1. อารยธรรมเมโสโปเตเมีย 1.1 สภาพทางภูมิศาสตร์ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ดินแดนเมโสโปเตเมีย (MESOPOTAMIA) คือบริเวณดินแดนท่ีต้งั อยรู่ ะหวา่ งแม่น้าไทกริส (TIGRIS) และยเู ฟรติส (EUPHRATES) หรือบริเวณประเทศอิรักในปัจจุบนั เป็นดินแดนท่ีมีความ เจริญรุ่งเรืองจนกลายเป็นอู่อารยธรรมที่สาคญั ของโลก ดินแดนแห่งน้ีมีความอุดมสมบูรณ์เน่ืองจาก แม่น้าท้งั สองสายท่วมทน้ ตล่ิงในฤดูใบไมผ้ ลิ เมื่อน้าลดพ้ืนดินจึงเตม็ ไปดว้ ยโคลนตมท่ีกลายเป็นปย ุยอนั อุดมสมบูรณ์ ทาใหบ้ ริเวณน้ีเหมาะแก่การเพาะปลกู และเล้ียงสัตว์ ดินแดนจากเมโสโปเตเมียไปจนถึง ชายฝ่ังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจึงมีช่ือวา่ ดินแดนพระจนั ทร์เส้ียวอนั อุดมสมบรู ณ์ (THE FERTILE CRESCENT) หรือ วงโคง้ แห่งความอุดมสมบูรณ์
1.2 การตัง้ ถ่นิ ฐานของชาตพิ ันธ์ุต่างๆ ผ้ตู งั้ หลกั แหลง่ พวกแรกของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย คือ พวกสเุ มเรียน ภายหลงั จากนนั้ จงึ มีพวกเซ มิติกและสาขา เช่น พวกฟินีเชียนอมอไรต์และฮบิ รู พวกอินโด-ยโู รเปี ยน และสาขา ได้แก่ พวกฮติ ไตท์ และเปอร์เซยี น อพยพจากดนิ แดนตอนเหนือเข้ามาตงั้ ถ่ินฐานในดินแดนเมโสโปเตเมียในเวลาต่อมา 1.3 ด้านการเมืองการปกครอง ชาวสเุ มเรียนรวมตวั กนั เป็นแว่นแคว้นแบบนครรัฐ มีเจ้าผ้คู รองนครทาหน้าที่เป็นผ้ปู กครองและผ้นู า ทางศาสนา มีฐานะเสมือนเทพเจ้าประจานคร ปกครองแบบนครรัฐอิสระไม่ขนึ ้ ตอ่ กนั ต่อมาเริ่มมีการ แยง่ ชิงดนิ แดนและแหล่งนา้ ระหวา่ งรัฐ จนในท่ีสดุ ถกู โจมตีจากพวกคาลเดียน ท่ีมีอานาจจนสามารถ ตงั้ อาณาจกั รท่ีมีศนู ย์กลางอย่ทู ี่กรุงบาบิโลน ภายหลงั จากนนั้ ก็มีพวกอ่ืนเข้ามาโจมตีอาณาจกั รนี ้ จนกระทงั่ ผ้นู าเผ่าอมอไรต์(เป็นสาขาหนงึ่ ของพวกเซมิตกิ ) เข้ายดึ อาณาจกั รบาบิโลนพร้อมทงั้ สถาปนาผ้นู าขนึ ้ เป็นกษัตริย์
1.4 ด้านเศรษฐกจิ บรรดาชนเผา่ ที่เข้ามาตงั้ ถ่ินฐานในดินแดนเมโสโปเตเมีย ชาวสเุ มเรียนนบั วา่ มีความเช่ียวชาญด้าน เกษตรกรรม ได้แก่ การปลกู ข้าวสาลี และเลีย้ งสตั ว์เพอ่ื ใช้แรงงานและทาผลติ ภณั ฑ์จากสตั ว์เพื่อ บริโภค ได้แก่ เนือ้ นม เนย และใช้ขนสตั ว์ท่ีย้อมสีแล้วทอเป็นผ้าสาหรับนงุ่ ห่มและทาเป็นพรมใช้ใน ชีวติ ประจาวนั 1.5 ด้านสังคม หลกั ฐานการจดั ระเบียบสงั คมในดนิ แดนเมโสโปเตเมีย ได้แก่ ประมวลกฎหมายฮมั มรู าบีท่ีสะท้อนให้ เหน็ ว่าโครงสร้างสงั คมในดนิ แดนนีป้ ระกอบด้วยชนชนั้ ผ้ปู กครอง ได้แก่ กษัตริย์ พระราชวงศ์และขนุ นาง กล่มุ ขนุ นางมีหน้าที่รับผิดชอบทงั้ ด้านการปกครองและศาสนา สว่ นคนท่ีถกู ปกครอง ได้แก่ ชา่ งฝี มือ พอ่ ค้า ซง่ึ เป็นชนชนั้ กลาง ส่วนกรรมกรและทาสถือวา่ เป็นชนชนั้ ต่าในสงั คม กฎหมายฮมั มรู า บีนบั วา่ ทนั สมยั ในยคุ นนั้
1.6 ด้านศาสนา ในด้านความเช่ือ คนในดินแดนเมโสโปเตเมียมีความเชื่อถือโชคลาง เทพเจ้าที่สถิตในธรรมชาตซิ ง่ึ มีอยู่ หลายองค์ ยกเว้นพวกฮบิ รูซง่ึ เป็นชนเผา่ ที่นบั ถือพระ เจ้าองค์เดียว มีพระนามว่า “พระยะโฮวาห์” 1.7 ด้านภาษาและวรรณกรรม การประดษิ ฐ์ตวั อกั ษรของชาวสเุ มเรียนเม่ือประมาณ 2,500 ปี ก่อนพทุ ธศกั ราชนนั้ นกั โบราณคดีเช่ือวา่ ชาวสเุ มเรียนเป็นชนชาติแรกท่ีคิดประดษิ ฐ์อกั ษรได้ก่อนชนชาตอิ ่ืน ตวั อกั ษรดงั กล่าวเรียกว่า ตวั อกั ษร คนู ฟิ อร์ม (CUNEIFORM) หรืออกั ษรรูปลม่ิ มีลกั ษณะเป็นอกั ษรภาพเช่นเดียวกบั อกั ษรภาพของ ชาวอยิ ปิ ต์ ซง่ึ ประกอบด้วยเคร่ืองหมายรูปล่ิมจานวนหลายร้อยตวั เขียนโดยการกดก้านอ้อแหลมลลง บนแผ่นดินเหนียวที่ยงั ไม่แห้ง แล้วนาไปตากหรือเผาจนแข็ง อกั ษรรูปลิ่มนีก้ ลายเป็นต้นแบบตวั อกั ษร ของโลกตะวนั ตก
2 อารยธรรมอียปิ ต์ 2.1 ที่ตงั้ ทางภมู ศิ าสตร์ อารยธรรมลมุ่ แม่นา้ ไนล์หรืออารยธรรมอียิปต์โบราณก่อกาเนิดบริเวณดินแดนสองฝั่ง แม่นา้ ไนล์ ตงั้ แต่ ปากแมน่ า้ ไนล์จนไปถึงตอนเหนือของประเทศซดู านในปัจจบุ นั ทศิ เหนือ ตดิ กบั ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและคาบสมทุ รไซนาย ทศิ ตะวนั ตก ติดกบั ทะเลทรายลเิ บียและทะเลทรายซาฮารา ทศิ ตะวนั ออกและทิศใต้ ติดกบั ทะเลทรายนเู บียและทะเลแดง จากสภาพภมู อิ ากาศดงั กลา่ วจะเห็นวา่ บริเวณล่มุ แม่นา้ ไนล์เปรียบเสมือนโอเอซสิ ทา่ มกลาง ทะเลทราย จงึ เป็นปราการธรรมชาตปิ ้ องกนั การรุกรานจากภายนอกได้
2.2 ปัจจยั ท่สี ่งผลต่อการเกดิ อารยธรรมลุ่มนา้ ไนล์ 1 ที่ตงั้ - เนื่องจากหิมะละลายในเขตท่ีราบสงู เอธิโอเปี ย ทาให้บริเวณแม่นา้ ไนล์มีดินตะกอนมาทบั ถม จงึ เป็นพนื ้ ที่มีความอดุ มสมบรู ณ์ 2 ทรัพยากรธรรมชาติ แม้อียปิ ต์จะแห้งแล้ง แตส่ องฝั่งแมน่ า้ ไนล์ก็ประกอบด้วยหินแกรนิตและหนิ ทราย ซงึ่ ใช้ก่อสร้างและพฒั นาความเจริญรุ่งเรืองด้านสถาปัตยกรรม 3 ระบบการปกครอง ชาวอียิปต์ยอมรับอานาจและเคารพนบั ถือกษัตริย์ฟาโรห์ดจุ เทพเจ้าองค์หนง่ึ จงึ มีอานาจในการปกครองและบริหารอย่างเต็มท่ีทงั้ ด้านการเมืองและศาสนา โดยมีขนุ นางเป็นผ้ชู ว่ ยใน การปกครอง 4 ภมู ปิ ัญญาของชาวอียปิ ต์ ชาวอียิปต์สามารถคิดค้นเทคโนโลยีและวทิ ยาการความเจริญด้านต่างล เพ่ือตอบสนองการดาเนินชีวติ ความเชื่อทางศาสนาและการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อียิปต์
2.3 สมัยอาณาจกั รอียปิ ต์ 1 สมยั อาณาจกั รเก่า มีความเจริญในช่วงประมาณปี 2,700 – 2,200 ก่อนคริสต์ศกั ราช เป็นสมยั ที่ อียปิ ต์มีความเจริญก้าวหน้าในด้านวทิ ยาศาสตร์และศิลปกรรม มีการก่อสร้างพีระมดิ ซง่ึ ถือวา่ เป็น เอกลกั ษณ์โดดเด่นของอารยธรรมอียปิ ต์ 2 สมยั อาณาจกั รกลาง ฟาโรห์มีอานาจปกครองอย่ใู นชว่ งราวปี 2050 – 1652 ก่อนคริสต์ศกั ราช ใน สมยั นีอ้ ียิปต์มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านทางวิทยาการและภมู ิปัญญามากโดยเฉพาะด้านการ ชลประทาน จงึ ได้รับการยกยอ่ งว่าเป็นยคุ ทองของอียิปต์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายสมยั เกิดความ ว่นุ วายภายในประเทศ จนตา่ งชาตเิ ข้ามารุกรานและปกครองอียปิ ต์ 3 สมยั อาณาจกั รใหม่ ชาวอียปิ ต์สามารถขบั ไลช่ าวต่างชาติ และกลบั มาปกครองดินแดนของตนอีก ครัง้ หนงึ่ ในช่วงประมาณปี 1567 – 1085 ก่อนคริสต์ศกั ราช สมยั นีฟ้ าโรห์มีอานาจเด็ดขาดในการ ปกครองและขยายอาณาเขตเหนือดนิ แดนใกล้เคียงจนเป็นจกั รวรรดิ 4 สมยั เสื่อมอานาจ จกั รวรรดอิ ียิปต์เริ่มเสื่อมอานาจตงั้ แตป่ ระมาณปี 1,100 ก่อนคริสต์ศกั ราช ในสมยั นีช้ าวต่างชาติ เชน่ พวกอสั ซเี รียนและพวกเปอร์เซยี จากเอเชีย รวมทงั้ ชนชาติในแอฟริกาได้เข้ามายดึ ครอง จนกระทงั่ เสื่อมสลายในที่สดุ
2.4 ด้านการเมืองการปกครอง 1 สมยั อาณาจกั รเก่า กษัตริย์หรือฟาโรห์ มีอานาจสงู สดุ โดยมีผ้ชู ว่ ยในการปกครองคือ ขนุ นาง หวั หน้าขนุ นางเรียกว่า “วิเซียร์” และมีหนว่ ยงานย่อย ล ในการบริหารประเทศ แต่ ละเมืองแตล่ ะหมบู่ ้านมีผ้ปู กครองระดบั ตา่ ง ล ดแู ลเป็นลาดบั ขนั้ แต่ละชมุ ชนถกู เกณฑ์แรงงานมาทางานให้แก่ทางการซงึ่ สว่ นใหญ่คือ การสร้างพีระมดิ แต่ละอาณาจกั รมีอานาจ ปกครองเหนือมณฑลต่าง ลหรือเรียกวา่ โนเมส ซง่ึ แตล่ ะโนเมสมีสญั ลกั ษณ์แตกต่างกนั ตอ่ มามีการรวมกนั เป็นอาณาจกั รใหญ่ 2 แห่ง คืออียปิ ต์บนและอียปิ ต์ลา่ ง ตอ่ มาทงั้ 2 อาณาจกั รได้ถกู รวมเข้าด้วยกนั เกิดราชวงศ์อียิปต์โดยประมขุ แหง่ อียิปต์ (เมเนสหรือนาร์เมอร์) ความเสื่อมของอารยธรรมสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ การสร้างพรี ะมดิ ขนาดใหญ่ เป็นการบนั่ ทอนเศรษฐกิจและแรงงานของอียปิ ต์ ซงึ่ นาความเส่ือมมาส่รู าชวงศ์อียิปต์ 2 สมยั อาณาจกั รกลาง ฟาโรห์เปลี่ยนภาพลกั ษณ์จากผ้ปู กครองท่ีอย่หู ่างไกลประชาชนมาเป็นผ้ปู กป้ องประชาชน ลดการสร้างพรี ะมดิ แตป่ ระชาชนต้องตอบแทนด้วยการทางาน สาธารณะตา่ ง ล เช่น การระบายนา้ ในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่นา้ เพื่อช่วยการเกษตร การขดุ คลองเช่ือมแม่นา้ ไนล์กบั ทะเลแดงเพอ่ื การสะดวกในการค้าและขนส่ง 3 สมยั อาณาจกั รใหม่ฟาโรห์อเมนโฮเตปที่ 4 ทรงเปลี่ยนแปลงความเชื่อในเร่ืองการนบั ถือเทพเจ้าหลายองค์มาเป็นการนบั ถือเทพเจ้าองค์เดียว คือ เทพเจ้าแหง่ ดวงอาทิตย์ ทาให้ เกิดความไม่พอใจในหม่ขู นุ นางและประชาชน รัชกาลนีจ้ งึ ตกต่า แต่เม่ือฟาโรห์ตตุ นั คาเมนขนึ ้ ครองราชย์จงึ เปล่ียนกลบั ไปนบั ถือเทพเจ้าหลายองค์เช่นเดิม ตงั้ แต่ศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสต์ศกั ราช อียปิ ต์สญู เสียความเข้มแข็ง ชนเผา่ ต่าง ล สลบั กนั มีอานาจปกครองอียิปต์ เชน่ อสั ซีเรีย ลิเบีย เปอร์เซีย สดุ ท้ายอียิปต์กลายเป็นส่วนหนง่ึ ของอาณาจกั รโรมนั
2.5 ด้านเศรษฐกจิ อาชีพหลกั ของชาวอียิปต์ คือ เกษตรกรรม เพราะวา่ ดนิ อดุ มสมบรู ณ์ ทาให้ผลติ อาหารเกินความต้องการ การการเกษตรที่เป็นหลกั ของอียิปต์ คือ ข้าวสาลี บาร์เลย์ ข้าวฟ่ าง ถวั่ ฝักยาว ถวั่ ผกั และผลไม้ และตอ่ มาชีวติ ที่มง่ั คงั่ และฟ่ มุ เฟือยของบางคนนาไปสกู่ ารพฒั นางานหตั ถกรรมและอตุ สาหกรรม บางส่วนทอผ้า บางส่วนผลติ เคร่ืองตกแตง่ หม้อ ลินนิ และอญั มณี เหลก็ และทองแดงมีการถลงุ นามาใช้ในการทาเครื่องมือ แก้ว และเครื่องปัน้ ดินเผา มีการผลติ ทงั้ แบบเรียบ ล และวาด ทงั้ ยงั มีวิศวกร จติ รกร ประตมิ ากร และ สถาปนิกอีกด้วย 2.6 ด้านสังคม เป็นสงั คมแบบลาดบั ชนั้ ผ้ปู กครองสงู สดุ คือ ฟาโรห์ และชนชนั้ ปกครองอื่น ล คือ ขนุ นางและนกั บวช ชนชนั้ รองลงมาคือ พอ่ ค้าและชา่ งฝี มือ ชนชนั้ ลา่ ง คือ ชาวนา และทาส ซงึ่ เป็นคนสว่ นใหญ่ ที่ดินทงั้ หมดเป็นของฟาโรห์ สาหรับขนุ นางและนกั บวชก็ได้ครอบครองที่ดนิ จานวนมาก ชาวนาอาศยั อยใู่ นหมบู่ ้านหรือเมืองเล็กล และเสียภาษีเป็นผลผลิตให้ ฟาโรห์ ขนุ นาง และพระ รวมทงั้ ต้องถกู เกณฑ์แรงงานไปทางานให้รัฐ และเป็นทหารสตรีมีบทบาทสงู ไม่น้อยกวา่ ผ้ชู าย คือ ให้สถานภาพแก่สตรีสงู ยอมให้สตรีขนึ ้ ครองราชบลั ลงั ก์ ได้ มีสทิ ธิในการมีทรัพย์สนิ และมรดก ราชนิ ีที่มีชื่อเสียงของอียปิ ต์ คือ แฮตเชพซตุ ซงึ่ ปกครองในศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์ศกั ราช และทาความงดงามให้กบั เมืองคาร์นกั
2.7 ด้านศาสนา ชาวอียปิ ต์นบั ถือเทพเจ้าหลายองค์ที่เกี่ยวข้องกบั อานาจธรรมชาตโิ ดยเทพเจ้าท่ีได้รับการเคารพสงู สดุ คือ เร หรือ รา เทพเจ้าแหง่ ดวงอาทิตย์ และเป็นหวั หน้าแหง่ เทพเจ้าทงั้ ปวง ซงึ่ ปรากฏในหลายช่ือและ หลายรูปลกั ษณ์ เชน่ ผ้มู ีร่างกายเป็นมนษุ ย์ มีหวั เป็นเหย่ียว และในรูปของมนษุ ย์คือ ฟาโรห์ ผ้ไู ด้รับ การยกย่องวา่ เป็นบตุ รของเร และมีเทพเจ้าสาคญั องค์อื่น ล 2.8 ด้านภาษาและวรรณกรรม ชาวอียิปต์ได้พฒั นาระบบการเขียนที่เรียกว่า เฮียโรกริฟิค เป็นคาภาษากรีก มีความหมายว่า การ จารึกอนั ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ เร่ิมต้นด้วยการเขียนอกั ษรภาพแสดงสญั ลกั ษณ์ตา่ งล แล้วคอ่ ย ล พฒั นาขนึ ้ มาเป็น รูปแบบพยญั ชนะ ในระยะแรก ชาวอียิปต์จารึกเร่ืองราวด้วยการแกะสลกั อกั ษรไว้ตามกาแพงและผนงั ของส่ิงก่อสร้าง เช่น วิหารและพีระมดิ ต่อมาจงึ ค้นพบวิธีการทากระดาษจากต้นปาปิรุส ทาให้มีการ บนั ทกึ แพร่หลายมากขนึ ้
2.9 ด้านศลิ ปวทิ ยาการ 1 ด้านดาราศาสตร์ ความรู้ทางด้านดาราศาสตร์เกิดจากการสงั เกตปรากฏการณ์จากการเกิดนา้ ท่วม ของแมน่ า้ ไนล์ ซงึ่ ได้นาความรู้นีม้ าคานวณเป็นปฏิทนิ แบบสรุ ิยคตทิ ่ีแบ่งวนั ออกเป็ น 365 วนั ใน 1 ปี ซง่ึ มี 12 เดือน และในรอบ 1 ปี ยงั แบง่ ออกเป็น 3 ฤดกู าล ท่ีกาหนดตามวถิ ีการประกอบอาชีพ 2 ด้านคณิตศาสตร์ ความรู้ทางคณิตศาสตร์และเรขาคณิตที่อียิปต์ให้แก่ชาวโลก 3 ด้านการแพทย์ ชาวอียิปต์โบราณมีความรู้ทางการแพทย์สาขาทนั ตกรรม แพทย์ผ้เู ช่ียวชาญ 4 ด้านสถาปัตยกรรม อกลกั ษณ์ของสถาปัตยกรรมอียปิ ต์ คือ พีระมิดที่บรรจศุ พของฟาโรห์ ซงึ่ สร้าง ขนึ ้ ด้วยจดุ ประสงค์ทางศาสนาและอานาจทางการปกครอง 5 ด้านประติมากรรม ชาวอียิปต์สร้างประตมิ ากรรมไว้จานวนมากทงั้ ที่เป็ นรูปปัน้ และภาพสลกั ที่ ปรากฏในพรี ะมดิ และวหิ าร 6 ด้านจติ รกรรม ผลงานด้านจิตรกรรมมีเป็นจานวนมาก มกั พบในพรี ะมิดและสสุ านต่างล ภาพวาด ของชาวอียปิ ต์สว่ นใหญ่มีสีสนั สดใส
3 อารยธรรมกรีก 3.1 สภาพภูมศิ าสตร์ของกรีก ดนิ แดนของกรีกบนพนื ้ แผน่ ดนิ ในทวีปยโุ รปแบ่งได้เป็น 3 สว่ น คือ 1 ภาคเหนือ ได้แก่ แคว้นมาซโิ ดเนีย เทสซาลี และอไิ พรัส 2 ภาคกลาง ได้แก่ บริเวณท่ีเป็นเนนิ เขาสงู เป็นที่ตงั้ ของนครทีบส์ นครเดลฟี ชอ่ งเขาเทอร์มอปิเล และ ยอดเขาพาร์แนสซสั ซง่ึ เป็นที่สถิตของอะพอลโล หรือสรุ ิยเทพ ตรงปลายสดุ ของด้านตะวนั ออก คือ แคว้นอตั ตกิ า ซงึ่ มีเมืองหลวง คือ นครเอเธนส์ แหลง่ กาเนดิ การปกครองระบอบประชาธิปไตย 3 บริเวณคาบสมทุ รเพโลพอนนีซสั อยตู่ อนใต้อ่าวคอรินท์ เป็นท่ีตงั้ ของนครรัฐสปาร์ตา ท่ีมีช่ือเสียงด้าน การรบ และโอลิมเปี ย ซงึ่ เป็นที่สิงสถิตของบรรดาเทพเจ้ากรีก
3.2 ปัจจัยทางภูมศิ าสตร์ท่สี ่งผลต่ออารยธรรมกรีก ภมู ปิ ระเทศของกรีก ประกอบด้วย ภเู ขา พนื ้ ดิน และทะเล โดยกรีกมีพืน้ ท่ีราบน้อย พนื ้ ท่ีสว่ นใหญ่เป็นภเู ขา และหม่เู กาะในทะเลอีเจียน ประชาชนอาศยั อย่ตู ามหมบู่ ้านใน บริเวณที่ราบเลก็ ล ในหบุ เขาท่ีล้อมรอบด้วยภเู ขาสงู ซง่ึ เป็นอปุ สรรคสาคญั ในการติดตอ่ ส่ือสาร ซงึ่ สภาพภมู ศิ าสตร์เช่นนีท้ าให้แยกชมุ ชนต่างลออกจากกนั ส่งผลให้แตล่ ะเมือง แตกแยกเป็นนครรัฐตา่ ง ล มากมายซงึ่ เป็นอิสระไม่ขนึ ้ แก่กนั นครรัฐที่สาคญั ได้แก่ นครรัฐเอเธนส์ และนครรัฐสปาร์ตา พนื ้ ดนิ ส่วนใหญ่ของกรีกขาดความอดุ มสมบรู ณ์และมี พนื ้ ดนิ ขนาดเล็ก ประกอบกบั มีแม่นา้ สายสนั้ ล นา้ ไหลเชี่ยวและพดั พาเอาความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ ไป และจากลกั ษณะภมู ิประเทศท่ีมีลกั ษณะคล้ายแหลมย่ืนไปในทะเล ทา ให้กรีกมีชายฝั่งทะเลที่ยาว ซง่ึ ความเว้าแหว่งของทะเลเป็นท่ีกาบงั คล่ืนลมได้เป็นอย่างดี ใช้เป็นอา่ วสาหรับจอดเรือ ทาให้ชาวกรีกเป็นคนชอบค้าขายทางทะเล นอกจากนี ้ ดินแดนกรีกยงั เป็นดินแดนท่ีมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น เหลก็ ทอง เงนิ หินออ่ น เป็นต้น 3.3 อารยธรรมเร่ิมต้นของอารยธรรมกรีก อารยธรรมไมนวน เป็นอารยธรรมท่ีเกิดขนึ ้ ที่เกาะครีต โดยมีชาวครีตหรือชาวครีตนั เป็นชนพนื ้ เมืองของเกาะนี ้ กษัตริย์ท่ีมีอานาจมากท่ีสดุ คือ พระเจ้ามินอส พระราชวงั ที่ สาคญั คือ ระราชวงั คนอสซสุ
3.4 กรีกยุคมืด เน่ืองจากการขาดหลกั ฐานการเขียนทาให้ความรู้ของเราเกี่ยวกบั เร่ืองนีถ้ กู จากดั โดยสงครามเป็นเหตใุ ห้เศรษฐกิจกรีกพนิ าศ ซงึ่ สร้างความยากจนและสบั สน ทางการเมือง ซง่ึ ยาวนาน กษัตริย์ไมซเี นียนถกู แทนที่ด้วยหวั หน้าเลก็ ล ผ้มู ีอานาจและทรัพย์สนิ จากดั ศิลปินหยดุ การวาดคนและสตั ว์บนหม้อไห กรีกเพาะปลกู ในพนื ้ ดนิ น้อยนิด มีคนมา ตงั้ ถิ่นฐานน้อย และการค้าสากลน้อยกว่าที่เคยมีมาก่อน ซงึ่ เร่ืองราวต่าง ล ของกรีกยคุ มืดปรากฏอย่ใู นวรรณกรรมมขุ ปาฐะ เรื่องมหากาพย์อิเลียด และโอดิสซี ของมหากวี โฮเมอร์ ซง่ึ มหากาพย์อิเลียดเป็นเรื่องเก่ียวกบั การทาสงครามกบั ทรอย สว่ นมหากาพย์โอดิสซเี ป็นเร่ืองเก่ียวกบั ชยั ชนะจากการทาสงครามกบั ทรอย 3.5 อารยธรรมของกรีก 1. อารยธรรมเฮเลนกิ ในสมยั นีม้ ีการสร้างอาณานคิ มเกิดขนึ ้ มีการปฏริ ูปทางเศรษฐกิจและผ้นู าชมุ ชนเร่ิมตงั้ สภาและกล่มุ ตา่ ง ล เพือ่ จดั กิจกรรมสาธารณะท่ีอกอรา 2. อารยธรรมเฮเลนิสติก เป็นช่วงท่ีนครรัฐต่างล ของกรีกเส่ือมลง เน่ืองมาจากสงครามเพโลพอนเนเชียน และแคว้นมาซโิ ดเนียเจริญขนึ ้ โดยแคว้นมาซโิ ดเนียมีกษัตริย์องค์ สาคญั ได้แก่ พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ได้นครรัฐกรีกไว้ในอานาจ และกษัตริย์องค์ต่อมา คือ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้ทาการปลดปล่อยหวั เมืองกรีกตา่ งล บนเอเชียไม เนอร์ให้พ้นจากการปกครองเปอร์เซีย
3.6 มรดกทางอารยธรรมกรีก 1. สถาปัตยกรรม ใช้ระบบโครงสร้างแบบเสาและคาน แผนผงั อาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีการสร้าง เสารายรอบอาคาร ซง่ึ จะมีความแตกตา่ งตรงหวั เสา สามารถแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบดอริก แบบ ไอโอนิก และแบบคอรินเธียนและสว่ นใหญ่ยงั นยิ มก่อสร้างอาคารเพื่อกิจกรรมสาธารณะ เช่น วิหาร สนามกีฬา และโรงละคร วหิ ารท่ีมีช่ือเสียง สร้างบนภเู ขาที่มีช่ือเรียกว่า อะครอโพลิส คือ วหิ ารพาร์ เธนอน สร้างเพื่อถวายแดเ่ ทพีอะธีนา
4 อารยธรรมโรมัน 4.1. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ท่มี ีผลต่ออารยธรรมโรมัน อารยธรรมโรมนั กาเนดิ ท่ีคาบสมทุ รอติ าลี ซงึ่ ตงั้ อย่ทู างตอนใต้ของทวีปยโุ รป โดยมีลกั ษณะเป็นแหลม ยื่นลงไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ลกั ษณะภมู ิประเทศส่วนใหญ่เป็นภเู ขา และเนินเขา ได้แก่ เทือกเขา แอลป์ ทางทิศเหนือซง่ึ กนั้ คาบสมทุ รอิตาลีออกจากดินแดนสว่ นอื่นของทวีปยโุ รป และเทือกเขาแอเพน ไนน์ซง่ึ เป็นแกนกลางของคาบสมทุ ร ส่วนบริเวณท่ีราบมีน้อยและมีที่ราบน้อย จงึ ทาให้การตงั้ ถ่ินฐาน ของชมุ ชนอย่อู ยา่ งกระจดั กระจายเป็ นชมุ ชนเลก็ ล พนื ้ ที่การเกษตรมีไม่มากนกั แต่เม่ือประชากร เพม่ิ ขนึ ้ บริเวณดงั กล่าวไม่สามารถรองรับการเกษตรท่ีขยายตวั ได้ จงึ เป็นสาเหตทุ ่ีชาวโรมนั ขยาย ดินแดนไปยงั ดินแดนอ่ืนล
4.2. สมัยสาธารณรัฐ พวกอิทรัสกนั โดยได้รับอารยธรรมของกรีก ซง่ึ ตอ่ มาได้อพยพเข้ามาในแหลมอติ าลี จงึ ได้นาเอาความเชื่อใน ศาสนาและเทพเจ้าของกรีก ศิลปะการแกะสลกั การทาเครื่องปัน้ ดินเผา ตวั อกั ษร การทานายจากการดู เครื่องในของสตั ว์และการบินของนก การสร้างซ้มุ ประตโู ค้ง และประตมิ ากรรมเทพเจ้าเข้ามาเผยแพร่ นอกจากพวกอิทรัสกนั แล้วยงั มีชนเผา่ อ่ืน ล อกี เช่น พวกละตนิ ตอ่ มาได้ตกมาอยภู่ ายใต้การปกครอง พวกอิทรัสกนั 4.3. สมยั จกั รวรรดิ ชาวโรมนั เปล่ียนการปกครองจากสาธารณรัฐมาใช้เป็นจกั รวรรดิ และออกสุ ตสุ เป็นจกั รพรรดหิ รือซซี าร์ พระองค์แรกของจกั รวรรดิโรมนั ในสมยั นีโ้ รมนั เจริญถงึ ขีดสดุ ละได้ขยายอานาจไปยงั ภมู ิภาคตา่ ง ล และเม่ือ ศาสนาคริสต์ได้แผข่ ยายมาถงึ ดินแดนทางภาคตะวนั ตกของปาเลสไตน์ซงึ่ อย่ภู ายใต้การปกครองของ จกั รวรรดโิ รมนั ทาให้จกั รวรรดิโรมนั ตอ่ ต้านศาสนานีอ้ ยา่ งรุนแรง แต่ในสมยั จกั รพรรดิคอนสแตนตินมหาราช พระองค์ ทรงให้เสรีภาพในการนบั ถือศาสนา ทาให้จกั รวรรดโิ รมนั กลายเป็ นจกั รวรรดิของคริสต์ศาสนา ทรง สร้างกรุงคอนสแตนตโิ นเปิล (ปัจจบุ นั คือ นครอิสตนั บลู ในประเทศตรุ กี) ทางตะวนั ตกของจกั รวรรดโิ รมนั ตอ่ มาเรียกวา่ จกั รวรรดโิ รมนั ตะวนั ออกหรือจกั รวรรดิไบแซนไทน์ จนกระทง่ั สมยั ปลายจกั รวรรดิ โรมนั เผชิญ ปัญหาภายในทาให้ถกู พวก อนารยชนเผา่ เยอรมนั หรือเผา่ กอธเข้าปล้นสะดม และขบั ไลก่ ษัตริย์ออกจาก บลั ลงั ก์ ถือเป็นการสนิ ้ สดุ ของจกั รวรรดโิ รมนั ตะวนั ตก และประวตั ศิ าสตร์สมยั โบราณ
4.4. มรดกของอารยธรรมโรมัน 1. สถาปัตนกรรม เน้นความใหญ่โต แขง็ แรงทนทาน โดยชาวโรมนั ได้พฒั นาเทคนิคการก่อสร้างของกรีกเป็นประตโู ค้ง และเปล่ียนหลงั คาจากจว่ั เป็นโดม และสร้างอาคารตา่ ง ล เพือ่ สนองความต้องการของรัฐและ สาธาณชน เชน่ โคลอสเซยี ม สถานท่ีอาบนา้ สาธารณะ วหิ ารแพนธีออน 2. ประติมากรรม สะท้อนบคุ ลกิ ภาพของมนษุ ย์อยา่ งสมจริงตามธรรมชาติ และมีสดั สว่ นงดงามเหมือนกรีก แตโ่ รมนั จะเน้นพฒั นาศลิ ปะด้านการแกะสลกั รูปเหมือนบคุ คลสาคญั ล เช่น จกั รพรรดิ นกั การเมือง โดยเฉพาะในคร่ึงทอ่ นบนจะสามารถแกะสลกั ได้อยา่ งสมบรู ณ์ซงึ่ แสดงให้เหน็ ถึงความมีชีวติ ชีวา 3. ภาษาและวรรณกรรม ชาวโรมนั พฒั นาภาษาละตินจากตวั พยญั ชนะในภาษากรีกที่พวกอีทรัสกนั นามาใช้ จนใช้กนั แพร่หลายในมหาวิทยาลยั ของยโุ รปสมยั กลาง และเป็นภาษาทางราชการของ ศาสนาคริสต์นิกายโรมนั คาทอลิก ส่วนวรรณกรรมระยะแรกเป็นบนั ทกึ พงศาวดาร กฎหมาย ตาราการทหาร และการเกษตร ตอ่ มามีการแต่งงานประพนั ธ์เป็นของตนเอง 4. วิศวกรรม การสร้างถนนคอนกรีต โดยถนนทงั้ 2 ข้างจะมีทอ่ ระบายนา้ และมีหลกั บอกระยะทาง นอกจากนีย้ งั มีการสร้างสะพานส่งนา้ ขนาดสงู ใหญ่จานวนมากเพ่ือนานา้ วนั ละ 300 ล้าน แกลลอนหรือประมาณ 8,505 ล้านลิตร จากภเู ขาไปยงั เมืองเพอื่ ให้ชาวเมืองได้ใช้
นาย ก้องภพ ทองเทศ เลขที่7 นาย อภิธาร เซยี วสรุ ตั น์ เลขท1ี่ 1 นาย เดชาวตั แก้วประเพณี เลขท่ี 12 นาย ธนกร บญุ ปะสทิ ธิ์ เลขที่24 นาย ภบู ดนิ ทร์ เซี่ยงใช่ เลขท่ี 28
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: