การปรับพฤตกิ รรมการเข้าช้นั เรียนใหต้ รงเวลา ดว้ ย ระบบเช็คชื่อ QR Code ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นยางหวาย จังหวัดชยั ภูมิ นายกมั ปนาท ฝา่ ยบุญ ครนุ พิ นธ์น้ีเป็นส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาหลักสูตรครุศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าคอมพวิ เตอร์ศึกษา คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ชยั ภูมิ ปีการศกึ ษา 2562
2 ลขิ สทิ ธข์ิ องสาชาคอมพวิ เตอร์ศึกษา คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชยั ภมู ิ บทที่ 1 บทนำ 1. ความสำคญั และความเปน็ มาของปัญหา พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตราที่ 26 ระบุไว้ว่า ให้สถานศึกษา จดั การประเมนิ ผู้เรียนโดยพิจารณา จากพัฒนาการของผเู้ รียน ความประพฤติ การสงั เกต พฤติกรรม การเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตามความ เหมาะสม ของแตล่ ะระดับและรปู แบบการศกึ ษา (Ministry of Education, 2010) ซึ่งเปน็ หน้าที่ของ สถาบันการศึกษาที่ จะต้องดำเนินงานต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ ดังกล่าวเพื่อให้เกิด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนมาก ที่สุด สำหรับการเรียนในระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานนั้นจะมี รูปแบบการเรียนการสอนที่เข้มงวด แต่สิ่งสำคัญที่สุดและเป็นหน้าที่ของผู้เรียนท่ี เหมือนกัน ก็คือ ความมุ่งมั่นตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียนตาม หลักสูตรของสถาบนั การศึกษาท่ีไดก้ ำหนดไว้ ซึ่งการเชค็ ช่ือ ในห้องเรยี นถือเป็นการตรวจสอบพฤติกรรมและประเมนิ ความตง้ั ใจของผเู้ รยี นอกี ทางหน่ึง และ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียน ได้ทำหน้าที่ของผู้เรียนที่ดีในการเข้าเรียนทุกครั้งและตรงต่อ เวลา ซึ่งหากไม่ ปฏิบัติตามหน้าที่ไม่เข้าเรียนหรือเข้าเรียน สายก็จะส่งผลให้ขาดโอกาสในการเรียนรู้ ขาดการทำ กิจกรรมในหอ้ งเรียน ขาดสอบในการเก็บคะแนนยอ่ ย (พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 แก้ไขเพ่มิ เตมิ (ฉบบั ท่ี 2)) การไม่เข้าชั้นเรียนและการเข้าชั้นเรียนไม่ตรงเวลา เป็นปัญหาที่มาจากพฤติกรรมของ นกั เรียนทเ่ี กิดขึ้นตงั้ แตอ่ ดีตจนถึงปจั จุบัน สถาบันการศกึ ษาต่าง ๆ ทง้ั ระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา และมหาวทิ ยาลัย ตา่ งได้ตระหนักถงึ การเขา้ ช้นั เรียนของนักศึกษาว่าเป็นสงิ่ สำคญั และจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการไม่มีส่วนร่วมในห้องเรียนทำให้ขาดโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้ ขาดความคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวกับวิชาที่เรียน และการเข้าชัน้ เรียนไม่ตรงเวลา ทำให้ความรู้บางส่วนขาดหายไป การเรียนรู้ไม่ ต่อเนื่อง และรบกวนเพื่อนที่กำลังตั้งใจเรียน ซึ่งจากพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ
3 เรียนของนกัเรียน นักศึกษา (เติมศักดิ์ คทวณิช, 2549: 48-65; ปิยะรัตน์ ดีกลาง, 2550: 159-165; อจั ฉรา เพ่งเล็งผล, เวธนี กรที อง และพาสนา จลุ รตั น์, 2551: 98-107) การศึกษาโดยการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้สอนในช้ันเรยี นเปน็ สิ่งสำคัญมาก การ ตรวจสอบ รายชื่อการเข้าชั้นเรียนของนักเรียนจึงเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นให้นักเรียนได้รับความรู้ จากครู ตัวอย่างเช่น โรงเรยี นบ้านยางหวายฝา่ ยมัธยมกำหนดให้ผู้เรียนจะต้องมีเวลาเรียนใน รายวิชาใดวชิ า หนง่ึ ไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรยี นทงั้ หมดของรายวิชา จงึ สามารถมสี ทิ ธ์ิสอบใน วชิ านั้น ๆ ได้ แต่เนอ่ื งจากจำนวนนักเรียนทมี่ าก ทำให้การตรวจสอบรายชอ่ื ใชเ้ วลานาน อีกทัง้ ระบบการลงลายมือ ชื่อเพื่อตรวจสอบรายชอ่ื นกั เรยี น น้ันไมม่ ีประสทิ ธภิ าพเพราะนกั เรยี นสามารถลงลายมือช่ือแทนเพื่อน ได้และการตรวจสอบรายชื่ออาจ ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามจำนวนนักศึกษาที่เข้าเรียนจริง เนื่องจาก เอกสารท่ีใช้ในการตรวจสอบรายช่อื อาจเกิดการสูญหายระหวา่ งการจดั เก็บ (Jithunsa, S., 1999: 75- 80) ทำใหไ้ มส่ ะดวกในการใชง้ าน ในขณะ ทกี่ ารใชบ้ ตั รระบบอารเ์ อฟไอดยี งั มีขอ้ จำกดั ในด้านอุปกรณ์ เครอ่ื งอา่ นทม่ี รี าคาแพง (เศรษฐพงค์ มะลิ สุวรรณ, 2547: 102-103) และตอ้ งใช้ตน้ทุนสูงสำหรับค่า บัตรอาร์เอฟไอดีของนักเรียนทุกคน นอกจากนั้นยังอาจเกิดปัญหานักศึกษาสามารถฝากบัตรมากับ เพื่อนเพื่อตรวจสอบรายชื่อแทนได้ การใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบลายนิ้วมือ เพื่อตรวจสอบรายชอื่ เข้าเรียนของนักศึกษา (วิชาญ เพชรมณี และขจรศักดิ์ พงศธ์นา, 2552: 1-6) สามารถป้องกันการ ตรวจสอบรายชื่อแทนเพื่อนได้ แต่เวลาที่ใช้ใน การตรวจสอบลายนิ้วมือค่อนข้างนานและอุปกรณ์ ตรวจสอบลายนิว้ มือยังมีราคาค่อนขา้ งแพง(สุธรรม จินดาอดุ ม, จตพุ ร ชชู่ ่วย, อภริ ักษ จ์ นั ทร์สร้าง, ชัย พร ใจแกว้ และอนนั ต์ ผลเพิ่ม, 2010: 81-86) คิวอาร์โค้ด (QR Code : Quick Response) เรียกว่า บาร์โค้ด 2 มิติ คือ รหัสชนิดหนึ่งซึ่ง สามารถเกบ็ ขอ้ มลูสินค้า เช่น ชอ่ื ราคาสนิ ค้า เบอรโ์ ทรศัพท์ติดตอ่ และชือ่ เวบ็ ไซต เ์ ปน็ การ พัฒนามา จาก บาร์โค้ด โดยบริษัทเดนโซ-เวฟ ซึ่งเป็นบริษัทใน เครือของโตโยตา ประเทศญี่ปุ่น คิดค้นขึ้นในปี ค.ศ. 1994 และได้ จดทะเบียนลิขสิทธิ์ชื่อ \"QR Code\" แล้วทั้งในญี่ปุ่น และทั่วโลกลก ผู้ คิดคน้ท่ี พัฒนาคิวอาร์โค้ดมุ่งเน้นให้สามารถถูกอ่านไดอ้ย่างรวดเร็ว โดยการอ่านคิวอารโค้ด นิยมใช้กับ โทรศัพทม์ ือถอื รนุ่ ทมี่ ีกลอ้ ง ถา่ ยภาพ และสามารถติดตงั้ ซอฟแวร เ์ พิม่ เติมได้ วิธีใชง้ านคิวอารโ์ ค้ดตอ้ ง ใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถอื ทีม่ สี ัญลักษณ์คิวอารโ์ ค้ดอยู่ ภายในตัวเครื่อง เพียงนาํ กล้องทีอ่ ยู่บนมอื ถือ แสกนบนคิวอาร์โค้ด รอสักครู่เครือ่ งจะอา่ นคิวอาร์โค้ดสีดาอํ อกมาเป็นตวั หนงั สือท่ีมี ข้อมลูมากมาย
4 เช่นรายละเอียดสินคา้ โปรโมชัน สถานที่ตั้งของบริษทั ร้านค้า ฯลฯ รวมทั้งสามารถใช้คิวอาร์โค้ดสือ่ บอกความในใจไดด้ ้วย ดว้ ยคุณสมบัตทิ ่ีกล่าวมาน้ีประกอบกับโทรศพั ทเ์ คลื่อนที่เปน็ ส่งิ ท่ีคนท่วั ไปนิยมใช้อยู่แล้ว ทำ ใหเ้ ทคโนโลยีควิ อาร์โค้ดจงึ เปน็ อกี ทางเลือกหน่งึ ในการช่วยบริหารจัดการการตรวจสอบรายช่ือเข้าชั้น เรียน นอกจากนี้คิวอาร์โค้ดยังสามารถบันทึกเวลาการเข้าออกระหว่างเวลาเรียนได้อีกด้วย ซึ่ง เทคโนโลยี อื่นค่อนข้างยุ่งยากในทางปฏิบัติ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงได้ออกแบบขั้นตอนวิธีและพัฒนา ระบบบันทึกการเข้าชั้นเรียนผ่านคิวอาร์โค้ดเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้วิธีการตรวจสอบ แบบอืน่ ๆ อีกทัง้ อปุ กรณท์ ่สี แกนคิวอารโ์ ค้ดมตี ิดตัง้ มาพร้อมกับโทรศัพทเ์ คล่ือนท่ขี องนักศกึ ษาอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่ม ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบรายชื่อ และยังช่วยลด ปญั หาการฝากบัตรและการลงลายมือชื่อแทนเพื่อนได้ ดังน้ันจากการเป็นคณุ ครผู สู้ อนวชิ าการออกแบบสงิ่ ของเครอื่ งใชด้ ว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านยางหวาย อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมีหน้าที่สอนและ ดูแลนักเรียนทั้งในด้านการเรียน ด้านพฤติกรรมของนักเรียนทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน พบว่า พฤตกิ รรมการเรยี นของนกั เรียนบางคนในหอ้ งเรียนไมค่ ่อยมาเรียนตรงเวลา โดย “การมาเรยี นวนั ที่ 14/1/2563 จากนักเรียนทง้ั หมด 18 คน” มาเรยี น 17 คน ขาด 1 ซง่ึ ใน 17 คน มาเรยี น 9 คน คดิ เป็น 52 % มาสาย 8 คดิ เปน็ 47% ***ซึ่งคนมาสาย+ขาดเรียน คิดเปน็ 50% ของจำนวนนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2
5 ทำให้บรรยากาศการเรียนรูไ้ ม่เอือ้ ตอ่ การเรยี นการสอนและมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงคจ์ ึง ทำให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้ จึงต้องใช้กระบวนการวิจัยมาแก้ปัญหาโดยการนำทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีแรงจูงใจ และทฤษฎีการวางเงื่อนไข มาใช้กับนักเรียนเพื่อเป็นการพัฒนาพฤติกรรมการเรียน และสง่ เสรมิ ศักยภาพของนักเรียน ให้เกดิ การเรียนรู้เต็มศักยภาพและความสามารถของตนเอง ซ่ึงจะ ส่งผลให้นักเรียนมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง มีบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีขึ้น และเป็นการ ปลกู ฝงั ความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อ่ืน ซึ่งจะส่งผลทำให้สามารถพัฒนานักเรียนให้เกิดการเรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลการเรยี นดีขนึ้ 3. วตั ถุประสงคข์ องงานวิจยั 1. เพอื่ ปรบั พฤตกิ รรมการเข้าชนั้ เรยี นให้ตรงเวลา ดว้ ยระบบเชค็ ชอื่ QR Code สำหรับ นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นบา้ นยางหวาย จังหวัดชยั ภูมิ 2. เพอ่ี เปรยี บเทยี บพฤติกรรม ก่อนและหลงั ใช้ ระบบเช็คชือ่ QR Code สำหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นบา้ นยางหวาย จังหวดั ชยั ภมู ิ 3. เพ่ือศึกษาความพงึ พอใจของผู้เรยี น ที่มตี อ่ ระบบเช็คช่อื QR Code สำหรับนกั เรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นยางหวาย จงั หวัดชัยภูมิ 4. คำถามของการวิจัย 1. คิวอาร์โคด้ จะชว่ ยในการปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรมการเขา้ เรยี นตรงเวลาหรอื ไม่ อย่างไร 2. คิวอาร์โค้ดจะช่วยลดเวลาของครูในการเช็คชือ่ หรือไม่ อยา่ งไร
6 3. ควิ อารโ์ คด้ จะช่วยลดค่าใช้จา่ ยและลดทรัพยากรในการจัดเก็บข้อมลู การเช็คชื่อหรือไม่ อยา่ งไร 5. สมมตฐิ านของการวิจยั การปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมการเรียนใหม้ ีวินยั และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของนักเรียน ทำ ให้ สามารถพฒั นาศกั ยภาพด้านพฤตกิ รรมและการเรียนใหด้ ขี นึ้ 6. ขอบเขตของการวิจัย 6.1 ประชากร ประชากรทีใ่ ช้ ไดแ้ ก่ ครผู ู้สอนรายวชิ าคอมพิวเตอร์ จำนวน 1 คน นกั เรียน ชัน้ มัธยมศึกษาปที ่ี 2 จำนวณ 18 คน และผปู้ กครองของนักศกึ ษา รวม 19 คน 6.2 ตัวแปรทศี่ กึ ษา 6.2.1. ตวั แปรอิสระ คอื พฤติกรรมด้านวินัยและความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองไดแ้ ก่ วินยั ในตนเอง ความรบั ผิดชอบ แรงจงู ใจในการเรียน 6.2.2 ตัวแปรตาม คอื พฤตกิ รรมดา้ นความมีวินัยในตนเอง 6.3 ระยะเวลา ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 ใช้เวลาทดลอง 1 สัปดาห์ 7. นยิ ามศัพท์เฉพาะ ความมีวินัยในตนเอง หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตามกฎระเบียบและไม่ทำผิดต่อ กฎระเบยี บในการเป็นนกั เรยี น ความรับผดิ ชอบ หมายถงึ ความมุ่งม่นั ของนกั เรยี นทจ่ี ะงานท่ไี ด้รบั มอบหมายให้สำเร็จลลุ ว่ ง ดว้ ยดี แรงจูงใจในการเรียน หมายถึง การแสดงพฤติกรรมเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้า เช่น การ ชมเชย แล้วสามารถประพฤติตนได้บรรลเุ ปา้ หมายโดยการเรียนรู้ของแต่ละคน คิวอาร์โค้ด หมายถึง สัญลักษณ์สี่เหลี่ยม ที่เริ่มเห็นแพร่หลายในบ้านเรามากขึ้น ไม่ว่าจะ เป็นจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร เรียกว่า QR Code (คิวอาร์ โค้ด) ย่อมาจาก Quick Response (ควก๊ิ เรสปอน)
7 โรงเรยี น หมายถงึ โรงเรยี นบ้านยางหวาย อำเภอคอนสวรรค์ จงั หวดั ชยั ภมู ิ คณะครูและบุคลากรทางการศึกษา หมายถึง ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครูและบุคลากร ทางการศกึ ษา โรงเรียนบา้ นยางหวาย อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชยั ภูมิ นักเรียน หมายถึง นักเรยี นระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นยางหวาย อำเภอคอน สวรรค์ จงั หวดั ชัยภมู ิ แอพพลิเคชั่น สแกนคิวอาร์โค้ด หมายถึง แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ที่ใช้ร่วมกับกล้อง เพื่อถา่ ยภาพ 8. ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ 1. ทําใหก้ ารเชค็ ช่ือเข้าเรยี นทาํ ไดร้ วดเรว็ และสะดวกย่ิงขน้ึ 2. ผ้ปู กครองสามารถตดิ ตามการเขา้ เรยี นของนักเรยี นไดส้ ะดวก ตลอดเวลา 3. ตรวจสอบข้อมลู การเข้าเรยี นและการเข้าสอนไดต้ ลอดเวลา
8 บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง การแก้ไขพฤติกรรมผู้เรียนให้มีความความตรงต่อเวลา ในรายวิชาการออกแบบสิ่งของ เครือ่ งใช้ดว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ โดยใชก้ ารเช็คชือ่ ผ่านระบบควิ อาร์โค้ดและบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านยางหวาย จังหวัดชัยภูมิ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด ตามประเด็นสำคัญ ดงั ต่อไปนี้ 1. ทฤษฎที ่ีเกี่ยวข้องในการจดั ทำงานวจิ ัย 1.1 จติ วิทยาการเรียนรู้ 1.2 ความสำคญั ของการศึกษาจติ วิทยาการศึกษา 1.3 พฒั นาการจิตวทิ ยาการศกึ ษา 1.4 ทฤษฎกี ารเรียนรแู้ บบวางเง่อื นไข แบบการกระทำของสกนิ เนอร์ 2. บทความและเอกสารท่เี กย่ี วขอ้ ง 2.1 QR Code 2.2 Google Form 2.3 Google Sheets 3. วจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ งในการจัดทำงานวิจัย 3.1 การสร้างระบบเช็คชอ่ื เขา้ เรียนด้วยรหัสควิ อาร์ 3.2 พฒั นาระบบตรวจสอบรายชอ่ื เขาชั้นเรยี นโดยอุปกรณอัจฉริยะ 3.3 พัฒนาการพัฒนาระบบเช็คชื่อเพื่อการตดิตามพฤติกรรมการเข้าเรียนของ นักศกึ ษา แบบมสี ่วนรว่ มผ่านระบบออนไลน์ 3.4 พัฒนาระบบเชค็ ช่อื และจัดการกิจกรรมสําหรับอาจารย์ (iTeaching) 3.5 ศกึ ษาการพัฒนาระบบบนั ทกึ การเขา้ ชนั้ เรียนผา่ นบลทู ธู 3.6 พัฒนาระบบเช็คชื่อบนแอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์ เพื่อแก้ปัญหาในการเช็คช่ือ ผเู้ รียน
9 1. ทฤษฎีทเี่ กีย่ วข้องในการจดั ทำงานวิจัย 1.1 จิตวิทยาการเรียนรู้ (โบเวอร์ และอัลการ์ด 1987, อ้างถึงใน ธีระพร อุวรรณโน,2532:285) จิตวิทยา ตรงกับ ภาษาอังกฤษว่า Psychology มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ คือ Phyche แปลว่า วิญญาณ กับ Logos แปลว่า การศกึ ษา ตามรูปศพั ท์ จติ วทิ ยาจงึ แปลว่า วิชาท่ีศึกษาเก่ยี วกับวญิ ญาณ แต่ในปัจ จุบันี้ จิตวิทยาได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป ความหมายของจิตวิทยาได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ตามไปด้วย น่ันคือ จิตวิทยาเป็นศาสตรท์ ศ่ี กึ ษากีย่ วกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ยแ์ ละสตั ว์ การเรียนรู้ (Learning) ตามความหมายทางจิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ของบุคคลอย่างค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์ พฤติกรรม เปลี่ยนแปลงที่ไม่จัดว่าเกิดจากการเรียนรู้ ได้แก่ ฤติกรรมที่เป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว และการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เนื่องมาจากวุฒิภาวะ จากความหมายดังกล่าว พฤติกรรมของบุคคลที่เกิด จากการ เรียนรูจ้ ะต้องมีลกั ษณะสำคัญ ดงั น้ี 1. พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจะต้องเปลี่ยนไปอย่างค่อนข้างถาวร จึงจะถือว่าเกิดการเรียนรู้ขึน้ หากเป็นการ เปลย่ี นแปลงชั่วคราวก็ยังไม่ถอื ว่าเป็นการเรยี นรู้ เชน่ นกั ศึกษาพยายามเรียนรู้การออก เสียงภาษาต่างประเทศ บางคำ หากนักศึกษาออกเสียงได้ถูกต้องเพียงครั้งหนึ่ง แต่ไม่สามารถออก เสียงซ้ำให้ถูกต้องได้อีก ก็ไม่นับว่า นักศึกษาเกิดการเรยี นรูก้ ารออกเสยี งภาษาต่างประเทศ ดังนั้นจะ ถือว่านักศึกษาเกิดการเรียนรู้ก็ต่อเมื่อออก เสียงคำ ดังกล่าวได้ถูกต้องหลายครั้ง ซึ่งก็คือเกิดการ เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมท่ีคอ่ นข้างถาวรนน่ั เองอย่างไรก็ดี ยังมีพฤตกิ รรมท่เี ปลย่ี นแปลงไปจากเดิมแต่ เปลี่ยนแปลงชั่วคราวอัน เนื่องมาจากการที่ ร่างกายได้รับสารเคมี ยาบางชนิด หรือเกิดจากความ เหน่อื ยล้า เจบ็ ปว่ ยลกั ษณะดังกลา่ วไมถ่ ือว่าพฤตกิ รรมท่เี ปลยี่ นไปนน้ั เกดิ จากการเรยี นรู้ 2. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจะต้องเกิดจากการฝึกฝน หรือเคยมีประสบการณ์นั้น ๆ มา ก่อน เช่น ความ สามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ ต้องได้รับการฝึกฝน และถ้าสามารถใช้เป็นแสดงว่า เกดิ การเรียนรู้ หรือความ สามารถในการขับรถ ซ่งึ ไม่มใี ครขับรถเป็นมาแต่กำเนิดต้องได้รับการฝึกฝน หรอื มปี ระสบการณ์ จึงจะขบั รถเป็น ในประเดน็ น้ีมีพฤตกิ รรมบางอย่างท่ีเกิดขน้ึ โดยที่เราไม่ต้องฝึกฝน หรอื มปี ระสบการณ์ ไดแ้ ก่ พฤตกิ รรมทเ่ี กิดขึน้ จากกระบวนการเจรญิ เติบโต หรือการมวี ุฒิภาวะ และ พฤตกิ รรมทีเ่ กิดจากแนวโนม้ การตอบสนองของเผา่ พันธ์ุ (โบเวอร์ และอัลการ์ด 1987, อ้างถึงใน ธีระ
10 พร อวุ รรณโน,2532:285) ขอยกตวั อย่างแต่ละด้านดังน้ี ในดา้ นกระบวนการเจรญิ เติบโต หรือการมี วุฒภิ าวะ ไดแ้ ก่ การทเี่ ด็ก 2 ขวบสามารถเดนิ ไดเ้ อง ขณะที่ เดก็ 6 เดอื น ไมส่ ามารถเดินได้ฉะนั้นการ เดินจึงไม่จัดเปน็ การเรียนรูแ้ ต่เกิดเพราะมีวฒุ ภิ าวะ เป็นต้น ส่วนใน ด้านแนวโน้มการตอบสนองของ เผ่าพันธุ์โบเวอร์ และฮิลการ์ด ใช้ในความหมาย ที่หมายถึงปฏิกริยาสะท้อน (Reflex) เช่น กระพรบิ ตาเม่อื ฝุ่นเขา้ ตา ชักมอื หนีเมอ่ื โดนของร้อน พฤติกรรมเหลา่ น้ไี มไ่ ด้เกดิ จากการเรียนรู้ แต่เป็น พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์มนุษย์ การเรียนรู้ของคนเรา เกิดจากการไม่รู้ไปสู่ การเรียนรู้ มี 5 ขั้นตอนดังที่ กฤษณา ศักดิ์ศรี (2530) กล่าวไว้ดังนี้ “…การเรียนรู้เกิดข้ึนเมื่อสิ่งเรา้ (stimulus) มาเร้าอินทรีย์ (organism) ประสาทก็ตื่นตัว เกิดการรับสัมผัส หรือเพทนาการ (sensation) ดว้ ยประสาทท้ัง 5 แลว้ สง่ กระแสสัมผัสไปยงั ระบบประสาทส่วนกลาง ทำใหเ้ กดิ การแปล ความหมายขึ้นโดยอาศัยประสบการณ์เดิมและอื่น ๆ เรียกว่า สัญชาน หรือการรับรู้ (perception) เมื่อแปลความหมายแล้ว ก็จะมีการสรุปผลของการรับรู้เป็นความคิดรวบยอดเรียกว่า เกิดสังกัป (conception) แลว้ มปี ฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง (response) อยา่ งหน่งึ อย่างใดต่อส่งิ เร้าตามทร่ี บั รู้เป็นผลให้ เกดิ การเปล่ียนแปลงพฤิตกรรม แสดงวา่ การเรยี นร้ไู ด้เกิดขนึ้ แลว้ ประเมนิ ผลที่เกิดจากการตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าไดแ้ ล้ว…” การเรียนรู้เปน็ พน้ื ฐานของการดำเนนิ ชวี ติ มนษุ ยม์ ีการเรียนรตู้ ง้ั แตแ่ รกเกิดจนถึง ก่อนตาย จึงมีคำกล่าวเสมอว่า “No one too old to learn” หรือ ไม่มีใครแก่เกินที่จะเรียน การ เรียนรจู้ ะช่วยในการพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตได้เปน็ อยา่ งดี ธรรมชาตขิ องการเรยี นรู้ มี 4 ข้ันตอน คอื 1. ความต้องการของผู้เรียน (Want) คือ ผู้เรียนอยากทราบอะไร เมื่อผู้เรยี นมีความตอ้ งการ อยากรูอ้ ยากเหน็ ในสง่ิ ใดกต็ าม จะเป็นสงิ่ ที่ยว่ั ยุให้ผ้เู รยี นเกดิ การเรยี นร้ไู ด้ 2. สิ่งเร้าที่น่าสนใจ (Stimulus) ก่อนที่จะเรียนรู้ได้ จะต้องมีสิ่งเร้าที่น่าสนใจ และน่าสัมผัส สำหรบั มนุษย์ ทำให้มนุษย์ดิน้ รนขวนขวาย และใฝ่ใจท่ีจะเรียนรู้ในส่ิงที่น่าสนใจน้นั ๆ 3. การตอบสนอง (Response) เมื่อมีสิ่งเร้าที่น่าสนใจและน่าสัมผัส มนุษย์จะทำการสัมผัส โดยใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่น ตาดู หูฟัง ลิ้นชิม จมูกดม ผิวหนังสัมผัส และสัมผัสด้วยใจ เป็นต้น ทำให้มีการแปลความหมายจากการสมั ผัสสงิ่ เรา้ เป็นการรับรู้ จำได้ ประสานความร้เู ข้าดว้ ยกนั มีการ เปรียบเทียบ และคดิ อย่างมีเหตผุ ล 4. การได้รบั รางวัล (Reward) ภายหลังจากการตอบสนอง มนุษย์อาจเกิดความพึงพอใจ ซ่ึง เปน็ กำไรชวี ติ อย่างหน่ึง จะได้นำไปพัฒนาคุณภาพชวี ิต เชน่ การไดเ้ รียนรู้ ในวชิ าชพี ชั้นสูง จนสามารถ
11 ออกไปประกอบอาชีพชั้นสูง (Professional) ได้ นอกจากจะได้รับรางวัลทางเศรษฐกิจเป็นเงินตรา แล้ว ยังจะไดร้ ับเกียรติยศจากสงั คมเป็นศกั ดิ์ศรี และความภาคภมู ิใจทางสังคมได้ประการหน่งึ ด้วย ลำดับขั้นของการเรียนรู้ในกระบวนการเรียนรู้ของคนเรานั้น จะประกอบด้วยลำดับข้ันตอนพื้นฐานที่ สำคัญ 3 ขั้นตอนดว้ ยกนั คอื 1. ประสบการณ์ (experiences) ในบคุ คลปกตทิ กุ คนจะมีประสาทรบั รู้อยู่ด้วยกนั ทัง้ นัน้ ส่วน ใหญท่ เ่ี ปน็ ทเ่ี ข้าใจก็คอื ประสาทสัมผัสทัง้ หา้ ซง่ึ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผวิ หนัง ประสาทรบั รเู้ หล่าน้ี จะเป็นเสมือนชอ่ งประตทู จ่ี ะใหบ้ ุคคลได้รบั รูแ้ ละตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้าตา่ ง ๆ ถ้าไม่มปี ระสาทรับรเู้ หลา่ น้ี แล้ว บุคคลจะไม่มีโอกาสรับรู้หรือมปี ระสบการณ์ใด ๆ เลย ซึ่งก็เท่ากับเขาไม่สามารถเรียนรู้สิง่ ใด ๆ ไดด้ ว้ ยประสบการณต์ า่ ง ๆ ที่บคุ คลได้รับนัน้ ยอ่ มจะแตกต่างกัน บางชนดิ ก็เปน็ ประสบการณ์ตรง บาง ชนิดเป็นประสบการณ์แทน บางชนิดเป็นประสบการณ์รูปธรรม และบางชนิดเป็นประสบการณ์ นามธรรม หรอื เปน็ สญั ลักษณ์ 2. ความเข้าใจ (understanding) หลังจากบุคคลได้รับประสบการณ์แล้ว ขั้นต่อไปก็คือ ตคี วามหมายหรือสร้างมโนมติ (concept) ในประสบการณน์ ัน้ กระบวนการน้ีเกดิ ขึ้นในสมองหรือจิต ของบุคคล เพราะสมองจะเกิดสัญญาณ (percept) และมีความทรงจำ (retain) ขึ้น ซึ่งเราเรียก กระบวนการนี้ว่า “ความเข้าใจ” ในการเรียนรู้นั้น บุคคลจะเข้าใจประสบการณ์ที่เขาประสบได้ก็ ต่อเมื่อเขาสามารถจัดระเบียบ (organize) วิเคราะห์ (analyze) และสังเคราะห์ (synthesis) ประสบการณต์ า่ ง ๆ จนกระทั่งหาความหมายอนั แทจ้ รงิ ของประสบการณน์ ั้นได้ 3. ความนึกคิด (thinking) ความนึกคิดถือว่าเป็นขั้นสุดท้ายของการเรียนรู้ ซึ่งเป็น กระบวนการที่เกิดขึ้นในสมอง Crow (1948) ได้กล่าวว่า ความนึกคิดที่มีประสิทธิภาพนั้น ต้องเป็น ความนึกคดิ ทสี่ ามารถจัดระเบยี บ (organize) ประสบการณเ์ ดมิ กบั ประสบการณ์ใหม่ทไี่ ดร้ ับให้เข้ากัน ได้ สามารถทจ่ี ะคน้ หาความสมั พันธ์ระหว่างประสบการณ์ท้งั เก่าและใหม่ ซ่ึงเปน็ หวั ใจสำคัญทจ่ี ะทำให้ เกิดบรู ณาการการเรียนรู้อย่างแท้จริง...(ครูเชยี งราย เพ่อื การศกึ ษา https://www.kruchiangrai.net) 1.2 ความสำคญั ของการศึกษาจติ วิทยาการศึกษา จิตวทิ ยามอี ทิ ธิพลต่อการดำเนินชีวิตอย่างกว้างขวาง ผศู้ กึ ษาจติ วทิ ยาสามารถไดร้ ับประโยชน์ ดงั ต่อไปนี้ 1.ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกยี่ วกับธรรมชาติของมนุษย์ เช่น ความต้องการ การแกป้ ัญหา การปรบั ตัว อารมณแ์ ละความรสู่ ึกในสถานการณต์ ่างๆ
12 2.ช่วยในการแกป้ ัญหาทางจติ รจู้ ักวธิ ีรักษาสขุ ภาพจติ ไดด้ ี สามารถเอาชนะปมดอ้ ยต่างๆ ร้วู ธิ ี แก้ปญั หาและปรบั ตวั อย่างเหมาะสม ขจัดความขัดแย้งในใจได้และความวติ กกงั วลได้ 3.สามารถเขา้ ใจ ตัดสนิ ใจ และมมี นุษย์สมั พันธ์ทด่ี ีกับบุคคลในสังคม 4.ช่วยในการวางแผนการใช้ชีวติ ไดอ้ ย่างเหมาะสม จดุ มุ่งหมายทัว่ ไปของการเรยี นจิตวิทยาการศึกษา คอื เพ่ือให้เขา้ ใจ (Understanding) เพ่ือการ ทำนาย (Prediction) และเพือ่ ควบคมุ (Control) พฤตกิ รรมการเรียนรู้ของมนษุ ย์ในสถานการณต์ า่ งๆ กู๊ดวินและคลอส ไมเออร์(Goodwill & Cross Mier,1975) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายที่สำคัญของการ เรียนจติ วทิ ยา ไวด้ ังนี้ 1.เป็นการให้ความรู้เกีย่ วกบั การเรยี นรูท้ ีเ่ ปน็ ระบบทั้งด้านทฤษฎี หลักการและสาระอื่นๆ ท่ี เก่ียวขอ้ งกับการเรยี นรขู้ องมนษุ ยท์ ง้ั เด็กและผใู้ หญ่ 2.เป็นการนำความรูเ้ กี่ยวกบั การเรียนรู้ และตัวผู้เรียนให้แก่ครูและผู้เกีย่ วข้องกับการศึกษา นำไปใช้ใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อการเรยี นการสอน 3.เพ่อื ใหค้ รูสอนสามารถนำเทคนิคและวิธีการการเรียนรไู้ ปใช้ในการเรียนการสอน การแก้ไข ปัญหาในชน้ั เรียน ตลอดจนสามารถดำรงตนอยใู่ นสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสุข ประโยชนข์ องจติ วทิ ยาการศกึ ษา จิตวิทยาการศึกษามีประโยชน์สำหรับบุคคลทุกวัยไม่เฉพาะครูผู้สอน เช่น ผู้บริหารการศึกษา นักแนะแนว ศึกษานิเทศก์ หัวหน้าหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งบิดา มารดา ผู้ปกครอง ในด้านต่างๆ ตอ่ ไปน้ี 1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเดก็ และสามารถนำความรู้ที่ได้มาจัดการ เรยี นการสอนได้อย่างเหมาะสมและสอดคลอ้ งกับธรรมชาตคิ วามตอ้ งการ ความสนใจของเด็กแต่ละวัย 2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้วิธีการวัดและ ประเมนิ ผลการศึกษาไดส้ อดคลอ้ งกับวยั ซึ่งเป็นการช่วยใหจ้ ดั การเรยี นการสอนมีประสิทธภิ าพ 3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนานด้วยบรรยากาศของความเข้าใจ การให้ ความรว่ มมือ และให้การยอมรบั ซ่งึ กนั และกนั 4.ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็ก ทำให้ปกครองเด็กง่ายขึ้นและ สามารถทำงานกบั เดก็ ไดอ้ ย่างราบร่นื 5.ชว่ ยใหค้ รูปอ้ งกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพฒั นาบคุ ลิกภาพของเดก็ ได้อย่างเหมาะสม
13 6.ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษาวางแนวทางการศึกษา จัดหลักสูตร อุปกรณ์การสอนและการ บรหิ ารงานไดเ้ หมาะสม 7.ช่วยให้ผเู้ รียนเข้ากบั สังคมได้ดี ปรับตัวเข้ากบั ผู้อ่ืนไดด้ ี ...( https://nuttapong.wikispaces.com/) 1.3 พฒั นาการจติ วทิ ยาการศึกษา เป็นจิตวทิ ยาสาขาหน่ึงท่ีมงุ่ ศกึ ษาพฤตกิ รรมของคนในวัยต่าง ๆ กัน เพอื่ ให้ร้วู ่าบุคคลมีพัฒนา มาอย่างไร ในแต่ละวัยมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง สาเหตุของการเกิดสิ่งนั้นๆ มีอย่างไร จิตวิทยาพัฒนาการ (Development Psychology) มีประโยชน์ต่อครูอย่างไร โดยที่จุดประสงค์สำคัญของจิตวิทยา พัฒนาการคือ การเข้าใจบุคคล ทั้งในฐานะที่เป็นบุคคลคนหนึ่ง และเป็นส่วนหนึ่งของสังคม การได้ เข้าใจถึงสติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ สังคม ตลอดจนความต้องการของบุคคลแต่ละวัย ย่อมช่วยให้ บุคคลปรับตัวเข้ากันได้ดีขึ้น สามารถดำรงชีวิตอยู่ไดอ้ ย่างมีความสุข สามารถทำงานร่วมกันได้อย่าง ราบร่ืน สำหรับครู จะชว่ ยให้เข้าใจในกระบวนการต่าง ๆ ของการเจริญเตบิ โตและพฒั นาการของเด็ก จะช่วยให้ครูสามารถส่งเสริม เด็กใหม้ ีพัฒนาการในด้านตา่ ง ๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถจดั กิจกรรมการ เรียนรตู้ า่ ง ๆ สอดคล้องกบั วฒุ ภิ าวะและระดบั พัฒนาการ ซึ่งจะมผี ลตอ่ การเรียนร้ทู ีด่ ีท่สี ุดของนักเรยี น พฒั นาการหมายถึงอะไร พัฒนาการ (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เป็นระบบระเบียบ สามารถ คาดคะเนได้ตามสมควร เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าของบุคคล อันเป็นผลมาจากวุฒิภาวะและ ประสบการณ์ ซ่ึงเกดิ ขน้ึ ตลอดชวี ติ ตั้งแตแ่ รกเกิด ความเจรญิ งอกงามคอื อะไร ความเจรญิ งอกงาม (Growth) หมายถึงการเปลย่ี นแปลงท่แี สดงใหเ้ ห็นถงึ การเพิ่มขึ้นทางด้าน ปริมาณ (Quantity) เป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้าง (Structure) เป็นการเพิ่มเกี่ยวกับ จำนวน เชน่ น้ำหนกั ส่วนสงู ความหนา และจำนวนกลา้ มเนื้อ ลักษณะเฉพาะของพฒั นาการ พัฒนาการจะเกิดในลักษณะที่ต่อเนื่องกัน (Continuity) จะดำเนินการไปตามลำดับข้ัน พัฒนาการจะเกิดขึ้นทุกช่วงของชีวิตพัฒนาการจะเป็นไปตามแบบฉบับของตัวเอง (Sequence) คือ อตั ราการพฒั นาการของแต่ละบคุ คลจะแตกต่างกนั
14 พัฒนาการจะเกิดในอตั ราที่ไม่เท่ากนั (Ratio) อตั ราการเจริญเตบิ โตแต่ละคนไมเ่ หมอื นกนั วัยเด็กเล็ก มีอัตราการพัฒนาการมากกว่าเด็กโต พัฒนาการจะเกิดเป็นทิศทางเฉพาะ (Develop Mental Direction) พัฒนาการจะเป็น ไปตามแนวศรีษะลงไปสู่ปลายเท้า เด็กจะชันคอได้ก่อน เติบโตไปสู่ แกนกลางของลำตัว ไปสู่สว่ นย่อย เคลือ่ นไหวลำตวั ได้ก่อนนว้ิ มือน้ิวเท้า องค์ประกอบของพัฒนาการ วุฒิภาวะ (Maturity) หมายถึงความเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและจติ ใจ พร้อมทีจ่ ะทำงาน ตามหน้าที่ได้ การเรียนรู้ (Learning) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจากประสบการณ์ หรอื การฝึกหัด การเรียนร้เู ปน็ สาเหตอุ ย่างหน่งึ ทท่ี ำให้เกิดการพัฒนา นักจติ วิทยา ได้แบ่งพฒั นาการออกเปน็ 4 ดา้ น คือ พัฒนาการทางดา้ นร่างกาย (Physical Develop Metric) ได้แก่การเปลี่ยนแปลงด้านขนาด รูปร่าง โครงสร้างของรา่ งกาย กล้ามเน้ือ กระดูกและตอ่ ม การเพิ่มของส่วนสงู และประสิทธิภาพของ ประสาท พฒั นาการทางด้านสตปิ ญั ญา (Mental Development) ไดแ้ ก่ ความรู้ ความจำ เชาว์ ความ ปัญญา และความคิดอย่างมีเหตุผล พฒั นาการทางดา้ นอารมณ์ (Emotional Development) ความรูส้ กึ ทัศนคติ ค่านิยม พัฒนาการทางด้านสังคม (Social Development) ได้แก่การปรับตัวให้เข้ากั บ สภาพแวดล้อม รวมถึงบุคลิกภาพของบุคคลด้วยพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมความแตกต่างของบุคคล เกดิ จากพันธุกรรมและส่ิงแวดลอ้ ม ทัง้ สองสง่ิ นม้ี ีบทบาทรว่ มกนั เป็นตวั กำหนดพัฒนาการของคน พนั ธกุ รรม (Heredity) คอื การถ่ายทอดลักษณะตา’ ๆ ทางชวี วิ ทิ ยา จากบิดามารดาไปสู่บุตร โดยผ่านทางเซลล์สืบพนั ธุ์ สิ่งแวดล้อม (Environment) หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ที่มีอิทธิพลต่อ มนุษย์ และสามารถท่จี ะปรงุ แตง่ ชีวติ ในรปู ลกั ษณะต่าง ๆ ความพรอ้ ม (Readiness) ปัจจยั ท่ีทำใหบ้ ุคคลเกิดความพรอ้ ม ได้แก่ 1. วฒุ ิภาวะ
15 2. ความสนใจหรือแรงจูงใจ 3. การไดร้ บั การฝึกฝน การเตรยี มตัวหรือเตรยี มความพรอ้ ม 1.4 ทฤษฎีการเรยี นรูแ้ บบวางเงื่อนไข แบบการกระทำของสกินเนอร์ Burrhus Skinner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้คิดทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning theory หรอื Instrumental Conditioning หรือ Type-R Conditioning) เขามคี วามคิดว่าทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบคลาสสิคนนั้ จำกดั อย่กู บั พฤตกิ รรมการเรียนรทู้ เ่ี กดิ ขึน้ เป็น จำนวนนอ้ ยของมนุษย์ พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ลงมอื ปฏิบตั ิเอง ไมใ่ ช่เกิดจากการจับคู่ ระหวา่ งสงิ่ เร้าใหมก่ บั ส่ิงเรา้ เก่าตามการอธิบายของ Pavlov Skinner ได้อธบิ ายคำวา่ \" พฤติกรรม \" การเสริมแรง(Reinforcement ) หมายถึงสิง่ เร้าใดที่ทำใหพ้ ฤตกิ รรมการเรียนรู้เกิดข้ึนแล้วมีแนวโน้ม จะเกดิ ขึ้นอกี มคี วามคงทนถาวร เชน่ การกดคานและจกิ แป้นสขี องนกพิราบไดถ้ ูกต้องต้องการทุกคร้ัง เมือ่ หวิ หรือตอ้ งการ ในการทดลอง Skinner ตัวเสรมิ แรง แบ่งออกเปน็ 2 ลกั ษณะคอื 1. ตวั เสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) หมายถึงส่งิ เร้าใดเมือ่ นำมาใช้แล้วทำให้ อตั ราการตอบสนองมากขึ้น เช่น คำชมเชย รางวัล อาหาร เป็นตน้ 2. ตวั เสรมิ แรงทางลบ (Negasitive Reinforcement) หมายถึงสงิ่ เร้า ทฤษฎกี ารวางเงอื่ นไขดว้ ยการกระทำ ทฤษฎีการวางเงือ่ นไขด้วยการกระทำ (Operant Conditioning Theory) เกิดขึ้นโดยมแี นวความคดิ ของสกินเนอร์ (D.F. Skinner) ในสมัยของสกนิ เนอร์ ปี 1950 สหรัฐ อเมรกิ าได้เกิดวกิ ฤตกิ ารการขาด แคลนครูที่มีประสิทธิภาพเขาจึงได้คิดเครื่อง มือช่วยสอนขึ้นมาเพื่อปรับปรุงให้ระบบการศึกษามี ประสิทธิภาพ เครื่องมือที่คิดขึ้นมาสำเร็จเรียกว่าบทเรียนสำเร็จรูป หรือการสอนแบบโปรแกรม (Program Instruction or Program Learning) และเครือ่ งมือช่วยในการสอน (Teaching Machine) เป็นท่ีนิยมแพรห่ ลายจนถงึ ปัจจบุ นั หลักการเรียนรู้ทฤษฎี สกินเนอร์ (Skinner)กับทฤษฏีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning) โดยจากแนวความคิดที่ว่าความสัมพันธ์ระหวา่ งพฤติกรรมกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งก่อให้เกิดพฤตกิ รรม และผลของการกระทำของพฤตกิ รรมนั้นโดยที่มีอิทธพิ ลต่อพฤติกรรม นนั้ ทฤษฏนี ้ีเน้นการกระทำของผทู้ ่เี รยี นรู้มากกว่าสิง่ ทผ่ี ูส้ อนกำหนดขน้ึ Burrhus Skinner นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้คิดทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning theory หรอื Instrumental Conditioning หรอื Type-R. Conditioning)
16 เขามีความคิดวา่ ทฤษฎีการวางเงอ่ื นไขแบบคลาสสิคนนั้ จำกัดอยูก่ ับพฤตกิ รรมการเรียนรทู้ เี่ กิดข้ึนเป็น จำนวนน้อยของมนุษย์ พฤตกิ รรมส่วนใหญแ่ ล้วมนุษย์จะเปน็ ผู้ลงมือปฏิบตั ิเอง ไม่ใช่เกิดจากการจับคู่ ระหว่างส่ิงเรา้ ใหม่กบั สงิ่ เรา้ เก่าตามการอธบิ ายของ Pavlov Skinnerได้อธิบายคำวา่ \" พฤตกิ รรม \" ว่า ประกอบด้วยองคป์ ระกอบ 3 ตวั คอื ส่งิ ทก่ี ่อให้เกดิ ขนึ้ กอ่ น(Antecedent) - พฤตกิ รรม(Behavior) - ผลที่ได้รับ(Consequence) ซึ่งเขาเรียกย่อๆ ว่า A-B-C ซึ่งทั้ง 3 จะดำเนินต่อเนื่องไป ผลที่ได้รับจะ กลับกลายเป็นสงิ่ ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดขึ้นกอ่ นอันนำไปสกู่ ารเกดิ พฤติกรรมและนำไปสผู่ ลที่ไดร้ บั ตามลำดับ การศึกษาในเรื่องนี้ Skinner ได้สร้างกล่องขึ้นมา มีชื่อเรียนกว่า Skinner Box กล่องนี่เป็น กลอ่ งส่เี หล่ยี มมคี านหรือลน้ิ บังคับให้อาหารตกลงมาในจาน เหนือคานจะมีหลอดไฟติดอยู่ เม่ือกดคาน ไฟจะสว่างและอาหารจะหล่นลงมา Skinner Box นำนกไปใส่ไว้ในกล่อง และโดยบังเอิญนก เคลื่อนไหวไปถูกคานอาหารก็หล่นลงมา อาหารที่นกได้นำไปสู่การกดคานซ้ำและการกดคานแล้วได้ อาหาร สกนิ เนอร์ (B.F. Skinner) ไดก้ ำหนดการวางเงอื่ นไขการกระทำ ซง่ึ เป็นเทคนิคทีใ่ ช้กันมากใน ปจั จุบัน โดยวธิ กี ารวางเงอ่ื นไขจะใชก้ ารเสริมแรง โดยทดลองกับสัตว์ในหอ้ งปฏิบตั ิการและค้นคว้าจน พบว่าใชไ้ ดด้ ีกับมนุษย์ หลักการวางเงื่อนไขผลกรรม (Operant Conditioning) มีแนวคิดว่า การกระทำใด ๆ (Operant) ย่อมก่อให้เกิดผลกรรม (Consequence หรือ Effect) การเรียนรู้เงื่อนไขผลกรรมน้ี ต้องการใหเ้ กดิ พฤติกรรมโดยใช้ผลกรรมเปน็ ตวั ควบคมุ การเรยี นรเู้ งือ่ นไขผลกรรมน้ีตอ้ งการให้เกิดพฤตกิ รรมโดยใช้ผลกรรมเปน็ ตวั ควบคมุ ผลกรรมทีเ่ กิดขึ้น ถา้ เป็นผลกรรมทต่ี อ้ งการ เปน็ ผลกรรมเชิงบวก เรียก การเสรมิ แรง ถา้ เปน็ ผลกรรมทีไ่ มต่ ้องการ เป็นผลกรรมเชิงลบ เรียกว่า การลงโทษ การเสริมแรง หมายถึง การทำให้มีพฤตกิ รรมเพิ่มขึ้นอันเนือ่ งจากผลกรรม ได้แก่ เสรมิ แรงทางบวก เช่น ทำงานเสรจ็ แลว้ แม่ให้ถโู ทรทศั น์ เสริมแรงทางเชิงลบ เช่น การขึ้นสะพานลอยเพอ่ื พน้ จากการถูกจับ การลงโทษ หมายถึง การให้ผลกรรมที่ไม่ต้องการ หรือ ถอดถอนสิ่งที่ต้องการแล้วทำให้ พฤติกรรมลดลง ไดแ้ ก่ การลงโทษทางบวก เช่น เด็กส่งเสยี งดงั แล้วถกู ดุ การลงโทษทางลบ เชน่ ทำการบ้านไม่เสร็จแลว้ แมไ่ มใ่ ห้ไปเลน่ เกมส์
17 2. บทความและเอกสารท่ีเก่ยี วขอ้ ง 2.1 QR Code จากงานแถลงข่าวเปิดตัวบริการ QR Code Generator จาก AIS เม่อื สัปดาห์ท่ีผ่านมา ทาง AIS ไม่เพยี งแจ้งขา่ วการเปิดตวั แตย่ งั มีขอ้ มูลนา่ สนใจเกย่ี วกับ QR Code ตดิ มาด้วย ใครอยากทราบ วา่ QR Code คอื อะไร ต่างจาก Barcode อยา่ งไร และมอื ถอื รุน่ ไหนสนับสนนุ การใช้งานบา้ ง ข้อมูล ดา้ นลา่ งนี้ตอบคำถามใหห้ มดเลย QR Code คืออะไร สัญลกั ษณ์ส่ีเหลยี่ ม ท่ีเร่มิ เหน็ แพรห่ ลายในบา้ นเรามากข้นึ ไมว่ า่ จะเป็นจากหนังสือพิมพ์หรือ นิตยสาร เรียกว่า QR Code ย่อมาจาก Quick Response เป็นบาร์โค้ด 2 มิติ ที่มีต้นกำเนิดมาจาก ประเทศญปี่ ุ่น โดยบรษิ ัท Denso-Wave ตัง้ แตป่ ี 1994 คุณสมบตั ิของ QR code คือ เป็นสัญลักษณ์ แทนข้อมูลต่างๆ ที่มีการตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่จะนำมาใช้กับสินค้า, สื่อโฆษณาต่างๆ เพ่ือให้ขอ้ มูลเพ่มิ เติม หรอื จะเป็น URL เวบ็ ไซต์ เม่อื นำกลอ้ งของโทรศพั ท์มือถือไปถ่าย QR Code ก็ จะเขา้ สู่เว็บไซตไ์ ดท้ ันทโี ดยไมต่ อ้ งเสยี เวลาพมิ พ์ เราสามารถอ่าน QR Code ได้อย่างง่ายดาย โดยใช้โทรศัพท์มือถือที่มีกล้องถ่ายรูป และมี โปรแกรมท่ีเรียกวา่ QR Code reader ติดต้งั อยู่ในเคร่อื งโทรศัพท์ เครื่องโทรศัพท์ในประเทศไทยมีหลายยี่ห้อ และหลายมาตรฐาน บางรุ่นอาจไม่รองรับ โปรแกรม เพอื่ นๆ จะตอ้ งดาวน์โหลด QR Code Reader QR Code ต่างจาก Barcode อยา่ งไร ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับ Bar code แบบธรรมดาหรือ Bar Code 1 มิติ ซึ่ง Bar code แบบธรรมดาก็คือ สัญลักษณ์แบบแท่ง มีความหนาบางต่างกัน โดย มีเส้นแนวตั้งที่มีขนาดที่ ต่างกัน วางอยู่บนพื้นที่ขาวสลับกัน Bar Code แบบนี้ทำไว้เพื่อ บรรจุข้อมูลที่ต่างกันไม่เกิน 20 ตัวอักษร เป็นการเรยี กขอ้ มูลจากฐานข้อมูลอีกต่อหนึง่ เหมือนข้อมลู สินคา้ นัน่ เอง ส่วน Bar code 2 มิติ ก็พัฒนามาจาก bar code 1 มิติ คือเพิ่มแนวนอน เข้ามาทำให้บรรจุข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็น 4000 ตัวอักษรหรือ 200 เท่านั่นเอง และสามารถใช้ได้หลายภาษาอีกด้วย ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้อ่านและ ถอดรหัส มีตั้งแต่ เครื่องอ่านแบบ CCD (ที่อ่านเลเซอร์) แต่ที่สะดวกและได้รบั ความนิยมก็จะใชผ้ ่าน กล้องในมือถือ ที่มีการติดตั้งโปรแกรมถอดรหัส ลักษณะ Bar code ที่ใช้ก็จะมีหลายแบบ แต่ที่พบ เหน็ ไดบ้ ่อยสดุ คอื QR code
18 ประโยชนข์ อง QR Code เราสามารถนำ QR Code มาประยกุ ต์ใชไ้ ด้หลากหลายรปู แบบ เช่น แสดง URL ของเวบ็ ไซต์, ข้อความ, เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลที่เป็นตัวอักษรได้อีกมากมาย ปัจจุบัน QR Code ถูกนำไปใช้ใน หลายๆ ดา้ นเน่อื งจากความรวดเร็ว เพราะทกุ วนั นี้คนสว่ นใหญ่จะมมี ือถือกนั ทกุ คนและมือถือเดี๋ยวนี้ ก็มีกล้องเกือบทุกรุ่นแล้ว ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดของ QR Code คือการแสดง URL ของเว็บไซต์ เพราะ URL โดยปกติแล้วจะจดจำยากเพราะยาวและบางทีก็ จะซับซอ้ นมาก แต่ด้วย QR Code เรา เพียงแค่ยกมือถือมาสแกน QR Code ทีเ่ ราพบเห็นตามผลิตภัณฑต์ า่ งๆ, นามบตั ร, นิตยสาร ฯลฯ แลว้ มอื ถือ จะลิง้ ค์เข้าเว็บเพจท่ี QR Code นั้นๆ บนั ทึกขอ้ มลู อย่โู ดยอัตโนมัติ เราสามารถสรา้ งและใช้ QR Code ไดเ้ องหรอื ไม่ เราสามารถสร้าง QR Code ใช้เองได้ง่ายๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ด้วยโปรแกรม AIS QR Code Generator ที่สามารถสร้างตัว QR-Code ได้ทั้งแบบเป็น ข้อความ, URL, PIN แบล็คเบอร่ี, เบอร์โทรศัพท์, SMS, e-mail และนามบัตร โดยเราสามารถกำหนดขนาดของ QR Code ได้ทั้งแบบ แสตมป,์ จดหมาย, กระดาษปรินท์ และเสื้อยดื อีกทง้ั ยังสามารถนำตวั QR Code ไปโพสต์ไว้ตามเว็บ บอร์ดต่างๆ ด้วยการ Copy โค้ด HTML ไปใช้ได้หรือ Share ให้เพื่อนที่ facebook และ twitter ได้ อีกดว้ ย วธิ ใี ช้ QR Code เมื่อติดตั้ง QR Code Reader เรียบร้อยแล้ว หากพบเห็น QR Code และอยากรู้ว่า QR Code นั้นคืออะไร ให้เปิดโปรแกรม QR Code Reader และถ่ายรูปสัญลักษณ์ QR Code ระบบจะ แปลงสญั ลักษณ์ ให้เป็นข้อมูลท่อี า่ นไดท้ ันที QR Code Reader ท่ีใชไ้ ด้สำหรบั โทรศพั ทม์ อื ถอื จะมีอยู่ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ 1. แบบ Real-Time คอื แคใ่ ชก้ ล้องในโทรศัพท์มือถือสอ่ ง QR Code ไดท้ นั ที 2. แบบ Snapshot/Capture คือ ต้องเปิดโปรแกรมแล้วถ่ายภาพจากกลอ้ งมือถอื ถ่ายภาพ Code กอ่ น แล้วจึงประมวล Code ออกมา… ( AIS QR Code Generator) 2.2 Google Form เป็นส่วนหนง่ึ ในบริการของกลมุ่ Google Docs ท่ชี ่วยให้เราสรา้ งแบบสอบถามออนไลน์ หรือ ใชส้ ำหรบั รวบรวมข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยทไี่ ม่ตอ้ งเสยี คา่ ใช้จ่าย ในการใช้งาน Google Form ผู้ใช้
19 สามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้งานได้หลายรูปแบบอาทิ เช่น การทำแบบฟอร์มสำรวจความคิดเห็น การทำแบบฟอรม์ สำรวจความพึงพอใจ การทำแบบฟอร์มลงทะเบียน และการลงคะแนนเสียง เปน็ ตน้ ทั้งนี้การใช้งานกูเกิ้ลฟอร์มนั้น ผู้ใช้งานหรอื ผูท้ ี่จะสร้างแบบฟอรม์ จะต้องมีบัญชีของ Gmail หรอื Account ของ Google เสียก่อน ผูใ้ ชง้ านสามารถเข้าใช้งานสรา้ งแบบฟอร์มผา่ น Web Browser ไดเ้ ลยโดยที่ไมต่ ้องตดิ ตงั้ โปรแกรมใดๆ ท้งั ส้นิ มาร้จู ักฟอรม์ ทีใ่ ชเ้ ก็บข้อมูลใน Google Form กนั เถอะในการสร้างแบบสอบถามออนไลน์ ไม่ ว่าเราจะใช้งาน Google Form ในงานเก็บข้อมูลรปู แบบไหน เก็บข้อมูลประเภทใด Google Form สามารถตอบโจทย์ให้กบั ผู้สร้างแบบสอบถามออนไลน์ได้ รจู้ ัก Google Form กบั แบบสอบถามออนไลน์ ดังนัน้ จะเห็นไดว้ ่ากูเก้ลิ ฟอร์มมฟี อร์มสำหรับ เก็บข้อมรูปหลากหลายรูปแบบสำหรับสรา้ งแบบสอบถามออนไลน์ โดยสามารถสร้างฟอร์มรับข้อมลู ได้อยู่ 9 รูปแบบ โดยแบ่งออกเป็นรูปแบบพื้นฐาน 5 รูปแบบ และรูปแบบขั้นสูง 4 รูปแบบ อีกทั้งยัง สามารถแทรกในส่วนของการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการแทรกรูปภาพ วีดีโอ หรือข้อความส่วนหัว ดงั น้ันก่อนทจ่ี ะเรมิ่ สร้างแบบฟอรม์ ออนไลน์ เราลองมาทำความรปู จักกับฟอรม์ ทัง้ 9 รูปแบบ ก่อนกัน ดีกว่า ว่าฟอร์มแบบไหนจะตรงต่อความต้องการของเรามากที่สุดในการทำแบบฟอร์มออนไลน์…( https://officemanner.com/2014/11/21/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0% - google-form) 2.3 Google Sheets กูเกิล ชีท เป็นแอปพลิเคชันในกลุ่มของ Google Drive (กูเกิล ไดรฟ์) ซึ่งเป็นนวัตกรรมของ Google (กูเกิล) มีลักษณะการทำงานคล้ายกันกับ Microsoft Excel (ไมโครซอฟท์ เอ็กเซล) คือ สามารถสรา้ ง Column, Row สามารถใส่ขอ้ มลู ตา่ งๆ ลงไปใน Cell (เซลล)์ ได้ และคำนวณสูตรต่างๆ ได้ ข้อดีของการใช้ Google Sheets 1. เปน็ บรกิ ารใหใ้ ชฟ้ รจี ากGoogle (กูเกิล) 2. สามารถทำงานเป็นทีมได้ : สามารถทำงานร่วมกันในสเปรดชีท (Spreadsheet) ได้ใน เวลาเดียวกัน นอกจากน้ียงั สามารถแชรง์ าน แกไ้ ขแบบเรยี ลไทม์ หรอื แมก้ ระทง่ั แชทและแสดงความ คิดเห็นกับบุคคลใดกไ้ ด้
20 3. ไม่ต้องกด \"บันทกึ \" อีกเลย : เมอ่ื มกี ารทำงานเกดิ ขน้ึ ในสเปรดชีท ทุกการพมิ พ์จะถกู บนั ทึก ไว้ท้งั หมดโดยอัตโนมัติ และยังสามารถใช้ประวัตกิ ารแก้ไขเพ่ือดเู วอร์ชัน่ เก่าๆ ของสเปรดชีทเดียวกัน โดยจดั เรยี งตามวนั ท่ีและคนทแ่ี ก้ไข(https://www.google.com/intl/th_th/sheets /about/) 3. วิจัยทีเ่ ก่ียวขอ้ งในการจดั ทำงานวจิ ัย 3.1 การสร้างระบบเช็คช่อื เข้าเรยี นดว้ ยรหสั ควิ อาร์ นางสาวบุษบา จันเจริญ 5704800041, นายอติวัชร์ อมรมงคล 5704800072 (2561) ได้ ศึกษาการสรา้ งระบบเช็คชือ่ เขา้ เรียนดว้ ยรหัสคิวอาร์ เพื่อเป็นสว่ นของคะแนนเก็บและมหาวิทยาลัย สยาม กำหนดให้คะแนนการเข้าเรียนเปน็ ส่วนหนึง่ ของคะแนนเก็บท่ีมอี ัตราส่วนไมเ่ กินร้อยละ 10 ของ คะแนนรวม ดังนั้นปริญญานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบเช็คชื่อเข้าเรียนด้วยรหัสคิวอาร์ เปน็ การเปลี่ยนวธิ กี ารเชค็ ชอ่ื นกั ศกึ ษาเข้าเรียนจากเดมิ เป็นการขานชือ่ นกั ศกึ ษาทีละคน ซ่ึงใช้เวลาใน การเช็คชื่อค่อนข้างนานและนักศึกษามีการยกมือแทนกัน การจัดทำรายงานต้องใช้เวลาและอาจจะ เกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย มาเป็นการใช้รหัสคิวอาร์ ซึ่งจะทำให้ลดระยะเวลาในการเช็คชื่อเข้าเรียน สามารถจัดทำรายงานได้รวดเร็ว และข้อมูลไม่สูญหาย นักศึกษาจะทำการเชค็ ชื่อเข้าเรียนโดยการใช้ โทรศพั ทม์ อื ถอื สแกนรหัสควิ อารท์ ี่อาจารย์ผ้สู อนทำการสรา้ งผา่ นระบบ การเช็คชอ่ื เขา้ เรียนแต่ละคร้ัง จะถูกบันทึกลงฐานข้อมูล ระบบประกอบด้วย 2 ส่วน ประกอบด้วย 1. เว็บแอปพลิเคชั่น สำหรับ ผ้ดู แู ลระบบและอาจารย์ และ 2. เนทฟี แอปพลเิ คช่นั ท่ีทำงานบนระบบปฏบิ ัติการแอนดรอยด์ สำหรับ อาจารย์ นักศึกษา และผู้ปกครอง ภาษาที่ใช้ในการพัฒนาระบบ ได้แก่ Java, C#, HTML5, CSS, JavaScript เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาระบบ ได้แก่ Android Studio, Microsoft Visual Studio Code และ MySQL 3.2 ได้พัฒนาระบบตรวจสอบรายช่อื เขาชนั้ เรียนโดยอุปกรณอจั ฉรยิ ะ กองกาญจน ดลุ ยไชย , อรรถวิท ชงั คมานนท , อิทธพิ งษ เขมะเพชร (2560) ไดพ้ ฒั นาระบบ ตรวจสอบรายชื่อเขาชั้นเรียนโดยอุปกรณอัจฉริยะ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเปรียบเทียบเวลาที่ใช ในการ ตรวจสอบรายชอ่ื เขาชน้ั เรยี นโดยอปุ กรณอัจฉรยิ ะกบั การตรวจสอบรายช่อื ดวยใบรายชื่อ ผูใชงานของ ระบบนี้ไดแก ผูสอนและนักศึกษา ผูสอนสามารถเพิ่มรายวิชา รายชื่อนักศึกษา คะแนนในการ ตรวจสอบ รายชอื่ เขาช้นั เรียน และติดตามการเขาช้ันเรยี นของนักศกึ ษาแตละคนโดยดูจากขอมูลการ เขาเรยี น ขาดเรียน และมาสาย นักศึกษาสามารถดูขอมูลและสถติ ิการเขาช้นั เรียนของตนเองในแต
21 ละรายวิชาได เม่อื สน้ิ สดุ ภาคการศกึ ษาผูสอนสามารถแปลงความถี่ในการเขาชน้ั เรยี นเปนคะแนน ตามทผ่ีูสอนกําหนดระบบตรวจสอบ รายชื่อเขาชั้นเรียนโดยอุปกรณอัจฉริยะถูกนํามาใชในรายวิชา คพ344 การพฒั นาระบบซอฟตแวรเชงิ วตั ถุ 2 กลุมเรียน ผวู้ จิ ยั เก็บเวลาในการตรวจสอบรายชื่อผาน ระบบตรวจสอบรายชอ่ื เขาช้นั เรียนโดยอุปกรณอัจฉริยะ เปรยี บเทยี บกับเวลาในการตรวจสอบรายชื่อ โดยใชใบรายชื่อกลุมเรียนละ 3 ครั้ง จากผลการทดลองใชระบบที่นําเสนอสามารถสรุปไดดังน้ี ระบบตรวจสอบรายชอื่ เขาชนั้ เรยี น โดยอุปกรณอัจฉรยิ ะมีประสิทธิภาพการทํางานทสูีง่ กวาระบบการ ตรวจสอบดวยใบรายช่ือ โดยระบบที่นำเสนอสามารถตรวจสอบรายชื่อนักศึกษาดวยความเร็ว ถูกต องและสามารถลดข้ันตอนการทํางานลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจสอบรายชื่อดวยใบ รายช่อื 3.3 พัฒนาการพัฒนาระบบเช็คชื่อเพื่อการตดิตามพฤติกรรมการเข้าเรียนของนักศึกษา แบบมี ส่วนรว่ มผา่ นระบบออนไลน์ วฒั นพล ชุมเพชร , ภรู ณิ ฐั หนูขุน , คุณัชญ์ เตียวนะ (2561) ไดศ้ ึกษาและพัฒนาการพัฒนา ระบบเช็คช่ือเพ่ือการตดิตามพฤตกิ รรมการเขา้ เรียนของนักศึกษา แบบมสี ว่ นรว่ มผ่านระบบออนไลน์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาระบบเช็คชื่อเพื่อการติดตามพฤติกรรมการเข้าเรียนของ นักศึกษาแบบมีส่วน ร่วมผ่านระบบออนไลน์ และ (2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้สอน ผู้เรียน ผ้ปู กครอง และอาจารยท์ ่ปี รึกษาต่อระบบเช็คชื่อเพอื่ การตดิ ตามพฤตกิ รรมการเขา้ เรยี นของนักศึกษา แบบมีส่วนร่วมผ่านระบบออนไลน์ กลุ่มตัวอยา่ งเปน็ อาจารย์ผู้สอนของ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้ง ตรัง จำนวน 37 คน นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกท่ีต้ัง ตรัง ที่ลงทะเบียนเรยี นในรายวิชาการจัดการ ศูนยบ์ รกิ ารดา้ นเทคโนโลยี สารสนเทศ ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2558 และผูป้ กครองของนักศึกษา รวม 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ เครื่องมือในการพัฒนาระบบใช้ภาษา PHP, HTML, CSS และ Java เพื่อการใช้ งานผ่านเว็บเบรา เซอร์ ภาษา Swift เพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่นบนระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) และใช้ระบบจัดการ ฐานข้อมูล ด้วย MySQL ผลการวิจัยพบว่า ระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ในการติดตาม พฤติกรรมการเข้าเรียนของนักศึกษาได้ ค่าเฉลี่ย ของกลุ่มตัวอย่างผู้สอนและอาจารย์ที่ปรึกษา ใน ภาพรวมมีความพงึ พอใจในการใชร้ ะบบออนไลนท์ ีเ่ รยี กใช้งานผ่านเวบ็ เบรา เซอร์อยใู่ นระดบั มากที่สุด (X=4.37, S.D.=.16) และผ่านแอพพลเิ คช่ันมคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ (X=4.33, S.D.=.10)
22 ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาและผู้ปกครอง ในภาพรวมมีความพึงพอใจในการเรยี กใช้งานผ่าน เว็บเบราเซอร์ อยใู่ นระดบั มากท่ีสุด (X=4.38, S.D.=.16) และผา่ นแอพพลิเคช่ันมคี วามพงึ พอใจอยู่ใน ระดบั มากทีส่ ุด (X=4.57,S.D.=.06) สำหรับการประเมินความเร็วของระบบทีเ่ รียกใช้งานผา่ นเวบ็ เบรา เซอร์มีความเรว็ ทีส่ งู กวา่ บนแอพพลิเคช่นั โดยเฉล่ีย .95 ตอ่ 1.91 วนิ าที หรืออตั ราส่วนประมาณ 1:2 3.4 พัฒนาระบบเช็คชือ่ และจดั การกิจกรรมสาํ หรบั อาจารย์ (iTeaching) ชวโชติ อาชวกุล (2557) ไดศ้ ึกษาและพฒั นาระบบเชค็ ชื่อและจัดการกจิ กรรมสาํ หรับอาจารย์ (iTeaching) พบว่าระบบเช็คชอ่ื และจัดการกจิ กรรมสําหรับอาจารย์ เปน็ Application ที่พัฒนาผ่าน ระบบ iOS ใหแก่อาจารย์ผูใ้ ช้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการสอนแก่นักศึกษาให้มากยิง่ ขึน้ สะดวก และ รวดเร็ว จากเดิมที่มีการจัดการด้านกิจกรรมที่ต้องใช้กระดาษในการจัดการ หรือใช้ความจําใน การ ส่ังงานนักศกึ ษา ระบบนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านไ้ี ด้ โดยขอ้ มลู ทุกอย่างที่เกิดข้ึนในระบบจะถูก จัดเก็บในฐานข้อมูลทั้งหมด ระบบเช็คชื่อและจัดการกิจกรรมสําหรับอาจารย์ เป็นระบบที่เพ่ิม ประสิทธิภาพในการจัดการ กิจกรรมที่เกิดขึ้นในการสอนได้ เพื่ออํานวยความสะดวกสบายให้แก่ อาจารย์ผู้ใช้งาน เป็นระบบที่ ง่ายต่อการใช้งาน มีการจัดการข้อมูลที่ดี ลดความข้อผิดพลาดในการ สั่งงานแก่นกั ศกึ ษาท่ีเรียน สามารถแสดงกิจกรรมตา่ ง ๆ ทผี่ ่านมาได้ ช่วยลดปญั หาดา้ นการสื่อสารกับ นักศึกษา การจัดเก็บ ขอ้ มูล การสญู หายของเอกสาร และการคน้ หาขอ้ มลู 3.5 ศึกษาการพัฒนาระบบบนั ทกึ การเข้าช้ันเรียนผา่ นบลทู ธู นางสาววรญิ ทร เจนชัย (2558) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาระบบบนั ทกึ การเขา้ ชัน้ เรียนผ่านบลูทูธ งานวิจัยน้ีมีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือออกแบบขั้นตอนวิธแี ละพัฒนาระบบบันทึกการเข้าช้ันเรียน ผ่านบลูทูธ และออกแบบพัฒนาระบบจัดการการเขา้ ชั้นเรยี นของนักศึกษาบนเวบ็ ในการศึกษา มุ่งเนน้ ที่การนำ เทคโนโลยีบูลทูธที่มีอยู่ในโทรศัพท์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ ผลการศึกษา ความสามารถในการตรวจสอบรายช่อื นกศั กึ ษาพบวา่ โทรศัพท์เคล่ือนทก่ี ลุ่ม ตวั อย่างรอ้ ยละ 85.29 มี ระยะทางในการตรวจพบที่ 8 -16 เมตร และจากการทดสอบเปรียบเทียบ หากมีการใช้งานใน หอ้ งเรยี นจริงพบว่าระบบบลูการ์ดมีความสามารถในการตรวจสอบรายชือ่ ครอบคลมุ ถงึ ร้อยละ 90.62 ในหอ้งขนาดสูงสุด 150 ท่ีน่งั ซึ่งครอบคลมุ การใช้ประโยชน์ถึงรอ้ ยละ 83.79 ของการใช้ห้องเรียนใน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี การประเมินความสามารถในการใช้ งานไดข้ องระบบจากผู้เช่ียวชาญ ใน 2 มิติ คือ 1) การใช้แบบสอบถาม พบว่าผู้ใช้มีความพึงพอใจอยู่ ในระดับมากท่ีสุด โดยพึงพอใจ มากที่สุดด้านประสิทธิภาพของระบบ ในส่วนของการตรวจสอบ รายชื่อนกัศึกษาได้รวดเร็วช่วยลด
23 ระยะเวลาในการตรวจสอบรายชอ่ื ได้ และการจัดเก็บข้อมูลการ เขา้ ชน้ั เรยี นได้ตลอดชว่ งเวลาท่ีเปิดใช้ งานซึ่งเปน็ คณุ ลักษณะของระบบตรวจสอบรายชื่อท่ีแตกตา่ ง จากระบบอ่นื และ 2) การสมั ภาษณ์เชิง ลึก พบว่า ในภาพรวมผู้เชี่ยวชาญมีความพึงพอใจต่อระบบ มาก เนื่องจากระบบสามารถช่วยลด ระยะเวลาในการตรวจสอบรายช่ือได้จริง สามารถติดตาม พฤตกิ รรมการเข้าชั้นเรียนของนักศึกษาได้ ในเบอ้ื งต้น และระบบมกี ารประมวลผลและแสดงผล ลัพธ์ไดเ้ ปน็ อย่างดี สถาบนกั ารศึกษาสามารถนา ผลการวิจยั ไปประยกุ ตใ์ ชเ้ พือ่ ตรวจสอบรายชอ่ื นกัศกึ ษาใน การเขา้ ชัน้ เรียนและติดตามพฤติกรรมการ มีส่วนร่วมในห้องเรียน ช่วยลดระยะเวลาในการ ตรวจสอบรายชื่อลงได้ รวมถึงสนับสนุนวิธีการเก็บ รวมรวมข้อมูลพฤติกรรมการเขา้ ช้นั เรียนใน กลมุ่ ตวั อยา่ งปรมิ าณมากและเป็นประโยชน์ตอ่ การวิจัยใน ชนั้ เรยี น 3.6 พฒั นาระบบเช็คชอื่ บนแอพพลิเคชัน่ แอนดรอยด์ เพอ่ื แกป้ ัญหาในการเช็คช่อื ผ้เู รยี น นางสาวฉตัรสดุ า คงคารววิรรณ , นายธชัพงค์ สถาวรสมิต (2557) ได้ศึกษาและพฒั นาระบบ เช็คช่อื บนแอพพลิเคชนั่ แอนดรอยด์ เพือ่ แกป้ ญั หาในการเช็คช่ือผู้เรียน พบวา่ ในปจั จุบันการศึกษาได้ พัฒนาไปอย่ารวดเร็วไม่ว่าจะเป็นในส่วนสื่อการเรียนการสอน หลักสูตรการเรียน เนื้อหาของแต่ละ บทเรียนหรือแมแ้ ต่วธิ กี ารสอนของอาจารย์กแ็ ปลี่ยนแปลงไปดว้ ย แตส่ ่ิงท่ีไม่เปลี่ยนคือ เมื่ออาจารย์ได้ ทำการสอนในวชิ าหนงึ่ ๆ จะตอ้ งมกี ารวัดผลหรือทดสอบ ความรู้ ความสามารถที่ได้จากวิชานี้เพื่อเป็น เกณฑ์ในการตดัสินคะแนนในวิชานั้นๆ ในส่วนของ การเก็บคะแนนอาจารย์จะเป็นผู้เกบ็ คะแนน ซ่ึง อาจารย์จะใชว้ ธิ เี กบ็ คะแนนโดยการคยี ์ลงใน Excel หรือการเขยี นใส่กระดาษ เราลองมาคิดใหม่ว่าถา้ เราสามารถใช้ Smartphone อย่างเดียวทำได้จบเลย ไมว่ า่ จะเปน็ เชค็ ชอ่ื เกบ็ คะแนน ตดั เกรด และ มีการแจ้งเตอื นเม่ือถึงกำหนดการต่างๆ เช่น สอบ Midterm สอบ Final ส่งคะแนนให ้สวท. เป็นต้น คณะผู้จัดทา จึงได้มีการจัดทำ ‘‘ระบบเช็คชื่อบนแอพพลิเคชั่นแอนดรอยด์’’ เพื่อให้คณะ อาจารย์ ได้รับความสะดวกสบายไมว่ ่าจะเป็นในส่วนของการเช็คชื่อ การเก็บคะแนน การตดัเกรด หรือแม้แต่ การแจ้งเตือนงานต่างๆ ในกรณีที่ Smartphone เสียและมีผลต่อข้อมูลในเครื่องเรา สามารถซิงค์กบั ฐานขอม้ ูลเพ่ือดึงขอ้ มูลได้
24 บทท่ี 3 วิธดี ำเนินการวิจัย การวิจัยครัง้ ผู้วจิ ัยไดด้ ำเนินการศึกษาและแก้ไขพฤตกิ รรมผูเ้ รยี นให้มีความความตรงต่อเวลา ในรายวิชาการออกแบบสง่ิ ของเครื่องใชด้ ้วยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ โดยใชก้ ารเช็คชอื่ ผ่านระบบควิ อาร์ โค้ดและบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านยางหวาย จังหวัด ชยั ภูมิ ผูว้ ิจยั ได้ดำเนนิ การตามลำดบั ข้นั ตอนดงั ต่อไปนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมอื ท่ีใช้ในการศึกษา 3. ขนั้ ตอนการสรา้ ง 4. วิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มูล 5. การวเิ คราะห์ข้อมูล 6. สถิติทใี่ ช้ 1. ประชากร/กลุ่มตัวอย่างประชากร/กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งน้ีเป็นนักเรียนระดับชั้นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2562 โรงเรียนบา้ นยางหวาย จำนวน 18 คน 2. เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการศกึ ษา 1. ระบบเช็คชอ่ื ด้วยควิ อาร์โค้ด 2. บตั รควิ อาร์โคด้ ทผี่ ูว้ จิ ยั สร้างขน้ึ เอง 3. แบบสำรวจพฤติกรรม(แบบเช็คชื่อ)การเข้าเรียนก่อนใช้และหลังใช้ ระบบเช็คชื่อด้วยคิว อารโ์ ค้ด 4. แบบสอบถามความพงึ พอใจ ทม่ี ีตอ่ ระบบเชค็ ชื่อด้วยคดิ อารโ์ ค้ด 3. ขน้ั ตอนการสรา้ ง 1.1 ศึกษาหลักการ ทฤษฎีจิตวิทยาการศึกษา ทฤษฎีแรงจูงใจ ทฤษฎีการ เรียนรู้ แบบวางเง่ือนไข ลักษณะดา้ นวินัยในห้องเรียน ความขยนั อดทนและความรับผิดชอบ 1.2 กำหนดกรอบความคิดในการวิจัย เพื่อทำการศึกษาความมีวินัยในตนเอง ความรับผิดชอบ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบ้าน ยางหวาย 1.3 กำหนดวตั ถปุ ระสงค์
25 1.4 กำหนดกลุ่มประชากร ในการวิจัยครั้งนี้ได้กำหนดกลุ่มประชากร คือ นักเรียน ระดับชน้ั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบา้ นยางหวาย จำนวน 18 คน 1.5 สร้างเครื่องมือการวิจัย โดยผู้วิจัยศึกษาจากหลกัการ ทฤษฎี แนวคิด วัตถุประสงค์เพื่อจำแนกว่า ควรสร้างเครื่องมือวัดด้านใดบ้างให้เหมาะสมกับสภาพของ นกั เรียนระดับช้นั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 โรงเรยี นบา้ นยางหวาย จำนวน 18 คน ที่นำมาทำการวิจัยในครงั้ นี้ 1. เตรียมข้อมูลนกั เรยี นทจี่ ะใช้ 2. ทำการสร้างฟอรม์ จาก google form โดยใชม้ ีชอ่ งรหัสนกั เรยี น ชอ่ื -สกุล ช้นั เลขที่ และท่ขี าดไมไ่ ดค้ ือช่องทีเ่ ลอื กรายวชิ า 3. เม่อื สรา้ งฟอรม์ เสร็จแล้ว ให้กดทก่ี ารตอบกลับ แล้วทำการสร้างชีสเปล่า ขน้ึ มา ซ่งึ ชีสจะเป็นฐานขอ้ มลู ของนกั เรียน (กดตามภาพวงกลมสีแดง แล้วจะได้ตาม ภาพด้านล่าง)
26 4. ทำการกดเครื่องหมาย + ด้านล่างซ้ายของชีส เพื่อสรา้ งหน้าใหม่ข้นึ มา แล้วให้เราคัดลอกขอ้ มูลนักเรียนเขา้ ไว้ไวย้ งั หน้าเปล่าที่ 2 5. ไปทหี่ นา้ ฟอรม์ แล้วกดตามภาพวงกลมสีแดง แล้วเลือก “รบั ลงิ ก์ที่กรอก ข้อมูลไวล้ ว่ งหนา้ ” แลว้ จะไดภ้ าพตาด่างล่าง ให้ทำการกรอกขอ้ มูลตวั อยา่ ง 1 คน 6. พอพิมพ์เสร็จแล้วกดสง่ จะไดล้ งิ กข์ ึ้นมาตามภาพ และใหค้ ดั ลอกไว้
27 7. ให้นำลิงก์ท่ีคัดลอกไวไ้ ปวางท่ีหน้าชีสทเ่ี ราพิมพ์ชอ่ื และข้อมูลนักเรียนไว้ โดยวางที่ช่อง A2 ตามภาพ 8. จากนั้นใหเ้ ราทำการแก้ไขโค้ดทีเ่ ราคัดลอกมาวางไว้ ตามลำดับดงั ต่อไปน้ี 1. ให้กดตรงที่ช่องนำโค้ดไปวางแล้วจะได้แบบภาพ แล้วให้พิมพ์ เครือ่ งหมาย = ใส่ในช่องตวั หนังสอ่ื สีเขียว 2. ต่อมาจะเปน็ การใส่โคด้ ใหฟ้ อร์มกรอกข้อมูลอตั โนมัติ ให้สังเกตตรง ท่ีมตี วั เลขเยอะๆ ใหเ้ ราพมิ พห์ ลงั เครอื่ งหมาย = โดยพมิ พ์ตัว “& ตามด้วย ชอ่ งทีข่ อ้ มลู เราอยู่ เช่น ชอ่ งแรกของเราเปน็ รหสั นักเรยี น ใหเ้ ราพมิ พ์ว่า “&B2&” ทำตามลำดบั ข้อมูลไปเลื่อยๆ 9. ขั้นตอนการทำคิวอารโ์ ค้ด คือให้ไปกดที่ส่วนเสริมที่หัวเมนู และกดดาว โหลดสว่ นเสรมิ แล้วในชอ่ งค้นหาพมิ พ์คำวา่ QR Code Generator แลว้ กดเพ่มิ 10. ใหท้ ำการลากคลุมดำช่อง A1 และ B1 ไปจนถึงชอ่ งล่างสดุ ทา้ ย แลว้ กด ส่วนเสรมิ ที่หวั เมนู แลว้ เลือก QR Code Generator แลว้ ต๊กิ และกดตามรูป
28 11. แล้วรอให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วกด Open Document เพื่อที่จะ นำนวิ อารโ์ คด้ แต่ละคนไปทำบัตรในโปรแกรมอนื่ ๆ ตอ่ ไป แบบบันทึกการมาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 ภาคเรียนท่ี 2/2562
29 1.6 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยนำได้ดำเนินการเก็บข้อมูลดัวยตัวเองโดยการ สังเกต ให้ นักเรียนกลมุ่ ตัวอย่างไดต้ อบแบบสอบถาม 1.7 การสรปุ ผลการวิจยั และนำเสนอผลการวิจยั โดยนำข้อมูลที่ได้มาวเิ คราะห์ข้อมูล และเขียน สรปุ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 4. วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 1.สำรวจพฤติกรรมการเข้าชน้ั เรียน ด้วยแบบสำรวจการเชค็ ชอ่ื ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 กบั นกั เรยี นกลมุ่ ตัวอย่างมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนบ้านหยางวาย ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2562 จาํ นวน 18 คน ในรายวชิ าคอมพิวเตอร์ เปน็ เวลา 1 สปั ดาห์ 2. ดําเนนิ การเชค็ ชือ่ โดยใช้ระบบเชค็ ช่อื ควิ อาร์โค้ด และสำรวจพฤติกรรมดว้ ยแบบ สำรวจพฤตกิ รรม ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 2 กับนักเรยี นกลมุ่ ตวั อยา่ งมัธยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรียนบ้านหยาง วาย ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 จํานวน 18 คน ในรายวชิ าคอมพวิ เตอร์ เป็นเวลา 1 สัปดาห์ 3. เม่ือสน้ิ สดุ การเชค็ ชือ่ โดยใช้ระบบเช็คชอ่ื ควิ อาร์โค้ดแล้ว เปรียบเทยี บการสำรวจ พฤติกรรมการเข้าเรียนกอ่ นและหลังใช้ระบบเชค็ ชอื่ คิวอาร์โคด้ 5.การวเิ คราะหข์ ้อมูล ผู้วจิ ยั ศึกษาจะวเิ คราะห์ขอ้ มูลตามลำดบั ขนั้ ตอนดังนี้ 1. การสำรวจพฤติกรรมการมาเขา้ เรียนไม่ตรงเวลาก่อนใช้ระบบเชค็ ชื่อด้วยควิ อาร์ โคด้ รายวิชาคอมพวิ เตอร์ นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นยางหวาย จังหวดั ชยั ภมู ิ 2. การสำรวจพฤติกรรมการมาเข้าเรียนไม่ตรงเวลาหลังใช้ระบบเชค็ ชื่อด้วยคิวอาร์ โคด้ รายวชิ าคอมพิวเตอร์ นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนบ้านยางหวาย จังหวดั ชัยภูมิ 3. การเปรียบเทียบการสำรวจพฤติกรรมมาเขา้ เรียนไม่ตรงเวลาก่อนใช้และหลังใช้ ระบบเช็คช่ือดว้ ยคิวอาร์โคด้ รายวิชาคอมพวิ เตอร์ ภาษาไทยและคณติ ศาสตร์ นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษา ปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นยางหวาย จังหวดั ชยั ภมู ิ 6. สถิตทิ ่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสำรวจพฤติกรรมในชั้นเรียน ตลอด 1 สัปดาห์ นักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 โรงเรยี นบา้ นยางหวาย จำนวน 18 คน 1. ค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง IOC =∑R ������
30 IOC = ดัชนีความสอดคล้องของเครือ่ งมือ ∑R = ผลรวมคะแนนความคดิ เห็นของผูเ้ ชี่ยวชาญ N = จํานวนผู้เช่ียวชาญ 2. สถิติรอ้ ยละ ทใ่ี ช้ในแบบสงั เกตพุ ฤติกรรม 3. ค่าเฉลยี่ ���⃐��� = ∑ ������ ������ X = คา่ เฉล่ยี ของคะแนน ∑X = ผลรวมของคะแนน N = จํานวน 4. สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน S.D. =√∑(������−���⃑���)2 ������ S.D. = ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ∑(X - X) = ผลรวมของคะแนนลบด้วยคะแนนเฉลีย N = จํานวน
31 บทท่ี 4 ผลการวิจัย การวจิ ัยครง้ั น้มี วี ัตถุประสงค์ เพ่ือปรบั พฤติกรรมการเขา้ ชั้นเรียนใหต้ รงเวลา ดว้ ยระบบเชค็ ชอ่ื QR Code สำหรบั นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบา้ นยางหวาย จงั หวดั ชยั ภมู ิ เพ่ีอ เปรยี บเทยี บพฤตกิ รรม ก่อนและหลงั ใช้ ระบบเช็คชื่อ QR Code สำหรับนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นยางหวาย จังหวัดชัยภมู ิ เพอ่ื ศึกษาความพึงพอใจของผเู้ รียนทม่ี ตี ่อระบบเช็คช่ือ QR Code สำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนบา้ นยางหวาย จงั หวดั ชัยภมู ิ ผลการวิเคราะห์การใช้ระบบเช็คชือ่ คิวอาร์โค้ด มีรายละเอยี ดดงั นี้ ตอนท่ี 1 การวเิ คราะหแ์ ละหาประสิทธภิ าพของระบบเช็คช่อื ด้วยควิ อารโ์ ค้ดนกั เรยี นช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 2 ในการประเมินคุณภาพระบบเช็คช่ือ QR Code สำหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านยางหวาย จังหวัดชยั ภมู ิ ผลการประเมนิ คุณภาพแสดงดงั ในตาราง ตาราง 1 ผลการประเมินคุณภาพระบบเช็คชื่อ QR Code สำหรบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบ้านยางหวาย จังหวดั ชยั ภูมิ โดยผเู้ ช่ยี วชาญ รายการประเมิน ⃐���⃑���⃑ S.D. ระดบั ความเหมาะสม 1. งา่ ยตอ่ การใชง้ าน 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สดุ 2. การเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สดุ 3. การแสดงผลรวดเรว็ 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสดุ 4. ข้อมูลถูกต้องชัดเจน 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสดุ 5. รูปภาพแสดงผลไดถ้ กู ต้องชัดเจน 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสดุ 6. ขนาดของควิ อารโ์ คด้ เหมาะสม 5.00 0.00 เหมาะสมมากท่ีสุด 7. ขนาดของขอ้ มูลตัวอกั ษรเหมาะสม 5.00 0.00 เหมาะสมมากที่สุด 8. ขอ้ ความและภาพสอื่ ได้ชัดเจน 4.68 0.59 เหมาะสมมากที่สุด
32 9. ภาษาท่ีใช้เข้าใจงา่ ยชัดเจน 4.68 0.59 เหมาะสมมากท่ีสดุ 10. เปน็ การประยกุ ต์ใช้แอพพลเิ คช่นั เพอื่ การศกึ ษา 4.68 0.59 เหมาะสมมากที่สุด 4.84 0.30 เหมาะสมมากทีส่ ดุ คา่ เฉลยี่ จากตาราง 1 พบว่า ผลการประเมินคุณภาพระบบเช็คชื่อ QR Code สำหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านยางหวาย จังหวัดชัยภูมิ ภาพรวม มีความเหมาะสมที่สุด (⃐���⃑���⃑ = 4.8 S.D. = 0.30) เหมาะสมมากที่สุด สามารถแบ่งความเหมาสมเปน็ รายข้อคือ คิวอาร์โค้ดงา่ ยต่อการใช้ งานมีเหมาะสมมากที่สดุ (⃐���⃑���⃑ = 5.00 S.D. = 0.00) การเข้าถึงข้อมูลของคิวอาร์โค้ดอย่างรวดเร็วมี ความเหมาะสมมากที่สุด (���⃐⃑���⃑ = 5.00 S.D. = 0.00) การแสดงผลคิวอาร์โค้ดอย่างรวดเร็วมีเหมาะสม มากทสี่ ดุ (⃐���⃑���⃑ = 5.00 S.D. = 0.00) ข้อมลู ถูกตอ้ งชดั เจนของคิวอารโ์ ค้ดมีความเหมาะสมมากทีส่ ดุ (���⃐⃑���⃑ = 5.00 S.D. = 0.00) รปู ภาพแสดงผลได้ถูกตอ้ งชัดเจนของคดิ อาร์โคด้ มีความเหมาะสมมากท่ีสุด (⃐���⃑���⃑ = 5.00 S.D. = 0.00) ขนาดของคิวอาร์โค้ดเหมาะสมมีความเหมาะสมมากที่สุด (⃐���⃑���⃑ = 5.00 S.D. = 0.00) ขนาดของควิ อาร์โค้ดเหมาะสม ขนาดของข้อมูลตวั อกั ษรเหมาะสม มีความเหมาะสมมากท่ีสุด (���⃐⃑���⃑ = 5.00 S.D. = 0.00)ข้อความและภาพสื่อได้ชัดเจนมีความเหมาะสมมากที่สุด (⃐���⃑���⃑ =4.68 S.D. = 0.59) ภาษาที่ใช้เข้าใจง่ายชัดเจนมีความเหมาะสมมากที่สุด (⃐���⃑���⃑ =4.68 S.D. = 0.59) เป็นการ ประยุกตใ์ ช้แอพพลิเคช่ันเพอ่ื การศึกษามีความเหมาะสมมากท่สี ดุ (⃐���⃑���⃑ =4.68 S.D. = 0.59) ผลการสังเกตพฤติกรรมกอ่ นและหลงั ใชร้ ะบบเชค็ ชื่อดว้ ยคิวอารโ์ คด้ …………… ตาราง 2 ศึกษาความพงึ พอใจของผู้เรียนทีม่ ตี ่อระบบเชค็ ชอื่ QR Code สำหรับนกั เรียนชั้น มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นยางหวาย จงั หวดั ชัยภูมิ รายการประเมนิ ���⃐⃑���⃑ S.D. ระดับความเหมาะสม ดา้ นการออกแบบคิวอารโ์ คด้ 1. เข้าถงึ สะดวกรวดเรว็ ไม่ซับซ้อน 4.73 0.45 มากท่สี ุด 2. งา่ ยต่อการใช้งาน 4.67 0.48 มากที่สดุ 3. การแสดงผลรวดเรว็ 4.67 0.48 มากที่สดุ
33 4. ขนาดของควิ อารโ์ ค้ด 4.73 0.45 มากทีส่ ุด 5. ความละเอียดของสัญลกั ษณ์ 4.52 0.62 มากทส่ี ดุ 4.63 0.52 มากท่สี ดุ คา่ เฉล่ีย ด้านภาพรวมการใช้ 4.67 0.48 มากที่สุด 6. ประหยดั เวลา 4.52 0.62 มากทีส่ ดุ 7. ประหยัดทรพั ยากร 4.67 0.48 มากที่สุด 8. ลดข้ันตอนการเช็คชอื่ 4.73 0.45 มากทสี่ ดุ 9. เข้าเรียนตรงเวลามากขึน้ 4.52 0.68 มากที่สุด 10. สะดวกตอ่ การใชง้ าน 4.63 0.52 มากท่สี ุด 4.63 0.52 มากที่สดุ ค่าเฉล่ยี คา่ เฉลีย่ รวม จากตารางท่ี 2 แสดงผลการวเิ คราะห์ความพึงพอใจของผเู้ รยี นทม่ี ตี ่อระบบเชค็ ชอื่ QR Code สำหรบั นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบ้านยางหวาย จงั หวดั ชัยภมู ิ โดยภาพรวมอยู่ในระดับท่ี พงึ พอใจมากที่สดุ (���⃐⃑���⃑ = 4.63 S.D. = 0.52) โดยความพงึ พอใจมากที่สุด คือ ด้านการออกแบบคิวอาร์ โค้ด (⃐���⃑���⃑ = 4.63 S.D. = 0.52) และด้านภาพรวมการใช้ (���⃐⃑���⃑ = 4.63 S.D. = 0.52) แบ่งเป็นรายด้านได้ ดังน้ี ด้านการออกแบบคิวอารโ์ ค้ด ระดับความพึงพอใจมากทีส่ ุด ได้แก่ เข้าถึงสะดวกรวดเร็วไม่ ซับซอ้ น(⃐���⃑���⃑ = 4.73 S.D. = 0.45) งา่ ยตอ่ การใชง้ าน (⃐���⃑���⃑ =4.67 S.D. = 0.48) การแสดงผลรวดเร็ว (⃐���⃑���⃑ = 4.67 S.D. = 0.48 ) ขนาดของควิ อาร์โคด้ (⃐���⃑���⃑ = 4.73 S.D. = 0.45) ความละเอียดของสัญลักษณ์ (⃐���⃑���⃑ = 4.52 S.D. = 0.62) ด้านภาพรวมการใช้ ระดับความพึงพอใจมากที่สุด ได้แก่ ประหยัดเวลา (⃐���⃑���⃑ = 4.67 S.D. = 0.48) ประหยัดทรัพยากร (���⃐⃑���⃑ = 4.52 S.D. = 0.62) ลดขั้นตอนการเช็คชื่อ (⃐���⃑���⃑ = 4.67 S.D. = 0.48 เขา้ เรยี นตรงเวลามากขนึ้ (⃐���⃑���⃑ = 4.73 0.45) สะดวกต่อการใชง้ าน (⃐���⃑���⃑ = 4.52 0.68
34
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: