1 พันธ์ุ กระตา่ ยท่ีนยิ มเลี้ยงกนั ในประเทศไทยมีอย่ไู มก่ พ่ี นั ธุ์ดงั ไปน้ี 1. พันธ์นุ วิ ซแี ลนดไ์ วท์ (Newzealand White) เป็นกระตา่ ยท่นี ยิ มเลี้ยงกนั แพรห่ ลายทส่ี ุด มขี นสีขาว ตลอดตวั ตาสแี ดงหน้าสนั้ มีสะโพกใหญ่ ไหลก่ วา้ ง สว่ น หลังและสีขา้ งใหญ่ เนอ้ื เต็ม ใหล้ กู ดกเลีย้ งลกู เกง่ เมือ่ โต เตม็ ที่ ตวั ผหู้ นกั 4.1-5.0 กโิ ลกรมั ตัวเมียหนัก 4.5-5.5 กิโลกรมั 2. พันธ์ุแคลิฟอรเ์ นียน (Californian) มขี นสขี าวตลอดตวั ยกเวน้ ท่ีบริเวณใบหู จมูก ปลายเทา้ และปลายหางจะมสี ดี า ลาตัวท้วมหนา สะโพกกลม ชว่ ง ไหลแ่ ละชว่ งท้ายใหญ่ ให้ลูกดกเลีย้ งลกู เกง่ เมื่อโตเตม็ ที่ ตัวผู้หนัก 3.5-4.5 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 4.0-5.0 กโิ ลกรัม 3. พันธแ์ุ องโกร่า (Angora) เลีย้ งกนั มากทางภาคเหนอื มขี นฟยู าว ขนสีขาว สดี า หรอื สอี ่ืน ๆ เม่อื โตเต็มท่ตี ัวผู้ หนัก 2.4-3.5 กิโลกรมั ตวั เมียหนัก 2.5-3.8 กิโลกรัม 4. พนั ธ์พุ ้ืนเมอื ง มีหลายสเี ช่น สีเทา ขาว นา้ ตาล ฯลฯ ตาสดี า หน้า แหลม เล้ียงลูกเกง่ ทนต่อสภาพ แวดล้อมตา่ ง ๆ ได้ดี เม่อื โตเตม็ ทีห่ นกั ประมาณ 2.0-3.0 กิโลกรัม ปัจจบุ นั มี การผสมขา้ มพนั ธ์ุ กบั กระตา่ ยพันธอ์ุ ืน่ จนหากระต่าย พืน้ เมืองแท้ไดย้ าก
2 โรงเรอื นและอุปกรณ์การเล้ยี ง 1. โรงเรือน ลักษณะของโรงเรือนที่ดีควรตง้ั อยู่ในแนวทิศตะวันออกกบั ตะวนั ตก มีลวดตาขา่ ยล้อม รอบเพือ่ ป้องกันแมลงและสัตว์ ซง่ึ จะทาอันตรายและนาโรคมาสกู่ ระตา่ ย หลงั คาของโรงเรอื นจะ ตอ้ งกันแดด และฝนได้ดี พน้ื ภายในโรงเรือนควรเป็นพืน้ คอนกรีต เพอ่ื ไม่ให้เปียกชื้นและทา ความสะอาดไดง้ า่ ย กรณีท่ผี ้เู ลยี้ งมีพืน้ ทใ่ี นบา้ นหรือใตช้ ายคาบ้านมากพอสมควร และกระต่าย ท่เี ลย้ี งมีจานวนไมม่ ากนกั ก็อาจจะไมจ่ าเป็นต้องมโี รงเรอื น 2. กรง ขนาดของกรงข้นึ กับจานวนกระต่าย ถา้ เปน็ กรง เดีย่ วควรมีขนาดกวา้ ง 50-60 เชนติเมตร ยาว 60- 90 เชนติเมตร สงู 45-60 เซนติเมตร ถา้ ต้องการ เล้ยี งกระตา่ ยหลายตวั อาจทาเปน็ กรงตับและซ้อน กัน 2-3 ช้ัน หรือถา้ จะขังหลายๆ ตวั รวมกัน กรงท่ี ใช้จะต้องใหญ่พอ ทก่ี ระตา่ ยจะอยู่กันได้โดยไม่ หนาแน่นเกนิ ไป วสั ดุท่ีใชท้ ากรงอาจใช้ไม้ระแนง หรือลวดตาข่าย ท่ีมชี ่องกวา้ งประมาณ 1/2 - 3/4 นวิ้ ถา้ เป็นกรงสา่ หรบั แม่กระตา่ ยเลี้ยงลูก ลวดตาขา่ ยที่ใช้บุพน้ื ควรมีชอ่ งขนาด 1/2 น้ิว เพอื่ ป้องกนั ขาของลกู กระตา่ ยตดิ ในร่องของลวด ถ้าเล้ียงกระตา่ ยไมก่ ตี่ วั อาจชื้อกรงสาเร็จรูปทมี่ ีขายตามร้านขาย อุปกรณ์เล้ยี งสัตว์ทว่ั ไป แต่ต้องไม่ลมื วา่ กรงทีใ่ ช้จะตอ้ ง มขี นาดใหญพ่ อทีก่ ระตา่ ยจะอยู่ไดอ้ ย่างสบาย และต้องแข็งแรงทนทาน มีอายุการใชง้ านยาวนาน 3. อปุ กรณก์ ารให้อาหาร ควรใช้ถว้ ยดินเผาขนาดเสนผ่าศนู ย์กลาง 6 นิว้ และมีน้าหนกั มาก พอท่กี ระตา่ ยจะ ไมส่ ามารถทา ลม้ ได้ อาจใช้กล่องใสอ่ าหารทีท่ าด้วยอลมู เิ นยี มเป็น รปู ส่เี หลีย่ ม หรอื รูปครึ่ง วงกลมผูกแขวนติดกับขา้ ง กรง ถา้ เป็นกระตา่ ยขนุ อาจใช้กลอ่ งอาหาร อัตโนมตั เิ พ่ือท่กี ระต่าย จะไดก้ ินอาหารตลอดท้ังวัน 4. อุปกรณก์ ารใหน้ ้า มีหลายแบบดว้ ยกนั เชน่ ถว้ ยดนิ เผาใสน่ า้ แตม่ ขี ้อเสียคอื กระต่ายอาจถ่ายมลู หรอื ปสั สาวะลงในถว้ ยทาใหส้ กปรก ได้ หรืออาจใช้ขวดอดุ ดว้ ยจกุ ยาง ซึง่ มีรูสา่ หรับสอดทอ่ ทองแดง วิธีใช้ให้นาขวดไปเตมิ นา้ จนเกือบเตม็ ขวดแลว้ คว่าขวดแขวนท่ีขา้ งกรงกระต่ายใหป้ ลายทอ่ ทองแดงสงู ระดบั ทก่ี ระต่ายกนิ นา้ ได้สะดวก ควรตดั ทอ่ ทองแดงให้ โค้งพอเหมาะ นา้ จึงจะไหล ได้ดถี า้ เลยี้ งกระต่ายเปน็
3 จานวนมาก ๆ อาจใช้อุปกรณไ์ หน้ ้าแบบอัตโนมัตกิ ็ได้ เพอื่ ประหยดั แรงงานและอุปกรณ์ แต่คา่ ไซ้จา่ ย คอ่ นข้างสงู 5. รงั คลอด ควรมขี นาดกว้างพอทแี่ ม่กระตา่ ยและลูกกระต่ายอยูไ่ ด้อย่างสบาย โดยทว่ั ไป รังคลอดควรมีขนาดกว้าง 30 เชนติเมตร ยาว 40 เชนตเิ มตร สงู 15 เซนติเมตร พนื้ รงั - คลอดบุด้วยลวดตาข่ายขนาด 1/2 น้วิ หรอื ใช้ไม้ตีปิดพ้ืนใหท้ ึบ ปพู น้ื ดว้ ยฟางหรือหญา้ แหง้ การทาความสะอาดโรงเรือนและกรงควรทาอยา่ งน้อยสัปดาหล์ ะ 2-3 ครัง้ เพ่ีอลดกลนิ่ เหม็นท่ีเกดิ จาก มูลกระตา่ ย สว่ นภาชนะใสน่ า้ และอาหารควรลา้ งทาความสะอาด อยา่ งนอ้ ยสัปดาหล์ ะ 1 คร้ัง อาหาร อาหารมคี วามสาคัญตอ่ การเล้ยี งกระตา่ ยอย่างย่ิงเพราะต้นทนุ ในการเล้ยี งกระตา่ ย มากกวา่ คร่งึ หน่ึง ใชเ้ ป็นคา่ อาหาร การทจี่ ะเล้ียงกระตา่ ยให้เติบโตเรว็ มีสขุ ภาพดีและให้ ผลผลติ สงู จาเปน็ จะตอ้ งเลยี้ ง ดว้ ยอาหารท่เี หมาะสม และมปี ริมาณเพียงพอกับความ ต้องการของกระตา่ ย อาหารทใี่ ชเ้ ล้ียงกระตา่ ยแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภทดงั นี้ 1. อาหารหยาบ (Roughage) หมายถึงอาหารทมี่ โี ภชนะยอ่ ยได้ต่า มเี ยอื่ ใยสงู ซ่งึ หมายถงึ อาหารทีก่ ินเขา้ ไป และเหลอื กาก ขบั ถ่ายออกมาเป็นของเสียมาก ส่วนใหญไ่ ดม้ า จากลาต้น และใบของพืช ตระกลู หญา้ และพชื ตระกูลถวั่ เช่น หญา้ เนเปียร์ หญา้ ขน หญ้า กนิ นี กระถิน ถ่วั เหลอื ง ถวั่ ลสิ ง ถ่วั ชีราโต ถั่ว ไกลซีน ถ่ัวเทาสวลิ สไลโล เปน็ ตน้ หรอื อาจจะ ใชต้ น้ พืชผกั ชนิดต่างๆ เช่น ผักบงุ้ ผกั โขม ผกั กาด คะน้า กะหล่าปลี แครอท ผักกาดหอม หวั ผักกาด มนั เทศ มันแกว ฯลฯ เลย้ี งกระต่าย ก็ได้ อาหารหยาบประเภทใบพชื ผกั หญ้า ควรใหก้ ินเต็มที่ กระต่ายชอบหญา้ สด ผักสด มากกวา่ ตาก แหง้ แตห่ ญ้าแหง้ ก็อาจใชไ้ ด้ แตค่ วรเป็นหญา้ ทอี่ ยู่ในระยะยังอ่อน ตากแหง้ สะอาดไมม่ ีรา ไมส่ กปรก ไม่มยี าฆ่าแมลง ควรห่ันเป็นท่อน ๆ ให้ยาวพอควร 2. อาหารขน้ (Concentrate) แมว้ ่ากระต่ายจะสามารถยังชพี และขยายพนั ธ์ตุ ามปกติธรรมชาติ โดยอาศยั อาหารประเภทตน้ หญา้ ใบพืชได้กต็ าม แต่หากเราต้องการใหม้ ันเจริญเตบิ โต ใหผ้ ลิตผลเร็ว ใหเ้ น้อื มาก ให้ขยายพันธม์ุ ลี ูกดก ได้ลกู ปลี ะหลายตัว เราจะตอ้ งเลย้ี งดูให้ดี โดยมอี าหารข้น (Concentrates) เพม่ิ เสรมิ ใหด้ ว้ ย อาหาร ขนั น้ีเป็นอาหารท่มี โี ภชนะยอ่ ยไดส้ งู มีเย่ือใยตา่ ย่อยงา่ ย ซ่ึงแบ่งออกได้เปน็ 2 กลุ่มคือ 2.1 อาหารทีเ่ ป็นแหล่งพลงั งาน คืออาหารทม่ี ีแปง้ และน้าตาล (คารไ์ บไฮเดรต) หรือไขมันสงู ไดแ้ ก่ รา ปลายขา้ ว ข้าวโพด ข้าวฟา่ ง มนั เสน และไขมนั จากพืชหรอื สัตว์
4 2.2 อาหารทีเ่ ป็นแหล่งโปรตีน ไดแ้ ก่ นมผง ปลาปน่ กากถวั่ เหลือง กากถ่ัวลสิ ง และใบ กระถินปน่ สาหรับอาหารข้นควรเสริมใหก้ ินในตอนบา่ ย กระตา่ ยทไ่ี ม่ได้เสรมิ ด้วยอาหารขน้ ควรมีแร่ ธาตุประกอบดว้ ย เกลือ กระดูกป่น และเปลอื กหอยบดอย่างละเท่า ๆ กนั ผสมใหเ้ ขา้ กนั ตัง้ ใหก้ นิ ตามชอบ อาหารปน่ ทแ่ี ห้งอาจผสมนา้ เล็กนอ้ ยพอช้นื เพอื่ สะดวกใน การกนิ และจะช่วยมใิ หร้ ่วงหล่น เสียหาย 3. อาหารสา้ เรจ็ รูป (Complete feed) เกดิ จากการนาอาหารขน้ และอาหารหยาบมารวมกนั ใน อัตราสว่ นท่ีเหมาะสม มีสภาพเปน็ ผงหรอื อดั เปน็ เมด็ นามาใช้ เลีย้ งกระต่ายไดส้ ะดวก กระต่ายทีเ่ ล้ยี งดว้ ยอาหาร สาเรจ็ รูป เพยี งอยา่ งเดยี วในปรมิ าณท่ีเพยี งพอจะสามารถเติบโตไดอ้ ย่าง รวดเรว็ แต่ในการ เลี่ยงโดยทวั่ ไปนิยมเสรมิ หญ้าสด เพอ่ื ลด ต้นทุนและควรใหห้ ญา้ หลงั จากท่กี ระต่ายกนิ อาหาร สาเร็จรปู ในปริมาณมากพอสมควร เพือ่ ให้กระตา่ ยไดร้ บั สารอาหารท่ี จาเปน็ อย่างเพยี งพอ ความต้องการโภชนะของกระต่าย ระดับโภชนะท่กี ระต่ายต้องการนน้ั เกี่ยวขอ้ งกบั ปัจจัยหลายประการไดแ้ ก่ พันธ์ุ น้าหนัก ระยะการ เจรญิ เตบิ โต อุณหภมู ิและสภาพแวดล้อมอ่นื ๆ ความต้องการโภชนะ ของกระตา่ ยทเี่ ลีย้ งแบบใหก้ ิน อาหารเตม็ ท่ี ได้แสดงไวใ้ นตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ความตอ้ งการโภชนะของกระต่าย ระยะ ประเภทโภชนะ เจรญิ เติบโต ดารงชพี ตัง้ ท้อง เล้ยี งลกู พลังงานท่ียอ่ ยได้ (กิโลแบคลอร่ี) 2,500 2,100 2,500 2,500 โภชนะยอ่ ยได้ (%) 65 55 58 70 เย่ือใย (%) 10-12 10-12 >10-12 10-12 ไขมนั (%) 2 222 โปรตีน (%) 16 12 15 17 แคลเซยี่ ม (%) 0.4 * 0.45 0.75 ฟอสฟอรัส (%) 0.22 * 0.37 0.75 ที่มา : บางส่วนจาก National Research Council, 1997 *กระต่ายที่ตอ้ งการ แต่ไมท่ ราบปรมิ าณทีแ่ น่นอน
5 การให้อาหาร ควรพิจารณาปรมิ าณที่ให้โดยให้พอดกี ับความต้องการของกระต่ายซึ่งขึ้นอยกู่ บั ระยะ การเจรญิ เตบิ โต ของกระต่าย นา้ หนักตวั และสภาพเฉพาะของกระต่ายแต่ละตวั ด้วย 1. กระตา่ ยต้ังท้อง ควรใหอ้ าหารทม่ี ีโปรตีนไมต่ า่ กวา่ 15% วนั ละ 4.5% ของนา้ หนักตัวหรือให้ใน ปรมิ าณ 120-180 กรมั ตอ่ วนั โดยเร่ิมให้ตง้ั แตต่ รวจพบวา่ ต้ังทอ้ งหรอื ทอ้ งประมาณ 15 วันจนถงึ วนั คลอด 2. กระต่ายเลยี้ งลกู ควรใหอ้ าหารท่มี ีโปรตนี ไม่ตา่ กว่า 17% วันละ 4.5% ของน้าหนักแมร่ วมกบั นา้ หนกั ลกู หรือให้ใน ปริมาณ 150-300 กรมั ตอ่ วนั 3. กระตา่ ยหลังหย่านม ควรใหอ้ าหารที่มีโปรตีนไมต่ า่ กวา่ 16% วนั ละ 5 % ของนา้ หนักตัวหรอื ให้ใน ปริมาณ 50-150 กรัม ตอ่ วนั 4. พ่อพันธุแ์ ละแม่พนั ธุ์ ควรให้อาหารท่มี โี ปรตีนไม่ตา่ กวา่ 15% วันละ 3.5-4 % ของน้าหนักตัว หรอื ให้ใน ปรมิ าณ 90-140 กรัมต่อวัน ปริมาณอาหารส่าหรับพ่อและแมพ่ นั ธคุ์ วรปรับตามสภาพร่างกาย เพอื่ ควบคมุ ไม่ใหอ้ ว้ น หรอื ผอมเกินไป ซึง่ จะมผี ลทาใหก้ ารผสมติดยาก อาหารชนดิ ต่าง ๆ ทอ่ี าจเลือกใชเ้ ล้ยี งกระต่ายได้ แสดงไว้ในตารางที่ 2
6 ตารางที่ 2 สว่ นประกอบทางอาหารของอาหารกระตา่ ยบางชนดิ (%) ชนิดอาหาร วตั ถแุ หง้ โปรตีน ยอด โปรตนี ไขมัน สาร แป้ง เถา้ แคล ฟอส ยอ่ ยได้ โภชนะ รวม เย่ือ น้าตาล เซียม ฟอรสั ย่อยได้ ใย กากถัว่ เหลอื ง 90.9 37.2 78.4 45.3 5.3 5.7 29.6 6.0 0.29 0.66 กากถัว่ ลสิ ง 93.0 41.9 68.5 47.1 1.5 14.9 25.0 4.5 0.16 0.54 กากทานตะวัน 94.3 45.0 70.8 49.5 4.9 5.4 28.6 5.9 0.26 1.22 กากเตา้ หูส้ ด 14.1 4.7 12.8 5.5 0.7 1.6 5.8 0.5 - - กากเตา้ หู้แห้ง 90.8 - - 21.9 6.9 20.9 26.7 4.5 - - กากสับปะรด 85.3 1.0 60.1 4.0 1.9 19.4 57.2 2.8 0.16 0.15 แห้ง ข้าวกล้อง 87.8 7.0 81.0 9.1 2.1 1.1 74.5 1.1 0.04 0.25 ปลายข้าว 88.3 5.8 81.6 7.5 1.6 1.6 78.8 1.8 1.04 0.10 ขา้ วฟ่าง 89.6 8.4 79.9 10.8 2.8 2.3 71.1 2.0 0.02 0.32 เมลด็ ขา้ วโพด 85.0 6.7 80.1 8.7 3.9 6.2 60.2 1.2 0.32 0.27 ราขา้ วละเอียด 85.7 10.3 66.2 13.0 13.2 9.9 34.6 12.8 0.05 1.18 มันสาปะหลัง 88.3 1.3 82.5 1.9 0.7 3.0 80.5 2.2 - - มนั เทศสด, หวั 31.8 0.2 25.6 1.6 0.5 1.9 26.7 1.2 0.04 0.04 กระถนิ ใบสด 32.5 4.0 17.2 6.1 0.7 12.3 11.2 2.2 0.28 0.07 กระถินใบแหง้ 91.2 18.3 66.8 24.4 4.6 14.9 39.4 7.9 0.76 0.19 ข้าวโพด, ตน้ สด 22.7 0.5 13.0 1.3 0.4 6.0 13.6 1.4 0.07 0.01 เซนโตรซีมา,ตน้ 19.5 2.6 9.7 4.6 0.7 6.2 6.4 1.6 - - สด หญา้ ขนทวั่ ไป 27.8 1.0 14.9 1.8 0.4 10.0 12.7 2.9 - - หญา้ ซอกมั 84.1 6.8 41.0 11.9 1.7 24.2 39.2 1.7 - - ผกั บงุ้ 6.2 - - 2.2 0.5 0.7 2.4 0.5 - - ผักตบชวา 9.8 0.4 4.6 1.1 0.1 2.2 4.5 1.5 - - ท่ีมา : ภาควิชาสัตวบาล, 2528. หลกั การเลย้ี งสตั ว์ทัว่ ไป. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หน้า 127-131 หมายเหตุ % อ่านว่า เปอร์เซน็ ต์ หมายถงึ รอ้ ยละ
7 ตารางท่ี 3 แสดงตวั อย่างสตู รอาหารทใ่ี ช้เลี้ยงกระต่าย วัตถดุ บิ และคุณภาพคิดเป็นเปอรเ์ ซ็นต์โปรตนี เจริญเติบโต ระยะ ตง้ั ท้อง เล้ียงลกู ดารงชีพ ขา้ วโพด (7.7%) 15 15 15 15 ปลายขา้ ว (8.11%) 30 32 29 24 ราละเอยี ด (8.41%) 33 40.5 36 36 กากถั่วเหลือง (46.4%) 17 10.5 15 20 ปลาปน่ (58.65%) 3 - 33 กระดกู ปน่ 0.5 0.5 0.5 0.5 เปลือกหอย 0.5 0.5 0.5 0.5 ไวตามินและแร่ธาตุ 0.5 0.5 0.5 0.5 เกลอื ปน่ 0.5 0.5 0.5 0.5 รวม (กิโกกรมั ) 100 100 100 100 โปรตีน (%) 16.0 12.04 15.25 17.16 ทีม่ า : ภาควชิ าเทคโนโลยกี ารผลติ สัตว์ สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ วิธีจบั กระตา่ ย กระตา่ ยเปน็ สตั วท์ ี่ตกใจงา่ ย ดังน้นั การจบั กระตา่ ยจะตอ้ งทาด้วยความนมุ่ นวลและ ถูกวิธเี พื่อความ ปลอดภัยของตวั กระต่ายและตวั ผ้จู บั ด้วย ไม่ควรจบั กระตา่ ยโดยการห้ิวหู เพราะจะทาให้กระต่าย เจ็บปวด และอาจเปน็ สาเหตุทาให้กระตา่ ยหูตกได้ การจับกระตา่ ยทถ่ี ูกวธิ ีมีดังน้ี 1. ลกู กระตา่ ย ใช้มือที่ถนัดจับหนังบริเวณสะโพกให้มนั่ คง แล้วยกขน้ึ ตรง ๆ 2. กระตา่ ยขนาดกลาง ใช้มือขวา (หรือมอื ทถี่ นดั ) จบั หนังเหนอื ไหล่ใหม้ ่ันคง อาจรวบหมู าดว้ ยก็ได้ มือซ้ายรองใตก้ น้ ให้ด้านหน้าของกระต่ายหันออกนอกตวั ผจู้ บั 3. กระต่ายใหญ่ ใช้มือขวาจับแบบวิธีท่ี 2 แลว้ ยกอ้อมขนึ้ มาทางซ้ายมอื ใชแ้ ขนซ้าย หนีบให้แนบชิด ลาตัวโดยใชม้ ือซ้ายช่วยประคองกน้ ใหห้ นา้ กระต่ายหนั ไปทางหลังของผู้จบั และขากระต่ายช้ีออก นอกตวั ผูจ้ ับ
8 การดเู พศ กระต่ายท่ีโตแล้วสามารถทจ่ี ะดเู พศได้อยา่ งชดั เจน โดยท่ตี วั ผู้จะเหน็ ลกู อัณฑะ อยูน่ อกชอ่ งท้องชดั เจน และตวั เมยี เห็นอวัยวะเพศอย่ใู ต้ทวารหนกั แตก่ ารดูเพศใน ลกู กระตา่ ยน้ันจะต้องอาศยั ความชานาญ ความแมน่ ยาทางสายตาและแสงสว่างท่ี เพียงพอ ลูกกระตา่ ยทจ่ี ะดเู พศไดอ้ ย่างชดั เจน ควรมอี ายเุ กนิ 2 สปั ดาห์ วธิ ีการ จบั ลกู กระต่ายนอนหงายในฝา่ มอื ใช้นิว้ มือและน้ิวหวั แม่มือของอีก มือหน่ึงลบู และกดเบา ๆ ทีข่ า้ ง ๆ อวยั วะเพศ จะเหน็ อวัยวะเพศอยู่เหนอื ทวารหนกั ถ้าเหน็ เป็นแท่งกลมยี่นออกมาแสดงว่าเปน็ ตัวผู้ ส่วนตัวเมยี จะเหน็ เป็นรอยผ่ายาว จนเกือบถงึ ทวารหนกั
9 การขยายพันธุ์ กระตา่ ยท่ีจะนามาผสมพันธค์ุ วรมอี ายุอย่างนอ้ ย 5-7 เดือน ขน้ึ อย่กู บั พนั ธหุ์ รอื มี น้าหนักมากกว่า 2.5 กโิ ลกรมั อัตราส่วนของพอ่ พันธ์ตุ ่อแม่พนั ธค์ุ ือ 1 ต่อ 8-10 ตัวและ พ่อพันธุห์ นึง่ ตัวไม่ควรผสมพันธ์ุเกนิ 3 ครั้งตอ่ สปั ดาห์ กระตา่ ยตวั เมียจะมรี อบการเป็นสัด ประมาณ 16 วนั ควรผสมพนั ธ์เุ มือ้ ตวั เมียเป็น สดั เต็มท่ี โดยดทู อี่ วยั วะเพศ ซง่ึ จะบวมแดงมี เมอื กเยมิ้ และกระตา่ ยอาจแสดงอาการกระวนกระวาย ส่งเสียงร้องหรอื ใชเ้ ทา้ ตบพื้นกรง ถา้ เลยี้ งไว้หลายตวั รวมกันตัวท่ีเปน็ สัดอาจข้นึ ขตี่ ัวอ่นื เมอื่ ตัวเมยี เปน็ สดั เตม็ ท่แี ลว้ ใหจ้ ับ กระต่ายตัวเมียไปใสใ่ นกรงตวั ผู้ ตวั เมียจะยกก้นใหต้ วั ผู้ผสมพันธ์ุ หลงั จากผสม พันธุเ์ สรจ็ แล้วตัวผู้จะตกจากหลังตัวเมยี และมักสง่ เสยี งรอ้ งพรอ้ มกับใช้เทา้ ตบพืน้ กรง แมก่ ระต่ายจะต้ังท้องประมาณ 29-35 วัน โดยเฉล่ียประมาณ 31 วนั ในช่วงแรกของ การตง้ั ท้อง ลูก กระตา่ ยจะโตขน้ึ อย่างช้า ๆ หลังจากวันท่ี 15 ของการต้ังทอ้ ง ลูกกระตา่ ยจะ โตข้ึนอย่างรวดเร็ว ดงั นน้ั ควรใหอ้ าหารทม่ี คี ุณค่าสงู และเพมิ่ ปริมาณอาหารใหก้ ับแมก่ ระตา่ ย เมอ่ื แม่กระต่ายต้ังทอ้ งได้ 4 สัปดาห์ ให้นารงั คลอดท่ีปดู ว้ ยฟางหรือหญา้ แห้งไปใส่ในกรงก่อนคลอด 1-2 วัน แม่กระตา่ ยจะกัดขนปู รังคลอด และคาบวสั ดตุ ่างๆ ที่เราจัดไว้ไหม้ า จัดรงั คลอดใหม่ ส่วนใหญแ่ ลว้ แม่กระต่ายจะคลอดใน ตอนเช้ามดื และให้ลกู ครอกละ 5-12 ตวั ลกู กระตา่ ยแรกเกดิ จะยังไม่มีขนขึ้น และยังไม่ลมื ตาแม่ กระต่ายจะใหล้ กู กินนมในตอนเชา้ วันละ 1-2 คร้ังๆละ 3-4 นาที เท่าน้ัน ในช่วงสปั ดาหแ์ รกใหห้ มัน่ สงั เกตหากมีกล่ินเหม็นหรอื ลูกกระต่ายหลายตวั กระโดดออกจากรงั คลอดแสดงว่ามีลูกกระตา่ ยตายใน รงั คลอดให้นาลกู กระตา่ ยทต่ี ายออก เมื่อลกู กระตา่ ยอายุได้ 7 วนั ให้นาวัสดุรองพน้ื ออก พออายุ 10 วันลูกกระต่ายจะลืมตา และมีขนข้ึนเต็มตวั พออายปุ ระมาณ 15 วัน ลูกกระตา่ ยจะเร่มิ ออกจากรงั คลอดและเริ่มกนิ หญ้าหรืออาหารแข็งได้ ลกู กระต่ายจะหยา่ นมเมือ่ อายปุ ระมาณ 5-7 สปั ดาห์
10 บางครัง้ จะพบวา่ แมก่ ระตา่ ยให้ลกู มากเกินไปทาให้ลูกกระต่ายในครอกนน้ั เตบิ โตช้า ผ้เู ลีย้ งจงึ อาจนา ลกู กระต่ายไปฝากแมต่ วั อืน่ เล้ียงได้ แม่ กระตา่ ยท่ีจะนาไปฝากจะตอ้ งคลอด ห่างกัน ไมเ่ กนิ 3 วนั และควรฝากเมอื้ ลกู กระตา่ ยมี อายนุ อ้ ยกวา่ 5 วนั โดยนากระต่ายท่จี ะฝาก ไปถูกบั ขนของแมก่ ระตา่ ยทีจ่ ะรับฝากเลย้ี ง แล้วนาไปรวมกลมุ่ กับลูกกระตา่ ยทม่ี ีอยกู่ ่อน แล้ว ในกรณที ไ่ี มม่ ีแม่กระต่ายใหฝ้ ากเล้ียง อาจนาลกู กระต่ายมาเลยี้ งเองกไ็ ด้ โดยใช้ อาหารแทนนม ดงั ตารางที่ 3 ส่วนขวดนมก็ อาจใชห้ ลอดฉดี ขนาดเล็กหรือหลอดยา หยอดตา โดยทป่ี ลาย ของหลอดมสี ายยางขนาดเลก็ ตอ่ สวมไว้ เพอ่ื ให้ลูกกระต่ายดดู นมจากหลอดได้ และทาการเล้ียงดงั ตารางที่ 4 ตารางท่ี 4 อาหารแทนนมทใี่ ช้เลี้ยงลกู กระตา่ ย สว่ นประกอบ ปรมิ าณ ไข่แดง 1 ฟอง นมผง 120 ลบ.ซม. (ลูกบาศก์เซนติเมตร) น้าสะอาด 120 ลบ.ซม. (ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร) >น้าเช่ือม 15 ลบ.ซม. (ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร) ท่ีมา : Dale L. Brooks, 1986 อายุ ตารางที่ 5 การเลีง้ ดลู กู กระตา่ ยกาพรา้ 1 สปั ดาห์ การเล้ียงดู 2 สปั ดาห์ ป้อนนมวนั ละ 5 ลบ.ซม. วนั ละ 3 เวลา 3 สปั ดาห์ ปอ้ นนมวนั ละ 15 ลบ.ซม. วันละ 3 เวลา ปอ้ นนมวนั ละ 25 ลบ.ซม. วนั ละ 3 เวลา เริ่มใหผ้ ักสด หญ้า และอาหารอัดเม็ด นา 6-8 สัปดาห์ กระตา่ ยออกมาเล่นบ้าง งดให้นม ให้กินผกั สด หญ้า และอาหารอดั เมด็ ที่มา : ดัดแปลงจาก Donald D., Holmes, 1947
11 การปอ้ งกนั และควบคมุ โรค 1. โรคกระตา่ ย เป็นปญั หาท่ที าให้เกิดความเสียหายในการเล้ยี งกระตา่ ยเสมอไม่ว่าจะเล้ยี งกระตา่ ยมาก นอ้ ยเทา่ ใด หรือมีการจัดการท่ดี เี พียงใดกต็ าม การท่จี ะควบคุมโรคกระต่ายใหไ้ ด้ผลดคี วรเนน้ ที่ การปอ้ งกนั ไม่ให้ เกิดโรคขึน้ และรักษาต้งั แต่กระต่ายเร่มิ ปว่ ยเพอ่ื ลดการแพรร่ ะบาดของโรคและ ประหยัดคา่ รักษา สาเหตุของโรคมที ง้ั สาเหตทุ ี่เกิดจากตัวกระตา่ ยเองและสาเหตุภายนอกซ่งึ สาเหตุตา่ งๆ นนั้ อาจจาแนก ได้ดังนี้ 1.1 สภาพแวดลอมทไี่ มเ่ หมาะสม เช่น ใกลแ้ หลง่ เช้อื โรค มพี าหะของเช้ือโรคมาก อากาศที่รอ้ นชน้ื การระบายอากาศท่ีไม่ดเี ปน็ ต้น 1.2 อาหารและนา้ ที่ไม่เพยี งพอหรือมีสิ่งเจือปนทเ่ี ปน็ พิษต่อกระต่าย 1.3 พันธุกรรม โรคหรือลกั ษณะทางพนั ธุกรรมบางอยา่ ง สามารถถ่ายทอดไปยังลกู ได้ เชน่ ลักษณะฟันยื่น ลกั ษณะกระตา่ ยฟันย่นื 1.4 เช้อื โรค ได้แก่ แบคทเี รีย ไวรสั โปรโตชัว พยาธิ เห็บ หมดั เหา ไร เป็นสาเหตทุ ี่ เดน่ ชัดและพบได้เป็น ประจา 2. การป้องกันโรค ทาไดโ้ ดยพยายามลดสาเหตขุ องโรคใหเ้ หลอื น้อยทส่ี ดุ ไดแ้ ก่ 2.1 เลือกชอ้ื กระต่ายที่แข็งแรงและปลอดโรคมาเลี้ยง 2.2 ดูแลกระต่ายให้อย่สู ภาพท่ีสบาย สะอาด ได้รบั อาหารและนา้ เพยี งพอ ไมร่ ้อนเกนิ ไป และมอี ากาศ ถา่ ยเทสะดวก 2.3 หมั่นตรวจและสงั เกตลกั ษณะอาการของกระต่ายเปน็ ประจา ถ้าพบกระต่ายป่วย ควรแยกไปเล้ยี ง ในทเี่ ฉพาะและทาการรักษาทันที ถ้าไม่สามารถรกั ษาไดค้ วรรบี ปรกึ ษาสตั วแพทย์ สา่ หรบั กระต่ายตัว อ่ืนทีย่ งั ไม่ป่วยควรดูแลเปน็ พเิ ศษและทาความสะอาดโรงเรือนให้บ่อยขึ้น 2.4 ไมค่ วรใช้ยาเอง ถา้ ไม่มคี วามร้เู พียงพอ ถ้าจะใช้ยาเองควรทาตามคาแนะนาของ สตั วแพทย์ และ ไมค่ วรใช้ยาโดยไมจ่ าเปน็ เพราะจะทาให้เชื้อโรคตอื้ ยาได้ โรคของกระต่าย 1. พาสเจอรเ์ รลโลลสิ (Pasturellosis) เป็นโรคท่ีพบบ่อยและเป็นปญั หาท่สี าคัญในกระต่าย โรคน้ีมสี าเหตุจากเชือ้ แบคทเี รีย ชอื่ พาสเจอ เรลลา มัลโตซดิ า (Pasturella multocida) ซ่งี ทาให้กระต่ายป่วยและมีอาการ แตกตา่ งกนั ตาม อวัยวะที่ติดเชื้อดงั น้ี
12 1.1 หวดั กระต่ายจะจามบอ่ ย ๆ มนี า้ มกู ไหลออกจากชอ่ งจมูก หายใจไม่สะดวก จมกู และเทา้ หนา้ จะ เปยี กชุ่มและมนี ้ามกู ตดเนอ่ื งจากกระต่ายใช้เท้าหน้าเช็ดจมูก รกั ษาโดย ใหย้ ากนิ เชน่ เพนนิวลิ ลิน วี (Penicillin V ) หรือถ้าไม่แน่ใจใหร้ บี นาไปปรึกษาสตั วแพทย์ 1.2 ปอดบวม มกั เกดิ จากการเป็นหวดั แลว้ ลุกลามเข้าสปู่ อด กระตา่ ยจะหายใจ ลาบาก หอบ และ อาจหายใจดว้ ยท้อง ริมฝีปากและเปลอื กตาจะมีสคี ลา้ ในระยะแรกจะมีไขส้ งู เบื่ออาหารและนอน หมอบนิง่ ลูกกระต่ายถ้าเป็นโรคนสี้ ่วนใหญ่จะตาย สาหรบั กระต่ายใหญ่จะมี โอกาสรอดเพียง 75 % ดงั นน้ั ถา้ พบอาการเช่นนใี้ นกระตา่ ยควรรีบนากระต่ายไปพบ สัตวแพทยท์ ันที 1.3 ตาอกั เสบ มกั เกดิ หลังจากที่กระต่ายเปน็ หวดั เน่ืองจากกระต่ายชอบใช้เทา้ หนา้ เช็ดจมูก ทาให้ เช้อื โรคจากจมกู เข้าสู่ตาไดง้ ่าย อาการเริ่มแรกคือหนังตาและตาขาว อกั เสบ บวมแดง บางครง้ั มีหนอง ส่วนแกว้ ตาจะอกั เสบและขนุ่ ขาว ถ้าไม่รีบรักษาอาจทาใหต้ าบอดได้ การรักษา ลา้ งตาให้สะอาดโดย ใชน้ า้ เกลือออ่ นๆ (0.85%) หรอื นา้ ยาล้างตา แล้วใชย้ าปฏิชวี นะในรูปครมี หรือใช้ยาหยอดตาของ คนทาจนกว่าจะหาย 1.4 อณั ฑะอักเสบ เกดิ จากติดเช้อื ท่ีอณั ฑะ ทาใหล้ กู อัณฑะขยายใหญ่ และมีหนองเมื่อ จับท่ีอณั ฑะจะ รู้สกึ รอ้ นกวา่ ปกติ การอักเสบมกั ลกุ ลามไปทอ่ื วัยวะเพศ ทาใหส้ ามารถติดตอ่ ได้ โดยการผสมพันธ์ุ การ รักษามักไม่ได้ผลจงึ ควรคัดท้งิ 1.5 มดลกู อกั เสบ เกิดจากการติดเช้อื หลงั คลอดลกู หรอื จากการผสมพนั ธ์ุ ผนังมดลกู จะเกิดการ อักเสบ มหี นองภายในโพรงมดลูกและอาจพบหนองถกู ขับออกมาทาง อวัยวะเพศ มกั มีไขส้ ูง เมอื่ คลา ตรวจจะพบว่ามดลกู ขยายใหญ่ การรกั ษาทาไดย้ ากมากและ กระตา่ ยมักจะเป็นหมันจึงควรคัดท้งิ 2. สแตฟฟลิ โลคอคโคซสี (Staphylococcosis) โรคนีม้ ีสาเหตจุ ากเชอื้ แบคทีเรยี ชื่อ สแตฟฟลิ โลคอคคัส ออเรยี ล (Staphylococcus aureus) ทาให้ กระต่ายปว่ ยและมอี าการดังน้ี 2์.1 ฝหี นองใต้ผิวหนัง เกิดจากการติดเชือ้ ทผ่ี ิวหนงั ทาให้เป็น หนองซง่ึ มเี ปลือกหุ้ม เมือ่ ฝสี ุกเปลอื กฝสี ่วนหนึ่งจะบางลงและแตก ออกมหี นองไหลออกมา การรักษา ตอ้ งรอให้ฝสี ุกและเจาะเอาหนองออก ขดู เปลือกฝดี ้านใน ใหส้ ะอาด แลว้ ทาดว้ ยทิงเจอร์ไอโอดนี 2.2 เต้านมอักเสบ เต้านมจะรอ้ น บวมแดง มีไข้ กระตา่ ยตัวทเี่ ป็นอย่างรนุ แรง เต้านม จะมีสีคล้า เยน็ และแข็ง ถ้าพบอาการเช่นน้ีควรคดั ทิ้งหรอื ถ้าไมแ่ น่ใจควรรีบปรึกษาสตั วแพทย์ 2.3 ขอ้ อักเสบ เกิดจากมีบาดแผลทผ่ี ิวหนังบรเิ วณฝ่าเท้าแลว้ เชื้อ โรคลุกลามเข้าสู่ ข้อเทา้ ทาให้ขอ้ บวมแดง เจบ็ ปวด กระตา่ ยอาจมีไข้ และมกั พบบาดแผลทฝี่ า่ เทา้ การรักษา ทาความสะอาดแผล แลว้ ทาดว้ ยทิงเจอร์ไอโอดีน ถา้ มี
13 หนองในขอ้ จะ รกั ษาไดย้ ากและอาจจาเปน็ ตอ้ งตดั ขาเหนือข้อที่อักเสบ ควรปอ้ งกันโดยการดูแลพื้น กรงอย่า ให้มีส่วนแหลมคมยน่ื ออกมาตาเทา้ กระตา่ ย 3. โรคบิด (Coccidiosis) เกดิ จากเชื้อโปรโตชัวพวกไอเมอรเ์ รีย ไดแ้ ก่ Eimeria stiedac, E. irresdua, E.magna ฯลฯ การ ติดต่อจะเกดิ จากโอโอซิส (Oocyst) ของเชื้อทป่ี นมากับอาหารและนา้ อาการ ถา้ เป็นน้อยจะไม่แสดงอาการ แต่ถา้ เป็นมากซงึ่ มกั พบในลูกกระตา่ ยจะทาให้ น้าหนกั ลด ทอ้ งเสยี อาจถ่ายเป็นน้าหรือมเี ลอื ดปน และอาจทาใหต้ ายได้ การรักษา เลือกใช้ยาในกลุ่มซัลฟา (Sulfa) หรือแอมโปรเลยี ม (Amprolium ) 4. โรคพิซเชอร์ (Tizzer 's disease) เกิดจากเชือ้ แบคทีเรยี ชอื่ แบซลิ ลัส ฟิลลฟิ อรม์ สิ (Bacillus pilliformis) มกั พบ ในกระต่ายที่มอี ายุ 7- 12 สปั ดาหม์ ากทส่ี ุด อาการ ท้องเสยี ถ่ายเป็นน้าหรือเลือด ในรายที่เกิดอยา่ งเฉยี บพลันจะมี เลอื ดออก จากลาไสใ้ หญ่ กระตา่ ยจะตายเน่ืองจากเสยี นา้ และเลือดมาก การรักษา ใหย้ าออกซเ่ี ตตรา้ ชัยคลนี (Oxytetracyclin) ละลายน้าใหก้ ิน 5. โรคติดเช้ือ อี.โค.ไล (Colibacillosis) เกดิ จากการเพมิ่ จานวนของเชื้อ E.coli ในทางเดนิ อาหาร กระตา่ ยจะมีอาการทอ้ งเสยี อยา่ งรนุ แรง และตายได้ การรักษา แก้ไขตามอาการ อาจใหย้ าปฎิชีวนะเพ่อื ลดจานวนแบคทีเรียในลาไส้ ให้ น้าเกลือ ลดอาหารข้น เพิ่มอาหารหยาบ 6. เอน็ เทอรโ์ รท๊อกซีเมยี (Enterotoxemia) เกดิ จากเชื้อคลอสตเิ ดียม (Clostridium spp.) ทาให้กระตา่ ยทอ้ งเสียหรอื ตาย อย่างเฉียบพลัน การ รกั ษาเชน่ เดียวกบั โรคติดเชอ้ื อีโคไล 7. ไรในหู (ear mange or ear canker) เกดิ จากไรพวกโชรอบเตส แคนคิ ไุ ล(Psoroptes caniculi) อาการ จะเห็นแผ่นสีนา้ ตาลคลา้ ยขหี้ ซู ้อนเปน็ ช้ัน ๆ ทีด่ ้านในของ ใบหู ถ้าสังเกตดี ๆ จะพบตัวไรขนาดเลก็ สีน้าตาลจานวนมาก กระต่ายทีเ่ ปน็ โรคน้ีจะคนั หทู าใหม้ นั ส่นั หวั และใช้เทา้ เกาหู บางคร้ัง เกดิ การติดเช้อื แบคทีเรียรว่ มดว้ ย ทาใหม้ ีหนองและมกี ล่ินเหมน็ การรกั ษา ทาความสะอาดดา้ นในของใบหู เช็ดด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกใชด์(H202) แล้วทาด้วยข้ีผ้งึ กามะถันให้ทวั่ ควรป้องกนั โดยการตรวจหกู ระต่ายเป็นประจาและทาความ สะอาดกรงและอุปกรณ์ การเลีย้ งเสมอ ๆ 8. ไรทผี่ วิ หนัง (skin mange) เกิดจากไรพวก Sarcoptes scabei , var. cuniculi, Notedes cati var. caniculi อาการ ผวิ หนงั เปน็ สะเก็ดหนาและยน่ ขนรว่ ง พบมากทีป่ ลายจมกู และขอบใบหู การรักษา ขูดผวิ หนังให้สะเก็ดหลุดออก ทาดว้ ยขี้ผึง้ กามะถัน ถ้ายัง
14 ไม่หายควรปรึกษา สัตวแพทย์ การปอ้ งกันและควบคมุ ทาเชน่ เดียวกับโรคไรในหู เกรด็ ความรู้ 1. กระตา่ ยกนิ น้าตายจรงิ หรือไม่? ปกตแิ ลว้ กระตา่ ยเป็นสตั ว์ทีม่ คี วามตอ้ งการนา้ เชน่ เดียวกับสัตว์ชนดิ อืน้ ๆ ถา้ กระตา่ ยได้รบั น้านอ้ ย จะทาให้เตบิ โตช้า แตก่ ารทคี่ นสว่ นใหญเ่ ห็นว่ากระต่ายท่เี ล้ยี งกนั นั้นไม่ไดใ้ ห้นา้ เลยให้แต่ผกั หญ้า ก็ยัง เหน็ กระต่ายปกตดิ ี เน่ืองจากวา่ ในผักและหญา้ นั้นมนี า้ มากเพียงพอท่จี ะทาให้กระตา่ ย มีชีวิตอยู่ได้ แต่ ถา้ ให้น้าเพิม่ ดว้ ยจะทาให้กระต่ายเตบิ โตเร็วย่ิงข้ึน การที่กระต่ายกินน้าแล้วตาย อาจเน่ืองมาจาก พาชนะท่ีใสน่ ้าเป็นชามท่ีกระต่ายสามารถทาลม้ ไดง้ า่ ยทาใหน้ า้ หกเจิง่ นองพ้นื ซึ่งจะทาใหก้ ระต่ายเป็น หวดั หรือปอดบวม และมโี รคอน่ื ๆ แทรกซ้อนจนทาใหต้ ายได้ 2. จบั ทอ้ งกระตา่ ยจะทา้ ใหก้ ระตา่ ยตายจริงหรือไม่? การจบั กระต่ายท่ถี ูกวธิ ีและทาดว้ ยความน่มุ นวลโอกาสทกี่ ระต่ายจะตายน้นั มนี อ้ ยมาก แตส่ ัญชาติ ญาณของกระตา่ ยเมอ่ื โดนจบั บรเิ วณท้องมนั กจ็ ะดิน้ คนท่ีจบั ไม่เปน็ หรือไม่รู้โดยเฉพาะ เดก็ ๆ เมอ้ื เห็น มันดน้ิ กจ็ ะยิง่ จบั หรอื บบี ใหแ้ น่นยิ่งข้ึนเพราะกลัวว่ากระต่ายจะหลุดจากมอื ทาใหอ้ วยั วะภายใน ได้รับ อันตรายจนกระทัง่ กระต่ายชอ็ กตายได้ 3. ทา้ ไมกระต่ายสีขาวจะมตี าสีแดง? การท่ีกระตา่ ยจะมตี าสีอะไรข้ึนกับเมด็ สี (Pigment) ทอ่ี ยใู่ นตา แต่ในกระตา่ ยสขี าวเช่น พนั ธ์ุ นวิ ซีแลนด์ไวท์ หรอื แคลลฟิ อร์เนยี น ไม่มเี มด็ สี ทาให้เห็นเส้นเลือดสีแดงในตาซึ่งจะ สะทอ้ นแสงใหเ้ รา เหน็ ตากระต่ายเป็นสีแดง สว่ นในกระต่ายพนั ธ์พุ นื้ เมืองน้ันมตี าสดี าเน่อื งจากมันมเี มด็ สีเป็นสีดาในตา น่นั เอง 4. กระตา่ ยเป็นสัตว์ท่ีจัดอยู่ในกล่มุ สตั วฟ์ นั แทะเชน่ เดยี วกับหนูใช่หรอื ไม่? แตก่ ่อนนกั สตั ววทิ ยาได้จดั ใหก้ ระตา่ ยอยู่ในกลุ่มสัตวฟ์ ันแทะเช่นเดยี วกับหนู ต่อมาได้พบว่ากระตา่ ย กับหนูน้นั มีข้อแตกต่างกันที่กระตา่ ยมฟี นั ตดั หน้าบน 4 ชี่ ส่วนหนู มีเพียง 2 ช่ี ทาให้มีการจัดกลุ่มใหม่ โดยใหก้ ระต่ายอยู่ในอนั ดับกระต่าย (Order Lagomorpha) และหนูจัดอยใู่ นอันดับสัตว์ฟันแทะ (Order Rodentia) 5. ทา้ ไมชว่ งทีอ่ ากาศรอ้ นจดั ๆ กระตา่ ยถึงชอ็ กตาย? เน่อื งจากกระต่ายเป็นสัตวท์ ไี่ ม่มีตอ่ มเหงื่อ ทาให้การระบายความร้อนเปน็ ไปได้ยาก ในช่วงท่ีอากาศ รอ้ น ๆ กระต่ายจะหายใจถ่ีข้ึน โดยสงั เกตทจี่ มูกจะ สัน่ เร็วข้ึน และมีการ ระบายความรอ้ นท่เี สน้ เลอื ด
15 แดงใหญ่กลางหมู ากขึน้ แต่ก็ยังระบายความรอ้ นไมท่ ันทาให้ อุณหภมู ิในรา่ งกายสงู มากจนถึงขนั้ ทาให้ ชอ็ กตายได้ ตารางที่ 6 คา่ ทางสรรี วทิ ยาของกระตา่ ย ข้อมูล คา่ ช่วงชีวิต 5-13 ปี วยั เจริญพนั ธ์ุ 4-6 เดือน อายุที่เหมาะสาหรับผสมพนั ธุ์ 6-8 เดอื น วงรอบการเปน็ สัด 16 วนั ระยะเวลาตง้ั ท้อง 29-35 วนั อายหุ ย่านม 6-8 สัปดาห์ จานวนโครโมโซม 22 คู่ อุณหภูมริ ่างกาย 101.5 +/- 1 องศาฟาเรนไฮท์ อัตราการหายใจ 35-65 ครง้ั /นาที อัตราการเต้นของหวั ใจ 120-300 ครัง้ /นาที บรรณานุกรม ชมรมกระตา่ ย. 2530. \"การเล้ียงกระต่าย\" มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. (โรเนียว) สงั เวยี น โพธศ์ิ รี. 2528. \"การเล้ียงกระต่าย\". มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สมศักดิ์ บัณฑุปัย. 2528. \"การเลี้ยงกระตา่ ย\" สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าเจ้าคณุ ทหารลาดกระบงั Dale L.Brooks, 1986. Rabbits. Mares, and Pikas (Lagomorpha). In Zoo and Wild Animal Medicine 2 nd edition, W.H. Saunders Company P.711-724. Donaled D., Holmes. 1984. Clinical Laboratory Animal Medicine: and introduction. The Iowa State University. Pas, Amcs. Iowa. p.45-58. National Reseach Council. 1977. Nutrient requirement of rabbits. 2 nd edition, National Academy of Science, Washington D.C.
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: