เมืองโบราณยะรงั ประวตั คิ วามเปน็ มา ภาพสืบค้นจาก : https://narater2010.blogspot.com/2016/05/blog-post_2.html จงั หวดั ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตลู เป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยท่ีมีอาณา เขตตดิ ต่อกับรฐั ทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย โดยมีเขาสันกาลาครี ีเปน็ ทวิ เขากั้นพรมแดนระหวา่ ง ๒ ประเทศ ด้วยสภาพภูมปิ ระเทศของภาคใต้ตอนล่างที่มีพ้นื ทีอ่ ุดมสมบูรณ์ และต้งั อยู่ในบรเิ วณที่อยู่ในกระแส วัฒนธรรมการอพยพเคล่ือนย้ายของกลุม่ ชนกลุ่มต่าง ๆ จงึ พบร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีและ ประวัตศิ าสตรอ์ ยจู่ ำนวนมาก ต้ังแต่อดีตท่ผี า่ นมาจนถงึ ปจั จบุ ันคาบสมทุ รมลายู ซ่งึ รวมถงึ ภาคใตต้ อนลา่ งของ ประเทศไทยจึงเปน็ จดุ สนใจ สำหรับการศกึ ษาพฒั นาการทางวฒั นธรรมทสี่ ำคญั แห่งหนง่ึ ของเอเชยี ตะวันออก เฉียงใต้ โดยมีการศกึ ษาวจิ ยั ทางโบราณคดมี าเปน็ เวลานานตง้ั แตร่ าวกลางพุทธศตวรรษท่ี ๒๕ ในระยะแรกเร่ิม ของงานโบราณคดีในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มักจะมงุ่ เนน้ ศึกษาเกี่ยวกบั ชมุ ชนโบราณหรือเมืองโบราณ ทีป่ รากฏอยใู่ นเอกสารโบราณตา่ ง ๆ เช่น เมอื งโบราณสทิงพระ จงั หวัดสงขลา หรือเมอื งโบราณยะรงั จงั หวัด ปตั ตานี การศึกษาเกีย่ วกบั เมืองโบราณยะรังของนักโบราณคดี เชน่ รองศาสตราจารยช์ ูสริ ิ จามรมาน อาจารย์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร รว่ มกับนักโบราณคดี ได้ดำเนินการขดุ คน้ แหลง่ โบราณคดี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๕๓๑- ๒๕๓๗ กองโบราณคดี กรมศิลปากร ได้ดำเนนิ งานโครงการขุดแต่งและบรู ณะโบราณสถานเมอื งยะรัง จังหวดั ปตั ตานี และมีการดำเนนิ งานโบราณคดีสืบตอ่ มาจนถึงปัจจบุ นั เมืองปตั ตานโี บราณสมัยอยุธยา ตงั้ อยู่ในเขต จงั หวัดปัตตานีปรากฏข้อมูลอยใู่ นเอกสารโบราณต่าง ๆ วา่ เป็นเมอื งทา่ คา้ ขายที่สำคัญแห่งหน่ึงในสมยั อยธุ ยา ท่ี มพี ่อคา้ ชาวต่างชาติทั้งชาตติ ะวันตกและตะวันออก เช่น โปรตุเกส ฮอลนั ดา องั กฤษ จนี ญปี่ ุน่ ได้เข้ามาเปิด
สถานกี ารคา้ จากข้อมลู เอกสารโบราณแสดงให้เห็นว่าเมืองปัตตานโี บราณสมัยอยุธยาเป็นเมืองที่มีความสำคัญ และยงิ่ ใหญ่มากแหง่ หนง่ึ ซ่ึงในปัจจบุ นั ยงั หลงเหลอื ร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีทีย่ นื ยันถึงความเปน็ เมอื งท่า ที่สำคญั ไดร้ ะดับหนงึ่ เชน่ โบราณสถานมัสยดิ กรอื เซะ สุสานรายาปตั ตานี แหลง่ เตาเผาโบราณบา้ นดี และ โบราณวตั ถทุ ี่พบกระจดั กระจายอยโู่ ดยทั่วไปในพื้นที่ต้ังเมือง เชน่ เศษภาชนะดนิ เผา เงนิ ตราโบราณตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ อย่างไรก็ตามร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีทีห่ ลงเหลอื อยู่ส่วนใหญย่ งั มิไดม้ ีการสำรวจและศึกษาทาง โบราณคดีอย่างเป็นระบบมรี ่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีเพียงบางแหลง่ ทีศ่ ึกษาและสำรวจอยา่ งเปน็ ระบบ เชน่ การสำรวจธรณฟี ิสกิ ส์บรเิ วณที่หล่อปืนใหญน่ างพญาตานี โดยสำนกั งานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาตทิ ่ี ๑๐ สงขลา รว่ มกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ สำรวจในปี พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๖ ซ่ึงเปน็ เพยี งการศึกษาในบางส่วนของพื้นทเ่ี มืองโบราณปตั ตานี แตก่ ารศกึ ษาทางโบราณคดใี นภาพรวมของ เมอื งโบราณปัตตานี เช่น การศกึ ษาขอบเขตของเมอื ง/วงั แหลง่ ทอี่ ยู่อาศยั ระบบอุตสาหกรรมและการคา้ ขาย ฯลฯ ยังมไิ ดม้ ีการศึกษาตรวจสอบทางโบราณคดีแต่อย่างใด ทำใหใ้ นปัจจบุ นั ความรเู้ ก่ยี วกับเมืองโบราณ ปัตตานสี มัยอยุธยาท่ีมอี ยู่ส่วนใหญเ่ ปน็ ความรทู้ ่ีได้มาจากเอกสารทางประวตั ศิ าสตรต์ า่ ง ๆ เชน่ หนังสือกรยี าอนั มลายปู ัตตานี สยาเราะหป์ ตั ตานี เขียนโดย อิบบราฮิม ชุกกรีในปี ค.ศ. ๑๙๕๘ หรอื พ.ศ. ๒๕๐๑ หนงั สือประชมุ พงศาวดารภาค ๓ พงศาวดารเมอื งตานี ซงึ่ พระยาวเิ ชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) เป็นผูเ้ รียบเรยี งในรชั สมัย พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว หนังสอื Hikayat Patani (the Story of Patani) ของ A. Teeuw & D.K. Wyatt และเอกสารบันทึกการเดนิ ทางของชาวตา่ งชาติ เป็นต้น หลกั ฐานทางเอกสารต่าง ๆ ส่วนใหญ่ เปน็ หลักฐานท่เี ป็นลายลกั ษณ์อักษร ซึ่งจดั อยใู่ นเอกสารประเภทชั้นรอง ทีผ่ ้ศู ึกษาเก่ียวกับเมอื งปตั ตานีโบราณ ได้นำมาใชป้ ระกอบการศึกษามาโดยตลอด แต่ปจั จุบนั ข้อมลู ท่ีเป็นหลกั ฐานทางโบราณคดีท่ีนบั เปน็ หลักฐาน ชนั้ ต้นนน้ั ยังไมไ่ ด้ถูกนำมาใช้ในการศึกษาค้นคว้ามากนัก ซ่ึงหากมีการศึกษาทางโบราณคดีอย่างเป็นระบบแล้ว ข้อมูลจากงานโบราณคดจี ะเป็นขอ้ มูลสำคัญทีช่ ว่ ยเพ่มิ เตมิ องค์ความร้เู กยี่ วกบั เมืองโบราณปัตตานีสมยั อยธุ ยา ไดด้ ยี ่งิ ขึน้ ดา้ นสภาพทั่วไปของชมุ ชนโบราณเมืองยะรังนนั้ อยู่บนพื้นทร่ี าบซ่งึ เกดิ จากการทับถมของตะกอน แมน่ ำ้ ปัตตานีสายเดิม เมอื งโบราณยะรัง เป็นเมอื งโบราณซ้อนทับกันสามเมือง ต้งั แต่บ้านวัดทีเ่ กา่ แกท่ ่ีสดุ บา้ นจาเละ และบ้าน ประแว ในนีม้ โี บราณสถานกว่า ๔๐ แหง่ ชุมชนโบราณยะรงั เปน็ ชุมชนรฐั โบราณทส่ี ำคัญแห่งหนึง่ ของภาคใต้ มี อาณาบริเวณตดิ กับ ๓ ตำบล คอื ยะรงั วดั และปิตูมดุ ี นกั โบราณคดีสำรวจขดุ ค้นแหลง่ โบราณคดใี นเขตตำบล กระโด เขตตำบลวดั ตำบลแว้ง และตำบลปิตูมุดี พบว่าปรากฏซากโบราณสถานจำนวนมาก น่าจะเปน็ พืน้ ท่ีศา สนสถานมากกวา่ ท่อี ยู่อาศยั ของประชาชน อาจเป็นไปได้ว่าท่อี ยูอ่ าศยั ของชมุ ชนต้งั อยู่บรเิ วณแหล่งโบราณคดี บ้านบราโอ และบา้ นกรือเซะ จากการศึกษาภาพถ่ายทางอากาศของอาจารยท์ ิวา ศภุ จรรยาและนายกฤษณพล วชิ พนั ธ์ุ เชอื่ วา่ แหลง่ โบราณคดีท้งั สองเป็นบรเิ วณที่เคยตัง้ อยู่ใกลท้ ะเลเดิม (ชะวากทะเลยะรงั ) มีร่องรอยคลอง ขดุ ของกิจกรรมมนุษย์ปรากฏอยู่ ชมุ ชนโบราณยะรงั มีความเจริญทางวฒั นธรรมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยอมรับ นับถือศาสนาพุทธซง่ึ ได้รบั อทิ ธพิ ลจากอินเดีย นอกจากการมีความสัมพนั ธ์กับภายนอกแลว้ ยงั รบั วัฒนธรรม ใกล้เคยี งทีน่ บั ถือศาสนาเดยี วกัน เชน่ ดนิ แดนภาคกลางของสยาม และคาบสมุทรอินโดจนี ดำรงสบื เรื่อยมา จนถงึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๕ ก่อนท่อี าณาจักรศรีวิชัยจะมีอำนาจรุง่ เรืองครอบคลมุ คาบสมทุ รมลายู นบั เป็น ช่วงแรกในสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ของดนิ แดนในพ้ืนท่ีปัตตานปี ัจจุบนั อย่างไรกต็ ามผซู้ ง่ึ เปน็ เจ้าของ วฒั นธรรมท่พี บในเมืองโบราณยะรงั นั้น นา่ จะยงั คงอาศยั สืบเรื่อยมาจนเม่ือเมืองหมดความสำคัญลง จากการ สำรวจทางโบราณคดกี บั ภาพถ่ายทางอากาศพบวา่ พ้นื ที่ของชุมชนโบราณยะรงั ประกอบด้วยสิ่งก่อสรา้ งเมือง โบราณหรอื ชมุ ชน คนู ำ้ คนั ดนิ โบราณสถานท่เี ปน็ สถปู และศาสนสถานสระน้ำโบราณและอนื่ ๆ ครอบคลุม
พนื้ ท่ีประมาณ ๖๐๐ กว่าไร่ แต่ส่วนทีก่ รมศลิ ปากร กระทรวงวฒั นธรรม ไดข้ ึ้นทะเบยี นโบราณสถานไว้ แบง่ ได้ เป็น ๓ กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ ๑. กล่มุ เมืองโบราณบ้านวัด หมู่ท่ี ๑ หมู่ที่ ๒ ตำบลบ้านวัด และหมู่ที่ ๕ ตำบลปิตุมุดี กลุ่มโบราณสถาน บา้ นวดั เป็นเมืองโบราณรูปสเี่ หลยี่ มผ้นื ผา้ มศี ูนยก์ ลางเป็นลานจัตุรสั กลางเมือง ลอ้ มรอบด้วยคูนำ้ และมีซาก เนนิ ดินโบราณสถานกระจายอยู่โดยรอบ ภายในบรเิ วณเมืองโบราณประกอบไปดว้ ย เนินสง่ิ กอ่ สร้างอิฐจำนวน ๔ แหง่ สระน้ำโบราณ ๓ แห่ง ทางดา้ นตะวันตกของเมอื ง กลุ่มเนนิ ส่งิ ก่อสรา้ งอิฐจำนวน ๑๓ แห่ง และสระน้ำ โบราณขนาดใหญ่ ๒ แหง่ นอกจากนพ้ี บเนินสิง่ ก่อสรา้ งอิฐกระจายตวั บรเิ วณทางเหนอื ตะวนั ตก และทางใต้ ของเมืองอกี จำนวน ๑๑ เมือง ๒. กลมุ่ เมอื งโบราณบา้ นจาเละ หมู่ ๓ หมู่ท่ี ๔ ตำบลยะรัง กล่มุ โบราณสถานบ้านจาเละ ประกอบด้วย คู นำ้ รูปวงรีลอ้ มรอบด้วยพทุ ธสถานอฐิ ๕ แห่ง เนินสง่ิ ก่อสรา้ งอฐิ กระจายอยู่ทางดา้ นตะวันตก ด้าน ตะวนั ออกเฉยี งเหนือและด้านตะวนั ตกเฉียงใตข้ องรูปวงรี จำนวน ๖ แหลง่ สระน้ำโบราณเป็นสระสีเ่ หลี่ยม ขนาดใหญ่กวา่ ๒๕ แหง่ กลุ่มโบราณสถานบา้ นจาเละ ประกอบดว้ ย คูน้ำรอบพทุ ธสถานอฐิ ๕ แห่ง คูนำ้ ด้าน ตะวนั ตกเฉียงใต้ ๖ แหง่ สระน้ำโบราณ ๑ แห่ง ส่ิงก่อสร้างรูปรา่ งคล้ายป้อม ๒ แห่ง ความสำคัญของ โบราณสถานคือพทุ ธสถานอฐิ จากการขุดแตง่ พบหลกั ฐาน เป็นสถูปในพุทธศาสนาฝา่ ยมหายาน สร้างขึ้นราว พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ นับเปน็ สถปู ในพุทธศาสนาดังกล่าวเกา่ แกท่ ี่สุดพบในประเทศไทย ๓. กลมุ่ เมืองโบราณบ้านปราแว เมืองโบราณบา้ นประแว (เมอื งพระวัง) เป็น ๑ ใน ๓ เมอื งของเมือง โบราณยะรัง อย่ทู างด้านเหนือสุดของเมืองโบราณหา่ งจากเมอื งโบราณบา้ นจาเละ ๓๐๐ เมตร ผงั เมืองโบราณ บ้านประแวเปน็ รปู ส่เี หลี่ยมขนมเปียกปนู ขนาด ๔๗๐x๕๑๐ เมตร มคี นู ้ำ (คูขดุ ลกึ และแคบ) กำแพงดินและ ป้อมท่ังสม่ี ุม ทางด้านทศิ ตะวันตกมีคลองสง่ น้ำขนาดเล็กต่อเชอ่ื มกบั ทางน้ำธรรมชาตทิ ่ไี หลมาจากบ้านวัดด้าน ทิศใตม้ ีคลองส่งนำ้ ทีข่ ุดจากบริเวณปอ้ มไปเช่ือมกับคูเมืองบริเวณมมุ เมืองทางดา้ นทิศเหนือของเมืองยะรงั ภายในตัวเมืองทางดา้ นทิศใต้พบแนวดนิ รูปตัวแอล (L) ความยาว ๑๒๐ และ ๑๓๐ เมตร สันนิษฐานวา่ เปน็ คนั กั้นน้ำ และจากการสำรวจพบกลมุ่ โบราณสถานทีส่ ำคัญภายในเมอื งคอื ซากสิง่ ก่อสร้างอฐิ ๒ แหง่ และบอ่ นำ้ เกา่ ๕ แห่ง หลักฐานทีไ่ ดจ้ ากการขุดค้นน้ีพบว่าเมืองโบราณบ้านประแว สรา้ งขน้ึ รว่ มสมัยกับกรงุ ศรีอยธุ ยาตอนตน้ (ปลายพุทธศตวรรษท่ี ๑๙) แตจ่ ากหลกั ฐานจากการสำรวจ พบโบราณวัตถทุ รี่ ว่ มสมยั กับแหลง่ โบราณคดีบา้ น จาเละและบ้านวดั เชน่ ศวิ ลึงค์ ชน้ิ สว่ นกฑุ ุ ช้นิ สว่ นสถปู เปน็ ต้น ทำใหน้ ักวิชาการสนั นิษฐานวา่ อาจมีการใช้ พ้นื ทบ่ี ริเวณน้ีมีต้ังแตช่ ว่ งพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นตน้ มาร่วมกับเมืองโบราณบ้านจาเละ และบ้านวดั จากนั้นไดม้ ี การสร้างเมืองขึน้ อกี คร้ังในราวปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ คือเมืองประแวทมี่ ีผงั ขนาด ๔๗๐x๕๑๐ เมตร มคี นู ้ำ กำแพงดินและป้อมส่เี มอื งทเ่ี ห็นในปัจจบุ ันโดยสันนิษฐานวา่ อาจมีความเกี่ยวพนั กับการสรา้ งเมอื งบริเวณกับ บ้านกรอื เซะ และกลายมาเปน็ เมอื งปัตตานใี นสมยั ต่อมา เมืองประแวเป็นตัวอย่างของรูปแบบเมอื งคูนำ้ คันดนิ ทีห่ ายากในภาคใตต้ อนล่าง และเปน็ ประจักษ์พยานถึงภมู ิปญั ญาของบรรพชนพืน้ ถน่ิ ในการออกแบบและสรา้ ง เมอื งใหส้ อดคล้องกับสภาพส่ิงแวดล้อมโบราณวตั ถุทไ่ี ดจ้ ากการสำรวจหลายช้นิ เช่น ศิวลงึ ค์ ในพืน้ ท่เี มือง โบราณประแว แสดงใหเ้ หน็ ว่ากอ่ นการก่อสร้างบริเวณพืน้ ทีน่ บ้ี างสว่ นอาจมีชมุ ชนอยอู่ าศยั มาแตเ่ ดิม และอาจ รว่ มสมยั กับโบราณสถานในเขตบ้านจาเละซึง่ อยู่ทางตอนใต้ของเมือง เมอื งโบราณท่ีมีคูนำ้ กำแพงดินและป้อมสี่ มุมเมือง เรยี กวา่ “เมอื งประแว” (เมอื งพระวัง) จากการขุดคน้ พบหลักฐานว่าเมืองประแวสรา้ งขนึ้ ในสมยั ตน้ กรุงศรีอยุธยา(ปลายพุทธศตวรรษท๑ี่ ๙)การสรา้ งเมอื งแห่งนี้ เก่ียวพันกับการสร้างเมืองปตั ตานที ี่บ้านกรือเซะ
โบราณวตั ถุทีไ่ ด้จากการสำรวจ เช่น ศิวลึงค์ แสดงใหเ้ ห็นวา่ ก่อนการสรา้ งเมืองในบรเิ วณพืน้ ท่ีนี้บางส่วน อาจมี ชุมชนอยอู่ าศัยมาแตเ่ ดมิ และอาจรว่ มสมัยกบั โบราณสถานในเขตบา้ นจาเละซงึ่ อยู่ทางตอนใต้ของเมืองประแว เมอื งโบราณยะรงั เมืองพทุ ธศาสนถานมหายานเปน็ เมอื งที่มคี วามเจริญ ในช่วงปี พ.ศ. ๗๐๐-๑๔๐๐ ทิศ เหนอื ติดต่อเมืองสงขลาและพัทลุง ทิศใตแ้ ผ่ไปจนสุดแหลมมลายู ทศิ ตะวันตกและทิศตะวนั ออกจรดชายฝัง่ ทะเลท้ังสองฝ่งั มีซากโบราณสถานและโบราณวตั ถสุ มยั ศรีวิชัยและทาราวดี เมอื งโบราณยะรงั เปน็ ชมุ ชนท่ีมี ความสำคัญทางดา้ นประวัตศิ าสตรแ์ ละโบราณคดเี ป็นอยา่ งมาก อาจมีความสัมพันธก์ บั อาณาจกั ร \"ลงั กาสกุ ะ\" ซง่ึ เปน็ อาณาจกั รทีเ่ กา่ แกท่ สี่ ุดอาณาจักรหนง่ึ บนคาบสมทุ รมลายู มหี ลกั ฐานอยู่ในเอกสารจีน อาหรับ ชวา และ มลายู ในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓
ภาพสบื คน้ จาก : http://oknation.nationtv.tv/blog/ancient-city-yarang/2015/12/02/entry-1 ความสำคัญ เมอื งโบราณยะรงั เมืองพุทธศาสนถานมหายานเปน็ เมอื งท่ีมคี วามเจริญ ในช่วงปี พ.ศ. ๗๐๐-๑๔๐๐ ทศิ เหนอื ติดต่อเมืองสงขลาและพัทลุง ทศิ ใตแ้ ผ่ไปจนสุดแหลมมลายู ทิศตะวนั ตกและทศิ ตะวันออกจรดชายฝงั่ ทะเลทง้ั สองฝ่ัง มซี ากโบราณสถานและโบราณวตั ถุสมยั ศรวี ชิ ยั และทาราวดีเมอื งโบราณยะรังเป็นชุมชนท่ีมี ความสำคญั ทางด้านประวัตศิ าสตร์และโบราณคดเี ปน็ อย่างมาก อาจมีความสมั พันธก์ บั อาณาจักร \"ลังกาสกุ ะ\" ซึ่งเป็นอาณาจักรทีเ่ กา่ แก่ทีส่ ดุ อาณาจักรหนึง่ บนคาบสมุทรมลายู มีหลกั ฐานอยู่ในเอกสารจีน อาหรับ ชวา และ มลายู ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ หลกั ฐานที่พบจากการขุดแตง่ พบโบราณวัตถุหลายประเภท ไดแ้ ก่ ๑. สถปู จำลองดนิ ดบิ ประกอบด้วยประติมากรรมนนู ตำ่ รปู ท้าวกูเวระ พระพุทธเจ้า ประทับนง่ั ขนาบ ด้วยสถูปจำลองท้ังสองขา้ ง ๒. พระพมิ พ์ดนิ เผาและพระพิมพด์ ินดบิ รปู แบบต่าง ๆ ประกอบดว้ ย ๒.๑ พระพมิ พ์ดินดิบ รูปสถปู เดี่ยว ศลิ ปะแบบสัญจี (โอควำ่ ) ด้านล่างมจี ารึกคาถาเยธัมม ๒.๒ พระพิมพ์ดินดิบรูปสถปู จำลอง ฐานสงู ๓ องคเ์ รียงกนั ด้านลา่ งมีจารึกคาถาเยธมั มา ๒.๓ พระพิมพ์ดินดิบ รปู พระพทุ ธเจา้ ประทบั ยนื ในท่าตกิ ังก์และทางวติ รรกะมุตรา ๒.๔ เศษภาชนะดนิ เผา เคร่อื งถ้วยเปอรเ์ ซียเคลอื บสีฟา้ อมเขียว
๒.๕ เศษภาชนะดินเผา เคร่อื งถว้ ยเซลาคอน สเี ขียวมะกอก โบราณวัตถุเหล่านี้เปรียบเทียบรูปแบบ ทางศิลปะรว่ มสมัยศลิ ปทวาราวดี ทางภาคกลางของประเทศไทย ซ่งึ กำหนดอายุในชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๙-๑๑ เมืองโบราณยะรงั เปน็ ชมุ ชนสมัยแรกเร่มิ ประวัตศิ าสตรท์ ่ใี หญท่ ี่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยและ เช่อื วา่ เป็นทตี่ ้ังอาณาจักรโบราณทมี่ ชี อ่ื ว่า “ลงั กาสุกะ” ตามที่มีหลกั ฐานปรากฎในเอกสารของจนี ชวา มลายู และอาหรับลักษณะของเมอื งโบราณยะรงั สันนษิ ฐานว่ามผี ังเมืองเป็นรูปวงรีขนาดใหญ่ในพ้ืนทปี่ ระมาณ ๙ ตารางกโิ ลเมตร เปน็ เมืองทีม่ กี ารสรา้ งทบั ซ้อนกนั ถึง ๓ เมอื ง ขยายตวั เชอ่ื มตอ่ กันสนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะมี ศูนย์กลางอยู่ในบรเิ วณจังหวดั ปตั ตานใี นปัจจุบัน และอาจมีอทิ ธิพลคลุมไปถึงรัฐไทรบรุ ีของสหพนั ธรัฐมาเลเซีย ด้วย อีกทงั้ จะต้องเปน็ เมืองท่าทสี่ ำคัญตั้งอยูใ่ กล้ทะเลและเป็นดนิ แดนทีม่ คี วามมน่ั คงมีบทบาททางการเมอื ง ทางเศรษฐกิจ เก่ียวข้องกับดินแดนใกล้เคียงอยูเ่ สมอและได้ทำการติดต่อคา้ ขายกับชาวต่างประเทศอย่าง กว้างขวางมาต้ังแต่พุทธศตวรรษท่ี ๑๒ ปจั จุบันกลุ่มเมืองโบราณยะรัง หรอื ชมุ ชนโบราณยะรังเปดิ เปน็ แหลง่ ท่องเท่ียวใหป้ ระชาชนเข้าเย่ียมชมได้
นรู มี ะห์ มายอ, ใสบะ๊ สุหลง และอับดุลรอนี สเิ ดะ. (2558). เมืองโบราณยะรงั . สบื ค้นวนั ท่ี 23 มี.ค. 61, จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/ancient-city- yarang/2015/12/02/entry-1 พรทพิ ย์ พนั ธโุ กวทิ , ศิรพิ ร สังข์หริ ญั และธนิสรา พมุ่ ผะกา. (2555). ทำเนยี บนามแหลง่ มรดกทาง ศลิ ปวฒั นธรรมในเขตพ้นื ที่ 5 จงั หวัดชายแดนภาคใต้ (โบราณสถานในจงั หวัด สงขลา ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส สตลู ). พมิ พค์ รง้ั แรก. กรุงเทพฯ : บางกอกอินเฮ้าส. เมอื งโบราณยะรงั . 2560). สบื ค้น 23 มี.ค. 61, จาก culture.yru.ac.th/index.php/เมืองโบราณยะรงั . เมอื งโบราณยะรัง ปัตตานี. (2559). สบื ค้น 23 ม.ี ค. 61, จาก https://narater2010.blogspot.com/2016/05/blog-post_2.html เมอื งโบราณยะรังพทุ ธศาสถานมหายาน. (2556). สบื ค้น 23 ม.ี ค. 61, จาก http://www.siamrath.co.th/web/?q=เมืองโบราณยะรังพุทธศาสถานมหายาน ศริ พิ ร ล่ิมวิจติ รวงศ.์ (2560). งานโบราณคดี ในพื้นท่ี ๕ จงั หวัดชายแดนภาคใต้ อดีต-ปจั จุบัน. สืบคน้ 23 ม.ี ค. 61, จาก https://www.silpa-mag.com/club/art-and- culture/article_7991 ขอ้ มลู เพมิ่ เติม ขอ้ มูลเพ่ือการเดินทางไปสแู่ หล่งเมืองโบราณยะรงั การเดินทางไปสู่แหล่งเมืองโบราณสามารถใช้เส้นทางสิโรรส (ทางหลวงหมายเลข ๔๑๐) จงั หวดั ปตั ตานี ลงไปทางจงั หวัดยะลาประมาณ ๑๕ กโิ ลเมตร จะมที างแยกซ้ายมือสายยะรงั -มายอ (ทางหลวงหมายเลข ๔๐๖๑) ประมาณ ๑.๒ กโิ ลเมตร เขา้ สู่เขตเมืองโบราณและเล้ียวซ้ายขนึ้ ไปทางทิศเหนือประมาณ ๔๐๐ เมตร ถึงเขตโบราณสถานบ้านจาเละ นักท่องเที่ยวที่สนใจเขา้ ชมเปน็ หมคู่ ณะสามารถติดต่อไดท้ ี่หัวหน้า โครงการขุดแตง่ และบูรณะโบราณสถานเมืองยะรัง จงั หวดั ปตั ตานี ในวนั และเวลาราชการ
รปู ภาพ
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: