E-BOOK
สารบญั 1 หลักการใช้ Comparative และ Superlative ในการเปรียบเทยี บ 2 ขนั้ กวา่ และขนั้ สุด 4 5 วธิ เี ปลย่ี น Adjective ให้เปน็ Comparative Adjective 7 Superlative 13 การเปล่ยี น Adjective เป็น Superlative Adjective Adverb clause Must, Have to และ Should
หลักการใช้ Comparative และ Superlative ในการเปรยี บเทยี บขน้ั กว่าและข้นั สดุ Comparative เปน็ การเปรยี บเทยี บใหเ้ ห็นความมากกว่าหรอื นอ้ ยกว่าของ 2 สิ่ง ไมว่ ่าจะเป็นในแง่ใด กต็ าม โดยมีโครงสรา้ งประโยคแบบงา่ ยๆ ในการเปรยี บเทียบแบบมากกว่าคือ S + V. to be + Comparative adj. + than + O เช่น The elephant is bigger than the cow. (ชา้ งตวั ใหญก่ ว่าวัว) แต่ถา้ หากเราต้องการเปรียบเทียบในเชงิ น้อยกวา่ กใ็ ห้เติม less ซึ่งแปลว่าน้อยกวา่ ไว้ ดา้ นหน้า comparative adjective ดังนี้ S + V. to be + less + Comparative adj. + than + O เช่น The cow is less bigger than the elephant. (ชา้ งตวั ใหญน่ ้อย กว่าวัว) 1
วธิ เี ปล่ียน Adjective ให้เป็น Comparative Adjective ในการนาคาคุณศัพท์ (adj.) มาเปลี่ยนให้เป็นคาคณุ ศพั ท์เปรยี บเทยี บข้นั กว่า (comparative adj.) มหี ลักการเปลย่ี นอยู่ 3 แบบด้วยกนั คือ 1. adj. + -er ส่วนใหญม่ ักใช้กับคาคุณศัพทท์ ่มี ีความยาว 1-2 พยางค์ เช่น bigger (ใหญ่ กวา่ ), smaller (เล็กกวา่ ), calmer (ใจเยน็ กว่า) เป็นตน้ โดยวิธีน้ีหากคาคุณศัพทล์ งท้ายด้วย y จะตอ้ งตดั y ออกแล้วเติม -er เขา้ ไป อยา่ งเช่น dirty => dirtier (สกปรกกวา่ ), easy => easier (ง่ายกวา่ ) 2
2. more + adj. วธิ นี ้มี ักใช้กบั คาคณุ ศพั ท์ทม่ี คี วามยาว 3 พยางย์ขึน้ ไป เช่น more beautiful (สวยกว่า), more generous (มเี มตตามากกว่า), more difficult (ยาก กว่า) เปน็ ต้น แตก่ ม็ บี างครง้ั ทีใชก้ บั คาคุณศพั ทท์ ่ียาวไมถ่ ึง 3 พยางคเ์ หมอื นกัน เชน่ more honest (ซื่อสัตย์กวา่ ), more handsome (หล่อเหลากว่า) เป็นตน้ 3. เปลย่ี นรปู แบบพเิ ศษ คาคณุ ศัพท์บางคาจะไมเ่ ปลย่ี นรูปเหมอื น 2 แบบข้างตน้ แต่จะเปล่ียนรปู ไปโดยสนิ้ เชงิ ซง่ึ ต้องอาศัยวธิ ีการท่องจา เชน่ good => better (ดกี ว่า), far => farther (ไกลกวา่ ) เป็นต้น 3
Superlative เป็นการเปรียบเทียบสิง่ ของตงั้ แต่ 3 ส่งิ ข้นึ ไป หรือในหมวดหมเู่ ดยี วกนั ทง้ั หมด วา่ ส่งิ น้ันดหี รือมากทีส่ ุดแล้ว มีโครงสรา้ งประโยคงา่ ยๆ คือ S + V. to be + the + Superlative adj. เชน่ I’m the richest person in this town. (ฉนั เปน็ คนทร่ี วยท่ีสุดใน เมืองนี้) และหากต้องการเปรียบเทียบในเชงิ นอ้ ยหรอื แย่ท่สี ุด ใหเ้ ตมิ least ลงไปหนา้ superlative adjective แบบน้ี S + V. to be + the + least + Superlative adj. เชน่ Reading is the least interesting hobby for me. (การอ่านหนังสอื เป็นงานอดเิ รกท่ีน่าสนใจนอ้ ยท่ีสุดสาหรับฉนั ) 4
การเปลย่ี น Adjective เปน็ Superlative Adjective ในการนาคาคณุ ศัพท์ (adj.) มาเปล่ียนใหเ้ ป็นคาคุณศพั ทเ์ ปรียบเทียบข้ันสูงสดุ (superlative adj.) กม็ ีหลกั การเปลี่ยนอยู่ 3 แบบเชน่ กัน คือ 1. the + adj. + -est สว่ นใหญ่มักใช้กบั คาคุณศัพท์ที่มีความยาว 1-2 พยางค์ เช่น the greatest (ยงิ่ ใหญท่ ี่สุด), the tallest (สงู ท่ีสดุ ) เป็นตน้ โดยวิธีนห้ี ากคาคุณศัพท์ลงทา้ ยด้วย y จะตอ้ งตัด y ออกแล้วเติม -est เขา้ ไป อย่างเช่น pretty => the prettiest (น่ารกั ทส่ี ุด), lazy => the laziest (ขี้เกียจทีส่ ุด) เปน็ ต้น 5
2. the + most + adj. วิธนี ีม้ ักใช้กับคาคุณศพั ทท์ ่ีมีความยาว 3 พยางย์ขึน้ ไป เชน่ the most expensive (แพงท่ีสดุ ), the most important (สาคญั ที่สดุ ) เปน็ ต้น แต่กม็ ีบางครง้ั ทใี ช้กบั คาคุณศัพท์ท่ียาวไมถ่ งึ 3 พยางคเ์ หมอื นกนั เชน่ the most honest (ซ่อื สตั ย์ทส่ี ดุ ), the most handsome (หลอ่ เหลาท่สี ุด) เป็นต้น 3. เปลยี่ นรปู แบบพเิ ศษ คาคุณศัพท์บางคาจะไมเ่ ปลยี่ นรูปเหมอื น 2 แบบขา้ งต้น แตจ่ ะเปล่ียนรปู ไปโดยสิ้นเชงิ ซงึ่ ต้องอาศยั วิธีการทอ่ งจา โดยคาไหนทีเ่ ปล่ยี นรูปแบบพิเศษในการเปรียบเทยี บข้นั กวา่ ก็จะเปลยี่ นรูปแบบพิเศษในการเปรยี บเทยี บข้ันสดุ เช่นกนั เช่น good => the best (ดที ีส่ ุด), bad => the worst (แย่ทส่ี ุด) เปน็ ต้น 6
Adverb clause Adverb clause คอื ประโยคยอ่ ยทีท่ าหนา้ ทขี่ ยายคากรยิ าหรือ คาวเิ ศษณ์ หรอื อาจอธิบายได้ว่า Adverb clause เปน็ ประโยคยอ่ มท่ขี ้ึนตน้ ดว้ ยคาสนั ธาน ชนดิ subordinate conjunction (เป็นคาสันธานทีใ่ ช้เช่อื มประโยคยอ่ ยเข้า กับประโยคหลกั สว่ นคาสันธานที่ใชใ้ นประโยคความรวม เรยี กว่า coordinating conjunction) คาสนั ธานชนิด subordinate conjunction 7
Adverb Clause มี 9 ชนิด คอื 1. Adverb Clause of Time คือ ประโยคที่ทาหน้าทขี่ ยายกริยาเพอ่ื แสดงเวลา เชน่ when, whenever, while, before, after, as soon as, since, until - As it was late, we went home. - I will wait here until you allow me to come in. 2. Adverb Clause of Place คอื ประโยคที่ทาหน้าที่ขยายกรยิ าเพ่อื บอก สถานที่ เชน่ where, wherever - You may go wherever you want. - She hid her money where nobody could find it. 8
3. Adverb Clause of Manner คอื ประโยคท่ีทาหนา้ ที่ขยายกรยิ า เพอ่ื แสดง อาการ เช่น as, as if, as though - He acted as if he were a millionaire. - She wrote the letter as she was told. 4. Adverb Clause of Comparison คือ ประโยคทท่ี าหน้าทขี่ ยาย กรยิ าวิเศษณ์ หรอื ขยายคณุ ศพั ทเ์ พื่อแสดงการเปรียบเทยี บ เช่น as…..as, so……as, than - Can you send me your application form as soon as possible ? - Laura didn't do so well in the exam as she had hoped. 9
5. Adverb Clause of Cause or Reason คอื ประโยคทที่ าหน้าท่ี ขยายกริยา หรือคณุ ศัพทเ์ พอ่ื แสดงสาเหตุหรือแสดงเหตผุ ล เช่น because, since, as, for - They moved to London because they wanted to stay with their parents. - She ran away for she was afraid. 6. Adverb Clause of Purpose คอื ประโยคทที่ าหนา้ ทขี่ ยายกริยา เพื่อแสดงความม่งุ หมายหรือแสดงวัตถุประสงค์ เชน่ so that, in order that - She works hard so that she can get more money for her children. - He came here in order that he might see his boss. 10
7. Adverb Clause of Result คือ ประโยคทท่ี าหน้าทขี่ ยายกรยิ า ขยายคณุ ศพั ท์ หรอื ขยายคาวเิ ศษณ์ เช่น so……….that, such……….that - New cars are so expensive that some employees buy used ones. - She is such a polite girl that everybody likes her. 8. Adverb Clause of Condition คอื ประโยคทท่ี าหนา้ ที่ขยาย กรยิ าเพ่ือแสดงเง่ือนไข เช่น if, unless, provided that, on condition that - If she comes, I will tell her the truth. - Unless he works harder, he will fail. 11
9. Adverb Clause of Concession คือ ประโยคทท่ี าหน้าที่ขยาย กริยา หรือขยายคณุ ศัพท์เพอื่ แสดงการยอมรับ เชน่ though, although, however, whatever - Although she is fat, she can run quickly. - Whatever help you give them, they will never thank you. 12
Must, Have to และ Should ความหมายของคาวา่ Must, Have to และ Should Must หมายถงึ ต้อง Have to หมายถงึ จาเปน็ ทจ่ี ะต้อง Should หมายถึง ควร เม่ือพิจราณาจากความหมายของทง้ั 3 คา จะเหน็ ได้ว่าสิ่งทีแ่ ตกตา่ งกนั คอื ระดับ ของความเขม้ ข้น 13
Must ใช้ในการเน้นย้าวา่ ตอ้ งทา (ตอ้ งทาใหไ้ ด้) (ระดบั ความเขม้ ขน้ สงู สดุ ) Have to ใช้ในการบอกวา่ จาเป็นที่จะตอ้ งทา (ระดับความเข้มข้นลดลงจาก Must) Should ใชใ้ นการบอกว่าควรทา (แนะนาให้ทา) (ระดับความเข้มข้นนอ้ ยกว่า Have to และ Must) 14
การใช้ Must, Have to และ Should สามารถใชไ้ ดด้ งั นี้ 1.ใชบ้ อกสงิ่ ทต่ี อ้ งทา มีความจาเป็นทต่ี อ้ งทา (แตกตา่ งกนั ทร่ี ะดบั ความเขม้ ขน้ ) ตัวอยา่ ง You must see that movie, it was great. เธอต้องดหู นงั เรอื่ งน้ันใหไ้ ดน้ ะ มันยอดเย่ยี มมาก (ตอ้ งดใู หไ้ ด้ หา้ มพลาด) You have to see that movie, it was great. เธอจาเปน็ ตอ้ งดหู นงั เรอ่ื งนน้ั ใหไ้ ดน้ ะ มันยอดเยีย่ มมาก (ตอ้ งไปดนู ะ) You should see that movie, it was great. เธอควรดหู นงั เรอื่ งนน้ั นะ มันยอดเยย่ี มมาก (ถา้ มีเวลาวา่ ง ควรไปดู) I must do my homework now. ฉนั ตอ้ งทาการบา้ นตอนนแ้ี ลว้ (มนั สายมากแลว้ ถ้าไมท่ าตอนน้ี ทาไมท่ นั แน่ ๆ) I have to do my homework now. ฉันจาเปน็ ทจี่ ะตอ้ งทาการบา้ นตอนนแี้ ลว้ (ถา้ ไมท่ าตอนนี้ อาจจะทาไมท่ นั ) I should do my homework now. ฉนั ควรทาการบา้ นตอนนี้ (เปน็ เวลาทเี่ หมาะสมกบั การทาการบา้ นในตอนนี้) จากตวั อยา่ งจะเหน็ ไดว้ า่ Must, Have to และ Should สามารถใชแ้ ทนกันในประโยคได้ แต่ ความหมายแตกตา่ งกนั ตามระดบั ของสงิ่ ทตี่ อ้ งทา / ตอ้ งทา / จาเปน็ ตอ้ งทา หรือ ควรทา 15
2. Must และ Should ใชก้ ับการออกคาสง่ั / ตอ้ งทาตามคาสง่ั Must ใชใ้ นการออกคาสงั่ ให้ทาตามสง่ิ ทผ่ี พู้ ดู ตอ้ งการ หรอื ใช้เขยี น คาสั่งทเ่ี ปน็ กฎ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ข้อบงั คบั ตา่ ง ๆ Have to ใชเ้ พอ่ื บอกว่าตอ้ งทาตามคาสง่ั หนา้ ท่ี กฎ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ข้อบงั คบั ตา่ ง ๆ ตวั อยา่ ง Teacher: You must complete the report by Tuesday. ครู: เธอต้องทารายงานใหเ้ สรจ็ ภายในวันองั คาร Student: I have to complete the report by Tuesday. นกั เรียน: ฉนั จาเปน็ ตอ้ งทารายงานใหเ้ สร็จภายในวันองั คาร Jane: You must go to the airport before 10 am. เจน: เธอตอ้ งไปทสี่ นามบนิ กอ่ น 10 โมง Tom: I have to go to the airport before 10 am. ทอม: ฉันจาเปน็ ตอ้ งไปทสี่ นามบนิ กอ่ น 10 โมง I have to wear a helmet while driving a motorcycle. ฉนั จาเปน็ ตอ้ งสวมหมวกกนั นอ็ คในขณะขบั มอเตอรไ์ ซค์ You have to stop when you see the red signal light. คณุ จาเปน็ ตอ้ งหยดุ รถเมอื่ คณุ เหน็ สญั ญาณไฟแดง You must be 18 or over to vote. คณุ ตอ้ งมอี ายุ 18 ปีหรือมากกวา่ ท่ีจะออกเสยี งเลอื กตง้ั ได้ 16
3. Must ไมส่ ามารถใชพ้ ูดถงึ อดตี ได้ ต้องใช้ had to I must pay my phone bill yesterday. (ผดิ ) I had to pay my phone bill yesterday (ถกู ) ฉนั ต้องจา่ ยเงนิ คา่ โทรศัพท์เมอื่ วานน้ี 4. Have got to ใชแ้ ทน have to ได้ I have to work tomorrow. (ใช้ได)้ I have got to work tomorrow. (ใช้ได)้ I’ve got to work tomorrow. (ใช้ได)้ ฉนั ต้อง(จาเปน็ ตอ้ ง)ไปทางานในวนั พรงุ่ น้ี 17
สรปุ Must ใชใ้ นการเนน้ ยา้ วา่ ตอ้ งทา (ต้องทาใหไ้ ด้) Have to ใชใ้ นการบอกวา่ จาเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งทา Should ใช้ในการบอกวา่ ควรทา (แนะนาใหท้ า) การใช้ Must, Have to และ Should สามารใชไ้ ดด้ งั นคี้ อื 1. ใชบ้ อกสง่ิ ทตี่ อ้ งทา มคี วามจาเปน็ ทีต่ อ้ งทา (แตกตา่ งกนั ทีร่ ะดบั ความเขม้ ขน้ ) 2. Must และ Should ใช้กบั การออกคาสั่ง / ตอ้ งทาตามคาสงั่ Must ใชใ้ นการออกคาสั่ง ใหท้ าตามสิง่ ทผ่ี พู้ ูดบอก หรอื ใชเ้ ขยี น คาสง่ั ที่เปน็ กฎ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ขอ้ บงั คับตา่ ง ๆ Have to ใช้เพอื่ บอกวา่ ตอ้ งทาตามคาส่ัง หนา้ ที่ กฎ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ขอ้ บงั คับตา่ ง ๆ 3. Must ไม่สามารถใชพ้ ดู ถงึ อดตี ได้ ตอ้ งใช้ had to 4. Have got to ใช้แทน have to ได้ 18
Wannapon Dettong No.046 Wipawan Yoichuang No.047 Janejira Pantarat No.051 Group.5
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: