Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 605-64 ปลายภาค-16

605-64 ปลายภาค-16

Published by weriyamim1109, 2021-11-11 04:39:05

Description: 605-64 ปลายภาค-16

Search

Read the Text Version

ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ➢ ลักษณะการปกครอง มงหใ C การ - พ ร ะ เ จ ้ า ไ ซ ร ั ส. าญร the Great) ทรงรวบรวมดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียวและ าช (Cyrus สถาปนาจักรวรรดิเปอรเ์ ซียขึ้นเมอื่ 550 ปกี ่อนครสิ ต์ศักราช - พระเจ้าดาริอุสมr หานราาจชมา(กD\"ar-iusเ tนhทeางGเrบeอat)เชทยรงปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยแบ่งจักรวรรดิเปอร์เซียออกเป็น 20 มณฑล ผู้ปกครองมณฑลขึ้นตรงต่อกษัตริย์ แต่มีอำนาจเสมือน กษตั รยิ ์ พระเจ้าดาริอสุ มหาราชจึงเปรยี บเสมอื นกษตั ริยข์ องเหลา่ กษตั รยิ ์ (king of kings) - เมื่อ 3r3จบ1กาปรีกส่อนคริสต์ศักราชเมื่อสิ้นสุดสมัยพระเจ้าดาริอุสมหาราช จักรวรรดิเปอร์เซียถูก กองทัพของพระเจา้ อเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งจักรวรรดิกรีกรุกรานและเข้ายึดครองในทสี ุด ➢ มรดกทางวฒั นธรรม : - ศาสนา.โซข.โชราแโอพส๓เตอร์ (Zoroaster) แต่ปัจจุบนั ผู้นบั ถอื ส่วนใหญอ่ พยพไปอยู่ในอินเดียตอนใต้ และเรียกชอื่ ศาสนานใี้ หม่ว่า ศาสนาปาร์ซี (Parsi) - การรับอารยธรรมของชนชาติอื่น เช่น แบบอย่างอักษรจากอักษรคนู ิฟอรม์ ของเมโสโปเตเมีย การใช้ปฏิทินสุริยคติและงานสถาปัตยกรรมของอียิปต์ ชาวเปอร์เซียนจึงเป็นตัวกลางท่ีส่งผ่านระหว่าง อารยธรรมตะวันออกกับอารยธรรมตะวันตก ➢ วิทยาการสำคญั :* ถนrน1 เชปอบอรระเ์ หซียาง*เ(ปRอoyเ aยl - ปา เ น น Road) เชื่อมเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิ สร้างในสมัยพระเจ้าดาริอุส มหาราช และระบบไปรษณีย์ * ▪ ฮิบรห_ู รบอื รยรพิว (Hษebอreรwบรoา r ม Jew) ➢ ลักษณะการปกครอง - ชาวฮิบรูเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนคานาอัน ต่อมาอพยพ ระ ด โมเส. สทเะปเลน็ แผหนู้วกำช'. าวฮบิ รูอพยพกลบั มาท่ดี นิ แดนคานาอนั ไปที่อยี .ปิ ตแ์ ล้วถูกจบั เปน็ ทาส รมน ักคราปขาองเลชาสวไ ตบน - ช า ว ฮิ บ ร ู ส ถ าป น . จ ์ ศูนย์กลางอยู่ที่นครเยรูซาเล็ม ต่อมาแตกแยกเป็น าอาณา 2 ส่วนและถูกยึดครองโดยจักรวรรดิแอสซีเรียน และจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ของพระเจ้า เนบูคัดเนซซาร์ ประชาชนถูกกวาดต้อนไปอยู่บาบิโลเนียใหม่ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การคุมขังแห่ง บาบิโลเนยี ” (The Babylonian Captivity) คส - ดินแดนของฮิบรูก็อยู่ภายใตก้ ารปกครองของเปอร์เซีย กรีก และโรrมัน เมือ่ ค.ศ.70 ชาวฮิบรู เป็นกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน ส่งผลให้ทหารโรมันเข้าทำล,ายบดินแอยดกนปา า→เลแสไตน์ ฮิบรูจึงกลายเป็นชนเผ่า เรร่ อ่ นไม่มีดินแดนเป็นของตนเอง ๓เบอ า าง เ า น ว - หลงั สงครามโลกครง้ั ที่ 2r ฝ่ายสัมพันธมิตรตกลงจดั ตัง้ ประเทศอิสราเอลของชาวฮบิ รมู ีอำนาจอธปิ ไตย ➢ มรดกทางวัฒนธรรม :* เ อก.เ ทอวนนพิยรามห*มช~าวฮิบ\"รูบtูช เอก เทา ย ม ด ี ยว g(พaระnยะjโsฮgวาgห์) กำเนิด าเทพเจ้า อง ค์เ *พัน. ธญสัญญา1เ0ดปมิ ร*ะ(กTาhรe+ OldความเTeนsมtาaชmาวen2t) ทใี่ ห้ความร้เู กีย่ วกับความเปน็ มาของชนชาตฮิ ิบรูและอ่ืนๆ และ ศาสนายูดาห์ (Judaism) ซ่งึ เปน็ พ้นื ฐานของความเช่อื ในศาสนาครสิ ตแ์ ละอิสลามในเวลาต่อมา 38 ัย็ปิตัญับ์ณ่กันิย์ุธัพ่ผ้ล่ฆ์รัย้พ่ว้นูรัผ์ติรูร้ียูยิมีพ์ย้คุรุบ็ปีรีซ์ร่วุอ์ร้สำอัสุอ้หัย

ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บชทื่อท_ี่ _3__พ__ัฒ__น_า_ก__า_ร_ท__า_ง_ป_ร__ะ_ว_ตั __ศิ _า_ส__ต_ร_์ส__ม_ยั _โ_บ__ร_า_ณ__แ_ลชะ้นั ศามส.6น/า_ใ_น_โเลลกขตทะี่_ว_ัน__ต_ก อ เ อง จากชาว ว r '4 อ คำว่า “คริสต์” พฒั นาการ เป็นภาษาอังกฤษแปลมาจากภาษาฮิบรู ขปอาเงลชสาไวตยศนวิ า์ สซปนง่ึ รตาะwคกเทอรเสิศยชตู่ภอย์กิสาmำยรเIใาnนตเoดิอ้กrnขลา้ึนรใแนปปปกรฒัคจะมจรนอุnบธารงณันรขมอ2ขงG,ณ0จu0ักrะon0นรPวั้eนปรเีรปณด็นิโรดถมvินิ่นนั แฐดานน .คไเผอiดู้ืไอ่ย้รถคับ่บ*“oำเเาวลมป่าือสแก“สกคเิ่อมปราว็สินลหตตม์”์”*ัวนแ(เMุษทลeยนยs์ขsซอiaึง่งhพพ) รรแะะปเเจยล้าซวใูไ่าหม้เ่เปผคู็น้ทย่ี ของ ชาว ว ▪ ศาสนrายดู าห์ : รากฐานของศาสนาครสิ ต์ - ชาว ว เชอ า โดย บ ระ บ เ น ว แทน พระเ า อบั ราฮมั เป็นบรรพบุรุษของชาวยิว (บดิ าของชาวยวิ ) ไดร้ บั โองการจากพระเจ้าใหอ้ rพยพชาวยิว นคา_น4า00อ0ัน แ งแ งเห อน เ ม จากดินแดน เ มโ สโ ปเ ต เมีย ม าที่ ด ิน แด ) 1,900 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมา _(ปาเลสไตน์ ตั้งแต่ คานาอนั เกดิ ความแห้งแล้ง ชาวยิวจึงอพยพไปแถบลุ่มแมน่ ำ้ ไนล์ และตกเปน็ ทาสของชาวอียปิ ต์ ป า กชาว ว -โมเสส (แปลว่า ผูร้ อดจากนำ้ ) ได้รับโองการจากพระเจา้ ให้นำชาวยิวอพยพจากอียิปต์กลับมาท่ี าม ไป ไ โมเสส คากนาอัน หมด → แ แต่ทหารอียิปต์ตามไล่ฆ่าถึงทะเลแดง โ ม เ ส ส จ ึ ง ใ ช ้ อ ำ น า จ ข อ ง พ ร ะ เ จ ้ า แ ย ก น ้ ำ ใ น ทะเลชาว แดงว สามารถ ลอย . ใ ๓ ระ รอด พาชาวยิวหนีกลับมา (วันปาสกา) โมเสสรับมอบบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้าไปประกาศศาสนา ยูดาห์และคำสอนของพระเจ้าบนภูเขาไซนาย และกล่าวว่า คานาอันr เป็นดดแินวแดนพระเแาหป่รงะพทาันนธไสัญญาองไปหา น แ ว (Promised Land) อันศักดิ์สิทธิ์ที่พระยะเวห์ทรงประทานให้แก่ชาวยิว ซึ่งชาวยิวเชื่อว่าโมเสสคือ พระเมสสอิ าห์ทจี่ ะชว่ ยชาวยวิ แต่ชาวยิวก็ยงั ประสบความทกุ ขย์ าก จึงเลิกเช่ือวา่ โมเสสเป็นพระเมสสิอาห์ ภาพ น เบส ซอ 7 % ' กเ อ าเ เ ▪ กำเนดิ พระเยซูและศาสนาคริสต์ lแ บ 01 ห อนะ ม 2000 แว น ครสมา * พระเยซู เป็นชาวยิวหรือฮิบรู ประสูติขึ้นเมื่อ.วันที่ 25 ธันว.าคม ค.ศ.1 (Christmas) ณ เมือง งไ อย 1 อ -ว ีอบา ”บ น เบธเลเฮม แคว้นLยeeูดgาsrหeข์ อในงชดาินวแด2นปาเลสไตน์ มี มาร ดา เ ป ็น ช าว บ ้าน บ ร ิ สุทธชาว ิ ์ _ ชื่อว ่า “มาร ชาวคริสต์ wnn จึงเช่ือว่าพระนางมารอี าทรงตั้งครรภ์โดยอานุภาพของพระเจา้ ตอ่ มาสมรสกบั โยเซฟ กmhh ยอม เ น อ ของ เมื่อพระเยซูมีพระชนมายุประมาณ 30 พรรษา ได้ให้ยอห์นที่เป็นนักบุญในศาสนายูดาห์ Jวohลnางtบhาeป ง- ชาว ว แ รอิมนฝ(ั่งแคมา)่น้ำจอร์แดน ป ร ะกอบ พิ ธ ีศีล/จกาุ่มรบใหวช้ - Baptist) ณ และเสด็จไปบำเพญ็ จติ ในปา่ 40 วนั ( พระยะโฮวาห์ไดโ้ อง.กจาากรใตหส้พวรรระเย→ซกนู าเำบคยำลสอนมาประกาศแกช่ าวยวิ คา า- นธ ญญา1 ม พระเยซเู ริ่มประกาศหลักคำสอนพร้อมกับการรักษาความเจ็บปว่ ยทางกายและใจของชาวยิวใน ค ส → ไบเ ล นครเยรูซาเล็ม*ปฐมเทศนาครั้งแรก คือ “การเทศนาบนภูเขา*” โดยได้สาวก 12 คน (เปรียบกับ ักคดำใสอก นะเในจ้ นpเ \"\" ไช / 12 เผ่าพันธุ์ของชาวยิว) เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ศาสนา ห ล ิ ย.ธไร รเ มนมา กกกรรวม่า รื่อ งจร เ ม + ให พิธีกรรม โดยท่ีไม่มีพระประสงค์ทีจ่ ะทำลายหลกั คำสอนเดมิ ของชาวยิว แต่พระองคท์ รงปรับปรงุ เพิ่มเติม คัมภีร์เก่า ชาวยิวOกลุม่ หนึง่ มคี วามเชื่อวา่ พระเยซูเป็นพระเมสสิอาห์ (ต่างจากความเช่ือของศาสนายูดาห์ ที่ยังไม่ปรากฏมา) แต่ชาวยิวhสre่วeนeใgหgsญ.g่ไrมเ่เพชรื่าอะแลอะนแอ → ความ ด ด น พระเยซูที่สอนในสเพราะเปรยนแปลง ความ 1 ช0 ชาว ว ประหาร ต ่ อ ต ้ า น/ ิ่งท่ีขัด ต ่ อ ผ ล ป ร ะ โ ย ช น์ ไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ แสดง ในศาสนสถานเดิม จึงพยายามใส่ร้าย ในที่สุด ถึงความรกั และการเwสียสuลmะขอrงพrรrะrเยrซู โดน กห ง โกย ไพรงะเยซ. ูถอูกหทา หาางราโเรมนันตจรับพตระัวเ แาละลงโทษประหาร คา ฬ -7 สาวก คน 2 ชีวิต โดยการตรึงไม้กางเขน ณ ภูเขาโคลกอต l ก ยก อง เ น เทพ แ ง พระเย ไ น ภาพ 39 ิตัส่ห็ป่ยูถ้ดูซ่ีทูจ้ขุบ็ป่ว้อ้ขัลัหิยักัข่ค่อัชัพ้น่ม้ด่ล้หูพ่มิดิบิร่ดัสัพูยีร์คูทูย่ก่ตัยัธัท้ล่ีคูล่พ็ปักิซุซ้ข่ค่มัยัย์ตัปัว้ล่ีท้ข่ถ้ม้ถัน่ต็ป่ว้ชัล้ล่ัย่ัท้ต่ม้จ้ลุส่ีทัด้ด้ขิย้ํทำก่สูลำน่มิยูล่ฆ์ติยีอิดืม้ล้หัข้จัต็ป่วิยัยัอิยัว่ต้ขิย่ืน่ต

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ฐานอ้างตนเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน สิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุ 33 พรรษา*ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (The Good Friday)*หลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนไปแล้ว* 3 วัน พระองค์ได้ฟื้นคืนชีพ* ☐(กEาsรtไerบDกาaรyใ)อแลยะ→ถ่าเผยยทแพอดศหาสลนักา คอำสอนแก่สาวก เพื่อย้ำให้สาวกมีความเข้าใจ ในหลกั คำสอนและชว่ ยกนั เผยแผค่ ำสอนไปยังดินแดนต่างๆ เป็นเวลา 40 วนั จึงเสดจ็ สสู่ วรรค์ ▪ การขยายตวั ของศาสนาครสิ ต์ ประ ข ศาสนา า st หลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ สน ๓ ป เบา Y ค ณ า 2 คน ได ้ อ อ กเ ท ศ น า ส ื บ ท อ ด ห ล ั ก ค ำ ส อน* นักบุ ญ/ Peter ร* ะr สาวก เปโต ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเยซูให้เป็นหัวหน้าสาวก กลายเป็นประมุขคนแรกของศาสนาคริสต์ หรือ เรยี กวา่ “พระสนั ตะปาปา” (Pope) ไดเ้ ผยแผศ่ าสนาไปถงึ กรงุ โรม แต่ตอ่ มาถกู ตอ่ ตา้ นอย่างหนัก เ นเวลา 3 oo จักรวรรดิโรมันต่อต้านศาสนาคริสต์เรื่อยมา จนกระทั่งใน ค.ศ.313*จักรพรรดิคอนสแตนตินได้ ประกาศพระราชกฤษฎีกาแห่งมิลาน*(Edict od Milan) ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ชาวโรมัน และ*สถาปนาศาสนาครสิ ตเ์ ป็นศาสนาประจำจกั รวรรดโิ รมัน* คัมภีร์ พระครสิ ตธรรมคมั ภีร์ (Bible) ประกอบด้วย 2 ภาค ไดแ้ ก่ 40 เ ม 1. (Old Testament) พันธสญั ญ/ าเดิมหรอื พระคัมภรี เ์ ก่า ภาคแรกของพระครสิ ตธรรมคมั ภีรเ์ ปน็ ภาษาฮิบรูโบราณเกือบท้ังหมด มที ่ีมาจากหลักคำสอน ของศาสนายูดาห์ กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนพระเยซูประสูติ คือ ประวัติการสร้างโลกและมนุษย์ ประวัติ าแ บ ทอด คำสง่ั สอนของปฺระกาศกงจากพระเ ว มา ชนชาตยิ วิ ประวัติและการเผยแผศ่ าสนายดู าห์ของโมเสส บญั ญตั ิ 10 ประการ อม ษ (Prophet) บทสวด บทสดดุ ี สภุ าษิต และบทเพลง 14 เยคน → < ฤพันธสัญญาเดิมเปน็ ต้นแบบและเป็นทีม่ าของศาสนาครสิ ต์ พระเยซไู ดย้ อมรบั และยึดถอื นำมา 25 → นช ไ ไ ลบ าง ของ ชาว ว เป็นหลักคำสอนของศาสนาครสิ ต์ แ แรม และ มา 1ปน คา สวน ง ของ ค ส , บญั ญตั ิ 1. 0 ประการ เป็นหลักธรรมทีพ่ ระเจ้าประทานให้แกช่ าวยิวผา่ นโมเสส ดังนี้ ส มไป ส ๑ 1. จงนมัสการพระยะโฮวาห์องค์เดยี ว (เอกเทวนิยม) 6. อย่าผิดประเวณี ก ๆ ก 2. อยา่ ออกนามพระเจา้ โดยไม่สมเหตุ 7. อย่าลกั ทรัพย์ 3. จงถอื วันพระเจา้ เป็นวนั ศักดสิ์ ทิ ธ์ิ (วันสะบาโต) 8. อยา่ ใส่ความนินทา 4. จงเคารพบิดา-มารดา 9. อย่าคิดมิชอบ 5. อยา่ ฆา่ มนษุ ย์ 10.อย่าโลภในสิ่งของของผอู้ นื่ - ค าย ล 5 2. พนั ธสญั ญาใหม่หรอื พระคัมภรี ์ใหม่ (New Testament) เ ด โดย สาวก → รวบรวม าน ความ แ ละ คน ภาคหลังของพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเป็นภาษาละติน กล่าวถึงเหต_ ุการณ์เมื่อพระเยซู , ก ง อะไร ห ก ธรรม ประสูติแล้ว คือ ชีวิตและคำสอนของพระเยซูและการยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิอาห์ คำทำนาย เ ยน ลงไป เลย เกย่ี วกับวันพพิ ากษาโลก กจิ กรรมทางศาสนา และจดหมายของสาวก ซง่ึ รวบรวมโดยสาวกของพระเยซู ชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาห์ยอมรับเพียงพันธสัญญาเดิม แต่ไม่ยอมรับพันธสัญญาใหม่ เนอื่ งจากไม่เชอื่ ว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจา้ พันธสัญญาใหม่จึงไดร้ ับการยอมรบั ในชาวคริสตเ์ ทา่ นั้น 40 ีขักัถันัล่ตู้ร่ผิกีศ้ป์รุศุท่ยีมิลุม์ติรัน์หูผำน่ติย้ล้ด่มูมูซ่ีท์ยุน่ตัส้ล้ขัพ่ลีมัป็ปุม่ต่รัภ้หัร้ดูป

ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัติศาสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก โดน บไ นแ หลกั คำสอนและความเชื่อ ด กฎ โป Apple ของ พระเ า . ก = ' *บ าปrะ ก ำลเ นาิดงบ*เาปป็น บ า ป ขอ_ง ส างอา ม + บไ ม าจ า ก บ รร พบ ุร ุษ ข องม นุ ษย์ ละเมิดกฎของพระเจ้า ▪o มนุษย ์ที ่ตกทอด กฎทองคง จึงถูกขับไลจ่ ากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ พระยะโฮวาห์ได้สรา้ งสรรพสิง่ รวมท้ังมนุษย์ และใหเ้ สรีภาพแก่ มนุษย์ เพื่อให้รู้คุณค่าของความดีความชั่ว มนุษย์ซึ่งมีจิตใจอ่อนแอ เป็นเหตุให้ทำความชั่วได้ง่ายและ มากขึ้น พระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์กลับข้ึนสวรรค์ โดยเสด็จลงมาไถ่บาปแก่มวลมนุษย์ในนามพระ เมสสอิ าหใ์ ห้มนุษย์มีศรัทธาตอ่ พระเจา้ และปฏบิ ัตติ ามหลักคำสอนแล้วจะไดข้ ึน้ สวรรคเ์ ปน็ การตอบแทน ▪ หลกั ตรีเอกานภุ าพ พระเจา้ มีเพยี งองค์เดียว แต่แบง่ เป็น 3 สภาวะ ได้แก่ 1. พร_ะอบบิดนาสควอืรรพระยะโฮวาห์ พระเจา้ ผู้ทรงสรา้ งโลกและสรรพส่ิง (เอกเทวนิยม) พรrะเบตุา แรลคะไือป สวรร แ สว 2. ู ผู้ทรงกำเนิดเพื่อเสียสละในการไถ่บาปของมนุษย์ให้กลับคืนสู่ พร ะเ ยซ อาณาจกั รของพระเจา้ 3. พระ. อจิตบ มคอื ษจิตวิญญาณศักด์สิ ทิ ธท์ิ พี่ ระเจา้ มาสถติ ในจิตใจของมนุษย์ เพอื่ กระต้นุ ให้มนุษย์ ทำความดี และนำทางไปสู่อาณาจักรของพระเจ้า ▪* หกลฎักทอคงวามร*กั _เปคน็ วาหมวั ใกจใขนอฐงานศะาสเนานคเหรสิอนตม์ ษ วม น การเสยี สละ และการให้อภยั หมายถงึ การให้ - จงรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ สุดความคิดและสุดกำลังของท่าน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง wnnn (มนษุ ยท์ ุกคน) l กคน - คนเราทกุ คนควรรกั กนั เพราะทกุ คนลว้ นเป็นบตุ รของพระเจา้ - จงรกั พระเจา้ ครอบครวั เพอ่ื นบ้าน และเพือ่ นมนษุ ย์ แล้วจะได้รบั ความรกั ของโลกเป็นสงิ่ ตอบแทน - พระเจ้าโปรดให้ฝนตกและแดดออกเหนือคนดีและคนชั่วเหมือนกัน ดังนั้นเราควรรักคนทั้งคนดีและคนชัว่ เ ม → เทศนา และคนท่ีเป็นศัตรูของเราด้วย บน เขา - จงรักศัตรูและอวยพรแก่ผู้ที่แช่งด่าท่าน จงทำคุณแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอวยพรให้แก่ผู้ประทุษร้าย ปฐมเทศนา ของ เคย่ี วเข็ญท่าน เพอื่ ทา่ นทงั้ หลายจะได้เปน็ บุตรของพระบิดาทา่ นทีอ่ ยบู่ นสวรรค์ พระเย อ สาวก แคน - หากผูใ้ ดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เข้าตบด้วย l การใ อ ย ▪ ออ ค บ _ 1 บ า ณ า จ ั ก ร พ ระ เ จ ้ า คือ สวรรค์ ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งความรักหรือจิตใจที่บริสุทธิ์ ผู้ศรัทธาใน อะไร ะ1. ฬอ พระเจ้าอย่างมั่นคง และปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระองค์เท่านั้นถึงจะพบความ-รอดรอด และมจากบาป ีชีวิต \" พพาน / โมกษะ นิรันดร์รวมเป็นอนั หน่ึงเดยี วกันกับพระเจ้า (จดุ มุ่งหมายสูงสดุ ของศาสนาครสิ ต์) คสาย ปรมา ๓ น nร ' น ศาสนพธิ ี แตก าง จาก ทธ ทธ → ไ ใ ป (อ าม , ๆ ปวง เวลา ปอน' ค ส → อ ( ควร , r าง น จะไ เธอ า าไ ~ ศลี ศักด์สิ ทิ ธิ์ คือ ศาสนพิธีทางศาสนาครสิ ต์ในโอกาสตา่ งๆ ทพี่ ระเยซูทรงตัง้ ขึน้ สามารถไป ใ ต ใน น าบ5พ4,ระลลเขาไบบgริส~ุท,▪ธิ์ เศปีล็นลศ้าีลง.บทเี่สานปำบคาัญ(ปศทีล่ีสจดุดุ่ม' )วเมปา็นพไิธีแจารกกบทรรี่ผพู้จะเษป็นคริสต์ศาสนิกชนต้องรับ ล้างบาปกำเนิดเพื่อความ ทำ1คยรงั้งเดบียวในชวี ิต หากเป็นเด็กเกิดใหมจ่ ะอุ้มแล้วจุ่มลงในถังนำ้ ศักด์สิ ิทธ์ิ v ทธมามกะ ท้ังตัว หรอื เทนำ้ บนศีรษะ 3 ครง้ั → 2 ค วใน ทารก 1 ถ ให ๓_ \\ คน าย ศาสนา คน เชน ชาว ส /ไ ~ น เปน็ เครอื่ งหมายว่าได้รบั พระจิตของพระเจา้ เป็นพิธียืนยนั เป็นชาวครสิ ต์โดยสมบูรณ์ แ วแ ▪ ศลี ,กำลงั กาย ' บ พระ ต ของ พระเ า L > บ เ ก โต พอ 1 อง 41 ้รูรัท่ีท็ดักำท้จิจัร้น่ต้ลำท่มำท์ติรัยัย้ยัท่ม่กัว้ชัรำทุพำนักัก้ธัพัร่ีทีศ้ดักัถัวุรุบ้ดัต่ตัท็ป่ว้ช้ช่มำท่ม้ถ่วัก่ต่ต้ขัฏ้หำทิตับิฏ้ข์ติร้ห้ขิตับิฏ้ห่มุพ้คุพ่ตัมูถัอุ่พินัร้กันัภ้ห่ตูซูภำค่ิพุทัก่ร์ยุนืม็ป่ีทัรำค์ยุนักู่ย์ค่ก์คู่ยัร้ลัค้วัรัด้ร้จ้ักิผำท่ต่ลัข

ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก ญ ด y_ 1 เ ยว บ พระเ า \" เ น พระวรกาย + โล ต ของ บาท ก บ ไว AT พระเย, ยาย เปรย *r น ขนม ง แ น เ เ าโบส ป ลป ก สบ ตา ก น อา ต ( น สะ ขา โต 1 บ พระเ า , ▪ ศีลมหาสwนิทฺ (มิสซา) เป็นพิธีระลึกถึงชีวิตและคำสอนของพระเยซูและแสดงถึงความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า*ที่มาจากงานเลี้ยงอาหารเย็นมื้อสุดท้ายระหว่างพระเยซูกับบรรดาสาวก (The Last Supper*) โดยฟังคัมภีร์ รับขนมปังแผ่นเล็กและดื่มเหล้าองุ่นจากบาทหลวง (ศาสนาจารย์) เปรียบกบั เป็นพระวรกายและพระโลหติ ของพระเยซู บาทหลวง เ น พยาน ▪ ศลี สมรส เปน็ พิธีทำสัญญา ประกาศความรกั และความซื่อสัตย์ตลอดชีวติ ต่อ1หน้าพระให้พระเจ้า ทรงทราบ (หยา่ รา้ งไมไ่ ด้) งแไ บ เ อก เ น บาทหลวง เก ▪ ศีลบวช (ศลี อนุกรม) เปน็ พธิ ที ชี่ ายอายุอย่างน้อยเ23 ปจี ะเตรียมตวั และรับคัดเลือกให้ทำหน้าท่ี เป็นบาทหลวง ตอ้ งถือโสดและสมคั รใจท่ีจะอุทศิ ตัวทำภารกจิ เปน็ ศาสนบรกิ าร เพ่ือศาสนาตลอดชวี ติ บาทหลวง บอก า เ ย น / กด _ ยเปม็น น อา ้ ต า - > า กเ า อ ษฐาน า อห น ึ ก ผ ิ ด ไป แสวง ญ ขวา 7 ก า ร ใ ห ้ อภั ย ▪ .ศีลสารภาพบาrป า บาทหลวง พิธีเข าส ร ภ พ บาปต่อบ ทห บ าปจ ะไ ด้รับ ลวงเพ่ือสำ จากพระเจ้า แตโ่ ทษของบาปจะยงั เปน็ กรรมตดิ ตัวไปจนกวา่ จะชดใช้ดว้ ยการเร่มิ ต้นทำความดี ใ ก ล ใจ อ บ โรค ย อไป . c▪ ศีล.เจิมคนไข้ เป็นพิธีชำระบาปครั้งสุดท้ายแก่ผู้ป่วยหนัก เป็นการเตรียมจิตใจ ให้กำลังใจ และ ชาระบาย ด ายสตใิ นการทนทุกข์ พรอ้ มยอมรับความเจบ็ ปวด อนไป &การแยกนิกาย ตะ นตก / ▪ นิกายโรมันคาทอลกิ (Roman Catholic) ใ สคะอในนสกแบารตน0“ตโินร/ม“Xันคคาทโาอทอโลอถิกล”ิก ” มาจากการเ ป็นศาสนาประจำจักรวรรดิ โรมันมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ แ!ป! ลCวแ่ายกสจากง ๆล) ชาวคาทอลิกเชื่อว่าตนเป็นผู้สืบทอดหลักคำสอนของศาสนา คริสตต์ ัง้ แตแ่ รกเร่มิ โรมนั คาทอลิกเป็นนกิ ายท่ีมผี ู้นับถือมากท่ีสดุ ในโลก ผู้นบั ถือเรียกวา่ “ครสิ ตัง” พระเยซูได้กำหนดตำแหน่งประมุขสูงสุดทางศาสนจักร คือ “พระสันตะปาปา” ปัจจุบัน มีสำนกั อยูท่ ่นี ครรัฐวาตกิ ัน ต้ังอยู่ใจกลางกรงุ โรม นบั ถอื แพรห่ ลายในยุโรปใตแ้ ละอเมริกาใต้ • ลักษณะสำคัญ : นิกายโรมันคาทอลิกจะ*นับถือพระนางมารีอาในฐานะแม่พร*ะ และนับถือ นักบุญทุกองค์ มีนักบวช เชื่อเรื่องแดนชำระบาปกอ่ นพิพากษา รับศีลศักดิส์ ิทธิ์ทั้ง 7 ศีล สัญลักษณ์ของ นิกาย คอื *พระเยซูตรงึ ไมก้ างเขน* • ลำดบั สมณศกั ดขิ์ องศาสนาคริสตน์ กิ ายโรมันคาทอลกิ 1. พระสันตะปาปา คือ ประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก องค์ปัจจุบัน คือ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส (ชาวอาร์เจนตนิ า : องค์ท่ี 266) 2. พระสังฆราช (มุขนายก) คือ ประมุขในระดับท้องถิ่น (ประเทศ) ได้รับแต่งตั้งจากวาติกัน โดยตรง หากไดเ้ ลอ่ื นยศเปน็ “พร.ะคกดารระ์ดขนิ นลั า”ย กมสี ทิ ธเิ ลอื กต้งั หรือเสนอช่อื เปน็ สมเด็จพระสนั ตะปาปา 3. บาทหลวง (พระ) คอื บคุ คลท่ไี ดร้ บั คัดเลอื กและเตรยี มตวั บวช ซง่ึ มีอายขุ ั้นตำ่ 23 ปี 4. นกั บ. วสชามชาราถย-หไญิงก1คือ0 บคุ คลที่สมัครใจรบั ใช้ศาสนา เรียกวา่ “บราเดอรแ์ ละซสิ เตอร์” 42 ัมุท้ดำทุมัอิรีดุยัคัถันีรัอ้หัว่ก้ทุส่ตัภักู้ส่ต่ีท้หุบ้น่ติธ่ขุค์ยิทัวำทินิผึนำส้ต้ถ็ด่ต้ัต็ปืลัร้ด่ีท็ปีมัว์ยิทัวุท์ถ้ข้จัก์หุทิตับิฏ่ีทุ้ศ์นัก็ล่ผัปักูซิห็ป้จักีดุสัคำส

ส มผล บ ลปะ → ๙ ดม วหอม ไส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทที่ 3 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก นกาย แรก เ ด ป น7 ' ไ ยม เคารพ \\_ ตะ น ออก ▪ นกิ ายกรีกออร์โธดอกซ์ (Greek Orthodox) / “ออรโ์ ธดอกซ์” มา-จแากงภา2ษโาซกนรีก-' แอ๓ปอกnลว→า่ เจคสอัจญนธสรรแมตแนพรห่ ลายในกล่มุ ประเทศยุโรปตะวันออก ไ ไ แยก จาก โร น คะ ท 0 ก l • ความเป็นมา : หลังจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย โรมันตะวันออกสถาปนาเป็น าง คน าง เ า ! จักรวร*รดไิ บแซนไทนข์ ึน้ ในครสิ ต์ศตวรรษที่ 7 นำไปสกู่ ารแยกนิกายเป็นคร้ังแรก*ด้วยเหตุผลทางการเมือง และวฒั นธรรม นกิ ายกรกี ออรโ์ ธดอกซ์มีศูนย์กลางอยู่กรงุ คอนสแตนตโิ นเปิล*ไม่ยอมรับอำนาจสูงสุดของ พระสนั ตะปาปาทีก่ รงุ โรม* นับถือแพรห่ ลายในยโุ รปตะวนั ออก • ลักษณะสำคัญ : นิกายกรีกออร์โธดอกซ์ไม่ขึ้นต่อศาสนจักรที่วาติกัน ไม่นับถือพระ านาจแ > ลกะพปรรร ส ั นเตกะรงป า ป ่ ะ เ ท ศ มี อ ั ค ร บ ิ ด ร ท ี ่ ม ี อ ำ น า จ เ ท ่ า เ ท ี ย ม ก ั น และไม่นับถือนักบุญ ไม่เชื่อเรื่อง ต แดนชำระบาป ไม่นยิ มบูชารูปเคารพใดๆ แตเ่ คารพภาพเขียนสองมิตขิ องพระเยซแู ทน (icons) มีนักบวช (สมรสได้ ยกเว้นบาทหลวง) สว่ นหลกั คำสอนและศาสนพธิ เี หมือนกับนิกายโรมันคาทอลิกทกุ ประการ 2 d nngdsn เ ดห ง โร นตะ น ตก มสลาย า สภาพ สถานการ แ มาก / มหา ส ท▪ นิกา.ยโปรเตสแตนต์ (Protestant) l ศาสนา เ น ง 1 ยา าง บาป + ด คอ ไ “โปรเตสแตนต์” แปลวา่ ผู้ตอ่ ต้าน ผนู้ ับถือเรียกว่า “คริสเตียน” การส๓สาร นาจ 7 กรพรร Only ม • ความเป็นมา : ใ ห ง 7°° ์ ศ-ตlวรอรษานที่01น6าจ*ม า ง มาก จาก ครส ๓ กร r ว เพราะ เ แน คน ง ง รร การ พร ณ์ นคริสต ร์ ติน ลูเธอ ร์ น* ัก บ ชชาว เยอรมัน ได้วิจาร *ความเสอื่ มของคริสตจักร*ทใ่ี ช้ศาสนาเป*น็ เครอ่ื งแสวงหาผลประโยชน์*เกิดการซ้อื ขายตำแหนง่ ทางศาสนา ซื้อใบไถ่บาปแท_ นคนการบสาปารมภาากพนบาป ห้ามอ่านคัมภีร์ และไม่อนุญาตให้พระสมรสได้ จึงเขียนข้อความ กล่าวโจมตีคริสตจักร 95 ข้อ (95 Theses) ทำให้ถูกคริสตจัก/รไลงสโาทมษารโถดเยจอกพารระขเับาไแล่จวากการเป็นสมาชิก ภาพของศาสนา (บัพพาชนียกรรม) ปัจจุบันนับถือแพร่หลายในยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา • ลักษณะสำคัญ : น×ิกายโปรเตสแตนต์ไม่ขึ้นต่อศาสนจักรที่วาติกัน* ไม่นับถือพระสันตะปาปา และไม่เคารพบูชารูปเคารพใดๆ*โดยเฉพาะพระนางมารีอาและนักบุญต่างๆ ยึดถือหลักคำสอนเฉพาะ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ และเชื่อว่าชาวคริสต์สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้โดยตรง จึงไม่มีนักบวช (มีเพียง ศาสนาจารย์ : สอนให้ชาวคริสต์เข้าถึงพระเจ้าได้ด้วยตนเอง) ศาสนพิธีเน้นพิธีกรรมที่เรียบง่ายตาม พระคัมภีร์จึงรับแค่ศีลล้างบาปและศีลมหาสนิทเท่านั้น สัญลักษณ์ของนิกาย คือ ไม้กางเขนที่ไม่มี พระเยซูถูกตรึง โปรเตสแตนตเ์ ป็นชอ่ื รวมนิกายยอ่ ยกว่า 220 นิกาย เช่น - นกิ ายลเู ธอรนั กอ่ ตัง้ โดยมาร์ตนิ ลูเธอร์ แพรห่ ลายในเยอรมนี และสแ.กนโรดปิเเนหเวอีย - นิกายคา_ลแาวนงแบกบ่อฝตัง้งเจศอสห์น คา.ลแลวนง แพร่หลายในสวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งเรียกวา่ “พวิ ริตัน” (อังกฤษ) หรือ “เพรสไบทีเรยี น” (สกอตแลนด์) - นกิ ายองั rกลงิกกันฤษก่อตั้งโดยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ซึ่งมีพระประสงค์จะหย่าจากพระมเหสีและ อภิเษกสมรสใหม่ แต่พ*ระสนั ตะปาปาไมท่ รงอนุญาต*องั กลิกันเป็นนิกายประจำอังกฤษ ' ใ แยก กาย → ไ สน พระ นตปาปา แ บ ฒนธรรม โร นคาทอ ก บาทหลวง 43 ีมิลัมัวัร่ตัส่มับ้หำทัอัวัค่ัร่อ้นุย้ล้ข่ม้ึขำท้ถ้ัต่ต็ป์รีภัคิดัจำอัมัจูสัทำอ้ต่ตัขัลำนูรึย่มิน้ลัถ่ีพัท็ป่ย์ณ่ลัวัมัลิกีค์คัปำอีม่ก่ต่ตัสัม้ด่มิร่บัว้ัขูริน่มำค้ัขิก่ีทินัหิลุมิศ

วน เห อน สืม่

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บชทือ่ ท_ี่_3__พ__ัฒ__น_า__ก_า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว__ตั _ศิ _า__ส_ต_ร__์ส_ม_ยั__โ_บ_ร_า__ณ__แ_ลชะศนั้ ามส.น6า/ใ_น__โลเลกขตทะวี่__ัน_ต__ก ฟาโร r < พระ เอก → อมตะ ภาวะ เ น เทพ เ า > บวช ญา อารยธรรมอียิปต์เป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำเนิดทางตะวันออก นบือ ขมแอง Nile เ ฉ ี ย งเ ห. อ ฟ ร ิ ก า ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศ ทวีปแ อยี ปิ ต์ และทางตอนเหนอื ของประเทศซดู าน ▪ ปจั จยั ทม่ี ีอทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมอียปิ ต์ - ลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะพื้นที่อียิปต์ล่างเป็นเขต ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแผ่เป็นเนินตะกอนรูปพัด ออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนื่องจากสภาพการไหลของ จุดเดน่ ของอารยธรรมอยี ปิ ต์ คอื อารยธรรม น้ำไน.ลโก์มยีลไหักลษจณาก ะใไห→ล1 ห อ ทส่ี ร้างสรรค์ตอ่ เน่ืองโดยคนกลุ่มเดยี ว แม่ ้าๆ จึงเกิดการสะสม เอื ่อยอย่างช ตะกอนท่อี ุดมสมบูรณ์ และเมือ่ นำ้ ลดหลังฤดนู ำ้ หลากก็จะ ทงิ้ โคลนตมอันเปน็ ปุ๋ยธรรมชาติ ทำให้เอื้อต่อการเกษตรและคมนาคม เฮโรโดตัสกลา่ วไว้ว่า “อียิปต์เป็น จปา กแม่นมอง โลก แI +> 1ม โส - ข อง.ขควนัญ ้ is the gift of the Nile) สะท้อนถึงความสำคัญของแม่น้ำไนล์ที่ได้ ำไ นล์ ” (Egypt ด าแ Nile เ นแ ธรรมดา มอบความอุดมสมบูรณ์ให้แก่อียิปต์ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายที่แห้งแล้งโดยรอบ เปรียบเสมือน ะ ยน มา ใ เจ ญ โอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย ความอุดมสมบูรณ์ทำให้ชาวอียปิ ต์มองโลกในแงบ่ วกมากกว่าเมโสโปเตเมีย นมาไ อยา่ งไรก็ตาม อียปิ ตม์ ที รพั ยากรธรรมชาตคิ อ่ นขา้ งน้อย เน่อื งจากมีภูมปิ ระเทศเปน็ หินทรายเป็นส่วนใหญ่ สอะง ฮ า ร าน การ ลแเ มเดนิเ บาก เกษตร , ชลประทาน → - ท ะ เ ล ท ร า ย. กทราะนเ ตอทาง ร ์ ี ย น ทะเลแดง และที่ราบสูงเอธิโอเปีย อียิปต์ เรเน ทก ย , เ นทาง → ษลอ้อา มยรอบด้วยทะเลทรายท้ังทิศใต้ตะวันตก และตะวนั ออก ส่วนทางด้านทิศเหนือเป็นดิน/ดสะอสนม ตสะากมอนเห→ลี่ยยมธรรกมาชรเากษใตรใน ปากแม่นำ้ ทที่ ำให้ไมส่ ามารถจอดเรอื ได้ เป็นปราการธรรมชาติป้องกันการรกุ รานของข้าศกึ จากภายนอก ชาว ป โบราณ ส างสรร อารยธรรม อ เ อง + ปกครอง อ าง นคง โดย ชนชา เ ยว มา นาน mnnnn การสร้างสรรคอ์ ารยธรรมอียิปต์ l 1ม โส โดน ผ ด น ปกครอง เยอะ มาก ➢ ลกั ษณะการปกครอง กา เทวะ ~ เทพเ า อง ง อารยธรรมอียิปต์มีการปกครอง| ที่มั่นคงและมีกองทัพที่เข้มแข็งกว่า เมโสโปเตเมีย มีผู้นำปกครองสูงสุด คือ*ฟา. โยรหแ์ *ห(Pงh-aงraควoบhม) เ + ็ นกษผล ผ ั ตใ ์ บ ปชช . \\ ะ (กึ่งมนุษยความ1 อ 1 อง ห ง ป ตริย อียิปต์ ทว กึ่ ความ ตาย ที่สถาปนาอำนาจสูงสุด มี ส ถาน ะเ ป ็ น ก ึ่ ง เ ์ ้ า ) ตามคติ งเทพเจ เทวราช ชาวอียิปต์จึงตอ้ งเคารพและเชือ่ ฟงั ฟาโรห์เหมือนเทพเจ้า อียิปต์โบราณเริ่มจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมขนาดใหญ่ เรียกว่า ✓ วน โนมิส (Nomes) ต่อมาแบrง่ เเปนคน็ น 3 31 ราชวงศ)์ ดังนี้ สมัย (มรี าชวงศป์ กครองรวม อวนใหค 1. สมัยอาณาจักรเก่า (2,70า0oo–o 2,200 ปีกด-ะ นาน , ่ ร ิ สดต ์ ศ ั ก ร า ช ) อียิปต์ แบ่งดนิ แดนเปน็ 2 ส่วน ได้แก่ รวม โน แ วแ ง านแกน - อียิปต์บ.นอ ใ(Upper Egypt) เปน็ พนื้ ท่บี รเิ วณท่ีแม่น้ำไนล์ไหลผ่าน หุบเขา เปน็ ทร่ี าบแคบๆ ขนาบดว้ ยหนา้ ผาและทะเลทราย ฟาโรห์ 44 ้ตู่ย่ถ่บ้ลีป่มุส่ญ่ัยุสัป้ลัตัยัอ็ปัล้ร้ขีมัก้หิลำนุค่นำตัชึน์ค้จ่วักัลีดิต่ัม่ย้น่ต์ค้ร์ติยีอัศ่ดัภุอ้ชิตุ๋ปัถำล่ด่ตุรัก้ป้ดัขิร้หำท์ตัอำน่ม็ปำน่ม่วิค์ตัยัอัน้ตำน่มุ่ลัท้ข้น์ห

ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัติศาสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก อ เหนอ - อยี ปิ ตrล์ า่ ง (Lower Egypt) เป็นพ้ืนทีบ่ ริเวณที่แม่น้ำไนล์แยกเป็นแม่น้ำสาขาสู่ปากแม่น้ำ ท่ีมลี ักษณะเป็นเนนิ ตะกอนรปู พกั ซ่งึ ชาวกรกี โบราณเรยี กว่า “เดลตา” ตอ่ มามีการรวมดนิ แดนท้ังสองเข้าเปน็ อาณาจักรเดียวกนั และสถาปนาราชวงศ์ขึ้นปกครอง อียิปต์เป็นครั้งแรก โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่นครเมมฟิส การสร้างพีรrะมิดจำนวคนสมตาย นมานเยอะกเปมาก ็นสาเหตุข อง อานl ใ เวลา า การส้ินสุดสมัยอาณาจักรเก่า -> 2- 3 คน 2. สมัยอาณาจักรกลาง (2,015 – 1,625 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 11 รวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นครทีบส์ ฟาโรห์ในสมัยนี้เน้นการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประ_ชไาชเอานคมนไาปกทรกมวาน่ากส าางรฬสรร้ากงพีระมิดขนาดใหญ่ดังเช่นสมัยอาณาจักรเก่า มีการพัฒนาระบบ ชลประทานเพื่อการเกษตร โดยการจัดทำโครงการระบายน้ำและสร้างเขื่อน ซึ่งช่วยให้สามารถขยาย พน้ื ท่ีเพาะปลูกออกไปได้อีก รวมทัง้ ยงั มกี ารขุดคลองเช่ือมระหว่างแม่น้ำไนลก์ ับทะเลแดง ทำให้สามารถ เดินเรือค้าขายได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ สตรีอียิปต์มีบทบาทไม่ได้ต่ำไปกว่าบุรุษ ราชินีอียิปต์ สามารถทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการได้ เช่น ราชินีฮัตเซบสุต (Hatshepsut) แห่งราชวงศ์ที่ 18 ที่ทรง ควบคุมราชกิจของแผ่นดินได้ทั้งหมด ต่อมาอียิปต์เข้าสู่สมัยแห่งความแตกแยก และถูกรุกรานจาก ภายนอก อารยธรรมจงึ เสอื่ มลง 3. สมัยอาณาจักรใหม่ (1,675 – 1,087 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นสมัยที่อียิปต์กลับมายิ่งใหญ่ อีกคร้งั ขยายอำนาจไปถึงดินแดนเอเชียตะวันออกกลาง ทำให้อียิปต์ร่ำรวยจากการได้เคร่ืองบรรณาการ และทางการค้า สะท้อนจากสิ่งก่อสร้าง เช่น ศาสนสถาน พระราชวัง เป็นต้น ปลายสมัยอาณาจักรใหม่ นักบวชและขนุ นางข้ึนมามีอำนาจแทนฟาโรห์ แต่ในสมยั ฟาโรห์อัคเคนาตนั (Akhenaton) ทรงพยายาม ทำลายอำนาจของกลุ่มนักบวช และ*ปฏิรูปศาสนาโดยเปลี่ยนความเชื่อมาเป็นเอกเทวนิยม๒นับถือ สรุ ยิ เทพอะตนั (Aton) โดยฟาโรหแ์ ละพระราชวงศเ์ ทา่ นัน้ ท่มี สี ิทธิบ์ ชู าเทพเจา้ สว่ นประชาชนต้องเคารพ บชู าฟาโรห์ ส่งผลใหผ้ ู้นบั ถอื เทพเจ้าหลายองคโ์ กรธแค้น จนทำใหอ้ ียิปตเ์ ส่อื มอำนาจลงไปอกี ภายหลังอียิปต์โบราณตกอยู่ภายใต้การปกครองของชนชาติอื่นที่ ผลัดเปลยี่ นเขา้ ยึดครอง ไดแ้ ก่ จักรวรรดแิ อสซีเรียน เนปเชอนรทเ์ ซอยีด ๆกรกี และโรมัน ชว่ งที่จกั รวรรดิกรีกเขา้ ยดึ ครองอยี ิปต์ตรงกบั สมยั พระเจ้าอเลก็ ซานเดอรม์ หาราช มสี าเหตุมาจากการระดมแรงงานมาสรา้ งพรี ะมิดจำนวนมาก ➢ มรดกทางวฒั นธรรม รถ - ความเช่ือ น- บ การส าง แทบ ก วา กษร \" et c. พหุเทวนิยม ชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้าหลายองค์ บูชาเทพเจ้าด้วย ความเคารพ มีความเชื่อว่า เทพเจ้ามีความเมตตาและไม่คิดว่าตนเองเป็นทาส ของพระเจ้า เทพเจ้าที่สำคัญ เช่น เทพเจา้ ราหรือเร (สุรยิ เทพหรือเทพเจ้าแห่ง ดวงอาทิตย์) เป็นเทพเจ้าสูงสุด* เทพเจ้าโอซิริส*(เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่นำ้ ไนลแ์ ละ l วใจ คนตาย แ ยาย ขนนก เทพเจ้ารา 45 ้ท่ัชัหำนัอ่ีสุท่ีนู่น้รักำกีมัพัก่กัม้ร่มุยัอ้ชักู่ย

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก Isis ชาวอียิปต์มุ่งเน้นเรื่อง ความเช่ือโดยไมส่ นใจปรัชญา เทพเจ้าแห่งความตาย) เทพ. เจ้าไอซิส (เทพีแห่งแผ่นดินและความเป็น แม)่ เทพ.เจs้าeเtซต (เทพเจา้ แห่งความชัว่ รา้ ย) เทrพHเจor้าuฮs อรสั (เทพเจา้ แห่ง ฟาโรห์ ชาวอียิปต์นับถือฟาโรห์เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง) เทพr เAจn้าuอbนisูบิส (เทพเจ้าแห่งยr ยมมทบูตาล) เปน็ ตน้ รวมท้ังมกี ารบูชาสตั วต์ า่ งๆ เช่น แมว สนุ ขั วัว เหย่ยี ว จระเข้ หมาใน แกะ สามารถ นคน นไ อยเ ยว บ นอกจากน*้ี ชาวอียปิ ตย์ ังมีความเชอ่ื เรอ่ื งชีวติ หลงั ความตายและอมi ตภาวะ* 1 แทน า ภาพ ไป เลย อมตะ ไ \"- อักษรศาสตร์ / อ ั ก ษ ร เ ฮ ี ย โ รr น ิ การอง ราว ศก สกร → ยาก เป็นอักษร กล ฟฟิก* (Hieroglyphic) ศักดิ์สิทธิ์ มีลักษะเป็นอักษรภาพ 1 ภาพแทน 1 คำ ใช้บันทึก เรื่องราวทางศาสนาและวิทยาการ ต่อมาพัฒนาอักษรเขียน รนเ ฮกี เ องราว กโg(VH→ieาrยatic) ที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น เ ร ี ย ก ว ่ าAอ ั ก.ษ ิ ยราต สl เชย นบน กระดาษ ปา มีลักษณะเป็นตัวเขียนหวัด ท้ายที่สุดมีการพัฒนาเป็นอักษร อกั ษรเฮียโรกลฟิ ฟกิ เดโมติกที่ชาวอียิปต์ใช้กันโดยทั่วไป ช่วงแรกจารึกไว้ที่ผนังถ้ำ หิน ไม้ ดินเผา และพีระมิด ต่อมาค้นพบ วิธีการทำrกfระyดzาษnปาlปoิรุsสจtาsกตs้นtอ้อt ซึ่งขึ้นตามบริเวณริมฝั่งแม่น้ำไนล์ จึงบันทึกลงบนกระดาษมากขึ้น และใชป้ ลอ้ งหญา้ มาตัดเปน็ ปากกาจิ้มน้ำหมึก ต่อมามีการค้นพบจารึกโรเซตตา (Rosetta Stone) ในปี ค.ศ.1799 เป็นจารึกอักษร 3 แบบ คือ ช่วงบนเป็นอักษรเฮียโรกลิฟฟิก ช่วงกลางเป็นอักษรเดโมติก และช่วงท้ายเป็นอักษรกรีก ค้นพบโดย ชอง ฟรังซัว ชองโปลิยอง (Jean Francois Champollion) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสในสมัยจักรพรรดิ นโปเลียนที่ใชว้ ิธแี กะคำจากอกั ษรกรกี จงึ อ่านไดส้ ำเร็จ d -ตะพาก สถนานปาัตงยกรรม % อม ลง \\ศวะ + นวณ ใ เวลา ส าง เ น อย → าด ใหญ . * พีระมิด (pyr.amid) *เป็น ส ุ สาน ข น ่ ท ำ จ า ก หิ น ใชฝ้ ังพระศพของฟาโรห์และ' ควนงใแนรกรสาชางวแงบศบ์ตชานมชคนวโาถม-เงชห่อื งอเมยตบภๆาวะ เพื่อรอการฟื้นคืนชีพเกิดใหม่อีกครั้ง นิยมสร้างในอียิปต์โบราณ สมยั อาณาจักรเก่าเปน็ พีระมิดข้ันบนั ได ต่อมาสร้างเป็นพีระมิดข้ัน มหาพรี ะมิดแหง่ กีซา ข้างเรียบ พีระมิดที่มีชื่อเสียง ได้แก่ พีระมิดของฟาโรห์คีออปส์ (Cheops) เมนเคอร์ (Menkure) และ เชฟเฟรน (Chephren) การสร้างพีระมิดแสดงถึงอำนาจการปกครองของฟาโรห์ ความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ การบริหารจัดการ วิทยาการทางวิศวกรรมและคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตาม พีระมิดแต่ละแห่ง ตอ้ งใช้แรงงานชาวอยี ปิ ตน์ บั แสนคน ใช้คา่ ใชจ้ า่ ยมหาศาล จงึ นำความ*เส่ือมม. อาาสณรู่ าาชกรวโงบศรอ์ ายี ณิปตใ์ นทีส่ ดุ ๆ ต่อมาสมัยอาณาจักรกลาง เปลี่ยนมานิยมสร้างวิห.าใรขงบนาง ดใหญ่หลายแห่งแทนพีระมิดขนาด ใหญ่ เพอ่ื ใชบ้ ชู าเทพเจ้าอะมอน (Amon) และเทพเจ้าโอซริ ิส เชน่ วหิ ารคารน์ คั วิหารอารบ์ ูซมิ เบล - จิตรกรรม ภาพสสี ันสดใสประดับพีระมดิ สว่ นใหญเ่ ปน็ ภาพเทพเจ้า ฟาโรห์ และวิถชี วี ิตของชาวอียิปต์ 46 ูส้ชัจีรัล้ร่ช้สีป้ร็ป้ร้ชำคิวุขีสีมุรัป้น้ข่งำท่ืรึทับัดำทัข์ิภัก่ีก่ค่มำค้ด้ัชัพ

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวตั ิศาสตรส์ มยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก - ประติมากรรม ว เบน ง โต sphinx) นr ใบ ห า เ ยมสน คน *สฟิงซ์ ( * ิ ร ้ า งไ ว้ห น้าพ ี ร ะ ม ิ ด เสาหินโอเบลิสก์ (Obelisk) การ แกะสลักลวดลายและงา\" นปจารกะตนิมทารกายรรแมปงแนูรงปกั้นาปนราะหดายบั 2พีระมิดและวหิ ารเป็นรูปสัญลักษณ์ ของเทพเจ้าทมี่ กั มีเศียรเปน็ สตั วต์ ามธรรมชาตขิ องสัตว์แตล่ ะชนิด และสตั วศ์ ักด์สิ ิทธิ์ตา่ งๆ - วรรณกรรม เสาหินโอเบลิสก์ *คัมภีร์ของผู้ตายหรือคัมภีร์มรณะ (Book of the Dead)*ว่าด้วยเรื่องชีวิตหลังความตายและคู่มือการปฏิบัติตน เพื่อเดินทางสู่ยมโลก จารึกลงบนกระดาษปาปิรุส ตัวอย่าง เนื้อหาเช่น เทพเจา้ โอซิรสิ จะ☐ชัง่ น้ำหrนกั ครวะาหมว่าง/หบาวั ปใจขดองรนผู้ตคานย กับขนนกแห่งความเป็นจริง คนตาย.ตค้อนงปารงะอกะาศวส่า1 ไม่เคยทำ บาป 42 ขอ้ ตอ่ หน้าเทพเจ้าโอซริ สิ หากพดู จรงิ ขนนกจะหนักกวา่ ➢ วทิ ยาการสำคัญ ความรู้ที่ชาวอียิปต์ได้พัฒนาขึ้นและถ่ายทอดต่อไป นั้น ทำใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อสมัยตอ่ มาถึงปัจจุบัน ได้แก่ - การแพทย์ : การใช้ความรู้เรื่องสมุนไพรท*ำมัมม*่ี (Mummy) เพื่อเก็บรักษาศพฟาโรห์ไม่ให้เน่าเปื่อยตามความ เชื่ออมตภาวะ ผ่านกรรมวธิ ีท่ซี ับซ้อนโดยการนำอวัยวะภายใน (ยกเว้นหัวใจ) ออกมาใส่ในโถ ดองศพแล้วพันด้วยผ้าลินิน นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดคนไข้แบบง่ายๆ การคิดค้นวิธีปรุงยา รกั ษาโรคต่างๆ จำนวนมาก และการทำฟันปลอมด้วยงาช้าง - ศวกรรม - ดาราศาสตร์ : การสร้างปฏทิ นิ สรุ ิยคตเิ พ่ือการเพาะปลกู คำนวณเวลา 1 ปีแบง่ เปน็ 12 เดอื น 365 วัน และแบ่งเป็น 3 ฤดกู าล - คณิตศฺาเสงตเรรา์ ร:าดกา๓รบวกมาก ! → Design ฬระ ด สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยม เพื่อการ ลบ หาร การหาพื้นที่วงกลม จดั สรรที่ดนิ และการก่อสร้างพรี ะมดิ - การชลประทาน : การนำน้ำเข้าสู่พื้นที่ที่ห่างไกลจากแม่น้ำไนล์ เพื่อให้เพาะปลูกได้มากขึ้น ใ เนม ระ บ มกี ารทำชาดัฟrเปน็ เคร่อื งตกั น้ำใสค่ ลองชลประทาน เพื่อวิดน้ำจากแม่น้ำไนล์ ซงึ่ เปน็ นวัตกรรมทใ่ี ช้ได้ดี ด ส าง- การ เกษตร → นบ น → เพาะป กไ มาก น คลอง + ➢ การลม่ สลาย ฟาโรน7 → ห งจาก ยกเ ก ตน . อารยธรรมอียิปต์ล่มสลายในสมัยพระนาง/คลีโอพัตรา (Cleopatra) เพราะตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันทีผ่ นวกอียิปต์เป็นดินแดน ส่วนหนง่ึ และยกเลิกตำแหน่งฟาโรห์ ต่อมาช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 7 อียิปต์ หนั ไปนบั ถือศาสนาอิสลามและกลายเปน็ สว่ นหนึ่งของโลกอสิ ลาม กอง พ กรวรร 1 เอส เ ย ขอ งาม โส ดครอง งผนวก เ า บ เปอ เ ย → i ขอ ระ ซย 47 พระนางคลีโอพตั รา ก ก มา ด เบอ เชย L > โร น ด อ ่ตึยัม์รึยีรัยีซ์รัก้ขึย้วิซิดัจัท์หิล้ันัล่ีทัข้ดูลำนักำท้รุขำนัด้ชัม้ณ่กิวิบูด่ชัตัดูถ่ด่ว็ขิหำทัลัตำล็ป้น

ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บชทื่อ_ท_ี่ _3__พ__ัฒ__น_า_ก__า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ตั__ศิ _า_ส__ต_ร_ส์__ม_ยั__โ_บ_ร_า_ณ__แ_ ลชะน้ั ศามส.6น/า_ใ_น_โเลลกขตทะี่_ว_นั__ต_ก เ อ / า ทาง ทะเล → โลก ศ ก างไกล การเจ ญ แปด าน มา ย 4000 , - 3ส / nrnn - เ าแ ด ใน โรป อารยธรรมกรีกเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง บรเิ วณคาบสมทุ รบอลขไา่ นเ ,เน าขาย ทะเล ริมชายฝั่งตะวันออกของทแน เกษตร ¥ ะเล - _ เมดิเตอร์เรเนียน ปัจจุบันอยู่ในป\"รอาะรยเทธรรศมกนรแีซก(สมาแธารณรัฐ เฮเลนิก) ชาวกรีกโบราณเรียกตนเองว่า “เฮลลีน” (Hellen) แ น น น ออกไป ทะเล _ * 2 คาmบสv ทร แ อย มาก ▪ ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมกรกี - ภูเขา (หe)ุบเขา และเนินเขา ภูมิประเทศ ส่วนใหญ่ของกรีซเป็นภูเขาและเนินเขา ที่ราบที่ใช้ จดุ เด่นของอารยธรรมกรีก - เป็นอารยธรรมท่ีผสมผสานระหว่างความ เพาะปลูกมีจำกัด และแม่น้ำสายสั้นๆ ที่ไหลเชี่ยวและ เจรญิ รอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พัดพาดินตะกอน พื้นที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ ไม่เอื้อ - เดน่ ดา้ นการค้าทางทะเล และการเดนิ เรือ ต่อการเกษ.ต+ร มีผลผคมนาคมลิตบทากาง→กปากรคเกรอษง ตรบาไกม,่เยพกียงพพยอากกับ - เป็นพื้นฐานความเจริญทางอารยธรรม พลเมืองที่เกิดขึ้นในภายหลัง และเป็นอุปสรรคต่อการ ของโลกตะวนั ตกโดยเฉพาะยโุ รปในเวลาต่อมา - ชาวกรีกเป็นนักคิด นักปราชญ์ ยึดมั่น ติดต่อผู้คน ทำให้ชาวกรีกตั้งชุมชนท่ีปกครองเป็นอิสระ เหตุผลและความสามารถของมนุษย์ แตกต่าง จากอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์ที่เน้น จากกันตามหุบเขาต่างๆ บางครั้งเกิดการสู้รบทำ การสรรเสรญิ บูชาเทพเจ้า สงครามกนั ทำให้กรีกแบ่งออกเปน็ นค. ปรกรคฐัรอตง่าแงบๆบเ า y สระ นาจ ง กระจาย - ทะเลอีเจียนแ(+ )ละทะเลเมดิเตอร์เรเนียน น มา าขาย บ ใคร เจไป เอา ความ ญ ๆ กรีซมีพื้นที่ที่เป็นชายฝั่งทะเลและหมูเ่ กาะเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวกรีกหนั ไปสนใจท.ำการค้าทางทะเล และการเดินเรือเป็นหลัก มีการสร้างเมืองท่าสำหรับจอดเรือจำนวนมากและค้าขายกับเอเชียไมเนอร์ อียปิ ต์ และดินแดนใกล้เคียง มีสนิ คา้ ทสี่ ำคัญ คือ นำ้ มันมะกอก และเหลา้ อง่นุ การเดนิ ทางไปค้าขายกับ ดินแดนตา่ งๆ ทำใหช้ าวกรกี มีโลกทศั นก์ ว้า/งไผกลไล เมปีคยววาCมไสนบใจคใคว รงร่ ู้ ไทย - ลม า WI nter → หนาว ฝน ตก summe r → อน แ ง→ \\ ~ dry ไWet- , อนมาก ( } c) - , - ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน สามารถเพาะปลูกพืชผลรสเปรี้ยว เช่น ส้ม องุ่น มะนาวก ก - ตะ นตก จ ย เ า ฝน / าง บไทย มะกอก และเสรมิ สรา้ งบรรยากาศแห่งการคดิ และการสร้างสรรค์ เ ยน\" บรรยากาศ เธอ บ การ การสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมกรีก การค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี และเรื่องราวจากตำนานและเทพนิยายต่างๆ ทำให้ สันนิษฐานได้ว่ามีกลุ่มคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนกรีกมาตั้งแต่ยุคหินใหม่บริเวณคาบสมุทร เพโลพอนนีซัส (Peloponnesus) และเกาะครีต (Crete) ในทะเลอีเจียน พบเครื่องมือหิน เคร่ืองปนั้ ดนิ เผา มีการต้งั บา้ นเรือน มา จาก อ ทะเล ▪ สมัยอีเจียเ น (Aegean) อารยธรรมในสมัยอีเจียนเป็นรากฐานของอารยธรรมกรีก ซึ่งมาจากการผสมผสานของ 2 อารยธรรม ได้แก่ เอนอะไร \" เมษา ยน \" คาบส ทร H # \" เกาะ ครก 48 ุม้ขู้รีรักัก่ต้อ้ร่ม้ห้ร่กัจัปัวัร่คัปัรำนัร้ดีร้ม้ันิรัก้คำอิอ้ลัทำลำลำจำจ้นำน่มุมีมัยัท่ถ่ผำน่มุ่ล่กัอำ้น่ม้ถ่ด่ด่มุยุส่ก่ก่ผ่ีทัปัมิร่ืร้ว้ท้ค

ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก king ไมนอ ส ธ ร รมไมภาค นนวสน ' เกิดขึ้นเมื่อ 1,800 – 1,450 ปีก่อนคริสต์ศักราช บริเวณ / 1. อร ารย ท(Mร in. oan) เกาะครตี ทางตอนใต้ของกรซี เป็นสว่ นภาคพน้ื สมุทร ➢ ลักษณะการปกครอง เกาะครีตปกครองโดยชาวครีตหรือครีตัน มีผู้คนอาศัยอยู่ หลายกลุ่ม แตอ่ ย่ภู ายใต้การปกครองของกษัตริย์องคเ์ ดยี วกนั กษัตริย์ท่ีมคี วามสามารถและสร้างรากฐาน ความเจริญบนเกาะครีตมากที่สุด คือ.พระเจ้าไมนอส (Minos*) และความเจริญรุ่งเรืองของ ชาวครีตจึงเรียกตามพระนามของกษตั รยิ พ์ ระองคน์ วี้ ่า “อารยธรรมไมนวน” ➢ มรดกทางวัฒนธรรม อารยธรรมไมนวนเป็น อู่อารยธรรมกรกี ตวั อย่างมรดกทางวฒั นธรรม เช่น - พระ/ราเชสวาัง+Cนไหอeสเ ซนnอดสgเ (fนKtnoอsเsoองs) เป็นพระราชวัง ด อนไ' อมปราการ → ขนาดใหญ่ าย งาม นาย ยน มา - ตัวอักษรลีเนียร์ เอ (Linr e87arวA) ซึ่งปัจจุบันยัง ไม่มผี ู้ใดสามารถ-อา่ ตนรแกลรระมถอนดเคำยแกปล( Fไดre้ sco ) พระราชวงั นอสซอส ➢ การล่มสลาย เกาะครีตปราศจากป้อมปราการและการป้องกันตนเอง จึงถูกชาว ไมซเี นียนจากแผ่นดินใหญ่เข้ารกุ รานและยดึ ครอง 2. อารยธรรมไมซีเนียน (Mycenaean) เกิดขึ้นเมื่อ 1,450 – 1,120 ปีก่อนคริสต์ศักราช บริเวณคาบสมทุ รเพโลพอนนีซัส เปน็ ส่วนภาคพ้นื ทวีป ➢ ลักษณะการปกครอง เมืองไมซีนีปกครองโดยชาวไมซีเนียนหรือเอเคียน (Achaen) ตอ่ มาสามารถยึดครองเกาะครีต และเมอื งทรอยจากสงครามกรุงทรอย (Trojan War) ➢ มรดกทางวัฒนธรรม เช่น รูปเทพเจ้าซูสr เพฮราเหว องย ม → หลาย ซี (Iliad andการผจญ ยของง และโพไซดอน ฯ ล ฯ ม* ห า ก า พ ย์ อ ี เ ล ี ย ด แ ล ะ โ อ. ดิสกก . * ก ษ ก Odyssey) ของมหากวีโฮเมอร์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามกรุง ทรอยและการผจญภัยของวีรบุรุษกรีก โดยใชอ้ ักษรกรีกโบราณที่ ไดร้ ับอทิ ธิพลมาจากอกั ษรอัลฟาเบตของฟนิ เี ชียน และยังใช้อยใู่ น ปัจจุบัน ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญในการศึกษา สงครามกรุงทรอยในมหากาพยอ์ เี ลียด ค้นคว้าเกี่ยวกับอารยธรรมกรีกโบราณ และมีความไพเราะและถ่ายทอดอารมณ์ตลอดจนจินตนาการ ทำให้ร้จู กั อุปนิสัยและวิถชี วี ิตของชาวกรีก นอกจากน้ี ยังมวี รรณกรรมทเ่ี กี่ยวกบั เทพเจ้าและวีรบุรุษกรีก มากมาย ➢ การลม่ สลาย ชาวไมซเี นยี นถูกพวกดอเรียน (Dorian) ซง่ึ มีความดุรา้ ยมากกวา่ เข้ารุกราน และยึดครองโดยเผาทำลายบ้านเมืองของชาวไมซีเนียน ทำให้อารยธรรมบริเวณทะเลอีเจียนต้อง หยุดชะงักไปกว่า 300 ปี เป็นเหตุให้นักประวัติศาสตร์เรียกสมัยนี้ว่า *“ยุคมืดของอารยธรรมกรีก”* (1,120 – 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ทำให้การค้าที่เคยรุ่งเรืองของกรีกต้องมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขาย แทน เชน่ ชาวฟนิ ีเชียน 49 ัรุรุบ์รัภ์คันุหีปูปับัต่งํต่อุจ้ปีม่มืม้ช่ดุจ็ปีมุมัน

ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก บ ทลปะ Classic → !! ▪ สr มัยเฮลเลนกิ (Hellenic) (800 – 336 ปีกอ่ นครสิ ตศ์ ักราช)\" ➢ ลักษณะการปกครอง ธรรมชา สมทรง , สมัยเฮลเลนิกอารยธรรมกรีกฟื้นตัวจากยุคมืด ชาวกรีกเริ่มฟื้นฟูการค้าทางทะเล และสร้าง อารยธรรมใหม่ของตนเองที่เรียกกันว่า “เฮลเลนิส” (Hellenes) เรียกบ้านเมืองตนเองว่า “เฮลลัส” (Hellas) *ปกครองแบบนครรัฐ*(City State) หรือเรียกว่า “โพลิ, การส”การย(กPolis) ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก “Porlปitลiาcกsา” ไแหตวพ่ละบนครรัฐมีพื้นที่น้อยใหญ่แตกต่างกันและต่างปกครองตนเองกระจายตัวเป็นอิสระ จากกัน เนื่องจากมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาที่ควบคุมปกครองลำบาก แต่ละนครรัฐจึงแยกกันอยู่ ตามที่ราบระหว่างหุบเขา พลเมืองมีหน้าที่ในทางการเมืองต่อนครรัฐของตน นครรัฐที่มีขนาดใหญ่และ มบี ทบาทสำคัญ คือ น เด – นครรัฐเอเธนส์ ปกครองโดยระบอบ-ประชาธิปไตย เ อ เ ธ น ส ์ เ ป ็ น ห น ึ ่ ง ใ น เ ม ื อ ง ท ี ่ เ ก่ า แ ก ่ ท ี ่ ส ุ ด แ ห ่ ง ห น ึ ่ ง ข อ ง โ ล ก เจริญขึ้นมาในช่วง 508 – 322 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นดินแดน เริ่มต้นของการปกครองระบอบประชาธิปไตย (ต้นแบบระบอบ ประชาธิปไตยของโลก) ระr ไบบสkาinธgารณรัฐ ลักษณะเป็น เนนิ เขาอะโครโพลสิ ในนครรฐั เอเธนส์ ประชาธิปไตยทางตรง ป* กคร.องโดยสภ7 50ส0 ภ→ ารายาบษฎร แหารก ต่ยังเป็นประชาธิปไตยจำกัด เฉพาะบุคคลที่เป็น พลเมือง (Citizen) เท่านน้ั ทีม่ สี ทิ ธิใ์ นการออกเสยี งลงคะแนน โดยพลเมืองตอ้ งเปน็ เพศชายท่ีเป็นเจ้าของ ที่ดิน อายุ 21 ปีขึ้นไป และเกิดในนครเอเธนส์จากบิดามารดาที่เป็นเสรีชน โดยที่ทาส สตรี และคน ต่างด้าวยังไม่มีสิทธิทางการเมืองและมักถูกเหยียดหยาม ศูนย์กลางอยู่ที่เนินเขาอะโครโพลิส (Acropolis) ในนครเอเธนส์รมิ ชายฝงั่ ทะเล เป็นทตี่ ้งั ของศาสนสถานและสถานทส่ี ำคัญทางราชการ และ มีย่านการค้าของเมืองอยู่ที่อะก. อพวรกาตล(Aาดgo, raอ) ตั้งอยู่ใต้เนินเขาอะโครโพลิส ใช้เป็นตลาด เวทีสาธารณะ มีอาคารบา้ นเรอื นมากมาย / ๔ นาย ทหาร – นครรฐั สปาร์ตา ปกครองโดยระบอบเผด็จการ แบบ☐คณาธิปไตย สปารต์ าเป็นดนิ แดนเรมิ่ ต้น ของการปกครองระบอบ•เผด็จการเบ็ดเสร็จ* คนมีระเบียบวินัย เด็กชายที่มีอายุครบ 7 ปีจะถูกนำไปฝึก ทหาร และจะอนุญาตให้สมรสได้เมื่ออายุ 30 ปี แต่ยังต้องอาศัยอยู่ในกองทหารต่อไปจนถึงอายุ 60 ปี โดยไดร้ บั อนญุ าตใหอ้ อกไปเยย่ี มภรรยาไดเ้ ฉพาะเวลากลางคืน มรด_กทศาาสงนวาฒั ไนธรอรยม ทธ พล ไ เห อน ลอกใคร สมัยเฮลเลนิกเป็น ➢ ลปะด ยา แ ว น มาให original ต \\ ลาสสิก, ของ turope ศ ิ ั ้ ง เ ด ิ ม ข อ ง กรีกหรือ ศิลปะค nnnnn (Classical Art) เป็นศิลปะบริสุทธิ์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากอารยธรรมไมนวน และไมซีเนียน ตลอดจนอารยธรรมอียิปต์และเอเชียไมเนอร์ แล้วจึงพัฒนาเป็น อารยธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง เน้นความสมบูรณ์ สงบ เรียบง่าย อ่อนช้อย เพื่อสรรเสริญและยกย่องพระเจ้า ส่วนใหญ่เจริญในนครรัฐเอเธนส์ที่ เป็นศนู ย์กลางของศลิ ปวิทยาการและปรชั ญา ตวั อยา่ งมรดกทางวัฒนธรรม เชน่ เทพเจ้าซสู วนมาก น คน ธรรมดา → เ น Perfect ! 50 ้น้ึข่ส่ม้ัขำท้ลูถืมูด่มัอีม่ค่มู่ย้ทิร่ฝีม่มินำก้ติรีมิต์ิธุสิริศ

ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ความ เ น อมตะ - ความเช่อื : / นาจ บ บ แบบ คน 1. พหุเทวนิยม ชาวกรีกนับถือเทพเจ้าหลายองค์ บูชาทุกสิ่งในธรรมชาติ แต่นuับถiือเทพเจ้า ซูส (เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและสายฝน) เป็นเทพเจ้าสูงสุดเหนือเทพทั้งปวง เทพเจ้าองค์อื่น เช่น เทพโพไซดอน (เทพเจ้าแห่งท้องทะเล) เทพฮาเดส (เทพเจ้าแห่งความตาย ผู้ครองใต้พิภพ) เทพีอาเธนา (เทพแี หง่ ปัญญาและเทพประจำเอเธนส์) เทพเอรสี (เทพแห่งสงคราม) เทพเฮอร์เมส (เทพแหง่ การค้าและ การส่งข่าว) เทพอพอลโล (เทพแห่งดวงอาทิตย์และการทำนาย) เทพีอโฟร์ไดต์ (เทพีแห่งความงามและ ความรัก) เทพีเฮร่า (เทพแห่งครอบครัว) เทพเฮไฟตัส (เทพแห่งการช่าง) การนับถือเทพเจ้าของกรีก จะเชื่อว่าลักษณะของเทพเจ้าไม่แตกต่างจากมนุษย์ มีอารมณ์ความรู้สึก เรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “มนษุ ยสัณฐานนิยม” ทงั้ นี้ ชาวกรกี ไม่ได้ใ/หไ้ศาสคนวาามเขเชา้อมมาามห อี อทิเ ธยิพง ลมาตกคเหน มือนชาวอยี ิปต์ g 2. มนุษยนยิ ม (Humanism) เช่อื มน่ั ในเห.ใ ตเหผุ ลผแลลอ ะางคเสวามสาม. าสราถง ขควอามงมคนวาุษมเยา์ใจ เจ ญและ ความ าวห า ม ษ {เชอ น 4 3. ปัจเจกชนนิยม (Individualism) รักอิสระและความมีเสรีภาพ มีอิสระทางความคิด → โลก คน ก างไกล ใน reasons . + ก สระ เชือ่ ม่นั ในความคิดของตน ศาสนาไม่มีอทิ ธพิ ลเหนือวถิ ชี ีวติ ของคนมากนัก าง ด อยาก . เห ผล . * 4. ธรรมชาตนิ ิยม (Naturalism) เน้นความสวยงามอ่อนช้อยตามธรรมชาติ เชื่อว่าธรรมชาติ มีกฎเกณฑ์อยู่ในตัว ไม่ขึ้นกับสิ่งเหนือธรรมชาติ แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ หากมนุษยม์ คี วามพยายามในการคดิ และศึกษากจ็ ะเข้าใจกฎเกณฑเ์ หล่าน้ีได้ - ปัญcญinายคากวาารมคิดญ :) การปกครองแบบนครรัฐ ทำให้ชาวกรีกมีอิสรเสรีสูง กรีกจึงเป็นศูนย์รวม นักปรัชญาสำคญั ของโลก เช่น โสเครตสิ (Socrates) บิดาแห่งวชิ าปรชั ญา เสนอแนวทางในการแสวงหาความรู้และความ โใดนยหกาารยตกัง้ คดำใถาสมง ปยลหาายควเปามิด เอง จริงด้วยตนเอง และแนวคิดการใชเ้ หตผุ ลและสติปัญญา เพอื่ กระตุ้นความคิด ให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนแสดงเหตุผลที่ชัดเจน ภายหลังเรียกว่า “วิธีสอน แบบโสเครติส” นอกจากนี้ ยังเสนอแนวคิดการปกครองว่าผู้ปกครองจะต้องมีความรู้และคุณธรรม (Knowledge is vitue) เพลโต (Plato) บิดา.แชหอ่งบวควิชาามปPรeชั rญfecาtการเมือง ผู้ก่อตั้งสำนัก Academy เมื่อ 380 ปีก่อนคริสต์ศักราช ผลงานเด่นคือ หนังสือเรื่องอุตมรัฐ (The Republic) เสนอ แนวคดิ การปกครองว่าควรมีผปู้ กครองเปน็ นักปราชญ์ ไม่เชื่อ ว่าคนไร้การศกึ ษาจะมคี วามสามารถในการปกครอง อริสโตเติล (Aristotle) บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ ผู้ก่อตั้งสำนัก Lyceum เมื่อ 335 ปีก่อน คริสต์ศักราช มีความเชี่ยวชาญห.ลบาอกกหาลไ ายสใคารขแางวไิชาเกนอ้นากงา\"รPหutาควาthe มrigรhู้แtบบmนanิรนinัย tแheละrวigิจhัยtรูปjoแbบ\"บการ ปกครองของนครรฐั กวา่ 150 แหง่ เฮโรโดตัส (Herodotus) บิดาแห่งวิชา☐ประวัติศาสตร์ ผลงานเด่นคือ*บันทึกสงคราม ระหว่างกรกี กบั เปอรเ์ ซีย*(497 – 479 ปกี ่อนครสิ ตศ์ ักราช) อยา่ งมเี หตผุ ลและเปน็ ระบบ 51 ่ยุท้ด่กีม่ม่วู้รัส้หูพัลุมัคำสิอัรุตัมู้รัค่ช้ว่ทัม์ยุน้น้กิร้ขู้ร้รีร่ยุต้ชิวีชีถิว้ีล่ลำน่มำอีม่ีทักัน็ปีม

ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวัติศาสตรส์ มยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก างกาย คน อื่นๆ คือ ฮิปโปเครตีส (บิดาแห่งวิชาแพทยศาสตร์) เฮโรฟิลัส (บิดาแห่งวิชากา,ยวิภาค nrn ศาสตร์) ทูซิดิดีส (นักการทหารและประวัติศาสตร์) ยูคลิด (บิดาแห่งเรขาคณิต ผู้ค้นพบตัวหารร่วมมาก) พีทาโกรัส (นักคณิตศาสตร์ผู้สร้างทฤษฎีสามเหลี่ยม) อาร์คิมีดีส (นักฟิสิกส์ผู้ค้นพบแรงลอยตัว) และ mr เอราทอสธนี สั (นักrภเูมนิศราอสบตวงรโ์)ลเกธลีส (บิดาแหง่ วิชาปรชั ญาตะวันตก) \\ คอ ก เสา - สถาปัตยกรรม : ยม ส าง หาร → ชา เทพเ า 3 ส ย ก กชอบ วหิ ารพารเ์ ธนอน * มีแผ่น มีจุด,เด่นทใี่เสาแnละคไาน หัวเสา แบบ ได้แก่ ดอริก0น ม. . น(ปลายเสาเรียบ สี่เหลี่ยมบนปลายเสาเพื่อรองรับคาน) ไ°อ.อนิก (ปลายเสาม้วนโค้งเป็นรูปกน้ หอยสองข้างซ้าย-ขวา) และ ดาว โครินเธียน (มหา บจ บ . ง ป ล า ย เ ส า เ ป ็ น ล า ยใ บ ไ ม ้ แ ล ะ ด อ ก ไ ม ้ ) เน้นความสวยงามอ่อนช้อย จินตนาการสูง มีหน้าจั่ว , ☐ นิยมสร้างด้วยหินอ่อน ชาวกรีกสร้างสถาปัตยกรรมที่เป็นวิหารบูชาเทพเจ้า เพราะไม่มีกษัตริย์เป็น ประมขุ จึงไมม่ พี ระราชวัง เชน่ วหิ ารพารเ์ ธนอน (Parthenon) สร้างเม2ื่อ- 4493.ฬน ปีกอ่ นคริสตศ์ ักราชบนเนิน เขาอะโครโพลิส ถวายเทพีอาเธbนชาา เน้นความยิ่งใหญ่ เรียบง่าย กลมกลืน ตัวอาคารสร้างด้วยหินอ่อน mnv หลงั คาจั่ว มเี สาหนิ ดอรกิ เรยี งรายคำ้ ยัน โครงสรา้ งได้สัดส่วนสวยงามและมีความสมดลุ - - ประติมากรรม : ชาวกรีกเป็นชนชาติแรกที่สามารถแกะสลักภาพ ก ข าง กร การ ายทอด / ไข ง นเ ย มนุษย์ที่มีรูปร่าง สัดส่วนและสรีระสมจริงตามหลักกายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) t มีความสวยงาม และเป็นธรรมชาติ ส่วนใหญ่รูปปั้นเทพเจ้าที่มีลักษณะ น ธาร ะ มนษุ ยสณั ฐานนยิ ม เน้นแสดงอารมณ☐์ ความรู้สกึ และความcสมบรู ณ์ขอ-งอวัยวะและ กล้ามเนื้อ การเปลือยกายเป็นการแสดงออกถึงความงามของมนุษย์ตามธรรมชาติ เชน่ รูปปั้นเทพเจ้าซูส เทพีวนิ ัส เทพอี ะเธนา นกั ขวา้ งจกั รของไมรอน วิงวิกตอรี งก แจ น → ลวดลาย วา ก - จิตรกรรม : ภาพเขียนบนเครื่องปั้นดินเผา มีลวดลายต่างๆ ทั้งลาย เรขาคณติ รปู คน สตั ว์ ภาพจากเร่อื งราวเทพนิยาย (Mythology) อ โชคชะตา ความ Trบaาgก eม dษy) ละครสุขนาฏกรรม (Comedy)มแสดงสอา ยน ความ บกพ อง ษแ - การละคร : . ล ะ ล ะ ค ร โ ศ_ กนาฏกรร, ม ( เพ่ือ บวงสรวงและเฉลิมฉลองให้แก่เทพเจ้าไดโอนีซัส (เทพแห่งการละคร เหล้าองุ่น และความอุดมสมบูรณ์) สะท้อนความเชื่อและความศรัทธาในเทพเจ้า ส่งผลให้มีการสรา้ งโรงละครกลางแจง้ มอี ัฒจนั ทร์ลอ้ มรอบ ใช้นักแสดงชายท้ังหมด สวมหนา้ กาก มีผู้พากย์และนกั รอ้ งประสานเสียง (Chorus) ชาวกรีกสนใจความสมบูรณ์และพลานามัยของมนุษย์ จึงมีการจัดกีฬาโอลิมปิก เพื่อเฉลิมฉลองเทพเจ้าซูส โดยตั้งชื่อตามชื่อยอดเขาโอลิมปัสอันเป็นที่สถิตของเทพ จัดขึ้นที่เมืองโอลิมเปีย นครรัฐเอลิส บนคาบสมุทร เพโลพอนนีซัส จัดขึ้นทุก 4 ปีเป็นกิจกรรมระหว่างนครรัฐ มีรางวัลเป็นช่อมะกอกป่าขดเป็นพวง ถือเป็นเกียรติยศ สูงสดุ และเป็นต้นแบบของกีฬาโอลิมปกิ สมัยใหม่ 52 ์ยุนำลูส่ต์ยุน่รัล่ีทักุพัคัถัอัย่ถีมัจ้วันูบัปำทัยฺงีป้ตีรัม้จูบิว้รินิร็ป่ร

ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พัฒนาการทางประวตั ิศาสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก การลม่ สลาย➢ _ สงคราม เปอ เ ย นครรัฐของกรีกรวมกำลังกัน เพื่อต่อสู้กับการรุกรานของเปอร์เซียเป็นระยะ จนกองทัพกรีก เป็นฝ่ายชนะ ทำให้เอเธนส์เป็นผู้นำของนครรัฐต่างๆ ของกรีกรอบทะเลอีเจียน จนมีความเจริญสูงสุด ามเพโลพอนระห าง เอเธน สนษ บาตง พสล พอ นาน เซ ยน _ เรยี กว่า “ยคุ ทองแห่งเอเธนส์” ความรุง่ เรืองของน คร รัฐเ อเธน ส์น ำไปสู่ การ เ กดิ ส ง คร นี เ. ชียน แ' เอ เชน (Peloponnesian War) ระหว่างนครรัฐเอเธนส์ (กองทัพทางเรือ) กับนครรัฐสปาร์ตา (กองทัพทางบก) เมื่อ 431 – 404 ปีก่อนคริสต์ศักราช เนื่องจากนครรัฐสปาร์ตาเป็นคู่แข่งสำคัญในการแย่งชิงอำนาจ เพื่อการเป็นผู้นำของนครรัฐต่างๆ ของกรีก นครรัฐเอเธนส์พ่ายแพ้และเริ่มเสื่อมอำนาจ เนื่องจากเกิด โรคระบาด สปาร์ตาเข้าครองอำนาจได้ไม่นานก็เกิดสงครามกับเปอร์เซียและถูกเปอร์เซียยึดครอง ส่วนนครรัฐอื่นต่างแย่งชิงอำนาจกันจนกรีกเสื่อมลง ทำให้แคว้นมาซีโดเนียที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ กรีกขยายอำนาจเขา้ ยึดครองนครรัฐกรกี ได้สำเร็จ ความ สม จร ง ตาม N\" \" \" รก ก a ตะ น ออก 1หมอน Heilenic กระ' ลปะ แบบ ผสม , ▪ สมrยั เฮลเลนสิ ตกิ (Hellenistic) (334 – 146 ปีกอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช) เ ยว แ' ➢ ลกั ษณะการปกครอง + เ บ ปวด t สมัยเฮลเลนิสติกเป็นช่วงที่นครรัฐต่างๆ ของกรีกถกู แคว้นมาซีโดเนยี ภายใต้การนำของพระเจ้า *อเลก็ ซานเดอร์ม*หาราชรกุ ราน และสถาปนาจักรวรรดิ กรีกขยายอำนาจไปกว้างขวางในดินแดนต่างๆ เช่น เมโสโปเตเมีย อียิปต์ ฟินิเชียน และเปอร์เซีย รวมทั้ง นำกองทพั ไปถงึ อินเดยี ➢ มรดกทางวัฒนธรรม / ห ว ชราไป าย ตลาด สมัยเฮลเลนิสติกเป็นสมัยที่กรีกเผยแพร่อารยธรรมของตนไปยัง ด้านตะวันออก จนเกิดศิลปะผสมผสานระหว่างศิลปะกรีกผสมตะวันออก มีเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) ในอียิปต์เป็นศูนย์กลางการค้าและ ศิลปวัฒนธรรมกรีก ศิลปะเฮลเลนิสติกมีความงดงามแบบหรูหรา โดดเด่น ด้านประติมากรรม เป็นรูปปั้นเน้นrแEสmดoงtอioาnรลมา ณ+ ์ทNุกyขtu์ rทaรlisมmานอเจ็บปวด และ ความชรา รวมทัง้ ภาพโมเสก (mosaic) ➢ การลม่ สลาย ประติมากรรมศิลปะเฮลเลนสิ ติก หลังจากท่พี ระเจา้ อเล็กซานเดอร์มหาราชสวรรคต จักรวรรดิกรกี อนั ยง่ิ ใหญ่กแ็ ตกแยก และถูก แบง่ ให้แก่ขนุ ศึกที่*แย่งอำนาจอย่างวุ่นวาย* ทำใหจ้ กั รวรรดิกรีกหมดความสำคญั ลง ในท่สี ุดก็ถูกจักรวรรดิ โรมันผนวกเปน็ ดินแดนสว่ นหนง่ึ เมอื่ 146 ปกี ่อนคริสตศ์ กั ราช 53 ู่ย่จู้ญ่กัข่ีหัวัริศ์ทัล์ส่วีซ์ร

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บชทือ่ ท_ี่_3__พ__ฒั __น_า_ก__า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ัต__ศิ _า_ส__ต_ร_์ส__ม_ยั__โ_บ_ร_า_ณ___แ_ลชะศั้นามสน.6า/ใ_น__โลเลกขตะทว่ี_ัน__ต_ก_ อารยธรรมโรมันเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง บริเวณคาบสมุทรอิตาลี ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ศนู ยก์ ลางอยูท่ กี่ รงุ โรม ปัจจบุ ันอยู่ในประเทศอิตาลี ▪ ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรค์อารยธรรมโรมนั - เทือกเขาแอลปr เหนอ ์และแอพ. เพบรนอไงเนนา ์ ธวางตัว แนวนอนในตอนเหนือและพาดจากเหนือสู่ใต้กลาง คาบสมทุ รอติ าลี ส่งผลให้พน้ื ที่ตง้ั ถ่ินฐานและการเกษตร จดุ เดน่ ของอารยธรรมโรมัน - เป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของอารยธรรม มีน้อย ที่ราบลุ่มแม่น้ำมีน้อย เช่น ลุ่มแม่น้ำไทเบอร์ ตะวันตกสมัยโบราณ โดยรับการถ่ายทอดจาก อารยธรรมกรีกทั้งทางตรงและทางอ้อม ผสม ทำให้ชาวโรมันต้องขยายดนิ แดนไปยังบริเวณใกลเ้ คียง กับวฒั นธรรมดงั้ เดมิ ของพวกอที รัสกนั - เด่นดา้ นแสนยานุภาพทางการทหาร - คาบสมุทรอิตาลี เหมาะเป็นศูนย์กลางการ - ชาวโรมันเป็นนักปฏิบัติ นักรบที่มี อrแลอะกาแร ' ระเบียบวินัย สามัคคี กล้าหาญ อดทน เ ด ิน เ ร ื คเ ้างทกาารง ทะเลทหาร ือเ ป ็น จ ุดเ ช ื ่อม ต ่อกา ร ค้า มคี วามรับผิดชอบตอ่ รัฐ และมีกฎหมายเข้มงวด ถ. ทางทะเล การสร้างสรรคอ์ ารยธรรมโรมัน ➢ ลกั ษณะการปกครอง ▪ สมัยอที รัสกัน (753 – 509 ปีก่อนครสิ ตศ์ กั ราช) บรรพบุรษุ ของโรมัน คอื พวกละติน ซ่งึ อพยพจากตอนเหนอื มาต้งั ถิน่ ฐานเป็นชุมชนเกษตรกรรม ขนาดเล็กเรียกวา่ *“ฟอรมั *” อยบู่ ริเวณลมุ่ แมน่ ำ้ ไทเบอร์ (Tiber) ต้งั แต่ 1,000 ปีก่อนครสิ ต์ศักราช ต่อมา ละตินถูกพวก< ชน อนีทเ รอัสงกโันร น(Etruscan) ที่อพยพมาจากดินแดนเอเชียไมเ,นละอรน์เข้ารุกราน อีทรัสกันได้รับ \" อพยพ อารยธรรมกรีกมาสร้างสรรค์อารยธรรมโรมัน เช่น ตัวอักษร ความเชื่อ เป็นต้น อที รัสกันใช้การปกครอง ระบอบกษตั รยิ เ์ รียกวา่ “อิมพเี รยี ม” (Imperium) ซาร ว หมด ▪ สมยั สาธารณr รกัฐก เ. ยส ปีกอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช) (509 – 27 พวกละตินได้ขับไลก่ ษัตรยิ ์อีทรัสกนั และจดั ต้งั สาธารณรัฐ (Republic) เปน็ ดินแดนแรกของโลก เมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช แบ่งพลเมืองออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มชนชั้นสูงเรียกว่า “แพทริเชียน” (Patrician) มีอำนาจการปกครองเหนือกว่ากลุ่มชนชั้นล่างเรียกว่า “เพลเบียน” (Plebeian) เป็น พลเมืองส่วนใหญ่ที่ไม่มีสิทธิทางการเมืองและสังคม เรียกการปกครองโดยกลุ่มชนชั้นสูงในลักษณะนี้วา่ “อภชิ นาธิปไตย” เป็นลกั ษณะปกครองแบบกระจายอำนาจ ประกอบดว้ ย 2 องคก์ รทคี่ านอำนาจกัน คือ 1. กงสุล (Consuls)r ชรบ . → ประธาน ทำนา หบน้าที่ฝ่ายบริหาร เป็นประมุขแทนกษัตริย์ จำนวน 2 คน วาระ 1 ปี มาจากกลุม่ แพทรเิ ชยี น เนอ่ื งจากการตดั สินใจจะต้องเหน็ พอ้ งกนั อยา่ งเท่าเทียม หากฝ่ายหนึ่งไม่เห็นดว้ ย กส็ ามารถกลา่ วคำว่า Vreปtรoะชซาช่งึ หา มจาายกโถรงึ ไมน่เหน็ ดว้ ย 2. สภา ทำหนา้ ทฝ่ี ่ายr กนก.ิตกิบฎญัหมญายตั ิ แบง่ เป็น เกษตร ป ระบบ \" ประธานา บ งi. 54 ีดิธัยัมิตัถัรัหัซีลูจิตัมืมัพ่ก่ตีด้ขูบ้ทัซ

ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตรส์ มยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก - ส/ ภสภาาเซเงน→ต ข Sหeาn+atลeา)กมารีจำน ว น 300 คน เลือกจากกลุ่มแพทริเชียน ดำรงตำแหน่งตลอด ( - ค าย สว . ชีวิต มหี นา้ ทีค่ วบคมุ การคลงั การตา่ งประเทศ ตัดสินคดี ประกาศสงคราม มีสิทธิยับย้ังมติสภาราษฎร - ส-ภสาภราาษางฎร มีจำนวน 100 คน เลือกจากกลุ่มแพทริเชียนและเพลเบียน มีหน้าที่แต่งตั้ง \" ภ สาย สส . กงสลุ และเจ้าหน้าทีบ่ ริหาร ให้ความยินยอมหรือปฏิเสธกฎหมายที่กงสุลและสภาเซเนตเสนอ และตัดสิน ข้อพพิ าทสำคญั เพราะ เลย เป ยบ + ไ ส n ใด y อย่างไรก็ตาม กลุ่มเพลเบียนซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของโรมันรู้สึกไrม่พอใจกับอำนาจของ กลุ่มแพทริเชียน จนเกิดการต่อสู้ระหว่างชนชั้นขึ้น กลุ่มเพลเบียนเป็นฝ่ายชนะทำให้สภาเซเนต ต้อง ยินยอมให้กลุ่มเพลเบียนมีสิทธิเลือกผู้นำของตนเองเรียกว่า “คณะทรีบูน” (Tribunes) ซึ่งมีสิทธิ์ เ า เพล เ น น , ออกเสยี ง Vetoชi. ส 1 ฬอ ความ เ แ ยม ไ ไ อง การ ด ครอง ระหว่าง 246 – 146 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมันทำ สงคr รโารมนพวิ นบ ิกน(เPชuยnนic→ Wแ aงrผsล) ปกรบั ะโพยวชกนฟบินนิเเชกายี ะนท้ังหมด 3 ครงั้ ท่ี เมอื งคาร์เทจ เป็นเมืองท่าของฟินเิ ชยี นในทะเลเมดเิ ตอร์เรเนียน ผลคือโรมันเป็นฝ่ายชนะทุกครั้งจึงกลายเป็นจ้าวแห่งทะเล เมดิเตอร์เรเนียนแทนฟินิเชียน พัฒนาเป็นจักรวรรดิที่มีอำนาจ สงครามพวิ นกิ มากที่สุดในเวลาต่อมา เนื่องจากผูกขาดการค้าระหวา่ งดินแดนยุโรปและเอเชียไมเนอรจ์ นมีฐานะรำ่ รวย แต่โรมันใหค้ วามสำคญั กับกิจการทหารและการขยายดินแดนมากกว่ากิจการค้าขาย เพราะได้ประโยชน์ จากการขยายดนิ แดนในรูปแบบรฐั บรรณาการและภาษอี ากร ห ง เ ยส ▪g-สมัยจัก/รวรงรใดหิ (2ด7 → ทาง ทหาร ! ถงึ พ.ศ.476) ปกี ่อนครสิ ตศ์ ักราช 22 - จเู ลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) นำกองทพั ยึดอำนาจสาธารณรฐั โรมันเม่ือ 49 ปีก่อนคริสต์ศักราช และปกครองโรมันแบบrเผปลดด็จาวกาลรออจกูเลียส ซีซาร์มีอำนาจ การปกครองสงู สุดในฐาน/ อะผไเู้ ผไดนจ็ ากนาร→แหโด่งนสางธหาารรณรัฐโรมัน - ออคเตเวียน ซีซาร์ (Octavian Caesar) บุตรบุญธรรมของ.จไูเลแียส→ซีซกฬารก์ นอง สามารถปราบมาร์ค แอนโทนี (Mark Anthony) คู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญ ที่ปกครองอียิปต์ร่วมกับพระนางคลีโอพัตรา จากนั้นได้•สถาปนาจักรวรรดิโรมัน* เมื่อ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบกษัตริย์ และสถาปนา *เปน็ จักรพรรดิออกสั ตัส (Aurguอsาtสuอsน)yจักรพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิโรมัน และนำ nnn จาก Pทaหxารof สrันสตะสิภมาคพวาแมหยา่งวใโหร Aจ ั ก ร ว ร ร ด ิ ไ ป ส ู ่ ส มั ย มัน ( Romana*) ตั้งแต่ 27 ปีก่อน คริสต์ศักราช ถึง ค.ศ.180 คือ สมัยท่ีจักรวรรดิโรมันรุ่งเรืองนานกว่า 2 ศตวรรษ สร้างกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ มีแผนการรบที่ชาญฉลาด สามารถบังคับบัญชาอย่างมีประสิทธิภาพ * * ถึงสาย งทวกีป งโรม จนสามารถขยายดินแดนและอารยธรรมโรมันออกไปอย่างกว้างขวาง เ ช ื ่อมต ่อเมือ/งถตน่านง ๆก 3 เขา้ มาสูก่ รุงโรม คือ ทวปี ยโุ รป แอฟริกา (ตอนเหนอื ) และเอเชีย (ตะวนั ออกกลาง) สามารถยึดครองกรีก อียิปต์ ดินแดนเอเชียไมเนอร์ และสเปนได้ทั้งหมด อีกทั้งโรมันเป็นชนชาติแรกที่เริ่มระบบเกณฑ์ทหาร มีการรวมอำนrาสจเาขงเ้าอสกภู่ศาูนพยแ์กงลโารง นจัดระบบการเก็บภาษี สร้างสาธารณูปโภค ขจัดการฉ้อราษฎรบ์ งั หลวง 55 ัม่ห้รุรู่สุ่มุท่ญ้ชูลูล้ท่มัข่ม้ดู่ยุศีปีลูจัลุส่ญ่ิย้ีส่ซิซ่ยัพักัมัย้ต้ด่ม้ท่ทู้ส็ป่ทุนับ้ยีม่มีร่ล้ลุตัรูส

ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทที่ 3 พฒั นาการทางประวัติศาสตรส์ มยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ตลอดจนการปลูกฝงั วัฒนธรรมภาษาละติน สมัยสันติภาพแห่งโรมนั จึงเป็นสมัยที่พลเมืองท้ังจักรวรรดิอยู่ ภายใต้กฎหมายและจักรพรรดเิ ดยี วกัน และใช้ภาษาละตนิ เหมือนกัน - จักรพรรดิคอนสแ_ตนFrตeิeนdมoหmาราชการ บ(Coบnstaนnาtine the Great) \\ แยกจักรวรรดโิ รมนั ในปี ค.ศ.313 เพราะจกั รวรรดิโรมนั มอี าณาเขตกว้างขวาง มากเกินไป เสี่ยงต่อการถูกรุกรานจากอนารยชนตอนเหนือ โดยแบ่งดินแดน เป็น 2 ส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก ศูนย์กลางที่กรุงโรม และจักรวรรดิ โรมันตะวันออก ศูนย์กลางที่กรุงคอนสแตนตโิ นเปลิ (เดิมชื่อเมืองไบเซนทิอุม ปัจจุบันคือนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี) นอกจากนี้ จักรพรรดิคอนสแตนติน มหาราชยัง*ประกาศให้ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมาย*ของจักรวรรดิโรมันตาม พระราชกฤษฎกี าแหง่ มิลาน (Edict of Milan) ใน ค.ศ.313 กอ่ น หน้านี้จักรวรรดิโรมันต่อต้านศาสนาคริสต์ เนื่องจากมีคำสอน ที่กระทบต่อการปกครอง เช่น ให้บูชาพระเจ้าไม่บูชาจักรพรรดิ cegrlls วนยา 2 ต่อมากลายเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมันในสมัยจักรพรรดิ ธโี อโดซิอสุ ที่ 1 เพื่อสรา้ งความเปน็ อันหนึ่งอนั เดยี วกัน ทำใหช้ าวโรมันหันมานับถอื ครสิ ตม์ ากขนึ้ (ครสิ ต์มี หลักคำสอนเรอ่ื งจรยิ ธรรมและการใหก้ ำลงั ใจ แตค่ วามเชื่อเก่ายงั มีเรอ่ื งกิเลสและความไม่เสมอภาค) ภายหลังการแยกจักรวรรดิโรมัน ดินแดนโรมันตะวันออกสถาปนาเป็นจักรวรรดิไบเซนไทน์ ซึ่งเจริญรุ่งเรือง สูงสุดในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เกิดประมวลกฎหมายจัสติเนยี น (Code of Justinian) ในปี ค.ศ.528 ต่อมา เกดิ การแยกนิกายศาสนาครสิ ต์ขึ้นในดินแดนจกั รวรรดิไบเซนไทน์ คอื นกิ ายกรกี ออรโ์ ธดอกซ์ และในท่ีสุด ค.ศ.1453 จกั รวรรดิไบเซนไทนล์ ม่ สลายลงจากการถกู จักรวรรดิออตโตมันรกุ ราน ลกั ษณะเศรษฐกิจ➢ r ขยาย แสนยา ภาพ ทาง การ ทหาร ! โรมันใช้เศรษฐกิจแบบบรรณาการและภาษีอากรโดยอาศัยกำลังทหาร และการขยายดินแดน ออกไปกดขี่ขูดรีดอาณานคิ มในรปู บรรณาการ ส่วย และภาษีอากร รวมทั้งแรงงานทาส มีการตั้งสมาคม อาชพี (Guild) เพื่อรวมกลมุ่ ชนอาชพี เดียวกนั และปกปอ้ งสิทธิประโยชนข์ องพวกตน ➢ มรดกทางวฒั นธรรม - ความเชื่อ : พหุเทวนิยม ชาวโรมันนับถือเทพเจ้าหลายองค์ โดยรับเทพเจ้าของกรีกมานับถือ แต่เพิ่มเติมตำนานเทพต่างๆ และแปลงพระนามใหม่ เช่น เทพจูปีเตอร์ (ซูส) เทพเนปจูน (โพไซดอน) เทพพลูโต (ฮาเดส) เทพีมิเนอร์วา (อาเธนา) เทพเมอร์คิวรี (เฮอร์เมส) เทพีวีนัส (อโฟร์ไดต์) เทพีจูโน (เฮรา่ ) เป็นต้น จกั รวรรดโิ รมนั เปิดเสรีแก่ทุกศาสนาแตต่ ้องเคารพบชู าจกั รพรรดิ ci v- กi.ฎlหawมาย : Cกฎeห/ แมeาแeยสgนิบสgจอาgงกโตoไ ะ๊ _(Laนwแบoบf theCivilTwเ aewlveotTtahbelesW) oเrปld็นประมวลกฎหมายหรอื กฎหมายลายลักษณ์อักษร เกิดจากการเรียกร้องสิทธิทางการปกครองของกลุ่มเพลเบียนจนได้รับสิทธิ ยl น ท- แพ เ ยน เพลา ร ชนะ i ขอ แ ออก กฎหมาย วม น 56 ัก่ร่ค่ขีซิรัข้ต้วึร่ีท่ผุน่สัปำคักัน

* ☐ O

ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก ออกกฎหมายร่วมกับกลุ่มแพทริเชียน ประกอบด้วยมาตราต่างๆ ที่จารึกลงบน แผ่นสำริดจำนวน 12 แผ่น กลายเป็นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มีความเสมอ ภาคและยุติธรรมสำหรับทุกคนในจักรวรรดิโรมัน เนื่องจากกลุ่มแพทริเชียนและ กลุ่มเพลเบียนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันและมีสิทธิอย่างเท่าเทียม และเปิด โอกาสให้กลมุ่ เพลเบียนมีโอกาสเขา้ ดำรงตำแหน่งบรหิ ารทสี่ ำคญั กฎหมายสบิ สอง โต๊ะจงึ เป็นต้น.แบแบไระใบบบปบระแมรกวล(กฉฎหบมแรากยขอบงชราาตชิตาะวันตกและประเทศทว่ั โลก ( ฟอ ม + 1 ย โลก พ ก ) - อักษรศาสตร์ : ภาษาละติน พัฒนาจากอักษรอัลrฟาเบตและอักษรกรีก มีพยัญชนะ 23 ตัว เป็นรากศัพท์ของภาษาอังกฤษและกลุ่มภาษาโรแมนซ์ในยุโรป เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษา อิตาเลียน เป็นต้น ใช้อย่างแพร่หลายในดินแดนจักรวรรดิโรมันอันกว้างใหญ่ ภาษาละตินยังเป็นภาษา * ที่ใช้ในเชงิ วิชาการ กฎหมายสิบสองโตะ๊ ปัจจุบนั เป็นช่อื ศัพท์ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละการแพทย์หลายคำ ถาปัตยกรรม :โร นเอาความ1 ปมนีจกุดกเดไป่นaทa่ีปapรtะตใูโคโด้งดเ(Aนrch) - ส _ ภาพ และหลังคารูปโดม (Dome) รวมทั้งใช้คอนกรีต น มนนท.ี่สโืบทกอาด รม.กราีกน พแวตก่เนท้นส ในการกอ่ สรา้ ง (ชนชาตแิ รก) โดยเปน็ สถาปตั ย'กรบร คว ามเจ รญิ มาจ ากอาร ยธร การประยกุ ต์ดดั แปลงเพ่ือประโยชน์ใช้สอยและความrสคะวดามวสกบสาบย าวยนรแวตมกeตปร่าะงโจยาชนกใกรสีกอทย่ีเน้นความสวยงาม อ่อนช้อยและมีจินตนาการสูง ชาวโรมันเชื่อในชัยชนะและความกล้าหาญของชีวิตปัจจุบันตอบสนอง ความต้องการของชาวโรมันมากกว่าเน้นการบูชาพระเจ้าแบบชาวกรีก ดังนั้นสถาปัตยกรรม จึงแสดงถงึ ความเขม้ แขง็ กล้าหาญ และชัยชนะ มีลกั ษณะใหญโ่ ต ยงิ่ ใหญ่ และแขง็ แรง สถาปตั ยกรรมสำคญั ได้แก่ *วิหารแพนธีออน (Pantheon) สร้างเลียนแบบวิหาร พาร์เธนอนด้วยเทคนิคประตูโค้งและหลังคารูปโดมแทนหน้าจั่วตาม ศิลปะกรีก นับว่าเป็นการแก้ปัญหาทางด้านโครงสร้างและการรับ \\ แบน ออ น นำ้ หนกั ของหลงั คาได้เป็นอย่างดี . ดเ น → ประ โ ง นแ ค งวง กลม r มา จาก โรง ละคร กลาง แ ง ของ ก ก เ โคลอสเซียม (Colosseum) เป็นโนแบบ _ * รง ม ห พก ลางแจ้ง รr ส ฬาขนาดใหญ่ เพื่อความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจของชาวโรมัน โดยใชใ้ นการแขง่ กีฬา ชมการแสดงละครหรอื การตอ่ สู้ พบปะสังสรรค์ และการออกกำลังกาย มีความจุมากกว่าแสนคน ซึ่งต่อมากลายเป็น ตน้ แบบของสนามกีฬาขนาดใหญ่ท่ัวโลก ค าย พระ เ าอโศก ประตชู ัย (Triumphal arch) เปน็ สัญrลกั ษณ์แหง่ ชยั ชนะจากสงคราม Aถนนr โรม1ช0ัมน (นRแoกmนanปกroครaอdงs) เป็นถนนคอนกรีตที่สร้างเชื่อ,มกดลาินง กแดงโนรมที่ยึดครองได้ ใช้ประโยชน์ในการเคลื่อนย้ายกองทัพ/ +จเึงสเกยงิดอคาหำากร ล่าวว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” ถนนบางสายยัง สามารถใชไ้ ดถ้ งึ ปจั จบุ นั นอกจากนีย้ งั ไดส้ รา้ งป้อมปราการอกี ดว้ ย ท่อและสะพานส่งน้ำขนาดใหญ่ (Aqueduct) _จาเกภยงูเขา ไปสูเ่ มืองใชต้ ามบ้านเรือน ทำให้เมอื งใหญ่ของจักรวรรดโิ รมันเติบโต กรุงโรมกลายเป็น/เม1 ืองที่มีปร0งแรก ของ โะลชกาก! รครบ 1 ล้านคนเป็นเมืองแรก ของโลก นอกจากนี้ยังมที อ่ ระบายน้ำเสียจากบ้านเรอื น (Cloacae) • ขา กา → ใ ประกอบ การ งคม ี 57 ัสีธิพ้ชิลิซัมำ้นีลำลีบุร่ีท่ด้ข้ลัก้ต่ึร่ค็ปีร้จ้คูต่ดุจ่ีท้ช่สักัรัอ่ผ่ว้กัถัร่ด้หัรัมำจันิลัช์ริพูดูบัรับัข่ช่ม่ต

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พัฒนาการทางประวัติศาสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก พบปะ งสรร น โรงอ. าบน้ำสาธารณะ (Roman Bath) ใหมาก C > ๙คลอ ชา บ มา → ก า สนาม ฬา 5 เ า สนามแขง่ รถมา้ (Circus Maximus)r ให → คนไ เปน แสน ศ น - ป ระไ ต ิ มอายกเ รนร→ม : งานความเ แกนก ะกส ดเจน เ ห ม ื อ น บ ุ ค ค ล ส ำ/ค ั กรพรร ่ า,ค ่ อ น บ น และภาพนูนต่ำ . รึ่ งท ลักรูป ญในท เปน็ ประตมิ ากรรมทด่ี ดั แปลงจากศลิ ปะกรกี เนน้ ความสมจริง - วรร✓ณเ ยกนรแรบมบ:กนกกั แปรเะนพเนั อธงท์ จสี่ งำค→ัญอขวยองกโรรวมรนั ร ไ,ดแ้ กกร่พรร เวอรจ์ ิล (Virgil)&ประพนั ธ์เรอื่ งมหากาพย์เ.อเนเบยี รกดก(Aงโeรnมeidg) เพ่ือสดุดี ความยิ่งใหญ่ของชาวโรมนั กล่าวถึงชาวโทรจัน (Trojan) หรือทรอยที่บรรพบุรษุ ของโรมูลัส (Romulus) สะท้อนถึงความจงรักภักดีต่อจักรวรรดิ และความ รับผดิ ชอบตอ่ หน้าทขี่ องชาวโรมัน โรมูลัสและเรมุสเป็นพนี่ ้องฝาแฝด โอรสของเทพเจา้ มารท์ เ่ี ปน็ ผู้สรา้ งกรุงโรมตามตำนานของชาวโรมนั ซิเซโร_ (Cicero)เสยกสผ ปค . ปกรกะาพรเันอธง์ร้ →ใ แภกาษ้วาเสกวี่ยย วมากกับ ข้ อเ ขี ยน ทาง กา รเ ม ือง แล ะจริ ยธร รม ใช้โวหาร อย ประชดประชนั เสยี ดสพี ฤติกรรมด้านศลี ธรรมของผู้ปกครอง จเู ลียส ซซี าร์ บนั ทึกสงครามกอล (Gallic War) ➢ วิทยาการ *- การแพทย์ :aการผ่าตัดหน้าท้องทำคลอดทารกจากครรภ์มารดา* หรือศัลยกรรมแบบซีซาร์ (Caesarean Section) ซงึ่ จเู ลยี_สเ นซคีซงาแรร์เกป็นทารกคนแรกของโลกที่ทำคลอดดว้ ยวิธนี ้ี นอกจากนยี้ ังมีการ ใชย้ าสลบ เครอื่ งมอื ผา่ ตัด มแี พทยแ์ ละพยาบาลประจำในสนามรบ อน July ก- การนับเวลา :*ปฏทิ นิ จูเลียน (Julian calendar) เกดิ ขึน้ โดยจเู ลยี rสi ซซี ารท์ ก่ี ำหนดให้มีปฏิทิน นับเวลาที่แน่นอน เกิดเป็นปฏิทิน 12 เดือน มี 365 วัน และทุก 4 ปีจะมี 1 วันเพิ่มขึ้น ซึ่งกลายเป็น ต้นแบบปฏิทินสมัยใหม่ที่ใช้แพร่หลายทั่วโลก ใช้มานานถึง 1,600 ปีจึงมีการปรับปรุงเป็นปฏิทิน เกรกอเรียน (Gregorian Calendar) - วิศวกรรมทางทหาร : เช่น การสร้างค่ายทหาร (Camp) อาวุธต่างๆ การขุดอุโมงค์ สะพาน ถนน อปุ กรณก์ ารปิดลอ้ ม การสร้างแนวป้องกัน เรือรบจนครอบครองทั้งน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ ➢ การลม่ สลาย ก าง เ นไป r \" ใ กราน จักรวรรดิโรมันเผชิญกับการรุกรานจากภายนอก ย 476น ดส าน โดยเฉพาะอนารยชนจากตอนเหนือ จนกระทั่งในป←ี ค.ศ/ . * สบ โรมันตะวนั ตกถูกรุกรานจากอนารยชนเผ่าเยอรมนั (ตวิ โตนิก) ท่นี ำโดยโอโดเอเซอร์ (Odoacer) เปน็ แมท่ พั เข้ายึดกรงุ โรมจากจักรพรรดิโรมิลลสั ออกัสตสั (Romulus Augustus) ซึ่งถือว่าเป็น*จุดสิ้นสุดของอารยธรรมตะวันตกสมัยโบราณ* แต่โรมันตะวันออกยังคงอยู่ใน นามจักรวรรดิไบแซนไทน์ในสมัยกลางของยุโรปจนล่มสลายใน ค.ศ.1453 เนื่องจากถูกพวกเติร์กเข้ายึด ครองรวมเป็นส่วนหน่งึ ของจกั รวรรดอิ อตโตมัน 58 ้รัมุสักุรีม้หำทิก้ว้ก้ัร็ป้ชืมันุรำกิดัจิดัจิร่ืร้น่ตีรีขิวัอิดัจัชัร็ปีม้น่ค่ม้ดุป่ทีก่ว่ญัซ่ญัก์คัส

ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 ชอ่ื ___บ_ท__ท_ี่_4__พ__ฒั __น_า__ก_า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ตั__ิศ_า_ส__ต_ร_ต์__ะ_ว_นั ชตั้นกแมล.6ะ/ศ_า_ส_นเลาขสทมัยี่__ก_ล__าง บทที่ 4 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง การสถาปนาจกั รวรรดิโรมนั อันศักดิ์สิทธิ์ ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยกลาง เรียกสมยั นว้ี า่ “ยคุ มดื ” เพราะเหตใุ ด ▪ ค ร ิ ส ต ์ศ. ต เ า ษนทมี่ า 5 - 8ดเ อย y เม ื ่ อโ ร ม ัน ต ะว ันตก ล ่ มสล าย ในปี มีสภาพการปกครอง เศรษฐกิจ และ การสรา้ งสรรคท์ างวฒั นธรรมอย่างไร ว รร ค.ศ.476 กรุงโรมถูกอนารยชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนยุโรป เช่น แฟรงค์ ออสโตรกอต ลอมบาร์ด แองโกลแซกซอน เบอร์กันเดียน วิซิกอท แวนดัล เป็นต้น ได้เข้ายึดครองดินแดนสำคัญในยุโรป แตกแยกเป็นแควน้ เล็กๆ กระจายอำนาจเปน็ อิสระ สภาพบ้านเมือง ไม่สงบ มีการสู้รบอยู่ตลอด ผู้คนหนีอrอกกงจโรามกทเมดือโงทไรปมอลยงู่ตามชนบท ต่อมาชนเผ่าต่างๆ ก็ล่มสลายเหลือเพียงแองโกลแซกซันในอังกฤษ ปจั จบุ นั และแฟรงคใ์ นฝรงั่ เศสปจั จุบัน -ฑ๊sแฟรง สถาปนา โร นห งจาก โดนแ งมานาน สบ ▪ ครสิ r ตศ์ ตวรรษที่ 9 จักรพรรดิชาร์เลอมาญ (Charlemange) พระสนั ตะปาปาลีโอที่ 3 สวมมงกุฎ ผู้นำอนารยชนพวกcแฟรoงค์ไดย้ราววหบรวมดแควน้ ต่างๆ สถาปนาจักรวรรดิ สถาปนาจักรพรรดิชารเ์ ลอมาญ ค /ใ นาจ พระ นตปาปา E→mpนiาrจeเห) คยรอกาบรตครลมุ ดนิ แดนโรมัน โรมันอนั ศกั ดิส์ ิทธิ์ (Holy Roman ในพิธีราชาภเิ ษก ค.ศ.782 ตะวันตกเดิมเกอื บทง้ั หมด สถาปนาราชวงศ์คาโรลิงเจียน ซึง่ อยภู่ ายใต้การสนับสนุนของพระสนั ตะปาปา ที่กรุงโรม ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ศาสนจักรเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปกครองตั้งแต่ต้นสมัยกลาง มีอำนาจ เหนอื กษัตริย์ผ่านพธิ ีครองราชสมบัติ ภายหลังสนิ้ สมยั จักรพรรดชิ ารเ์ ลอมาญ จกั รวรรดโิ รมนั อันศกั ดิ์สิทธิ์ ก็แตกแยกอกี ครัง้ เกิดการแยง่ ชิงอำนาจในหมรู่ าชวงศ์ ไอนแอ , ปก ของ ปชช . โม ว กราน\\ พวกไว จาก สงบ เหรอ → การตร การเพิม่ อำนาจของกลุ่มขนุ นาง ▪ สาเหตุ : อนารยชนพวกไวก้ิงจากยุโรปเหนอื เข้ารุกราน กษัตรยิ ์อ่อนแอปกปอ้ งประชาชนไมไ่ ด้ ▪ ผล : กลุ่มขุนนางถือโอกาสรวมตัวสร้างอำนาจอิสระ สร้างปราสาทและป้อมปราการต่อสู้ ตา้ นทานพวกไวกงิ้ ทำให้ประชาชนเขา้ มาขอพึง่ พงิ กลมุ่ ขุนนาง นำไปสู่ระบบศักr ดระนิ บาบสวใามิภกันาดจิ์ แ นนาง นนาง' ไ บ การ ยอม บ จาก ปชช . น นาจ → การตาย ใ นาจ t \" การขยายตวั ของแคว้นต่างๆ ในยโุ รป กระจาย \" นนางใ ทหาร แล กษัตริย์ในแคว้นต่างๆ เช่น อ ั ขงกุนฤนษางเไยดอ้รรับ_มกกันราะรจฝายยรอั่งมนเรศาับจสไจปาสหกาลปามยราiะรชถาสชถนามปานกากรวา่าชแวลงะศม์ขีทึ้นหแารตข่กอางร ปกครองโดยกษัตริย์ขาดประสิทธิภาพ ตนเอง (อัศวิน) กษัตริย์จึงต้องอาศัยกำลังทหารของขุนนางหรืออัศวินที่จงรักภักดี โดยขุนนางจะได้รับ 59 ่ีทำอูด้หุขักำทำอ้หำอัรัร้ดุขุข่กำอ้หำท้ด่อัยุรุย่ัถ์ยันำอัสำอ้ห่ต่ัณุสู่ปืร์ิห้ยัลัม์คุรุร้รึยัอ่ผีม

ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทที่ 4 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์ตะวนั ตกและศาสนาสมัยกลาง พระราชทานที่ดินไปดูแล ดังนั้นการปกครองในสมัยกลางอำนาจกษัตริย์จึงจำกัด ไม่สามารถบังคับ ขุนนางได้โดยตรง อำนาจแทจ้ รงิ กระจายไปตามหมู่ขนุ นางที่ครอบครองท่ดี นิ าง ตอบแทน าง คน \\ อง น ปชช. รากไว วไ ไ ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) เป็นความ ม น กรรม เกษตร ย เ น ง น มอบ ใ นนาง → พลาดจาก การ * การ น บ บ ก า ร ป ก ค ร อ ง แ บ บ*ก ร ะ จ า ย อ ำ น า จ*จ า ก \\ นวก ล นาง ระ i ส่ว คำวา่ “Feudal” มาจากคำว่า “Fief” าจนไนดา้ งอ สู่ท้องถิ่น ก ษ ั ต ร ิ ย ์ ไม ่ ส า ม า ร ถ ร ว ม อำ น ำ น า จ ก า ร หมายถึง ที่ดินที่เป็นพันธสัญญาระหว่าง เจา้ นายกบั ขา้ ปกครอง การทหาร และตุลาการอยู่ท่ีกลุ่มขุนนางตาม ท้องถิ่นต่างๆ มีที่มาจากธรรมเนียมของชาวโรมันผสมกับ ธรรมเนียมคอมิเตตัส (Comitatus) ของอนารยชนเยอรมันเผา่ กอต และเป็นผลมาจากประชาชนอพยพ จากความวุ่นวายของบ้านเมอื งต้ังแต่ต้นสมัยกลางมาตัง้ ถ่ินฐานในชนบท ส่งผลให้อำนาจการปกครองไป อยู่ขุนนางท้องถิ่นมากกว่ากษตั ริย์ในส่วนกลาง ซง่ึ ระบบศักดนิ าสวามิภกั ด์ิมีลกั ษณะการปกครอง ดังน้ี บใ ▪ ร ะ บ บ/ คไ ว า อง ั ง การ ตร ์ ต ่ า งrต อ หนด ฐานะใน งคม ระห าง เ านาย - ิ า (Fief)*เป็นพื้นฐานของระบบ มส มพันธ บแทน (ระ บบอุปถัมภ์)*มีที่ด น ความสัมพันธ์ โดยเป็นสิ่งที่กำหนดฐานะในสงั คมระหว่างเจ้านายผู้มีสิทธิเป็นเจ้าของท่ีดนิ (Lord) และ ข้ารับใช้ผู้รับมอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน (Vassal) ที่ดินทั้งหมดเป็นของกษัตริย์ (Lord) ที่ได้พระราชทานให้ ขุนนางผู้ปกครองแคว้น (Vassal) ปกครองและจัดตั้งกองทัพเองได้ ขุนนางสูงศักดิ์ (Lord) จะแบ่งที่ดินแก่ขุนนางชั้นต่ำกว่าเป็นทอดๆ (Vassal) ในลักษณะเช่าแบบเป็นมรดกตกทอด กลุ่มขุนนางจึงเป็น ทั้งผู้ปกครอง ผู้นำทหาร และเจ้าของที่ดิน มีสิทธิ์บังคับบัญชา ประชาชนได้ กษตั รยิ จ์ ึงต้องพ่ึงพาขุนนางด้านทหารและการเงิน กต อง งพา นนางใน านทหาร + การ เ น ▪ ระบบความสัมพันธ์รูปพีระมิดที่ลดหลั่นลงไป และแบ่งชนชั้นคนใน สงั คมออกเปน็ 2 กลุม่ ใหญต่ ามการถอื ครองท่ีดิน ได้แก่ 1. ชนชั้นผูป้ กครอง เป็นชนช้นั ทมี่ ีท่ดี นิ และปราสาทเป็นของตนเอง มีชีวิตที่หรูหราและมีอำนาจสิทธิ์ขาด มีหน้าท่ีจัดตั้งที่ดินที่ตนครอบครอง (แมrเนอรน์) จซากึ่งมLีทoั้งrปdcรากาสรตารทขงองขุนนางเจ้าของที่ดิน และหมู่บ้านที่พักอาศัย ของชาวนาและทาสติดที่ดิน Lord เป็นผู้ปกครองในแมเนอร์ จัดแบ่งที่ดิน ให้ความดูแลคุ้มครอง เก็บภาษี จัดตั้งศาลตัดสินคดีความ และให้ความ ยุติธรรมแก่ผู้รับมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตที่ดินที่ตนครอบครอง ชนช้ัน ผูป้ กครอง ได้แก่ - กษตั รยิ ์ (Lord ลำดบั แรก) ผู้เปน็ เจ้าของทดี่ ินท่วั ราชอาณาจักร ที่พระราชทานให้ขุนนางชั้นสงู ในท้องถิ่น (-Vคaนssaไl ลบำดับน 1)จาก กเพตื่อเป-็นไการนตาอจ ปบกครอนง นy แทนความดี ให้ขุนนางจงรกั ภกั ดีตอ่ กษัตริย์และสง่ ภาษเี ปน็ การตอบแทน วย 60 ้ถ้ันักัทำอ้ด์ยิรัษ่ดัทัร้ดำทัยิด่ีท่ว้ดุขัพ่ต์ยิรัษ้ชัร้บ้จ่วัสำก์ย่ีพ้ต่มุขู้สักิหัด์ท้ด่มักัก้ปุข้หัท่ถ่ีท็ปีม์ธัพัส่ต่ต

เศรษฐ จ' นาจ การ ปกครอง e + ลา กาล \\ กบวชา บ ักันุติกำอีม

ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทที่ 4 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง rvassal มอบ านใ คน น อ - ขุนนาง (Lord ลำดับรอง) นำที่ดินที่ไดร้ ับพระราชทานไปแบ่งขุนนางระดับรองลงไปและ อัศวิน (Vassal ลำดับรอง) เพื่อหาผลประโยชน์และปกครองดูแลผู้คนที่ทำงานในแมเนอร์ ซึ่งขุนนาง ระดับรองลงมาและอัศวินต้องจงรักภักดีและสนับสนนุ กำลังทหารแกข่ ุนนางชน้ั สูง อย่างไรกต็ าม ขุนนาง มักทำสงครามเพ่ือแย่งชิงความเปน็ ใหญเ่ หนอื ท่ดี นิ ท่คี รอบครองระหวา่ งกันอยบู่ ่อยครั้ง น เr จง รกิ่มกจ กอก ! - อ ั ศ ว ิ า านรนเาปง ม ห า ด เ ล ็ ก ร ั บ ใ ช ้ Lord จนสำเร็จหลักสูตรอัศวินที่มีความรู้ ็น ความสามารถในการรบและใช้อาวธุ ไดร้ บั การแตง่ ตั้งเป็นอัศวินเพื่อให้ความคุม้ ครองชีวติ ของ Lord และ คนในแมเนอร์ โดยยึดถืออุดมการณ์ คือ กระทำความดี แก้ไขในสิ่งที่ผิด ผดุงความยุติธรรม มีเมตตา ธรรม ปกปอ้ งคุ้มครองสตรี และเทิดทนู พระเจ้า 2. ชนชั้นผู้ใต้ปกครอง มีหน้าที่ส่งผลผลิตตามชนิดและจำนวนที่ตกลงกัน เสียภาษี ส่งทหาร ระดับอัศวินจำนวนหนึ่งสมทบให้แก่เจ้าของที่ดิน หรือยอมเป็นแรงงานตอบแทนการรับมอบที่ดินมา ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เจ้าของที่ดินในบางกรณี เป็นภาระผูกพันกับเจ้าของที่ดินที่ต้องปฏิบัติ ตามกฎระเบียบ และตอ้ งจงรักภักดีต่อเจา้ ของที่ดนิ ชนชัน้ ผู้ใตป้ กครอง ไดแ้ ก่ - ชาวน. าวอนใิสหระเ (นVชaาsวsนaาl ลำดับรอง) ได้รับที่ดินขนาดเล็กจากขุนนาง ส่วนใหญ่เป็นชาวนา ช่วยทำงานเพาะปลูกและงานอน่ื ๆ ในไรน่ าของเจา้ ของท่ดี นิ โดยไม่มคี ่าจ้าง - ทnาสชนติดกทบี่ดวชินไ (ไVa→ssเaนlสลมำดัเบาสนุดายท,้าLยo)rdไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ต้องทำงานหนักในที่ดิน ของเจ้าของที่ดิน เพื่อเลี้ยงครอบครัวและผลประโยชน์ของเจ้าของที่ดิน โดยไม่ได้รับค่าจ้างแลกกับการ อยอู่ าศัยในแมเนอร์ ต้องผลติ ผลผลติ แกเ่ จ้าของทดี่ ินตามชนดิ และจำนวนที่ตกลงกนั ไว้ โดยทีจ่ ะย้ายท่ีอยู่ อาศัยไม่ได้ ตอ้ งอยใู่ นเขตแมเนอร์เดิมเทา่ นน้ั นาจ เห ปย การ ๓ สวนให อไ ใน โครงส าง Feudalism → ลอย ว t เป็นศูนย์กลางความเชื่อและความศรัทธา ชาว นา , มา จาก _ 3. นักบวช ได้แก่ พระสันตะปาปาและบาทหลวงสระ ของประชาชน มีบทบาทมากในสังคมสมัยกลาง พระสันตะปาปาที่กรุงโรมมีอำนาจสูงสุดเหนืออำนาจ ของกษัตริย์ มนี ักบวชท่ีมีฐานะรองลงมาทำหน้าที่ต่างๆ ตามเขตการปกครอง เชน่ บาทหลวงในแมเนอร์ เปน็ ผ้เู ก็บภาษแี ละสอนประชาชน ระบบ า ไ ด อ า ขาย พ | จระบบ 1 ศรบ ร ' เกษตร ง ด /ง นาย ระบบแมเนอร์ (Manorial System) เป็น*ระบบ i งย*กทสารว เัพศยรษาฐก รจส → ทรท คก อางทใหี่ด รอบ ประสาท เ ศ ร ษ ฐ ก ิ จ พ ึ ่ ง ต เ อน . ื ิ า น น ำคัญ นและแรงง เนื่องจากการสะสมทุนยังมนี ้อย อำนาจทางเศรษฐกิจข้ึนอยู่กับ ขุนนาง เนื่องจากขุนนางครอบครองที่ดินเป็นจำนวนมาก ลกั ษณะเศรษฐกจิ ของยโุ รปสมยั กลางมดี งั นี้ แมเนอร์ น \" \" \" \" เค รอง หนด ชน น ฐานะ ' ท ทาง การ เ อง ▪ ศ น ย ล, างเศร ฐกิจ อย ที่แมเน งคม , ู ์ก ษ ู่ อร์ แมเนอร์ (Manor) หมายถงึ บริเวณทีด่ ินกวา้ งใหญร่ อบปราสาท ของขุนนางที่เป็นเจ้าของที่ดิน (ศูนย์กลางของแมเนอร์) ได้รับมอบที่ดินเป็นทอดๆ แบ่งให้ประชาชนท่ี ส่วนใหญเ่ ป็นทาสติดท่ีดิน ประกอบอาชีพในทดี่ นิ ของขุนนาง 61 ืมิธัลัส้ัชำก้ัง่ถัท่ญ้วิกูคิกัขีชัย่ค่ตัต่ม็ปิอัรันำอัมัต้รู่ย่ม่ญ้จิตับ็ป้ด่มัน็ป่ญ่สุข่ตีดัภัร่ตัอ้ห่ดัท่ีท

ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทที่ 4 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ตะวันตกและศาสนาสมัยกลาง ▪ พื้นฐานเศรษฐกิจขึ้นอยูก่ ับเกษตรกรรมเป็นสำคัญ เศรษฐกิจในแมเนอร์สว่ นใหญจ่ ะทำการเกษตร แบบยังชีพ โดยเฉพาะการทำน. าแแลบบะทาำๆไรตา่ โมดยถยามกีทรรี่ดมิน→เไปใ็นปยจั ,จนัยาทเ าาง,เสศตรษา ฐดกิจที่สำคญั ที่สุด ผลผลิตไม่สงู มากนกั การมีที่ดนิ เป็นเครอื่ งกำหนดฐานะทางสังคมของบคุ คลและสทิ ธิทางการเมืองด้วย ▪ เกษตรกรรมแบบนาเปิด (Open-field System) คือ ไม่มีการล้อมรั้ว ไม่ใส่ปุ๋ยบำรุงดิน ไม่ใช้ เทคโนโลยี ผลผลิตจึงต่ำ เลี้ยงสัตว์ให้หากินตามธรรมชาติ ใช้ระบบหมุนเวียนที่ดินในลักษณะนาสองทงุ่ หรือสามทุ่ง โดยแต่ละปีจะแบ่งนาออกเป็นสองหรือสามแปลงใหญ่ ต้องพักนาแปลงหนึ่งสลับเปลี่ยนกนั ไปไว้เป็นการพักดินให้ฟื้นตัว ใช้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ และต้องส่งคืนเป็นผลผลิตหรือภาษี มีการ แลกเปลยี่ นสนิ คา้ แบบของแลกของ (barter system) แตไ่ ม่มกี ารติดตอ่ คา้ ขายภายนอกแมเนอร์ าง ชา ไ เ ด การ า าง แดน - ภาย ห ง เ ด ตลาด ด ขาย ภาย นอก + , ▪ อุตสาหก/รรมผลิตภายในครอบครัว ทำไว้เพื่อใช้เองหรือขายภายในแมเนอร์ การค้าโดยรวมช่วง ระยะต้นสมัยกลางจึงเกิดความชะงักงัน ต่อมาผลผลิตเพิ่มขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนโดยพ่อค้าคนกลาง เกดิ ตลาดนดั เกิดการคา้ ต่างเมืองตา่ งแมเนอร์ แล้วขยายตวั เปน็ การค้ากับต่างชาติ โดยเฉพาะกับอาหรับ และมุสลมิ ในดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออกกลาง สินค้าส่งออกสำคญั ได้แก่ เคร่อื งเทศ สิ่งทอ / Thedarkage ค ด faith→) ห\\รเคือบาเรราพียทกหโวดลา่ยวงไยรุควมย'ืดวอ+(นTกใhบบeวนชdาแจอarแงkสaรgรe) นไ ยุโรปสมัยกลางเป็นสมยั แห่งศรัทธา (The age of หมายถึง ยุคที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลครอบงำความคิดความเชื่อของชาวยุโรป*ศาสนจักรมีอำนาจ เหนือกว่าจักรวrรศราดสิทนั้งกดร้าคนรอกบารคปวากมครถอง เศรษฐกความ เชอของิจโแรปละสังคม อิทธิพลของศาสนจักรส่งผลให้การ สร้างสรรค์ศลิ r ปเพวราิทะ ยกาคกวาบรมเกคดิวาขมึน้ นถ้อย อทิ ธขิ องศาสนจกั รท่ีมีตอ่ สังคมยโุ รปสมยั กลางมดี ังนี้ ▪ ศาสrนจอักากราเรปพลน็ สอถกาาบรสนั หางลสกั รรทส่ี อบืารเยนธรอ่ื รมงความรงุ่ เรืองสมยั ของจกั รวรรดิโรมนั ' King อ ใ บาทหลวง ความวุ่นวายของบ้านเมืองหลังโรมันตะวันตกล่มสลายจากการรุกรานของอนารยชน ส่งผลให้ ศาสนจักรเป็นที่พึ่งทางจิตใจและมุ่/ ปชช.งหดวังงชแีวศิตาทสนี่ดีกกรว่าในโลกหน้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า และต่อมา อนารยชนได้ยอมรับนับถือคริสต์ศาสนา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขยายอำนาจและสร้างการยอมรับจาก ประชาชน รวมทั้งศาสนจักรทน่ี ครวาตกิ ันยงั มีบทบาทสำคญั ต่อการสร้างสรรค์อารยธรรมสมัยกลาง าง ประกอบษ ภื' ไ สามารถ พบ ทาง รด / พบ พระ , ▪ ศาสนจัก. รมอี ิทธิพลต่อวิถีชวี ิตทุกดา้ นตั้งแต่เกดิ จนตาย - ด้านสังคม : จากความเชื่อว่ามนุษย์ไมส่ ามารถพบทาง รอดและพบพระเจ้าด้วยตนเอง ศาสนจักรกลายเป็นท่ีพึง่ ในโลก ปัจจุบันและความหวังกับชีวิตในโลกหน้า ชrาวแคบราิสทตห์ตลว้องงปาฏนิบมัติ อย ก ตามหลักคำสอนอย่างเคร่งครัดและมุ่งประกอบพิธีกรรม เพื่อความรอดสู่อาณาจักรพระเจ้า โดยการพึ่งพานักบวชในฐานะเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ แตล่ ะแมเนอร์จะมวี ดั เป็นศนู ยก์ ลางชุมชน ซึง่ เป็นการสง่ เสรมิ บทบาทของศาสนจกั รใหม้ ากย่ิงขึน้ 62 ้รัภุ้ค่ย้ท่คีมีร้อำน๊ต้ึย่ีว๊ิณ่มัจ่ตึถ่ค์ค้ร่ตีม้ตู่ย่คุคูถุย่ถำงัจ้ดัก่ีท่บันำอ้ม้ขำน่มัมุยิต่ตันิกัล่ต่คิก่มับ่ว็ปุ๋ป้ช่ม้ชำท

ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทที่ 4 พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง - ด้านเศรษฐกิจ : ศาสนจักรเป็นองค์กรที่มคี วามมนั่ คงทางเศรษฐกิจ เพราะเปน็ แหลง่ รวมรายได้ ที่ได้รับจากประชาชนในภูมิภาคต่างๆ โดยมีนักบวชที่วัดหรือโบสถ์ในท้องถิ่นทำหน้าที่เก็บภาษีโดยตรง ในอัตราร้อยละ 10 จากรายได้ทั้งหมดของประชาชน (tithe) และมีรายได้จากแหล่งอื่น เช่น เงินบำรุง ศาสนา เงนิ และทดี่ ินบรจิ าค รายได้จากการประกอบศาสนพธิ ี วดั จงึ มีทีด่ ินและทรพั ยส์ นิ จำนวนมาก - ด้านการปกครอง : ทฤสษทฎีเรทวสิทธิของเขาวะ ์ เมปอ็นบใควคานมใเนชกื่อารวป่ากคพรอรงะเจ้าได้มอบอำนาจการปกครอง แด่กษัตริย์ผ่านพระสันตะปาปา พระสันตะปาปาจึงต้องทำหน้าที่สวมมงกุฎสถาปนากษัตริย์ในพิธี ราชาภเิ ษก รวมท้งั ศาสนจักรมีบทบาทยุตสิ งครามแย่งชงิ ท่ีดินระหวา่ งเจ้าของท่ีดิน พระสันตะปาปาจึงมี อำนาจกrารปใกครนนอางงสแูงสง ชุดนเหนนือกนษเองัต→ริยเป์ นนกอารกตรจาไกนไ ี้ ศาสนนาจจักขนรายดังเนป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก จึงเข้ามา มีบทบาทในการจัดการแบ่งที่ดินขุนนางปกครอง (เช่นเดียวกับกษัตริย์) และมีบทบาทเป็นผู้ยุติสงคราม หรอื ความขัดแย้งระหว่างขนุ นางผู้ครอบครองที่ดินในเขตแมเนอร์ต่างๆ ด งหมาย ! * ~▪ ศาสนจักรครอr บคงำคถวามคิดและวิถีชีวติ ของประชาชน ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ ศาสนจักรจำกัดการศึกษา การสร้างสรรค์ บิดเบือนความคิด - ปชช . เคารพ , ศรทรงศาสน กร เ- ม นาจ ใน งคม ต้องเชื่อตามที่บาทหลวงสอนทกุ ประการโดยปราศจากความสงสัย เช่น สอนให้เชื่อว่าโลกแบน โลกเป็น แ ศาสน กร - อง น ปชช . ห กห ศูนย์กลางของจักรวาลโดยมีนครเยรซู าเล็มเป็นศนู ย์กลางของโลก เปน็ ต้น นอกจากน้ี ศาสนจักรเป็นผ*ู้วางรากฐานมหาวิทยาลัย*ข้ึน แก่นักบวช บุตรหลานของขุนนาง และประชาชน ซึ่งพัฒนาจาก โรงเรียนวัดและโรงเรียนมหาวิหาร เพื่อสอนวิชาเทววิทยาโดยใช้ ภาษาละตนิ ได้แก่ มหาวทิ ยาลัยโบโลญญา (อิตาล)ี มหาวิทยาลยั ปารีส (ฝรั่งเศส) และภายหลังสิ้นสุดสมัยกลางในครสิ ต์ศตวรรษที่ 15 เกิดมหาวทิ ยาลยั ออกฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (อังกฤษ) และมหาวิทยาลยั อื่นในยุโรปไม่ต่ำกว่า 80 แหง่ การ สอน ดแบบ scolarismมหาวทิ ยาลัยโบโลญญา -0s▪*ศาสนr จบกั ไรมีอ/ ำนดขาาจดบอัพอพกจาาชกนศียาสกนรารม→ เ(ชEอxาcไommหuนnท\"icางaรt\"อiดon)น ศาสนจักรมีสิทธ*์ิไต่สวนและตัดสินทุกคนตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง อัศวิน นักบวช ชาวนาอิสระ และทาสติดที่ดินท่ีต่อต้าน ปฏิเสธคำสอน ตั้งข้อสงสัย*หรือมีความคิดเห็นขัดแย้งกับ ศาสนจกั ร โดยกา*รขบั ไล่ออกจากศาสนา*ให้ตัดขาดจากศาสนจักร การบพั พาชนยี กรรมในปลายสมัยกลาง -(interdiction) โดยห้ามไม่ให้เข้าร่วมศาสนพิธีหรือปฏิบัติศาสนกิจใดๆ กลายเป็นคนoนอกรีตท่ีไม่ได้รับ ความคุ้มครองจากกฎหมาย หากเป็นกษัตริย์จะสั่งปิดโบสถ์ ประชาชนในดินแดนนั้นก็จะถูกตัดขาดจาก พระเจ้าไปด้วย (จกั รพรรดิหลายพระองค์เคยถูกลงโทษลักษณะน)ี้ หรอื ถ้าเป็นชนชัน้ สงู จะสญู เสียอำนาจ ทั้งหมด คริสตจักรจึงมีอำนาจสูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ชาวยุโรปเกรงกลัวและเคารพเชื่อฟังศาสนาจักรมาก ศาสนจักรได้ใช้อำนาจนี้ในการต่อรองกับกษัตริย์ชาติต่างๆ ในยุโรป*ปลายสมัยกลางศาสนจักรได้ตั้ง ศาลศาสน*า ซ่ึงมีอำนาจลงโทษผ้นู อกรีตด้วยการเผาทงั้ เปน็ (อา้ งว่าเปน็ ไฟชำระบาป)* 63 ัพีม่ม่วัต่ลัข่คีมีนัมัก้ปัจ่กัสำอ่ิพัจุ่มุจีมุย้ันำอีม้ด่มัยัก่กำท่ยุข้หำท้ห่ีท

ส33101 สังคมศึกษา ม.6 ชื่อ__บ__ท__ท_่ี _4__พ__ฒั __น_า_ก__า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ัต__ิศ_า_ส__ต_ร_ต์__ะ_ว_ันชตั้นกแมล.6ะ/ศ_า_ส_นเลาขสมทยั่ี__ก_ล__าง 3อ / สงครามครเู สด (Crusades War) ความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนานานเกือบ คำว่า “Crusade” แปลว่า ไม้กางเขน 200 ปี (ค.ศ.1096-1291) ระหว่างชาวคริสต์ในดินแดน จึงเห็นสัญลักษณ์ไม้กางเขนอยู่ในเสื้อผ้าและ โลกตะวนั ตกกับชาวมสุ ลิมในดนิ แดนโลกตะวันออก อุปกรณ์การรบเสมอ รวมทั้งงานจิตรกรรมท่ี เก่ยี วขอ้ งกับสงครามน้ีดว้ ย ▪ มลู เหตขุ องสงคราม ทหาร ( ลาย ) เมื่อปี ค.ศ.70 ชาวฮิบรูก่อกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน ส่งผลให้จักรวรร. ดิโรมันทำลายเมือง ปาเลสไตน์ของชาวฮิบรูจนต้องอพยพเร่ร่อนกระจัดกระจายออกจากเมืองไป ต่อมาในปี ค.ศ.636 ชาวอาหรบั เขา้ ยดึ ครองเยรูซาเล็มมายาวนาน ซ่ึงชาวอาหรบั เป็นพวกมีขันติธรรม ใหท้ กุ ศาสนาอย่รู ว่ มกัน อยา่ งสนั ติ อย่างไรกต็ าม กองทัพชาวคริสตก์ ็พ,ยกาวยาามนสทากนัดกนนั้าจกขาองรอขายหาบยไอำไหนวาจ เวลาต่อมาในปี ค.ศ.1076 พวก.เตสิรล์กามชาวมุสลิม (เซลจกุ เติร์ก) เข้ายึดนครเยรูซาเล็ม กดี กนั ศาสนกิ ชนศาสนาอื่น เข้ามาแสวงบุญในนครเยรซู าเล็ม และประหารชวี ิตนักแสวงบุญ ชาวคริสต์ รวมทั้ง*ขยายอิทธิพลไปยังจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยการเตรียมบุกกรุงคอนสแตนติโนเปิล*ทำให้จักรพรรดิ ไบแซrนเไพทรานะ เ์ได้สก ่งสานสาจ์นมขากอกคาวา→มชดว่ ายเไหลไ ือไงปยยอังมพขอระสันตะปาปา ัน\"ตะ ป\"าป\"าเอ\"อร์บ\"ันท\"ี่ \"\" เออร์บันที่ 2 ที่กรุงโรม พระส 2 ได้เรียก ประชุมขุนนางและอัศวินให้ร่วมกันทำสงครามกับพวกเติร์ก เซลจกุ เติร์ก ศาสนจกั รจึงเร่ิมปลุกระดมเกณฑช์ าวคริสต์ไปทำสงคราม ▪ จ1ุด. มชงุ่าหวคมราิสยตขต์องอ้ สงงกคารราแมย่งชิงดินแดr นเยอนัซาศเักลมด์ิสิทธ์ิท่ีชาว มุสลิมได้ยึดครองกลับคืนมา คือ CนครEเยรOูซาเ.ลi็มtในดินแดน ปาเลสไตน์ ประเทศอิสราเอลในปัจจุบั1น โดยอจ้าางกว่าสเพม่ือ ร ปลดปลอ่ ยนครเยรซู าเล็ม 2. ชาวคริสตต์ ้องการแยง่ ชิงเสน้ ทางการคา้ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ▪ การดำเนินสงคราม สงครามดำเนินไปถึง 9 ครั้งและพักรบเป็นช่วงๆ โดยศาสนจักรบังคับใหก้ ,ษาัตงรายิ เ์ในนเยจตุโนราปรมเกพณระเฑา์ชา→วคตราิสมตปเ์รขะส้างเปพน็ระเ า กองทัพขนาดใหญ่ ศาสนจักรกระตุ้นให้ชาวคริสต์ในยุโรปด้วย วิธีชวนเชื่อ และชี้ให้เห็นถึงภัยจากการรุกรานของมุสลิม โดย อ้างว่าเป็นเจตนารมณข์ องพระเจ้า ศาสนจักรเกณฑช์ าวคริสต์ไปทำสงคราม โรปเห ผล ใน การ เ ารวม กอง คพ เสก ของ ชาว 5) อ า ขยาย การ า + ไ โดน ปก อง จาก กอง พ แ ความ ศ ทธา อ ศาสนา ปาเลสไต 69 2) อง การ ครอบครอง 3) การ ผจญ ย น คง 4) การ ต ย ใน โรป แ ง น ขยาย นาจ → ลด นวน นนาง ุขำจำอัก่ขุยัรัม่ีทัภ์น้ตัท้ป้ด้ค้ค่พ่ตัรุยูรัท้ขุต้ข์คำท้จ็ป่ว้อีกุติลุมูรึจ้ด่มู้ส่วิค่วำอัมัร้ติอ่มัรำอ้ตัลำทัฮ

ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทที่ 4 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ตะวันตกและศาสนาสมยั กลาง ญด สง/ ครามครั้งที่ 1 ชาวคริสต์ทำสงครามด้วยความศรัทธาต่อคริสต์ศาสนาอย่างแท้จริง โดยพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ประกาศว่า ชาวคริสต์ที่ช่วยยึดดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์คืนจะได้เข้าสู่ อาณาจักรพระเจ้า การตายในสมรภูมิเป็นการถวายชีวิตเพื่อเข้าสู่อาณาจักรพระเจ้า หากรอดชีวิต ศาสนจักรสญั ญาว่าจะใหเ้ ป็นอิสรชน ได้รับการยกบาปและหนี้สินให้ ทำให้ชาวคริสต์ยนิ ดีและเต็มใจเขา้ ร่วมรบเพื่อชีวิตที่ดีในโลกหน้า ขุนนางต้องการรบเพื่อได้ที่ดินเพิ่ม และกษัตริย์ต้องการรบเพื่อเกียรติยศ จนทำใหส้ ามารถยึดนครเยรูซาเล็มได้ในปี ค.ศ.1099 อย่างไรกต็ าม ตงั้ แต่สงครามคร้ังที่ 2 เปน็ ต้นไป ชาวคริสต์ปราศจากเปา้ หมายในการรบทแ่ี ท้จริง และไม่ได้มเี ปา้ หมายเพ่ือศาสนา แต่มุ่งผลประโยชนท์ างการเมือง การค้า และความม่ันคง ไม่มีผู้แพ้ชนะ เด็ดขาด ส่วนใหญ่นครเยรซู าเล็มยังมผี ู้ปกครองเป็นมสุ ลมิ เพราะไ ด งหมาย จ งๆ !i งไ จ ง ง เ า รอบ 1 ▪ ผลของสงคราม& l 10 อ ] งใหผล มาก เบสบน แปลง เยอะ มาก ในทส่ี ดุ สลุ ต่านแห่งกรุงไคโรสามารถยึดครองเมืองอาเกร (Acre) ฐานทมี่ น่ั สดุ ทา้ ยของชาวคริสต์ ไว้ได้ในปี ค.ศ.1291 ทำใหก้ อง*ทัพยโุ รปไมส่ ามารถเอาชนะจักรวรรดิมุสลิม*ได้ และยงั สง่ ผลดงั นี้ *- ดา้ นเศรษฐกิจ เป ยน ปแบบไป เลย ะชหาววค่ารงสโแลอกบไตปะ + ยันาตยกขกองับ 1&. ก า ร ค ้ าcขยnายgตัว ร- โ ล ก ว ตะวันออก (ยุโรปกับเอเชีย) โดยเฉพาะดินแดนอาหรับ ไ เกดิ สังคr มแบเมนอืานงอรเสเ น้ ดทกาางงการคา้ ใหมท่ ีไ่ ม. ่ตเส้อนทงาผง่านไ ทขะลเาลดเม→ดแิเ 1 อกโ ตอร์- เรเนียนซึ่งถูกครอบครองโดยชาวมุสลิม การใช้ระบบเงินตรา ตลาดแสดงสินค้าในปลายสมยั กลาง ตลาดแสดงสนิ คา้ (Fair) ใน ตา 2จ. เกิดเมืองศูนย์กลางทา.งการค้า เมื่อสถานการณ์ บ้านเมืองในยุโรปสงบมากขึ้น การรุกรานจากภายนอกลดลง แ ส ตะ น ออก ทำใ ิ ห้เกิดเม ือ ี งท่ าการค้าเพื่ อ เป็นจุด พักสิน ค้าใน เมด เตอร์เรเ น ยน และแลกเป ล ี่ยนทาง การค้า เช่น ทเะรเลายายเ น เวนิส กทม . ฟลอเรนซ/์ เ,จนนัวกลปาิงซกาารโบาโใลหญ)ญาในอิตาลี พ่อค้าเมืองเวนิส ช่ือวา่ มrารอโ์ คาโตปาโล เดินทา. งโไธปเสคน้าทขางายสาถยึงโจหนี มสCมเัยนรทาาชงบวกงศ) ์หยวน และกลับมาเล่าเรอ่ื งราวทนี่ า่ ต่ืนเต้น , นเ ดห งสงคราม ลงะเ ชอุมง ! ค เลข 3*. เ ก ิ ด ชนชั้นr เพราะ กลาการ ง แ น เ ว า ม ก ้ า ว ห น้ า ช มือ งค ทางการค้าส่งผลให้เกิดชุมชนเมือง (Bourg) และเกิดCชนeชgั้นฟย า เมอื งเวนสิ ในอติ าลี กลางที่อาศัยในชุมชนเมืองเข้ามามีอำนาจแทนที่กลุ่ม ชนชน้ั กลางในปลายสมยั กลาง ขุนนาง คือ พ่อค้าและชาวเมืองหรือกรr ะคนฎุมรพวยี ใ(Bนoงuคrgมeเoอisงie) ซึ่งมีฐานะร่ำรวย และเป็นผู้ทำลายระบบ สังคมศกั อดินา าสมัยกลนนาางงในที่สนดุาจนลดำลไปง ส่กู ารฟนื้ _ฟกูศลิกโปรวนิทยl เารากนาซรอใงน) เ→วลกาารกต่อบมมาาเ ด ให ของ อารยธรรม ก ก - โร น 4.aเกิดสมาคมอาชีพ (Guild) ของช่างฝีมือประเภทต่างๆ ซึ่งมีสมาชิกและควบคุมการผลิต สินคา้ ดา้ นคณุ ภาพ ปริมาณราคา ตลอดจนมศี าลตัดสนิ ขอ้ พพิ าทตา่ งๆ ด้วย 70 ัมีร่มิกัลัมีรำอีมุขำนำอ้ม้ค่พืมัสำร้คูลืรุ่ร่ีทำดีมัลิก้ันิดัขัอ่ค่พ่ม้ค์ยูศ็ป่ีทัว้พีลิอ้ด่มัล่ต่มัท้วิปูร่ีล่ญ่ิยัท้ข่ทัขิร่มึขิรำท่ีทุ่มุจีม่มุส่ีทัคำส

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 4 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์ตะวันตกและศาสนาสมัยกลาง งระบบ น t \" ม นาน อ น อม ลง ขาดแคลน อาหาร + ตาย มาก , + ยากจน ผล ผ ๓ กษ๓ รบ ไ ประโยช นg ผล มาก เ น - ด5.้ารนะกบาบรปศักกดคินรอาสงวามิภกั ดแ์ิ ละระบบแมเนอร์เสื่อมลง ขนุ นางเสียชีวิตจากสงครามจำนวนมาก* นาง ตาย อดอยาก เ น มา าย แทน →ไ :) นชาว นา สระ และ ทาส รบ ชนะ การ บ ใบ พวก นนาง // / เพราะ นนาง ปก ลง ถนนใ ง\" มนาน อร เส อม อม ส่วนทร่ี อดชีวิตกย็ ากจนและมีอำนาจลดลง ที่ดินแมเนอร์ที่กวา้ งใหญ่หลายแห่งในยโุ รปรกร้าrงว่างเปล่าไร้ ผ้อู ยอู่ าศยั ในขณะทีอ่ ตั ราสว่ นเสรชี นในยุโรปเพมิ่ ขนึ้ จากการทท่ี าสติดทด่ี นิ รอดชวี ติ จากสงคราม + ก ๓ 1ชม แ ง น นาจ รไว กป่ออ ตาั้ง→เป นอ ราัฐ ชาติ กาง การ๓ พ ม ดอยไาดไ พ การ ตร าง ปก อง าขาย 6f.g กrษ ั ์ ม อเ ำนาจน จาก ็ ษสัตารงิ ยกอ์มงีอ มนานกาขง ึ ้ น โ- ะ ้ ร ั บกกอง า ตริย ำน าจ รส นับสน ุนจ าก กลุ่มพ่อคา้ สนบั สนุนในการดึงอำนาจกลับคนื จากขุนนาง เนือ่ งจากไมพ่ อใจท่ถี ูกเรียกเกบ็ ภาษผี า่ นด่านท้ัง ขาเข้าและขาออกในระบบแมเนอร์ จงึ เกิดการรวมตวั เป็นสมาคมพ่อค้า และหันมาสนบั สrนาุนวทการาตงรการเงิน แก่กษัตริย์ให้ตั้งกองทัพโค่นล่มอำนาจของขุนนาง สถาปนาการปกครองระบอบ*สมบูรr หณงาCญluาsสaิทdeธิราชย*์ ขึน้ ในยโุ รป และพฒั นาสกู่ ารเป็นรฐั ชาติ _ คนในประเทศ นยา มา รวม _ wu ว เ า เ น ประเทศ 7. เกดิ การปกครองส่วนท้องถ่ิน เรยี กวา่ “☐เทศบาล” - ดา้ นสังคมและวฒั นธรรม งไ โลก ห า สน โลก บจ จ . 8.*ศาrสคนนคจ ักสร นตาย ขน .มาก + เ ลสง→ปม รเจะชญาช น ใน ย ุโ ร ป มี ทั เพราะ โดน าม บนขุ เยอะ มาก ะ ศาส น จ ั ก ร เริ่มเสื่อมอำนาจ ศ. นคติแง่ล บกั นนางแล มากขึ้น ชาวคริสตจ์ ึงหันไปสนใจชีวิตในโลกปัจจุบันมากขึ้น มีสาเหตุมาจากการท่ีชาวคริสตเ์ สยี ชีวิตเป็น จำนวนมากในสงครามครูเสดจากการเกณฑ์แรงงาน โดยเฉพาะทาสติดที่ดินที่ดินที่ร่วมรบ ส่งผลให้ บrศเาดสไนฟจั ระ บาป แมเนอร์ร้าง ป ร ะ ก อบ กั นา จใ น ท าง ท ี่ผิดม า ก ขึ้ น เช่น เผาคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก กรใช้อำ ' ศนค แ ⑦ บ นนาง + ศาสน กร มาก น นอกรตี ประพฤติเสอ่ื มเสีย ร่ำรวยผดิ ปกติ เปน็ ต้น ปชช . l ปชช. สนใจ โลก บ จบ . ก9. เกิดก.ารเ แดลโลกกเปศลี่ยอนอกวกิทรอยบาแกมานร1แนลอะก→ารเผนสมควผาสมาเจนอญารสยธมรรมกับโลกตะวันออก การเดินทาง ไปรบอนั ยาวนาน ทำให้ชาวครสิ ตไ์ ดเ้ ปดิ โลกทัศน์ออกจากกรอบของแมเนอร์ ไดพ้ บเห็นและเรียนรู้ความ เจริญทางการค้าและวิทยากrารi. ขโอรงปชบาคววมามุสเจลญิมกซบึ่งไปสมัยกลางในขณะที่ยุโรปอยู่ในช่วงความชะงักงันทาง ศลิ ปวทิ ยาการจากการครอบงำของศาสนจักร ทำให้ศูนย์กลางความเจริญทางวิทยาศาสตร์ของโลกรวมท่ี จักรวรรดิเปอร์เซียของชาวมุสลิม ส่งผลใหช้ าวยุโร/ปอรับในคววงามคเจดริญตอทนแารงกอารยธรรมจากดินแดนตะวันออก กลับไปยโุ รป เทว ทยา → กก . เทพ , ศาสนา 1 0g. ก า ร ขยายr การ ต ั ว ใ ง น า ว ทาง การ กษา ด ั บ ม / ว ิ ท ย า ล ัย การเดินทางไปรบในสงครามครูเสด ขอ ก รศึกษาใ นระ หา ทำให้ชาวคริสต*์ได้รับความรู้และวิทยาการมาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์และดินแดนเอเชียไมเนอร*์ และ ผลของการ*ขยายตัวทางการค้า*ส่งผลให้ผู้เข้าตื่นตัวทางการศึกษา มีเงินทุนจักตั้งมหาวิทยาลัยของเมือง โดยมีศาสนจักรเป็นผู้วางรากฐานมหาวิทยาลัยเพื่อสอนวิชาเทววิทยา เช่น มหาวิทยาลัยโบโลญญ่า (อิตาลี) มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด (อังกฤษ) มหาวิทยาลัยปารีส (ฝรั่งเศส) จนกระทั่งสิ้นสุดสมัยกลาง มมี หาวิทยาลยั เกิดขน้ึ ในยโุ รปไม่ตำ่ กวา่ 80 แห่ง &สงครามร้อยปี _ รบ น า ออก า คคล ไป นชา ทะเลาะ เรอะ r ความขัดแย้งระหว่าง*อังกฤษและฝรั่งเศส*(ค.ศ.1337-1453) ซึ่งเปลี่ยนแปลงความขัดแย้ง ระหว่างบุคคลเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติHอังกฤษได้ยึดดินแดนฝรั่งเศสจนเกือบสิ้นชาตAิ ทำให้รัฐสภา องั กฤษมอี ำนาจมากข้ึน เนื่องจากกษัตริย์ต้องการเงนิ จากรฐั สภาไปทำสงคราม ' ฝ งเศส ก บ ชนะ ไ แ 71 ้ดัล่ัร่ติตัยุบัป่วักึศัต้ต้หำทำดิวัมุย่ชู่ยัลิรัรุยิลุมิร็ห์ร์นัท็ปัขัจุขัก่งิตัทีมำชิก้ีนุ่น่หิริลุมัห์ติร้นุ่ม่ม็ป่กัตักำนัล์ย้ข้ค่ีท้ป้ขัย่ํทัท้ด้ค่พุข้ลัท้รัยัร้จ้ค่พ้ถิง้ดำอ้ัข้ขัยัรัขิพ้หำทุข์น้ด่ลีม่มุขัร่ข้วำน่ีท่อูบิรักิพัก่ชีม

ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 4 พฒั นาการทางประวัติศาสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง สาวชาวนา ทรยศ กก คน ง ข r ต่อมาเกิด. วรี สทตารง°ีโยตนญอญอาฟณใอารบค์ช~าวสฝาวงชเศLาสวนาผู้นโำดฝนรั่งผเศรสงาน → . แนบ ว เสทรยศ ไปสู่เอกราชจากอังกฤษ แต่ถูกเบอร์กันดีทรยศโดยจับตัวส่งให้ อังกฤษเผาทั้งเป็นในข้อหาแม่มด วีรกรรมของโยน ออฟ อาร์ค สไ พอใจ งาน บ ทำให้ฝรั่งเศสขับไล่อังกฤษr ชาว ผ งเ ส่งผลให้เกิดลัทธิชาตินิยมในยุโรป เยน ออน อา คงออกไปได้สำเร็จ และเป็นจุดเรมิ่ ตน้ การเกดิ รัฐชาติของฝรัง่ เศส Joan of Arc }อ ศิลปกรรม - ลปะ 6 อ ศาสนา ศิลปกรรมตะวันตกในสมัยกลางเน้นการสร้างความศรัทธาต่อศาสนจักร สะท้อนเรื่องราวทาง *คริสตศ์ าสนา*มีลักษณะทัว่ ไป คอื ด โบส -* สเ ถนาปมัตากยกดรรม มั่นคงแข็งแรง มีกำแพงสูงและหนา ตกแต่ง นิยมสร้างปราส.าทข,นาดใหญ่ อย่างหรหู รา ตกแ ง { - ประตมิ ากรรม ใช้ตกแต่งผนงั อาคาร และไมน่ ยิ มสดั ส่วนตามธรรมชาติ - จติ รกรรม เนน้ เรือ่ งราวทางศาสนา ำ ศิลปกรรมตะวนั ตกในสมยั กลางประกอบด้วย 4 แบบ ไดแ้ ก่ i แก กม µก โรมาเนสก์ (Romanesque)โดม ป โ ง ประ น ห- า าง ,ประ + อย ▪. \" เห อน อ ม ประการ ➢ ลักษณะสำคญั ' อ ศาสน กร l เ น ศ ทธา เ ยบ าย N อม ปราการ - ศิลปะเพื่อความศรัทธาต่อศาสนจักรที่ผสมผสานระหว่างศิลปะโรมันและเยอรมัน (ช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 10 - 12) โดยนำเอาลวดลายและลกั ษณะบางอยา่ งมาจากศลิ ปะโรมนั ไบแซนไทน์ และ ศิลปะของบรรพบุรุษอนารยชนมาผสมผสานเชื่อมเขา้ ไวใ้ หเ้ ป็นอันหนึง่ อันเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นผลงาน ของนกั บวช เป็นตน้ แบบส่กู ารสร้างศลิ ปะโกธิค A- สเถนาปัตดยกรรม : มีแบบแผนตายตัว เน้นความเรียบง่าย (ต่อต้านศิลปะไบแซนไทน์) แปลน รูปไม้กางเขนขนาดใหญ่ หลังคารูปโค้งประทุน ผนังหนาทึบและแข็งแรงคล้ายป้อมปราการ เพื่อรองรับ จหึงทา ำาใงหโ้ไม อย กำแพงและคานที่มีน้ำห- นักใ มากประ ่า งา ม ประตูและหน้าต่างมีน้อย ขอบบนเป็นรูปโค้ง ่สง ฒแนสางจสาวก่าโงรในนอาคารจlึงตนกอ้ แยง อย ครึ่งวงกลมแบบศิลป.ะเโพรรามะนั อr พยรเะปเย็น 0 ยา 2 ตกแตง่ ไดน้ อ้ ย รรมชา - ประติมากรรม : เน้นเรื่องราวทางศาสนา เป็นภาพสลัก 3 มิติ ไ ม ่ ค ่ ธ ติ ใช้ประดับโบสถ์และวิหาร นิยมสร้า*งรูปเคารพ*ทางคริสต์ศาสนาที่อธิบายวิถีชีวิต ความเชื่อ และความ ศรัทธาไดม้ าก ตกแ งโ อย → ผ ง บ - จิตรก. รรม : นิยมสร้างภาพเขียนสีปูนเปียก (fresco) แต่งผนังอาคาร คือ การวาดภาพ ขณะที่ปูนที่ฉาก_ ฝานผเนยังกยังเปียกอยู่ รูปวาดแข็งทื่อ ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เล่นแสงและเงา รวมทั้งตกแต่ง ด้วยพรมขนาดใหญ่ (tapestry) 72 ีปูปัทัน้น้ก่ตัมูซ้น่ตัมัพ้นัถ่ต้นูตีม้หำทุส้น้ป่วีรัจ่ตัร้น้ขืม้นีมูต่ต้นุท้คูรำค่ต์ถัวุส้น้ัพิศ้ขักำทัท่ม้กัรัร่ัรัก้หิวิจำนู้ผัสัย

ไร มา เน v5 โก ด CO า แหลม เบา ลง \" / ง / ด อน → ห ก - โ ง ยอด แหลม โไCltI COO อ น ประ ห า าง มาก ! °✓ ตาม ๙ ร - 0 ำ Italy ๊ืฃุพึอีม่ต้นูตัม้ค่น้ขูสัน่อุจัก้ถิธ็กีด

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 4 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ตะวันตกและศาสนาสมัยกลาง ➢ ตัวอย่างผลงาน เช่น วิหารปซิ า (อิตาลี) วัดคลูนี่ วัดแซงต์ แซร์แนง (ฝรั่งเศส) และ วิหารแซงต์ ปิแอร์ (สวสิ เซอร์แลนด)์ ▪ โกธิค (Gothic) ญห ง สงคราม 1 สด / ' โถม ยอด แหลม - ง แหลม ง เ า ไห น วหิ ารปิซา ประเทศอิตาลี มา ก ง ใก พระ เ า - ศิลปะเพอ่ื ความศรัทธาต่อศาสนจกั รเช่นเดียวกบั ศลิ ปะโรมาเนสก์ (ช่วงครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 12 - 15) มีอิสระในการแสดงออก มีชีวิตชีวา หลุดพ้นจากอิทธิพลของศิลปะกรีกและโรมัน แต่ยังแสดงถึง ความศรทั ธาตอ่ ศาสนจกั ร : ดัดแปลงศลิ ปะโรมาเนสก์ รูปทรงส.งู ปชละายลดู ง แแหลม - ะ ญหา ห ก - สถาปตั ยกรรม เพอ่ื เฉลย่ี นำ้ หนักของหลงั คาลง บนเสาและผนัง หลังคายอดแหลม ผนังโปร่งบาง อาคารมีน้ำหนักเบา จึงสร้างให้สูงมากขึ้น ประตูและ หน้าต่างมีมาก เพื่อเพิ่มความสว่างภายในอาคาร ประตูเป็นรูปโค้งซ้อนหลายชั้น เน้นความอ่อนช้อย สวยงามดว้ ยล_ ตวดกแลางยไตา่ เยงๆอะมาก น - ประติมากรรม : เน้นเรื่องราวทางศาสนาเช่นเดียวกับศิลปะโรมาเนสก์ แต่มีลักษณะ ลปะ เฉพาะทสี่ งู ชะลูดแบบลอยตวั ย่ืนออกมาจากผนังหรือกำแพง ไมเ่ ปน็ ธ/ รยราวมตชาามติ สว่ นใหญส่ ร้างเพื่อตกแต่ง สถาปัตยกรรม และถือเป็นส่วนหน่ึงของสถาปัตยกรรม จดกเ น *(Stained - จิตรกรรม : ใ ช้ ก ร/ ะ Glass) ประดับสถาปัตยกรรม เพื่อประกอบเหนือ สี บริเวณประตูและหน้าต่างใหแ้ สงสว่างผ่านเข้ามา คล้ายกบั เปน็ แสงสรี ุง้ ของพระเจ้าทใี่ กลช้ ิดกบั มนุษย์ ➢ ตัวอย่างผลงาน เช่น วิหาrรฝโนงตเศรสดามโดแนลไฟะไวหิหาร แชงเอเตียนส์ (ฝรั่งเศส) วิหารออร์เวียตโต (อิตาลี) วิหารแห่ง โคโลญ (เยอรมน)ี วหิ ารลินคอลน์ (อังกฤษ) ▪ ไบแซนไทน์ (Byzantine) - ลปะใน กรวรร โบเซนไท เ น( แบบ ผสม ก ก ➢ ลกั ษณะสำคัญ เ ย วหิ ารโนตรดาม ประเทศฝรงั่ เศส ผสม ก ก - โร น + เปอ - ศิลปะเพื่อความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์ (กรีกออร์โธดอกซ์ในฝั่งยุโรปตะวันออก) \\ คาทอ ก ที่ปราศจากการครอบงำของศาสนจักร (โรมันคาทอลิกฝั่งยุโรปตะวันตก) มีศูนย์กลางอยู่ที่ กรุง คอนสแตนตโิ นเปลิ แหง่ จักรวรรดิไบเซนไทน์ สถาปนาโดยจกั รพรรดคิ อนสแตนตนิ มหาราชในปี ค.ศ.330 - เก็บรักษาและสืบทอดศิลปะกรีกและโรมันและนำมาผสมผสานกับศิลปะเปอร์เซีย ไบแซนไทน์จงึ เปน็ ศลิ ปะท*ผี่ สมผสานระหว่างศลิ ปะตะวันตกและตะวนั ออก* แบบ กลม ๆ ไ เหมย ม แบบ ไถ ก ้ - สถาปตั ยกรรม : นิยมสรา้ งโบสถแ์ ละวิหารเปน็ โด.มหหอวั คหอยอมงผ+งั ยรอปู ดไมแ้กหลามงเขน แสดงถึงความ หรหู รา ตกแต่งประดบั ประดาดว้ ยกระเบอื้ งหนิ สี (mosaic) - ประติมากรรม : นิยมแกะ*สลักรูปนักบุญต่าง*ๆ ทางศาสนา และภาพสำริดสลักนูนต่ำ เพอื่ ประดบั อาคาร รบ ระ บ กระเชอว - จิตรกรรม : นิยมสร้างภาพเขียนเทคนิคเทมเปอรา (tempera) 73 ีลัดูสัท่มิลีซ์รัมีรัร่ชัลิดัจิศ้ม่ีท่ัร่ดุจิศัข้ด่ตันำนัป้กูส้ข้ข้ล่ิย่ร่ทูส่ิยัล

☐ . * อ สอบ → าน ท จ ฤ ๑ ค ป ทวน เ อ หา \" านเฉลย -GUI tt 3 ุช่อ้นิลูด่ีทัช่อ้ข

ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 4 พฒั นาการทางประวัติศาสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง ➢ ตวั อยา่ งผลงาน เช่น วหิ ารเซนตโ์ ซเฟีย (ตุรกี) ▪ อิสลาม (Islamic) วหิ ารเซนต์โซเฟยี ประเทศตรุ กี - ศิลปะเพื่อความศรัทธาต่อศาสนาอิสลามท่ี มสั ยิดอิหมา่ มริซ่า ประเทศอหิ ร่าน ผสมผสานศิลปะอียิปต์ กรีก เปอร์เซีย ปาเลสไตน์ และอินเดีย เข้าด้วยกัน ชาวมุสลิมได้ถา่ ยทอดความรูใ้ หแ้ ก่ชาวยโุ รปอีกทอด หนึ่งช่วงสงครามครูเสด อิทธิพลของกองทัพอิสลามส่งผลให้ ศิลปะอิสลามขยายตามไปด้วย - สถาปัตยกรรม : นิยมสร้างมัสยิดเป็นโดมรูป หวั หอม มหี อคอยสงู - ประติมากรรม : ห้ามตกแต่งดว้ ยรูปสิ่งมีชีวิตท้ังคน และสตั ว์ ทำใหศ้ ิลปะอสิ ลามไมโ่ ดดเด่นดา้ นประติมากรรม - จิตรกรรม : นิยมสร้างภาพเขียนลวดลายดอกไม้ เรขาคณติ และตวั อกั ษร วรรณกรรม วรรณกรรมได้รบั อิทธิพลจากคริสตศ์ าสนาอยา่ งชดั เจน ใช้ภาษาละตนิ ประพันธ์ เช่น - มหากาพย์ (Epic) สดดุ ีวีรบุรษุ เช่น มหากาพย์อัศวินโรลองด์ - นยิ ายวีรคติ (Romance) ภกั ดีต่ออศั วนิ และสตรี เชน่ กษัตรยิ ์อาเธอร์กบั อัศวินโตะ๊ กลม - นยิ ายคตี กานต์ (Lyric) ประกอบเพลงบรรเลง - นิทานฟาบลโิ อ (Fabliau) เสียดสสี ังคม - นิทานอทุ าหรณ์ (Fable) นทิ านอสี ป ตวั อยา่ งงานวรรณกรรมในสมยั กลาง เช่น Summary Treatise of Theology ของ Saint Thomas Aquinas, The City of God ของ Saint Augustin การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) คือ การเกิด ใหม่หรือฟื้นฟูความเจริญทางด้านศิลปะและวิทยาการตาม ศิลปะกรีกและโรมัน (Rebirth to Greek & Roman) ในยุโรป สมยั กลางช่วงปลาย (คริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) ชาวยโุ รปหันกลับมา เมอื งฟลอเรนซใ์ นอิตาลี สนใจศึกษาความรู้ ศิลปะ วทิ ยาการ และวรรณกรรมของสมัยโบราณให้กลบั มานิยมอกี ครง้ั เปน็ ช่วงเวลา ทช่ี าวยุโรปหลดุ พน้ จากการครอบงำของศาสนจกั รในสมัยกลาง โดยแพร่หลายในกลุ่มชนชั้นกลาง 74


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook