Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 1 เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก

หน่วยที่ 1 เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก

Published by kroosci, 2020-05-12 03:05:22

Description: หน่วยที่ 1 เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก

Search

Read the Text Version

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 5. ฐานรองดอก (Receptacle) เป็นสว่ นปลายสดุ ของกา้ นดอก แผ่ออกไปทาหนา้ ท่ีรองรบั สว่ นตา่ งๆ ของดอก 6. กา้ นดอกยอ่ ย (Pedicel) เป็นกา้ นของดอกย่อยท่ีอยใู่ นชอ่ ดอก หรอื เป็นสว่ นของกา้ นดอก หรอื เป็นสว่ นของกา้ นดอกท่ีอยตู่ อ่ จากฐานดอกในดอกเด่ียว 7. กา้ นดอก (Peduncle) เป็นสว่ นลา่ งสดุ ของดอกท่ีตดิ ต่อกบั ลาตน้ หรอื ก่งิ หรอื เป็นสว่ นกา้ น ชอ่ ดอก

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ชนิดของดอก การจา้ แนกตามส่วนประกอบของดอก 1. ดอกสมบรู ณ์ (Complete flower) คือดอกท่ีมสี ว่ นประกอบของดอกครบทง้ั 4 สว่ นในดอก เดียวกนั เช่น ชบา พ่รู ะหง กหุ ลาบ มะเขือ 2.ดอกไมส่ มบรู ณ์ (Incomplete flower) คือดอกท่ีมสี ว่ นประกอบของดอกไมค่ รบทง้ั 4 สว่ น เช่น ดอกหนา้ ววั (ขาดกลบี เลีย้ งและกลีบดอก) ดอกบานเย็น (ขาดกลีบดอก) การจาแนกชนิดของดอกโดยพิจารณาเฉพาะเกสรตวั ผแู้ ละเกสรตัวเมีย 1. ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect flower) เป็นดอกที่มเี กสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย อยู่ในดอกเดยี วกนั เชน่ ชบา 2. ดอกไมส่ มบูรณเ์ พศ (Imperfect flower) เป็นดอกที่มีเกสรตวั ผู้หรือเกสรตวั เมียเพียงอยา่ งเดยี ว หรือต่างดอกกัน คือ ดอกเพศผู้ (Staminate flower) ดอก เพศเมีย (Pistillate flower)

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก * ดอกไมส่ มบรู ณ์เพศที่มดี อกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่ในต้นเดยี วกัน (Monoecious plant) เชน่ ดอกฟกั ทอง ดอกข้าวโพด * ดอกไมส่ มบรู ณ์เพศที่มดี อกตวั ผู้และดอกตวั เมียอยู่คนละต้น (Dioecious plant) เชน่ ดอกมะละกอ ดอกตาล

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสร้างและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก การจาแนกชนิดของดอกโดยพิจารณาจากจานวนดอกบนหนงึ่ ก้าน 1. ดอกเดีย่ ว (Solitary flower) หมายถึง ดอกไมท้ ี่มีอยู่เพยี งดอกเดียวบนก้านชูดอก เพียงกา้ นเดยี ว เช่น ชบา มะเขือ กุหลาบ จา้ ปี บวั ผักบุ้ง 2. ดอกช่อ (Inflorescence flower) หมายถึง ดอกทีม่ จี า้ นวนมากกว่า 1 ดอกบนก้าน ดอกเดียวกนั ดอกแต่ละดอกเรยี กว่า ดอกย่อย (Floret) ก้านดอกยอ่ ย เรียกวา่ Pedicel สว่ นแกนกลางทีย่ าวต่อจากกา้ นดอกซึง่ มีดอกย่อยแยกออกมา เรียกวา่ Rachis

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 3.ดอกรวม (Composite flower) เปน็ ดอกช่อชนิดหนึง่ ซึง่ ประกอบด้วยดอกย่อย เลก็ ๆ จ้านวนมาก มีก้านชูดอกอนั เดยี วกนั ลักษณะคลา้ ยดอกเดีย่ ว เช่น ดาวเรือง ทานตะวัน โดยมดี อกย่อย 2 ชนิดคือ - Rey flower อยู่รอบนอก มีกลีบดอกยาวหลายกลบี เชื่อมติดกันหมดและแผ่ ออก สว่ นมากเป็นหมันหรือเป็นดอกตัวเมีย - Disc flower เปน็ ดอกย่อยท่อี ยู่ด้านใน อยู่ตรงกลางเปน็ ดอกเลก็ ๆ มีกลีบดอก เชือ่ มกันเป็นหลอด เปน็ ดอกสมบูรณ์เพศ

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก การสร้างเซลลส์ ืบเพศผู้ หรือ การสร้างละอองเรณู (Microsporogenesis) การสรา้ งเซลล์สืบพนั ธุ์เพศผเู้ กดิ ขึนในอบั เรณู (Anther) ซึง่ ประกอบด้วยอบั ละอองเรณู (Pollen sac) 4 อัน Pollen sac จะมีเซลลอ์ ยู่เป็นกลมุ่ เรียกวา่ ไมโครสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ (Microspore mother cell) (1) ไมโครสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ซง่ึ มโี ครโมโซมเปน็ ดพิ ลอยด์ (2n) แบ่งเซลลแ์ บบ Meiosis ได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์โดยมีจา้ นวนโครโมโซมเปน็ แฮพลอยด์ (n) เรียกแต่ละเซลล์วา่ ไมโครสปอร์ (Microspore) (2) ไมโครสปอรแ์ บ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสได้นิวเคลยี ส 2 อันคือ เจเนอเรทีพ นิวเคลียส (Generative nucleus) และ ทิวปน์ ิวเคลียส (Tube nucleus) ไมโครสปอรใ์ นระยะนี จะสร้างผนังหนา 2 ชนั หุ้มรอบเซลล์ โดยผนังชนั ในประกอบด้วยเซลลูโลส และเพกติน สว่ น ผนงั ชันนอกเปน็ คิวติน เซลล์ในระยะนเี รียกวา่ ละอองเรณู (Pollen grain) หรือ แกมโี ทไฟท์ เพศผู้ (Male gametophyte) พืชแต่ละชนิดมลี กั ษณะของละอองเรณูที่แตกต่างกนั

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก 30

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก การสรา้ งเซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศเมีย หรือ การสรา้ งไข่ (Megasporerogenesis) การสร้างเซลลส์ ืบพันธ์ุเพศเมียในพืชดอกเกดิ ขึนภายในรงั ไข่ (Ovary) โดยท่ีภายในรงั ไข่ อามีหน่ึงออวลุ (Ovule) หรอื หลายออวลุ ภายในออวลุ มหี ลายเซลลแ์ ตจ่ ะมีเซลลห์ น่ึงท่ีมขี นาด ใหญ่ เรยี กวา่ เมกะสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ (Megaspore mother cell) (1) เมกะสปอรม์ าเทอรเ์ ซลลซ์ ง่ึ มโี ครโมโซมเป็นดิพลอยด์ (2n) แบง่ เซลลแ์ บบ Meiosis ได้ เซลลใ์ หม่ 4 เซลลเ์ รยี งเป็นแถวจากบนลงลา่ งโดยมจี านวนโครโมโซมเป็นแฮพลอยด์ (n) เรยี กแต่ ละเซลลว์ า่ เมกะสปอร์ (Megaspore) (2) 3 เซลลส์ ลายไป เหลือเพียง 1 เซลล์ มีการเจรญิ เตบิ โตโดยการขยายขนาดและแบง่ นิว เคลสี แบบ Mitosis 3 ครง้ั ทาใหไ้ ดเ้ ซลลท์ ่ีมี 8 นิวเคลียส ซง่ึ

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก (3) นิวเคลียสมกี ารจดั กลุ่มเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 4 นิวเคลียส กลมุ่ หนึ่งอยทู่ างด้านไมโคร ไพล์ (Micropyle) อกี กลุ่มอยดู่ า้ นตรงข้ามไมโครไพล์ นิวเคลียสอันหนึ่งจากกลมุ่ ดา้ นไมโคร ไพล์ และอีกอนั หนึ่งจากกลุ่มท่อี ยู่ด้านตรงข้ามไมโครไพล์ จะเคลื่อนทีม่ าอยู่ตรงกลาง ดงั นัน นิวเคลียสในเมกะสปอร์แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ (3.1) กลุ่มที่อยตู่ รงข้าม ไมโครไพล์ มี 3 นิวเคลียส เรียกวา่ แอนติโพดอล (Antipodal) (3.2) กลุ่มที่อยตู่ รงกลางมี 2 นิวเคลียส เรยี กว่า โพลานิวเคลยี ส (Polar nucleus) (3.3) กลุ่มทอ่ี ยู่ทางด้านไมโครไพลม์ ี 3 นิวเคลยี ส นิวเคลยี สอนั ตรงกลางมีขนาดใหญ่ ทีส่ ุดเรยี กว่า เซลล์ไข่ (Egg cell) และอีก 2 เซลล์ที่อยดู่ า้ นข้างเซลล์ไข่เรียกวา่ ซินเนอรจ์ ิด (Synergids) (4) นิวเคลียสแต่ละอันและโพลานิวเคลยี สทังสอง จะมีเยื่อหุ้มท้าให้เมกะสปอร์ ประกอบดว้ ย 7 เซลล์แต่มี 8 นิวเคลียส เมกะสปอรร์ ะยะนีเรียกวา่ ถงุ เอมบริโอ (Embryo sac) หรือ แกมโี ทไฟท์เพศเมีย (Female gametophyte)

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก 30

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 1. การถา่ ยละอองเรณูของพืชดอก (Pollination) การถ่ายละอองเรณูเกดิ ขนึ เมื่อละอองเรณเู จริญเต็มที่ อับเรณจู ะแตกออกทา้ ให้ ละอองเรณูกระจายออกไป บนยอดเกสรตวั เมีย (Stigma) ของพืชดอกจะมนี ้าเหนียว ๆ ทีม่ ีนา้ ตาลเปน็ สว่ นประกอบช่วยในการดักละอองเรณู

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก 2. การปฏิสนธิของพชื ดอก (Fertilization) สเปิรม์ นิวเคลียสอนั หนึง่ เข้าไปผสมกบั นิวเคลยี สของเซลล์ไข่ และสเปิรม์ นิวเคลียสอีกอันหนึ่งเข้าผสมกับเซลลโ์ พลานิวเคลยี ส เรียกการปฏิสนธิของพืชดอก วา่ การปฏิสนธิซ้อน (Double fertilization) เมือ่ ละอองเรณตู กบนยอดเกสรตวั เมีย ทิวปน์ ิวเคลียสจะท้าหน้าที่สร้างหลอด ละอองเรณู (Pollen tube) ออกจากตัวเซลล์งอกไปในเกสรตัวเมีย และงอกผา่ นรไู ม โครไพลข์ องออวุลเข้าไปแล้วทิวปน์ ิวเคลียสจะสลายไป ในขณะเดียวกนั เจเนอเรทิฟ นิวเคลียสจะแบ่งเซลล์แบบ Mitosis 1 ครังทา้ ใหไ้ ด้สเปิรม์ นิวเคลียส (Sperm Nucleus) 2 เซลล์ เมือ่ สเปิรม์ นิวเคลียสผา่ นรไู มโครไพลข์ องออวุลแล้ว สเปิรม์ นิวเคลียสอันหนึง่ ผสมกบั นิวเคลยี สของเซลลไ์ ข่ไดเ้ ปน็ ไซโกต (Zygote) ซึง่ มีจา้ นวน โครโมโซมเทา่ กนั 2n ไซโกตเจริญต่อไปเป็นเอมบริโอ (Embryo) สว่ นสเปิรม์ นิวเคลียสอีกอนั หนึง่ ผสมกบั โพลานิวเคลยี ส ทา้ ให้เซลลน์ ีมจี ้านวนโครโมโซมเทา่ กัน 3n ซึง่ จะเจรญิ ไปเปน็ เอนโตสเปิรม์ (Endosperm) ท้าหน้าท่สี ะสมอาหารส้าหรบั เลียงเอมบริโอ นิวเคลียสทเ่ี หลือ คือ แอนติโพดอล และซินเนอรจ์ ิดสลายไป

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก 30

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก การคายน้า หมายถึงการทีพ่ ืชสญู เสยี น้าออกจากต้นในรปู ของไอน้า แบ่งได้ 3 ประเภท คือ การคายนา้ ทางปากใบ การคายนา้ ทางผวิ ใบ และการคายนา้ ทางเลนทิเซล (Lenticel) - การคายนา้ ทางปากใบ

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ปากใบพืชจา้ แนกตามชนิดของพืชที่เจริญอยู่ในสิง่ แวดลอ้ มต่าง ๆ ได้เปน็ 3 แบบ คือ (1) ปากใบแบบธรรมดา (Typical stomata) เป็นปากใบของพืชท่วั ไปโดยมี เซลล์คมุ อยู่ในระดบั เดยี วกบั เซลลเ์ อพิเดอร์มสิ พืชที่ปากใบเป็นแบบนีเป็นพวกเจริญ อยู่บรเิ วณที่มนี า้ อดุ มสมบรู ณ์พอสมควร (2) ปากใบแบบจม (sunken stomata) เป็นปากใบที่อยลู่ กึ เข้าไปในเนือใบเซลล์ คุมอยลู่ กึ กวา่ หรือต้า่ กว่าชนั เซลลเ์ อพเิ ดอร์มสิ พบในพืชที่อยู่ในที่แหง้ แลง้ เชน่ พืช ทะเลทราย พวกกระบองเพชร พืชป่าชายเลน (3) ปากใบแบบยกสงู (Raised stomata) เป็นปากใบทีม่ เี ซลล์คมุ อยู่สูงกว่า ระดับเอพเิ ดอร์มสิ ท่วั ไป เพื่อช่วยใหน้ ้าระเหยออกจากปากใบได้เร็วขึนพบได้ในพืชที่ เจริญอยู่ในนา้ ทีท่ ี่มนี ้ามากหรือชืนแฉะ

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสร้างและหนา้ ที่ของพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก -การคายน้าทางผวิ ใบ

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก - การคายน้าทางเลนทิเซล (Lenticel)

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก ปัจจยั ทม่ี ีอทิ ธิพลตอ่ การคายน้า ปัจจัยภายนอก หมายถึง ปัจจยั ทางส่งิ แวดลอ้ มภายนอก ไดแ้ ก่ - แสงสว่าง แสงมผี ลตอ่ อตั ราการคายนา้ โดยแสงสว่างมาก จะทาใหป้ ากใบเปิด กวา้ งมากขนึ้ - อณุ หภมู ิ การเพ่มิ ขนึ้ ของอณุ หภมู มิ ีผลทาใหแ้ รงดนั ไอในช่วงว่างระหวา่ งเซลลส์ งู กวา่ อากาศรอบๆผวิ ใบ ทาใหพ้ ืชมอี ตั ราการคายนา้ เพ่มิ มากขนึ้ - ความชืน้ ของอากาศ ปกติจะถือว่าบรรยากาศภายในใบพืชจะอม่ิ ตวั หรอื เกือบจะ อ่ิมตวั ดว้ ยไอนา้ ดงั นนั้ อตั ราการแพรข่ องไอนา้ จากภายในใบออกสภู่ ายนอกจงึ ขนึ้ อยกู่ บั ความชืน้ ของอากาศภายนอก ถา้ อากาศภายนอกมีความชืน้ สงู อตั ราการคายนา้ ก็จะต่า ในทางตรงกนั ขา้ ม ถา้ อากาศภายนอกมีความชืน้ ต่า การคายนา้ ก็จะเกิดมากขึน้ - ลม ลมชว่ ยพดั พาไอนา้ ท่ีระเหยออกจากใบ และท่ีอยรู่ อบๆใบ ใหพ้ น้ จากผิวใบ เพ่ือทาใหก้ ารแพรข่ องไอนา้ ออกจากใบมากขนึ้ - ความกดดนั ของบรรยากาศ ในท่ีท่ีมคี วามกดดนั ของบรรยากาศต่า อากาศจะเบาบางลง และมีความหนาแน่นนอ้ ยทาใหไ้ อนา้ ในใบแพร่ ออกมาไดง้ า่ ยกวา่ ขณะท่ีอากาศมีความกดดนั ของบรรยากาศสงู

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก ปจั จัยภายใน หมายถงึ ปจั จัยอนั เนือ่ งมาจากองค์ประกอบต่างๆของพืช ได้ - พืน้ ท่ีใบ พืน้ ท่ีใบย่ิงมาก การสญู เสียนา้ ก็ย่ิงมาก - การจดั เรยี งตวั ของใบ ถา้ พืชหนั ทศิ ทางอย่ใู นมมุ ท่ีตรงกนั ขา้ มกบั แสง อาทิตย์ เป็นมมุ แคบจะเกิดการคายนา้ นอ้ ยกว่าใบท่ีอยู่ เป็นมมุ กวา้ ง - ขนาดและรูปรา่ งของใบ ใบพืชท่ีมีขนาดใหญ่และกวา้ งจะมกี ารคายนา้ มากกว่าใบ เลก็ แคบ - โครงสรา้ งภายในใบ พืชในท่ีแหง้ แลง้ จะมกี ารปรบั ตวั ใหม้ ีปากใบลกึ มีชน้ั ผวิ ใบ (cuticle) หนา ทาใหก้ ารคายนา้ เกิดขนึ้ นอ้ ยกวา่ พืชในท่ีช่มุ ชนื้ หรอื พืชนา้ - อตั ราสว่ นของรากต่อลาตน้ ถา้ พืชมีอตั ราสว่ นของรากต่อลาตน้ มาก การคายนา้ ก็ เกิดขนึ้ ไดม้ าก เพราะอตั ราการดดู ซมึ ของรากจะมมี าก

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก ความสาคญั ของการคายนา้ กระบวนการคายน้าเป็นกระบวนการสญู เสยี นา้ ทพ่ี ืชดดู ขึนมาจากราก โดยน้า ทีพ่ ืช ดูดขึนมานันจะถกู นา้ ไปใชใ้ นกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง เพียง 1-2 % เท่านัน นอกนันจะระเหยออกทางปากใบ ดังนันจึงมีการศึกษากันว่า กระบวนการคายน้าที่ เกิดขึนนีมปี ระโยชน์อยา่ งไร ซึ่งผลจากการศึกษาในปจั จบุ นั นีเชื่อกนั ว่า การคายน้ามี ประโยชน์ต่อพืช โดยตรง เชน่ ช่วยลดอุณหภูมิใบ ช่วยควบคุมการดดู และล้าเลียงเกลือแร่ เปน็ ต้น นอกจากนยี ังอาจเป็นโทษกับพืชมากกวา่ ด้วย เพราะท้าให้พืชสญู เสยี นา้ โดยเปล่า ประโยชน์ และถา้ พืชเสยี นา้ ไปมากๆ โดยเฉพาะพืชทีอ่ ยู่ในทีแ่ หง้ แลง้ พืชจะปิดปากใบเพื่อ ลดการสูญเสียนา้ ซง่ึ มผี ลทา้ ใหก้ ารสังเคราะห์ด้วยแสงหยดุ ชะงักลง การเจริญเติบโตของ พืช กจ็ ะถูกกระทบกระเทือน และถา้ พืชเกิดการขาดน้าอยา่ งรนุ แรง พืชจะเหีย่ วเฉาและ ตายในที่สดุ

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสร้างและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก ประโยชนข์ องการคายนา้ มีดังนี้ - ช่วยลดความรอ้ นของใบ เพราะเม่อื ใบคายนา้ ตอ้ งการความรอ้ น แฝงท่ีจะทาใหน้ า้ กลายเป็นไอนา้ จงึ ดงึ ความรอ้ นจากใบไป ใบจงึ มีอณุ หภมู ติ ่าลง - ชว่ ยในการดดู นา้ และเกลือแร่ การคายนา้ เป็นตน้ เหตทุ าใหเ้ กิด แรงดงึ จากการคายนา้ (Transpiration pull) แรงดงึ นีส้ ามารถดงึ นา้ และเกลอื แรจ่ ากดนิ เขา้ สรู่ ากไดด้ ีมาก Guttation การสญู เสียนา้ ของพืชอีกประเภทหนึง่ เรียกวา่ การคายน้าเปน็ หยด เป็นการ สูญเสีย น้า โดยเฉพาะในขณะทีส่ ภาวะแวดล้อมไม่อา้ นวยต่อการคายน้า เช่น ในเวลากลางคืน ในขณะที่มีอากาศเย็น ความชืนสงู และลมสงบ ในภาวะเช่นนี ถ้ารากพืชยังสามารถดูดน้า เข้า จะท้าใหเ้ กิดแรงดนั ราก ซึง่ จะดันให้น้าและสารที่ละลายอยู่ในน้า ในไซเลมไหลออก ทางปลายสุดของท่อไซเลมคือบรเิ วณสว่ นปลายของเส้นใบ (vein ending) นา้ ท่ีถกู ขบั ออกมาในรูปของหยดนา้ ผา่ นชอ่ งเปิดท่ีเรยี กว่า ไฮดาโทด (hydathode) ตามขอบใบและ ปลายใบ ภายในของเหลวท่ีถกู ขบั ออกโดยวธิ ีการคายนา้ เป็นหยดนีพ้ บวา่ มี สารอาหาร หลายชนิดเจือปนอยดู่ ว้ ย ไดแ้ ก่ สารเกลอื แร่ กรดอินทรยี ์ กรดอะมโิ น และอ่ืนๆ

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก 30

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก 30

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก การดูดน้าของรากพชื นา้ เข้าสู่รากทางขนรากได้โดย กระบวนการออสโมซิส การแพร่ธรรมดา (Diffusion) โดยผา่ นไปตามผนังเซลล์ และช่องวา่ งระหว่างเซลล์

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก การลาเลียงนา้ ของพืช การล้าเลยี งนา้ ของพืช จากรากขนึ ไปสยู่ อดเกิดขึนโดยอาศัยกระบวนการต่าง ๆ คือ 1. แรงดงึ จากการคายน้า (Transpiration pull)เมื่อพืชมีการคายน้าทางปากใบทา้ ใหเ้ กิด การลา้ เลยี งเนือ่ งจากมแี รงดงึ ระหวา่ งโมเลกุลของน้า (Cohesion) 2. แรงดันราก (Root Pressure) เมือ่ รากดูดน้าเขา้ สู่รากมาก ๆ จะเกดิ แรงดันดันให้นา้ เคลื่อนทีเ่ ข้าไปสเู่ ซลลถ์ ดั ไปตามท่อลา้ เลียงน้าขึนสู่ยอด 3. Capillary Action เกิดขึนได้เนื่องจาก แรงดงึ ดดู ระหว่างโมเลกลุ ของน้ากบั ผนังด้านข้าง หลอดในท่อล้าเลียงของไซเลม (Adhetion)

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก การลาเลียงแรธ่ าตุ การล้าเลยี งแรธ่ าตมุ ีทัง การแพร่ธรรมดาจากบริเวณทม่ี ีแร่ธาตมุ ากเข้าสู่บรเิ วณ ที่มแี ร่ธาตนุ ้อย และ Active Transport ซึง่ เปน็ การนา้ แรธ่ าตุจากบริเวณทีม่ คี วามเข้มข้น น้อย ไปยงั บริเวณท่มี ีแร่ธาตุมากกวา่ โดยต้องใช้พลงั งานจากการหายใจช่วยการ ลา้ เลยี งแรธ่ าตเุ กิดขึนรว่ มกับการลา้ เลยี งน้าในไซเลม ธาตอุ าหารที่พืชต้องการ ธาตุอาหารที่จ้าเปน็ ต่อการเจรญิ เติบโตของพืช แบง่ ออกเป็น2กลุ่มใหญค่ ือ 1. ธาตุอาหารทีพ่ ืชต้องการในปริมาณมาก ได้แก่ -ธาตุอาหารหลกั คือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั และโพแทสเซียม -ธาตอุ าหารรอง ได้แก่ แคลเซยี ม แมกนีเซียม และซลั เฟอร์ 2. ธาตุอาหารทีพ่ ืชต้องการในปรมิ าณน้อย ได้แกเ่ หลก็ แมงกานิส สงั กะสี ทองแดง โบรอน โมลดิ นิ ัม และคลอรีน

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก @โครงสร้างและหน้าทีข่ องพืชดอก 30

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช การคน้ ควา้ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 1. ฌอง แบบตสิ ท์ แวน เฮลมองท์ (Jean Babtiste Van Helmomt) ดกู าร เจรญิ เติบโตของตน้ หลวิ ระยะเวลา 5 ปี ในกระถางท่ีมฝี าปิด สรุปผลวา่ นา้ หนกั ของตน้ หลวิ ท่ีเพ่มิ ขนึ้ จากนา้ เท่านนั้ 2. โจเซฟ พริสตล์ ยี ์ (Joseph Priestley) ทดสอบการมีชีวิตรอดของหนแู ละการติดไฟ ของเทียนในพืน้ ท่ีจากดั และตน้ ไมช้ ่วยใหเ้ ทียนท่ีดบั ไปแลว้ จดุ ไฟตดิ อีกครง้ั และหนู สามารถมชี ีวิตรอดไดร้ ะยะเวลาหน่งึ สรุปผลการทดลองวา่ การลกุ ไหม้ เป็นการทาให้ อากาศดี กลายเป็นอากาศเสยี เชน่ เดียวกบั การหายใจของสตั ว์ และพืชสเี ขียวสามารถ เปล่ียนอากาศเสยี นีก้ ลบั มาเป็นอากาศดีได้ อากาศเสีย ----พืชสเี ขียว----> อากาศดี

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช 3. แจน อินเก็น ฮูซ (Jan Ingen Housz) อากาศเสีย----พืชสเี ขียว+แสงสว่าง---->อากาศดี ความรู้ทางเคมีทีพ่ ฒั นา ทา้ ให้ทราบว่า อากาศเสียซึง่ เปน็ แกส๊ ทเ่ี กิดจากการลกุ ไหม้และ การหายใจของสตั ว์เป็นแกส๊ ชนิดเดียวกันคือ แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และพบวา่ อากาศดคี ือ แก๊สออกซเิ จน (O2) ซึ่งเป็นแกส๊ ที่ช่วยในการลุกไหม้ และใชใ้ นการหายใจ ของสัตว์ CO2----พืชสเี ขียว+แสงสว่าง---->O2 ต่อมา อนิ เก็น ฮซู ค้นพบเพิ่มเติมว่า พืชเก็บคารบ์ อนไว้ในรปู ของสารอนิ ทรีย์ ดว้ ย CO2----พืชสเี ขียว+แสงสวา่ ง---->O2+ สารอนิ ทรีย์

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช 4. นิโคลาส ธี โอดอร์ เดอโซซรู ์ (Nicolas Theodore de Saussure) ค้นพบว่า CO2+ H2O----พืชสเี ขียว+แสงสว่าง---->O2+ สารอนิ ทรีย์ จากการวเิ คราะห์ทางเคมีพบว่า สารอนิ ทรีย์คือ สารประเภทคารโ์ บไฮเดรต พวกน้าตาลเฮก โซส (Hexose-C6H12O6) ที่ส้าคญั ไดแ้ ก่ กลูโคส และฟรกั โตส 6CO2+ 6H2O----พืชสีเขียว+แสงสว่าง---->C6H12O6+ 6O2 5. ซาชส์ (Sachs) พบว่า การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงเกดิ แป้ง 6. ซ.ี บ.ี แวน นีล (C.B. Van Niel) พบว่าแบคทีเรียบางชนิดสามารถสังเคราะหด์ ว้ ยแสงได้ CO2+ 2H2S----พืชสเี ขียว+แสงสว่าง---->CH2O + 2S + H2O

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช 7. ซามวล รูเบน (Samuel Ruben) และมารต์ ิน คารเ์ มน (Martin Kamen) ใชส้ าหรา่ ย Chlorella และออกซเิ จน16O และ18O ท้าการทดลองโดย ขวด ก 6 C16O2+ H218O----พืชสีเขียว+แสงสวา่ ง---->C6H12O6+ 618O2 ขวด ข 6 C18O2+ H216O----พืชสีเขียว+แสงสว่าง---->C6H12O6+ 616O2 * ต่อมามีการค้นพบว่าการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงเกดิ นา้ ขึนด้วย 6 CO2+ 12H2O----พืชสเี ขียว+แสงสว่าง---->C6H12O6+ 12H2O + 6O2 8. เองเกลมนั (T.W. Engelmann) ศึกษาชว่ งความยาวคลื่นทีพ่ ืชสงั เคราะห์ด้วยแสงมากที่สุด โดยแยกแสงเปน็ สเปกตรมั สีต่างๆ สอ่ งไปในน้าที่เลยี งสาหรา่ ยสไปโรไจรา และแบคทีเรยี โดยช่วงแสงที่ พืชสังเคราะห์ด้วยแสงมากที่สดุ คือแสงสีแดงและสีน้าเงนิ

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช 9. โรบิน ฮลิ ล์ (Robin Hill) ทา้ การทดลองโดย การทดลองที่ 1 Chloroplast + H2O + Fe3+----แสงสว่าง---->Fe2++ O2 การทดลองที่ 2 Chloroplast + H2O----แสงสว่าง---->ไมเ่ กิด O2 Fe3+ทา้ หน้าที่เป็นตวั ออกซิไดส์ โดยรับอิเล็กตรอนซึ่งเกดิ จากการแตกตัวของ H2O ซึง่ ให้ O2ดว้ ย โดย Hill สรปุ ว่าใน Chloroplast เองน่าจะมีตวั ออกซิไดสอ์ ยู่ตามธรรมชาติ ท้า หน้าทีแ่ บบเดียวกับตัวออกซิไดสท์ ีเ่ ติมลงไปในปฏิกริ ยิ า ซึง่ ต่อมาได้พบว่าในพืชมี สารประกอบชนิดหนึ่งทีท่ ้าหน้าที่เป็นตวั ออกซิไดส์ คื Nicotinamind Adenine Dinucleotide Phosphate (NADP+) เมื่อได้รับอิเลก็ ตรอนจะอยู่ในรปู NADPH + H+ ดังนันจากการทดลองของ Hill สรุปได้วา่ ถ้ามีสารรบั อิเล็กตรอน นา้ กจ็ ะแตกตวั ให้ ออกซิเจนโดยไม่จา้ เป็นต้องมคี าร์บอนไดออกไซด์ ปฏิกริ ิยานจี ะเกิดขึนได้โดยคลอโรพ ลาสตไ์ ด้รบั พลังงานแสง และมกี ารแตกตัวของน้าโดยใช้พลงั งานแสงเปน็ ตัวชว่ ย ปฏิกริ ิยานีจึงชื่อว่า ปฏิกริ ิยาของฮิลล์ (Hill Reaction)

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช 10. แดเนียล อารน์ อน (Daniel Arnon) ทดลองตามแนวความคิดดังนี ADP + Pi + NADP++ H2O + Chloroplast----แสงสว่าง---->ATP + NADPH + H++ O2 ADP + Pi + H2O + Chloroplast----แสงสว่าง---->ATP จากการทดลองโดยการควบคุมปัจจัยบางอย่างของอารน์ อน แสดงใหเ้ ห็นวา่ ในขณะทม่ี ี แสง Chloroplast สามารถสร้าง ATP, NADPH + H+และ O2หรือสรา้ ง ATP เพียงอยา่ ง เดยี ว ขึนอยู่กับวา่ จะใหป้ จั จัยอะไรบ้างแก่ Chloroplast จึงกลา่ วไดว้ ่าปฏิกริ ิยาทังสองนี เปน็ ปฏิกริ ิยาทีต่ ้องใชแ้ สง (Light reaction) ATP + NADPH + H++ CO2+ H2O + Chloroplast-------->นา้ ตาล + Pi + ADP + NADP+การสรา้ งนา้ ตาลของ Chloroplast ไมจ่ า้ เปน็ ต้องใช้แสง แต่ต้องมี CO2, NADPH+H+และ ATP ปฏิกริ ิยานเี ป็นปฏิกริ ิยาที่ไม่ต้องใชแ้ สง

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสร้างและหนา้ ที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ผลการทดลองทังหมดของอารน์ อนสรปุ ได้ว่า บทบาทของปฏิกิริยาท่ตี ้องใช้ แสง คือ การสร้าง ATP และ NADPH + H+ที่จะน้าไปใช้ในการรีดิวซ์ CO2ให้เป็น คาร์โบไฮเดรตโดยไม่ต้องใชแ้ สงสว่าง โครงสร้างของคลอโรพลาสต์ (Chloroplast)

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) เป็นพลาสติด ที่มีสีเขียว พบเฉพาะในเซลล์พืช และ สาหรา่ ย เกือบทกุ ชนิด พลาสติคมีเยือ่ หุ้มสองชนั ภายในจะมีเมด็ สี หรือรงควตั ถบุ รรจุอยู่ ถา้ มเี ม็ดสีคลอโรฟลิ ล์ (Chlorophyll)เรียกวา่ คลอโรพลาสต์ ถา้ มเี มด็ สีชนิดอื่นๆ เชน่ แคโร ทนี อยด์ เรียกวา่ โครโมพลาส (Chlomoplast)ถ้าพลาสติคนันไม่มีเม็ดสี เรียกวา่ ลวิ โคพ ลาสต์ (Leucoplast)์ประกอบด้วย สว่ นทีเ่ ป็นของเหลว เรียกวา่ สโตรมา (stroma)มีDNA RNAและไรโบโซม และเอนไซม์ ในของเหลวเป็นเยื่อลกั ษณะคล้ายเหรียญ ที่เรยี งซ้อนกัน อยู่ เรยี กวา่ กรานมุ (Granum)หน้าทีส่ า้ คัญ ของคลอโรพลาส คือ การสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis)โดยแสงสแี ดง และแสงสนี า้ เงนิ เหมาะสม ต่อการสงั เคราะห์ด้วยแสง มากทส่ี ุด

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช สารสใี นปฏิกิรยิ าแสงแบ่งเปน็ 2 กลุ่ม 1. คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ----->พบมากทส่ี ดุ มีบทบาทในการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงมาก ที่สดุ เปน็ รงควัตถทุ ี่มีสเี ขียว ทีพ่ บในแบคทีเรีย เรียกว่า Bacteriochlorophyll 2. Accessory Pigment - Carotenoid พบในส่งิ มีชวี ิตทกุ ชนิดที่สังเคราะห์ดว้ ยแสงได้ Carotene สแี ดงส้ม Xanthrophyll สเี หลือง หรือ เหลืองแกมนา้ ตาล - Phycobilin ไม่พบในพืชชันสงู พบเฉพาะในสาหร่ายสแี สง และสาหร่ายสีเขียวแกมนา้ เงิน Phycoerythrin สแี ดง Phycocyanin สนี า้ เงนิ Chlorophyll ดูดกลืนแสงไดด้ ที ี่ความยาวคลืน่ 400-500 nm และ 600-700 nm ชว่ งความ ยาวคลืน่ อื่นดูดกลืนโดย Accessory pigment

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ปฏิกิริยาแสง (Light Reaction) Light Reaction เกิดขึนที่ เยื่อหุ้มไทลาคอยด์ โดยในแต่ละหน่วยการสงั เคราะห์ ดว้ ยแสงมีสารสี ประมาณ 200-400 โมเลกลุ โดยมี Chlorophyll a เป็นศนู ยก์ ลาง ปฏิกิรยิ า แบ่งเป็นศูนย์กลางปฏิกริ ิยาในระบบแสง I (PS I) รบั พลังงานแสงได้ดีท่ี 700 nm และระบบแสง II (PS II) รบั พลงั งานแสงได้ดีที่ 680 nm มีสารสีที่รบั พลังงานแสง และส่งให้ศูนยก์ ลางปฏิกิรยิ า เรียกวา่ Antenna สารสรี ับพลงั งานแสง อเิ ลก็ ตรอน เปลย่ี นจาก Ground State เป็น Exited State และส่งพลงั งานต่อให้ Chlorophyll a ท่ีเป็นศนู ยก์ ลางปฏกิ ิรยิ า จน อิเล็กตรอนท่ี ศนู ยก์ ลางปฏกิ ิรยิ า หลดุ และเกิดการถ่ายทอดอิเลก็ ตรอน

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช การถ่ายทอดอเิ ล็กตรอนแบบไม่เปน็ วฏั จกั ร

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช การถ่ายทอดอิเลก็ ตรอนแบบเป็นวัฏจักร

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช -Light Reaction เปน็ ปฏิกริ ิยาที่จ้าเปน็ ต้องใช้แสง และไดผ้ ลติ ภณั ฑ์ คือ แกส๊ ออกซิเจน ATP และ NADPH -พลงั งานแสงทีพ่ ืชใชใ้ นการแตกตัวของน้าท้าให้เกดิ O2, H+และอิเลก็ ตรอน เรียกวา่ Photolysis หรือ Hill Reaction -ปฏิกริ ิยาการสร้าง ATP ทีอ่ าศยั พลงั งานแสงวา่ Photophosphorelation

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ปัจจัยภายใน 1. โครงสร้างของใบ เชน่ ความหนาของ Cuticle ขนที่ปกคลมุ ใบ การจดั เรยี งตวั ของ Mesophyll ต้าแหน่งของคลอโรพลาสต์ เปน็ ต้น 2. สภาพของโพรโทพลาสซึม ถ้าขาดน้าอตั ราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะลดลง 3. อายุของใบ โดยใบอ่อนหรือแกเ่ กินไปอตั ราการสังเคราะหแ์ สงจะลดลง 4. ปริมาณของคลอโรฟิลลแ์ ละรงควตั ถทุ ี่ชว่ ยในการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ปัจจยั ภายนอก 1. แสงและความเขม้ แสง - แสงชนิดทท่ี ้าให้เกดิ การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงมากทีส่ ดุ คือ แสงสแี ดง นา้ เงนิ และม่วง ตามลา้ ดบั - พืชที่อาศัยอยใู่ ต้ทะเล สามารถรับแสงสีนา้ เงนิ เขียวได้เพราะเป็นแสงทีส่ ามารถส่องผ่าน ใต้ทะเลได้ - จดุ อิ่มแสง (Light saturation point) ความเข้มแสงทีท่ ้าให้อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง คงที่ ถา้ เพิม่ ความเข้มแสงอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงกไ็ มเ่ พม่ิ ขนึ (พืช ต่้ากวา่ C4) C3จุด อม่ิ แสง - Light compensation point ความเข้มแสงทีท่ า้ ให้อตั ราการตรึง CO2สุทธิเท่ากับศนู ย์

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง โครงสร้างและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช 2.CO2 - จดุ อิม่ ตัวของ CO2(CO2saturation point) ความเข้มข้นของ CO2ทีท่ ้าให้อัตราการ สังเคราะห์ด้วยแสงคงที่ - CO2compensation point ความเข้มข้นของ CO2ทีท่ ้าให้อัตราการตรึง CO2สทุ ธเิ ท่ากบั 3.อุณหภูมิ ระดบั ทีเ่ หมาะสมมคี วามสา้ คญั ต่อปฏิกริ ิยาทีไ่ ม่ต้องใชแ้ สง เพราะอณุ หภูมทิ ี่ เหมาะสมจะทา้ ให้เอนไซม์ทเ่ี ป็นตวั เรง่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีทา้ งานได้ดีขึน ถา้ อณุ หภมู สิ ูงหรือต่้า เกินไปจะทา้ ใหเ้ อนไซม์ซง่ึ เปน็ สารพวกโปรตีนเสยี สภาพ (Denature) 4.น้า มีบทบาทสา้ คัญในการใหอ้ เิ ล็กตรอนแก่คลอโรฟิลลใ์ นระบบแสง II, นา้ เปน็ สว่ นประกอบสา้ คัญของเซลล์พืช , ปริมาณน้ามผี ลต่อการปิดเปิดของปากใบ

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช 5.แรธ่ าตตุ ่างๆ เชน่ N และ Mg เป็นส่วนประกอบในคลอโรฟิลล์ ถา้ ขาดท้าใหเ้ ปน็ สี เหลืองซีด เชน่ เดียวกบั ธาตเุ หลก็ ก็มีความสา้ คญั กับการสร้างคลอโรฟิลล์ สว่ น Mn และ Cl จ้าเป็นต่อการสลายโมเลกลุ ของนา้ ปฏิกริ ิยาที่ไม่ต้องใชแ้ สง หรือ ปฏิกริ ิยาการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2Fixation) CO2Fixation เกิดขึนที่ Stroma เกดิ ขึนได้โดยไมต่ ้องใช้แสง เกดิ ขึนหลังจาก Light Reaction โดยใชพ้ ลงั งานจาก ATP และ NADPH เกิดเปน็ วัฏจักร ผู้ค้นพบคือ คลั วิน และเบนสัน เรียกวา่ วัฏจกั รเคลวินและเบนสัน (Calvin & Benson Cycle) หรือ Calvin Cycle โดยแบ่งปฏิกิริยาเปน็ 3 ชว่ ง คือ CO2Fixation, Reduction, Regeneration

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ผลติ ภัณฑ์สดุ ท้ายของกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง คือ คารโ์ บไฮเดรต (นา้ ตาล) น้า การตรึงคารบ์ อนไดออกไซดข์ องพืช C3, C4และ CAM

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช ตัวอย่างพชื C3 เชน่ ข้าวจ้าว ข้าวสาลี ถ่วั และพืชทั่วไปเกือบทุกชนิด สว่ นใหญ่ไม่มี คลอโรพลาสตใ์ น Bundle sheath การตรึง CO2เกิดใน Mesophyll สารตัวแรกท่เี กิดขึน หลังการตรึง CO2คือ PGA (มี C 3 อะตอม) ตัวอยา่ งพชื C4 เชน่ ข้าวโพด ออ้ ย ข้าวฟา่ ง พืชตระกูลหญ้าในเขตร้อน ชนั Bundle sheath มีคลอโรพลาสต์ ตรึง CO2ได้ดีกว่า C3ประมาณ 3 เท่า เกิดการตรึง CO2ในชัน Mesophyll และ Bundle sheath สารตัวแรกทีเ่ กดิ ขึนหลงั การตรึง CO2คือ OAA (มี C 4 อะตอม) ตวั อย่างพชื CAM เชน่ กระบองเพชร สัปปะรด ป่าน ว่านหางจระเข้ เกิดการตรึง CO22 ครัง ครังแรก (เกิดกลางคืน) PEP ตรึง CO2จากอากาศ ได้ OAA เปล่ยี นเป็น Malic acid เกบ็ ใน Vacuole ครังที่สอง (เกดิ กลางวัน) Malic acid ปลอ่ ย CO2ให้ RuBP เกิด Calvin Benson Cycle

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 เร่อื ง โครงสร้างและหน้าทีข่ องพชื ดอก 30 @กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook