แหล่งอารยธรรมโบราณในภมู ภิ าคเอเชีย ราคา 79 บาท
อารยธรรมลุ่มแม่นา้ ไทกริส – ยเู ฟรตสิดนิ แดนเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือบริเวณดนิ แดนท่ีตงั้ อยรู่ ะหวา่ งแมน่ ํา้ ไทกริส (Tigris) และยเู ฟรตสิ (Euphrates)หรือบริเวณประเทศอิรักในปัจจบุ นั เป็นดินแดนท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองจนกลายเป็นอ่อู ารยธรรมท่ีสําคญั ของโลก ดนิ แดนแหง่ นีม้ ีความอดุ มสมบรู ณ์เน่ืองจากแม่นํา้ ทงั้ สองสายท่วมท้นตลงิ่ ในฤดใู บไม้ผลิ เมื่อนํา้ลดพืน้ ดนิ จงึ เตม็ ไปด้วยโคลนตมท่ีกลายเป็นป๋ ยุ อนั อดุ มสมบรู ณ์ ทําให้บริเวณนีเ้หมาะแกก่ ารเพาะปลกู และเลยี ้ งสตั ว์ ดนิ แดนจากเมโสโปเตเมียไปจนถงึ ชายฝั่งทะเลเมดเิ ตอร์เรเนียนจงึ มีช่ือวา่ ดนิ แดนพระจนั ทร์เสยี ้ วอนั อดุ มสมบรู ณ์ (The Fertile Crescent)หรือ วงโค้งแหง่ ความอดุ มสมบรู ณ์
1.อารยธรรมของชาวสเุ มเรียนเม่ือประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศกั ราชชาวสเุ มเรียนได้อพยพเข้ามาตงั้ ถิ่นฐานในบริเวณดนิ ดอนสามเหล่ยี ม (Delta) ปากแมน่ ํา้ ไทกรีส-ยเู ฟรตีส ซงึ่ เรียกกนั ในเวลาตอ่ มาวา่ ดนิ แดนซูเมอร์ ในระยะแรกชมุ ชนชาวสเุ มเรียนเป็นหม่บู ้านยคุ หินใหม่หม่บู ้านเหลา่ นีไ้ ด้ขยายตวั ขนึ ้ เป็นชุมชนวดั และในเวลาตอ่ มาชมุ ชนวดั แตล่ ะแหง่ ได้พฒั นาขนึ ้ เป็นเมือง ท่ีสําคญั ได้แก่เมืองเออร์(Ur) เมืองอิเรค (Ereck) เมืองอริ ิดู (Eridu) เมืองลากาซ (Lagash) และเมืองนิปเปอร์ (Nippur) แตล่ ะเมืองมีชมุ ชนเลก็ ๆ ท่รี ายรอบอยเู่ ป็นบริวาร ทาํ ให้มีลกั ษณะเป็นรัฐขนาดเลก็ ท่ีเรียกวา่ นครรัฐ (City State) นครรัฐเหลา่ นีต้ า่ งปกครองเป็นอสิ ระแก่กนั
2.อารยธรรมของชาวอมอไรท์หรือชาวบาบโิ ลเนียชาวอมอไรท์หรือชาวบาบิโลเนีย ประมาณปี 2000 ก่อนคริสตกาล อมอไรท์เป็นเซมติ คิ เร่ร่อนจากซีเรียเข้ารุกรานดนิ แดนตะวนั ตกของอคั คตัภายใต้การนําของฮมั มรู าบี (Hummurabi 1792-1750 B.C.)กษัตริย์องค์ที่ 6 ของอมอไรท์ ได้รวมดนิ แดนซูเมอร์-อคั คตั เข้าด้วยกนัก่อตงั้ จกั รวรรดบิ าลโิ ลเนียครัง้ ทีห่ นง่ึ ขนึ ้ (The First BabylonianEmpire) ท่ีเมือง บาบโิ ลน (Badylon) บนฝ่ังแม่นํา้ ยเู ฟรตีส เป็นเมืองหลวงสมยั ของกษัตริย์ฮมั มรู าบี คอื ยคุ ทองของจกั รวรรดบิ าบโิ ลนบาบิโลนเข้มแข็งขนึ ้ ตามลาํ ดบั จนได้เป็นนครใหญ่ของอาณาจกั รเมโสโปเตเมียทงั้ หมด ตอ่ มาเป็นท่ีรู้จกั กนั แพร่หลายวา่ จกั รวรรดบิ าบโิ ลเนีย พวกบาบิโลนสามารถเอาชนะบรรดาเพื่อนบ้านคือพวกอคั คาเดียน และสเุ มเรียนได้
3อารยธรรมของชาวแอสซีเรียประมาณปี 3000 ก่อนคริสตกาล ขณะสเุ มเรียนปกครองซเู มอร์ อสัซีเรียเป็นเซมิตคิ ได้เข้าตงั้ มน่ั ในดนิ แดนทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมียบนลมุ่ แมน่ ํา้ ไทกรีสจากการไม่มีพรมแดนธรรมชาตชิ ว่ ยปอ้ งกนั ภยั ทําให้อสั ซีเรีย มกั ถกู โจมตโี ดยชมุ ชนใกล้เคียงเริ่มจากสเุ มเรียน อคั คาเดียนและอมอไรท์ เป็นต้น ขณะอยภู่ ายใต้การปกครองของชนผ้เู จริญเหลา่ นี ้อสั ซีเรียได้เรียนรู้และรับอารยธรรมด้านตา่ ง ๆ ไว้โดยเฉพาะอารยธรรมสุเมเรียน-อมอไรท์ ประมาณปี 1815 ก่อนคริตกาลของอมอไรท์ปกครองเมโสโปเตเมีย ในสงั คมอสั ซีเรีย ปรากฎวา่ Shamshi -Adas (1815-1782 B.C.) ซง่ึ เป็นอมอไรท์ได้ตงั้ ตนเป็นผ้นู ําอสัซเี รียและพยายามสร้างความเป็นปึกแผน่ ให้แก่อสั ซีเรียแตไ่ ม่ประสบความสาํ เร็จระหวา่ งปี 1310-1232 ก่อนคริสตกาลของคสั ไซท์
4.อารยธรรมของชาวเปอร์เซียจกั รวรรดเิ ปอร์เชีย (Persian Empire) คอื จกั รวรรดแิ ละอาณาจกั รตา่ งในประวตั ศิ าสตร์ของเปอร์เชียที่ปกครองตอ่ เน่ืองกนั มาในบริเวณท่ีราบสงู อิหร่าน, ถ่ินกําเนิดของเปอร์เชีย และไกลไปทางเอเชียตะวนั ตก, เอเชียใต้, เอเชียกลาง และ บริเวณคอเคซสั จกั รวรรดิเปอร์เชียจกั รวรรดแิ รกก่อตงั้ ภายใต้จกั รวรรดมิ ีเดยี (728–559 ปีก่อนคริสต์ศกั ราช) หลงั จากการโคน่ จกั รวรรดอิ สั ซีเรียด้วยความชว่ ยเหลอืของบาบโิ ลเนียจกั รวรรดเิ ปอร์เชียอคีเมนียะห์ (550–330 ปีก่อนคริสต์ศกั ราช) เป็นจกั รวรรดทิ ี่ใหญ่ท่ีสดุ ในยคุ โบราณ และมารุ่งเรืองท่ีสดุ ในรัชสมยั ของพระเจ้าดาไรอสั มหาราช และ พระเจ้าเซอร์ซสี มหาราช ผ้มู ีช่ือเสยี งวา่ เป็นศตั รูคนสาํ คญั องรัฐกรีกโบราณ บริเวณท่ีตงั้เดมิ อยใู่ นบริเวณที่ในปัจจบุ นั รู้จกั กนั วา่ จงั หวดั พาร์ส (จงั หวดั ฟาร์ส)
6.อารยธรรมของชาวฮิบรูฮีบรูหรือยวิ เป็นชนเผ่าเซเมตกิ ท่ีเดนิ ทางเร่ร่อนในทะเลทรายประมาณ 1,400 ปีก่อนคริสตกาลกลา่ วกนั วา่ โมเสส (Moses)เป็นผ้นู ําคนสําคญั ได้ปลดแอกชาวฮีบรูจากการเป็นทาสของอียปิ ต์และพาชาวฮีบรูทงั้ หมดอพยพไปตงั้ ถิ่นฐานในดนิ แดนแหง่ คํามนั่สญั ญา (The promised land ) อนั ได้แก่ ดนิ แดนปาเลสไตน์ (Palestine ) หรือแคนาน (Canaan) ท่ีเช่ือกนัวา่ เป็นดินแดนที่พระเจ้าของบรรพบรุ ุษอบั ราฮมั หรือพระเยโฮวา(Yehovah) ทรงประทานให้ ชนชาตนิ ีม้ ีกษัตริย์ที่มีความสามารถและสร้างความเจริญให้แก่อาณาจกั ร คือกษัตริย์เดวิด และกษัตริย์โซโลมอน
7.อารยธรรมลมุ่ แม่นํา้ สนิ ธุอารยธรรมลมุ่ แม่นํา้ สนิ ธุ เป็นอารยธรรมในยคุ สาํ ริด (ประมาณ2500 – 1900 ก่อนคริสตกาล) ถือกําเนิดขนึ ้ บริเวณลมุ่ แม่นํา้สินธใุ นประเทศอินเดยี และปากีสถานในปัจจบุ นั ถือเป็นอารยธรรมยคุ แรกๆของโลกสมยั พระเวทประมาณ 2000 ถึง 1500 ปีกอ่ นค.ศ. ชาวอนิ โด-อารยนั จากเอเชียกลางอพยพเข้ามาในอนิ เดยี และพบกบั อารยธรรมสินธุ ทงั้ สองอารยธรรมผสมผสานรวมกนั เป็นอารยธรรมพระเวท เป็นอารยธรรมเหลก็หลกั ฐานที่สาํ คญั ท่ีสดุ ของอารยธรรมนีค้ อื พระเวท เป็นวรรณกรรมทางศาสนาในภาษาสนั สฤต อนั เป็นท่ีมาของชื่อสมยั นี ้
ยคุ มหากาพย์ ยคุ มหากาพย์ คือ ช่วงเวลาท่ีชาวอารยนั ได้ขยายตวั เต็มท่ีไปทางตะวนั ออกเฉียงเหนือและทางใต้แถบลมุ่ แม่น้า้ คงคา อารยธรรมยคุมหากาพย์ปรากฏในลกั ษณะตา่ งๆดงั นี ้การปกครองลกั ษณะคล้ายนครรัฐ เป็นอิสระไมข่ นึ ้ แก่กนั แคว้นที่มีชื่อเสยี งและมีอ้านาจมากในสมยั นนั้ คอื แคว้นมคธเร่ืองราวของชาวอารยนั ปรากฏออกมาในลกั ษณะของวรรณคดี 2เร่ือง คอื รามายณะและมหาภารตะ สะท้อนให้เหน็ ถึงการปกครองสงั คม และเศรษฐกิจของชาวอารยนัมีการน้าระบบวรรณะมาใช้เพ่ือแบง่ แยกชาวอารยนั และพวกดราวิเดียน รวมถึงชาวอารยนั ด้วยกนั เอง โดยแบง่ เป็น 4 วรรณะคือพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และศทู ร พวกทีท่ ้าผิดกฎเกณฑ์ขอระบบวรรณะ เรียกวา่ จณั ฑาลยคุ มหากาพย์ศาสนาพราหมณ์มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ตอ่ มามีการปรังปรุงความเชื่อและค้าสอนของศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดู เทพเจ้าท่ีนบั ถือสดู สดุ มี 3พระองค์ เรียกวา่ ตรีมรู ติ ได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ และพระศวิ ะ
ความเช่ือ โคลง บทสวดทางศาสนา ถกู รวบรวมไว้ในคมั ภีร์พระเวทแบง่ เป็น 3 สว่ น เรียกวา่ ไตรเวท ฤคเวช ยชรุ เวทและสามเวท และยงั มีเวทท่ีเกิดขนึ ้ ในสมยั หลงั เรียกวา่ อถรรพเวท และคมั ภีร์อปุ นิษัทความรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์ ท้าให้พวกพราหมณ์มีอ้านาจมากในสงั คม เกิดความไม่ เสมอภาค ท้าให้เกิดศาสนาที่ส้าคญั ขนึ ้อีก 2 ศาสนา เพื่อสร้างความเสมอภาคและความสงบสขุ ในสงั คมได้แก่ศาสนาเชน ผ้กู ่อตงั้ คอื พระมหาวีระ หลกั ความเชื่อท่ีส้าคญัของศาสนาเชน คอื การท้าใจให้บริสทุ ธิ์ไม่เน้นความทกุ ข์ทางกายเพื่อการหลดุ พ้นสโู่ มกษะศาสนาพทุ ธ ผ้กู ่อตงั้ คือ พระพทุ ธเจ้า หรือเจ้าชายสทิ ธตั ถะ หลกัค้าสอนที่ส้าคญั คือ อริยสจั 4 ได้แก่ ทกุ ข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค
1. อารยธรรมกอ่ นประวตั ิศาสตร์ 1.1 อารยธรรมลมุ่ แมน่ ํา้ หวางเหอ หรือ “วฒั นธรรมหยางเชา”หลกั ฐานทีพ่ บเป็นเครื่องปัน้ ดนิ เผาลายเขียนสี มกั เป็นลายเรขาคณิต พืช นก สตั ว์ตา่ งๆ และพบใบหน้ามนษุ ย์ สีทใ่ี ช้เป็นสีดําหรือสมี ว่ งเข้ม นอกจากนีย้ งั มีการพมิ พ์ลายหรือขดู สลกั ลายเป็นรูปลายจกั สาน ลายเชือกทาบ 1.2. อารยธรรมลมุ่ แมน่ ํา้ ฉางเจียง หรือ “วฒั นธรรมหลงซาน”ในมณฑลชานตงุ พบเคร่ืองปัน้ ดนิ เผาเนือ้ ละเอยี ดสดี ําขดั มนั เงา คณุ ภาพดีเนือ้ บางและแกร่ง เป็นภาชนะ 3 ขา2. อารยธรรมสมยั ประวตั ิศาสตร์ของจีน แบง่ ได้ตามราชวงศ์ของจีน ดงั นี ้ประวตั ศิ าสตร์สมยั โบราณ เริ่มตงั้ แตส่ มยั ราชวงศ์ชางจนถงึ ราชวงศ์โจว 1. ราชวงศ์ชาง เป็นราชวงศ์แรกของจีน จดั การปกครองแบบนครรัฐ มกี ารประดิษฐ์ตวั อกั ษรขนึ ้ ใช้เป็นครัง้ แรก พบจารึกบนกระดองเต่าและกระดกู ววั เป็นเรื่องของการทํานายโชคชะตาจึงเรียกวา่ “กระดกู เสย่ี งทาย” มีความเช่ือเรื่องการบชู าบรรพบรุ ุษ
2. ราชวงศ์โจว มีความเช่ือเร่ืองกษัตริย์เป็นโอรสแหง่ สวรรค์สวรรค์มอบอาํ นาจให้มาปกครอง มนษุ ย์เรียกวา่ “อาณตั แหง่สวรรค์” เป็นจดุ เร่ิมต้นยคุ ศกั ดินาของจีน เกิดลทั ธิขงจ๊ือ เป็นแนวคิดแบบอนรุ ักษนิยม เน้นความสมั พนั ธ์และการทําหน้าที่ของผ้คู นในสงั คม ระหวา่ งจกั รพรรดิกบั ราษฎร บิดากบั บตุ ร พี่ชายกบัน้องชาย สามีกบั ภรรยา เพื่อนกบั เพ่ือน เน้นความกตญั ํู เคารพผู้อาวโุ ส ให้ความสาํ คญั กบั ครอบครัวเน้นความสาํ คญั ของการศกึ ษา เกิดลทั ธิเตา๋ โดยเลา่ จื๊อ ท่ีมีแนวทางการดําเนินชีวิตเรียบง่าย ปรับตวั เข้าหาธรรมชาติ มีอิทธิพลต่อศิลปิน กวี และจิตรกรจีนประวตั ิศาสตร์สมยั จกั รวรรดิ เริ่มตงั้ แตส่ มยั ราชวงศ์จิ๋น จนถงึปลายราชวงศ์ชิงหรือเชง็1. ราชวงศ์จิ๋นหรือฉิน พระเจ้าชิวง่ั ต่ี หรือฉินสื่อหวงตี ้สามารถรวมดินแดนของจีนให้เป็นจกั รวรรดิ เป็นครัง้ แรก ในสมยั นีม้ ีการเชื่อมกําแพงเมืองจีนท่ีสร้างมาตงั้ แต่สมยั ราชวงศ์โจวมีการใช้เหรียญกษาปณ์ มาตราชง่ั ตวง วดั
2. ราชวงศ์ฮนั่ เป็นยคุ ทองด้านการค้าของจีน มีการค้าขายกบัอาณาจกั รโรมนั อาหรับ และอนิ เดีย โดยเส้นทางการค้าท่ีเรียกวา่เส้นทางสายแพรไหม (Silk Road) นําคําสอนในลทั ธิขงจื๊อมาใช้เป็นหลกั ในการปกครองประเทศ มีการสอบคดั เลือกบคุ คลเข้ารับราชการเรียกวา่ จอหงวน3. ราชวงศ์สยุ เป็นยคุ แตกแยกแบง่ เป็นสามก๊ก มีการขดุ คลองเชื่อมแมน่ ํา้ หวางเหอกบั แม่นํา้ ฉางเจียงเพ่ือประโยชน์ในด้านการคมนาคม4. ราชวงศ์ถงั ได้ชื่อวา่ เป็นยคุ ทองของอารยธรรมจีน นครฉางอานเป็นศนู ย์กลางของซีกโลกตะวนั ออกพระพทุ ธศาสนามีความเจริญรุ่งเรืองมาก พระภิกษุ (ถงั ซําจง๋ั ) เดินทางไปศกึ ษาพระไตรปิฎกในชมพทู วปี เป็นยคุ ทองของกวนี ิพนธ์จีน เชน่ หวางเหวย่ หล่ไี ป๋ ต้ฝู ู้ศลิ ปะแขนงตา่ งๆ มีความรุ่งเรือง
5. ราชวงศ์ซ้อง มีความก้าวหน้าด้านการเดินเรือสาํ เภา รู้จกั การใช้เขม็ ทศิ รู้จกั การใช้ลกู คิด ประดษิ ฐ์แทน่ พิมพ์หนงั สอื รักษาโรคด้วยการฝังเขม็ 6. ราชวงศ์หยวน เป็นราชวงศ์ของชาวมองโกลที่เข้ามาปกครองจีน ฮ่องเต้องค์แรก คือ กบุ ไลขา่ น หรือ หงวนสีโจ๊วฮอ่ งเต้ชาวตะวนั ตกเข้ามาตดิ ตอ่ ค้าขายมาก เชน่ มาร์โคโปโล พอ่ ค้าชาวเมืองเวนิส อติ าลี 7. ราชวงศ์หมิงหรือเหม็ง วรรณกรรมนิยมการเขียนนวนิยายท่ีใช้ภาษาพดู มากกวา่ การใช้ภาษาเขียนได้แก่ สามก๊ก ไซอ๋วิ สง่ เสริมการสํารวจเส้นทางเดนิ เรือทางทะเลสร้างพระราชวงั หลวงปักกิ่ง วงั ต้องห้าม8. ราชวงศ์ชิงหรือเช็ง เป็นราชวงศ์ของเผา่ แมนจู เป็นยคุ ท่ีจีนเสื่อมถอยความเจริญทกุ ด้าน เริ่มถกู รุกรานจากชาตติ ะวนั ตกเช่น สงครามฝ่ิน ซงึ่ จีนรบแพ้องั กฤษ ทําให้ต้องลงนามในสนธิสญั ญานานกิง
Search
Read the Text Version
- 1 - 16
Pages: