กศน.ตำบลเขาตูม กศน.อำเภอยะรัง สำนกั งาน กศน.จังหวัดปัตตานี ประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย การแบ่งยุคสมยั 30พ.ย. สมยั ประวตั ิศาสตร์ การแบ่งยคุ สมยั ประวัติศาสตร์ของไทย คอื การกำหนดช่วงเวลาเพ่ือให้เขา้ ใจเร่ืองราวหรอื เหตกุ ารณท์ าง ประวัติศาสตร์ในดนิ แดนไทย โดยทว่ั ไปการกำหนดชว่ งเวลาทเ่ี ร่ิมตน้ และสิ้นสุดของช่วงสมัยใดสมยั หน่งึ มักจะ อา้ งองิ เหตกุ ารณท์ ี่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรอื เป็นจุดเปล่ยี นทางประวตั ศิ าสตร์ เช่น การขึน้ ครองราชยข์ อง กษัตรยิ ์องคใ์ ดองค์หนึง่ จนถึงปีที่พระองค์สวรรคตหรือส้ินอำนาจหรือแบง่ ตามศนู ย์กลางอำนาจการปกครอง เป็น ตน้ สมัยประวตั ศิ าสตร์ไทยแบ่งเป็นสมัยย่อยๆไดห้ ลายแบบ เชน่ แบ่งตามราชธานี แบง่ ตามราชวงศ์ แบ่งตามพระนามพระมหากษัตริย์ แบ่งตามพัฒนาการและความเปล่ียนแปลงของบ้านเมือง แบ่งตามลักษณะการปกครอง แบ่งตามรัฐบาล
แบง่ ตามแนวประวัติศาสตร์สากล 1. แบ่งตามราชธานีการแบง่ แบบนีน้ ำชือ่ ราชธานขี องไทย ได้แก่ กรงุ สโุ ขทัย กรุงศรีอยุธยา กรงุ ธนบรุ ีและกรุง รัตนโกสินทรม์ าเปน็ ชือ่ ยุคสมัย เริม่ ต้ังแตเ่ วลาของรฐั ทม่ี มี าก่อน สุโขทยั ใหเ้ ป็นสมัยก่อนสุโขทัยดงั น้ี – สมยั กอ่ นสุโขทยั ( ราวพุทธศตวรรษท่ี 12 – พุทธศตวรรษท่ี 17 ) – สมยั สุโขทัย พ.ศ.1792 – พ.ศ.2006 – สมัยอยุธยา พ.ศ.1893 – 2310 – สมยั ธนบรุ ี พ.ศ.2310 – 2325 – สมยั รตั นโกสนิ ทร์ พ.ศ.2325 ถงึ ปจั จบุ นั 2. การแบ่งตามราชวงศ์การแบ่งตามราชวงศท์ ่ีขึน้ มามีอำนาจการปกครองในช่วงเวลาหนึง่ เช่น สมยั อยุธยา แบง่ ยคุ สมยั ตามราชวงศ์ได้ดังนี้ – สมยั ราชวงศ์อทู่ อง พ.ศ.1893-1913 และ พ.ศ.1931-1952 – สมยั ราชวงศส์ พุ รรณภมู ิ พ.ศ.1913-1931 และ พ.ศ.1952-2112 – สมัยราชวงศส์ โุ ขทัย พ.ศ.2112-2172 – สมัยราชวงศป์ ราสาททอง พ.ศ.2172-2231 – สมยั ราชวงศ์บา้ นพลหู ลวง พ.ศ.2231-2310 3. แบ่งตามพระนามพระมหากษตั รยิ ์โดยใช้เกณฑ์การขนึ้ ครองราชย์องคห์ น่ึงไปจนถงึ การสิ้นพระชนม์ เชน่ -สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พ.ศ. 1822 ถงึ พ.ศ.1841 -สมยั พระนารายณ์มหาราช พ.ศ.2199 ถึง พ.ศ.2231 4. แบง่ ตามพฒั นาการและความเปลี่ยนแปลงของบา้ นเมืองการแบง่ ตามพฒั นาการและความเปล่ียนแปลงของ บา้ นเมือง เช่น สมยั อยุธยาอาจแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ตอน คือ – สมัยอยธุ ยาตอนตน้ พ.ศ.1893-1991 – สมยั อยุธยาตอนกลาง พ.ศ.1991-2231 – สมยั อยุธยาตอนปลาย พ.ศ.2231-2310 5. แบง่ ตามลักษณะการปกครองเชน่ สมัยรตั นโกสินทรอ์ าจแบง่ ย่อยเปน็ 2 ยุค คอื – สมัยรัตนโกสนิ ทร์ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พ.ศ.2325 ถึง พ.ศ.2475 – สมัยรตั นโกสินทรย์ คุ ประชาธิปไตย พ.ศ.2475 ถึงปจั จุบัน
6. แบ่งตามรฐั บาลหลังการเปล่ียนแปลงการปกครอง พระมหากษตั รยิ ์ทรงใชอ้ ำนาจบริหารทางคณะรฐั มนตรี ซง่ึ มนี ายกรัฐมนตรเี ป็นหวั หน้า จึงมกี ารแบ่งยุคสมัยตามคณะรัฐมนตรหี รือรัฐบาลที่เข้ามาบรหิ ารประเทศในช่วงเวลา ต่างๆกัน เช่น – สมยั รฐั บาลนาย ชวน หลีกภัย พ.ศ.2535-2538 – สมยั รฐั บาลนายบรรหาร ศลิ ปอาชา พ.ศ.2538-2539 – สมยั รัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พ.ศ. 2539-2540 – สมยั รัฐบาลนายชวน หลกี ภัย พ.ศ.2540-2544 – สมยั รฐั บาลพันตำรวจโททักษณิ ชนิ วัตร พ.ศ. 2544-2549 – สมยั รัฐบาลพลเอกสรุ ยทุ ธ จลุ านนท์ พ.ศ.2549 – ปจั จุบัน 7. แบง่ ตามแนวประวตั ิศาสตร์สากลชว่ งเวลาสมัยประวตั ิศาสตรต์ ามหลกั ประวตั ิศาสตร์สากล นิยมแบ่งเปน็ 4 สมยั คือ สมยั โบราณ สมยั กลาง สมยั ใหมแ่ ละสมยั ปจั จุบัน สมัยประวตั ศิ าสตร์ไทยแบง่ ตามแนวประวตั ศิ าสตร์ สากลได้ ดังนี้ – สมยั โบราณ ตั้งแตก่ ่อนสมัยสุโขทยั จนถงึ สนิ้ รชั กาลท่ี 3 สมยั รัตนโกสนิ ทร์ – สมัยใหม่ ตงั้ แต่รชั กาลท่ี 4 ถึง พ.ศ.2475 เป็นสมัยปรบั ปรุงประเทศ – สมัยปจั จุบนั ตงั้ แตเ่ ปล่ยี นแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ถงึ ปัจจุบัน โฆษณา REPORT THIS AD
สมัยลพบุรี ในช่วงเวลาราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔ อิทธพิ ลทางวฒั นธรรมเขมรเรม่ิ แพรห่ ลายเขา้ มาส่พู ื้นที่ประเทศไทย ทางด้านภาคตะวนั ออกและภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือของประเทศไทย หลกั ฐ่านสำคัญท่ีทำให้เราเช่ือได้วา่ อำนาจ ทางการเมืองของเขมรเข้ามาสดู่ นิ แดนไทย คือ ศาสนสถานท้งั ทีส่ ร้างเนื่องในศาสนาพราหมณห์ รอื ฮนิ ดู และศาสนา พุทธลทั ธมิ หายาน รวมทง้ั ศิลาจารึกตา่ งๆ ที่มีการระบชุ ื่อกษัตรยิ เ์ ขมรวา่ เป็นผู้สร้างหรือมีสว่ นเกีย่ วข้อง วัฒนธรรม เขมรท่ีแผ่ขยายเข้ามาทำให้สงั คมเมืองในยุคกึ่งก่อนประวัตศิ าสตร์เกิดการเปลย่ี นแปลงสภาพความเป็นอยู่ เชน่ การ ก่อสรา้ งบ้านเมืองมีแผนผงั แตกตา่ งไปจากเดิม คือ มลี ักษณะผังเมืองเป็นรปู ส่ีเหลี่ยมมุมฉาก และมีคนู ำ้ คันดิน ลอ้ มรอบเพียงชัน้ เดียวแทนท่ีจะสร้างเมืองทม่ี ีรูปรา่ งไมส่ ม่ำเสมอ หรอื เมืองรูปวงกลม วงรี ซง่ึ มีคูนำ้ หลายช้นั มี ระบบการชลประทานเพื่อการบรหิ ารน้ำสำหรบั การเพาะปลูกข้าวแบบนาดำ และมี “ บาราย ” หรอื แหล่งน้ำ ขนาดใหญเ่ พื่อการอปุ โภคบรโิ ภคของชมุ ชน จนกระทั่งราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖–๑๘ อาณาจักรเขมรไดเ้ ขา้ มามี อำนาจในดินแดนไทยมากขนึ้ ปรากฏโบราณสถานทเี่ ก่ยี วเนอ่ื งกบั วฒั นธรรมเขมรโดยเฉพาะในชว่ งรชั สมัยของพระ เจ้าชัยวรมันท่ี ๗ เกือบท่วั ภาคอีสาน ลึกเข้ามาถงึ ภาคกลางและภาคตะวนั ตก โดยภาคกลางของประเทศไทยมีเมือง ละโว้หรอื ลพบรุ ีเป็นศนู ย์กลางสำคญั ทป่ี รากฏหลกั ฐานทางสถาปตั ยกรรมและศลิ ปกรรมแบบน้ีอยู่มาก ดังนั้นใน เวลาทีผ่ ่านมาจงึ กำหนดชื่อเรียกอายุสมยั ของวฒั นธรรมท่ีพบในประเทศไทยวา่ “ สมยั ลพบุรี ” หลงั จากสมัยพระ เจ้าชยั วรมนั ท่ี ๗ เป็นตน้ มา อิทธิพลทางการเมืองและวฒั นธรรมเขมรกเ็ ส่ือมโทรมลงจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ กส็ ลายลงโดยสิน้ เชงิ ทง้ั น้ีสาเหตเุ นือ่ งมาจากการแพร่หลายเข้ามาของพทุ ธศาสนาลัทธิลงั กาวงศ์ และเมืองใน ภาคเหนือตอนลา่ งของประเทศไทยแถบลุ่มแม่น้ำยมเร่ิมมคี วามเขม้ แข้งมากขนึ้ สถาปัตยกรรมแบบวฒั นธรรมเขมร ท่ีพบในประเทศไทย ทีส่ ำคญั ได้แก่ ปราสาทหนิ พมิ าย จงั หวัดนครราชสมี า ปราสาทหินพนมรุ้ง จงั หวดั บรุ ีรัมย์ ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวดั กาญจนบรุ ี เปน็ ต้น
สมัยสโุ ขทยั ดินแดนในเขตลมุ่ แม่น้ำยมมีชมุ ชนอยู่อาศยั กันอย่างหนาแน่น ยาวนานมาอย่างน้อยไม่ต่ำกวา่ พุทธ ศตวรรษท่ี ๑๗ ในศลิ าจารกึ วัดศรชี มุ มขี ้อความที่พอจะสรุปไดว้ ่าประมาณปี พ.ศ.๑๗๕๐ เมอื งสโุ ขทยั มีกษัตรยิ ์ ปกครองทรงพระนามวา่ “พ่อขนุ ศรนี าวนมั ถม” เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลงขอมสบาดโขลญลำพงได้เขา้ มายึด ครองสุโขทยั ต่อมาเมื่ออำนาจเขมรท่มี เี หนือแถบลุ่มนำ้ เจา้ พระยาทั้งตอนลา่ งและตอนบนเส่ือมลงในตอนกลางของ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง และพ่อขนุ ผาเมือง เจ้าเมืองราด พระราชโอรสของพอ่ ขนุ ศรนี าวนมั ถม ได้ร่วมกันต่อสูข้ บั ไล่โขลญลำพงจนสามารถรวบรวมดนิ แดนกลับคนื มาได้สำเร็จในปี พ.ศ.๑๗๑๘ พอ่ ขุนบางกลางหาวสถาปนาขน้ึ เป็นปฐมกษตั รยิ ์แหง่ ราชวงศศ์ รีอินทราทิตย์ ทรงพระนามว่า “พระเจ้าศรี อนิ ทรบดินทราทิตย์” ขึ้นครองเมอื งสโุ ขทยั ซ่ึงต่อมามกี ษัตริย์ปกครองสืบทอดกันมาท้งั สิ้น ๑๐ พระองค์ การนบั ถอื ศาสนาของคนในสมัยสโุ ขทยั พทุ ธศาสนาเป็นศาสนาหลักท้ังหินยานและมหายาน นอกจากน้ันยังมีศาสนาฮินดูและ ความเชื่อดง้ั เดิม โดยพุทธศาสนาแบบหินยานลทั ธิลังกาวงศ์ไดร้ บั การยอมรับมากจนเป็นศาสนาประจำอาณาจักร รองลงมาคอื การนบั ถือผี หรือ พระขะผุงผี อนั ถือว่าเปน็ ผีที่ย่ิงใหญ่มากกวา่ ผีท้ังหลายในเมอื งสุโขทยั นิกาย มหายาน และศาสนาฮนิ ดู ตามลำดบั ในรชั สมยั ของพ่อขนุ รามคำแหงอาณาเขตของอาณาจักรสโุ ขทยั ได้ขยาย ออกไปอย่างกว้างขวางมาก มีการตดิ ต่อสัมพนั ธ์ทางการทูตกับจนี สิง่ ทสี่ ำคัญอีกอยา่ งหน่ึงท่ีเปน็ การวางรากฐาน อารยธรรมไทย คอื การประดิษฐต์ ัวอักษรไทย ซึ่งได้ทรงนำแบบแผนของตัวหนงั สืออินเดียฝ่ายใต้ โดยเฉพาะ ตัวอกั ษรคฤหณ์มาเป็นหลักในการประดิษฐต์ วั อักษร โดยทรงพจิ ารณาเทยี บเคยี งกับตัวอักษรของเขมรและมอญ ศลิ ปกรรมในสมยั สโุ ขทยั ที่โดดเดน่ มากทีส่ ุดได้แก่ งานศิลปกรรมทเี่ กี่ยวเน่ืองกบั พุทธศาสนา โดยเฉพาะการสรา้ ง พระพทุ ธรปู ซึ่งมรี ูปแบบที่เปน็ ของตนเองอย่างแท้จรงิ ศลิ ปะการสร้างพระพุทธรูปของสุโขทยั รงุ่ เรืองและสวยงาม มากในรชั กาลพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไท) พระพทุ ธรปู ที่สำคญั ไดแ้ ก่ พระพุทธชินราช พระศรีศากยมุนี และ พระพุทธชนิ สหี ์ เปน็ ต้น งานสถาปัตยกรรมทเี่ ปน็ เอกลักษณ์เฉพาะตัวของสมยั สโุ ขทยั คือ เจดยี ท์ รงดอกบัวตมู ซง่ึ สามารถศึกษาไดจ้ ากโบราณสถานที่สำคญั ๆ ในเมืองสุโขทัย เมืองศรสี ัชนาลัย และเมอื งกำแพงเพชร ในราวพุทธ ศตวรรษท่ี ๒๐ อาณาจักรสุโขทัยอ่อนแอลงจากการแยง่ ชงิ การสบื ทอดอำนาจการปกครอง ทำให้กรงุ ศรอี ยธุ ยาซึ่ง เปน็ บา้ นเมืองที่เข้มแข็งขนึ้ ในเขตภาคตะวนั ออกของลุ่มแมน่ ้ำเจา้ พระยาขยายอำนาจขน้ึ มา จวบจนปี พ.ศ.๑๙๒๑ รัชกาลพระบรมราชาธิราชท่ี ๑ (ขุนหลวงพะง่ัว) แห่งกรุงศรีอยธุ ยา สุโขทัยจึงตกเป็นเมอื งประเทศราชของอยุธยา โดยมีกษตั รยิ ์ที่มีฐานะเปน็ เจ้าประเทศราชปกครองมาจนถงึ ปี พ.ศ.๑๙๘๑ จึงหมดสนิ้ ราชวงศ์
สมัยอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดที ่ี ๑ หรอื “ พระเจา้ อทู่ อง ” ทรงรวบรวมเมอื งต่างๆ ในท่รี าบลุม่ ภาคกลางเข้า ด้วยกนั ประกอบดว้ ย เมอื งลพบรุ ี เมอื งสพุ รรณบุรี และเมืองสรรคบุรี เปน็ ต้น แลว้ สถาปนาเมอื ง พระนครศรีอยุธยาขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ บริเวณทีร่ าบลุ่มภาคกลางอนั มีแม่นำ้ สำคัญสามสายไหลผา่ น คือ แมน่ ้ำ เจา้ พระยา แม่นำ้ ลพบรุ ี แมน่ ้ำปา่ สัก เปน็ ชัยภมู ทิ ่ีเหมาะสมในการตั้งรบั ข้าศึกศัตรู และเป็นพื้นท่ีอดุ มสมบูรณ์ เหมาะแก่การเกษตรกรรมเพาะปลูกขา้ ว กรุงศรีอยธุ ยาดำรงฐานะราชธานขี องไทย เป็นศูนยก์ ลางทางการเมืองการ ปกครอง การค้า และศิลปวฒั นธรรมในดินแดนลุ่มเจ้าพระยายาวนานถงึ ๔๑๗ ปี มพี ระมหากษัตรยิ ป์ กครองสืบต่อ กันมาทงั้ สนิ้ ๓๓ พระองค์ จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๓๐๑ อาณาจักรกรงุ ศรีอยธุ ยาจึงไดถ้ กู ทำลายลงในระหวา่ งสงคราม กบั พม่า สงั คมในสมยั กรงุ ศรอี ยุธยาเป็นสงั คมศักดนิ า ฐานะของพระมหากษัตรยิ เ์ ปรยี บเสมือน “ เทวราชา ” เปน็ สมมติเทพ มกี ารแบ่งชนชัน้ ทางสงั คมในระบบ “ เจ้าขนุ มลู นาย ” ทำใหเ้ กิดความแตกตา่ งของฐานะบุคคลอยา่ ง ชดั เจน รวมถงึ พระสงฆ์ก็มกี ารกำหนดศักดนิ าขน้ึ เชน่ เดียวกัน ในการปกครองถอื ว่าพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นเจา้ ของ ทด่ี นิ ท้ังหมดทว่ั ราชอาณาจักร โดยจะทรงแบง่ อาณาเขตออกเปน็ หัวเมอื งตา่ งๆ แลว้ ทรงมอบหมายให้ขุนนางไป ครองท่ีดนิ รวมทั้งปกครองผคู้ นที่อยู่อาศยั ในทีด่ ินเหล่านน้ั ด้วย ดังนนั้ ที่ดินและผลผลิตที่ได้จากการเกษตรกรรมสว่ น ใหญ่จึงตกอยู่ในมือของผูท้ ่ีมฐี านะทางสังคมสงู พระมหากษัตริยท์ รงผูกขาดการค้าขายสนิ ค้าในระบบพระคลังสนิ คา้ สิ่งของต้องห้ามบางชนิดท่หี ายากและมรี าคาแพง ราษฎรสามัญธรรมดาไมส่ ามารถจะมีไว้ในครอบครองเพ่ือ ประโยชน์ทางการค้าได้ จะต้องส่งมอบหรือขายใหก้ ับพระคลังสินค้าในราคาที่กำหนดตายตัวโดยพระคลังสนิ คา้ และหากพอ่ คา้ ตา่ งชาติต้องการจะซอื้ สนิ ค้าประเภทต่างๆ ต้องตดิ ต่อโดยตรงกบั พระคลังสินคา้ ในราคาทกี่ ำหนด ตายตัวโดยพระคลังสนิ คา้ เช่นเดียวกนั การที่พระมหากษัตริย์ทรงสนพระทัยทางด้านการค้าและทรงรับเอาชาวจีนท่ี มีความชำนาญทางดา้ นการค้ามาเป็นเจ้าพนักงานในกรมพระคลงั สินคา้ ของไทยเปน็ จำนวนมาก ทำให้การคา้ เจริญรงุ่ เรืองกอ่ ใหเ้ กดิ ความม่ังค่ังแกอ่ ยุธยาเปน็ จำนวนมาก จนกลา่ วไดว้ ่า คร่ึงหลังของพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ กรุงศรี อยุธยาเป็นที่ยอมรบั กนั วา่ เป็นศนู ย์กลางการค้าที่สำคัญทส่ี ุดแห่งหน่งึ ในภาคตะวันออกไกล รายได้ของแผน่ ดนิ สว่ น ใหญม่ ามาจากการเกบ็ ภาษีโดยส่วนใหญ่จะถกู แบง่ ไว้สำหรับเล้ยี งดูบำรุงความสุขและเป็นบำเหนจ็ ตอบแทนพวกขุน
นางและเจ้านายซ่ึงเป็นผูป้ กครอง สว่ นทเ่ี หลอื ก็อาจจะใช้ซ้ืออาวุธยุทโธปกรณส์ ำหรับป้องกนั ศตั รทู ี่จะมารุกราน หรืออาจจะใชส้ ำหรับการทำนุบำรงุ พระพุทธศาสนาบ้าง เป็นตน้ ส่วนการทำนบุ ำรุงท้องถ่ิน เชน่ การขดุ คลอง การ สร้างถนน การสร้างวดั ก็มักจะใช้วิธีเกณฑ์แรงงานจากไพร่ทัง้ สน้ิ ในดา้ นศิลปกรรม ช่างฝมี อื ในสมยั อยธุ ยาได้ สรา้ งสรรค์ศิลปกรรมในรูปแบบเฉพาะของตนขึน้ โดยการผสมผสานวัฒนธรรมของกลมุ่ ชนหลายเชือ้ ชาติ เชน่ ศลิ ปะสุโขทยั ศลิ ปะล้านนา ศิลปะลพบุรี ศลิ ปะอู่ทอง และศลิ ปะจากชาตติ ่างๆ เชน่ จีนและชาตติ ะวันตก ทำให้ เกดิ รูปแบบ “ ศลิ ปะอยุธยา ” ขนึ้ ซึง่ สามารถศึกษาไดจ้ ากโบราณสถานทีเ่ กย่ี วเน่ืองกบั ศาสนาวดั วาอารามต่างๆ รวมถึงปราสาทราชวังโบราณในสมัยอยุธยา อันปรากฏเด่นชัดอยู่ในเขตจังหวดั พระนครศรีอยุธยา จังหวดั ลพบุรี จังหวดั สุพรรณบรุ ี จังหวัดเพชรบรุ ี เป็นตน้ สมยั ธนบรุ ี หลงั จากเสยี กรุงศรอี ยธุ ยาใหแ้ ก่พมา่ ราษฎรไทยท่ีเหลือรอดจากการถูกกวาดตอ้ นตามเขตแขวงรอบๆ พระนครตา่ งก็ซ่องสุมผ้คู น เข้ารบราฆา่ ฟนั เพื่อปอ้ งกนั ตนเองและแยง่ ชิงเสบยี งอาหารเพอ่ื ความอยรู่ อด กรงุ ศรี อยธุ ยาจึงอยใู่ นสภาพจลาจล บ้านเมอื งแตกแยกออกเปน็ ก๊กเป็นเหล่า มีชุมนุมท่ีคดิ จะรวบรวมผคู้ นเพอ่ื กอบกู้เอก ราชถงึ ๖ ชุมนมุ ไดแ้ ก่ ชุมนุมเจา้ พิษณโุ ลก ชุมนมุ เจา้ พระฝาง ชุมนมุ สกุ ้ีพระนายกอง ชมุ นมุ เจ้าพมิ าย ชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราชและชมุ นมุ พระเจา้ ตาก ซึ่งตอ่ มาชมุ นุมพระเจา้ ตากสินเปน็ กลุ่มกำลงั สำคญั ทมี่ ีที่สามารถกอบก้เู อก ราชไดส้ ำเร็จ โดยตคี ่ายโพธ์ิสามต้นแตกขบั พม่าออกไปได้ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราชทรงกอบกู้บา้ นเมืองได้ สำเร็จในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ทรงปราบดาภเิ ษกขึ้นเปน็ พระมหากษัตรยิ ์ และโปรดเกลา้ ฯให้ ปรบั ปรงุ เมอื งธนบรุ ีศรี
มหาสมทุ ร ซงึ่ ตัง้ อยู่ทางฝัง่ ตะวันตกของแมน่ ำ้ เจา้ พระยาบริเวณปอ้ มวิไชเยนทรส์ ถาปนาขึ้นเปน็ ราชธานี โปรดเกล้า ฯให้สรา้ งพระราชวงั ขึ้นเปน็ ท่ีประทบั และศนู ย์กลางบริหารราชการแผ่นดิน ดว้ ยเหตผุ ลวา่ เป็นเมืองทมี่ ีป้อมปราการ และชยั ภูมิทีด่ ีทางยุทธศาสตร์ ขนาดของเมืองพอเหมาะกบั กำลงั ไพร่พลและราษฎรในขณะนนั้ โครงสร้างทาง เศรษฐกจิ สงั คมสมยั ธนบรุ ียังคงดำเนนิ รอยตามรูปแบบของอยุธยา ฐานะของพระมหากษัตรยิ ย์ ังคงไม่เปลยี่ นแปลง ยงั ยดึ ขัตติยราชประเพณีตามแบบฉบบั ของกรุงศรีอยธุ ยาเป็นสำคญั เนอื่ งจากสภาพเศรษฐกจิ ขณะน้นั อยู่ในสภาพท่ี ทรุดโทรมมาก จำเปน็ ท่จี ะต้องแก้ไขเรง่ ดว่ น สมเด็จพระเจา้ ตากสินจงึ ทรงแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ โดยการสละพระ ราชทรพั ย์ซื้อข้าวสารจากพอ่ ค้าชาวตา่ งประเทศ ด้วยราคาแพงเพือ่ บรรเทาความขาดแคลน มีผลทำให้พอ่ ค้าชาว ตา่ งประเทศบรรทุกขา้ วสารลงเรือสำเภาเขา้ มาค้าขายเปน็ อันมาก ทำให้ราคาขา้ วสารถูกลงและปรมิ าณเพยี งพอแก่ ความต้องการ นอกจากน้ันยังทรงใช้ใหบ้ รรดาขุนนางขา้ ราชการขวนขวายทำนาปีละ ๒ คร้งั เพอื่ เพม่ิ ผลผลิตข้าวให้ เพยี งพอแกค่ วามตอ้ งการ เป็นตวั อยา่ งแก่ราษฎรทง้ั ปวง ทำให้ราษฎรมีความกินดีอยดู่ มี ากขนึ้ ในดา้ นการค้าชาว จนี ที่มาตง้ั หลักแหลง่ คา้ ขาย และทำมาหากินในราชอาณาจักรไดม้ ีส่วนสำคญั ในการช่วยฟน้ื ฟเู ศรษฐกิจของ อาณาจักรธนบรุ ี ด้านการศาสนาและศลิ ปวฒั นธรรม สมัยธนบรุ ีเปน็ สมยั ของการฟืน้ ฟชู าตบิ า้ นเมอื ง ทรงโปรด เกล้าฯให้ตั้งสงั ฆมณฑลตามแบบอย่างคร้ังกรุงศรอี ยุธยา เช่น ทรงจัดการชำระคณะสงฆ์ที่ไม่ตง้ั อยู่ในศลี วตั ร สร้าง ซ่อมแซมวัดวาอารามทต่ี กอยู่ในสภาพทรุดโทรม แสวงหาพระสงฆท์ ี่มีคณุ ธรรมความรู้มาต้ังเปน็ พระราชาคณะเปน็ เจา้ อาวาสปกครองสงฆแ์ ละสั่งสอนปริยตั ธิ รรมและภาษาไทย ส่งพระราชาคณะไปเทยี่ วจัดสงั ฆมณฑลตามหัวเมือง เหนอื เพราะเกดิ วปิ ริตครั้งพระเจ้าฝางต้งั ตนเป็นใหญแ่ ละทำสงครามทั้งๆท่เี ปน็ พระสงฆ์ และทรงรวบรวม พระไตรปิฎกให้สมบรู ณค์ รบถ้วน ศิลปกรรมตา่ งๆจงึ ยังคงดำเนนิ ตามแบบอยุธยา เนอ่ื งจากระหว่างรชั กาลมีศึก สงครามอยู่ตลอดเวลาทำใหช้ า่ งฝมี ือไมม่ ีเวลาในการท่จี ะสร้างสรรคง์ านด้านศิลปะให้ก้าวหน้าออกไปจากเดิม สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราชทรงครองราชย์อยูเ่ ป็นระยะเวลา ๑๕ ปี เนื่องจากทรงมีพระราชภาระกิจท้ังทางด้าน การกอบกู้บา้ นเมืองซึง่ มฐี านะทางเศรษฐกิจตกตำ่ จากภาวะการสงคราม และปกป้องบ้านเมอื งซึ่งขา้ ศึกไดย้ กเขา้ มา ตลอดรชั กาล ปลายรชั กาลได้ทรงมพี ระสตฟิ ่ันเฟือนในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ เจ้าพระยาจกั รีซ่งึ เปน็ แมท่ ัพสำคัญของ สมเด็จพระเจ้าตากสิน จึงไดร้ ับอัญเชญิ ใหค้ รองราชยส์ มบตั ิ
สมยั รตั นโกสินทร์ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชเสดจ็ ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเปน็ ปฐมกษัตริย์ แหง่ พระบรมราชจกั รวี งศ์เมื่อวนั ที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ โปรดเกลา้ ฯใหย้ า้ ยราชธานีมาต้ังอยู่บนฝ่งั ตะวันออก ของแม่น้ำเจ้าพระยาตรงขา้ มกับกรงุ ธนบุรี การสรา้ งพระนครเร่มิ ขึ้น ในปี พ.ศ.๒๓๒๖ เมือ่ สร้างสำเรจ็ ในปี พ.ศ. ๒๓๒๘ ได้พระราชทานนามวา่ “กรงุ เทพมหานครอมรรตั นโกสินทรฯ์ ” เปน็ ศนู ย์กลางการปกครองของประเทศท่ี เจริญรงุ่ เรือง มีพระมหากษตั ริยใ์ นราชวงศจ์ กั รีปกครองประเทศมาจนถงึ ปจั จุบนั จำนวน ๙ พระองค์ สภาพกรงุ รตั นโกสินทรต์ อนตน้ ประชากรของประเทศยงั คงน้อยมากเมือ่ เปรียบเทยี บกบั พื้นที่ทั้งหมด สงั คมความเปน็ อย่ยู งั คง ยึดถือสบื เน่ืองมาจากสมยั กรงุ ศรีอยุธยาตอนปลาย มีการจัดระเบียบทางสังคมดว้ ยระบบเจา้ ขนุ มูลนาย ประชาชน ส่วนใหญป่ ระกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่ ผลิตสินค้าเกษตร จำพวกนำ้ ตาล พริกไทย และหาของปา่ จำพวก ไมส้ ัก ไมพ้ ยุง ไม้กฤษณาและไม้ฝาง การปลกู ขา้ วเปน็ อาชีพหลัก ผลผลิตทีไ่ ดจ้ ะใชบ้ ริโภคและส่งออกขายเฉพาะ ส่วนท่ีเหลือจากการบริโภคแล้วเท่าน้นั เน่ืองจากบ้านเมืองยังคงตกอยู่ในสภาวะสงคราม การตดิ ต่อค้าขายกบั ต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นการทำการค้ากับประเทศจนี อยภู่ ายใต้ความควบคุมของพระมหากษตั รยิ โ์ ดยมีกรมพระ คลังสินค้าเปน็ ผู้ดูแลผลประโยชนท์ างการคา้ ต่อมามกี ารเซ็นสัญญาบาวริงในปี พ.ศ.๒๓๙๘ การผกู ขาดทางการค้า ถูกทำลาย ระบบการคา้ เสรเี ร่ิมเกดิ ขนึ้ และขยายกว้างขวางออกไปทำให้การค้าขายเจรญิ มากข้นึ มชี าวตา่ งชาตเิ ขา้
มาติดต่อซอื้ ขายกับไทยอยา่ งมากมาย เช่น อังกฤษซึ่งเข้ามาทำอตุ สาหกรรมปา่ ไม้ในไทย สหรัฐอเมริกา ฝร่งั เศส เดนมาร์ก โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ ปรสั เซีย สวเี ดน รสุ เซยี เป็นตน้ ข้าว ไดก้ ลายเป็นสินค้าสำคัญเป็นอันดับหนง่ึ ใน การสง่ เปน็ สนิ คา้ ออกไปขายยังต่างประเทศ นอกจากนั้นยงั มีพชื เศรษฐกจิ อ่ืนๆรวมถึงสินค้าท่เี กิดจากการแปรรูป ผลผลิตทางดา้ นเกษตรกรรม ทำใหเ้ กดิ การขยายตัวทางดา้ นเศรษฐกจิ ท้งั ในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมา จนถงึ ปจั จุบนั สว่ นด้านสงั คมในปี พ.ศ.๒๔๗๕ จึงเกดิ การเปลย่ี นแปลงระเบยี บสงั คม เป็นสังคมระบอบ ประชาธปิ ไตย ประชาชนทุกคนมสี ทิ ธิเท่าเทียมกันทางด้านกฎหมาย ในดา้ นการศาสนาหลังจากเสยี กรงุ ศรีอยุธยา ให้แก่พมา่ แล้ว วัดวาอารามต่างๆ รวมท้งั คัมภีร์ทางศาสนาถกู ทำลายเสียหายเป็นอันมาก พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกลา้ ฯใหท้ ำนบุ ำรุงพระศาสนา โปรดฯใหส้ รา้ งวดั พระศรรี ตั นศาสดารามเป็นวดั ประจำพระนคร แล้วทรงอัญเชญิ พระพทุ ธมหามณีรัตนปฏิมากรแกว้ มรกตจากเมืองเวยี งจนั ทร์มาประดิษฐาน เพ่อื ให้เปน็ พระพุทธรปู คูบ่ ้านคู่เมอื ง โปรดเกล้าฯใหม้ ีการสังคายนาพระไตรปิฎกและให้ถือเปน็ ธรรมเนียมท่ีจะให้ พระบรมวงศานุวงศแ์ ละเสนาบดีชว่ ยกนั บรู ณะปฏสิ งั ขรณว์ ดั วาอารามทีช่ ำรุดทรุดโทรม ส่วนการปกครองคณะสงฆ์ ยังคงใช้แบบอย่างของกรงุ ศรีอยธุ ยา มกี ารสอบไล่พระปรยิ ัตธิ รรมสำหรบั พระภกิ ษุสามเณรโดยนบั เปน็ ข้าราชการ แผ่นดินอยา่ งหน่งึ ด้วย ในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ทรงแบ่งการปกครองคณะสงฆอ์ อกเป็น ๔ คณะ คอื คณะเหนอ คณะใต้ คณะกลางและคณะอรัญวาสี เจ้าฟา้ มงกฎุ ซ่ึงทรงผนวชอยู่ที่วดั สมอราย ได้ทรงประกาศประดษิ ฐานนิกายธรรมยตุ ิ ข้นึ ในพุทธศาสนาศลิ ปกรรมในดา้ นต่างๆ ยังคงเลียนแบบอยุธยาตอนปลาย เช่น การสร้างพระพทุ ธรปู ส่วนมาก สรา้ งขน้ึ ตามแบบพระพุทธรปู ท่ีมมี าตงั้ แต่คร้งั สมัยกรุงศรอี ยุธยา นยิ มสร้างพระพทุ ธรูปองคเ์ ลก็ ๆ มากขึ้น และมัก สร้างเป็นภาพเรอ่ื งราวเกีย่ วกับพทุ ธประวัติตอนตา่ งๆ ในสมัยรัชกาลท่ี ๓ นยิ มสรา้ งพระพทุ ธรูปทรงเคร่ืองใหญ่ เชน่ พระศรีอารยิ เมตไตรยแ์ ละสาวกทีค่ รองผา้ อุตราสงคเ์ ป็นลายดอก ส่วนสถาปัตยกรรมในตอนแรกยงั คงเปน็ แบบ สมัยอยธุ ยาตอนปลาย ต่อมาในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ทรงนิยมศิลปะแบบจีนทำใหเ้ กิดศลิ ปะผสมผสานระหวา่ งไทยจนี ต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี ๔ เป็นต้นมา อิทธิพลของชาติตะวันตกไดเ้ ข้ามาสู่ประเทศไทยทำใหร้ ูปแบบสถาปตั ยกรรม กลายเป็นแบบตะวันตกมากขึ้นจนถงึ ปจั จบุ ัน
1 การแบ่งชว่ งเวลาทางประวตั ิศาสตร์ตามแบบสากล จุดมุ่งหมายในการแบง่ ชว่ งเวลาทางประวตั ศิ าสตร์เปน็ ยคุ สมัยตา่ ง ๆ เพือ่ ใหเ้ กิดความสะดวกในการศึกษา คน้ ควา้ เรอื่ งราวของมนุษยใ์ นอดตี และช่วยให้เขา้ ใจงา่ ย ชว่ งเวลาทางประวัติศาสตรต์ ามแบบสากลแบ่ง ออกเปน็ 2 สมัย ดังนี้
1.1 สมัยกอ่ นประวัตศิ าสตร์ เปน็ ชว่ งเวลาท่ีมนุษย์ยงั ไมร่ ู้จักประดิษฐ์ตัวอกั ษรเหมือนตัวหนังสอื ขึน้ ใช้ จงึ ยัง ไมม่ หี ลักฐานทางประวัตศิ าสตรท์ เี่ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษร การศึกษาเร่ืองราวของมนษุ ยส์ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ จงึ ต้องอาศยั การวิเคราะห์และตีความจากหลกั ฐานทางโบราณคดีท่คี น้ พบ เช่น โครงกระดูกของ มนษุ ย์ เครอื่ งมอื เครื่องใช้ และเคร่ืองประดบั ทที่ ำจากหินและโลหะ เปน็ ตน้ สมยั ก่อนประวัติศาสตร์ แบง่ ได้เปน็ 2 ชดุ คือ ยคุ หนิ และยุคโลหะ 1.1.1 ยุคหิน เร่มิ เมอ่ื ประมาณ 500,000 ถึง 4,000 ปี ลว่ งมาแล้ว แบ่งเปน็ 3 ยุคย่อย ๆ ดังน้ี ( 1 ) ยคุ หนิ เกา่ เปน็ ชว่ งเวลาแรก ๆ ของมนุษย์ชาติ มนษุ ย์ใชช้ วี ิตอย่างเรร่ ่อน ดำรงชีวติ อยูด่ ว้ ยการล่า สตั ว์ จบั ปลา หาของป่ากนิ เป็นอาหาร อาศัยอยูใ่ นถำ้ รู้จกั ใช้เครื่องมือที่ทำด้วยหนิ อย่างหยาบๆ และเขยี นภาพ ตามฝาผนัง ( 2 ) ยุคหินกลาง มนษุ ยย์ ังคงดำรงชวี ิตเหมือนในยคุ หนิ เก่า แตร่ ู้จักทำเคร่ีองมือเคร่ืองใช้สำหรบั ลา่ สตั ว์ ดว้ ยหินที่ประณีตมากขึน้ และเร่มิ รจู้ ักการอยรู่ วมกลมุ่ เป็นสงั คมมากขน้ึ ( 3 ) ยุคหนิ ใหม่ มนษุ ยม์ คี วามเจรญิ มากกว่ายคุ ก่อนๆ รจู้ ักตั้งถิน่ ฐานเป็นหลักแหลง่ รู้จักการเพราะ ปลกู เล้ยี งสตั ว์ ทำภาชนะเครือ่ งป้ันดินเผา เครื่องประดบั และเครอ่ื งมือลา่ สตั ว์หนิ ขัด 1.1.2 ยคุ โลหะ อยู่ในช่วงเวลาประมาณ 4,000 ถึง 1,500 ปีล่วงมาแล้ว แบง่ เป็น 2 ยคุ ย่อยๆ ดงั นี้ ( 1 ) ยคุ สำริด มนษุ ย์รจู้ กั ใช้โลหะสำรดิ (ทองแดงผสมดบี กุ ) ทำเครือ่ งมือเคร่ืองใช้และ เคร่อื งประดบั มชี ีวติ ความเป็นอยทู่ ี่ดีขน้ึ กวา่ ในยุคหนิ อาศัยอยู่รวมกันเปน็ ชมุ ชนใหญ่ขนึ้ รู้จกั ปลูกขา้ ว และ เล้ียงสัตว์ ( หมแู ละวัว ) ( 2 ) ยุคเหล็ก มนษุ ยร์ จู้ ักนำเหลก็ มาหลอมทำอาวุธ เคร่ืองมือ เครือ่ งใช้ ๆ แตย่ งั คงดำรงชวี ติ ดว้ ย การเกสรกรรม มีการตดิ ต่อขายระหวา่ งชมุ ชนตา่ ง ๆ ทำให้ความเจริญขยายตัวอยา่ งรวดเรว็ 2.2 สมัยประวัติศาสตร์ เปน็ ยคุ สมยั ท่ีมนษุ ย์รู้จักประดิษฐต์ วั อักษรขึน้ ใช้ มีการบันทกึ เรือ่ งราวเหตุการณ์ ตา่ งๆ ความเชอื่ และกิจกรรมในชวี ติ ประจำวัน เปน็ ลายลักษร มักพบอยู่ตามผนงั ถ้ำ แผ่นหิน แผน่ ดนิ เหนียว และกระดาษ เปน็ ต้น ชุมชนของมนุษยใ์ นภมู ิภาคตา่ งๆ กา้ วเข้าสู่ “ สมยั ประวัตศิ าสตร์ ” ในระยะเวลาไมเ่ ทา่ กัน เนอ่ื ง ดว้ ยความสามารถของมนุษย์ในการส้างสรรคอ์ ารยธรรมความเจรญิ มแี ตกต่างกัน ดงั น้ี สมยั ประวตั ศิ าสตรใ์ นทาง สากล จงึ แบง่ เปน็ 3 ยคุ ย่อย ๆ ดงั น้ี 2.2.1 ประวัติศาสตรส์ มัยโบราณ เร่มิ ต้งั แต่ความเจรญิ ของแหลง่ อารยธรรมเมโสโปเตเมียอารยธรรมลมุ่ แมน่ ้ำไนล์ ( อียปิ ต์โบราณ ) และอายธรรมกรกี โรมัน ตามลำดับ จนกระท่ังสิ้นสุดลงเมอ่ื กรุงโรม ซึง่ เป็น ศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันถกู ตแี ตกโดยพวกอนารยชน ในปี พ.ศ. 1019
2.2.2 ประวัตศิ าสตรส์ มยั กลาง เร่มิ ภายหลงั จากที่กรุงโรม ( จกั รวรรดโิ รมนั ตะวนั ตก ) ทุกพวกอนารย ชนตแี ตกในปี พ.ศ. 1019 จนกระท่ังในปี พ.ศ. 1996 สมยั กลางจงึ สนิ้ สดุ ลง เม่ือชนชาตเิ ตริ ์ก (Turk) ที่นับ ถอื ศาสนาอสิ ลามเข้าโจมตกี รุงคอนสแตนติโนเปลิ (จักรวรรดิโรมนั ตะวนั ออก) 2.3.3 ประวัตศิ าสตร์สมัยใหม่ เริม่ ภายหลงั จากที่กรุงคอนสตติ ิโนเปิลถกู ตแี ตก เมือ่ ปี พ.ศ. 1996 เปน็ ตน้ มา จนกระทั่งสน้ิ สุดสงครามโลกครงั้ ที่ 2 ในปี พ.ศ. 2488 มเี หตกุ ารณส์ ำคัญในยคุ ประวัติศาสตร์สมัยใหม่หลายประการ อาทเิ ชน่ การปฏิรูปศาสนา การเกดิ ลทั ธิ หรือแนวความคิดแบบเสรนี ยิ ม ประชาธปิ ไตย และคอมมิวนสิ ต์ ทางด้านเศรษฐกจิ มีการขยายตัวทางดา้ น การคา้ ทางเรอื สำเภา การแสวงหาดินแดนใหม่ และการปฏวิ ตั ิอุตสาหกรรม เปน็ ตน้ 3. การแบ่งช่วงเวลาทางประวตั ิศาสตร์ตามแบบไทย นกั ประวัตศิ าสตร์ไทยไมน่ ยิ มแบง่ ช่วงเวลาทางประวัตศิ าสตรใ์ นสมัยโบราณ สมยั กลาง และ สมัยใหม่ เหมือนดังท่ีทำในประเทศตะวันตก แตจ่ ะมลี ักษณะเปน็ รูปแบบของตนเอง มีดังนี้ 3.1 แบง่ ตามสมยั (หรอื ตามเวลาทีเ่ รม่ิ ใช้ตวั อักษร ) แบง่ ได้ 2 สมัย ดังน้ี (1) สมัยกอ่ นประวัติสาสตร์ หมายถงึ ยคุ หิน (ยุคหินเกา่ หินกลาง และหินใหม่ ) และยคุ โลหะ ( ยคุ สำรดิ และเหล็ก ) มีอายปุ ระมาณ 700,000 – 1,400 ปมี าแลว้ โดยมีการขุดคน้ พบหลักฐานทาง โบราณคดใี นภูมภิ าคตา่ งๆ ของประเทศไทยโดยลำดบั มา (2) สมัยประวตั ิศาสตร์ เปน็ สมัยท่ีผู้คนเร่ิมใช้ตัวอักษรบันทกึ เร่ืองราวเหตุการณ์ต่างๆ สำหรับ ดนิ แดนประเทศไทยเรม่ิ เขา้ สู่สมัยประวัตศิ าสตร์ เมื่อตอนปลายพุทธศตวรรษท่ี 12 จากหลงั ฐานทางโบราณคดี ที่คน้ พบ คือ ศิลาจารกึ ที่ปราสาทเขาน้อย จังหวดั สระแก้ว ทำขน้ึ เมือ่ ปี พ.ศ. 1180 3.2 แบ่งยคุ สมยั ตามอาณาจักร กอ่ นทจ่ี ะเกดิ อาณาจกั รสโุ ขทยั ซงึ่ เปน็ อาณาจกั รแรกของคน ไทย ดินแดนที่เปน็ ประเทศไทยในปจั จบุ นั มีอาณาจักรตา่ งๆ เกดข้ึนมาก่อนแลว้ แต่สนั นิฐานว่าไมใ่ ชอ่ าณาจกั ร ของคนไทย ดังน้ัน เพ่ือให้งา่ ยต่อการศกึ ษา จงึ แบ่งยุคสมยั ตามอาณาจักร ไดแ้ ก่ สมัยทวารวดี, สมยั ละโว(้ พล บุร)ี , สมัยศรวี ชิ ัย ( สรุ าษฎรธ์ านี) และสมยั ตามพรริงค์ ( นครศรธี รรมราช) เปน็ ต้น 3.3 แบง่ ยุคสมัยตามราชธานี เป็นการแบ่งยคุ สมัยทางประวัติศาสตรต์ ามราชธานีของไทยเรยี ง ตามลำดบั ไดแ้ ก่ สมัยสโุ ขทัย, สมัยอยธุ ยา, สมัยธนบุรี และสมยั รัตนโกสินทร์ 3.4 แบ่งยุคตามสมยั พระราชวงศ์ เปน็ การแบ่งยุคสมยั ทางประวัติศาสตรต์ ามพระราชวงศ์ เช่น สมยั ราชวงศ์อทู่ อง, สมยั ราชวงศส์ ุพรรณภูมิ, สมัยราชวงศส์ ุโขทัย, สมยั ราชวงศป์ ราสาททอง และสมัยราชวงศ์บา้ นพลู หลวง ทัง้ หมดนี้ เป็นช่ือพระราชวงศ์ที่ครองราชยส์ มบตั เิ ป็นกษัตรยิ ใ์ นสมยั อยุธยา
3.5 แบ่งยคุ สมัยตามราชกาล เปน็ การแบ่งยคุ สมัยในช่วงเวลาทีพ่ ระมหากษัตรยิ ์พระองคน์ ั้นทรง ครองราชยอ์ ยู่ ไดแ้ ก่ รชั สมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช และรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อย่หู วั เป็นต้น 3.6 แบง่ ยคุ สมยั ตามระบอบการเมืองการปกครอง ได้แก่ สมยั สมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ และสมยั ประชาธปิ ไตย โดยถอื ตามเหตกุ ารณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เมอื่ วนั ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เปน็ เส้น แบ่งยุคสมยั ดงั กลา่ ว โดย “ คณะราษฎร” ใชก้ ำลังทหารเข้ายดื อำนาจและเปลยี่ นแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชยเ์ ข้าสู่ ประชาธิปไตย 3.7 แบ่งยคุ สมัยตามรฐั บาลบริหารประเทศ ได้แก่ สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พบิ ูลสงคราม, สมัยรัฐบาล พลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ และสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เปน็ ต้น กศน.ตำบลเขาตูม กศน.อำเภอยะรงั สำนักงาน กศน.จังหวัดปัตตานี
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: