั หวดั อุบลราชธานี ภาชนะเคร่ืองปัน้ ดนิ เผา ที่บ้านเชียง จงั หวดั อดุ รธานี

ประเภทของงานทศั นศลิ ป์ สามารถแบง่ ออกเป็น 4 ประเภท คือ 1. จิตรกรรม 2. ประตมิ ากรรม 3. สถาปัตยกรรม 4. ภาพพมิ พ์ งานจติ รกรรม เป็นงานศลิ ปะที่แสดงออกด้วยการวาด ระบายสี และการจดั องค์ประกอบความงามเพื่อให้เกดิ ภาพ 2 มติ ิ ไมม่ ีความลกึ หรือนนู หนา จิตรกรรมเป็นแขนงหนึ่งของ 1ทศั นศลิ ป์ ผ้ทู ํางานด้านจติ รกรรมจะเรียกวา่ จิตรกร จอห์น แคนาเดย์ (John Canaday) ได้ให้ความหมายของจติ รกรรมไว้วา่ จิตรกรรม คือ การระบายชนั ้ ของสลี งบนพนื ้ ระนาบรองรับ เป็นการจดั รวมกนั ของรูปทรง และ สที ี่เกิดขนึ ้ จากการเตรียมการของศลิ ปินแตล่ ะคนในการเขียนภาพนนั้ พจนานกุ รมศพั ท์ อธบิ ายวา่ เป็นการสร้างงานทัศนศลิ ป์ บนพนื ้ ระนาบรองรับ ด้วยการ ลากป้ าย ขดี ขดู วสั ดุ จติ รกรรมลง บนพนื ้ ระนาบรองรับ ภาพจติ รกรรมท่ีเก่าแก่ท่ีสดุ ที่เป็นที่รู้จกั อย่ทู ี่ถํา้ Chauvet ในประเทศฝร่ังเศส ซ่งึ นกั ประวตั ศิ าสตร์บางคนอ้างวา่ มอี ายรุ าว 32,000 ปี เป็นภาพที่สลกั และระบายสดี ้วยโคลนแดงและสยี ้อมดาํ แสดงรูปม้า แรด สงิ โต ควายแมมมอธ หรือมนษุ ย์ท่ี กําลงั ลา่ สตั ว์ จิตรกรรม สามารถจําแนกได้ตามลกั ษณะผลงาน และ วสั ดอุ ปุ กรณ์การสร้างสรรค์เป็น 2 ประเภท คือภาพวาด และ ภาพเขียน

จติ รกรรมภาพวาด (Drawing) เป็นศพั ท์ทศั นศิลป์ คือ ภาพวาดเส้น หรือบางท่านอาจเรียกด้วยคําทบั ศพั ท์ว่า ดรอองิ ้ ปัจจบุ นั ได้มกี ารนําอปุ กรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการเขียนภาพและวาดภาพ ท่ีก้าวหน้าและทนั สมยั มากมาใช้ ผ้เู ขียน ภาพจึงอาจจะใช้อปุ กรณ์ตา่ งๆมาใช้ในการเขียนภาพ ภาพวาดในส่ือสงิ่ พมิ พ์ สามารถแบง่ ออกได้เป็น 2 ประเภท คอื ภาพวาดลายเส้น และ การ์ตนู จติ รกรรมภาพเขียน (Painting) ภาพเขียนเป็นการสร้างงาน 2 มติ บิ นพนื ้ ระนาบด้วยสีหลายสเี ช่น สีนํา้ สีนํา้ มนั สฝี ่ นุ สชี อลค์ หรือสีอะคริลคิ ซงึ่ ผลงานทางด้านจติ รกรรมภาพเขียนของสีแตล่ ะชนิดจะมีความแตกตา่ งกนั เชน่ 1. การเขียนภาพสีนา้ (Colour Painting) 2. การเขียนภาพสีนา้ มัน (Oil Painting)

3. การเขยี นภาพสีอะคริลิค (Acrylic Painting) งานประตมิ ากรรม เป็นผลงานด้านศลิ ปที่แสดงออกด้วยการสร้างรูปทรง 3 มติ ิ ที่มีปริมาตร มนี ํา้ หนกั และกินเนือ้ ท่ีใน อากาศ โดยการใช้วสั ดชุ นิดตา่ ง ๆ วสั ดทุ ่ีใช้สร้างสรรค์งานประตมิ ากรรม จะเป็นตวั กําหนดวธิ ีการสร้างผลงาน ความงาม ของงานประตมิ ากรรม ทําได้ 4 วธิ ี คอื 1. การปั้น (Casting) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มติ ิ จากวสั ดุ ท่ีมีความเหนียว ออ่ นตวั และยึดจบั ตวั กนั ได้ดี วสั ดทุ ี่นิยม นํามาใช้ปัน้ ได้แก่ ดนิ เหนียว ดนิ นํา้ มนั ปนู แป้ ง ขีผ้ งึ ้ กระดาษ หรือขเี ้ลือ่ ยผสมกาว เป็นต้น 2. การแกะสลัก (Carving) เป็นการสร้างรูปทรง 3 มติ ิ จากวสั ดทุ ี่ แขง็ เปราะ โดยอาศยั เคร่ืองมอื วสั ดทุ ่ี นิยมนํามาแกะ ได้แก่ ไม้ หนิ กระจก แก้ว ปนู ปลาสเตอร์ เป็นต้น 3. การหล่อ (Molding) การสร้างรูปผลงานท่ีมีทรง 3 มติ จิ ากวสั ดทุ ี่หลอมตวั ได้และกลบั แขง็ ตวั ได้โดยอาศยั แมพ่ มิ พ์ ซง่ึ สามารถทําให้เกดิ ผลงานท่ีเหมอื นกนั ทกุ ประการตงั้ แต่ 2 ชนิ ้ ขนึ ้ ไป วสั ดทุ ี่นิยมนํามาใช้หลอ่ ได้แก่ โลหะ ปนู แก้ว ขผี ้ งึ ้ เร ซน่ิ พลาสตกิ ฯลฯ 4. การประกอบขนึ้ รูป (Construction) การสร้างผลงานท่ีมีรูปทรง 3 มติ ิ โดยการนําวสั ดตุ า่ ง ๆ มาประกอบเข้าด้วยกนั และยดึ ตดิ กนั ด้วยวสั ดตุ า่ ง ๆ การเลอื กวธิ ีการสร้างสรรค์งานประตมิ ากรรม ขนึ ้ อยกู่ บั วสั ดทุ ี่ต้องการใช้ในงานประตมิ ากรรม ไมว่ า่ จะสร้างขนึ ้ โดยวิธีใดผลงานทางด้านประตมิ ากรรม จะมีอยู่ 3 ลกั ษณะ คือแบบนนู ตา่ํ แบบนนู สงู และแบบลอยตวั ผู้ สร้างสรรค์งานประติมากรรม เรียกวา่ ประตมิ ากร ประเภทของงานประตมิ ากรรม

1. ประติมากรรมแบบนูนต่า ( Bas Relief ) เป็นรูปปัน้ ท่ีนนู ขนึ ้ มาจากพนื ้ หรือมีพนื ้ หลงั รองรับมองเห็นได้ชดั เจนเพียงด้าน เดยี ว คือด้านหน้า มคี วามสงู จากพนื ้ ไมถ่ งึ ครึ่งหนึ่งของรูป จริง ได้แกร่ ูปนนู บนเหรียญ รูปนนู ท่ีใช้ประดบั ตกแตง่ ภาชนะ รูป นนู ท่ีใช้ประดบั ตกแตง่ บริเวณฐานอนสุ าวรีย์ หรือพระเคร่ืองบางองค์ 2. ประติมากรรมแบบนูนสูง ( High Relief ) เป็นรูปปัน้ แบบตา่ ง ๆ มีลกั ษณะเช่นเดียวกบั แบบ นนู ตํา่ แตม่ ีความสงู จาก พนื ้ ตงั้ แตค่ ร่ึงหนงึ่ ของรูปจริงขนึ ้ ไป ทําให้เห็นลวดลายที่ลกึ ชดั เจน และ และเหมอื นจริงมากกวา่ แบบนนู แต่ใช้งานแบบ เดียวกบั แบบนนู ตาํ่ 3. ประติมากรรมแบบลอยตวั ( Round Relief ) เป็นรูปปัน้ แบบตา่ ง ๆ ท่ีมองเห็นได้รอบด้านหรือ ตงั ้ แต่ 4ด้านขนึ ้ ไป ได้แก่ ภาชนะตา่ ง ๆ รูปเคารพตา่ ง ๆ พระพทุ ธรูป เทวรูป รูปตามคตนิ ยิ ม รูปบคุ คลสําคญั รูปสตั ว์ ฯลฯ สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง การออกแบบผลงานทางทศั นศลิ ป์ ท่ีเป็นการกอ่ สร้ างสงิ่ ตา่ ง ๆ คนทว่ั ไปอยู่ อาศยั ได้และอย่อู าศยั ไม่ได้ เชน่ สถปู เจดยี ์ อนสุ าวรีย์บ้านเรือนตา่ ง ๆ เป็นต้น นอกจากนีย้ งั รวมถึงการกําหนดผงั บริเวณ ตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้เกดิ ความสวยงามและเป็นประโยชน์แก่การ ใช้สอยตามต้องการ งานสถาปัตยกรรมเป็นแหลง่ รวมของงาน ศลิ ปะทางกายภาพเกือบทกุ ชนิด และมกั มรี ูปแบบแสดงเอกลกั ษณ์ของสงั คมนนั้ ๆ ในชว่ งเวลานนั้ ๆ เราแบง่ ลกั ษณ์งาน ของสถาปัตยกรรมออกได้เป็น 3 แขนง ดงั นี ้คือ 1. สถาปัตยกรรมออกแบบก่อสร้าง เช่น การออกแบบสร้างตกึ อาคาร บ้านเรือน เป็นต้น 2. ภูมสิ ถาปัตย์ เช่น การออกแบบวางผงั จดั บริเวณ วางผงั ปลกู ต้นไม้ จดั สวน เป็นต้น 3. สถาปัตยกรรมผังเมือง ได้แก่ การออกแบบบริเวณเมืองให้มรี ะเบียบ มีความสะอาด และถกู หลกั สขุ าภิบาล เราเรียกผ้สู ร้างงานสถาปัตยกรรมวา่ สถาปนิก องค์ประกอบสาคญั ของสถาปัตยกรรม

จดุ สนใจและความหมายของศาสตร์ทางสถาปัตยกรรมนนั ้ ได้เปลย่ี นแปลงไปตามยคุ สมยั บทความ De Architectura ของวทิ รูเวยี ส ซึง่ เป็นบทความเก่ียวกบั สถาปัตยกรรม ที่เก่าแก่ที่สดุ ท่ีเราค้นพบ ได้กลา่ วไว้ว่า สถาปัตยกรรมต้อง ประกอบด้วยองค์ประกอบสามสว่ นหลกั ๆ ท่ีผสมผสานกนั อย่างลงตวั และสมดลุ อันได้แก่ ความงาม (Venustas) หมายถงึ สดั สว่ นและองคป์ ระกอบ การจดั วางท่ีวา่ ง สวี สั ดแุ ละพนื ้ ผวิ ของอาคารท่ีผสมผสานลงตวั ที่ยกระดบั จติ ใจ ของผ้ไู ด้ยลหรือเย่ียมเยือนสถานท่ีนนั้ ๆ ความมนั่ คงแข็งแรง (Firmitas)และ ประโยชน์ใช้สอย (Utilitas) หมายถงึ การสนองประโยชน์ และ การบรรลปุ ระโยชน์ แห่งเจตนารวมถงึ ปรัชญาของสถานที่นนั้ ๆ สถาปัตยกรรมตะวันตก ตวั อยา่ งเชน่ บ้านเรือน โบสถ์วหิ าร ปราสาท ราชวงั ซ่งึ มที งั้ สถาปัตยกรรมแบบโบราณ เชน่ กอธกิ ไบแซนไทน์จนถึงสถาปัตยกรรมสมยั ใหม่ ศลิ ปะภาพพมิ พ์ ( Printmaking) ภาพพมิ พ์ โดยความหมายของคํายอ่ มเป็นที่เข้าใจชดั เจนแล้ววา่ หมายถึงรูปภาพที่สร้างขนึ ้ มา โดยวธิ ีการพมิ พ์ แตส่ าํ หรับ คนไทยสว่ นใหญ่เม่อื พดู ถึง ภาพพมิ พ์อาจจะยงั ไมเ่ ป็นท่ีรู้จกั วา่ ภาพพิมพ์ คอื อะไรกนั แน่เพราะคาํ ๆนีเ้ป็นคําใหมท่ ่ีเพงิ่ เร่ิมใช้ กนั มาประมาณเมอ่ื 30 ปี มานีเ้อง โดยความหมายของคําเพียงอยา่ งเดียว อาจจะชวนให้เข้าใจสบั สนไปถงึ รูปภาพท่ีพมิ พด์ ้วยกรรมวธิ ีการพมิ พ์ทาง อตุ สาหกรรม เช่น โปสเตอร์ ภาพพมิ พท์ ่ีจําลองจากภาพถ่าย หรือภาพจําลองจติ รกรรมอนั ท่ีจริงคําวา่ ภาพพมิ พ์ เป็นศพั ท์ เฉพาะทางศลิ ปะท่ีหมายถงึ ผลงานวจิ ติ รศลิ ป์ ที่จดั อย่ใู นประเภท ทศั นศลิ ป์ เช่นเดียวกนั กับจิตรกรรมและประตมิ ากรรม ภาพพมิ พท์ ว่ั ไปมลี กั ษณะเชน่ เดียวกบั จิตรกรรมและภาพถ่ายคอื ตวั อยา่ งผลงานมเี พยี ง 2 มติ ิ สว่ นมติ ทิ ่ี 3 คอื ความลกึ ที่ จะเกดิ ขนึ ้ จากการใช้ภาษาเฉพาะของทศั นศลิ ป์ อนั ได้แก่ เส้น สี นํา้ หนกั และพนื ้ ผวิ สร้างให้ดลู วงตาลกึ เข้าไปในระนาบ 2 มติ ขิ องผวิ ภาพ แตภ่ าพพมิ พ์มลี กั ษณะเฉพาะท่ีแตกตา่ งจากจิตรกรรมตรงกรรมวธิ ีการสร้างผลงาน ท่ีผลงานจิตรกรรมนนั้ ศลิ ปินจะเป็นผ้สู ร้างสรรค์ขีดเขยี น หรือวาดภาพระบายสลี งไปบนผืนผ้าใบหรือกระดาษ โดยสร้างออกมาเป็นภาพทนั ทีแต่

การสร้างผลงานภาพพมิ พศ์ ลิ ปินต้องสร้างแม่พมิ พ์ขึน้ มาเป็นสอื่ ก่อน แล้วจงึ ผา่ นกระบวนการพมิ พ์ ถ่ายทอดออกมาเป็น ภาพท่ีต้องการได้ กรรมวธิ ีในการสร้างผลงานด้วยการพมิ พน์ ีเ้อง ที่ทําให้ศิลปินสามารถสร้ างผลงานท่ีเป็นต้นแบบ( Original) ท่ีเหมือนๆกนั ได้หลายชนิ ้ เชน่ เดียวกบั ผลงานประตมิ ากรรม ประเภทที่ปัน้ ด้วยดนิ แล้วทําแมพ่ มิ พห์ ลอ่ ผลงานชนิ ้ นนั้ ให้เป็นวสั ดถุ าวร เชน่ ทองเหลือง หรือสาํ ริด ทกุ ชนิ ้ ท่ีหลอ่ ออกมาถือวา่ เป็นผลงานต้นแบบมใิ ชผ่ ลงานจําลอง ( Reproduction) ทงั ้ นีเ้พราะว่า ภาพพมิ พน์ นั้ ก็มิใช่ผลงานจําลองจากต้นแบบท่ีเป็นจติ รกรรมหรือวาดเส้น แตภ่ าพพมิ พ์เป็นผลงานสร้างสรรค์ ท่ีศิลปินมที งั้ เจตนาและความเชี่ยวชาญในการใช้คณุ ลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะของเทคนิควธิ ีการทางภาพพิมพ์แตล่ ะชนิดมาใช้ในการ ถา่ ยทอดจินตนาการ ความคดิ และอารมณ์ความรู้สกึ ออกมาในผลงานได้โดยตรง แตกตา่ งกบั การท่ีนําเอาผลงาน จติ รกรรมท่ีสร้างสาํ เร็จไว้แล้วมาจําลองเป็นภาพโดยผา่ นกระบวนการทางการพมิ พ์ เรื่องที่ 3 การวพิ ากษ์วจิ ารณ์งานทศั นศลิ ป์ การวพิ ากษ์วจิ ารณ์งานทศั นศิลป์ ความหมาย การวเิ คราะห์งานศลิ ปะ หมายถึง การพจิ ารณาแยกแยะศกึ ษาองคป์ ระกอบของผลงานศลิ ปะออก เป็นสว่ นๆ ทีละ ประเดน็ ทงั้ ในด้านทัศนธาตุ องค์ประกอบศลิ ป์ และความสมั พนั ธ์ตา่ งๆ ในด้านเทคนคิ กรรมวธิ ีการสร้างสรรค์ผลงาน เพื่อ นําข้อมลู ที่ได้มาประเมนิ ผลงานศลิ ปะแต่ละชิน้ ว่ามีคณุ คา่ ทางด้านความงาม ทางด้านสาระ และทางด้านอารมณ์และ ความรู้สกึ อยา่ งไร การวจิ ารณ์งานศลิ ปะ หมายถงึ การแสดงออกทางด้านความคิดเหน็ ตอ่ ผลงานทางศลิ ปะที่ศลิ ปินสร้างสรรคข์ นึ ้ โดยผู้ วจิ ารณ์ให้ความคดิ เห็นตามหลกั เกณฑ์และหลกั การของศลิ ปะ ทงั้ ในด้านสนุ ทรียศาสตร์และสาระอ่ืนๆ ด้วยการตชิ มเพอื่ ให้ ได้ข้อคดิ นําไปปรับปรุงพฒั นาผลงานศลิ ปะ หรือใช้เป็นข้อมลู ในการประเมนิ ตดั สนิ ผลงาน เปรียบเทียบให้เหน็ คณุ คา่ ใน ผลงานศลิ ปะชิน้ นนั้ ๆ คุณสมบตั ขิ องนักวจิ ารณ์ 1. ควรมีความรู้เก่ียวกบั ศิลปะทงั้ ศลิ ปะประจําชาตแิ ละศลิ ปะสากล 2. ควรมคี วามรู้เกี่ยวกบั ประวตั ศิ าสตร์ศลิ ปะ 3. ควรมีความรู้เกี่ยวกบั สนุ ทรียศาสตร์ช่วยให้รู้แง่มมุ ของความงาม

4. ต้องมีวสิ ยั ทศั น์กว้างขวางและไมค่ ล้อยตามคนอื่น 5. กล้าที่จะแสดงออกทงั้ ที่เป็นไปตามหลกั วชิ าการและตามความรู้สกึ และประสบการณ์ ทฤษฎีการสร้างงานศลิ ปะ จดั เป็น 4 ลกั ษณะ ดงั นี ้ 1. นยิ มการเลยี นแบบ (Imitationalism Theory) เป นการเหน็ ความงามในธรรมชาตแิ ล้วเลยี นแบบไว้ให้เหมอื นทงั ้ รูปร่าง รูปทรง สีสนั ฯลฯ 2. นิยมสร้างรูปทรงท่ีสวยงาม (Formalism Theory) เป็นการสร้างสรรคร์ ูปทรงใหมใ่ ห้สวยงามด้วยทศั นธาตุ (เส้น รูปร่าง รูปทรง สี นํา้ หนกั พนื ้ ผวิ บริเวณวา่ ง) และเทคนคิ วิธีการตา่ งๆ 3. นยิ มแสดงอารมณ์(Emotional Theory) เป็นการสร้างงานให้ดมู ีความรู้สกึ ตา่ งๆ ทงั ้ ที่เป็นอารมณ์อนั เนื่องมาจาก เร่ืองราวและอารมณ์ของศลิ ปินที่ถา่ ยทอดลงไปในชนิ ้ งาน 4. นิยมแสดงจินตนาการ (Imagination Theory) เป็นงานที่แสดงภาพจนิ ตนาการแสดงความคดิ ฝันท่ีแตกต่างไปจาก ธรรมชาตแิ ละสงิ่ ที่พบเห็นอยเู่ ป็นประจํา แนวทางการวเิ คราะห์และประเมนิ คุณค่าของงานศลิ ปะ การวเิ คราะห์และการประเมนิ คณุ คา่ ของงานศลิ ปะโดยทว่ั ไปจะพจิ ารณาจาก 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านความงาม เป็นการวเิ คราะห์และประเมนิ คณุ ค่าในด้านทกั ษะฝี มอื การใช้ทศั นธาตทุ างศลิ ปะและการจดั องคป์ ระกอบศลิ ป์ วา่ ผลงานชนิ ้ นีแ้ สดงออกทางความงามของศลิ ปะได้อย่างเหมาะสมสวยงามและสง่ ผลตอ่ ผ้ดู ใู ห้เกดิ ความชื่นชมในสนุ ทรียภาพเพยี งใด ลกั ษณะการแสดงออกทางความงามของศลิ ปะจะมหี ลากหลายแตกต่างกนั ออกไป ตามรูปแบบของยคุ สมยั ผ้วู เิ คราะห์และประเมนิ คณุ คา่ จึงต้องศกึ ษาให้มีความรู้ ความเข้าใจทางด้านศลิ ปะให้มากที่สดุ 2. ด้านสาระ การวเิ คราะห์และประเมนิ คณุ คา่ ของผลงานศลิ ปะแตล่ ะชิน้ ว่ามีลกั ษณะสง่ เสริมคณุ ธรรม จริยธรรม ตลอดจนจดุ ประสงคต์ า่ งๆ ทางจติ วทิ ยาว่าให้สาระอะไรกบั ผ้ชู มบ้าง ซ่งึ อาจเป็นสาระเก่ียวกบั ธรรมชาตสิ งั คม ศาสนา การเมอื ง ปัญญา ความคดิ จินตนาการและความฝัน 3. ด้านอารมณ์ความรู้สกึ เป็นการคดิ วเิ คราะห์และประเมนิ คณุ คา่ ในด้านคณุ สมบตั ทิ ี่สามารถกระต้นุ อารมณ์ความรู้สกึ และสอ่ื ความหมายได้อย่างลกึ ซงึ ้ ของผลงาน ซึ่งเป็นผลจากการใช้เทคนคิ ท่ีแสดงออกถึงความคิด พลงั ความรู้สกึ ในการ สร้างสรรค์ของศลิ ปินที่เป็นผ้สู ร้าง เร่ืองที่ 4 ความงามตามธรรมชาติ

ธรรมชาต(ิ Natural) หมายถงึ สงิ่ ท่ีปรากฏให้เหน็ ตามวฏั จกั รของระบบสรุ ิยะ โดยที่มนษุ ย์มไิ ด้เป็นผ้สู รรคส์ ร้างขนึ ้ เชน่ กลางวนั กลางคืน เดอื นมืด เดอื นเพญ็ ภเู ขา นํา้ ตก ถือวา่ เป็นธรรมชาตหิ รือปรากฏการณ์ทางธรรมชาตติ ามความหมาย ทางพจนานกุ รมของนกั ปราชญ์ทางศลิ ปได้ให้ความหมายอย่างกว้างขวางตามแนวทางหรือทศั นะสว่ นตวั ไว้ดงั นีค้ อื ศลิ ปะ (ART) คํานี ้ตามแนวสากล มาจากคําวา่ ARTI และ ARTE ซ่ึงเป็นคาํ ที่นิยมใช้กนั ในสมยั ฟื น้ ฟศู ิลปวทิ ยา คําวา่ ARTI นนั ้ หมายถงึ กลมุ่ ชา่ งฝี มอื ในศตวรรษท่ี 14, 15 และ 16 ส่วนคาํ วา่ ARTE หมายถงึ ฝี มือ ซ่ึงรวมถึง ความรู้ของการใช้วสั ดขุ อง ศลิ ปินด้วย เชน่ การผสมสีสําหรับลงพนื ้ การเขียนภาพสีนํา้ มนั หรือการเตรียม และการใช้วสั ดอุ ่ืน

องค์ประกอบท่ีสาคัญในงานศลิ ปะ 1. รูปแบบ (FORM) ในงานศลิ ปะ หมายถึง รูปร่างลกั ษณะที่ศลิ ปินถา่ ยทอดออกมาให้ปรากฏเป็นรูปธรรมในงานศลิ ปะ อาจแบง่ ออกได้เป็น 3 ชนิด คอื 1.1 รูปแบบธรรมชาติ (NATURAL FORM) ได้แก่ นํา้ ตกภผู า ต้นไม้ ลาํ ธาร กลางวนั กลางคืน ท้องฟ้ า ทะเล 1.2 รูปแบบเรขาคณิต (GEOMETRIC FORM) ได้แก่ สเี่ หลีย่ ม สามเหล่ยี ม วงกลม ทรงกระบอก 1.3 รูปแบบนามธรรม (ABSTRACT FORM) ได้แก่ รูปแบบท่ีศลิ ปินได้สร้ างสรรค์ขนึ ้ มาเอง โดยอสิ ระ หรืออาจตดั ทอน (DISTROTION) ธรรมชาติ ให้เหลือเป็นเพยี งสญั ลกั ษณ์(SYMBOL) ท่ีสื่อความหมายเฉพาะตวั ของศลิ ปินซ่ึงรูปแบบท่ี กลา่ วมาข้างต้น ศิลปินสามารถท่ีจะเลือกสรรนํามาสร้างเป็นงานศลิ ปะ ตามความรู้สกึ ที่ประทบั ใจหรือพงึ พอใจในสว่ นตวั ของศลิ ปิน 2. เนือ้ หา (CONTENT) หมายถงึ การสะท้อนเรื่องราวลงไปในรูปแบบดงั กลา่ ว เชน่ กลางวนั กลางคนื ความรักการ เปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมืองและคณุ คา่ ทางการจดั องคป์ ระกอบทางศลิ ปะ เป็นต้น 3. เทคนคิ (TECHNIQUE) หมายถงึ ขบวนการเลอื กสรรวสั ดตุ ลอดจนวธิ ีการสร้างสรรค์ นํามาสร้างศลิ ปะชิน้ นนั ้ ๆ เช่น สี นํา้ มนั สชี อล์ก สีนํา้ ในงานจติ รกรรม หรือไม้ เหลก็ หนิ ในงานประตมิ ากรรมเป็นต้น 4. สนุ ทรียศาสตร์(AESTHETICAL ELEMENTS) ซึง่ มี 3 อยา่ ง คอื ความงาม (BEAUTY) ความแปลกหแู ปลกตา (PICTURESQUENESS) และความนา่ ทึ่ง (SUBLIMITY)ซงึ่ ศลิ ปกรรมชนิ ้ หนึง่ อาจมที งั ้ ความงามและความน่าทึง่ ผสมกนั ก็ ได้ เชน่ พระพทุ ธรูปสมยั สโุ ขทยั อาจมที งั้ ความงามและความน่าทงึ่ รวมอย่ดู ้วยกนั การท่ีคนใดคนหนงึ่ มสี นุ ทรียะธาตใุ น ความสํานกึ เรียกวา่ มีประสบการณ์ทางสนุ ทรียศาสตร์(AESTHETHICAL EXPERIENCE) ซงึ่ จะต้องอาศยั การเพาะบ่มทงั ้ ในด้านทฤษฎีตลอดจนการให้ความสนใจเอาใจใสร่ ับรู้ต้อการเคลอ่ื นไหวของวงการศิลปะโดยสมาํ่ เสมอเช่น การชม นิทรรศการท่ีจดั ขนึ ้ ในหอศลิ ป เป็นต้นเมือ่ กลา่ วถงึ งานศลิ ปกรรมและองคป์ ระกอบ ท่ีสําคญั ในงานศลิ ปะแล้วหากจะย้อน รอยจากความเป็นมาในอดีตจนถงึ ปัจจบุ นั แล้ว พอจะแยกประเภทการสร้างสรรค์ของศลิ ปินออกได้เป็น 3 กลมุ่ ดงั นี ้ 1. กลมุ่ ทีย่ ึดรูปธรรม (REALISTIC) หมายถงึ กลมุ่ ที่ยึดรูปแบบท่ีเป็นจริงในธรรมชาตมิ าเป็นหลกั ในการสร้างงานศลิ ปะ สร้างสรรคอ์ อกมาให้มลี กั ษณะคล้ายกบั กล้องถ่ายภาพ หรือตดั ทอนบางสงิ่ ออกเพยี งเลก็ น้อย ซงึ่ กลมุ่ นีไ้ ด้พยายาม แก้ปัญหาให้กบั ผ้ดู ทู ี่ไมม่ ปี ระสบการณ์ทางศลิ ปะ และสามารถสอ่ื ความหมายระหวา่ งศิลปะกบั ผ้ดู ไู ด้ง่ายกวา่ การ สร้างสรรค์ผลงานในลกั ษณะอ่ืนๆ 2. กลมุ่ นามธรรม (ABSTRACT) หมายถึง กลมุ่ ที่ยดึ แนวทางการสร้ างงานท่ีตรงข้ามกบั กลมุ่ รูปธรรม ซง่ึ ศลิ ปินกลมุ่ นีม้ งุ่ ท่ี จะสร้างรูปทรง (FORM) ขนึ ้ มาใหมโ่ ดยท่ีไมอ่ าศยั รูปทรงทางธรรมชาตหิ รือหากนําธรรมชาติมาเป็นข้อมลู ในการสร้างสรรค์

กจ็ ะใช้วธิ ีลดตดั ทอน (DISTORTION) จนในที่สดุ จะเหลือแตโ่ ครงสร้างท่ีเป็นเพียงสญั ญาลกั ษณ์ และเชน่ งานศลิ ปะของ มอนเดียน (MONDIAN) 3. กลมุ่ ก่ึงนามธรรม (SEMI-ABSTRACT) เป็นกลมุ่ อย่กู ่ึงกลางระหวา่ งกล่มุ รูปธรรม(REALISTIC) และกล่มุ นามธรรม (ABSTRACT) หมายถึง กลมุ่ ท่ีสร้างงานทางศลิ ปะโดยใช้วธิ ีลดตดั ทอน(DISTORTION) รายละเอียดท่ีมีในธรรมชาตใิ ห้ ปรากฏออกมาเป็นรูปแบบทางศลิ ปะ เพื่อผลทางองค์ประกอบ(COMPOSITION) หรือผลของการแสดงออก แตย่ งั มี โครงสร้างอนั บง่ บอกถงึ ที่มาแตไ่ มช่ ดั เจน ซ่งึ เป็นผลท่ีผ้เู ขียนได้กลา่ วนําในเบอื ้ งต้นจากการแบง่ กลมุ่ การสร้างสรรค์ของ ศลิ ปินทงั ้ 3 กลมุ่ ท่ีกลา่ วมาแล้วนนั ้ มีนกั วชิ าการทางศลิ ปะได้เปรียบเทียบเพ่ือความเข้าใจ คือ กลมุ่ รูปธรรม (REALISTIC) เปรียบเสมอื นการคดั ลายมอื แบบตวั บรรจง กลมุ่ นามธรรม (ABSTRACT) เปรียบเสมือนลายเซ็น กลมุ่ กึ่งนามธรร (SEMIABSTRACT)เปรียบเสมอื นลายมือหวดั มนุษย์กับศลิ ปะ หากกลา่ วถึงผลงานศิลปะทําไมจะต้องกลา่ วถึงแตเ่ พียงสง่ิ ท่ีมนษุ ย์สร้างขนึ ้ มาเท่านนั้ จอมปลวกรังผงึ ้ หรือรังนกกระจาบ ก็ นา่ ที่จะเป็นสถาปัตยกรรมชนิ ้ เย่ียม ที่เกิดจากสตั ว์ตา่ งๆ เหลา่ นนั้ หากเราจะมาทําความ เข้าใจถงึ ท่ีมาของการสร้างกพ็ อจะ แยกออกได้เป็น 2 ประเดน็ ประเดน็ ท่ี 1 ทําไมจอมปลวก รังผงึ ้ หรือรังนกกระจาบสร้างขนึ ้ มาจึงไมเ่ รียกวา่ งานศลิ ปะ ประเดน็ ที่ 2 ทําไมสง่ิ ที่มนุษย์สร้างสรรคข์ นึ ้ มาถงึ เรียกวา่ เป็น ศลิ ปะ จากประเดน็ ที่ 1 เราพอจะสามารถวเิ คราะห์ถงึ สาเหตทุ ี่เราไมเ่ รียกวา่ เป็นผลงานศลิ ปะเพราะปลวก ผงึ ้ และนกกระจาบ สร้างรัง หรือจอมปลวกขนึ ้ มาด้วยเหตผุ ลของสญั ชาตญาณท่ีต้องการความปลอดภยั ซึ่งมอี ยใู่ นตวั ของสตั วท์ กุ ชนดิ ท่ี จําเป็นต้องสร้างขนึ ้ มาเพอ่ื ป้ องกนั ภยั จากสตั วร์ ้ายตา่ งๆ ตลอดจนภยั ธรรมชาติ เช่น ฝนตกแดดออก เป็นต้น หรืออาจ ต้องการความอบอนุ่ สว่ นเหตผุ ลอีกประการหนึง่ คือ จอมปลวก รังผงึ ้ หรือรังนกกระจาบนนั้ ไมม่ กี ารพฒั นาในเรื่องรูปแบบ ไมม่ ีการสร้างสรรค์ให้ปรากฏรูปลกั ษณ์แปลกใหมข่ นึ ้ มายงั คงเป็นอยแู่ บบเดมิ และตลอดไป จึงไมเ่ รียกว่า เป็นผลงานศลิ ปะ แตใ่ นทางปัจจบุ นั หากมนษุ ย์นํารังนกกระจาบหรือรังผงึ ้ มาจดั วางเพ่อื ประกอบกบั แนวคิดสร้างสรรคเ์ ฉพาะตน เราก็อาจ จดั ได้วา่ เป็นงานศิลปะ เพราะเกิดแรงจงู ใจภายในของศลิ ปิน (Intrinsic Value) ที่เหน็ คณุ คา่ ของความงามตามธรรมชาติ นํามาเป็ นส่ือในการสร้ างสรรค์ ประเดน็ ท่ี 2 ทําไมสง่ิ ท่ีมนษุ ย์สร้างสรรค์ขนึ ้ มาถึงเรียกว่า ศลิ ปะ หากกล่าวถึงประเดน็ นีก้ ็มเี หตผุ ลอย่หู ลายประการซงึ่ พอจะกลา่ วถึงพอสงั เขป ดงั นี ้ 1. มนษุ ย์สร้ างงานศลิ ปะขนึ ้ มาโดยมีจดุ ประสงคห์ รือจดุ มงุ่ หมายในการสร้ าง เชน่ - ชาวอียิปต(์ EGYPT) สร้างมาสตาบ้า (MASTABA) ซึ่งมีรูปร่างคล้ายม้าหินสําหรับนงั่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมแท่งสงู ข้างบนเป็นพนื ้ ท่ีราบ มมุ ทงั ้ สีเ่ อียงลาดมาที่ฐาน เลก็ น้อย มาสตาบ้าสร้างด้วยหนิ ขนาดใหญ่ เป็นท่ีฝังศพขนุ นาง หรือผ้รู ํ่ารวยซงึ่ ตอ่ มาพฒั นามาเป็นการสร้างพีระมดิ (PYRAMID) เพอ่ื บรรจศุ พของกษัตริย์หรือฟาโรห์ (PHARAOH) มีการาบนํา้ ยาศพหรือรักษาศพไมใ่ ห้เนาเป่ื อยโดยทําเป็น

มมั มี่ (MUMMY) บรรจไุ ว้ภายใน เพ่ือรอวญิ ญาณกลบั คนื สรู่ ่าง ตามความเช่ือเรื่องการเกิดใหมข่ องชาวอียิปตก์ ารกอ่ สร้าง พทุ ธสถานเช่น สร้างวดั สร้างพระอโุ บสถ พระวหิ าร ศาลาการเปรียญ ในพทุ ธศาสนา มจี ดุ ประสงค์เพื่อใช้เป็นท่ีประกอบ พธิ ีกรรมทางศาสนา เพือ่ เป็นท่ีพาํ นกั ของสงฆ์ตลอดจนใช้เป็นที่เผยแพร่ศาสนา 2. มีการสร้ างเพือ่ พฒั นารูปแบบโดยไม่สนิ ้ สดุ จะเหน็ ได้จาก มนษุ ย์สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ (PREHISTORICAL PERIOD) ได้หลบภยั ธรรมชาติ ตลอดจนสตั วร์ ้ายเข้าไปอาศยั อยใู่ นถ้ํา เมื่อมีความเข้าใจในปรากฏการณ์ อนั เกดิ ขนึ ้ จากธรรมชาติ และประดิษฐ์เคร่ืองมอื เพื่อใช้เป็นท่ีอยอู่ าศยั จนในสมยั ตอ่ มา มีการพฒั นาการสร้างรูปแบบอาคารบ้านเรือนในรูปแบบ ตา่ งๆ ตามความเปลีย่ นแปลงของวฒั นธรรม และความเจริญทางเทคโนโลยีมีการใช้คอนกรีตเสริมเหลก็ และวสั ดสุ มยั ใหม่ เข้ามาชว่ ยในการก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน และสงิ่ ก่อสร้างตา่ งๆตลอดจนมีการพฒั นารูปแบบทางสถาปัตยกรรมให้ กลมกลืนกบั ธรรมชาติแวดล้อมเชน่ สถาปัตยกรรม “THE KAUF MANN HOUSE” ของแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ ที่รัฐ เพนซลิ วาเนีย สหรัฐอเมริกา 3. ความต้องการทางกายภาพที่เป็นปฐมภมู ิของมนษุ ย์ทกุ เชือ้ ชาตแิ ละเผา่ พนั ธ์ เพ่ือนํามาซึง่ ความสะดวกสบายในการ ดาํ เนินชีวติ ในสงั คมปัจจบุ นั ดงั จะเหน็ ได้จากเครื่องอปุ โภค บริโภคตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยตา่ งๆ ซึง่ เป็นผลติ ผลที่เกิดจาก ความคิดสร้างสรรคข์ องมนษุ ย์ทงั้ สนิ ้ ในทางศลิ ปะท่ีเช่นเดยี วกบั ศลิ ปินจะไมจ่ ําเจอยกู่ บั งานศลิ ปะท่ีมีรูปแบบเกา่ ๆ หรือ สร้างงานรูปแบบเดมิ ซํา้ ๆ กนั แตจ่ ะคดิ ค้นรูปแบบ เนือ้ หา หรือเทคนคิ ท่ีแปลกใหมใ่ ห้กบั ตวั เอง เพอื่ พฒั นาการสร้างงาน ศลิ ปะรูปแบบเฉพาะตนอย่างมลี าํ ดบั ขนั้ ตอน เพื่องา่ ยแกก่ ารเข้าใจจงึ ขอให้ผ้อู ่านทําความเข้าใจเกี่ยวกบั การสร้างสรรค์ ในทางศลิ ปะเสียกอ่ น เรื่องท่ี 5 ความงามตามทศั นศลิ ป์ สากล ความงามตามทศั นศลิ ป์ สากล การรับรู้ความงามทางศลิ ปะ สําหรับการรับรู้ความงามทางศลิ ปะของมนษุ ย์นนั้ สามารถรับรู้ได้ 2 ทาง คือ ทางสายตาจากการมองเห็น และทางหจู าก การได้ยนิ ซงึ่ แบง่ ได้ 3 รูปแบบดงั นี ้ 1. ทศั นศลิ ป์ (Visual Art) เป็นงานศลิ ปะท่ีรับสมั ผสั ความงามได้ด้วยสายตา จากการ มองเห็นงานศลิ ปะสว่ นใหญ่จะ เป็นงานทศั นศลิ ป์ ทงั้ สนิ ้ ได้แก่ จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปัตยกรรม มณั ฑนาศิลป์ อตุ สากรรมศลิ ป์ พาณิชย์ศลิ ป์ 2. โสตศลิ ป์ (Audio Art) เป็นงานศลิ ปะท่ีรับสมั ผสั ความงามได้ด้วยหู จากการฟังเสยี ง งานศิลปะ ที่จดั อยใู่ นประเภท โสตศลิ ป์ ได้แกด่ นตรี และ วรรณกรรม

3. โสตทศั ฯศลิ ป์ (Audiovisual Art) เป็นงานศลิ ปะท่ีรับสมั ผสั ความงามทางศลิ ปะได้ทงั ้ สองทาง คือจากการมองเหน็ และจากการฟัง งานศลิ ปะประเภทนีไ้ ด้แก่ ศิลปะการแสดงนาฏศลิ ป์ การละคร การภาพยนตร์ววิ ฒั นาการของทศั นศลิ ป์ สากลศลิ ปะของชาตติ า่ งๆ ในซีกโลกตะวนั ตกมลี กั ษณะใกล้เคยี งกนั จงึ พฒั นาขนึ ้ เป็นศิลปะสากลความเช่ือมีอทิ ธพิ ลตอ่ พฤตกิ รรมมนษุ ย์ทงั้ ความคดิ การแสดงออก และการดําเนินชีวติ โดยเฉพาะในงานศลิ ปกรรมมีรูปแบบความงามหลาย แบบ ที่เกิดจากพลงั แห่งความศรัทธาจากความเช่ือถือในเรื่องตา่ งๆ รูปแบบความงามอันเน่ืองมาจากความเช่อื ถอื จะปรากฏเป็นความงามตามความคิดของช่างในยคุ นนั้ ผสมกบั ฝี มอื และเคร่ืองมือที่ยงั ไมค่ อ่ ยมีคณุ ภาพมากนกั ทําให้งานจิตรกรรมในยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ดไู มค่ อ่ ยงามมากนกั ในสายตา ของคนปัจจบุ นั 1. ศลิ ปะสมัยกลาง (Medieval Arts) ทัศนศลิ ป์ อันเน่ืองมาจากคริสต์ศาสนา ความเช่อื ในสมัยกลาง ซ่งึ เป็นชว่ งเวลาท่ีศาสนาคริสตเ์ จริญรุ่งเรืองถงึ ขดี สดุ มีอทิ ธพิ ลตอ่ การดําเนินชีวติ และการ สร้างสรรคง์ านศลิ ปกรรมของชาวตะวนั ตกโดยมีความเชื่อวา่ ความงามเป็นสงิ่ ที่พระเจ้าสร้างขนึ ้ มาโดยผ่านทางศลิ ปิน เพื่อ เป็นการแสดงถึงความศรัทธาอยา่ งยิ่งในพระเจ้าศิลปินต้องสร้างผลงานโดยแสดงถึงเรื่องราวของพระคริสตพ์ ระสาวกความ เชื่ออนั นีม้ ีผลตอ่ ทศั นศลิ ป์ ดงั นี ้ สถาปัตยกรรม เชน่ โบสถ์สมยั กอธคิ เป็นสถาปัตยกรรมท่ีมีลกั ษณะสงู ชลดู และสว่ นที่สงู ท่ีสดุ ของโบสถ์จะเป็นท่ีตงั้ ของ กางเขนอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ เพื่อใช้เป็นท่ีตดิ ตอ่ กบั พระเจ้าบนสรวงสวรรค์ มกี ารแตง่ เพลงและร้องกนั อย่ใู นโบสถ์ Notre Dame อย่ทู ี่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโบสถ์ท่ีสร้างแบบกอธิคท่ี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู วั รัชกาลท่ี 5 ได้ ทรงโปรดให้ถ่ายแบบแล้วนํามาสร้างไว้ที่วดั นเิ วศธรรมประวตั บิ างปะอนิ จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา จติ รกรรม กแ็ สดงเนือ้ หาของคริสต์ศาสนารวมไปถงึ ทศั นศลิ ป์ แขนงอื่นๆ ด้วย

2. ศลิ ปะไบเซนไทร์(Bizentine) ความเช่ือยคุ แรกแห่งศลิ ปะเพ่อื คริสต์ศาสนา เมอ่ื อาณาจกั รโรมนั ลม่ สลายลง ในยโุ รปได้แยกเป็นประเทศตา่ งๆและเป็น ช่วงที่คําสอนของศาสนาคริสต์ได้รับความเช่ือถือและใช้เป็นแนวทางในการดําเนินชีวติ ของประชาชน โดยเฉพาะในยคุ สมยั ไบเซนไทร์ซง่ึ ถือวา่ เป็นอาณาจกั รแหง่ แรกของคริสตศ์ าสนาศลิ ปินและช่างทกุ สาขาทํางานให้แก่ศาสนา หรือทํางาน เพือ่ สง่ เสริมความศรัทธาแหง่ คริสต์ศาสนา สถาปัตยกรรม สร้างโบสถ์วหิ ารเพอื่ เป็นสญั ลกั ษณ์และสถานท่ีปฏบิ ตั พิ ธิ ีกรรมต่างๆ ประตมิ ากรรม มกี ารแกะสลกั รูปพระคริสตแ์ ละสาวกด้วยไม้หนิ และภาพประดบั หนิ สที ี่เรียกวา่ โมเสก

3. ฟื้นฟูศลิ ปวทิ ยา (Renaissanee) ความเช่ือเน่ืองจากอาณาจกั รไบเซนไทร์เป็นยคุ ของการฟื น้ ฟศู ลิ ปวทิ ยา (Renaissame) หมายถึงการนํากลบั มาอีกครัง้ หนงึ่ เน่ืองจากได้มีการค้นพบซากเมอื งของพวกกรีกและโรมนั ทําให้ศลิ ปินหนั กลบั มานิยมความงามตามแนวคิดของกรีก และโรมนั อีกครัง้ หนง่ึ เร่ืองที่ 6 ธรรมชาตกิ บั ทศั นศลิ ป์ ธรรมชาตกิ บั ทศั นศลิ ป์ มนุษย์เป็ นส่วนหน่ึงของธรรมชาติ ธรรมชาติ สามารถบอกถึงประสบการณ์ และสงิ่ ตา่ งๆท่ีผา่ นมาในอดีตได้ ซึ่งถือวา่ ”ธรรมชาติ” เป็นครู”ของมนษุ ย์ เม่ือ มนษุ ย์มคี วามคดิ สร้างสรรค์ มนษุ ย์กจ็ ะพจิ ารณาสง่ิ ตา่ งๆจากธรรมชาตทิ ี่ตนมีสว่ นร่วมอยแู่ ล้วนํามาดดั แปลงสรรค์ใหมโ่ ดย พยายามเลอื กหาวธิ ีการอนั เหมาะสมตามทกั ษะและความชํานาญท่ีตนมีอยู่ เพื่อสร้างเป็นผลงานของตนขนึ ้ ใหม่ มนษุ ย์อาศยั ธรรมชาตใิ นการดํารงชีวติ ผลผลติ สว่ นใหญ่ท่ีใช้ในการดํารงชีวติ เกือบทงั้ หมดก็มาจากธรรมชาตทิ งั้ สนิ ้ วสั ดุ จากธรรมชาตทิ ี่มนุษย์นํามาสร้างสรรคป์ ระกอบด้วย

1. พชื 2. หนิ กรวด 3. ทราย 4. ดนิ เร่ืองท่ี 7 ความคดิ สร้างสรรค์การตกแตง่ ร่างกาย ท่ีอย่อู าศยั ความคดิ สร้างสรรคก์ ารตกแตง่ ร่างกาย ท่ีอย่อู าศยั และผลติ ภณั ฑ์ มนษุ ย์มคี วามคิดสร้างสรรค์อย่ตู ลอดเวลา ตามแตป่ ระสบการณ์มากน้อยของแตล่ ะบคุ คล การออกแบบเป็นสว่ นหนง่ึ ของ ความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของมนษุ ย์ 1. ออกแบบตกแต่งท่อี ย่อู าศยั เป็นการออกแบบทกุ อย่างภายในและบริเวณรอบบ้านให้สวยงามสะดวกแก่การใช้สอย โดยใช้วสั ดทุ ่ีมีอยหู่ รือจดั หามาโดยใช้หลกั องค์ประกอบศลิ ป์ 2. ออกแบบให้กับร่างกาย เป็นการออกแบบร่างกายและสงิ่ ตกแตง่ ร่างกายให้สวยงาม เหมาะสม และถกู ใจ เชน่ การ ออกแบบทรงผม เสอื ้ ผ้า เคร่ืองประดบั การใช้เครื่องสาํ อาง โดยอาศยั หลกั การทางศลิ ปะและความคดิ สร้างสรรค์ 3. ออกแบบผลิตภัณฑ์ หมายถงึ ความคดิ สร้างสรรค์เก่ียวกบั รูปร่างลกั ษณะภายนอกของผลติ ภณั ฑ์เพอื่ ให้เกิดรูปแบบที่ แปลกใหมแ่ ละเป็นจดุ สนใจในธรุ กจิ ด้านอตุ สาหกรรม 4. ออกแบบสานักงาน การจดั ห้องทํางาน โต๊ะ สํานกั งาน เก้าอี ้ในและนอกสถานท่ีทํางานที่ได้รับการออกแบบและ สร้างสรรค์ให้น่าทํางานตลอดจนสะดวกในการใช้สอยซง่ึ แบง่ การออกแบบได้เป็น 2 ประเภทคือ 1. ออกแบบตกแตง่ ภายใน ได้แกการออกแบบตกแตง่ ภายในอาคารทกุ ประเภททงั้ หมดเชน่ การออกแบบตกแตง่ ภายใน บ้าน ภายในสํานกั งาน ภายในอาคารสาธารณะ แม้กระทงั้ การออกแบบตกแตง่ ภายในยานพาหนะ เป็นต้น

การออกแบบตกแตง่ ภายในท่ีพกั อาศยั การออกแบบตกแตง่ หน้าร้านค้า การออกแบบตกแตง่ ภายใน สํานกั งาน การออกแบบตกแตง่ ภายในยานพาหนะ 2. การออกแบบตกแต่งภายนอก ได้แกก่ ารออกแบบตกแตง่ สวนและบริเวณภายนอกอาคาร รวมทงั้ การออกแบบภมู ทิ ศั น์ ในสว่ นพนื ้ ที่สาธารณะ เช่นสวนสาธารณะ ถนน สะพาน ฯลฯ

การออกแบบตกแตง่ สวน ขนาดใหญ่ การออกแบบสวนในบ้านโดยใช้วสั ดหุ นิ ต้นไม้ และนํ้ารวมกนั การออกแบบสวนในบ้านโดยเลยี นแบบธรรมชาติ การตกแตง่ ภายนอกโดยการจดั สวนที่เกาะกลางถนน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook