เรื่องล้ีลับเล่าขาน ตานานเมืองลบั แล เร่ืองล้ีลบั เล่าขานของตานานพ้นื บ้าน มีมาแต่อดีตเรื่องราว เก่าแก่ที่เล่ากันสืบทอดต่อกันมา \"อาเภอลับแล หรือ เมืองลับ แล\" เป็นอาเภอหน่ึงในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นชุมชนโบราณมีมาตั้งแต่ สมัยกรุงสุโขทัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคย เสด็จมาเม่ือ ปี พ.ศ. 2444 ความเป็นมาของคาว่า “ลับแล” นั้น ตามขอ้ สนั นิษฐานของสมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ว่าเดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความ เดอื ดร้อนมาซุ่มซ่อนต้งั ชุมชนอยู่บริเวณน้ี เนื่องจากเป็นท่ีป่ารก หลบ ซอ่ นตัวง่ายและ ภมู ปิ ระเทศเป็นเมอื งอย่ใู นหบุ เขามีทเ่ี นินสลับกับที่ต่า คนต่างเมืองถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย อาเภอ ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองล้านนา เช่น ผ้าตีนจก ไม้กวาด เป็นแหล่งปลูกลางสาด และทุเรียนหลง-หลินลับแล ซ่ึงเป็น ผลไม้ที่มีช่ือเสียงของจังหวัด หลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่เดิมเคย เป็นเมืองใหญ่ท่ีเป็นชุมชนของพวกละว้าและขอม มีความ เจรญิ รงุ่ เรืองมาชา้ นาน เพราะได้มกี ารขุดพบกลองมโหระทึกและพร้า สาริด ได้ในบริเวณดังกล่าว เม่ืออาณาจักรขอมล่มสลายลง คนไทยก็ ได้เข้ามาครอบครอง เจ้าฟา้ ฮ่ามกมุ ารคอื ปฐมกษตั ริย์แหง่ นครลบั แล ท่มี ตี านาน เล่าขานวา่ พระองคเ์ ปน็ พระราชบุตรในพระเจ้าเรืองไทธิราช กษัตริย์ วงศ์สิงหนวัติแห่งอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน และได้รับโปรด เกล้าฯ จากพระราชบิดาให้มาปกครองนครลับแล ซึ่งถือว่าเป็นเมือง ชายแดนของอาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสนเม่ือปี พ.ศ. 1513 เพ่ือปอ้ งกนั ภยั จากการรุกรานของกาโพชนคร (ขอม) และพม่า
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเเสด็จประพาส เมืองอุตรดิตถ์ และได้เสด็จมาถึงเมืองลับแลในวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2444 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายศาลากลางจังหวัดจากเมืองพิชัยมาตั้งท่ี บางโพ และยุบเมืองทุ่งย้ังรวมกับลับแล และสถาปนาเมืองลับแลขึ้น เป็นอาเภอ ส่วนอาคารที่ทาการยังต้ังอยู่ที่เมืองทุ่งย้ัง บริเวณใกล้ เวียงเจา้ เงาะ ได้ย้ายอาคารที่ทาการไปต้ังท่ีม่อนจาศีลในปีเดียวกันน้ี (ห่างจากท่ีว่าการ อาเภอปัจจุบันไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร) ครั้นถึง พ.ศ.2457 สมัย พระศรีพนม-มาศ (เมื่อครั้งเป็น หลวงศรีพนมมาศ) เห็นว่าห่างไกลจากตัวเมืองลาบากแก่ราษฎรไป ติดต่อ ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระ ราชประสงค์จะสงวนที่ ม่อนจำศีล เป็นท่ีประดิษฐานพระเหลือ (พระพุทธรูปที่สร้างจากทองที่เหลือจากการหล่อพระพุทธชินราชท่ี จังหวัดพิษณุโลก) เพราะทรงเห็นว่าทิวทัศน์ของม่อนจาศีลคล้ายกับ เมืองชวา จึงได้ย้ายอาคารที่ทาการจากม่อนจาศีล มาอยู่ท่ี ม่อนสยา มินทร์ (ชาวบ้านเรียกม่อนสามินทร์) เพราะเคยเป็นท่ีตั้งพลับพลารับ เสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นท่ีตั้งที่ว่าการ อาเภอในปัจจบุ นั ชาวเมืองลับแลดั้งเดิม มีภาษาถิ่นแบบสาเนียงสุโขทัย โบราณ คอื ในชมุ ชนรอบพระบรมธาตุทงุ่ ยงั้ ตาบลทุง่ ยั้ง ตาบลไผ่ล้อม ซึ่งเป็นเมอื งโบราณทป่ี รากฏหลกั ฐานในสมัยสุโขทัย และชมุ ชนเดิมใน พ้ืนท่ีตั้งตัวอาเภอลับแล ก่อนที่จะถูกทิ้งร้าง ปรากฏหลักฐานศิลา จารกึ การสถาปนาพระธาตเุ จดียพ์ หิ ารในสมยั พระยาลิไทย สนั นิษฐาน ว่าแถบท่ีตั้งเมืองลับแลท้ังหมด เป็นชุมชนท่ีใช้ภาษาถ่ินแบบสาเนียง สุโขทัยโบราณมากอ่ นนบั 700 ปี
ตานานเมอื งลบั แล เมอื งลบั แลนนั้ เป็นอาเภอเลก็ ๆ การเดินทางไปมาไมส่ ะดวก เส้นทางคดเคี้ยว ทาให้คนท่ีไม่ชานาญทางพลัดหลงได้ง่าย จนได้ช่ือ วา่ เมอื งลับแล ซง่ึ แปลว่า มองไม่เห็น มีเร่ืองเล่ากันว่าคนมีบุญเท่าน้ัน จึงจะได้เขา้ ไปถงึ เมืองลบั แล ตานานนี้เล่ากันสืบมาว่า... คร้ังหนึ่งมีชายคนหน่ึง (น่าจะเป็นคนเมืองทุ่งยั้ง) เข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคน เดินออกมา คร้ันมาถึงชายป่า นางเหล่าน้ันก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อน ไว้ในที่ต่างๆ แล้วก็เข้าไปในเมือง ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงแอบ หยบิ ใบไม้มาเก็บไวใ้ บหนึ่ง ตกบ่ายหญงิ สาวเหล่าน้ันกลับมา ต่างก็หา ใบไม้ทตี่ นซอ่ นไว้ ครั้นได้แลว้ ก็ถือใบไม้นนั้ เดินหายลบั ไป มีหญิงสาวคนหน่ึงหาใบไม้ไม่พบ เพราะชายหนุ่มแอบ หยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืน ใบไม้ให้ โดยมีข้อแลกเปล่ียนคือ ขอติดตามนางไปด้วยเพราะ ปรารถนาจะได้เหน็ เมืองลับแล หญิงสาวกย็ ินยอม นางจึงพาชายหนุ่ม เ ข้ า ไ ป ยั ง เ มื อ ง ซ่ึ ง ช า ย ห นุ่ ม สั ง เ ก ต เ ห็ น ว่ า ทั้ ง เ มื อ ง มี แ ต่ ผู้ ห ญิ ง นางอธิบายว่าคนในหมู่บ้านล้วนมี ศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤตผิ ดิ ก็ต้องออกจากหมบู่ ้านไป แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่ม เกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาว ก็ยินยอม แต่ให้ชายหนุ่มสัญญาว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน
วั วนั หนง่ึ ขณะทีภ่ รรยาไม่อยบู่ า้ น ชายหนุ่มผู้พ่อเล้ียงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอมหยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า \"แม่มาแล้วๆ\" มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูด เท็จ เม่ือบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เร่ือง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่ม เสยี ใจมากที่สามไี มร่ กั ษาวาจาสตั ย์ นางบอกให้เขาออกจากหมบู่ ้านไป เสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ท่ีจาเป็นให้สามี พร้อมท้ังขุดหัวขม้ินใส่ลงไปด้วยเป็นจานวนมาก จากน้ันก็พาสามีไป ยงั ชายป่า ชี้ทางให้ แลว้ นางกก็ ลบั ไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไมร่ จู้ ะทาอยา่ งไรก็จาต้องเดินทางกลับบ้านตามท่ี ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขามีความรู้สึกว่าถุงย่าม ท่ีถอื มาหนกั ขน้ึ เร่อื ยๆ และหนทางกไ็ กลมาก จงึ หยิบเอาขม้ินท่ีภรรยา ใส่มาให้ท้ิงเสียจนเกือบหมด คร้ันเดินทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิม บรรดาญาติมติ รตา่ งก็ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเปน็ เวลานาน ชาย หนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียด รวมทั้งเร่ืองขม้ินที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้ แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขม้ินท่ี เหลืออยู่ออกมา ปรากฏวา่ ขมิน้ นน้ั กลับกลายเป็นทองคาทงั้ แทง่ ชายหน่มุ รู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อ หาขมน้ิ ที่ท้งิ ไว้ ปรากฏวา่ ขมน้ิ เหลา่ นัน้ ไดง้ อกเปน็ ต้นไปหมดแล้ว และ เมื่อขดุ ดุกพ็ บแต่แง่งขม้ินธรรมดาทมี่ สี เี หลอื งทอง แต่ไมใ่ ช่ทองเหมือน แง่งท่ีเขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทาง วกวนไปไม่ถูก จนในท่ีสุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้าน ของตนตามเดิม
เมืองลับแลเมืองนี้ห้ามพูดโกหก ตามตานานนิทานพ้ืนบ้านเล่ากันว่าเป็น เมืองของคนดี มีความซื่อสัตย์สุจริต โกหกคาเดียวไม่ได้ ลูกเขยเห็นลูก ร้องไห้ กล่อมแบบไหนก็ไม่หยุด หลุดปากหลอกลูกว่า แม่มาแล้วเท่าน้ัน แหละ ก็ต้องออกจากเมือง เม่ือเข้าถึงอาเภอลับแลจะมองเห็น ซุ้มประตู เมอื ง ซึ่งหมายถงึ ว่าไดเ้ ดินทางเข้าสเู่ มอื งลับแลอย่างเป็นทางการ ซุ้มประตู เมืองถือวา่ เปน็ แลนด์มาร์ค ท่ีทุกคนต้องแวะ ข้างซุ้มประตูมีประติมากรรม แมม่ า่ ยอกี หนึ่งสญั ลักษณ์ของเมอื งลับแล เป็นรูปปั้นหญงิ สาวยืนอุ้มลูกนอ้ ย สหี น้าเศรา้ สร้อย ขา้ งมีสามีน่ังคอตกในมือถือถุงย่ามใส่ขมิ้นเตรียมเดินทาง จากเมืองลบั แล
พิพิธภัณฑ์เมืองลับแล เป็นสถานที่รวบรวมเรื่องราวประวัติของเมือง วิถี ชีวิต แ ล ะข น บธรรมเนียมก า รใช้ชีวิต ข อ ง ผู้ ค นในเมือ ง ลับแ ล โดยจาลองผ่านเรือนในแต่ละหลัง เปน็ ศนู ยก์ ลางเผยแพร่ให้ความรู้เก่ียวกับ ประวัติศาสตร์ วฒั นธรรม ขนมธรรมเนียมประเพณี ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น และ วิถีชีวิตชุมชนของเมืองลับแลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน รวมทั้งผลงานของ พระศรีพนมมาศ ท่านมียศเป็นอามาตย์ตรี ดารงตาแหน่งเกษตรมณฑล พษิ ณโุ ลก ซ่ึงทา่ นได้สร้างความเจริญให้แก่อาเภอลับแลเป็นอย่างมาก เช่น วางผังเมืองลับแล สร้างฝายหลวง พัฒนาการศึกษา และส่งเสริม การเกษตร จึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวลับแลมาจนปัจจุบัน ภายใน พิพิธภัณฑ์ประกอบด้วยลานกิจกรรม วัฒนธรรม ประเพณี อาคาร พพิ ธิ ภณั ฑบ์ า้ นพระศรีพนมมาศ เรอื นจาลองของเมืองลบั แลในอดีต อาคาร จาหน่ายสินค้า ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สอบถามข้อมูล : โทรศัพท์ 0 5543 1076
เรือนการทาอาหาร ชาวลับแลหรือคนไทยภาคเหนือส่วนใหญ่นิยม ทาอาหารบนเรือน และอาหารท่ีขึ้นชื่อของเมอื งลับแล คือ หมีพ่ นั สะพานไม้เขา้ หม่บู ้าน จัดแสดงเคร่ืองป่ันฝ้าย ก่ีทอผ้า ขนาดใหญ่ บ่งบอกถึงวิถีการทอผ้า ของสาวเมืองลับแล และในปัจจุบัน อาเภอลับแล ยังเป็นแหล่งผลิต สินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้าตีนจก ไม้ กวาด ติดอันดบั ของประเทศ
ศูนยจ์ ดั แสดงประวัติของเมืองลับแล วถิ ีชวี ิตของชาวเมอื งลับแลที่น่าเท่ียว ตั้งแตซ่ มุ้ ประตู อนุสาวรยี แ์ ม่ม่าย ทางเดินเข้าพิพิธภณั ฑ์ และท่บี า้ นเรือนท่ี จัดแสดงอยู่แต่ละหลัง ซ่ึงเราสามารถเดินขึ้นไปดูการจัดแสดงได้ พื้นที่ กว้างขวางมาก มีสนามหญ้ากว้างไว้สาหรับการจัดงานต่างๆของอาเภอ ลับแล มีร้านของฝากท้ังของกินและเส้ือและผ้าซ่ินตีนจก ของข้ึนช่ือของ อ.ลบั แล รวมถงึ ทกุ วันเสารจ์ ะมถี นนคนเดนิ มีของขายเยอะมาก ทัง้ ของกนิ ของฝาก และของจกุ จิก ซึง่ เป็นตลาดตอ้ งชม
นา้ ตกแมพ่ ูล อยทู่ ห่ี มู่ 4 บ้านตน้ เกลอื ต้าบลแม่พูล อ้าเภอลับแล จงั หวัดอตุ รดติ ถ์ ห่างจาก ตัวจังหวดั ประมาณ 20 กโิ ลเมตรเปน็ นา้ ตกทเ่ี กดิ จากการตกแตง่ ธารนา้ โดยการเทปนู ให้น้า ไหลลดหล่ันจากบนเขาสูงลงมา ดูคล้ายน้าตกธรรมชาติ สูงหลายชั้น สภาพโดยรอบน้ันมี ความร่มรื่นเต็มไปด้วยป่าไม้หลากหลายสายพันธุ์ มีธรรมชาติแวดล้อมที่สวยงาม มีศาลา น่ัง พัก ผ่อ นแล ะ ร้า นอ าห า ร ที่สา ม าร ถ น่ัง ม อ งเ ห็นทิว ทัศน์ข อ ง น้า ต กแ ม่ พูล ไ ด้อย่า ง ชัดเ จน และยงั เปน็ สถานทท่ี อ่ งเทย่ี วทใ่ี กลก้ บั ตวั เมอื งอตุ รดติ ถท์ มี่ ถี นนเขา้ ถงึ สะดวกสบายบรเิ วณนา้ ตก มีรา้ นจา้ หน่ายของท่รี ะลึก รา้ นอาหารและทจ่ี อดรถไว้บรกิ าร การเดนิ ทาง จ า ก อ้ า เ ภ อ เ มื อ ง ถึ ง อ้ า เ ภ อ ลั บ แ ล ระยะทาง 8 กิโลเมตร จากน้ันใช้ทาง หลวงหมายเลข 1043 ประมาณ 12 กิโลเมตร หรือข้ึนรถสองแถวที่ถนน ตุลาสถิตย์ ในตัวเมืองรถจะออก ทุก 30 นาที ต้ังแต่เวลา 06.00– 17.30 น. หรือจะเหมาไปก็ได้
พระแท่นศิลาอาสน์ วัดพระแท่นศิลาอาสน์ เดิมชื่อ วัดมหาธาตุ ต้ังอยู่ท่ีบนเนินเขาเต่า หรือเขาทอง บ้านพระแทน่ ตาบลทุ่งยง้ั อาเภอลบั แล จังหวดั อุตรดิตถ์ ติดกับวัดพระยืนพุทธ บวัดาพทยระุคแลทซ่นึ่งศตลิ ั้งาออยาู่ทสานง์เดป้า็นนพวทัดริโศบะตรแะาวทณัน่นอไอมศก่ปิลรบาานกอเฏนาหินสลเักขนาฐ์ ลานูกวเด่าียผวู้ใดกสันรแ้าตง่คแนลละะสยรอ้าดง แตเ่ ม่อื ใด ในศลิ าจารึกครง้ั กรุงสโุ ขทัยไม่ปรากฏข้อความกล่าวถึงพระแท่นศิลา อาสน์ แต่เพิ่งมีปรากฏในหนังสือพระราชพงศาวดาร ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศ พระองค์ได้เสด็จนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ เม่ือปี พ.ศ. 2283 ได้ แสดงว่าพระแทน่ ศลิ าอาสน์ไดม้ ีมาก่อนหน้านีแ้ ล้ว จนเป็นท่ีเคารพสักการะของ คนท่ัวไปอย่างกว้างขวาง และทางราชการได้นาพระแท่นศิลาอาสน์ไป ประดิษฐานไวใ้ นตราประจาจังหวัดอุตรดิตถ์ แสดงถึงความศรัทธาเลื่อมใสและ ความสาคญั ขององคพ์ ระแท่นศิลาอาสนไ์ ดเ้ ปน็ อย่างดี
พพิ ธิ ภัณฑ์ท้องถ่นิ พิพิธภัณฑ์ท้องถ่ินภายในวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ริเร่ิมโดยพระเฉลิมศิลป์ ชยเปาโล ด้านหน้าบริเวณทางเข้าจะประดับประดาไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับสวน สมุนไพร และรถพิพิธภณั ฑ์เคล่ือนท่ีดัดแปลงรถกระบะตกแต่งดึงดูดความสนใจ จากผู้ท่ีผ่านไปมา ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ (เดิมเป็ นศาลาการเปรียญเก่า) ตกแต่งแบบล้านนาชัน้ ล่างมีการจัดแสดงภาพเขียน ภาพถ่ายในอดีตของวัดพระ แท่นศิลาอาสน์ ชุดและผ้าไทยโบราณ และมีจาหน่ายสินค้าจากชุมชน ชัน้ สองมี การจดั แสดงพระพุทธรูปเก่าแก่ พระพุทธรูปท่ีแกะสลักจากไม้ รวมถึงชีวิตความ เป็ นอยู่ของชาวบ้านในชุมชนเช่น เคร่ืองมือจับสัตว์นา้ แบบโบราณ อุปกรณ์ เคร่ืองครัว ถ้วย ชาม หม้อ ไห มีด เคร่ืองจักสาน อุปกรณ์ทามาหากิน และ การละเล่นต่าง ๆ
แหล่งโบราณคดีเวียงเจ้าเงาะ เป็ นเมืองเก่าสมัยสุโขทัยสันนิษฐานว่าเป็ นเมือง ลูกหลวงเช่นเดียวกับเมืองศรีสัชนาลัย เหตุท่เี รียกว่า เวียงเจ้าเงาะ เน่ืองมาจาก ตานานนิทานพืน้ บ้าน เร่ืองเจ้าเงาะกับนางรจนา กล่าวถึงตอนพระสังข์ตีคลี ปรากฏว่ามีหลุมเล็กๆ หลายหลุมบนลานหินศิลาแลง บริเวณหลังวัดพระบรม ธาตุทุ่งยัง้ รวมถึงภาพวาดเก่าๆ ในวิหารของวัดพระบรมธาตุทุ่งยัง้ ว่าเป็ นภาพ เร่ืองราวของธิดาทัง้ เจ็ดของท้าวสามล.เวียงเจ้าเงาะมีลักษณะภูมิประเทศเป็ นท่ี ราบดนิ ปนศิลาแลง บางตอนเป็ นศิลาแลงล้วน ด้านทศิ เหนือติดต่อกับหนองพระ แลและหนองพระทยั ซ่ึงเป็ นท่ลี ุ่ม ผังเมืองเป็ นรูปไข่ มีคูเมือง 3 ชัน้ กาแพงเจาะ ลงไปถึงคูเมืองชนั้ ท่ี 3 มคี ูนา้ ล้อมรอบ คูเมืองชัน้ นอกก่อด้วยศิลาแลง ชัน้ สองก่อ ด้วยอิฐ ชัน้ สามก็ด้วยศิลาแลง โบราณสถานท่พี บในเวียง ได้แก่ บ่อนา้ ศักด์ิสิทธ์ิ หรือบ่อนา้ ทพิ ย์ 18 บ่อ วดั พระบรมธาตุทุ่งยงั้ และคเู มืองเก่า 3 ชัน้ โบราณวัตถุท่ี พบ ได้แก่ กาไลหิน โครงกระดูก แหวนสาริด แหวนหิน สร้ อยทาจากลูกปั ด ลกู ปัดโบราณ ลูกปัดสาริด กลองมโหระทกึ แขก กลองมโหระทึกละว้า พร้าสาริด มดี สาริด ถ้วยชามสังคโลก ภาชนะดินเผาไม่เคลือบ และภาชนะดินเผาเคลือบสี
ส่วนผสม วธิ ีทา -แผ่นข้าวเเคบ 15 แผ่น 1. แช่เส้นหม่ขี าว จนเส้นอ่อน -หม่ีขาว หม่ไี วไว 1 ห่อ แล้วนาลวกในนา้ เดือดจนเส้น -พริกป่ น 1 ช้อนโต๊ะ เหนียวนุ่ม แล้วตักใส่ชาม -นา้ ตาล 3 ช้อนโต๊ะ 2.ผสม พริกป่ น นา้ ปลา นา้ ตาล -นา้ ปลา 3 ช้อนโต๊ะ มะนาว ถ่วั งอก กระเทยี มเจยี ว -มะนาว 1/4 ถ้วย ผักชี ลงไป คลุกเคล้าส่วนผสม -กระเทยี มเจยี ว 1/4 ถ้วย ให้เข้ากนั ชิมรส -ผักชี 2 ช้อนโต๊ะ 3.เตรียมเเผ่นข้าวเเคบ เเล้วใส่ -ถ่วั งอกลวก 2 ถ้วย หม่ีท่คี ลุก ลงบนแผ่นข้าวเเคบ เป็ นเเนวยาว ด้านใดด้านหน่ึง ของเเผ่นข้าวเเคบ แล้วม้วน เเผ่นข้าวเเคบจนสุด
อุปกรณ์ วัตถุดบิ -หม้อปล่องหรือซงึ้ น่ึง -แป้ งข้าวเจ้า -ผ้าขาวบาง -ไข่ไก่สด -เต้า -ผักต่าง ๆ เช่น กะหล่าปลมี ่วง -ไม้ไผ่เหลาเป็ นใบพาย แครอท ผักบุ้ง คะน้า ฟักทอง -หม้อสเตนเลส ผักกาดขาว,ผักชีฝร่ัง, ขนึ้ ฉ่าย -เขียง -วุ้นเส้น -มดี -เนือ้ หมสู บั -กะละมัง -กระเทยี มเจยี ว -ตะแกรง -แคบหมไู ร้มัน -ทพั พี -เต้าหู้ -เตาแก๊ส -เกลือ -ถาด -นา้ สะอาด -ซอสปรุงรส, ซอสพริก, นา้ จมิ้ สุกี้
วิธีทา นาแป้ งข้าวเจ้าผสมกับนา้ คนละลายให้เป็ นเนือ้ เดียวกัน พักไว้ (หรือจะใช้ แป้ งหมักขนมจีนก็ได้ )ต่ อไปก็เตรียม ส่วนผสมอ่ืนให้พร้ อม เช่น ผักท่ีเตรียมไว้นามาล้าง ผ่ึงให้ สะเด็ดนา้ ซอยห่ันเป็ นชิน้ เล็กตามขนาดท่ีต้องการ ส่วนวุ้น เส้นแช่นา้ จนน่ิม แล้วตัดให้สัน้ ประมาณ 3-4 นิว้ และไข่อีก ส่วนหน่ึงกต็ ีให้ฟูเตรียมไว้ในภาชนะ เนือ้ หมูสับนามารวนให้ สุกเตรียมไว้ เต้าหู้นาไปต้มแล้วห่ันเป็ นชิน้ เล็ก ๆ เตรียมไว้ แคบหมูตัดเป็ นชิน้ เล็ก ๆ เตรียมไว้ กระเทยี มก็เจียวให้หอม กรอบแล้วกรองเอาแต่กระเทยี มเตรียมไว้ นาวุ้นเส้นและผักท่ีห่ันเตรียมไว้ทัง้ หมดมาคลุกให้เข้ากัน เพ่ือให้มีสีสันสวยงาม ตัง้ พักไว้ให้พร้ อม จากนัน้ นาหม้อ ปล่องหรือซึง้ น่ึงใส่นา้ ให้เลยคร่ึงหม้อ ปิ ดด้วยผ้าขาวบาง ผูกขึงผ้าด้วยเชือกให้ตึงแน่น นาหม้อขึน้ ตัง้ ไฟ พอนา้ เดือด ใช้ทัพพีตักแป้ งท่ีเตรียมไว้ละเลงบนผ้าขาวระอุนา้ ให้เป็ น แผ่น ใช้ฝาครอบปิ ดไว้ประมาณ 3 นาที เปิ ดฝาออกแล้ว ละเลงไข่ท่ตี ไี ว้ทบั ลงบนแป้ งอีกรอบ ปิ ดฝาไว้อีกสกั ครู่
พอไข่สุก ให้นาส่วนผสมผักและวุ้นเส้นท่ีเตรียมไว้วางใส่ลง ไปตรงกลางแป้ ง ปิ ดฝาอีกครัง้ ประมาณ 3 นาที พอผักสุกก็ ใช้ ไม้ พายพับแป้ งห่ อพันผักให้ เรียบร้ อย โรยหน้ าด้ วย กระเทียมเจียว ตามด้วยเนือ้ หมูสับรวนสุก เต้าหู้ห่ัน และ แคบหมู ผักชีฝร่ังห่ันหรือผักขึน้ ฉ่ายห่นั แล้วราดด้วยนา้ จมิ้ สุ กยี้ ากรี้ สแซ่บ ขา้ วพนั ผกั เป็นอาหารงา่ ยๆ ทห่ี าทานไดท้ ่ัวไปในเมือง ลบั แลแหง่ นี้ เพราะเป็นอาหารที่มกี ารทากนั อยา่ งแพร่หลายมาตัง้ แตโ่ บราณ โดยจะนา แปง้ ที่หมักแล้วมาทาเปน็ แผน่ ๆ คล้ายกบั ขา้ ว เกรียบปากหม้อ แต่เนือ้ แป้งน้ันจะเหนียวน่มุ คล้ายขนมจีนแตใ่ ห้ความรูส้ ึกหนุบหนับน่มุ ลิ้น มากกว่า ส่วนไส้ดา้ นในกจ็ ะเปน็ ผกั นานาชนดิ เปน็ ทถ่ี ูกอกถูกใจคนชอบทานผกั และรกั สขุ ภาพกันถ้วนหน้า
เกยี้ วทอด เต้าห้ทู อด หน่อไม้ทอด
ต้นกาเนิดของทุเรียน “หลงลับแล” นั้น เกิดข้ึน เมื่อนางหลง อุประ ชาวบ้านลับแล อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ได้นาเอาเมล็ดทุเรียนไม่ทราบพันธุ์ไป ปลูกจนได้ผลผลิต และได้นาทุเรียนดังกล่าวส่ง เข้าประกวด จนได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากการ ประกวดทุเรียนของกรมส่งเสริมการเกษตรและ จังหวดั อุตรดิตถ์ ใน พ.ศ.2520 และได้จดทะเบียน รับรองสายพันธุ์ในเวลาต่อมา อีกทั้งยังได้มีการ นาก่ิงพันธุ์ทุเรียนต้นนั้นมาขยายพันธุ์ด้วยการ ทาบกงิ่ และเสียบยอดกับทุเรียนสายพันธุ์พื้นเมือง จนกระทั่งออกมาเป็นทุเรียนพันธุ์หลงลับแล รสชาตเิ ยีย่ ม ทุเรี ยนหลินลับแล ต้ นเดิมปลูกโดย นายหลิน ปั ดลาด บ้านเลขท่ี 126 หมู่ 7 บ้านผามูบ ตาบล แม่พูล อาเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์กล่าวคือใน ปี พ.ศ. 2493 นายหลิน ปัดลาด ได้ นาเมล็ดทุเรียน มาปลูกแล้วเกดิ การกลายพนั ธ์ุมีลักษณะท่แี ปลกกว่า ทเุ รียนพันธ์ุอ่ืนๆ จึงนามาให้เพ่ือนบ้านกินหลายคน บอกว่า รสชาติดีต่อมาในปี พ.ศ. 2520 เจ้าของต้น เดิมได้ส่งทุเรียนพันธ์ุนี้ เข้าประกวดเพ่ือเป็ นเกียรติ แก่ นายหลิน ปัดลาด ผู้ปลูกทุเรียนต้นเดิมจึงตัง้ ช่ือ ทเุ รียนพันธ์ุนีว้ ่า “หลินลับแล” และ ประกอบกับต้น เดิมขึน้ อยู่ท่บี ้านผามูบ จึงมีช่ืออีกช่ือหน่ึงว่า “ผามูบ 1” หลังจาก นายหลนิ ปัดลาด ถงึ แก่กรรม ต้นเดมิ จึง อยู่ในความดูแลและขยายพันธ์ุ โดยนายสว่ าง ปัดลาด บตุ รชาย
https://www.sanook.com/horoscope/108313/ https://mgronline.com/travel/detail/9590000060322 https://goodlifeupdate.com/healthy-food/recipe/1735.html https://www.dailynews.co.th/article/548922 https://www.museumthailand.com/th/museum/Lab-Lare-Museum https://www.tatcontactcenter.com/th/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E 0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%97% E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/581 https://drr9.drr.go.th/?p=5971 https://www.paiduaykan.com/travel/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0% B8%98%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0% B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%A5 https://mgronline.com/travel/detail/9610000058451
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: