Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore jmhr_admin,+Journal+editor,+17-30

jmhr_admin,+Journal+editor,+17-30

Description: jmhr_admin,+Journal+editor,+17-30

Search

Read the Text Version

วารสาร มจร มนุษยศาสตรป์ รทิ รรศน์  ความรพู้ ้นื ฐานเกี่ยวกบั การพดู Basic knowledge of Speaking ศิริรตั น์ กลยะณี พระมหาขวญั ชัย กิตตฺ ปิ าโล บทคดั ย่อ บรรดาทักษะด้านการใช้ภาษาทั้ง 4 อันประกอบไปด้วย การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน ทักษะการพูดเป็นทักษะด้านการแสดงออก(Productive Skill) ส่วนทักษะการฟังเป็น ทักษะดา้ นการรับ (Receptive Skill) ซ่ึงท้ังทักษะการพดู และทกั ษะการฟงั นับเป็นทักษะที่มนุษย์ใช้ เพอ่ื สอ่ื ความหมายควบคู่กันไปและนิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากมนุษย์ต้องใช้ทักษะทั้งสองเพ่ือส่ือสาร ความหมายเพ่ือสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน ผู้พูดสามารถใช้เคร่ืองมือส่ือสารท่ีธรรมชาติให้มา ท้ังการ ใชป้ ากเพ่อื เปล่งถ้อยคาออกมาเป็นภาษาพดู (Verbal Communication) และการใช้กิริยาท่าทาง สี หนา้ แววตา ฯ ล ฯ หรืออวจนะภาษา (Non-Verbal Communication) เพื่อประกอบการพูด ทา ให้สามารถส่ือสารความหมายไปยงั ผ้ฟู งั ได้มีประสทิ ธภิ าพมากข้ึน การพดู เปน็ ทั้งศาสตร์และศิลป์ท่ีจะ ทาให้ผู้พูดสามารถส่ือความหมายที่ตนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกนึกคิด ความเข้าใจ ความ ปรารถนา และอารมณ์ ไปยังผู้ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ การพูดเป็นเคร่ืองมือสาหรับส่ง สารไปยังผู้รับสาร และผู้รับสารก็เข้าใจในส่ิงท่ีผู้พูดต้องการจะสื่อความหมายและตอบสนองหรือมี ปฏิกริ ยิ าตอ่ สารทตี่ นได้รบั ในทางใดทางหนง่ึ เชน่ พยักหนา้ รับ หัวเราะ ปรบมือ ส่ายศีรษะ และอ่ืนๆ เปน็ ต้น คาสาคัญ: ทักษะ, การพูด, การแสดงออก ABSTRACTS The four language skills include listening, speaking, reading and writing speaking skills as productive skills. The listening skill is a receptive skill, which is both a skill and a skill. Speaking and listening skills it is a skill that people use to communicate alongside and most commonly used. Because human beings need to use both skills to communicate meaning to create a mutual understanding. Speakers can use natural communication tools. Both oral and verbal communication and non-verbal communication for speech. This makes it possible to communicate meaning to the audience more effectively. Speaking as both โรงเรียนบา้ นทา่ หนามแก้วสวนกล้วย ต.หนองเทา อ.ทา่ อุเทน จ.นครพนม ภาควชิ าภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั

 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2558 science and art will give the speaker the meaning they need. Whether it is the feeling, the understanding, the desire, and the emotion to the listener, the speech is a tool for sending messages to the recipient. And the audience understands what the speaker wants to convey and responds or reacts to the substance he or she receives in some way, such as nodding, laughing, applause, shaking head and so on. Keywords: Skill, Speech, Expression 1. บทนา การพูดเป็นศาสตร์ การพูดเป็นศาสตร์ เน่ืองจากเป็นวิชาที่มีหลักเกณฑ์ มีทฤษฎี มี กฎเกณฑ์ และหลักการเรียนรู้อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการ อีกท้ังยังสามารถถ่ายทอดกัน ได้ เช่น หลักเกณฑ์การออกเสียงจัดเป็นสัทศาสตร์ การแสดงกิริยาอาการจัดเป็นจริยศาสตร์ และการติดต่อสื่อสารจัดเป็นสังคมศาสตร์ เป็นต้น เพราะคาว่า “ศาสตร์” นั้น ประกอบด้วย ลักษณะ 3 ประการคอื 1) มลี กั ษณะเฉพาะตวั (Characteristics) 2) มีองค์ความรู้ (Body of knowledge) 3) มีวิธกี ารเฉพาะตัว (Method of Inquiry knowledge) การพูดจึงนับได้ว่า เป็น “ศาสตร์” เพราะต้องประกอบด้วยลักษณะเฉพาะตัวต่างจากอีก 3 ทักษะ (ฟงั อา่ น และเขยี น)ประการหน่งึ ต้องมีองค์ความรู้เก่ียวกับการพูดในลักษณะต่าง ๆ ประการหน่ึง และตอ้ งมีวิธีการ มีหลักการ มีกฎเกณฑ์ และวิธีการถ่ายทอด ปฏิบัติ ฝึกฝน เช่นเดียวกับสาขาวิชาแขนง อนื่ ๆ ประการหนึ่ง การพูดเป็นศิลป์ การพูดเป็นศิลปะ เน่ืองจากต้องนาหลักเกณฑ์ท่ีได้เรียนรู้ไปปฏิบัติ จริง โดยต้องใช้ความสามารถในการเรียงร้อยถ้อยคาหรือเรียบเรียงถ้อยคา วลี และประโยคอย่างมี ศิลปะ เพื่อสื่อ “สาร” หรือ ส่ง “สาร” ไปยังกลุ่มผู้ฟัง ทาให้เกิดความสละสลวยทางด้านการใช้ ภาษาในการสื่อสารและยังทาให้ผู้ฟังประทับใจอีกด้วย เนื่องจากกระบวนการการใช้ทักษะการพูด เพ่ือส่ือสารนน้ั ตอ้ งผา่ นกระบวนการคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการถึงวิธีการท่ีจะส่ือความหมายให้ เกิดประสทิ ธภิ าพนนั่ เอง 2. ความหมายของการพดู การพูดนั้น มผี ใู้ ห้คานิยามไว้หลายประการดว้ ยกัน ดงั น้ี การพดู เป็นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความร้สู กึ หรอื ความต้องการของผู้พูด เพ่ือสื่อ ความหมายไปยังผู้ฟัง โดยใช้ถ้อยคา น้าเสียงและอากัปกริยาท่าทางจนเป็นท่ีเข้าใจกันได้ (จุไรรัตน์ ลกั ษณะศิริ และบาหยนั อมิ่ สาราญ, 2550: 135)

วารสาร มจร มนุษยศาสตรป์ รทิ รรศน์  การพูด หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ และความรู้สึกของผู้พูดโดยใช้ ถ้อยคา น้าเสียง สีหน้า แววตา รวมทั้งกิริยาท่าทางต่างๆ เพ่ือให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายและ ตอบสนองวัตถุประสงค์ทีต่ ้องการ (สมชาย สาเนียงงาม 2545: 139) การพูด คือ การใช้ถ้อยคา น้าเสียง รวมทั้งกิริยาอาการถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึกและความตอ้ งการของผพู้ ูดให้ผู้ฟังรับรู้และเกิดการตอบสนอง (สวนิต ยมาภัยและถิรนันท์ อนวัชศิรวิ งศ,์ 2547: 11) การพูด คือการถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความรู้สึกหรือความต้องการด้วยถ้อยคา น้าเสียง และกิริยาท่าทางให้ผู้ฟังรับรู้และตอบสนองตามที่ผู้พูดต้องการ (อาไพ สุจริตกุลและธิดา โมสิกรัตน,์ 2544: 397) กล่าวโดยสรุป การพูด หมายถึง พฤติกรรมการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของผู้พูดเพ่ือสื่อความหมายไปยังผู้ฟังโดยใช้ถ้อยคา น้าเสียง สีหน้า แววตา และ กริ ิยาท่าทาง เพือ่ ใหผ้ ้ฟู ังรับร้เู ขา้ ใจ และสนองตอบตอ่ สารทผ่ี ้พู ดู ได้สอ่ื ไปยงั ผู้ฟงั 3. ความสาคญั ของการพดู การพูดเปน็ สง่ิ ที่จาเปน็ และสาคัญที่สุดสาหรับบุคคลในทุกสาขาอาชีพ ต้ังแต่ข้าราชการ นักการเมือง นักวิชาการ นักบริหาร นักธุรกิจ ทหาร ตารวจ แพทย์ พยาบาล พ่อค้า แม่ค้า พระภิกษุ ฯ ล ฯ เนื่องจากกลุ่มคนทุกสาขาอาชีพต้องอาศัยการพูดเพื่อสื่อสารความหมายท่ี ต้องการไปยังผู้ฟัง โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟังนั่นเอง ในสังคมไทยนั้น มผี ทู้ ่มี องเหน็ ความสาคญั และคุณค่าของการพดู มากมาย ดังน้ี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ กล่าวไว้ว่า มนุษย์เราจะติดต่อ แลกเปล่ียนความรู้สึกนึกคิดกันได้ ก็ด้วยอาศัยการพูดเป็นสาคัญ จะติดต่อกันฉันเพื่อนเพื่อสังสรรค์ สามัคคีกัน ก็ต้องอาศัยคาพูด จะติดต่อกันทางธุรกิจเป็นการทามาค้าขาย ก็ต้องอาศัยคาพูด จะ ติดต่อกันทางการปกครองและทางการบ้านการเมืองก็ต้องอาศัยคาพูด ถ้าจะให้คนชอบท่านและ นยิ มท่าน ทา่ นจะตอ้ งมสี ังคหวตั ถุ 4 ซงึ่ อยา่ งหน่ึงไดแ้ ก่ ปิยวัจนะ วาจาอันเปน็ ท่รี กั ใครอ่ อ่ นหวาน หลวงวจิ ติ รวาทการ ก็ไดก้ ล่าวถึงความสาคัญของการพูดไว้ว่า วิชานักพูด เป็นศิลปะอัน สาคัญอนั หนึง่ และผทู้ ่ีเป็นนกั พดู ก็ต้องนับวา่ เปน็ ผมู้ ศี ลิ ปะอันประเสริฐอันหนึ่งเหมือนกัน นักพูดเป็น บคุ คลจานวนหนง่ึ พวกหนึ่ง ซึ่งทาให้โลกน้ีเป็นที่ร่ืนรมย์ นักพูดที่ดี ๆ ย่อมสามารถจะดับความทุกข์ และใหค้ วามสขุ แกค่ นทง้ั หลายโดยการปลกุ หรือปลอบหัวใจด้วยคาพูดอันฉลาดของเขา การที่นักพูด เป็นท่ีพอใจของคนท้ังหลายน้ัน ก็เพราะเหตุว่าเขาได้ใช้คาพูดของเขาเป็นเคร่ืองทาความสุขความ ร่ืนรมย์ให้แก่บุคคล คาพูดของนักพูดท่ีดี ๆ ย่อมจะเป็นยาอันประเสริฐสาหรับชโลมหัวใจ พระพุทธเจ้าเป็นนักพูดที่ประเสริฐสุดคนหน่ึงของโลก ใครจะเศร้าโศก ทุกข์ร้อน ขุ่นหมองอย่างไร ถ้าได้เข้าถึงพระองค์แล้ว ความเศร้าโศกทุกข์ร้อนและขุ่นหมองน้ันก็พลันหายและความสุขความ สบายกจ็ ะมขี ึน้ มาแทนที่ เพราะเหตุฉะนี้ วิชานักพูด จึงเป็นศิลปะและมีประโยชน์อย่างยิ่งอันหนึ่งใน โลก

 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2558 สุนทรภู่ กวีเอกของไทยก็ได้กล่าวถึงความสาคัญของการพูดไว้ในนิราศภูเขาทองตอน หนงึ่ วา่ \"ถงึ บางพดู พดู ดีเป็นศรศี กั ด์ิ มคี นรกั รสถ้อยอรอ่ ยจิต แมน้ พูดช่ัวตวั ตายทาลายมิตร จะชอบผดิ ในมนษุ ยเ์ พราะพูดจา\" หรือในบทกวีนิพนธ์ช่ือเพลงยาวถวายโอวาท ของสุนทรภู่ ก็ มีวรรคทองที่บ่งบอกถึงความสาคัญของการพูดไว้ ดงั น้ี \"อนั ออ้ ยตาลหวานลิน้ แลว้ สิน้ ซาก แตล่ มปากหวานหูไม่รู้หาย แมน้ เจบ็ อ่ืนหมนื่ แสนจะแคลนคลาย เจบ็ จนตายนั้นเพราะเหน็บใหเ้ จบ็ ใจ\" หรือหน่ึงในวรรคทองบางตอนจาก \"พระอภัยมณี\" ว่า “เปน็ มนษุ ยส์ ดุ นิยมเพียงลมปาก จะได้ยากโหยหวิ เพราะชวิ หา แมน้ พดู ดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพเิ คราะห์ใหเ้ หมาะความ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สวัสด์ิ บันเทิงสุข ได้กล่าวถึงความสาคัญของการพูดโดย เปรยี บเทยี บกับดนิ สอไว้โดยสรปุ ได้ว่า คุณคา่ ของดนิ สอดามิได้อยทู่ ่กี ารพยายามแปลความหมายของ ดินสอดา แต่คุณค่าของดินสอดาข้ึนอยู่กับผู้ใช้ว่าจะสามารถใช้ดินสอดาเขียนสิ่งท่ีมีคุณค่าข้ึนมา ได้มากน้อยเพียงใด การพูดก็เป็นเช่นดินสอดา กล่าวคือ ความสาคัญของการพูดมิได้อยู่ท่ีการ พยายามจะสรรหาถ้อยคาที่ไพเราะเสนาะหูมาเพ่ือให้ความหมายของการพูด แต่อยู่ที่ประสิทธิภาพ ในการพูดต่างหาก แม้แต่ถ้อยคาสานวนหรือวลีเก่ียวกับคาพูดที่มีผู้รู้ผูกไว้เป็นคาสั้น ๆ แต่คมคาย ลึกซ้ึง ก็ เป็นการบ่งบอกถึงการใหค้ วามสาคญั กบั การพูด เช่น \"ปากเป็นเอก เลขเปน็ โท หนงั สอื เปน็ ตรี ชั่วดีเปน็ ตรา\" \"พดู ดเี ปน็ ศรแี กต่ ัว พูดชัว่ อัปราชยั \" “คนที่พูดจะขายไดแ้ ม้กระทั่งแกลบ แต่คนที่ไม่พูดจะไม่สามารถขายได้แม้กระท่ังข้าวสาร”... ภาษติ อนิ เดีย “คาพูดเหน็บแนมท่ีเฉียบแหลมรุนแรงย่อมเชือดเฉือนได้ลึกกว่าคมอาวุธ” ...คติ ฝรง่ั เศส \"พูดความจริงแค่ครึง่ เดียวก็คือการโกหกทัง้ หมด\" ...ภาษติ ชาวยิว \"การพูดให้ร้ายไม่ทาให้คนดีเป็นคนเลว เพราะเมื่อน้าลดหินก็ยังอยู่ท่ีเดิม\"...ภาษิต จนี ในพระพุทธศาสนา ก็มีคาสอนท่ีชี้ให้เห็นถึงความสาคัญของการพูดไว้เช่นกัน โดย ปรากฏอยใู่ นหนังสืออรรถกถาธรรมบท ขุททกนิกาย ภาคท่ี 3 ดงั นี้ ยถาปิ รุจริ ปปุ ผฺ วณฺณวนฺต อคนฺธก เอว สุภาสติ า วาจา อผลา โหติ อกุพพฺ โต

วารสาร มจร มนษุ ยศาสตร์ปรทิ รรศน์  ยถาปิ รุจิร ปุปผฺ วณฺณวนตฺ สคนธฺ ก เอว สุภาสติ า วาจา สผลา โหติ สกุ พุ ฺพโต ฯ คาแปล ดอกไม้ งาม มีสีสวย แต่ไม่มีกลิ่น ฉันใด วาจาสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่บุคคลผู้ไม่ทาตาม ฉันน้ัน แต่วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่ผู้ทาตามด้วยดี เหมือนดอกไม้งาม มีสีสวย และมีกล่ินหอม ฉะน้นั “มนุญฺ เมว ภาเสยยฺ ” ควรกล่าวแตว่ าจาที่น่าพอใจ ฯ ขุ. ชา. เอก. 27/10. “โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ” การเปล่งวาจางาม ย่อมสาเร็จประโยชน์ ฯ ขุ. ชา. เอก. 27/28. จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่า ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกภาษา ต้องก็ให้ความสาคัญกับ การพูด ซึ่งเป็นศาสตร์และศิลป์ที่มนุษย์ต้องเรียนรู้และฝึกฝนจนสามารถนาไปปฏิบัติจริงจนเห็น ผลได้ ซงึ่ ความสาคญั ของการพดู มิใช่จากดั อยู่แคก่ ารรู้จักพดู แตส่ ง่ิ ท่ีเปน็ กศุ ลและเป็นประโยชน์ท้ังต่อ ตนเองและสังคมส่วนรวมเท่าน้ัน แต่การฝึกฝนพัฒนาตนเองด้านการพูด ยังเป็นปัจจัยทาให้ผู้ฝึกฝน ได้เป็นนักวางแผน นักคิด นักสร้างสรรค์อีกด้วย เน่ืองจากการพูดน้ัน เป็นกระบวนการที่ต้องผ่าน การคน้ คว้า การคดิ อย่างรอบคอบ การวิเคราะห์ มีการวางแผนการพูด ต้องรู้จักและเข้าใจผู้ฟัง และ ต้องเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง ดังนั้น การฝึกฝนทักษะด้านการพูดจึงเป็นการพัฒนา ศักยภาพตนเองท้ังในด้านกายภาพและด้านความคิด เพ่ือปรับบุคลิกภาพของตนเองให้เหมาะกับ สังคม ซึง่ เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนอย่างสันติอีกช่องทางหน่ึง เพราะเหตุดังกล่าวน้ี การพูด จึงเปรียบเสมือนบันไดสาคัญข้ันแรกของมนุษย์ในการสมาคมและเป็นสะพานเช่ือมไปสู่ความสาเร็จ ในชวี ิตได้ การพูดมีความสาคญั ต่อมนษุ ยห์ ลายประการ เชน่ การพูดทาให้มนุษย์เข้าใจซ่ึงกนั และกนั การพูดเปน็ เคร่อื งมอื ส่ือสารสาคญั ทสี่ ุดที่จะทาใหม้ นุษย์ท่อี ย่กู นั ในสังคมมีความเข้าใจกัน มากขึ้น เป็นเคร่ืองมือที่สร้างความสัมพันธ์กันทาให้เกิดความรู้สึกท่ีดีต่อกันและกัน และยังเป็น เครอ่ื งมอื ท่ีทาให้มนษุ ยไ์ ดเ้ ปิดเผยตนเองไปสโู่ ลกกว้างทงั้ ในระดบั บคุ คล ระดับกลุ่ม และระดับชาติได้ อกี ดว้ ย การพดู ทาใหเ้ กดิ การรบั รู้ความหมายร่วมกนั มนุษย์เป็นสัตว์สังคมท่ีต้องอยู่ร่วมกัน ดังน้ัน ในการสร้างความเข้าใจเพ่ือให้มีแนวทาง ปฏิบัติอย่างเดียวกัน เพื่อประโยชน์สุขแห่งสังคมที่ตนอาศัยอยู่ จึงจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องรับรู้ ความหมายของสงิ่ ตา่ ง ๆ รว่ มกัน รวมไปถึงการกระทาและคาพูดด้วย การพูดจาปราศรัยต่อกันและ กนั เพอื่ ส่อื ความหมายจึงทาให้มนุษย์เกดิ ความเข้าใจในส่งิ ตา่ ง ๆ ไดต้ รงกนั การพูดทาใหเ้ กิดการตอบสนองระหวา่ งมนุษย์ดว้ ยกนั การสื่อสาร อย่างน้อยที่สุดก็เป็นไปในลักษณะ 2 ทาง (Two-way Communication) กล่าวคือ มีผู้ส่งสารและผู้รับสาร เม่ือผู้พูดสื่อความหมายท่ีต้องการจะส่ือไปยังผู้ฟัง โดยใช้ภาษา กิรยิ าทา่ ทาง และอวจั นภาษาอ่นื ๆ ซึ่งม่งุ ให้ผฟู้ ังเข้าใจสารได้ง่ายและสามารถตอบสนองกลับไปยังผู้

 ปีที่ 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2558 พดู ได้ ทาใหก้ ารสื่อสารระหว่างมนษุ ย์ด้วยกันประสบความสาเร็จ หากผูพ้ ดู ส่ือสารเน้ือหาสาระที่ผู้ฟัง เข้าใจได้ยาก ผฟู้ ังก็อาจตอบสนองในทางลบ เชน่ สา่ ยหนา้ หรอื การตอบสนองแบบอื่น ๆ เชน่ กนั การพดู ช่วยเสริมสร้างลักษณะผนู้ าทีด่ ี การฝึกพดู อยเู่ สมอจะชว่ ยเสริมสร้างลกั ษณะผู้นาไดเ้ ป็นอย่างดี ซ่ึงลักษณะผู้นาที่ดีน้ันจะ แฝงอยู่ในตัวนักพูดที่ดีนั่นเอง เน่ืองจากการฝึกพูดต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมสาหรับการพูดในแต่ ละครั้ง อันจะทาให้ผู้พูดได้เตรียมความพร้อมหลายด้าน ซึ่งก่อให้เกิด คุณลักษณะผู้นาท่ีดี 14 ประการ ดงั น้ี ลักษณะทา่ ทางหรอื การวางตัว (Bearing) การพูดจะทาให้ผู้พูดรู้จักสร้างความประทับใจในเรื่องท่าทาง การวางตัว และความ ประพฤติให้อยู่ในระดับสูงสุดเป็นท่ีนิยมของผู้อ่ืนอยู่ตลอดเวลา มีความสุภาพนุ่มนวลหลีกเล่ียงการ พดู ด้วยถอ้ ยคาหยาบคาย หรือเหยยี ดหยามผู้อื่น เป็นบุคคลที่มีความสง่าผ่าเผย ควบคุมตนเองได้ทั้ง ในการปฏบิ ตั ิตน และอารมณ์ แตง่ กายสะอาดเรียบรอ้ ยถูกตอ้ งตามระเบียบแบบแผน ความกล้าหาญ (Courage) การพูดเปน็ การบังคับจิตใจตนเองให้อยู่ในอาการอันสงบ มุ่งเน้นในเรื่องที่จะพูด ไม่เกรง กลัวว่าจะเกิดอะไรข้ึน ไม่สะทกสะท้านหรืออ่อนไหว กล้าทา กล้าพูด กล้ายอมรับผิดหรือคาติ เตยี น เมื่อมคี วามผดิ พลาด หรอื บกพรอ่ ง ยึดมนั่ ในสง่ิ ทถี่ กู ท่ีควร ความเดด็ ขาด (Decisiveness) การพูดเป็นการฝึกให้เกิดความสามารถในการตกลงใจโดยฉับพลัน หรือเป็นการฝึก ทกั ษะการแสดงไหวพริบและปฏิภาณในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และประกาศข้อตกลงใจอย่างเอา จริง และชัดแจ้ง โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ รวมท้ังประสบการณ์ของตนเองและบุคคลอ่ืน อย่างมเี หตผุ ลและมคี วามมั่นใจ ความไว้เนือ้ เช่ือใจ (Dependability) การพูดจะทาให้การได้รับความไว้วางใจในการปฏิบัติงานตามหน้าท่ี หรืองานท่ี มอบหมายได้ถกู ต้องไมผ่ ดิ พลาด ด้วยความคล่องแคล่ว ว่องไว เฉลียวฉลาด กระทาการอย่างเต็ม ความสามารถและพิถพี ถิ ัน เปน็ คนตรงต่อเวลา ไมก่ ลา่ วคาแกต้ ัว มคี วามต้ังใจ และจริงใจ ความอดทน (Endurance) การพดู จะทาใหผ้ ู้พดู เกดิ พลงั ทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งวัดได้จากขีดความสามารถในการ ทนต่อความเจ็บปวด ความเหน็ดเหนื่อยเม่ือยล้า ความยากลาบาก ความเคร่งเครียด งาน หนกั รวมถึงความอดกลน้ั ตอ่ สถานการณ์ทบ่ี บี คน้ั ความกระตือรอื รน้ (Enthusiasm) การพูดช่วยให้ผู้พูดสามารถแสดงออกซึ่งความสนใจอย่างจริงจัง และมีความจดจ่อต่อ การปฏบิ ัติงานอยา่ งจริงจัง กล่าวคือการพดู เปน็ การฝกึ ฝนให้เกิดความคิดในแงด่ เี สมอ ความรเิ ร่มิ (Initiative)

วารสาร มจร มนุษยศาสตรป์ ริทรรศน์  การพูดทาให้ผู้พูดเร่ิมรู้จักใช้ความคิดในการสร้างสรรค์และพัฒนาตนเองด้านต่าง ๆ และเรม่ิ หาหนทางแนวทางในการพูดใหม่ ๆ ท่ดี มี ีประสิทธิภาพมากกว่าเดมิ ความซือ่ สตั ยส์ จุ รติ (Integrity) การพูดสร้างคุณลักษณะความเท่ียงตรงแห่งอุปนิสัยและยึดมั่นอยู่ในหลักแห่งศีลธรรม อันดีงามเป็น คุณสมบัติของการรักความจริง รักษาวาจาสัตย์ตลอดเวลา คาพูดทุกคาต้องถูกต้อง เปน็ จรงิ ทงั้ เรอื่ งที่เปน็ ทางการและส่วนตัว ยืนหยัดในเรื่องท่ีถูกต้อง และสานึกในหน้าท่ีการงานของ ตน ความพินจิ พิเคราะห์ (Judgment) การพูดทาให้ผู้พูดมีคุณสมบัติในการใคร่ครวญ โดยใช้เหตุผลตามหลัก ตรรกวิทยา เพ่ือให้ได้มูลความจริงและหนทางแก้ไขท่ีน่าจะเป็นไปได้นามาใช้ในการตกลงใจได้ ถูกตอ้ ง ความยุตธิ รรม (Justice) การพูดจะทาใหผ้ ูพ้ ูดมีความเที่ยงตรง ไมเ่ ลือกทีร่ กั มักที่ชัง มคี วามเสมอต้นเสมอปลายใน การนาเสนอข้อมลู ความรูต้ ่อผฟู้ งั รจู้ ักเลอื กสรรสิง่ ที่ดีมีสาระมานาเสนอ ความรอบรู้ (Knowledge) การฝึกพูดทาให้ผู้พูดต้องสืบค้นข้อมูลข่าวสารท่ีจะนามาเสนอ ท้ังในวิชาชีพที่ตน เกย่ี วข้องและไม่เกี่ยวขอ้ ง ซง่ึ เป็นเหตุใหผ้ พู้ ูดเปน็ ผ้มู ีความรอบร้รู อบด้าน ความจงรกั ภักดี (Loyalty) การฝึกพูดจะทาให้ทราบว่าอะไรควรหรือไม่ควร ท่ีสาคัญต้องให้ความเคารพต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมท้ังยังต้องประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีมีจิตใจเช่ือมั่นใน ระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ พระประมุข ความร้จู กั กาลเทศะ (Tact) ลกั ษณะผนู้ าอีกประการหนึ่งก็คอื ความสามารถในการปฏิบัติตนกับบุคคลอื่นโดยไม่เกิด ความขุ่นข้องหมองใจ ไม่ก่อให้เกิดศัตรูหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในทัศนะของบุคคลท่ัวไป กาลเทศะ ยังหมายถึง ความสามารถที่จะพูด หรือทาส่ิงหน่ึงส่ิงใดได้ถูกต้อง เหมาะสมแก่กาลเวลาและ สถานท่ี ความสุภาพออ่ นโยนถอื เปน็ สว่ นหนง่ึ ของกาลเทศะดว้ ย ความไม่เหน็ แก่ตัว (Selfless) นักพูดที่ดีต้องไม่ฉวยโอกาส ตักตวงความสุข ความสะดวกสบาย ความเจริญก้าวหน้า ให้กบั ตนเอง โดยไม่ทาใหผ้ ูอ้ ่นื เดือดร้อนหรอื เสยี ผลประโยชน์ (research.crma.ac.th) ความเป็นประชาธปิ ไตย การฝกึ ฝนพัฒนาตนเองให้เปน็ นักพูดท่ีดี ทาให้มีจิตใจท่เี ป็นประชาธิปไตย กล่าวคือ เป็น ผทู้ ยี่ อมรับความคดิ เห็นทแี่ ตกต่าง น้อมรบั คาตาหนิเพอ่ื นาไปแกไ้ ขพฒั นาให้ดขี ้ึน ทาให้พฒั นาบคุ ลิกภาพ

 ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 1 มกราคม-มถิ ุนายน 2558 การฝึกฝนการพูดทาให้มีโอกาสได้พัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะกับกาลเทศะ บุคคล สถานท่ี อันจะนามาสู่ความน่าเช่ือถือในสายตาผู้ฟัง ทาให้ผู้ฟังประทับใจเพียงแค่ได้เห็น และรู้สึก เป็นกนั เองกบั ผูพ้ ดู 4. องค์ประกอบของการพูด การพูด เป็นการส่ือสารที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการ (Process) ท่ีต่อเนื่อง กล่าวคือ เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือระหว่างบุคคลต่อกลุ่ม โดย ใชส้ ญั ลักษณ์ สญั ญาณ หรอื พฤตกิ รรมทเี่ ข้าใจกนั ได้ ซ่ึงมอี งค์ประกอบ 5 ประการ ดงั น้ี ผู้พูด หรือ ผู้ส่งสาร (Sender/Encoder) ได้แก่ ผู้ที่ทาหน้าท่ีถ่ายทอดความรู้ ความคิดไปสู่ผู้ฟัง ผู้พูดต้องรู้จักใช้ภาษา น้าเสียง หน้าท่าทางอย่างเหมาะสม ตลอดจนใช้อุปกรณ์ ตา่ ง ๆ ประกอบเพื่อให้การพดู บรรลุจุดมุง่ หมาย บางครั้งผู้พูดก็หมายถงึ กล่มุ บคุ คลได้เชน่ กัน ผู้ฟัง หรือ ผู้รับสาร (Receiver/Recipient /Decoder) ได้แก่ ผู้ท่ีเป็นเป้าหมายท่ีผู้ พูดต้องการจะสื่อสารไปถึง หรือผู้ฟัง ดังนั้น การท่ีผู้ฟังจะเข้าใจในส่ิงที่ผู้พูดต้องการจะส่ือสารมาก เพียงใดขึ้นอยู่กับระดับความรู้ การตอบสนองต่อสาร เช่น การพยักหน้า ปรบมือ ยิ้ม หัวเราะ ก้ม หน้า ขมวดควิ้ ฯลฯ และความนา่ เชือ่ ถือของผู้ส่งสาร สาร/หรือเนื้อหาท่ีพูด (Massage) ได้แก่ เนื้อหาที่ผู้พูดต้องการจะส่ือสาร เป็นส่ิงท่ีจะ ทาใหผ้ ู้ฟังไดต้ อบสนองกลบั ไปยังผพู้ ูด ดงั นั้น ในกระบวนการส่ือสาร เนื้อหาสาระต้องมีความถูกต้อง ชัดเจน มีประโยชน์ เปน็ ไปในทางสรา้ งสรรค์ ส่ือ/ช่องทางติดต่อ (Media/Medium/Channel) หมายถึง ช่องทางท่ีผู้พูดใช้ส่งสาร ไปยงั ผู้รับสารหรอื ผู้ฟงั ซึง่ ผพู้ ดู ต้องรู้จักเลือกช่องทางที่จะสือ่ สารเนื้อหาไปยังผฟู้ งั ให้เหมาะสม และผู้ พดู จะเลอื กทางใดเพ่อื สอ่ื สารก็ขน้ึ อยู่กับลกั ษณะของสารท่จี ะสง่ ด้วยเช่นกัน การตอบสนอง (Feedback/response) ได้แก่ ปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นหลังจากท่ีผู้ฟังได้ยิน สารที่ถูกส่งมา แล้วตอบสนองกลับไปยังผู้ส่งสารหรือผู้พูด อาจเป็นการตอบสนองด้วยวาจา หรือ ภาษากายกไ็ ด้ และการตอบสนองอาจเป็นได้ทง้ั ทางบวก เช่น หัวเราะ ปรบมือ ยิ้ม เป็นต้น และทาง ลบ เช่น สา่ ยหนา้ ไม่สนใจ ขมวดควิ้ เป็นตน้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการสื่อสารน้ี ต้องอยู่ภายใต้บริบท (Context) ท้ังบริบททาง กายภาพและบริบททางสังคม หรือบริบททางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน และผู้พูดต้องรู้จักเลือกเน้ือหา สาระท่ีจะพูดภายในบริบทดังกล่าวระกอบของการพูดข้างต้น เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า กระบวนการ สอ่ื สาร ซ่ึงสามารถแสดงได้ดว้ ยแผนภาพดังท่ี Wilber Schramm (1954) ได้แสดงไวด้ งั น้ี

วารสาร มจร มนุษยศาสตรป์ รทิ รรศน์  แผนภาพท่ี 1 แสดงการสอ่ื สารดว้ ยการพูดของ Wilber Schramm (1954) ฮาโรลด์ ดี ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) นักรัฐศาสตรช์ าวอเมรกิ นั ไดเ้ สนอบทความ ทเ่ี ป็นการเริม่ ต้นอธิบายการสื่อสารที่มีคนรู้จักมากที่สุด ในปี พ.ศ. 2491 โดยเสนอว่า วิธีที่สะดวกที่ จะอธบิ ายการกระทาการสือ่ สารกค็ ือ การตอบคาถามต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี 1. ใคร (who) 2. กล่าวอะไร (says what) 3. ผา่ นช่องทางใด (in which channel) 4. ถงึ ใคร (to whom) 5. เกิดผลอะไร (with what effect) จากรูปแบบการส่ือสารของลาสเวลล์ สามารถเขียนเป็นแบบจาลองการส่ือสารได้ดังน้ี แตเ่ มือ่ พิจารณาองค์ประกอบการส่อื สารของ ลาสเวลล์ สามารถอธิบายไดด้ ังนี้ “ใคร” หมายถึง ผสู้ ง่ สาร (Sender) “กล่าวอะไร” หมายถงึ ตวั สาร/เน้อื หาสาระ (Message) “ผ่านชอ่ งทางใด” หมายถึง ส่ือ (Medium/Channel) “ถึงใคร” หมายถงึ ผรู้ บั สาร (Receiver) “เกิดผลอะไร” หมายถึง ผลท่เี กิดขนึ้ (Effect) จากรูปแบบการส่ือสารดังกล่าว ลาสเวลล์ มิได้กล่าวถึงบริบททางวัฒนธรรม เช่น การ สอ่ื สารในครอบครวั เป็นต้น ดงั น้ัน ในการส่ือสาร จงึ ควรคานึงถงึ บริบทด้านวฒั นธรรมด้วยเพื่อจะได้ เขา้ ใจความหมายแห่งการส่ือสารไดอ้ ย่างครบถ้วนสมบรู ณ์ ผู้สง่ สาร-ผู้รับสาร (Sender-Receiver) ในกระบวนการส่ือสาร ผู้ส่งสาร กับ ผู้รับสาร ต่างก็มีบทบาทสาคัญร่วมกัน ในการสนทนา ผู้ส่ง สารและผรู้ บั สารตา่ งกส็ ลับกันส่งและรับสารในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผู้ฟังอาจส่งสารหรือมีปฏิกิริยาต่อสาร ทไี่ ดร้ ับด้วยการแสดงกิริยาอาการหรือท่าทางกลับไปยังผู้พูดได้น่ันเอง เช่น การสนทนาพูดคุยกันสองคน ท้ัง สองคนเป็นท้งั ผสู้ ง่ สาร-ผ้รู ับสาร แมแ้ ต่ในการอ่านเอกสาร ตารา หนังสือ หรืออ่ืน ๆ ผู้อ่านเป็นผู้รับสาร ส่วน ผเู้ ขยี นเปน็ ผสู้ ง่ สาร

 ปที ี่ 1 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2558 บทบาทของผสู้ ง่ สาร(Role of Sender) 1. ผสู้ ง่ สารมคี วามปรารถนาทจี่ ะให้ผรู้ บั สารรู้และเขา้ ใจความประสงค์ของตนว่าต้องการ จะสอ่ื อะไร เช่น แจ้งให้ทราบ หรอื ว่าบอกให้ทาตาม เป็นต้น 2. ผ้สู ง่ สารตอ้ งมีความร้ใู นเนือ้ หาสาระของเร่ืองท่ีต้องการจะส่อื สารอยา่ งพอเพียง 3. ผู้ส่งสารต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความเข้าใจในองค์ความรู้ที่จะสื่อสารอย่างถ่อง แท้ 4. ผู้ส่งสารต้องเข้าใจศักยภาพท่ีจะรับสารของผู้ที่ตนสื่อสาร เช่น เข้าใจความประสงค์ ของผู้รบั สาร เข้าใจพืน้ ฐานความรแู้ ละประสบการณข์ องผรู้ บั สาร และทัศนคตขิ องผรู้ ับสาร 5. เป็นผู้รู้จักเลือกวิธีการสื่อสารอย่างเหมาะสมในการนาเสนอต่อผู้รับสาร เช่น ทักษะ ดา้ นภาษาหรอื การใชอ้ ปุ กรณ์ในการสือ่ สาร เปน็ ตน้ บทบาทของผรู้ บั สาร(Role of Receiver) 1. เข้าใจความหมายของสารทสี่ ่งมาถึงตน 2. ตอบสนองต่อสาร 3. ตดิ ตามขอ้ มูลขา่ วสารเปน็ นิจ 4. สามารถตีความหมายไดต้ รงกับสารที่ผูส้ ่งสารประสงค์ 5. สนใจสารที่ผ้สู ง่ สารสอื่ มาถงึ สาร (Message) สารคือเน้ือหาที่มีความหมายและแสดงออกมาในรูปแบบของภาษา รูปภาพ หรือ รูปแบบอื่น ๆ ท่ีผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถเข้าใจตรงกันได้ ดังนั้น สารจึงประกอบไปด้วย องคป์ ระกอบ 2 ส่วน คือ 1) เนอ้ื หา 2) ภาษาหรอื สญั ลักษณ์อื่น ๆ ทีใ่ ช้สาหรบั สอ่ื สาร เน้อื หาของสาร (Body of Message) เนื้อหาของสารนั้น ได้แก่ องค์ความรู้และประสบการณ์ที่มนุษย์ได้สะสมมาต้ังแต่อดีต จนถงึ ปจั จบุ นั โดยมกี ารสบื ทอดความร้แู ละประสบการณ์ผ่านกระบวนการสื่อสารนั่นเอง เนื้อหาของ สารมี 2 ประเภท คอื 1) ข้อเท็จจริง และ 2) ข้อคิดเหน็ 1. ขอ้ เท็จจริง ขอ้ เทจ็ จริง หมายถงึ สารท่แี จ้งใหท้ ราบถึงความจริงดา้ นกายภาพและสามารถตรวจสอบ ได้ ไม่ว่าสารนนั้ จะเป็นสารที่ถกู ต้องหรอื เปน็ เท็จก็ตาม ขอ้ เท็จจริงจึงมีท้ังส่วนที่เก่ียวข้องกับคน สัตว์ สถานที่ สงิ่ ของ เหตุการณ์ตา่ ง ๆ 2. ขอ้ คดิ เห็น ข้อคิดเห็น หมายถึง สารที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของผู้ส่งสาร อาจเป็นความเชื่อ ทัศนคติ มุมมอง ความรู้สึกต่อข้อเท็จจริง และเป็นเร่ืองยากท่ีจะตรวจสอบได้ว่า สารน้ันเป็นจริงหรือไม่ ข้อคิดเห็นอาจแบ่งเปน็ ขอ้ คดิ เห็นเชงิ ประมาณคา่ เชงิ แนะนา เชิงต้ังข้อสังเกต เชิงตัดสินใจ เชิงแสดง อารมณ์ ส่อื หรือชอ่ งทางติดตอ่ (Medium/Channel)

วารสาร มจร มนษุ ยศาสตร์ปรทิ รรศน์  สิ่งที่จะขาดไม่ได้อีกประการหนึ่งของกระบวนการส่ือสารก็คือ สื่อหรือช่องทางในการ สือ่ สารทีท่ าหนา้ ท่ีนาสารไปสูผ่ รู้ ับสาร ช่องทางการส่ือสาร เป็นองค์ประกอบที่สาคัญอย่างหนึ่งของ การส่ือสารข้อมูลซึ่งหมายถึง ส่ือกลางการส่งผ่านสารระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ในการส่ือสาร ข้อมูลผ่านช่องทางการส่ือสารนี้หากระหว่างการส่ือสาร เกิดมีอุปสรรคเกี่ยวกับช่องทางส่ือสารก็จะ ทาให้ผู้ส่งสารไม่สามารถส่งสารไปยังผู้รับสารได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากน้ี ยังต้องรู้จัก เลือกใช้ส่ือหรือช่องทางติดต่อให้เหมาะสมกับบริบททางวัฒนธรรมทางสังคมและบุคคลหรือกลุ่ม บคุ คลอีกดว้ ย ตัวอย่างเช่น การสอ่ื สารระหว่างบคุ คลในครอบครัว ใช้การพูดกนั ปกติธรรมดา และวิธี พดู กไ็ มเ่ ป็นทางการ ใชแ้ คเ่ สียง กับการแสดงกิริยาอาการที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นไป แต่ถ้า เป็นการสื่อสารกันระหว่างกลุ่มและในท่ีชุมชนที่เป็นทางการ ผู้พูดก็ต้องเลือกใช้สื่อท่ีเป็นเอกสาร ภาพ กระดานดา แผนภมู ิ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ้ค โปรเจคเตอร์ ประกอบคาพูด รวมไปถึงกิริยาท่าทาง เพือ่ ใชเ้ ปน็ ช่องทางสาหรับสง่ สารไปยังกล่มุ ผู้รับสาร ดังน้นั สอ่ื หรอื ชอ่ งทางตดิ ตอ่ ท่มี นุษย์ใช้สาหรับการสื่อสารมีมากมายหลายประการ อาจ เปน็ ส่ือธรรมชาติซ่ึงหมายถึงวัตถุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ อาจเป็นสื่อมนุษย์ซึ่งเป็นผู้นาสารเอง เช่น คน เล่านิทาน เป็นต้น อาจเป็นส่ือส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ อาจเป็นสื่ออิเลคทรอนิคส์ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศพั ท์ คอมพิวเตอร์ เปน็ ตน้ หรืออาจเปน็ ส่อื ผสม ซ่ึงเป็นส่ือที่นาสื่อท่ีไม่สามารถจัดประเภทได้มา ใช้สอ่ื สาร เชน่ ป้ายโฆษณา เปน็ ต้น 5. ผลทเ่ี กิดขน้ึ จากการสอื่ สาร (Effect) ในกระบวนการสื่อสาร การท่ีจะถือวา่ การสอ่ื สารเกิดข้ึนอยา่ งสมบูรณ์นั้น ต้องมีปฏิกิริยา ตอบสนองจากผรู้ บั สารอย่างใดอย่างหน่ึง ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองด้านบวกหรือด้านลบก็ตาม ซ่ึง การตอบสนองนั้น เป็นกระบวนการท่ีผู้รับสารมีการเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือพฤติกรรมต่อสารที่ส่ง มาถึงตนนั่นเอง ตวั อยา่ งเชน่ ในดา้ นการชุมนุมทางการเมือง ผู้ชุมนุมรับสารเกี่ยวกับการเชิญชวนให้ไป เลือกต้ัง โดยกลุ่มผู้ส่งสารมีความประสงค์จะโน้มน้าวผู้ฟังให้หันมาเลือกผู้สมัครรับเลือกต้ังจากฝ่ายตน ผู้พูดใช้ลีลาโวหารในการโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังคล้อยตามในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังการแสดงสีหน้า ท่าทาง ถ้อยคา หากผู้ฟังชื่นชอบ ก็จะตอบสนองต่อสารที่ส่งมาด้วยการปรบมือ ชูมือแสดงความชื่นชอบ หรือ ท่าทางอื่น ๆ ประกอบในการตอบสนอง ผลท่ีเกิดข้ึนในลักษณะนี้ ถือได้ว่า เป็นการส่ือสารท่ีครบถ้วน สมบรู ณ์ หรืออาจเรยี กว่าเปน็ ผลท่ีเกิดข้ึนสมเจตนาของผู้ส่งสารกไ็ ด้ ประเภทของการพูด การพูดอาจแบ่งตามเกณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายแบบด้วยกัน ในท่ีนี้จะกล่าวถึงการพูด 2 ประเภท คอื 1. ประเภทการพดู ทีแ่ บ่งตามวัตถปุ ระสงค์ 2. ประเภทการพูดท่ีแบ่งตามวธิ กี ารพดู ประเภทท่ี 1 การพูดทแ่ี บง่ ตามวัตถุประสงค์ 1) การพูดเพือ่ ใหค้ วามรู้

 ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 1 มกราคม-มถิ นุ ายน 2558 การพูดประเภทนี้ เป็นการพูดเพื่อให้ความรู้ เป็นการพูดอธิบาย ช้ีแจง แสดงเหตุผล เก่ียวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะให้ผู้ฟังได้รับความรู้ ความเข้าใจเน้ือหาสาระอย่าง ครบถ้วน ผู้พูดจึงต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าและศึกษาค้นคว้าเรียบเรียงข้อมูลและนาเสนออย่างมี ข้ันตอนเป็นลาดับ เพ่ือให้ผู้ฟังฟังได้ง่ายและเข้าใจ หากผู้ฟังมีข้อปัญหาท่ีสงสัย ก็สามารถซักถามได้ และผ้พู ูดจะตอ้ งตอบคาถาม หรืออธิบายให้จัดเจน การพูดในลักษณะน้ีมีหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น การอบรม ปฐมนิเทศ บรรยายสรุป การอธิบาย การสาธิต การแถลงการณ์ การประกาศ รวมไปถึง การเรยี นการสอนดว้ ย 2) การพดู เพื่อจงู ใจหรอื โน้มน้าวใจ การพดู เพือ่ จูงใจหรอื โนม้ นา้ วใจ มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อชักชวน เชิญชวน หรือเกล้ียกล่อมให้ ผฟู้ งั คล้อยตามและปฏบิ ัติตาม หรือโน้มน้าวใหผ้ ้ฟู ังยกเลิกไม่กระทาอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้พูดจะต้องใส่ อารมณ์ ความรู้สึกท่ีจริงใจประกอบการพูด เพ่ือแสดงให้เห็นว่า ผู้พูดมีความเชื่อเช่นน้ัน การพูดใน ลักษณะน้ีนิยมใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การโฆษณาสินค้า การปลุกเร้าให้เกิดปฏิกิริยามวลชน การ ชักชวนให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง การโน้มน้าวให้ใช้สินค้าไทย การเชิญชวนให้บริจาค เงนิ ทาบญุ เป็นตน้ 1. การพดู เพ่ือจรรโลงใจ การพูดเพ่ือจรรโลงใจ เป็นการพูดท่ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือจะอธิบาย หรือบรรยายคุณงาม ความดี ความประณีตงดงาม ตลอดจนเร่ืองราวบันเทิงใจ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเพลิดเพลิน รู้สึก สบายใจ และไดร้ ับคณุ ค่าด้านจติ ใจ การพดู ในลกั ษณะน้นี ยิ มใชใ้ นโอกาสต่าง ๆ เช่น การแสดงความ ยินดี การกล่าวสดุดียกย่องบุคคล การกล่าวในงานร่ืนเริง การกล่าวคาปราศรัย การให้โอวาท เป็น ต้น 2. การพดู เพือ่ หาคาตอบ การพูดลักษณะนี้ เปน็ การพูดทม่ี จี ดุ มุ่งหมายเพอ่ื ค้นหาขอ้ เท็จจริง ความรู้ ความเห็นของ ผู้ฟังในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ผู้พูดจะต้องรู้จักการใช้ภาษาท่ีถูกต้อง เหมาะสม เรียบเรียงถ้อยคาและ ความคิดเพื่อส่ือความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจนตรงตามที่ต้องการ การพูดเพื่อหาคาตอบน้ันนิยม ใช้ในโอกาสต่าง ๆ เชน่ การสอบสัมภาษณ์ การสอบถามข้อมูล และการปรึกษาปญั หาตา่ ง ๆ เปน็ ต้น ประเภทท่ี 2 การพูดท่ีแบ่งตามวิธพี ดู 1. การพูดโดยไม่มกี ารเตรียมตวั ลว่ งหนา้ (The Impromptu Speech) 2. การพดู โดยอา่ นตน้ ฉบบั (The Speaking from Manuscripts) 3. การพดู โดยการท่องจาเน้ือหา (The Memorized Speaking) 4. การพูดโดยมีบันทึกหรือมีการเตรียมตัวล่วงหน้า (The Extemporaneous Speaking) คุณสมบตั ิทดี่ ีของนกั พูด นักพูดที่ดีนอกจากจะรู้จักวิธีใช้ถ้อยคา น้าเสียง กิริยาท่าทางท่ีดูดีแล้ว ผู้พูดท่ีดีควรมี คณุ สมบัติดงั น้ี

วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์  เป็นนกั ฟงั ท่ดี ี ผู้จะเป็นนักพูดท่ีดีได้น้ัน จะต้องเป็นผู้ฟังท่ีดีก่อน เพราะจะทาให้ได้ทบทวนความรู้เดิม ได้ เพมิ่ เตมิ ความรู้ใหม่ ไดเ้ ขา้ ใจเนอื้ หาอยา่ งแจม่ แจ้ง แฝงไวด้ ว้ ยการยอมรับความคดิ เห็น นอกจากน้ี การรู้จักฟัง ยังเป็นการช่วยให้ผู้ฟังได้สังเกต จดจาถ้อยคา คาคม ข้อคิดต่างๆ อีก ท้ังจดจาลีลาท่าทาง บุคลิกลักษณะ รูปแบบการพูด รวมไปถึงการใช้น้าเสียงของนักพูดท่ีหลากหลาย เพื่อ นามาประยกุ ตใ์ ช้หรอื นามาเป็นแนวทางในการพัฒนาการพูดของตนต่อไปอีกด้วย คุณสมบัติของนักฟังท่ีดี ตอ้ งไม่ส่งเสียงดงั ต้งั ใจฟัง ไม่ขัดจังหวะของการพูดท้ังโดยการคุยกันเองหรือว่าคุยทางโทรศัพท์ และมีส่วน ร่วมในการพดู เชน่ พยกั หนา้ รับ ยมิ้ เมือ่ ไดฟ้ งั เรอ่ื งท่ชี วนหวั เราะ เป็นต้น เปน็ นกั จา เปน็ นักจด เป็นนกั อ่าน เปน็ นกั คิด เนอื่ งจากปัจจบุ ันเป็นยุคสงั คมขอ้ มูลขา่ วสาร (Information Age) ดังนั้น ข้อมูลความรู้ในทุก ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี การศึกษา การแพทย์ ฯ ล ฯ หรือวิทยาการใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองและ พัฒนาไปอยา่ งรวดเรว็ ดังนนั้ นกั พูดทดี่ ตี ้องร้จู กั สงั เกต จดจาเหตุการณ์ต่าง ๆ อ่านหนังสือ หรือค้นคว้าหา ความรู้เพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้หลาย ๆ ทาง เช่น อินเตอร์เน็ต ส่ือมัลติมีเดีย และสื่อส่ิงพิมพ์อื่น ๆ เพ่ือ พัฒนาเพิ่มเติมองค์ความรู้ใหม่ ๆ ให้กับตนเองตลอดเวลา แล้วสรุปแนวคิดสาระสาคัญไว้ด้วยภาษาของ ตนเองเพื่อเก็บเอาไว้เป็นคลังข้อมูลประกอบการพูด หากนักพูดไม่อ่าน ไม่จด ไม่จา ไม่คิดสร้างสรรค์ ยอ่ มจะกลายเปน็ คนตกยคุ และไม่เป็นท่ตี อ้ งการอกี ต่อไป มีบุคลกิ ภาพเหมาะสม นา่ เช่ือถอื บุคลิกภาพเป็นพฤตกิ รรมการแสดงออกโดยภาพรวมขณะปรากฏตัวต่อสาธารณชน ทั้งที่ รู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยมีคนอื่นมองอยู่หรือรู้สึกกับสิ่งท่ีเราแสดงออก ดังน้ัน นักพูดที่ดีจึงต้องมีการ ระมัดระวงั และตกแต่งเสรมิ เติมใหบ้ ุคลกิ ภาพของเรายง่ิ น่ามอง และเปน็ ทป่ี ระทบั ใจของผฟู้ ัง บรรณานกุ รม คณาจารย์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2549. เอกสารการสอนชุดวิชาการสอนกลุ่มทักษะ 1 (ภาษาไทย). นนทบุรี : สานักพิมพ์มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. คณาจารย์มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.2555. ประมวลสาระชุดวิชาภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร. นนทบุรี : สานกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. สวนิต ยมาภัย และถิรนันท์ อนวัชศิริวงศ์. 2551. หลักการพูด หน้าที่ชุมชน สื่อมวลชน และใน องค์กร. กรุงเทพมหานคร : วันดีดกี รุ๊ป. ฐนสจันทร์ วงศ์สุวรรณะ. 2547. การพูดเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ. กรุงเทพมหานคร : หจก. เทคนิค 19. ศุภรัตน์ แสงฉัตรแกว้ . 2554. การพูดในท่ชี มุ ชน. นครปฐม : โครงการตาราและหนังสือ คณะอักษร ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร.

 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 1 มกราคม-มิถนุ ายน 2558 จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อ่ิมสาราญ. 2554. ภาษากับการสื่อสาร, โครงการตาราและ หนังสอื คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. วาสนา บุญสม. 2543. แบบเรียนสาเร็จรูปภาษาไทย การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน. กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พ์ประกายแสง. ประชา อภิบาล. 2540. ศลิ ปะการพดู ที่ชนะใจคน, กรงุ เทพมหานคร : สานักพมิ พห์ อสมุดกลาง 09. อมั พร (พงษธ์ า) แก้วสุวรรณ. 2522. วชิ าการพดู . กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพบ์ รรณกิจ. สุภัชชา นาทอง. 2553. ศิลปะการพูด พูดอย่างไรให้ชนะใจคน, กรุงเทพมหานคร : ณ ดา สานกั พมิ พ.์ ขทุ ทกนิกาย ชาดก เอกนบิ าต. พระสุตตันตปฎิ ก เล่มท่ี 27 ขอ้ ท่ี 10. พระสริ ิมังคลาจารย์. 2528. มงั คลตั ถทปี นี ภาคท่ี 1. โรงพิมพ์มหามกุฎราชวทิ ยาลยั .


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook