Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การเลี้ยงสุกรแบบธรรมชาติ (หมูหลุม)

การเลี้ยงสุกรแบบธรรมชาติ (หมูหลุม)

Published by Bangbo District Public Library, 2019-06-26 23:40:58

Description: การเลี้ยงสุกรแบบธรรมชาติ (หมูหลุม)

Search

Read the Text Version

การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) เรื่อง การเลี้ยงสกุ รแบบธรรมชาติ (หมหู ลุม) ส่วนศึกษาและพฒั นาการปศสุ ัตว์ สานักงานปศสุ ัตว์เขต ๕

2 บทนำ กำรเลยี้ งสุกรในระบบเกษตรธรรมชำติ (หมหู ลุม) “หมูหลุม” เป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกการเล้ียงหมูแบบขุดหลุมลึก โดยมีวัสดุรองพื้นหลุม ด้ังเดิมมาจาก ประเทศเกาหลี มีแนวคิดตามหลักการของ “เกษตรกรรมธรรมชาติ” ซ่ึงเป็นรูปแบบหนึ่งของระบบเกษตรกรรม ยง่ั ยืน เปน็ การเกษตรทไ่ี ม่เพียงแต่คานึงถงึ ผลผลิตจากการเกษตรเท่านั้น แต่มีปรัชญาแนวคิดอยู่เบื้องหลังของการ ทางาน เป็นการพัฒนารูปแบบการเกษตรท่ีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความเป็นองค์รวมของระบบนิเวศน์ด้าน การเกษตร วงจรชีวภาพหว่ งโซอ่ าหาร ดนิ พชื สัตว์ จลุ นิ ทรยี ์ พลังธรรมชาติหมุนเวียนจากพลังงานแสงแดด และ นา้ นามาเปน็ ปจั จยั ในการปลูกพืช เล้ียงสัตวท์ เ่ี กือ้ กลู ซ่ึงกันและกนั พืชทปี่ ลกู สว่ นหน่ึงนามาเลี้ยงสัตว์ สัตว์ถ่ายมูล ออกมาก็นาปุ๋ยมูลสัตว์มาเพิ่มความอุดมสมบรูณ์ให้กับดินเพื่อการ ปลูกพืช รวมถึงด้านเศรษฐกิจและสังคมของ ท้องถิ่น และการพ่ึงพาตนเองในด้านการผลิตและการบริโภคขนาดเล็กและขนาดกลาง ท่ีเหมาะสมกับทรัพยากร ภูมิปัญญาในท้องถ่ิน และวัฒนธรรมท่ีมีในชุมชน โดยมีเป้าหมายเชิงนโยบายอยู่ที่การพัฒนาชนบท การฟื้นฟู ส่ิงแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน การอยู่ดีกินดีของคนชนบท และสุขภาพของประชากร นาไปสู่การแก้ไข ปัญหาความยากจนในท่สี ดุ ปัจจบุ นั การเล้ียงสุกรในประเทศไทยได้มีการพัฒนาการเทคโนโลยีการเลี้ยงท้ังด้านพันธุ์สัตว์ อาหารสัตว์ การจัดการและการสุขาภบิ าล และระบบการเลย้ี งสุกรพัฒนาไปสู่การเล้ียงในระบบอุตสาหกรรม มีระบบการผลิต ขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ยังมีเกษตรกรรายย่อยที่เล้ียงสุกรรายละ 1-20 ตัว ตามหมู่บ้านอยู่จานวนมาก เกษตรกรรายย่อยดังกล่าวจาเป็นจะต้องได้รับความรู้ในด้านการเล้ียงสุกรอย่างถูกต้อง ซึ่งจาเป็น ที่จะต้อง ยึดแนวปฏิบัติในการจัดการเล้ียงสัตว์ท่ัวไป คือจะต้องให้ความสาคัญตามหลักการจัดการเล้ียงสัตว์เบื้องต้น คือ สุกรพนั ธ์ดุ ีอาหารดี โรงเรือนดี การจัดการสุขาภบิ าลและการปอ้ งกันโรคดี แล้วใชอ้ งค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นมา ประยุกต์ใชอ้ ย่างเหมาะสมตามสภาพพื้นท่ีท่ีมีความแตกต่างด้านทรัพยากร เพื่อจะได้นาไปพัฒนาการเล้ียงสุกรให้ มีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและทรัพยากรในท้องถิ่น ในการจัดการฟาร์มได้รับการออกแบบมา เพอื่ ลดต้นทนุ ในการผลิตไดถ้ ึง 40% และใช้อาหารท่ีทาขึ้นเอง 60 – 70% ซ่ึงสามารถลดต้นทุนได้มาก เกษตรกร สามารถพึ่งพาตนเองโดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และยังเป็นการฟ้ืนฟูองค์ความรู้เดิมและถูมิปัญญา ท้องถิ่นมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะทารายได้ให้กับครอบครัวอย่างมั่นคงและยั่งยืน และยังจะได้ประโยชน์ ในการใชท้ รัพยากรอย่างคมุ้ ค่า และรกั ษาสภาพแวดล้อมทีด่ ีไว้ให้อยคู่ ่ชู มุ ชน กรมปศสุ ัตว์ได้ส่งเสริมใหเ้ กษตรกรรายย่อยหนั มาประกอบอาชพี การเกษตรแบบผสมผสานโดยมีการเลี้ยง สัตว์เป็นตัวช่วย รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่าย รู้จักการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ พึ่งพา ตนเองและพ่ึงพาอาศัยซง่ึ กันและกนั และกจิ กรรมการเล้ียงหมูหลมุ ภายใต้โครงการพัฒนาอาชีพการเล้ียงสัตว์แบบ ผสมผสานในเกษตรกรรายยอ่ ย เป็นอกี กจิ กรรมหนึง่ ทเ่ี ปน็ ทางเลอื กทางรอดของเกษตรกร ท่สี ามารถยึดเป็นอาชีพ เสริมสร้างรายได้ที่ม่ันคงได้ โดยมีต้นแบบจาก ศูนย์เครือข่ำยเรียนรู้กำรเลี้ยงสัตว์ตำมแนวเศรษฐกิจพอเพียง จังหวดั ลำพนู นำยพงษ์พนั ธ์ นนั ทขวำ้ ง (อำจำรย์แดง) บา้ นเลขที่ 97 หมู่ 3 ตาบลเวยี งยอด อาเภอเมือง จังหวัดลาพนู

3 ขอ้ ดขี องกำรเลย้ี งสุกรแบบธรรมชำติ (หมหู ลุม) 1. สามารถใช้วสั ดตุ ่าง ๆ ทม่ี ีอยตู่ ามธรรมชาตแิ ละในทอ้ งถ่ิน หางา่ ย ราคาถูก 2. ไมก่ ่อใหเ้ กดิ ปญั หากบั ส่งิ แวดลอ้ ม อันเน่ืองมาจากมลู สุกรและน้าเสยี 3. สามารถเลย้ี งในชมุ ชนได้ เน่อื งจากไม่มีปัญหาเรื่องกลน่ิ เหมน็ จากมลู สกุ รและแมลงวนั 4. ไม่ต้องเสยี ค่าใช้จา่ ยในการล้างทาความสะอาดคอกและบาบัดน้าเสยี 5. มีระบบการหมุนเวียนทเี่ กิดขึ้นตามธรรมชาติในคอกหรือหลมุ สุกร 6. มูลสุกรและวัสดใุ นหลมุ ซ่งึ ถูกหมักและย่อยสลายโดยจลุ นิ ทรยี ์กลายเปน็ ปุ๋ยหมักอยา่ งดนี าไปเปน็ ปุ๋ย ใหก้ บั พชื ปรบั ปรุงดินบารุงดิน หรือจาหน่าย 7. ต้นทุนการผลติ ตา่ โดยเฉพาะต้นทนุ ด้านอาหารสามารถลดไดไ้ มต่ า่ กวา่ 70 เปอร์เซน็ ต์ 8. หลีกเล่ียงการใช้สารเคมีหรือยาปฏิชวี นะ ทาให้ผลผลิตมีความปลอดภยั ต่อผูบ้ รโิ ภค 9. เพอ่ื ใช้เป็นสว่ นหนง่ึ ของการทาเกษตรแบบเศรษฐกจิ พอเพียงและระบบเกษตรอนิ ทรยี ์ การเลี้ยงหมูหลุมจะให้ประสบผลสาเร็จ จาเป็นอย่างย่ิงที่ต้องทาให้ถูกหลักวิชาการจะทาให้การเล้ียงหมู หลุมประสบผลสาเร็จ ไม่มีปัญหาเร่ืองกลิ่นเหม็นของมูลสุกร ไม่กระทบต่อสภาพแวดล้อม มลภาวะไม่เป็นพิษ ส่งผลต่อสุขอนามัยของผู้เลี้ยงและสกุ ร หวั ใจสาคัญของการเลีย้ งสุกรแบบธรรมชาติ (หมูหลุม) มีองคป์ ระกอบดงั นี้ 1. การสรา้ งโรงเรอื นและคอกสาหรับเลยี้ งหมหู ลุม 2. การเตรยี มพน้ื คอกหมูหลุม 3. การผลติ เชื้อราขาวหรือจุลินทรยี ์ท้องถิ่น 4. น้าหมักจุลินทรยี ์ 3 ประเภท 7 ชนิด ประเภทที่ 1 กำรทำน้ำหมกั จำกพืช (มี 3 ชนิด) (1) จากพืชสีเขียว และสด(Fermental Plant Juice : FPJ) (2) จากผลไม้สกุ (Fermental Fruit Juice : FFJ) (3) จากพืชสมุนไพร (Orient Herb Hormone Nutrial : OHN) ประเภทที่ 2 กำรทำนำ้ หมักจำกนำ้ ซำวขำ้ ว (มี 3 ชนดิ ) (4) แลคโตบาซิลลัส (Lactic Acid Bacteria : LAB) จากนมสด (5) แคลเซยี มจากเปลือกไข่ (Ca) (6) ฟอสฟอรสั จากถ่านกระดูกสตั ว์ (P) ประเภทที่ 3 กำรทำนำ้ หมักจำกสัตว์ (Fermental Amino Acid : FAA) มี 1 ชนิด (7) ได้แก่ ก้งุ , หอย, ป,ู ปลา, ไสเ้ ดอื น, รกหมู ฯลฯ 5. การผลติ น้าหมกั จุลินทรยี ์ป้องกนั กาจดั ศัตรูพืช และสตั ว์ 6. การผลิตอาหารสัตว์สาหรบั หมูหลุม 7. การเลี้ยงและการจัดการหมูหลมุ

4 บทท่ี 1 กำรเก็บเชื้อจลุ ินทรยี ์ในท้องถน่ิ “เช้อื รำขำว” และกำรผลิตเช้ือจลุ นิ ทรยี ์ 3 ประเภท 7 ชนดิ กำรทำเกษตรธรรมชำติ จะเร่ิมต้นด้วยเช้ือจุลินทรีย์ในท้องถ่ิน (Indigenous Micro Organism : IMO) โดยการเพาะเล้ียงและนามาใช้ในการเพาะปลูก การเล้ียงสัตว์ และการประมง บนฐานความคิดที่ว่า อยทู่ ไ่ี หนใช้จุลินทรยี ์ที่น่ัน เช้อื จลุ นิ ทรยี น์ ีเ้ รียกว่า “เชอ้ื รำขำว” จลุ ินทรยี ท์ ้องถ่นิ มอี ุดมสมบูรณ์ใน ป่ำไผ่ และ ใบไมผ้ ุบรเิ วณบา้ น หรือ ตามภเู ขา ทุกคนสามารถทาได้อย่างง่ายดาย และนาไปใช้อย่างเกิดผลท่ีสัมผัสได้อย่าง เปน็ รปู ธรรม กำรเกบ็ เชอื้ จุลนิ ทรยี ใ์ นท้องถิน่ วสั ดุอุปกรณ์ 1. กล่องไม้สี่เหล่ียม ขนาด 30  30  10 เซนติเมตร 2. ขา้ วหุงสกุ 1 ลิตร 3. ทัพพีตักขา้ ว 4. กระดาษขาว(กระดาษปรู๊ฟ) ไมใ่ ชก้ ระดาษหนังสือพิมพ์ หรือเอาปากกาเคมีเขียนบนฝาปิด เพราะมีสารเคมจี ะดูดลงในน้าหมกั 5. เชือกฟาง 6. ตาขา่ ย 7. พลาสตกิ 8. โหลปากกวา้ ง วธิ ีทำ 1. หาสถานทท่ี ีจ่ ะวางกล่องไม้สเ่ี หลยี่ ม 2. หงุ ขา้ วจา้ วให้สกุ 3. เทขา้ วลงบนกล่องไมส้ ีเ่ หลีย่ ม 4. ใช้ทพั พีคน (ซยุ ) ใหข้ า้ วโปรง่ อย่าใหถ้ ูกมอื ท้ิงไว้ให้เยน็ 5. เอากระดาษปดิ หน้า มัดดว้ ยเชือก 6. นาไปวางไวส้ ถานทที่ ี่เราเตรยี มไว้ 7. เอาใบไมท้ ี่อยขู่ ้างเคยี งทบั หน้าให้หนา 1 ฝา่ มอื 8. เอาตาข่ายคลมุ กนั หนู นก และแมลงตา่ งๆ ฯลฯ รบกวน 9. คลมุ ด้วยพลาสติกกันน้า 10. ทิ้งไว้ 4 – 5 วนั เปิดออกมาจะเหน็ เช้อื ราขาวขน้ึ เตม็ ข้าวอยา่ งน้อย 70% 11. นามาคลุกกับนา้ ตาลทรายแดง 1 กโิ ลกรมั โดยใช้มือคลุกให้เละเหมือนโคลน 12. เก็บบรรจุไวใ้ นโหล ( ปดิ ฝา ) ทง้ิ ไว้ 4 – 5 วนั นาไปใช้อตั รา 2 ช้อน : น้า 10 ลติ ร เก็บไว้ในท่เี ยน็ เชน่ ในห้องนา้

5 กำรผลิตเช้อื จุลนิ ทรยี ์ 3 ประเภท 7 ชนดิ ประเภทที่ 1 กำรทำนำ้ หมักจำกพืช มี 3 ชนิด (1) จากพชื สเี ขยี ว และสด(Fermental Plant Juice : FPJ) (2) จากผลไม้สกุ (Fermental Fruit Juice : FFJ) (3) จากพืชสมนุ ไพร (Orient Herb Hormone Nutrial : OHN) ประเภทท่ี 2 กำรทำน้ำหมกั จำกน้ำซำวขำ้ ว มี 3 ชนดิ (4) แลคโตบาซิลลัส (Lactic Acid Bacteria : LAB) จากนมสด (5) แคลเซียมจากเปลือกไข่ (Ca) (6) ฟอสฟอรสั จากถ่านกระดูกสตั ว์ (P) ประเภทท่ี 3 กำรทำนำ้ หมักจำกสัตว์ (Fermental Amino Acid : FAA) มี 1 ชนดิ (7) ได้แก่ กงุ้ , หอย, ป,ู ปลา, ไส้เดอื น, รกหมู ฯลฯ อยา่ งใดอย่างหนึง่ ไม่ปนกนั กำรทำนำ้ หมักเชือ้ จุลินทรียจ์ ำกพืชสเี ขยี ว และสด (Fermental Plant Juice : FPS) ขอ้ ควรพิจำรณำ 1) เลือกเอาสว่ นยอดดีทส่ี ดุ ( หน่อกลว้ ย, เปลือกแตงโม, แตงกวา ดที สี่ ดุ ) 2) เวลาเกบ็ ให้เก็บตอนเชา้ / กอ่ นตะวันขน้ึ (แดดออกจลุ ินทรยี ์จะตาย) 3) เลอื กเอาสว่ นทีเ่ ขยี วท่ีสดุ 4) หา้ มลา้ งน้า(แบคทีเรียจะเข้าก่อน) และแชเ่ ยน็ วสั ดุท่ีใช้ 1) โอง่ เคลือบปากกว้าง 2) นา้ ตาลทรายแดง 3) กระดาษและเชอื ก 4) วสั ดุ / พชื สีเขียว อัตรำกำรใช้ 7 : 3 : 1 วัสดุ / พืชสเี ขียว 7 สว่ น : นา้ ตาล 3 สว่ น : เกลอื เม็ด 1 กามือ วธิ ีกำรทำ / หมกั - ห่นั วัสดุ / พืชสีเขียว ขนาด 2 – 4 เซนตเิ มตร - แบ่งน้าตาลออกเปน็ 2 ส่วนเทา่ ๆ กัน - เอาน้าตาลทรายส่วนที่ 1 คลุกกับวสั ดุ (คลุกเบาๆ เพื่อให้จุลินทรยี ไ์ ปสัมผัสพืชสเี ขียว) - นาไปบรรจใุ นภาชนะ (ปากกว้าง) กดลงใหเ้ หลอื 2/3 ถงั เช็ดขอบให้แหง้ - เอาของหนกั ทบั ท้งิ ไว้ 1 คืน หรือ 12 ช่วั โมง ปดิ ฝาด้วยกระดาษ 1 ช้ัน มดั ด้วยเชอื กฟาง - เอาของหนักออก - นาน้าตาลทรายส่วนท่ี 2 โรยหนา้ ให้ทั่วและเกลือ 1 กามือ - เอากระดาษปรู๊ฟปิด 1 แผ่น มัดเชือก - ทง้ิ ไว้ 8 – 10 วัน (โดยให้อยู่ในรม่ ) - รินใสข่ วดใหไ้ ด้ 2/3 ของขวด ปดิ ฝาเก็บไวท้ ่ีร่ม

6 กระดาษปดิ เกลือ 1 กา้ มอื นา้ ตาลทรายแดงโรยหน้า เอาของหนกั ทับไว้ 1 คืน วสั ดุ / พชื สีเขยี ว คลุกกบั น้าตาลแลว้ ขอ้ บง่ ใช้ 1) ใช้อัตรา 2 ชอ้ น : นา้ 10 ลิตร ใส่, ราด, พน่ 3 คร้ัง หา่ งกัน 3 - 5 – 7 วัน ตอ่ เดอื น 2) และราดลงดนิ หา่ งจากตน้ 1 คบื ทบั ด้วยใบไมแ้ ห้ง ฯลฯ ให้เกิดความชื้น 3) นาไปใช้ในระยะเวลา 45 วันดที ีส่ ดุ (ถา้ เปดิ ขวดแลว้ ) 4) สามารถเก็บไวไ้ ด้ 3 เดือน (ถ้าปิดฝาเกลียวใหส้ นิท) 5) ทาปยุ๋ หมัก 6) ผสมนา้ ดมื่ สัตว์ 7) ผสมอาหารสัตว์

7 น้ำหมักเช้อื จุลนิ ทรียจ์ ำกผลไม้สุก (Fermental Fruit Juice : FFJ) 1. ข้อควรพิจำรณำ 1.1 ผลไมต้ อ้ งสกุ 1.2 ควรใชห้ ลายๆ ชนิดรวมกนั อย่างน้อย 3 ชนดิ 1.3 หา้ มลา้ งน้า 2. วสั ดุท่ใี ช้ ดีทส่ี ดุ 2.1 กลว้ ยนา้ วา้ , มะละกอ, ฟักทอง / ถา้ ไม่มอี ะไรก็ได้ 2.2 นา้ ตาลทรายแดง 2.3 โอ่งเคลอื บ 2.4 กระดาษและเชอื ก 3. อตั รำกำรใช้ 1 : 1 ผลไม้สกุ 1 ส่วน : น้าตาล 1 ส่วน 4. วธิ ที ำ / หมกั - หน่ั ผลไมส้ ุกเป็นชิน้ 2 – 4 เซนตเิ มตร - แบ่งน้าตาลออกเปน็ 2 สว่ นเทา่ ๆ กัน - เอาน้าตาลส่วนที่ 1 คลกุ กับผลไม้สกุ เบาๆ (2 รอบ) - นาไปบรรจใุ นภาชนะ 2/3 ของภาชนะ เกลย่ี ใหเ้ สมอ(หา้ มกด) - เอาน้าตาลสว่ นท่ี 2 โรยทบั หนา้ - เอากระดาษปรู๊ฟปิด 1 ช้ันไว้ 15 วนั (ไมต่ ้องใช้ของหนักทับและหา้ มขยบั เขย้ือน) ทิงไว้ 1 นา้ ตาลทรายแดง ส่วน ผลไม้

8 5. รินใส่ขวดให้ได้ 2/3 ของขวด ปดิ ฝำเกบ็ ไวใ้ นทร่ี ม่ ชอ่ งว่าง น้าจลุ ินทรยี ์ 6. ข้อบง่ ใช้ 6.1 อัตราใช้ 2 ชอ้ น : นา้ 10 ลติ ร ใส่, ราด,พน่ 3 ครัง ห่างกัน 3 - 5 – 7 วนั ต่อเดอื น 6.2 ราดลงดนิ ห่างจากตน้ 1 คืบ ทับดว้ ยใบไมแ้ หง้ (เพื่อรกั ษาความชืน) 6.3 ผสมนา้ ใหส้ ตั วก์ ิน 6.4 ผสมอาหารสัตว์ 6.5 ทา้ ปุ๋ยหมกั 6.6 ใชภ้ ายใน 45 วัน ดที ่สี ุด 6.7 สามารถเก็บไวไ้ ด้ 3 เดอื น กำรทำฮอร์โมนพชื สมนุ ไพร (เหล้ำดองยำ) (Orient Herb Hormone Nutrial : OHN) 1. ขอ้ ควรพิจำรณำ สามารถทาได้อกี 5 คร้งั หลงั จากทาคร้งั แรก รวมเปน็ 6 ครั้ง 2. วัสดทุ ่ีใช(้ อย่ำงใดอย่ำงหน่ึงทค่ี นรับประทำนได้) 2.1 ชะเอม 2.2 โสมตงั กุย 2.3 อบเชย 2.4 กระชายดา - ถา้ ไมม่ ที ้ัง 4 อย่าง ใช้ ตะไคร้, ขงิ , กระเทียม, มะแขว่น, ปูเลย ฯลฯ 2.5 เบียรห์ รือเหลา้ สาโท 2 ขวด อย่างใดอย่างหนึ่ง 2.6 น้าตายทรายแดง 1/2 กิโลกรัม (คร่ึงกิโลกรมั ) 3. อตั รำ วัสดุ 1 กโิ ลกรัม : เหลา้ สาโท / เบียร์ 2 ขวด อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ น้าตาล 1/2 กิโลกรัม เหล้า 40 ดกี รี 2 ขวด

9 4. วิธที ำ / หมัก ( ทำได้ 5 – 6 ครัง้ ) - ขวดโหล มีฝาปิด ลา้ งนา้ ทงิ ไวใ้ ห้แห้ง - นา้ วัสดุ จ้านวน 1 กโิ ลกรมั ใส่ - เอาเหล้าขาว / เบยี ร์ อย่างใดอยา่ งหน่ึง 2 ขวด เทให้ทว่ มวัสดุ ปิดฝา เบยี ร์ 2 ขวด วัสดุ 1 กิโลกรมั 5. ทิง้ ไว้ 12 ชวั่ โมง เสร็จแล้วเอำน้ำตำลทรำยใส่ 1/2 กิโลกรัม พร้อมทง้ั เหล้ำ 40 ดกี รี 2 ขวด ทงิ้ ไว้ 8 – 10 วัน รนิ ใสข่ วดเก็บไว้ 6. ข้อบ่งใช้ 6.1 ใชอ้ ตั รา 1 ช้อน : นา้ 10 ลติ ร 6.2 ใส่ในนา้ เปน็ อาหารเสริมเร่งการเจริญเติบโต 6.3 ใส่ในน้าผอ่ นคลายความเครยี ด 6.4 ผสมกับเหล้าดองอืน่ ๆ ไดห้ ลายชนดิ 6.5 พ่นสัตว์ ท้าลายเหบ็ ผ่ืน ขีเรอื นหาย 6.6 ผสมกับจลุ นิ ทรีย์อืน่ ๆ ใหส้ ัตวก์ ิน

10 นำ้ หมกั เช้อื จุลนิ ทรียจ์ ำกน้ำซำวขำ้ ว (นมเปรยี้ ว) ( Lactic Acid Bacteria : LAB ) 1. ข้อควรพิจำรณำ 1.1 ตอ้ งใช้นา้ ซาวขา้ วจากข้าวเหนยี ว แชไ่ ว้ 1 คนื หรือ 12 ช่งั โมง 1.2 ใชน้ า้ มะพรา้ วก็ได้ 1.3 วัสดุใช้หมกั ควรเปน็ ขวดแก้วปากกวา้ งทรงสงู 2. วสั ดุทใ่ี ช้ 2.1 โถแกว้ ปากกว้างทรงสูง(ขนาดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง 9 น้ิว) 2.2 นา้ ซาวขา้ ว / นา้ มะพรา้ ว 2.3 ราออ่ น 2.4 กระดาษ 2.5 น้าตาลทราย 3. วธิ ที ำ / หมกั 3.1 นา้ ซาวข้าว / น้ามะพร้าว 3.2 ใส่ลงในโหลใหส้ งู 15 เซนตเิ มตร 3.3 ราอ่อน 3 กามอื โรยหนา้ ใหท้ ว่ั อย่างช้าๆ ให้ทบึ อย่าให้เหน็ น้า ท้ิงไว้ 4 – 5 วนั 3.4 ใชส้ ายยางดูดนา้ ออก 1 ขวด / 1 สว่ น ลงใสโ่ หลอกี ใบหนง่ึ แลว้ เอานมสด ( ไมแ่ ช่เยน็ )ใสล่ งไป 10 ส่วน 3.5 เติมน้าตาลทรายแดง 1/3 ของปริมาณทั้งหมด 3.6 ปดิ ฝาทงิ้ ไว้ 8 – 10 วนั 3.7 รินใสข่ วดไว้ในร่ม

11 น้ำซำวข้ำวหมักกบั รำออ่ น 1 ส่วน : นมสด 10 ขวด  ทิงไว้ 4 – 5 วนั ดูดใสภ่ าชนะ 1 ขวด  ปดิ ฝาดว้ ยกระดาษ  รา้ อ่อน  นา้ ซาวข้าวสูง 15 ซม. 1. นา้ น้าซาวขา้ วหมักกบั รา้ อ่อน 1 สว่ น เทลงในโหลแกว้ 2. นา้ นมสดท่ีตม้ แล้ว 10 ส่วนเทลงไป 3. เติมน้าตาลทรายแดง 4 กก. หลังจากนี ประมาณ 3-5 นาที จะเหน็ น้าระหว่าง นา้ ตาลทราย กบั นมสดเป็นสเี ทาอ่อน และลอยขึนบน 4. ปดิ ฝาดว้ ยกระดาษ ทิงไว้ 8 – 10 วนั 5. วนั ที่ 3 – 4 จะเห็นวุ้นเกดิ ขึน 1 – 2 นวิ ตกั เอาวุ้นใส่โถทีป่ ดิ ฝาเกลยี ว น้าไปเป็น ฮอร์โมนเร่งรากพืช เช่น การตอน ปักช้า เรยี กราก วธิ เี ก็บ เก็บไว้ในตู้เยน็ ชันล่าง ( ชนั พชื ผัก ) 4. ข้อบ่งใช้ 4.1 อตั ราการใช้ 3 ช้อน : น้า 10 ลติ ร 4.2 ผสมน้าให้สตั ว์กินเปน็ อาหารเสริม ช่วยในการยอ่ ย และเสริมสร้างการท้างาน ของ จุลนิ ทรียใ์ นสตั ว์ 4.3 พ่นใบและราดโคนตน้ ไม้ ไมด้ อก ไมป้ ระดับ ไมก้ ระถาง จะเสริมสรา้ งการทา้ งาน ของจลุ นิ ทรียใ์ นพชื ( พ่นเชา้ – เย็น ) 4.4 ผสมกบั จลุ ินทรียช์ นิดอ่นื ๆ ได้ (พน่ คอกสัตว)์

12 กำรหมกั น้ำซำวข้ำวกับเปลอื กไข่ ( Ca แคลเซีย่ ม ) 1. ข้อควรพิจำรณำ 1.1 ควรเปน็ น้าซาวข้าว จากการแช่ขา้ วเหนียว 1 คนื หรอื 12 ชวั่ โมงหรือใช้น้ามะพรา้ ว ก็ได้ 1.2 เปลือกไข่ต้องน้าไปตากทิงไวอ้ ย่างนอ้ ย 3-7 แดด ( บเี ปน็ ชินๆ แต่ไมเ่ ป็นผง ) 1.3 วสั ดทุ ่ใี ช้หมกั ควรเปน็ ขวดโหลแก้วปากกวา้ งทรงสูง 2. วัสดทุ ใี่ ช้ 2.1 ขวดโหลแกว้ 2.2 เปลือกไขต่ ากแห้ง 3. วิธีทำ / หมกั 3.1 นา้ น้าซาวข้าวจา้ นวน 10 ลติ ร เทใส่ภาชนะ ( อะไรกไ็ ด้เช่น โถ, ถัง,โอง่ ) 3.2 เอาเปลอื กไข่ 1 กิโลกรัม ใส่ลงไปชา้ ๆ อยา่ ใหเ้ หน็ นา้ 3.3 หมักไว้ 8 – 10 วนั ( หา้ มขยบั เขยอื น ) แลว้ รินเก็บไว้ในขวด ( เปิดออกมาแล้ว จะเหม็นเหมือนไข่เน่า มไี ขอยบู่ นนา้ ถอื ว่าดี ตกั เอาไขออก ) นา้ ข้าวมวก 10 เลปติ ลรือกไข่ 1 กิโลกรัม 4. ขอ้ บง่ ใช้ 4.1 พน่ เลา้ ไกไ่ ขจ่ ะท้าใหไ้ ม่ผลดั ขน 4.2 ใช้ราดพืนคอกสตั ว์ / หมู กอ่ นใส่แกลบทัง 2 ชัน 4.3 อัตราการใช้ 3 ช้อน : น้า 10 ลติ ร 4.4 ผสมกับจลุ นิ ทรีย์อ่ืนๆ ได้

13 กำรหมกั น้ำซำวขำ้ วกับถ่ำนกระดูกสตั ว์ ( P ฟอสฟอรสั ) 1. ขอ้ ควรพิจำรณำ 1.1 นา้ กระดูกไปต้มใหไ้ ขมนั ออกให้หมด (หรือเอามาจากหม้อตม้ ก๋วยเตี๋ยว) 1.2 นา้ ไปตากให้แห้ง 1.3 น้าไปเผาไฟจนสีแดง แลว้ นา้ ไปจุ่มนา้ ทิงไว้ใหแ้ หง้ 2. วสั ดุทีใ่ ช้ 2.1 ขวดโหลทรงสงู หรือโอง่ หรือไห 2.2 กระดูก 2.3 นา้ ซาวขา้ ว 3. วิธีกำรทำ / หมกั 3.1 นา้ กระดกู ใส่ลงไป 1 กโิ ลกรมั 3.2 นา้ นา้ ซาวขา้ วใสใ่ นโหล 10 ลติ ร แรง ๆ นา้ ซาวขา้ ว 10 ลิตร กระดกู 1 กิโลกรัม 3.3 ทิงไว้ 8 – 10 วัน (ห้ามขยบั เขยอื น) เปิดออกจะมีไขลอยอยู่บนนา้ ถอื วา่ ดี ตกั เอาไขออก น้าไปใชไ้ ด้ โดยเกบ็ ไว้ในโหล หรอื ใส่ขวด (เอาถา่ นทิง) 4. อัตรำกำรใช้ 4.1 นา้ หมกั 2 ช้อนโต๊ะ : นา้ 10 ลติ ร 4.2 พน่ ในช่วงกอ่ นออกดอกเพอ่ื เปดิ ตาดอก 4.3 ใชผ้ สมกับจุลินทรยี อ์ ่ืนๆ ได้ 4.4 น้าไปราดพชื จะท้าให้ออกดอก

14 กำรทำน้ำหมกั เชอ้ื จุลินทรียจ์ ำกเศษปลำ หอย ปู ก้งุ รกหมู ไสเ้ ดือน ( Fermental Amino Acid : FAA ) 1. ข้อควรพิจำรณำ 1.1 ห้ามล้างนา้ 1.2 ใช้ไมห้ ม่นั คนบ่อยๆ วันละ 1 – 2 ครัง้ ถา้ ไมค่ นจะทาใหเ้ กดิ ไข ถงั แตก ไมม่ นี ้า 1.3 ควรนาไปใช้ภายใน 45 วนั 2. วสั ดุที่ใช้ 2.1 โอง่ เคลอื บหรือไห 2.2 น้าตาลทรายแดง 2.3 กระดาษและเชือก 2.4 วัสดุอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ หรือชนิดเดยี วไดแ้ ก่ เศษปลา หอย กุ้ง ปู รกหมู ไสเ้ ดือน ( ไมแ่ ช่เยน็ หรือเก็บไวเ้ กิน 6 ชว่ั โมง จะเหมน็ คาว ) 3. อัตรำ 1 : 1 วัสดุ อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ 1 สว่ น : นา้ ตาล 1 สว่ น คลุกเบาๆ 5 - 7 นาที จนนา้ ตาลละลายหมด จะไม่มีกลนิ่ เหมน็ 4. วธิ ีทำ / หมกั ปิดฝาให้แน่น 4.1 ทบุ / สับเป็นชน้ิ 2 – 4 เซนตเิ มตร แล้วแตช่ นิดของวัสดุ 4.2 นาวัสดุที่ทบุ หรอื สบั แลว้ คลกุ กบั น้าตาลทรายแดง ( ครั้งเดยี ว ) 4.3 นาบรรจใุ นโอ่งเคลอื บ 2 / 3 ของโอง่ 4.4 ปดิ ฝาให้สนิท 4.5 ใชไ้ มค้ นวนั ละ 1 – 2 ครง้ั ( ปดิ ฝาให้สนทิ ทกุ ครง้ั หลังคน ) 5. ทิง้ ไว้ 15 วัน รินใสข่ วดให้ได้ 2/3 ของขวด ปดิ ฝำเกบ็ ไวใ้ นทรี่ ่ม 6. ขอ้ บ่งใช้ 6.1 ใชอ้ ตั รา 2 ช้อนโต๊ะ : นา้ 10 ลิตร ใส่,ราด,พน่ 3 คร้ัง ห่างกัน 3,5,7 วันต่อเดือน 6.2 ราดลงดนิ หา่ งจากตน้ 1 คบื ทับด้วยใบไม้แห้ง ฯลฯ ให้เกิดความชน้ื 6.3 ควรนาไปใชใ้ ห้หมดภายใน 45 วัน 6.4 กากทเ่ี หลือผสมราอ่อน ในอตั ราส่วน กาก : ราอ่อน เทา่ กบั 1 : 10 คลุกเคลา้ กนั ราด ดว้ ยน้าจลุ ินทรีย์ 7 X 2 (7 ชนิดๆละ 2 ช้อน) ผสมนา้ 10 ลติ ร ให้สัตว์เลก็ กิน หรอื ปลาดกุ ถา้ นาไปบรรจุภาชนะปิดดว้ ยกระดาษปรฟู๊ เกบ็ ไว้ไดห้ ลายวนั 6.5 ทาปุย๋ หมกั 6.6 ผสมนา้ ดมื่ ให้สตั ว์ 6.7 ผสมอาหารสตั ว์

15 บทที่ 2 กำรสรำ้ งโรงเรอื นและคอกสำหรบั หมูหลมุ การสร้างโรงเรือนสาหรับเล้ียงหมูหลุม จะมีลักษณะเหมือนกับการสร้างโรงเรือนเล้ียงสุกรโดยทั่วไป แต่ของหมูหลุมจะเน้นการใช้วัสดุท่ีมีตามธรรมชาติ เพ่ือลดต้นทุนค่าสร้างโรงเรือนให้ได้มากที่สุด การสร้างต้อง คานึงถงึ สิ่งต่าง ๆ ดังน้คี อื 1. สถานทก่ี อ่ สรา้ งโรงเรือน ควรเปน็ ทดี่ อนน้าไม่ท่วมขัง หรอื อาจเป็นทล่ี มุ่ ก็ได้ แต่มีที่น้าไดด้ ี อยา่ ใหน้ า้ ท่วมขังเด็ดขาด 2. สรา้ งโรงเรือนตามแนวตะวันออก - ตะวนั ตก 3. โครงสรา้ งของโรงเรือน ขน้ึ อยูก่ บั เงินทนุ อาจจะใช้โครงสร้างไม้ หรือเหล็กก็ได้ แตต่ ้องแขง็ แรง สามารถรับนา้ หนักวสั ดมุ งุ หลังคา ตลอดจนทนทานต่อการถูกลมพัดได้ 4. วัสดุมุงหลังคาอาจจะใช้ กระเบ้อื ง สังกะสี แฝก หรอื จาก ข้ึนอยู่กับเงนิ ทุน สามารถกันแดดและฝนได้ อย่าให้หลังคาร่ัวโดยเดด็ ขาด 5. โล่ง และอากาศถา่ ยเทไดส้ ะดวก 6. ขนาดของคอกขน้ึ อยู่กับปริมาณสกุ รที่เลย้ี ง โดยสกุ รใชพ้ ื้นที่ตอ่ ตวั ตั้งแต่เลก็ จนถึงขาย 1.2-1.5 ตาราง เมตร เชน่ ถ้าจะเลย้ี งหมู 10 – 12 ตวั ควรจะมีขนาด 3 เมตร  6 เมตร หรือ เล้ยี งหมู 5 – 7 ตัว คอก ขนาด 2 X 4 เมตร) เปน็ ต้น 7. ลักษณะของหลงั คาโรงเรอื น สามารถทาไดห้ ลายรปู แบบ เชน่ แบบเพิงหมาแหงน สรา้ งง่าย ราคาถูก แต่มขี ้อเสยี จะทาให้แสงแดดสอ่ งเขา้ ไปมากในฤดรู อ้ น หรอื น้าฝนจะสาดเขา้ ไดง้ ่ายในฤดูฝน แบบเพงิ หมาแหงนกลาย เสยี คา่ ใช้จ่ายเพ่ิมขนึ้ นดิ หน่อย จากแบบเพิงหมาแหงนแตส่ ามารถป้องกนั แสงแดดและ ฝนสาดไดด้ ีกวา่

16 กำรสร้ำงคอกสำหรบั เล้ยี งหมหู ลมุ คอกหมูหลุมจะแตกต่างจากคอกหมูโดยทั่วไป คือ นอกจากมีผนังก้ันคอกแล้ว ยังขุดหลุมให้ลึกลงไป ประมาณ 90 เซนติเมตร แล้วนาวัสดุท่ีย่อยสลายได้ใส่ลงไปทดแทนดินที่ขุดออก ผนังก้ันคอกข้ึนอยู่กับเงินทุนท่ี ดาเนินการอาจจะใช้ไม้ไผ่ ไม้ระแนง ไม้ยูคาลิปตัส หรืออาจจะเป็นผนังอิฐบล็อกก็ได้ โดยเน้นใช้วัสดุที่หาได้ง่าย ราคาไม่แพงเกินไป หรือผนังอาจจะเป็นแบบไหนก็ได้ที่สามารถป้องกันไม่ให้สุกรออกจากคอกได้ มีความแข็งแรง และอายุการใช้งานนานพอสมควร ไม่ต้องซ่อมแซมบ่อยคร้ังเกินไป การขุดหลุมขนาดของหลุมขึ้นอยู่กับจานวน สุกรทจ่ี ะเล้ยี งโดยกาหนดสุกร 1 ตัว ใช้พื้นที่เลี้ยงต้ังแต่เริ่มจนถึงขาย 1.2-1.5 ตารางเมตร การขุดหลุมจะขุดหลุม กอ่ นหรอื หลังการสร้างโรงเรือนก็ได้ ขึน้ อยู่กับความสะดวกในการทางาน กำรเตรยี มหลมุ และพืน้ คอกหมูหลมุ ขน้ั ตอนกำรสร้ำงคอกสตั ว์ 1. ตอ้ งทาคอก และหลังคาก่อน 2. ขุดหลมุ จากระดบั ดนิ ลงไป 40 ซม. 3. ใชอ้ ฐิ บล็อกก่อ 2 ชั้นให้รอบด้าน ถา้ ไม่มีอฐิ บล็อกใชไ้ ม้ไผแ่ ทน 4. ทาบ่าจากอฐิ บล็อก 20 ซม. 5. ขุดหลมุ จากบ่าลงไป 50 ซม. 6. แบ่งหลมุ ออกเปน็ 2 ส่วน ๆ ละ 45 ซม. ส่วนล่างรองพื้นดว้ ยวัสดุแห้ง เช่นข้ีเลอ่ื ยหรือแกลบ หรือฟาง แหง้ หรือใบไม้แหง้ ไม้กันหมอู อก ให้นา้ ทใี่ หอ้ าหาร อฐิ บลอ็ ก 2 ก้อน ส่วนท่ี 2 90 – 100 ซม. สว่ นที่ 1 แบ่งเป็น 2 ส่วน

กำรผสมวสั ดใุ สใ่ นหลมุ 17 8 คลมุ ด้วยแกลบหยาบหรอื ขีเลื่อย สว่ นท่ี 2 (45 ซม.) 7 จุลินทรยี ์(7X2) 4บวั ราดให้ชุม่ 6 เชือราขาว 5 หวั เชือราขาว 1 กระสอบ + 5 เปลอื กไขต่ ากแห้ง 2 กก. 4 มูลสัตว์แห้ง 2 กระสอบ 4 มูลสตั ว์แห้ง 2 ถ่าน 10%(1 กส.ปยุ๋ ) 3 เกลอื 1 ดิน 10%(12 ปุ้งก๋ี) 2 ถ่านละเอยี ด (ถ้าใชด้ นิ แดงยิ่งดี) 1 ดินแดง 6 เชอื จลุ นิ ทรีย์ (7X2) ใสแ่ กลบแกท่ ังหมด หรือ ผสมน้า 10 ลติ ร รดให้โชก เชน่ เดยี วกบั ส่วนท่ี 1 (4 บวั รดน้า) เศษวัสดแุ หง้ ทางการเกษตร 3 เกลือ 10% ใบไมแ้ ห้ง, ฟางสบั (2 กก.) เศษทีเ่ หลอื จากเพาะเห็ด หญ้า หรือ สว่ นท่ี 1 (45 ซม.) ขยะท่ยี ่อยสลายได้ เหยียบให้แนน่

18

19 บทที่ 3 กำรเลย้ี งและกำรจดั กำรหมหู ลมุ การเลี้ยงสุกรแบบธรรมชาติ (หมูหลุม) ถ้าจะให้ประสบความสาเร็จต้องปฏิบัติให้ถูกหลักวิธีการ เช่น การ ดูแลสภาพท่ัวไปของพื้นคอก การผสมอาหาร การกินอาหารของสุกรตลอดจนการจัดการและดูแลเร่ืองสุขภาพ ของสุกร เป็นต้น อาหารสาหรับเลี้ยงสุกรแบบธรรมชาติ (หมูหลุม) จะเน้นการใช้วัตถุดิบท่ีมีอยู่ตามธรรมชาติ ในชุมชนและท้องถ่ินเป็นหลัก ได้แก่ ผลไม้ และพืชสีเขียวชนิดต่าง ๆ เช่น เศษผักต่าง ๆ หยวกกล้วย ผักบุ้งเถา มันเทศ เถาฟักทอง ผักตบชวา สาหร่าย มะละกอดิบ หน่อไม้ สัปปะรด แตงโม ยอดมันสาปะหลัง ใบบอน ฯลฯ นามาหมักเพอื่ เพม่ิ ปรมิ าณจุลนิ ทรีย์ในอาหาร ชว่ ยในการย่อยไดข้ องอาหาร แทนการนามาต้มเหมือนสมัยก่อน ซ่ึง ทาให้คุณค่าของอาหารจากธรรมชาติเหล่านั้นลดลง การนาเศษผัก 100 กิโลกรัม หมักกับน้าตาลทรายแดงหรือ กากน้าตาล 4 กิโลกรัมและผสมเกลือ 1 กิโลกรัม หมักในถังทิ้งไว้ 7 วัน จะได้ผักหมักที่มีคุณภาพ โดยมีโปรตีน 17.87 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 1.78 เปอร์เซ็นต์ พลังงาน 3,500 กิโลแคลลอรี่ต่อกิโลกรัม หากนาไปตากแห้งจะมี โปรตีน 24.87 เปอร์เซ็นต์ สามารถนาไปทดแทนอาหารสาเร็จรูปได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ หรืออาจนาไปผสมกับ เปลอื กหอยปน่ ราละเอียด ข้าวโพดปน่ ใหส้ กุ รกินโดยไมต่ ้องใช้อาหารสาเรจ็ รูปเลยกไ็ ด้ (โชคชัย สารากิจ ,2548 ) กำรผลิตอำหำรสตั ว์ ( ทำได้ 2 ส่วน ) สว่ นผสมที่ 1 กำรหมกั วตั ถดุ บิ ( ต้นกล้วย, ผกั สด ฯลฯ ) สตู ร (50 : 2 : 0.5) 50 กโิ ลกรัม = ต้นกล้วย, ผกั สด ฯลฯ (สดและสเี ขียว) 2 กิโลกรมั = นา้ ตาลทรายแดง 0.5 กโิ ลกรมั = เกลอื เม็ด (หรอื เกลอื ทะเล) วิธีทำ - หน่ั ตน้ กล้วยหรือผกั สดเป็นช้ินๆ รวม 50 กิโลกรมั - ในกรณใี ชถ้ ังพลาสติก ปริมาตร 30 แกลลอน ให้แบ่งถงั ออกเป็น 4 สว่ น กรณี 50 กก. ปิดฝาใหส้ นิท 12.5 กก.:0.5:1 ก้ามือ สว่ นที่ 4 ช้ันท่ี 4 ทาเชน่ เดยี วกบั ชั้นที่ 3 12.5 กก.:0.5:1 ก้ามอื ส่วนท่ี 3 ช้ันที่ 3 ทาเชน่ เดียวกับชน้ั ที่ 2 12.5 กก.:0.5:1 กา้ มือ สว่ นที่ 2 ช้นั ท่ี 2 ทาเชน่ เดียวกบั ชั้นท่ี 1 12.5 กก.:0.5:1 ก้ามอื สว่ นที่ 1 ชั้นที่ 1 ตน้ กล้วย / ผกั 12.5 กิโลกรัม - ขึ้นเหยยี บใหแ้ น่น เกลี่ยหน้าให้เสมอกัน - โรยน้าตายทราย 1 กโิ ลกรัม - เกลือ 1 กามอื ( เกลอื เม็ดจะค่อยๆละลาย) - หากจาเป็นเรง่ ด่วน ท้งิ ไว้ 4 – 5 วนั สามารถนาไปใชไ้ ด้ แต่ 8 – 12 วัน ดที ี่สดุ

20 - ถ้านาไปให้สตั วก์ ีบคู่ (โค กระบอื แพะ แกะ มา้ ) หมกั 4-5 วนั จะให้กนิ เฉพาะอาหารหมัก โดยไม่ ผสมวัตถุดิบอาหารสตั ว์อีกก็ได้ - ถา้ นาไปให้สุกรหรือสตั วป์ กี หมกั 8-12 วนั นาไปผสมวัตถุดิบอาหารสตั ว์ ก่อนใหก้ นิ ราดด้วย จลุ นิ ทรีย์ 7X2 ผสมนา้ 10 ลิตร - ถา้ ไมเ่ ปดิ สามารถหมกั ไว้ได้ 2 อาทติ ย์ - ถา้ ใชถ้ งุ ดา ขนาด 30 X 40 น้วิ ซ้อนกัน 2 ถงุ หมักได้ 25 กก. โดยแบง่ เป็น 2 ชน้ั ๆละ 12.45 กก.

21 ส่วนท่ี 2 กำรผสมอำหำรใหส้ ัตวก์ ิน 2.1 อตั ราสว่ น 8 กโิ ลกรัม  ดนิ แดง  มูลสตั ว์แห้ง 8 กิโลกรมั (ถ้ามมี ูลหมเู ล็กยิง่ ดี) / ข้วี ัวแหง้ ของแห้ง  แกลบกลาง 30 กิโลกรัม 50 กก.  ข้าวโพดปน่ 13 กิโลกรมั (หรือปลายขา้ ว,มันเสน้ )  กากถั่วเหลืองป่น 5 กิโลกรมั (หรือกากถั่วงอก,ใบกระถิน)  ปลาป่น 1.3 กิโลกรัม  เปลอื กไข่ 1.3 กิโลกรมั รวม 50 กิโลกรมั ของหมัก  อาหารหมกั 50 กิโลกรัม 50 กก. รวม 100 กโิ ลกรมั 2.2 ผสมคลุกเคล้าให้เขา้ กัน นาใส่ถงุ ปยุ๋ เกบ็ ไวใ้ ห้สัตวก์ นิ 2.3 นานา้ จลุ ินทรีย์ 7 ชนดิ ๆละ 2 ช้อนผสมนา้ 10 ลติ ร ราดให้ทว่ั กองแลว้ คลกุ เคล้า นาไปใหส้ ัตวก์ นิ 2.4 ข้อบ่งใช้ - ใหส้ ตั ว์กนิ ไดห้ ลายๆ ชนดิ เชน่ สุกร สัตว์ปกี - ถา้ ตากแห้งสามารถโรยให้สัตวก์ นิ เช่น ไก่ เปด็ - ถ้าผสมบนซเี มนตต์ ้องนาไปใช้เลย หรือตกั ใส่กระสอบต้ังท้ิงไว้บนพืน้ ดนิ - ถา้ ผสมบนดินแล้วคลุมไว้ สามารถเก็บไวไ้ ด้ถึง 14 วนั หมำยเหตุ ถ้าหมกั อาหารจานวน 100 กโิ ลกรมั และสามารถแบง่ การหมักออกเป็น 4 ชั้น ๆ ละ 25 กิโลกรัม โดย ใช้อัตราส่วน ข้ันตอน และวิธีการทาดังที่กล่าวข้างต้น จะทาให้การหมักอาหารมีคุณภาพดียิ่งข้ึน อาหารหมักท่ีดี และมคี ุณภาพ จะตอ้ งไมเ่ ละหรอื มกี ลิ่นเหม็นคล้ายผักเน่า อาหารหมักท่ีดคี วรมีกลน่ิ หอมออกเปร้ยี วคลา้ ยผกั ดอง

22 กำรเลีย้ งและกำรจดั กำร พันธุ์สุกรที่เหมาะสาหรับการเลี้ยงในระบบเกษตรธรรมชาติ (หมูหลุม) ควรเป็น 3 สายเลือด ( ลารจ์ ไวท์ + ดูร๊อค + แลนดเ์ รจ ) กำรเล้ียงและกำรจัดกำรสุกรเล็ก (น้ำหนัก 15-30 กิโลกรัม) หลังจากนาสุกรลงคอกแล้ว ควรให้สุกร ปรับตวั เข้ากบั สภาพแวดล้อมก่อน อาหารท่ีให้ควรเปน็ อาหารชนิดเดียวกันกับที่สุกรเคยกินมาก่อนหน้านี้ให้กินอีก ประมาณ 3-5 วัน จากน้ันเริ่มให้อาหารสูตรสุกรเล็ก ซึ่งมีโปรตีน 16-18 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับอาหารหมักตาม อตั ราส่วนท่ตี ้องการ หรือใหอ้ าหารสกุ รเลก็ 2 อาทิตย์ อีก 2 อาทิตย์ ใชอ้ าหารสุกรเล็ก 50 % ผสมอาหารผสมเอง 50 % ควรให้อาหารทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง เพื่อให้ระบบการย่อยและการดูดซึมของสุกรคุ้นเคยกับอาหารใหม่ เสียกอ่ น ประมาณ 7 วนั จากนั้นกส็ ามารถใหก้ ินอาหารได้อยา่ งเตม็ ที่ อาจจะแบง่ ให้กนิ วันละ 2 คร้งั เช้าและเย็น กำรเล้ยี งและกำรจัดกำรสุกรรุ่น (น้ำหนัก 31-60 กิโลกรัม) อาหารสุกรรุ่นจะมีโปรตีนประมาณ 14-15 เปอรเ์ ซ็นต์ นาไปผสมกับอาหารหมักตามอัตราส่วนที่ต้องการและนาไปเล้ียงสุกร หรือ ให้อาหารผสมเอง 100 % สามารถให้สุกรกินอาหารได้อย่างเต็มท่ี โดยแบ่งการให้วันละ 2 คร้ัง เช้าและเย็นเช่นเดียวกัน โดยให้มีอาหารอยู่ ในรางกนิ ได้ตลอดเวลา กำรเล้ียงและกำรจัดกำรสุกรขุน (น้ำหนัก 61- ขำย) อาหารสุกรขุนมีโปรตีนประมาณ 13-14 เปอร์เซ็นต์ นาไปผสมกับอาหารหมักตามอัตราส่วนที่ต้องการให้กินอย่างเต็มที่โดยแบ่งการให้วันละ 2 ครั้ง เชา้ และเยน็ หรือใหอ้ าหารผสมเอง100 % และให้มีอาหารอยใู่ นรางกินไดต้ ลอดเวลาเช่นเดยี วกนั กับสุกรร่นุ หมำยเหตุ ถ้าเกษตรใช้อาหารหมักกับอาหารสาเร็จรูปให้ใช้ตามอัตราส่วนที่ต้องการ เช่น อาหารหมัก 80 กิโลกรัมต่ออาหารสาเร็จ 20 กิโลกรัม หรือ อาหารหมัก 70 กิโลกรัม ต่ออาหารสาเร็จ 30 กิโลกรัม เป็นต้นหรือ แลว้ แต่ทเ่ี ราจะกาหนด นอกจากการให้อาหารแล้ว ยังสามารถนาเศษผัก ใบหญ้า ใบไม้ต่างๆ ต้นกล้วยสด และผลไม้ชนิดต่าง ๆ โยนลงไปในคอกให้สุกรกินได้ตลอดเวลาและยังเป็นการช่วยเจริญอาหารและลดความเครียดได้อีกด้วย น้าหมัก จุลินทรีย์จากพืชและสัตว์ ซึ่งได้จากธรรมชาติ จานวน 7 ชนิดรวมท้ังเชื้อราขาว นาไปผสมกับน้า (ผสมในบัว เดยี วกัน) รดหรือราดพืน้ คอก โดยในชว่ ง 3 สปั ดาห์แรก จะทาการรดพ้ืนคอกด้วยน้าหมักจุลินทรีย์และเชื้อราขาว 2-3 ครั้งต่อสปั ดาห์ เพ่อื ช่วยเพิ่มปรมิ าณจุลนิ ทรยี ท์ ่พี ้ืนคอก นำ้ ด่ืมสำหรบั หมูหลุม ผสมน้าหมักจุลินทรีย์ 7 ชนิด อย่างละ 2 ช้อน (14 ช้อน) กับน้า 10 ลิตร ให้สัตว์ กินตงั้ แต่เร่ิมเลย้ี ง ขนาดของถังบรรจนุ า้ ขึ้นอยู่กับจานวนของสุกรที่เลี้ยง หมั่นตรวจดู อย่าให้น้าสกปรก และอย่า ใหข้ าดนา้ เพ่ือให้ด่มื กนิ ไดต้ ลอดเวลา หากมีการล้างท่ีให้น้า ควรเอาน้าสาดลงบนพื้นคอก จะทาให้จุลินทรีย์ลงไป ชว่ ยระงับกล่ินได้

23 กำรจัดกำรพื้นคอก หลังจากเลี้ยงสัตว์ได้ 1 อาทิตย์ ให้ใส่-ราด-พ่น (ใส่หัวเช้ือราขาว,ราดด้วยน้าหมัก จุลินทรีย์ 7 ชนิดอย่างละ 2 ช้อนกับน้าตาลทรายแดง 4 ช้อน ผสมน้า 1 ถังสี,พ่นด้วยน้าหมักจุลินทรีย์ 7 ชนิด อยา่ งละ 2 ช้อนกับนา้ ตาลทรายแดง 4 ช้อน กับนา้ หมกั ยาฆ่าแมลง 4 ช้อนผสมน้า 1 ถงั สี) หา่ งกัน 3 – 5 – 7 วัน (หรือวันท่ี 3, วันท่ี 8, วันท่ี 15 ของเดอื น) ทุกเดือน พ้นื คอกโดยเฉพาะบริเวณทสี่ ุกรชอบถา่ ยมลู และปัสสาวะจะชืน้ แฉะให้ทาการตกั หรือเกล่ียลงกลางหลุม สลับเอาสว่ นทแี่ หง้ ใส่แทน สามารถทาได้ตามความเหมาะสมถา้ เหน็ วา่ บริเวณนั้นชน้ื แฉะเกินไปหลงั จากพลกิ กลับ เอาวสั ดใุ นหลมุ สว่ นข้างลา่ งขึ้นมา จะพบว่าวัสดุเหลา่ นั้น ยงั แหง้ อาจจะใช้นา้ หมักจลุ นิ ทรีย์รดอีกครั้ง หรอื ถา้ เล้ยี ง สุกรไปสกั พกั หนงึ่ พน้ื คอกจะทรดุ ตัวลงกส็ ามารถนาแกลบหรือขี้เลอื่ ยใส่เพ่มิ ลงไปอีกไดจ้ นเต็มขอบหลมุ และใชน้ ้า หมักจุลนิ ทรยี ์รดอีกคร้ัง โรงเรอื นและสภาพแวดลอ้ มโดยท่วั ไป ตอ้ งโล่ง โปร่งอากาศถา่ ยเทได้สะดวก จะทาให้สุกรอยู่อย่างสบาย ไมเ่ ครยี ด มผี ลทาให้การเจริญเตบิ โต และสขุ ภาพของสุกรดีอกี ด้วย

24 บทที่ 4 กำรผลติ จุลินทรยี ป์ ้องกนั และกำจดั ศัตรพู ืชและสตั ว์ โดยใช้สมุนไพรพนื้ บ้ำน 1. วัสดุทีใ่ ช้ ( อยำ่ งใดอย่ำงหน่งึ ) - สาบเสอื (ดอกสีขาว), ใบยูคา, ใบสะเดา, ใบยาสูบ, ไหลแดง ( โลต่ ้นิ ), หนอนตายยาก - ตะไครห้ อม, บอระเพ็ด, กระเทยี ม, พริกข้ีหนู, ดปี ลี 2. อัตรำ - พืช 7 สว่ น : นา้ ตาลทรายแดง 3 ส่วน 3. วิธีทำ / หมัก - ห่ันวสั ดุ ขนาด 2 – 4 เซนติเมตร ( พวกใบต่าง ๆ ให้ฉีกเป็นช้นิ ๆ ) - แบง่ น้าตาลออกเป็น 2 ส่วนเทา่ ๆ กัน - เอาน้าตาลทรายสว่ นท่ี 1 คลุกกบั วสั ดุ ( คลกุ เบา ๆ ) 2 - 3 รอบจนเหนียวมือ - นาไปบรรจใุ นภาชนะ ( ปากกว้าง ) 2 / 3 ของถัง เตมิ น้า 8 ลิตร - เอาของหนักทบั ปดิ ด้วยกระดาษ ทิ้งไว้ 1 คนื หรือ 12 ชั่วโมง - เอาของหนกั ออก - นาน้าตาลทรายส่วนที่ 2 โรยหน้าใหท้ ั่ว แล้วทบั ด้วยของหนกั - เอากระดาษปิด มดั เชือก - ท้ิงไว้ 8 – 10 วนั ( โดยใหอ้ ยู่ในรม่ ) 4. ขอ้ บง่ ใช้ - พน่ ศตั รูพชื 3 – 4 ช้อนโต๊ะ : น้า 10 ลติ ร - พน่ ศตั รูสัตว์ 3 – 4 ชอ้ นโต๊ะ : น้า 10 ลติ ร - พน่ วชั พืช 7 - 10 ช้อนโต๊ะ : น้า 10 ลติ ร พน่ 3 ครง้ั หา่ งวัน 3, 5 ,7 วนั ( เหมาะสาหรบั ในสวนผลไม้ )

25 ภำคผนวก เครือข่ำยเกษตรกรผู้เล้ยี งหมหู ลมุ ในพื้นท่ีปศสุ ัตว์เขต 5 จงั หวัดเชยี งใหม่ 1. กลมุ่ ผูเ้ ลยี้ งหมหู ลมุ อำเภอแมว่ ำง 2. กล่มุ ผู้เล้ยี งหมูหลุม อำเภอแม่แจม่ 3. กลุ่มผเู้ ลยี้ งหมหู ลุม อำเภอแมแ่ ตง 4. กลมุ่ ผเู้ ลี้ยงหมูหลมุ อำเภอแม่อำย 5. กลุ่มผูเ้ ลย้ี งหมูหลมุ อำเภอเชียงดำว 6. กลุม่ เกษตรกรธรรมชำตผิ ูเ้ ล้ยี งหมูหลมุ อำเภอไชยปรำกำร 7. กลุ่มผ้เู ลี้ยงหมูหลุม อำเภอดอยสะเก็ด 8. กลุม่ ผเู้ ลย้ี งหมหู ลุม อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงรำย 1. กลมุ่ ผเู้ ล้ียงสุกรอินทรีย์บำ้ นใหมแ่ สงแกว้ ต.เจดียห์ ลวง อ.แมส่ รวย 2. กลุม่ ผู้เลี้ยงสกุ รตำบลป่ำสกั อ.เชียงแสน จังหวัดน่ำน 1. กลุ่มผเู้ ล้ยี งหมหู ลมุ อำเภอทงุ่ ชำ้ ง จงั หวดั ลำพนู 1. กลมุ่ ผเู้ ลย้ี งหมหู ลุม อำเภอเมือง 2. กล่มุ ผูเ้ ลี้ยงหมหู ลุม อำเภอลี้ จังหวัดลำปำง 1. กลมุ่ เกษตรธรรมชำตบิ ำ้ นทุง่ แท่น อำเภอเมืองปำน จังหวัดแมอ่ อ่ งสอน 1. กลุ่มเกษตรกรบำ้ นทุ่งยำว อำเภอปำย 2. กลุ่มเกษตรกรบำ้ นแม่ปิง บ้ำนหว้ ยแกว้ อำเภอปำย 3. กลมุ่ เกษตรกรบ้ำนไร่ อำเภอปำงมะผ้ำ

26 กำรประชุมสัมมนำผู้นำเครอื ข่ำย เร่ือง “แนวทำงกำรขบั เคลื่อนและพฒั นำเครอื ข่ำยกำรเล้ยี งหมหู ลมุ ” วันที่ 27- 29 สงิ หำคม 2556 ณ โรงแรมพำร์คอนิ น์ อ.เมอื ง จ.เชียงรำย

27

28 กำรประชุมสมั มนำเครอื ขำ่ ยเกษตรกรผเู้ ลี้ยงหมูหลุม เรอื่ ง “แนวทำงกำรพัฒนำและกำรสร้ำงควำมเขม้ แขง็ ของเครือขำ่ ยเกษตรกรผู้เลย้ี งหมหู ลมุ ” ในพื้นทส่ี ำนกั งำนปศสุ ตั วเ์ ขต ๕ ปงี บประมำณ ๒๕๕๗ วันท่ี ๑๐ – ๑๑ มีนำคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรม บพี ี เชยี งใหม่ ซิตี้ อ.เมอื ง จ.เชยี งใหม่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook