วิทยาศาสตรข์ องความรัก ความรักคืออะไร คาถามง่าย ๆ ท่ีคาตอบท่ีได้มานั้นล้วนแตกต่างกันไป ไมว่ า่ จะเป็นคาถามจากคนท่ี สมหวงั ในความรกั คนทผ่ี ดิ หวัง เดก็ น้อยทเี่ รม่ิ ไดส้ ัมผัสรักครั้งแรก คนเฒ่าคนแกผ่ ผู้ า่ นโลกมามากมาย รวมทั้ง นกั วทิ ยาศาสตรจ์ ากนานาแขนงความเช่ยี วชาญ ที่กาลงั พยายามทาความเข้าใจในวทิ ยาศาสตรเ์ บ้ืองหลงั ความ รกั เหลา่ นี้ ไม่ว่าจะเป็นอาการหวั ใจเต้นรัว ๆ เมอ่ื พบเจอคนทีด่ งึ ดูดความสนใจของเราไป หรืออาการเจบ็ ปวด หัวใจด่งั ใจสลาย เมอื่ ความรักท่เี ราวาดฝนั เอาไว้ ได้พังทลายลงไปต่อหนา้ ต่อตา เร่ืองราวเหลา่ นส้ี ามารถหา คาตอบทางวิทยาศาสตรม์ าอธบิ ายไดโ้ ดยส่วนใหญ่ ซงึ่ คาตอบทไ่ี ด้มานัน้ มันฟังดูทั้งงา่ ยดายและซบั ซ้อนกว่าที่ เราคิดไว้ไดใ้ นเวลาเดยี วกัน แลว้ ความรกั จรงิ ๆ แล้วมนั คืออะไรกนั แน่ ทาไมเวลารกั ถึงหวานชน่ื ดง่ั ดื่มนา้ ผง้ึ พระจันทร์ และเวลา เลกิ ถึงเจ็บปวดทห่ี ัวใจประหน่ึงราวกบั วา่ มันมคี วามร้สู ึก และถ้าในเม่อื ถา้ ความรักสามารถอธบิ ายไดด้ ้วยหลกั เคมี เรามสี ตู รท่ีใชส่ าหรบั ความรักหรือเปลา่ ถ้ามแี ล้วสูตรมันเปน็ อยา่ งไร นาไปใชง้ านได้อย่างไร วนั น้เี รา มาตามหาคาตอบกัน ความรักมีแบบไหนบา้ ง? เมื่อไรกต็ ามทม่ี ีความรกั เรามักรู้สกึ ได้ว่าหัวใจนน้ั จะทางานไม่ปกติ ไม่ว่าจะเปน็ อาการหัวใจเตน้ รัว ไม่ เปน็ ตวั ของตวั เอง จนทาใหผ้ คู้ นในสมัยกอ่ นเคยเข้าใจวา่ หัวใจน้นั เปน็ บอ่ เกิดของความรูส้ ึกต่าง ๆ รวมถงึ ความ รกั ด้วย อย่างไรก็ตาม ในความเปน็ จรงิ แลว้ เปน็ สมองของเราต่างหาก ที่อย่เู บ้ืองหลงั ของการทาใหห้ วั ใจและ สว่ นอน่ื ของรา่ งกายเราเปลีย่ นไปเมื่อมีความรัก และประเภทของความรักแบบโรแมนตกิ นนั้ สามารถถูกแบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 รูปแบบหลกั ๆ ดว้ ยกัน โดย อาศยั การหลั่งสารเคมีทแี่ ตกต่างกันของสมอง และความต้องการที่แตกต่างกันของมนุษยเ์ ปน็ เกณฑ์ในการ แบง่ แยก อันได้แก่ความปรารถนาในการสบื พนั ธุ์ ความโหยหาและดึงดูด และความผูกพัน ความปรารถนาในการสบื พนั ธ์ุ เปน็ ความสัมพนั ธ์ที่มแี รงขับดนั มาจากพน้ื ฐานในการดารงอยตู่ อ่ ไปของส่ิงมีชวี ิต ซ่ึงในความสัมพันธร์ ูปแบบน้ี สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ที่ทาหน้าท่ีเชื่อมโยงกบั ระบบ ประสาทของมนุษย์ จะเขา้ มามบี ทบาทที่สาคญั มาก ๆ โดยในสว่ นบริเวณพรีออปติก (Preoptic area) ของไฮ โปทาลามสั ซึ่งเป็นแหล่งกาเนิดของโกนาโดโทรฟิน รีลสิ ซงิ ฮอรโ์ มน (GnRH) ทีจ่ ะไปกระตุ้นการผลติ ของฟอลลิ เคลิ สติมิวเลติงฮอร์โมน (FSH) และลทู ิไนซงิ ฮอรโ์ มน (LH) ท่จี ะสรา้ งฮอรโมนเทสโตสเตอรโ์ รนและเอสโตรเจน ซงึ่ มกั ถกู เรียกว่าเปน็ ฮอรโ์ มนเพศชายและฮอร์โมนเพศหญิงตามลาดับ อยา่ งไรก็ตาม เทสโตสเตอร์โรนนน้ั ได้ เพ่ิมความต้องการทางเพศให้กับท้ังสองเพศ เชน่ กนั กับเอสโตรเจน ตอ่ มาทคี่ วามสัมพนั ธแ์ บบโหยหาและดึงดูดเข้าหากนั ละกนั นีเ่ ป็นความสมั พันธ์ในรปู แบบทเ่ี ปน็ เอกเทศจากรูปแบบอ่นื ๆ แม้จะมีความใกล้เคียงกนั มากกต็ าม กลา่ วคือเราสามารถมคี วามปรารถนาในการ สืบพันธก์ุ บั ใครสักคนทเี่ ขาดึงดูดเราได้ แต่เรากส็ ามารถมคี วามปรารถนาในการสบื พนั ธกุ์ ับคนทไ่ี มไ่ ด้ดึงดดู เรา
หรือเราไม่ได้ต้องการจะมีความสมั พนั ธ์ต่อเนื่องใด ๆ เลยกไ็ ด้ และเช่นกันที่เรากส็ ามารถมคี วามสัมพนั ธ์กบั คน ท่ีดึงดูดเรา โดยไมจ่ าเปน็ ต้องมีความต้องการที่จะสืบพันธ์ไุ ดเ้ ชน่ กัน ทั้งน้ีความสัมพันธ์แบบดงึ ดูด จะมีความเกี่ยวข้องการหล่งั โดปามนี (Dopamine) จากไฮโปทาลามสั ซงึ่ โดปามนี นน้ั เป็นสว่ นสาคัญที่ควบคุมพฤติกรรมการ ‘ได้รางวัล’ ในสมองของเรา ซ่งึ สามารถอธิบายได้ บางสว่ นว่าทาไมเราถงึ มีช่วงโปรโมชั่นของความรัก ท่ีเส้นทางชีวติ คขู่ องคนสองคนนัน้ ค่อนขา้ งราบร่ืนและ สวยงามเหลือเกนิ การหลั่งโดปามีนมักจะเกดิ ข้นึ เม่ือเรากระทาสง่ิ ทร่ี ู้สกึ ดีกับตัวเอง ไมว่ ่าจะเปน็ ช่วงเวลาท่ีเราได้ใชก้ ับคน ทเ่ี รารัก หรือแมแ้ ต่การมีเพศสัมพนั ธก์ ็ตาม และในชว่ งเวลาเดียวกันกจ็ ะมกี ารหลังฮอรโ์ มนอร์เอพีเนฟรนี (NE) ซึ่งทาให้รา่ งกายของเราเกิดการตื่นตัว เคลิบเคลมิ้ และมคี วามสขุ โดยในเวลาเดียวกันนั้น รา่ งกายของเรากจ็ ะ สูญเสยี ฮอร์โมนเซโรโทนิน ท่ีมีความเก่ยี วข้องกบั เรอื่ งของอารมณ์และความอยากอาหาร ซึ่งนาไปสู่อาการกิน ไมไ่ ด้ นอนไม่หลับอีกดว้ ย นอกจากน้นั แล้ว การเพ่ิมปรมิ าณของโดปามนี ในสมองยงั ช่วยให้เรามสี มาธิ มีแรงบนั ดาลใจ และมกี าร ต้ังเปา้ หมายในชีวติ ท่ีค่อนขา้ งชัดเจนได้ด้วยเชน่ กัน แตน่ ัน่ ก็มาพร้อมกบั อาการกงั วล หวาดกลวั และตื่น ตระหนก ซง่ึ อาการจากทั้งสองฟากน้ีตา่ งเปน็ ผลของการมีความสัมพันธท์ ด่ี ึงดูดกนั นน้ี นั่ เอง ตอ่ มาทคี่ วามสัมพันธป์ ระเภทสุดทา้ ย น่นั ก็คือความผูกพันกันน่นั เอง ซึ่งความสัมพนั ธแ์ บบน้ไี ม่ได้ เกิดขึ้นแค่กบั คนรักในเชงิ โรแมนตกิ เพยี งอย่างเดียว แต่ยงั รวมถึงความสมั พันธ์ระหว่างเพ่ือนสนทิ มิตรสหาย และแม่กบั ทารกแรกเกิดด้วยเชน่ กนั โดยสองฮอรโ์ มนทมี่ บี ทบาทสาคัญในความสัมพนั ธ์ประเภทน้ีคือออกซิโต ซิน (Oxytocin) และวาโซเพรสซนิ (Vasopressin) ฮอร์โมนท้ังสองนนั้ มักถูกผลติ ออกมาเปน็ จานวนมากได้จากหลายปจั จยั แต่สาหรับในบรบิ ทน้ี นอกจากระหวา่ งการมีเพศสมั พันธ์กันแล้ว ออกซิโตซนิ และวาโซเพรสซนิ ยังถกู ผลิตมาได้ในขณะท่ีกาลังให้ กาเนดิ ลูก หรอื ขณะให้นมลูกได้ด้วยเช่นกัน โดยเหตกุ ารณ์ที่กล่าวมาข้างต้นน้ี คือจดุ เร่ิมต้นท่ีทาให้คนเราเกดิ ความผกู พนั กันขน้ึ มาได้ เช่นเดียวกบั กจิ กรรมอ่นื ๆ ในบริบทท่ีแตกต่างกนั ไป ซ่งึ นี่ก็คืออีกหน่ึงเหตผุ ลท่ีทาไม ความสัมพนั ธท์ ง้ั สามรูปแบบนั้นถึงค่อนขา้ งเป็นเอกเทศจากกนั และกนั และมีเพยี งบางความสัมพันธเ์ ทา่ นัน้ ที่ สามารถมีพ้ืนที่ทับซ้อนกนั ได้ เมื่อรกั คือดาบสองคม นอกจากบรรดาฮอร์โมนขา้ งต้นจะทาให้เรามคี วามสขุ เวลาท่ีมีความรักแล้ว ฮอร์โมนชนิดเดยี วกนั เหลา่ นย้ี ังรับผิดชอบตอ่ อาการดา้ นลบท่ีเกดิ ขน้ึ ขณะมีความรักด้วยเชน่ กัน ไม่ว่าจะเป็นอาการหงึ หวง การ กระทาแบบไรเ้ หตุผล และไม่เป็นตวั ของตวั เอง และการพบฮอรโ์ มนอยา่ งโดปามนี เป็นปริมาณมากภายใน รา่ งกายน้นั กเ็ กิดขน้ึ กบั ท่ีคนติดสารเสพตดิ อยา่ งโคเคนเชน่ กัน และมีการพบว่าสมองสว่ นที่มีปฏกิ ริ ยิ าอย่าง หนกั เวลาท่เี ราหลงรกั ใครนั้น กเ็ ป็นจุดท่มี ปี ฏิกิริยาขึ้นมาเหมือนกันกบั ที่คนเสพโคเคน หรือพูดง่าย ๆ ก็คือการ เสพติดยา แทบจะไม่แตกตา่ งไปจากการคล่งั ไคลแ้ ละเสพติดคนรกั เลย
ในเวลาเดยี วกนั กบั ทเี่ รากาลงั มีความรัก สมองส่วนคอร์เทกซ์กลีบหน้าผากสว่ นหน้า ท่ีคอยควบคุมการรับรู้ท่ี ซับซอ้ น บุคลิก การตัดสินใจของเราจะถูกผลกระทบในดา้ นการทางานไปบางส่วน นั่นอาจนาพาใหเ้ ราไดท้ าส่ิง ทไี่ ม่ได้เปน็ ตวั ของตัวเอง หรอื ตัดสนิ ใจทาอะไรทด่ี ไู มด่ ีไปได้ ประหนึ่งราวความรกั ทาให้คนตาบอดอย่างไรอยา่ ง น้ันเลย ส่วนช่วงที่ความรกั กลับกลายเป็นอื่นไปแลว้ นนั้ ผลกระทบของมันก็สามารถทาใหค้ นเราเปน็ อาการ หัวใจสลาย หรือ Broken Heart Syndrome ไปได้เลย น่ันก็เพราะเมื่อเวลาทีอ่ กหกั ขน้ึ มา รา่ งกายของเราจะ หลงั่ ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) จากตอ่ มหมวกไต พร้อมกับอะดรีนาลนี (Adrenaline) ทีท่ ง้ั คนู่ ้นั มักจะถกู หลัง่ ออกมาขณะทเ่ี กิดตกอยู่ในสภาวะอันตรายหรอื ตึงเครยี ด เพราะทัง้ คู่จะช่วยในการสูบฉดี เลอื ดไปเล้ยี งทัว่ ร่างกาย และกระตุน้ ให้กลา้ มเน้ือสามารถใชง้ านได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลาคบั ขนั อย่างไรก็ตาม เม่อื ฮอรโ์ มนทงั้ สองน้นั มีจานวนมากในรา่ งกาย โดยทร่ี ่างกายของเราไม่ไดจ้ าเปน็ ต้องใช้ งานขนาดนั้น ก็ทาใหเ้ กดิ อาการเครยี ด ตื่นเต้น หวาดกลวั วติ กกงั วล หงดุ หงิดงา่ ย ขล้ี ืม ไปจนถึงปวดหัว ปวด หลัง ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา และท่สี าคัญคือเม่ือหวั ใจตอ้ งทางานหนักโดยทีร่ ่างกายเราไม่ไดจ้ าเป็นต้อง ใชง้ านขนาดนน้ั ก็จะทาใหเ้ รามีอาการเจ็บปวดที่หัวใจข้นึ มาได้ ซงึ่ นีไ่ ม่ไดเ้ กิดจากท่หี ัวใจเราเจบ็ เพราะมนั คือจุด ที่ควบคมุ ความร้สู กึ แต่มนั กาลังทางานอย่างหนักเพอ่ื สบู ฉีดเลอื ดมากเกินความจาเป็นตา่ งหาก บทสรปุ แม้จริงอย่วู ่าเราสามารถอธบิ ายความรกั แบบครา่ ว ๆ โดยใชห้ ลักวทิ ยาศาสตร์มาเติมเตม็ ในสตู รแห่ง ความรกั ได้ อย่างไรกต็ าม ก็ยังมอี ีกหลากหลายข้อสงสัยท่เี รายงั ตามหาคาตอบอยู่ ไม่วา่ จะเปน็ คาตอบแบบ จรงิ จงั โดยอา้ งอิงงานวจิ ยั และการทดลอง หรือจะเปน็ คาตอบจากบทเรยี นชวี ติ ทใี่ ครหลายคนกาลังเสาะหา และเรยี นรู้อยู่ ความรักสามารถทาให้คนเรามคี วามสุขทีห่ วานช่ืนไดจ้ ากการหลั่งฮอรโ์ มน ซึง่ หากมีการหลงั่ ในปรมิ าณ ที่มากเกนิ ไป ก็สามารถเปน็ ดาบสองคมทย่ี อ้ นทาลายเราให้จมลงไปถึงข้นั ตายไดเ้ ชน่ กนั แนน่ อนวา่ เรอื่ งราว ความรกั ของคนทเี่ ผชญิ เรือ่ งยาก ๆ ไม่สามารถเปล่ยี นเป็นง่ายได้เพยี งแค่การอา่ นบทความน้ใี นคราวเดียว แต่ อย่างน้อยบทเรยี นท่ผี ่านมานั้นก็เต็มไปด้วยรสชาติ และเปี่ยมไปดว้ ยความรู้ความเขา้ ใจในตัวเองเพ่ิมเติมไดใ้ น เวลาเดยี วกัน และสกั วัน เราจะไดพ้ บเจอกับคนท่มี ีเคมีเข้ากันแบบจริง ๆ อย่างแนน่ อน!
\"ความรกั เป็นแรงขับเคล่ือนของทกุ รูปแบบความสัมพันธ์ใหเ้ ดนิ หน้าไปในทิศทางท่ตี ่างกนั \" คนทุกคนลว้ นมคี วามรกั กันทุกคน ไมว่ า่ จะรักเพ่ือน รกั แฟน รักพอ่ รักแม่ รักสัตว์ ทุกความรกั ล้วนเหมอื นกัน แตกตา่ งกนั ทบี่ รบิ ทวา่ รักอะไร ความรัก เป็นเหมือนทัง้ ความสุขและความเจ็บปวด บางคนมักกลา่ วว่ามีรักกต็ ้องมีทกุ ข์ ในความจริงแลว้ ส่ิงทจี่ ะ ทาใหค้ วามสมั พนั ธ์เกดิ ความสุขหรอื ความเจบ็ ปวดได้นั้น มาจากคน 2 คนที่รักกนั ไมใ่ ชค่ วามรูส้ ึกรัก เนื่องจาก ความสัมพันธม์ ีหลายรูปแบบ ขึ้นอยกู่ ับค่รู ัก 2 คน วา่ จะรงั สรรค์ ใหร้ ปู แบบของความรักออกมาเปน็ แบบไหน มที ฤษฎีทางจิตวทิ ยาท่ีมีช่ือเสียงอยา่ งมากเกี่ยวกบั ความรักคอื ทฤษฎีสามเหล่ียมของความรัก (Triangular Theory of Love) นักจิตวิทยาชื่อน้ันคือ Sternberg (1988) ซง่ึ ได้เสนอทฤษฎีสามเหลย่ี มของความรัก ซึง่ อธบิ ายถึงธรรมชาติ และรูปแบบของความรักวา่ ประกอบดว้ ย 3 องคป์ ระกอบสาคัญ คือ ความใกล้ชิด (Intimacy) ความเสน่หา (Passion) และความผูกมัด (Commitment) ซึ่งองค์ประกอบมีความเกย่ี วข้องเชือ่ มโยงซ่ึงกนั และกนั ดงั รปู ดา้ นลา่ ง โดยองคป์ ระกอบต่าง ๆ ของสามเหลีย่ มของความรัก มดี ังต่อไปน้ี 1. ความใกล้ชดิ เปน็ องคป์ ระกอบของความรักด้านอารมณ์ ืคอี มีความคุ้นเคยใกลช้ ดิ กันในความรู้สึก ความเขา้ ใจกนั อย่างลกึ ซึ้ง ความเอื้ออาทรตอ่ กนั สือ่ สารกันไดอ้ ยา่ งดี และมคี วามไวว้ างใจต่อกนั ความใกลช้ ิด สนทิ สนจะค่อย ๆ เพิม่ ขนึ้ เม่ือมคี วามสัมพนั ธ์เป็นเวลานาน โครงสรา้ งของความใกล้ชดิ น้ัน พบวา่ มีอยู่ในทกุ ๆ ความสมั พนั ธ์ และมีรูปแบบเฉพาะในแตล่ ะความสัมพันธ์ด้วย เช่น ความสมั พนั ธก์ บั คนในครอบครัว ความสมั พนั ธ์กับค่รู กั ความสมั พันธ์กบั เพื่อน ดังน้ันความใกลช้ ิดจงึ เป็นองค์ประกอบของทุก ๆ รูปแบบ ความสัมพนั ธ์
2. ความเสนห่ า เปน็ องค์ประกอบของความรักด้านแรงจงู ใจ เกิดจากแรงขับภายในของร่างกาย หรอื ความรู้สกึ ท่ีถูกกระตุ้นทางสรีระ (Physiological arousal) เป็นแรงดึงดูดทางเพศ เช่น ความพอใจในรปู กลิ้น เสยี ง หรอื การกระทาของอีกฝ่ายหนง่ึ หรอื เสน่ห์ (Appeal) อน่ื ๆ และ ยังรวมถึงการกระต้นุ อ่ืน ๆ ซ่งึ ทาใหเ้ กิด ความรสู้ กึ โรแมนติกดว้ ย 3. ความผูกมัด เปน็ องค์ประกอบของความรักทางดา้ นความคดิ คือการตดั สินใจท่ีจะรกั หรือมีพันธะ ทางใจหรือทางสังคมต่อกนั การใช้เวลารว่ มกนั ในกิจกรรมต่าง ๆ หรอื การใชช้ ีวิตร่วมกันต่อเน่อื งไปเป็นระยะ เวลานาน ความรับผดิ ชอบในพันธะทตี่ กลงต่อกนั การรบั พันธะผกู พนั จะค่อย ๆ เพ่ิมข้ึนเม่อื มีความสนิทสนม กนั มากข้นึ และเปลยี่ นแปลงไปตามระดบั ของความสุข ความพอใจที่เกดิ ขนึ้ ในแืตล่ ะระยะเวลา เมือ่ มีปัญหา ยุ่งยากในความสมั พันธ์ระหว่างกัน การรบั พันธะผูกมัดก็อาจลดระดบั ลงไปด้วย องค์ประกอบดา้ นความผูกมดั นน้ั จะประกอบไปด้วย การผูกมดั แบบระยะส้ัน และการผูกมดั แบบระยะยาว องค์ประกอบทัง้ สามของความรักน้ัน มีความเชือ่ มโยงกัน เชน่ องค์ประกอบดา้ นความเสน่หามี ความสมั พนั ธ์อยา่ งมากกบั องค์ประกอบดา้ นความใกลช้ ิด เนื่องจากเมอื่ ครู่ กั ได้มีความใกลช้ ิดสนทิ สนมกนั กจ็ ะ ทาใหเ้ กิดความเสนห่ า ความรู้สกึ อยากมคี วามสัมพนั ธท์ ่ีแน่นแฟน้ กนั มากยิ่งขน้ึ องค์ประกอบดา้ นความผูกมัดมีความสัมพนั ธก์ บั ทง้ั องคป์ ระกอบดา้ นใกล้ชดิ และเสน่หา เนือ่ งจากเม่อื เราตกลงในทจี่ ะผูกมดั กับใครสกั คนแลว้ เชน่ การแตง่ งาน ซ่งึ จะนามาส่พู ฤตกิ รรมทแ่ี สดงความใกล้ชิด การ แสดงความเปน็ เจ้าของ องคป์ ระกอบของความรกั ทั้ง 3 สว่ นสามารถนามาอธิบายความสัมพันธ์ระหวา่ งกันและกันได้ทงั้ หมด โดยเรามกั จะพบวา่ องคป์ ระกอบของความใกล้ชดิ เปน็ แกนหลกั ทส่ี ามารถพบเห็นไดใ้ นทุก ๆ ความสมั พันธ์ ไม่ ว่าจะเปน็ ความสัมพันธ์ระหว่างคูร่ ัก คนในครอบครวั เพื่อสนิท เป็นต้น องค์ประกอบเสน่หามกั จะพบเฉพาะใน ความสมั พนั ธ์ระหว่างค่รู กั เทา่ น้ัน และองคป์ ระกอบด้านความผกู มดั น้นั มคี วามผนั แปรในแตล่ ะชว่ งเวลาของ ชีวิตมนษุ ย์ โดยทค่ี วามรกั ของบุคคล อาจมีความผกู มัดกับครอบครวั ในวยั เดก็ มีความผูกมัดกับเพ่อื นในชว่ ง วยั รนุ่ มีความผูกมดั กับคนรกั ในวยั ผู้ใหญ่ ซึ่งในแตล่ ะบุคคลอาจมคี วามแตกตา่ งกัน ขึน้ อยู่กบั ประสบการณ์ที่ เผชิญด้วย จะเหน็ วา่ องคป์ ระกอบของความรัก ความใกล้ชดิ (Intimacy) ความเสนห่ า (Passion) และความ ผูกมัด (Commitment) เป็นส่วนผสมของทุกรปู แบบความสัมพนั ธ์ ไมว่ า่ จะเปน็ ความสมั พันธแ์ บบเพื่อนรัก ความสมั พนั ธ์แบบครอบครวั ความสัมพันธ์แบบสามี ภรรยาท่ีพึง่ แต่งงานกันใหมห่ รือรักกันนานแลว้ ความสัมพันธแ์ บบแฟนทพี่ ่ึงคบกนั ความสัมพนั ธ์แบบคู่สมรสทค่ี ุมถงุ ชน ฯ ดงั นั้นแล้วการใหค้ วามสมั พนั ธ์มีทั้ง 3 องคป์ ระกอบทั้งหมด คือมีทงั้ ความใกลช้ ิด ความเสนห่ า และความผูกมดั จะทาใหเ้ ปน็ ความรักที่สมบูรณ์ แบบ Consummate Love
รปู แบบของความรัก ทปี่ ระกอบไปดว้ ยองค์ประกอบท้ัง 3 มากน้อยต่างกนั เช่น ความสัมพนั ธ์ บางอยา่ งทมี่ ีความใกลช้ ิดมาก ความเสนห่ าน้อย ความผูกมันน้อย กจ็ ะเปน็ รปู แบบความรกั แบบหนึง่ โดย ประเภทของความรักนั้นจะแบ่งประเภทออกเปน็ 8 ประเภทดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การไม่มีความรกั (Nonlove) เป็นรปู แบบความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลทไ่ี ม่มที ั้ง สามองค์ประกอบ ของความรกั เลย โดยมลี กั ษณะความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลที่เป็นแบบง่าย ๆ เป็นระยะเวลาช่วั ขณะหน่ึงเทา่ น้นั ไม่มีความร้สู กึ หรอื ความรกั เข้ามาเก่ียวข้อง 2. รักแบบหลงใหล (Infatuated Love) เป็นความรกั ทีป่ ระกอบไปด้วยองค์ประกอบด้านความเสนห่ า เพยี งอย่างเดียว มคี วามตื่นตัวทัง้ ทางรา่ งกายและจติ ใจต่อบุคคลท่ีเราเกดิ ความหลงใหลดว้ ย ซงึ่ มักจะเกิดขน้ึ บ่อยในชีวิต เช่น การตกหลุมรกั รกั แรกพบ หรือวยั รนุ่ ทชี่ อบนักแสดงทช่ี ่ืนชอบ จะเปน็ ความรกั ทป่ี ราศจาก ความใกลช้ ดิ และยังไม่มพี ันธะผูกพันตอ่ กัน 3. รักแบบชอบพอ (Liking) เปน็ ความรกั ท่ีประกอบไปด้วยองคป์ ระกอบดา้ นความใกลช้ ดิ เทา่ นน้ั เปน็ ความรสู้ กึ ที่เกดิ ข้ึนกบั บุคคลที่เรารู้จกั มีความสนทิ และใกล้ชิด แบบเพอื่ น โดยความสัมพันธ์นจี้ ะไม่มีความ เสน่หาต่อกนั และไม่มีความผูกมดั พนั ธะใด ๆ 4. ความสมั พนั ธแ์ บบปราศจากความรัก (Emtry Love) เป็นความรกั ท่ีมอี งค์ประกอบทางด้านผกู มัด เพียงอย่างเดยี ว โดยเกิดข้นึ เม่ือเราผกู มดั กนั เช่น การแต่งงานแบบคลุมถุงชน หรือแตง่ งานแบบท่ไี ม่ไดร้ ักกัน จงึ เปน็ การอยู่รว่ มกันเทา่ นั้น แตอ่ ย่างไรกต็ ามไม่ไดห้ มายความว่า ปราศจากความรักจะเป็นอยตู่ ลอดไป มี หลายกรณีที่อยดู่ ้วยกนั กส็ ามารถพฒั นาความใกลช้ ิด หรอื เกิดความเสนห่ าต่อกนั ได้ จนพัฒนาไปสู่รปู แบบ ความรกั ในรปู แบบอ่ืนไดเ้ ช่นเดียวกนั 5. รักแบบโรแมนตกิ (Romantic Love) เปน็ ความรักทปี่ ระกอบไปด้วย ความใกลช้ ดิ และความ เสนห่ า โดยจะข้นึ เม่ือคน 2 คนไดร้ ู้จกั กัน มคี วามใกล้ชิดกัน จงึ เกิดการปรารถนาที่จะใกล้ชิดกนั มากข้ึน ได้ สัมผัส ถ่ายถอดความรู้สึกต่อกันและกนั โดยไม่ไดม้ ีพันธะผูกมัดใด ๆ เกิดขึน้ 6. รักแบบมิตรภาพ (Compainonate Love) เป็นความรักทป่ี ระกอบไปดว้ ย ความใกล้ชดิ และ ขอ้ ผูกมดั โดยสว่ นมากจะเกดิ ข้ึนในความสมั พันธ์ระยะยาว เชน่ มิตรภาพระหว่างเพอ่ื น หรือคแู่ ต่งงานที่ใช้ชีวิต ร่วมกนั มานาน ซ่ึงการดึงดูดทางรา่ งกายไม่ไดม้ ีอิทธิพลหลกั ในความสมั พันธอ์ กี ต่อไปแลว้ 7. รักแบบไร้สตปิ ัญญา (Fatuous) เปน็ ความรกั ทป่ี ระกอบไปดว้ ย ความเสนห่ า และความผกู มดั จะ เกิดขนึ้ จากคน 2 คน ท่พี บรักกันและตดั สินใจผูกมัดกนั อยา่ งรวดเร็ว มกั จะพบเหน็ ได้ท่ัวไปกับคนท่ีพง่ึ ร้จู ักกัน ไมก่ ่เี ดือน ก็แต่งงานกัน โดยยงั ไม่ได้พัฒนาความใกลช้ ิดหรอื เรียนรู้กันอยา่ งถ่องแท้ ดงั นนั้ ความรักในรูปแบบนี้ มแี นวโน้มจะจบลงอย่างรวดเรว็ 8. รกั แบบสมบูรณแ์ บบ (Comsummate Love) เปน็ ความรักทีม่ ีทั้งสามองค์ประกอบ ทั้งความ ใกล้ชดิ ความเสนห่ า ข้อผูกมัด เปน็ รปู แบบรกั ทีเ่ กิดจากการที่ คน 2 คน มีความสัมพันธ์ท่ีแน่นแฟ้นระหวา่ งกนั
มีความใกล้ชดิ กนั สนับสนนุ ต่อกันและกัน ส่อื สารกันอย่างเข้าใจ และมีความต้องการทางกายตอ่ กนั ความรัก ในรูปแบบนเ้ี ป็นความรักที่เกิดขึ้นไดย้ าก และยากในการรักษาให้ความรักคงสภาพต่อไปได้ ขึ่นอยู่กับ คน 2 คน และสภาพแวดล้อมในความสมั พันธ์ระหว่าง คน 2 คน ด้วย จากรปู แบบความรกั ทั้ง 8 น้ี จะสังเกตไดว้ า่ มีองค์ประกอบ 3 อย่างเปน็ กุญแจสาคัญ ประกอบด้วย ความใกล้ชดิ เสน่หา และข้อผูกมดั นอกจากน้ันสามารถสังเกตได้อกี ว่า รปู แบบของความรกั ในความสัมพันธ์ หน่ึงสามารถเปล่ียนแปลงไดต้ ลอด ยกตวั อย่างเช่น ชายคนหน่งึ ไดร้ ้จู กั ผูห้ ญงิ คนหนึ่ง จงึ เกิดความเสน่หาข้ึนมา เชน่ เดยี วกับฝ่ายหญิง จงึ เกดิ ความรักแบบหลงใหลขนึ้ มา แตพ่ อได้รกั และรจู้ กั ไปสกั พกั หนงึ่ จึงเกดิ ความใกลช้ ิด ขึน้ จึงทาให้เกิดรักแบบโรแมนติก หลงั จากนั้นทง้ั สองได้คบหาเปน็ เวลานานพอสมควร มีการสัญญากนั มีการ หมน่ั หมายกนั และแต่งงานจงึ เกดิ ความรักแบบสมบรู ณ์แบบ จนผา่ นไปหลายปีท้งั 2 คน เรมิ่ แกต่ วั เริ่มหมด ความสนใจซ่งึ กนั และกัน จนทาให้เกิดรูปแบบความรักแบบมติ รภาพ จากตวั อย่างทย่ี กขึ้นมาจะเห็นได้วา่ รปู แบบความรักเหมือนกับคลน่ื ทะเลท่ีซัดเข้าซัดออก ไมม่ อี ะไร มน่ั คงแนน่ อน ทกุ อยา่ งแปรเปลีย่ นไปตามกาลเวลา ไม่คงท่ี ความรกั จงึ เปน็ การประคองซง่ึ กันและกัน ใหเ้ กดิ ความคงท่ีมากท่ีสดุ เทา่ ทจ่ี ะทาได้ คู่แท้จึงเป็นการทที่ ง้ั สองฝา่ ยรกั และพยายามเอาใจเขาใส่ใจเราซึง่ กนั และกัน อยเู่ สมอ มีทะเลาะบ้าง ขดั แย้งบ้าง เปน็ ธรรมดา การประคองรักแบบสมบรู ณ์แบบสามารถทาได้ และมักจะ เห็นไดท้ ว่ั ไปในสังคม \"ความรกั จงึ ประกอบไปด้วยการแตกต่างกัน และความพยายามทีจ่ ะพบจุดลงตัวของกนั และกนั \" อ้างอิง Sternberg . R. J. 1988. The triangle of love. New York: Basic Books.
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: