Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอิเลคโทรนิก (E-book)

สื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอิเลคโทรนิก (E-book)

Published by siriwattana suwantrai, 2021-10-24 14:19:34

Description: สื่อการเรียนการสอน

Search

Read the Text Version

E-BOOK



หลักการใช้ Comparative และ Superlative ในการเปรยี บเทยี บขน้ั กว่าและขนั้ สดุ Comparative เป็นการเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็ ความมากกว่าหรือน้อยกว่าของ 2 สงิ่ ไมว่ ่าจะเปน็ ในแง่ใด กต็ าม โดยมโี ครงสร้างประโยคแบบงา่ ยๆ ในการเปรียบเทยี บแบบมากกวา่ คือ S + V. to be + Comparative adj. + than + O เชน่ The elephant is bigger than the cow. (ชา้ งตัวใหญก่ ว่าวัว) แต่ถา้ หากเราต้องการเปรยี บเทียบในเชงิ นอ้ ยกวา่ ก็ให้เตมิ less ซง่ึ แปลว่านอ้ ยกวา่ ไว้ ด้านหน้า comparative adjective ดังนี้ S + V. to be + less + Comparative adj. + than + O เชน่ The cow is less bigger than the elephant. (ช้างตัวใหญ่นอ้ ย กว่าววั )

วธิ เี ปล่ียน Adjective ให้เป็น Comparative Adjective ในการนาคาคุณศัพท์ (adj.) มาเปลี่ยนให้เป็นคาคณุ ศพั ท์เปรียบเทียบขน้ั กว่า (comparative adj.) มหี ลักการเปลย่ี นอยู่ 3 แบบด้วยกนั คือ 1. adj. + -er ส่วนใหญม่ ักใช้กับคาคุณศัพทท์ ่มี ีความยาว 1-2 พยางค์ เช่น bigger (ใหญ่ กวา่ ), smaller (เล็กกวา่ ), calmer (ใจเยน็ กว่า) เป็นตน้ โดยวิธีน้ีหากคาคุณศัพทล์ งท้ายด้วย y จะตอ้ งตดั y ออกแล้วเติม -er เขา้ ไป อยา่ งเช่น dirty => dirtier (สกปรกกวา่ ), easy => easier (ง่ายกวา่ )

2. more + adj. วธิ ีนม้ี ักใช้กับคาคณุ ศัพทท์ ีม่ คี วามยาว 3 พยางย์ข้นึ ไป เชน่ more beautiful (สวยกวา่ ), more generous (มเี มตตามากกวา่ ), more difficult (ยาก กว่า) เปน็ ต้น แตก่ ม็ ีบางคร้งั ทใี ชก้ บั คาคุณศัพทท์ ีย่ าวไม่ถงึ 3 พยางคเ์ หมอื นกนั เช่น more honest (ซื่อสัตยก์ ว่า), more handsome (หลอ่ เหลากว่า) เป็นตน้ 3. เปลี่ยนรปู แบบพเิ ศษ คาคณุ ศพั ทบ์ างคาจะไม่เปล่ยี นรูปเหมอื น 2 แบบข้างตน้ แตจ่ ะเปลยี่ นรูปไปโดยสน้ิ เชงิ ซง่ึ ตอ้ งอาศยั วธิ ีการท่องจา เช่น good => better (ดีกวา่ ), far => farther (ไกลกว่า) เป็นต้น

Superlative เป็นการเปรียบเทียบสิง่ ของตงั้ แต่ 3 สง่ิ ขนึ้ ไป หรือในหมวดหมเู่ ดยี วกนั ท้ังหมด วา่ สง่ิ น้ันดหี รือมากทีส่ ุดแล้ว มีโครงสรา้ งประโยคง่ายๆ คอื S + V. to be + the + Superlative adj. เชน่ I’m the richest person in this town. (ฉันเป็นคนทรี่ วยที่สุดใน เมืองน้ี) และหากต้องการเปรียบเทียบในเชงิ นอ้ ยหรอื แย่ท่ีสุด ใหเ้ ตมิ least ลงไปหนา้ superlative adjective แบบนี้ S + V. to be + the + least + Superlative adj. เชน่ Reading is the least interesting hobby for me. (การอ่านหนังสอื เป็นงานอดเิ รกที่น่าสนใจนอ้ ยทสี่ ุดสาหรบั ฉนั )

การเปลย่ี น Adjective เปน็ Superlative Adjective ในการนาคาคณุ ศพั ท์ (adj.) มาเปล่ียนให้เป็นคาคณุ ศัพท์เปรียบเทยี บขั้นสงู สุด (superlative adj.) ก็มีหลักการเปลี่ยนอยู่ 3 แบบเช่นกนั คือ 1. the + adj. + -est ส่วนใหญม่ ักใชก้ ับคาคุณศพั ท์ที่มีความยาว 1-2 พยางค์ เชน่ the greatest (ยง่ิ ใหญ่ทีส่ ดุ ), the tallest (สูงที่สดุ ) เปน็ ต้น โดยวิธนี ้ีหากคาคุณศัพท์ลงทา้ ยดว้ ย y จะตอ้ งตัด y ออกแล้วเติม -est เข้าไป อยา่ งเชน่ pretty => the prettiest (น่ารักท่สี ุด), lazy => the laziest (ข้ีเกยี จที่สุด) เปน็ ตน้

2. the + most + adj. วธิ ีน้มี ักใช้กับคาคณุ ศัพทท์ ม่ี ีความยาว 3 พยางยข์ น้ึ ไป เชน่ the most expensive (แพงท่ีสุด), the most important (สาคญั ทสี่ ดุ ) เปน็ ต้น แตก่ ็มบี างครง้ั ทใี ช้กับคาคุณศัพท์ทย่ี าวไมถ่ ึง 3 พยางค์เหมือนกัน เชน่ the most honest (ซอ่ื สัตยท์ ่สี ุด), the most handsome (หล่อเหลาที่สดุ ) เป็นต้น 3. เปลย่ี นรปู แบบพเิ ศษ คาคุณศพั ทบ์ างคาจะไม่เปลีย่ นรปู เหมอื น 2 แบบข้างต้น แตจ่ ะเปลีย่ นรูปไปโดยสน้ิ เชิง ซงึ่ ตอ้ งอาศัยวิธกี ารท่องจา โดยคาไหนที่เปลี่ยนรปู แบบพิเศษในการเปรยี บเทียบขัน้ กว่า ก็จะเปลย่ี นรปู แบบพเิ ศษในการเปรยี บเทยี บขั้นสดุ เช่นกัน เชน่ good => the best (ดที ส่ี ุด), bad => the worst (แยท่ ส่ี ุด) เป็นต้น

Adverb clause Adverb clause คอื ประโยคยอ่ ยทท่ี าหนา้ ท่ีขยายคากรยิ าหรอื คาวิเศษณ์ หรอื อาจอธบิ ายได้ว่า Adverb clause เปน็ ประโยคย่อมทีข่ ้ึนต้นดว้ ยคาสนั ธาน ชนดิ subordinate conjunction (เป็นคาสันธานทใ่ี ชเ้ ช่ือมประโยคยอ่ ยเข้า กบั ประโยคหลกั ส่วนคาสนั ธานที่ใชใ้ นประโยคความรวม เรียกว่า coordinating conjunction) คาสันธานชนดิ subordinate conjunction

Adverb Clause มี 9 ชนิด คือ 1. Adverb Clause of Time คอื ประโยคท่ที าหน้าทขี่ ยายกรยิ าเพอ่ื แสดงเวลา เชน่ when, whenever, while, before, after, as soon as, since, until - As it was late, we went home. - I will wait here until you allow me to come in. 2. Adverb Clause of Place คือ ประโยคทีท่ าหนา้ ท่ีขยายกรยิ าเพือ่ บอก สถานท่ี เชน่ where, wherever - You may go wherever you want. - She hid her money where nobody could find it.

3. Adverb Clause of Manner คือ ประโยคทท่ี าหน้าท่ีขยายกรยิ า เพอื่ แสดง อาการ เช่น as, as if, as though - He acted as if he were a millionaire. - She wrote the letter as she was told. 4. Adverb Clause of Comparison คอื ประโยคท่ีทาหน้าที่ขยาย กรยิ าวเิ ศษณ์ หรอื ขยายคณุ ศัพท์เพือ่ แสดงการเปรียบเทยี บ เชน่ as…..as, so……as, than - Can you send me your application form as soon as possible ? - Laura didn't do so well in the exam as she had hoped.

5. Adverb Clause of Cause or Reason คอื ประโยคที่ทาหนา้ ท่ี ขยายกรยิ า หรอื คุณศพั ทเ์ พ่ือแสดงสาเหตุหรอื แสดงเหตผุ ล เชน่ because, since, as, for - They moved to London because they wanted to stay with their parents. - She ran away for she was afraid. 6. Adverb Clause of Purpose คือ ประโยคทท่ี าหนา้ ทีข่ ยายกรยิ า เพอ่ื แสดงความมงุ่ หมายหรือแสดงวตั ถปุ ระสงค์ เช่น so that, in order that - She works hard so that she can get more money for her children. - He came here in order that he might see his boss.

7. Adverb Clause of Result คอื ประโยคทีท่ าหนา้ ท่ีขยายกรยิ า ขยายคุณศัพท์ หรอื ขยายคาวเิ ศษณ์ เชน่ so……….that, such……….that - New cars are so expensive that some employees buy used ones. - She is such a polite girl that everybody likes her. 8. Adverb Clause of Condition คือ ประโยคทท่ี าหน้าทีข่ ยาย กรยิ าเพอื่ แสดงเงือ่ นไข เช่น if, unless, provided that, on condition that - If she comes, I will tell her the truth. - Unless he works harder, he will fail.

9. Adverb Clause of Concession คือ ประโยคทที่ าหนา้ ทขี่ ยาย กรยิ า หรอื ขยายคณุ ศพั ท์เพือ่ แสดงการยอมรับ เช่น though, although, however, whatever - Although she is fat, she can run quickly. - Whatever help you give them, they will never thank you.

Must, Have to และ Should ความหมายของคาวา่ Must, Have to และ Should Must หมายถึง ต้อง Have to หมายถึง จาเป็นที่จะตอ้ ง Should หมายถึง ควร เม่อื พิจราณาจากความหมายของท้ัง 3 คา จะเหน็ ได้วา่ สิ่งท่ีแตกต่างกนั คือระดับ ของความเขม้ ขน้

Must ใช้ในการเน้นย้าวา่ ต้องทา (ตอ้ งทาใหไ้ ด้) (ระดับความเขม้ ข้นสงู สุด) Have to ใช้ในการบอกว่าจาเป็นท่ีจะตอ้ งทา (ระดับความเข้มขน้ ลดลงจาก Must) Should ใช้ในการบอกว่าควรทา (แนะนาให้ทา) (ระดบั ความเขม้ ขน้ นอ้ ยกว่า Have to และ Must)

การใช้ Must, Have to และ Should สามารถใชไ้ ด้ดงั น้ี 1.ใชบ้ อกสง่ิ ทตี่ อ้ งทา มคี วามจาเป็นทต่ี อ้ งทา (แตกตา่ งกนั ทรี่ ะดบั ความเขม้ ขน้ ) ตัวอยา่ ง You must see that movie, it was great. เธอต้องดหู นงั เรอ่ื งน้ันใหไ้ ดน้ ะ มนั ยอดเยี่ยมมาก (ตอ้ งดใู หไ้ ด้ หา้ มพลาด) You have to see that movie, it was great. เธอจาเปน็ ตอ้ งดหู นงั เรอ่ื งนน้ั ใหไ้ ดน้ ะ มันยอดเยี่ยมมาก (ตอ้ งไปดนู ะ) You should see that movie, it was great. เธอควรดหู นงั เรอ่ื งนน้ั นะ มันยอดเยยี่ มมาก (ถา้ มีเวลาวา่ ง ควรไปดู) I must do my homework now. ฉันตอ้ งทาการบา้ นตอนนแี้ ลว้ (มนั สายมากแลว้ ถา้ ไมท่ าตอนน้ี ทาไมท่ นั แน่ ๆ) I have to do my homework now. ฉนั จาเปน็ ทจี่ ะตอ้ งทาการบา้ นตอนนแี้ ลว้ (ถา้ ไมท่ าตอนนี้ อาจจะทาไมท่ นั ) I should do my homework now. ฉนั ควรทาการบา้ นตอนน้ี (เปน็ เวลาทเ่ี หมาะสมกับการทาการบา้ นในตอนน้ี) จากตวั อยา่ งจะเหน็ ไดว้ า่ Must, Have to และ Should สามารถใชแ้ ทนกนั ในประโยคได้ แต่ ความหมายแตกตา่ งกนั ตามระดบั ของสงิ่ ทตี่ อ้ งทา / ตอ้ งทา / จาเป็นตอ้ งทา หรอื ควรทา

2. Must และ Should ใชก้ ับการออกคาสง่ั / ต้องทาตามคาสง่ั Must ใชใ้ นการออกคาสงั่ ให้ทาตามสง่ิ ทผี่ พู้ ดู ตอ้ งการ หรอื ใช้เขยี น คาสง่ั ทเี่ ปน็ กฎ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ข้อบงั คบั ตา่ ง ๆ Have to ใชเ้ พอ่ื บอกว่าตอ้ งทาตามคาสง่ั หนา้ ท่ี กฎ ระเบียบ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ข้อบังคบั ตา่ ง ๆ ตวั อยา่ ง Teacher: You must complete the report by Tuesday. ครู: เธอต้องทารายงานใหเ้ สรจ็ ภายในวันองั คาร Student: I have to complete the report by Tuesday. นกั เรียน: ฉนั จาเปน็ ตอ้ งทารายงานใหเ้ สร็จภายในวันองั คาร Jane: You must go to the airport before 10 am. เจน: เธอตอ้ งไปทสี่ นามบนิ กอ่ น 10 โมง Tom: I have to go to the airport before 10 am. ทอม: ฉันจาเปน็ ตอ้ งไปทสี่ นามบนิ กอ่ น 10 โมง I have to wear a helmet while driving a motorcycle. ฉนั จาเปน็ ตอ้ งสวมหมวกกนั นอ็ คในขณะขบั มอเตอรไ์ ซค์ You have to stop when you see the red signal light. คณุ จาเปน็ ตอ้ งหยดุ รถเมอื่ คณุ เหน็ สญั ญาณไฟแดง You must be 18 or over to vote. คณุ ตอ้ งมอี ายุ 18 ปีหรือมากกวา่ ท่ีจะออกเสยี งเลอื กตงั้ ได้

3. Must ไม่สามารถใชพ้ ดู ถงึ อดตี ได้ ตอ้ งใช้ had to I must pay my phone bill yesterday. (ผดิ ) I had to pay my phone bill yesterday (ถูก) ฉันต้องจ่ายเงนิ ค่าโทรศัพท์เมอื่ วานน้ี 4. Have got to ใช้แทน have to ได้ I have to work tomorrow. (ใช้ได)้ I have got to work tomorrow. (ใช้ได)้ I’ve got to work tomorrow. (ใช้ได)้ ฉนั ตอ้ ง(จาเปน็ ตอ้ ง)ไปทางานในวนั พรงุ่ นี้

สรปุ Must ใช้ในการเนน้ ยา้ วา่ ตอ้ งทา (ต้องทาใหไ้ ด้) Have to ใชใ้ นการบอกวา่ จาเปน็ ท่ีจะตอ้ งทา Should ใช้ในการบอกวา่ ควรทา (แนะนาใหท้ า) การใช้ Must, Have to และ Should สามารใชไ้ ดด้ งั นค้ี ือ 1. ใช้บอกสง่ิ ท่ตี อ้ งทา มคี วามจาเปน็ ทีต่ อ้ งทา (แตกตา่ งกนั ที่ระดบั ความเขม้ ขน้ ) 2. Must และ Should ใชก้ บั การออกคาสัง่ / ต้องทาตามคาส่งั Must ใชใ้ นการออกคาส่งั ใหท้ าตามสิง่ ทผี่ พู้ ูดบอก หรือใชเ้ ขยี น คาสัง่ ที่เปน็ กฎ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ข้อบงั คับตา่ ง ๆ Have to ใช้เพอ่ื บอกวา่ ตอ้ งทาตามคาสัง่ หน้าท่ี กฎ ระเบยี บ กฎเกณฑ์ กฎหมาย ขอ้ บงั คับตา่ ง ๆ 3. Must ไม่สามารถใชพ้ ดู ถงึ อดตี ได้ ต้องใช้ had to 4. Have got to ใชแ้ ทน have to ได้

Wannapon Dettong No.046 Wipawan Yoichuang No.047 Janejira Pantarat No.051 Group.5


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook