Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ส่งแผนการจัดการเรียนรู้ ภาค 1ปี 2564

ส่งแผนการจัดการเรียนรู้ ภาค 1ปี 2564

Published by kruphass chiewpongsathorn, 2021-09-14 10:55:38

Description: ส่งแผนการจัดการเรียนรู้ ภาค 1ปี 2564

Search

Read the Text Version

7. กิจกรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมนําสู่การเรียน ( คาบท่ี 1-2 ) 1) ข้นั สร้างความสนใจ ( 5 นาที ) 1.1 ครูใหน้ กั เรียนดูคลิปวดี ิโอกิ้งก่าทะเลทราย พรอ้ มต้งั คาํ ถาม เพอ่ื นาํ เขา้ สู่บทเรียน ดงั น้ี 1) จากคลิปวดี ิโอ ก้ิงก่าทะเลทรายแสดงพฤตกิ รรม อะไร (เม่ืออย่บู นผิวทะเลทรายกิง้ ก่าเคล่ือนท่ีด้วยความเร็ว และเมื่อหยดุ กิง้ ก่ายกขาในลกั ษณะสลบั คือ ยกเท้าขวาหน้า กบั เท้าซ้ายหลงั สลบั กับยกเท้าซ้ายหน้ากบั เท้าขวาหลงั และกิง้ ก่ากส็ ามารถมดุ ลงใต้ผิวทรายเพ่ือเคล่ือนท่ีได้) 2) กิ้งก่าทะเลทรายแสดงพฤตกิ รรมดงั กล่าว เพราะเหตใุ ด (การยกเท้าเป็นการระบายความร้อนลดอุณหภมู ิของร่างกายสังเกตจากสี ที่ได้จากกล้องอินฟราเรด มีการ เปล่ียนแปลง และการมุดใต้ทะเลทราย เคลื่อนที่เป็ นการปรับตวั เพื่อหลีกเล่ียงความร้อนบนผิวทราย) กจิ กรรมพฒั นาการเรียนรู้ 2) ข้ันสํารวจและค้นหา (50นาที) 2.1 ครูแบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มละ 4-5 คน เพอ่ื ทาํ กิจกรรม 2.2 ครูเช่ือมโยงความรู้เก่ียวกบั การทาํ งานของเอนไซมท์ ีค่ ่า pH ตา่ ง ๆ โดยการทาํ งานของเอนไซมอ์ ะไมเลส ทีอ่ ุณหภูมิต่างกนั กส็ ่งผลต่อการทาํ งานของเอนไซมท์ ี่แตกต่างกนั ดว้ ย พร้อมใหน้ กั เรียนตอบคาํ ถาม ดงั น้ี 1) การเปล่ียนแปลงของอุณหภมู ิมีผลตอ่ การทาํ งานของเอนไซมอ์ ะไมเลส หรือไม่ (มีผล เมื่อพิจารณาจากกราฟที่อุณหภมู ิ 10 ๐C เอนไซม์อะไมเลส ไม่สามารถทาํ งานได้ แต่เม่ืออุณหภมู ิ เพ่ิมขึน้ จนถึง 37 ๐C เอนไซม์มีอัตราการทาํ งานสูงสุด แต่เม่ือเพ่ิมอุณหภมู ิ การทาํ งานของเอนไซม์จะค่อย ๆ ลดลง จนไม่สามารถทาํ งานได้ที่อุณหภมู ิ 50 ๐C ) 2) เอนไซมอ์ ะไมเลส สามารถเร่งปฏิกิริยาเคมีในร่างกายของมนุษยไ์ ดห้ รือไม่ เพราะเหตใุ ด (ได้เพราะอุณหภมู ิปกติของมนษุ ย์ คือ 37 ๐C ซึ่งเป็ นอุณหภมู ิที่เหมาะกับการทาํ งานของเอนไซม์ชนิดนี)้ 2.3 ครูใหน้ กั เรียนอภิปรายร่วมกนั ถึงการเกิดความร้อนในร่างกาย โดยใชค้ าํ ถามวา่ - กิจกรรมตา่ ง ๆ ในชีวติ ประจาํ วนั ทาํ ใหเ้ กิดความร้อนในร่างกายได้ อยา่ งไร และร่างกายมีการรักษาอุณหภูมิ ใหค้ งทไ่ี ด้ อยา่ งไร 3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (35 นาที) 3.1 ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปวา่ ความร้อนในร่างกาย เกิดจากกระบวนการสลายสารอาหารระดบั เซลล์ เพอื่ ใหไ้ ดพ้ ลงั งานไปใชใ้ นกิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย ร่างกายจาํ เป็ นตอ้ งรกั ษาดุลยภาพของอุณหภมู ิอยเู่ สมอ เพอื่ รักษาสภาพการทาํ งานของเอนไซมไ์ ว้

3.2 ครูใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุ่มศกึ ษา และสืบคน้ การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิในร่างกาย แลว้ ตอบคาํ ถาม เพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจ ดงั น้ี 1) เหงอ่ื ช่วยระบายความรอ้ นไดอ้ ยา่ งไร ( การท่ีผิวหนงั ขบั เหง่ือออกมา และเกิดการระเหย จะระบายความร้อนท่ีผิวหนงั ออกไปด้วย ยง่ิ ร่างกาย ขบั เหง่ือจะช่วยลดอุณหภมู ิของร่างกาย แต่กข็ ึน้ กับปริมาณความชื้นในอากาศด้วย ในฤดรู ้อนที่ความชื้นตาํ่ เหง่ือจะระเหยได้ดี จึงระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ ) 2) การขบั เหงื่อปริมาณมากส่งผลต่อร่างกายอยา่ งไร (เกิดการสูญเสียความร้อน ในขณะเดียวกนั จะสูญเสียนา้ํ และแร่ธาตบุ างชนิดออกจากร่างกาย หากร่างกาย ไม่สามารถรักษาดลุ ยภาพของอุณหภมู ิ และสารดงั กล่าว อาจเป็ นอันตรายต่อร่างกาย ถ้าไม่ได้รับการ ชดเชยนา้ํ ท่ีสูญเสียไป ) 3) การที่ร่างกายสนั่ ช่วยรกั ษาอุณหภมู ิของร่างกายได้ อยา่ งไร ( การส่ัน เป็นการทาํ งานของกล้ามเนือ้ โครงร่าง ทาํ ให้เกิดความร้อน อาการสั่น จะเกิดเม่ืออย่ใู นสภาวะ ที่มีอุณหภมู ิตาํ่ มาก ๆ ) 4) เพราะเหตใุ ดเม่ือออกกาํ ลงั กายอยา่ งหนกั จะมีอาการหนา้ แดง เหงื่อออกมาก หายใจแรงและถ่ี ( เมื่อออกกาํ ลงั กาย ร่างกายต้องใช้พลงั งานมาก เมทาบอลิซึมเพิ่มมากขึน้ เกิดความร้อนในร่างกายมาก กว่าปกติ ศนู ย์ควบคมุ อุณหภมู ิที่สมองส่วนไฮโพทาลามสั จะส่งสัญญาณไปกระต้นุ ให้หลอดเลือดฝอยท่ี ผิวหนงั ขยายตวั เลือดหมนุ เวียนเร็วขึน้ ทาํ ให้มีอาการหน้าแดง ขณะเดียวกัน ต่อมเหงื่อมีการขบั เหงื่อเพ่ือ ระบายความร้อน และกระบวนการเมทาบอลิซึมทาํ ให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ร่างกายจึงขบั แก๊สนี้ ออกโดย การหายใจแรง และถี่ เพื่อนาํ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายให้เร็วที่สุด) 4) ข้ันขยายความรู้ ( 10นาที ) 4.1 ครูขยายความรู้โดยต้งั คาํ ถามวา่ - มนุษยม์ ีพฤติกรรมใดอีกบา้ ง เพอ่ื ช่วยรกั ษาดุลยภาพของอุณหภมู ิในร่างกาย ( คาํ ตอบนีจ้ ะขึน้ กับประสบการณ์ของนกั เรียน เช่น สวมเสื้อผ้าหนา ๆ ก่อกองไฟเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นใน หน้าหนาว สวมเสื้อผ้าบาง ๆ ระบายเหง่ือได้ดี หลีกเล่ียงแสดงแดดจดั ใช้พดั ลมในหน้าร้อน เป็นต้น ) 5) ข้ันประเมนิ ผล ( 10 นาที ) 5.1 ดา้ นความรู้ (K) ประเมินจาก 1. การทดสอบความรู้ (แบบทดสอบทา้ ยบทเร่ืองการรกั ษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวติ ) 2. องคค์ วามรู้ที่นกั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลและจดบนั ทกึ 3. สรุปและอภปิ รายผลการสืบคน้ ขอ้ มูล

5.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ประเมินจาก 1. กระบวนการทาํ งาน (ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการทาํ กิจกรรม) 2. ทกั ษะการนาํ เสนอผลงาน (การสื่อสารสิ่งทีเ่ รียนรู)้ 5.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หรือจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) ประเมินจาก 1. การคดิ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ การคดิ อยา่ งมีเหตมุ ีผล การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. การทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่น 3. ความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่หา 8. ส่ือการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้นื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ (ฉบบั ปรบั ปรุง 60) ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 8.2 สื่อคลิปวดี ีโอ ก้ิงก่าทะเลทราย 8.3 ส่ือคลิปวดี ีโอ เร่ือง การรกั ษาดุลยภาพของอุณหภมู ิของร่างกาย 8.3 ฐานขอ้ มูลจาก internet / คลงั ส่ือ DLIT

9. การวัดและประเมนิ ผล รายการวัด วิธีการ เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน 9.1 การประเมินชิ้นงาน/ - ตรวจบนั ทกึ การรกั ษา - แบบประเมินชิ้นงาน/ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ภาระงาน ดุลยภาพของอุณหภมู ิของ ภาระงาน ร่างกาย 9.2 ประเมินระหวา่ งการจดั แบบฝึ กหดั ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ กิจกรรมการเรียนรู้ 1) การรักษาดุลยภาพของ ตรวจแบบฝึกหดั อุณหภมู ิของร่างกาย 2) การนาํ เสนอผลงาน ประเมินการนาํ เสนอ ผลงานที่นาํ เสนอ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ 3) พฤตกิ รรมการทาํ งาน สงั เกตพฤติกรรมการ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ รายบคุ คล ทาํ งานรายบุคคล ทาํ งานรายบุคคล 4) พฤตกิ รรมการทาํ งาน แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ กลุ่ม สงั เกตพฤติกรรมการ ทาํ งานรายกลุ่ม 5) คุณลกั ษณะอนั พงึ ทาํ งานรายกลุ่ม แบบประเมินคุณลกั ษณะ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ประสงค์ อนั พงึ ประสงค์ สงั เกตความมีวนิ ยั ใฝ่ 9.3 ประเมินหลงั เรียน เรียนรู้ และมุ่งมนั่ ในการ แบบทดสอบหลงั เรียน ประเมินตามสภาพจริง - แบบทดสอบหลงั เรียน ทาํ งาน เร่ือง การรกั ษาดุลยภาพ เร่ือง การรกั ษาดุลยภาพ ตรวจแบบทดสอบหลงั ของสิ่งมีชีวติ ของสิ่งมีชีวติ เรียน

ข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษา ไดท้ าํ การตรวจแผนการจดั การเรียนรูข้ อง นางภสั สรา เช่ียวพงศธร แลว้ มีความเห็นดงั น้ี 1. เป็นแผนการจดั การเรียนที่  ดีมาก  ดี  พอใช้  ควรปรบั ปรุง 2. การจดั กิจกรรมไดน้ าํ เอากระบวนการเรียนรู้  ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั มาใชใ้ นการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม  ยงั ไม่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั ควรพฒั นาปรับปรุง 3. เป็นแผนการสอนท่ี  นาํ ไปใชไ้ ดจ้ ริง  ควรปรบั ปรุงก่อนนาํ ไปใช้ 4.ขอ้ เสนอแนะอ่ืน ๆ ………….………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………............................ …………… (.................................................. ) ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนสาคลีวทิ ยา

บันทึกหลังการสอน แผนท่ี 5 ผลการจัดการเรียนการสอน(ดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และเจตคติ) ด้านความรู้ นกั เรียน ม. 4/1 ทุกคน มีความรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิภายในร่างกายโดย การทาํ งานของหลอดเลือดฝอยต่อมเหงื่อ เส้นขนที่ผวิ หนงั และกลา้ มเน้ือโครงร่างได้ นกั เรียน ม. 4/2 จาํ นวน 25คน มคี วามรู้ความเขา้ ใจสามารถอธิบายการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิภายในร่างกายโดยการทาํ งาน ของหลอดเลือดฝอยต่อมเหงื่อ เส้นขนที่ผวิ หนงั และกลา้ มเน้ือโครงร่างได้ ส่วนอีก 4 คน ครูอธิบายเพิ่มเติมจึงผา่ นกิจกรรมได้ ด้านทักษะกระบวนการ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คน นาํ เสนอขอ้ มลู จากการสืบคน้ และศึกษาเกี่ยวกบั กลไกการรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิภายในร่างกายได้ ด้านเจตคติ นกั เรียน ม. 4 ทกุ คน มคี วามใฝ่ เรียนรู้ร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ่ืน และ ทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรคต์ รงต่อเวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน ปัญหา / อปุ สรรค เนื่องจากสถานะการณ์ COVID-19 ไดจ้ ดั การเรียนการสอนออนไลน์ 1. มีนกั เรียนบางคนบอกไมม่ เี น็ตให้เพ่ือนช่วยแจง้ ให้ ครูทราบ สัญญาณเน็ตสะดุด บางคนไมม่ โี ทรศพั ทต์ อ้ งใชข้ อง ผปู้ กครอง จะทาํ งานไดห้ ลงั จากผปู้ กครองกลบั จากทาํ งาน แนวทางแก้ไข 1. นกั เรียนที่เขา้ เรียนออนไลน์ไมไ่ ด้ หรือไม่มีโทรศพั ท์ ก็ใหต้ ิดตามทาํ งานส่งให้ครบ ลงช่ือ…………………………….. (ผบู้ นั ทกึ ) น( างภสั สรา เชี่ยวพงศธร ) .............../.........................../.............. ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ……………………………………………………………………………………………………..................................................... ……………………………………………………………………………………………………....................................................…. …… ……………………………………………………………………………............................................................................. ลงช่ือ............................................................... ( นางสาวรพีพรรณ กีตา) .............../.........................../..............

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การรักษาดลุ ยภาพของร่างกายมนุษย์ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 4 เร่ือง ระบบภูมคิ ้มุ กันร่างกาย เวลา 6 คาบ ....................................................................................................................................................................... 1. สาระสําคญั /ความคดิ รวบยอด ส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิดมีโครงสรา้ งและอวยั วะทแ่ี ตกตา่ งกนั จงึ มีวธิ ีการรกั ษาดุลยภาพตา่ งกนั สาํ หรบั คนและสตั วเ์ ล้ียงลูกดว้ ยน้าํ นม มีไตเป็นอวยั วะทท่ี าํ หนา้ ทร่ี กั ษาดุลยภาพของน้าํ และแร่ธาตตุ ่าง ๆ โดยการกาํ จดั ของเสียทเ่ี กิดจากกระบวนการเมทาบอลิซึม ควบคุมความเขม้ ขน้ ของแร่ธาตุ และรกั ษาสภาพกรด - เบสในร่างกาย ใหค้ งท่ี การรกั ษาอุณหภมู ิภายในร่างกายของคน และสตั ว์ มีศนู ยค์ วบคุมอยทู่ ส่ี มองส่วนไฮโพทาลามสั ซ่ึงทาํ งาน ร่วมกบั ผวิ หนงั ต่อมเหงอ่ื และหลอดเลือด 2. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วดั สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 : เขา้ ใจสมบตั ขิ องสิ่งมีชีวติ หน่วยพน้ื ฐานของสิ่งมีชีวติ การลาํ เลียงสารผา่ นเซลล์ ความสมั พนั ธ์ ของโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องระบบต่างๆ ของสตั วแ์ ละมนุษยท์ ท่ี าํ งานสมั พนั ธก์ นั ความสมั พนั ธข์ องโครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องอวยั วะต่างๆ ของพชื ทท่ี าํ งานสมั พนั ธก์ นั รวมท้งั นาํ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ตวั ชี้วดั ม.4/5 อธิบายและเขยี นแผนผงั เก่ียวกบั การตอบสนองของร่างกายแบบไม่จาํ เพาะ และแบบจาํ เพาะตอ่ ส่ิงแปลกปลอมของร่างกาย ตัวชี้วดั ม.4/6 สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบาย และยกตวั อยา่ งโรคหรืออาการที่เกิดจากความผดิ ปกตขิ องระบบภมู ิคุม้ กนั ตัวชี้วัด ม.4/7 อธิบายภาวะภมู ิคุม้ กนั บกพร่องทมี่ ีสาเหตมุ าจากการติดเช้ือ HIV 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ เพอ่ื ใหน้ กั เรียนสามารถ 3.1 ด้านความรู้(K) 1) อธิบายบทบาทของอวยั วะหรือเน้ือเยอ่ื ที่ทาํ หนา้ ที่ป้ องกนั และทาํ ลายเช้ือโรคหรือสิ่งแปลกปลอม 2) สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบายสาเหตุ อาการ แนวทางป้ องกนั และการรักษาโรคทเ่ี กิดจากความผดิ ปกตขิ อง ระบบภมู ิคุม้ กนั 3) สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบาย ภาวะภมู ิคุม้ กนั บกพร่องทมี่ ีสาเหตุมาจากการตดิ เช้ือ HIV 4) ระบุสาเหตุและวธิ ีป้ องกนั การติดเช้ือ HIV

3.2 ด้านทักษะ/ กระบวนการ (P) 1) อธิบายและเขียนแผนผงั เก่ียวกบั การต่อตา้ นหรือทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จาํ เพาะและแบบจาํ เพาะ 2) นาํ เสนอขอ้ มูลจากการสืบคน้ และศึกษาเกี่ยวกบั สาเหตุ อาการ แนวทางป้ องกนั และการรักษาโรคทเ่ี กิดจาก ความผดิ ปกตขิ องระบบภูมิคุม้ กนั 3) นาํ เสนอขอ้ มูลจากการสืบคน้ และศกึ ษาเกี่ยวกบั ภาวะภูมิคุม้ กนั บกพร่องที่มีสาเหตมุ าจากการตดิ เช้ือ HIV 3.3 คณุ ลกั ษณะ (A) 1) มีความใฝ่เรียนรู้ 2) การร่วมแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน และทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ่ืนอยา่ งสรา้ งสรรค์ 3) ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน 4) ตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของการตอ่ ตา้ นหรือทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย 4. สาระการเรียนรู้ เมื่อเช้ือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเขา้ สู่เน้ือเยอื่ ในร่างกาย ร่างกายจะมีการตอ่ ตา้ นหรือทาํ ลาย ส่ิงแปลกปลอมท้งั แบบไม่จาํ เพาะ และแบบจาํ เพาะ เซลลเ์ มด็ เลือดขาวกลุ่มฟาโกไซต์ จะมีการต่อตา้ น หรือทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จาํ เพาะ การต่อตา้ นหรือทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมแบบจาํ เพาะ จะเป็ นหนา้ ท่ีของเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวลมิ โฟไซต์ ชนิดบี และชนิดที ซ่ึงเซลลเ์ มด็ เลือดขาวท้งั สองชนิดจะมีตวั รบั แอนตเิ จน ทาํ ใหเ้ ซลลท์ ้งั สองสามารถตอบสนองแบบ จาํ เพาะตอ่ แอนตเิ จน น้นั ๆ ได้ เซลล์บี ทาํ หนา้ ทีส่ รา้ งแอนตบิ อดี ซ่ึงช่วยในการจบั กบั สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ เพอื่ ทาํ ลาย ตอ่ ไป ในระบบภมู ิคุม้ กนั เซลล์ที ทาํ หนา้ ที่หลากหลาย เช่น กระตนุ้ การทาํ งานของเซลลบ์ ี และ เซลลท์ ี ชนิดอ่ืน ทาํ ลายเซลลท์ ต่ี ดิ ไวรัส และเซลลท์ ผ่ี ดิ ปกตอิ ่ืน ๆ บางกรณีร่างกายอาจเกิดความผดิ ปกตขิ องระบบภมู ิคุม้ กนั เช่น ภูมิคุม้ กนั ตอบสนองตอ่ แอนติเจนบาง ชนิดอยา่ งรุนแรงมากเกินไป หรือร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแอนติเจนของตนเองทาํ ใหร้ ่างการเกิดอาการ ผดิ ปกติได้ บคุ คลท่ไี ดร้ ับเลือด หรือสารคดั หลงั่ ทีม่ ีเช้ือ HIV ซ่ึงสามารถทาํ ลายเซลลท์ ี ทาํ ใหร้ ะบบภูมิคุม้ กนั บกพร่อง และติดเช้ือต่าง ๆ ไดง้ า่ ยข้ึน

5. สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน/ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสําคญั ของผู้เรียน ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. ความสามารถในการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ 2. ความสามารถในการคิด 2. การสื่อสาร - ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ 3. การทาํ งานร่วมกนั - ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์ 4. การสรา้ งสรรค์ 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 5. ความเขา้ ใจและใชเ้ ป็ นในดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ 4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ และการส่ือสาร - กระบวนการทาํ งานกลุ่ม 6. ความยดื หยนุ่ และการปรบั ตวั 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 7. การมีผลงานและความรบั ผดิ ชอบ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวนิ ยั 2. ใฝ่ เรียนรู้ 3. มุ่งมน่ั ในการทาํ งาน 4. มีจติ สาธารณะ 6. ภาระงาน/ชิ้นงาน - แบบบนั ทึกกิจกรรมเร่ือง โรคท่ีเกิดจากความผดิ ปกติของระบบภูมิคุม้ กนั - ชิ้นงานการสืบคน้ เร่ือง โรคเก่ียวกบั ระบบภมู ิคุม้ กนั และการดูแลรักษาสุขภาพ 7. กิจกรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมนําสู่การเรียน ( คาบท่ี 1- 3 ) 1) ข้นั สร้างความสนใจ ( 10 นาที ) 1.1 ครูนาํ เขา้ สู่บทเรียน โดยนาํ ภาพขา่ วการแพร่ระบาดของโรคที่กาํ ลงั เป็ นท่ีสนใจ เช่น โรค COVID – 19 โรคตดิ เช้ือไวรสั ซิกา้ (ziga virus) โรคไขเ้ ลือดออก หรือไขห้ วดั ใหญ่ 1.2 ครูใหน้ กั เรียนอภิปรายเก่ียวกบั สาเหตุ และการป้ องกนั จากน้นั ครูใชค้ าํ ถาม ดงั น้ี 1) เช้ือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเขา้ สู่ร่างกายมนุษยไ์ ดอ้ ยา่ งไร เช้ือโรคและสิ่งแปลกปลอมทีก่ ่อใหเ้ กิด อนั ตรายไดแ้ ก่อะไรบา้ ง 2) นกั เรียนเคยป่ วยเป็นหวดั หรือไม่และนกั เรียนมีวธิ ีการปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไรใหร้ ่างกายกลบั มาเป็นปกติ

กจิ กรรมพฒั นาการเรียนรู้ 2) ข้ันสํารวจและค้นหา ( 60นาที) 2.1 จากการอภิปราย นกั เรียนควรบอกไดว้ า่ เช้ือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเขา้ สู่ร่างกายไดห้ ลายทาง ท้งั ทาง บาดแผล ผวิ หนงั ช่องเปิ ดตา่ ง ๆ ในร่างกาย เช่น จมูก ปาก ตา เป็นตน้ หรือการสมั ผสั สารคดั หลงั่ เช่น น้าํ ลาย น้าํ มูก การหายใจ เช้ือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมทีอ่ าจก่อใหเ้ กิดอนั ตราย ไดแ้ ก่ ไวรสั แบคทเี รีย พยาธิ รา เกสรดอกไม้ ฝ่ นุ สารพษิ เป็นตน้ สาํ หรับการปฏิบตั ติ นข้ึนอยกู่ บั ประสบการณ์ ของนกั เรียน 2.2 ครูแบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มละ 4 - 5 คน เพอ่ื ทาํ กิจกรรม ใหน้ กั เรียนศกึ ษาเก่ียวกบั อวยั วะและเน้ือเยอ่ื ที่ เกี่ยวขอ้ งกบั ระบบภูมิคุม้ กนั จากน้นั ใชค้ าํ ถาม ใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภิปราย ดงั น้ี 1) เม่ือมีเช้ือโรคเขา้ สู่ร่างกาย อวยั วะหรือเน้ือเยอื่ ใดบา้ ง ท่มี ีหนา้ ทปี่ ้ องกนั หรือกาํ จดั เช้ือโรคและสิ่ง แปลกปลอม (จากการอภิปรายนักเรียนจะได้แนวคิดว่า โครงสร้างระบบภมู ิคุ้มกนั ประกอบด้วยอวยั วะและเนือ้ เย่ือต่าง ๆ เช่น ต่อมทอนซิล ต่อมไทมสั ม้าม ต่อมนา้ํ เหลือง คอยดกั ทาํ ลายเชือ้ โรค โดยมีกลไกต่อต้านและทาํ ลาย ส่ิงแปลกปลอม แบบไม่จาํ เพาะ และแบบจาํ เพาะ ) 2.3 ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษารูป การตอ่ ตา้ นทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จาํ เพาะ และใหน้ กั เรียนยกตวั อยา่ ง อวยั วะและสารที่ร่างกายสร้างข้ึนซ่ึงมีสมบตั ิการทาํ ลายเช้ือโรค 2.4 ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษาเพมิ่ เตมิ เก่ียวกบั ผวิ หนงั ซ่ึงเป็ นด่านแรกทม่ี ี ความสาํ คญั ในการต่อตา้ นหรือทาํ ลาย สิ่งแปลกปลอม เพอ่ื เช่ือมโยงถึงการขบั ของเหลวจากรูขมุ ขน ซ่ึงทาํ หนา้ ที่ต่อตา้ นทาํ ลายเช้ือโรคสิ่ง แปลกปลอมดว้ ยเช่นกนั 2.5 ครูใชภ้ าพ บาดแผลทม่ี ีหนอง หรือสิวอกั เสบ ใหน้ กั เรียนศกึ ษา แลว้ ต้งั คาํ ถามใ หน้ กั เรียนแสดงความ คิดเห็น วา่ แผลหรือสิวอกั เสบมีลกั ษณะอยา่ งไร ของเหลวหรือหนองเกิดไดอ้ ยา่ งไร (แผลหรือสิวอักเสบมีลกั ษณะบวม แดง ร้อน และมีอาการเจบ็ ส่วนหนองเกิดจากฟาโกไซต์ท่ีตายแล้วรวมตวั สะสมอย่บู ริเวณบาดแผลนัน้ ) 2.6 ครูใหน้ กั เรียนสืบคน้ เกี่ยวกบั กระบวนการอกั เสบในประเด็น ดงั ต่อไปน้ี - เซลลเ์ มด็ เลือดขาวทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั กระบวนการอกั เสบ - การลาํ เลียงสารขนาดใหญเ่ ขา้ สู่เซลลเ์ ม็ดเลือดขาวดว้ ยวธิ ีฟาโกไซโทซิส - อาการทบี่ ง่ ช้ีวา่ มีอาการอกั เสบเกิดข้ึน 2.7 ครูใชค้ าํ ถาม เพอ่ื ใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภปิ ราย แลว้ เช่ือมโยงเขา้ สู่ กระบวนการตอ่ ตา้ นหรือทาํ ลาย สิ่งแปลกปลอมแบบจาํ เพาะ วา่ ถา้ เช้ือโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเขา้ สู่เน้ือเยอื่ หรือเซลลต์ ่าง ๆ ของร่างกาย ร่างกายจะยงั ดาํ เนินกิจกรรมตา่ ง ๆ ไดต้ ามปกติหรือไม่

2.8 ครูนาํ เขา้ สู่ เร่ือง การสร้างภูมิคุม้ กนั ใหก้ บั ร่างกาย โดยนาํ ข่าวหรือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเช้ือโรค ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น โดยใชค้ าํ ถาม ดงั น้ี 1) เหตุใดวคั ซีนสาํ หรับป้ องกนั โรคไขห้ วดั ใหญ่สายพนั ธุใ์ หม่จงึ ตอ้ งฉีดเป็ นประจาํ ทุกปี 2) นกั เรียนคดิ วา่ ไวรสั โรคไขห้ วดั ใหญ่สายพนั ธุใ์ หม่น้ีเขา้ สู่ร่างกายไดอ้ ยา่ งไร 3) นกั เรียนจะปฏิบตั ติ นอยา่ งไร ในการป้ องกนั ไม่ใหต้ นเองป่ วยเป็นโรคไขห้ วดั ใหญ่สายพนั ธุใ์ หม่ 3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป ( 50 นาที) 3.1 ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั กระบวนการอกั เสบ ซ่ึงเป็ นการตอบสนองตอ่ เช้ือโรค หรือสิ่ง แปลกปลอมแบบไม่จาํ เพาะ ซ่ึงกระบวนการอกั เสบเกิดข้ึนโดยการทาํ งานของเซลลเ์ ม็ดเลือดขาว กลุ่ม ฟาโกไซต์ เช่น นิวโทรฟิล และโมโนไซต์ เขา้ จบั กินเช้ือโรค จนสุดทา้ ยเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวทีต่ ายแลว้ จะรวมตวั กนั เป็นหนอง และถูกกาํ จดั ออกทางบาดแผล 3.2 ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษาและสืบคน้ ขอ้ มูลเก่ียวกบั ลกั ษณะและหนา้ ท่ีของเซลลเ์ ม็ดเลือดขาวในสตั วเ์ ล้ียงลูก ดว้ ยน้าํ นม 3.3 ครูใหน้ กั เรียนอธิบายและเขียนแผนผงั สรุปกลไกการต่อตา้ นและทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จาํ เพาะ 3.4 จากการศึกษาและสืบคน้ ขอ้ มูลกลไกการต่อตา้ นหรือทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมแบบจาํ เพาะ และนกั เรียนได้ ร่วมแสดงความคดิ เห็น นกั เรียนควรสรุปไดว้ า่ ไขห้ วดั ใหญส่ ายพนั ธุใ์ หม่เกิดจากเช้ือโรค ที่สามารถตดิ ต่อ ไดง้ า่ ย สามารถอยใู่ นสารคดั หลงั่ ของผปู้ ่ วย การไอ จาม ของผปู้ ่ วย ทาํ ใหไ้ วรสั สามารถแพร่เขา้ ไปใน ร่างกายไดอ้ ีก ท้งั ยงั เป็นเช้ือไวรัสที่สามารถกลายพนั ธุไ์ ดง้ ่าย จงึ ตอ้ งไดร้ ับการฉีดวคั ซีน เพ่อื ป้ องกนั เช้ือ ไขห้ วดั ใหญ่สายพนั ธุใ์ หม่ ทกี่ ลายพนั ธุไ์ ปเสมอ ส่วนวธิ ีการป้ องกนั ไดแ้ ก่ การรักษาสุขภาพดว้ ยการ ออกกาํ ลงั กาย รับประทานอาหารท่ีมีประโยชนค์ รบ 5 หมู่ หลีกเล่ียงความเส่ียงต่อการไดร้ บั เช้ือ 4) ข้ันขยายความรู้ ( 40นาที ) 4.1 ครูขยายความรูโ้ ดยอธิบายเพมิ่ เตมิ วา่ นอกจากกลไกการตอ่ ตา้ นและทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย ที่มีอยตู่ ามธรรมชาตแิ ลว้ มนุษยย์ งั สามารถเสริมภูมิคุม้ กนั ข้ึนมาไดอ้ ีกดว้ ย 4.2 ครูใหน้ กั เรียนศกึ ษารูป การสรา้ งภมู ิคุม้ กนั แลว้ ใชค้ าํ ถามวา่ - นกั เรียนคิดวา่ การสร้างภูมิคุม้ กนั จากรูป เหมือนหรือแตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร ( การสร้างภมู ิค้มุ กันในรูปแตกต่างกัน โดยรูป ก ลกู ได้รับแอนติบอดีโดยตรงจากนา้ํ นมแม่ ส่วนรูป ข เป็ นการฉีดวคั ซีน ซึ่งเป็นการกระต้นุ ให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี แล้วนาํ ไปสู่การสรุปว่าการสร้างภมู ิค้มุ กัน ของร่างกายแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ภมู ิคุ้มกันแบบรับมา และ ภมู ิคุ้มกันแบบก่อเอง )

4.3 ครูใหน้ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ เกี่ยวกบั ภูมิคุม้ กนั แบบรบั มา โดยศึกษาจากวดี ิทศั น์ การผลิตเซรุ่ม แลว้ ถามวา่ เพราะเหตใุ ดบางโรค เช่น โรคอีสุกอีใส โรคคางทมู เม่ือเป็ นแลว้ จะไม่เป็ นซ้าํ อีก หรือการท่ี นกั เรียนไดร้ ับการฉีดวคั ซีนป้ องกนั โรคบางชนิด ทาํ ใหน้ กั เรียนไม่เป็ นโรคน้นั 5) ข้ันประเมนิ ผล ( 20 นาที ) 5.1 ดา้ นความรู้ (K) ประเมินจาก 1. การทดสอบความรู้ (คาํ ถามเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจเก่ียวกบั ระบบภมู ิคุม้ กนั ) 2. องคค์ วามรูท้ ีน่ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลและจดบนั ทึก 3. สรุปและอภปิ รายผลการสืบคน้ ขอ้ มูล 5.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ประเมินจาก 1. กระบวนการทาํ งาน (ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการทาํ กิจกรรม) 2. ทกั ษะการนาํ เสนอผลงาน (การสื่อสารสิ่งทีเ่ รียนรู้) 3. แผนผงั สรุปกลไกการตอ่ ตา้ นและทาํ ลายเช้ือโรคหรือสิ่งแปลกปลอม 5.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หรือจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) ประเมินจาก 1. การคดิ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ การคดิ อยา่ งมีเหตมุ ีผล การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. การทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่น 3. ความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่หา กจิ กรรมนําสู่การเรียน ( คาบท่ี 4 - 6 ) 1) ข้นั สร้างความสนใจ ( 10 นาที ) 1.1 ครูนาํ เขา้ สู่บทเรียน โดยทบทวนระบบภมู ิคุม้ กนั ของร่างกาย เนน้ กลไกต่อตา้ นหรือทาํ ลายสิ่งแปลกปลอม แบบจาํ เพาะ ครูถามวา่ นกั เรียนคดิ วา่ ระบบภมู ิคุม้ กนั ของร่างกาย สามารถเกิดความผดิ ปกติไดห้ รือไม่ อยา่ งไร และยกตวั อยา่ งโรคท่เี กิดจากความผดิ ปกตขิ องระบบภูมิคุม้ กนั ทน่ี กั เรียนรูจ้ กั กจิ กรรมพฒั นาการเรียนรู้ 2) ข้ันสํารวจและค้นหา ( 50นาที) 2.1 ครูแบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่มละ 4-5 คน เพอ่ื ทาํ กิจกรรมการสาํ รวจโรคภมู ิแพ้ โดยการสาํ รวจเพอ่ื นใน หอ้ งเรียนโดยมีประเดน็ ดงั น้ี - สารก่อภมู ิแพ้

- อาการแพ้ - วธิ ีการป้ องกนั หรือหลีกเล่ียงสารก่อภมู ิแพ้ 2.2 ครูใหน้ กั เรียนทาํ กิจกรรม เร่ืองความผดิ ปกตขิ องระบบภูมิคุม้ กนั (โดยการสืบคน้ ขอ้ มูลล่วงหนา้ จาก แหล่งความรูท้ ่นี ่าเชื่อถือ เช่น สถาบนั หรือหน่วยงานของรฐั สถานพยาบาลตา่ ง ๆ ) พร้อมนาํ เสนอหนา้ ช้นั เรียน จากน้นั ตอบคาํ ถามทา้ ยกิจกรรม ดงั น้ี 1) การสมั ผสั เหงอ่ื น้าํ ลาย หรือ น้าํ ตา ซ่ึงเป็ นสารคดั หลงั่ จากผปู้ ่ วยท่ตี ดิ เช้ือ HIV จะทาํ ใหต้ ดิ เช้ือน้ี หรือไม่ เพราะเหตใุ ด (ไม่ เพราะปริมาณเชือ้ HIV ท่ีปะปนมากับสารคดั หลงั่ เหล่านี้ มีปริมาณน้อย ไม่เพียงพอให้เกิดการติดเชือ้ ได้ ) 3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป ( 60 นาที) 3.1 ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มนาํ เสนอผลการสาํ รวจจากกิจกรรมการสาํ รวจโรคภมู ิแพข้ องเพอ่ื นในช้นั เรียน 3.2 ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มนาํ เสนอ เร่ือง ความผดิ ปกติของระบบภูมิคุม้ กนั ในรูปแบบทห่ี ลากหลาย 4) ข้ันขยายความรู้ ( 40 นาที ) 4.1 ครูและนกั เรียนร่วมกนั อภิปรายจากคาํ ถามทา้ ยบท ดงั น้ี 1) เพราะเหตใุ ด ผมู้ ีอาการทอ้ งเสีย แพทยจ์ ะแนะนาํ ใหด้ ื่มน้าํ ผสมผงละลายเกลือแร่ ORS แทนการ ดื่มน้าํ สะอาด 2) การดืม่ น้าํ ที่มีส่วนผสมของเกลือโซเดียมคลอไรด์ หรืออาหารรสเคม็ จดั จะส่งผลต่อร่างกายอยา่ งไร 3) Hyperventilation syndrome หรือกลุ่มอาการหายใจเร็วกวา่ ปกติ คือ ภาวะทผ่ี ปู้ ่ วยจะหายใจเร็วและลึก ทาํ ใหแ้ กส๊ คาร์บอนไดออกไซดใ์ นหลอดเลือดลดลง เลือดจงึ มีความเป็ นเบส เกิดการหดตวั ของหลอดเลือด ทไี่ ปเล้ียงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดอาการเวยี นศรี ษะ หนา้ มืด ตามวั หวั ใจเตน้ เร็ว ใจสนั่ มือเทา้ เยน็ ชาตามแขน หรือขา หรือมีอาการเกร็งนิ้วมือจบี เขา้ หากนั บางรายเป็ นลมหมดสติ การปฐมพยาบาลเบ้ืองตน้ ทาํ ไดโ้ ดยใชถ้ ุงครอบท้งั ปากและจมูก เหตุใดจึงตอ้ งปฐมพยาบาลเบ้ืองตน้ เช่นน้ี 4) ถา้ ร่างกายไม่สามารถรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิ และความเป็นกรด – เบสของเลือดได้ จะส่งผลต่อ ร่างกายอยา่ งไร 5) เพราะเหตใุ ด ผทู้ ีต่ ดิ เช้ือ HIV จงึ ตอ้ งรับประทานยาตา้ นเช้ือไวรัส และรกั ษาสุขภาพร่างกายอยเู่ สมอ 6) พฤตกิ รรมใดบา้ งท่ีส่งผลเสียต่อระบบภมู ิคุม้ กนั ร่างกาย และนกั เรียนมีวธิ ีปฏบิ ตั ติ นอยา่ งไร เพอ่ื ใหม้ ี สุขภาพร่างกายแขง็ แรงอยเู่ สมอ 7) จากกราฟ แสดงการตอบสนองของระบบภมู ิคุม้ กนั โดยการสรา้ งแอนติบอดีในเลือด เม่ือร่างกายไดร้ บั เช้ือโรค A 7.1) จงอธิบายการเปลี่ยนแปลงระดบั แอนติบอดีในเลือดจากกราฟช่วง ข. 7.2) ถา้ ไดร้ บั เช้ือโรค B คร้ังแรกในวนั ท่ี 35 การเปลี่ยนแปลงระดบั แอนติบอดีในเลือดจะเป็ นแบบ ช่วงกราฟช่วง ก. หรือช่วง ข. จงอธิบาย

5) ข้ันประเมนิ ผล ( 10 นาที ) 5.1 ดา้ นความรู้ (K) ประเมินจาก 1. การทดสอบความรู้ ( คาํ ถามทา้ ยบท ) 2. องคค์ วามรู้ท่ีนกั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลและจดบนั ทกึ 3. สรุปและอภปิ รายผลการสืบคน้ ขอ้ มูล 5.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) ประเมินจาก 1. กระบวนการทาํ งาน (ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการทาํ กิจกรรม) 2. ทกั ษะการนาํ เสนอผลงาน ( โรคเกี่ยวกบั ระบบภูมิคุม้ กนั และการดูแลรกั ษาสุขภาพ ) 5.3 ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ หรือจติ วทิ ยาศาสตร์ (A) ประเมินจาก 1. การคดิ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ การคดิ อยา่ งมีเหตมุ ีผล การคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. การทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่น 3. ความสนใจใฝ่รู้ ใฝ่หา 8. ส่ือการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้ 8.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ (ฉบบั ปรบั ปรุง 60) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 4 8.2 ส่ือคลิปวดี ีโอ ขา่ วการแพร่ระบาดของโรคทก่ี าลงั เป็ นทส่ี นใจ เช่น โรคตดิ เช้ือไวรสั ซิกา้ (ziga virus) โรคไขเ้ ลือดออก หรือไขห้ วดั ใหญ 8.3 ส่ือคลิปวดี ีโอ เร่ือง ระบบภมู ิคุม้ กนั และการดูแลรกั ษาสุขภาพ 8.3 ฐานขอ้ มูลจาก internet / คลงั ส่ือ DLIT

9. การวดั และประเมนิ ผล รายการวัด วิธีการ เครื่องมอื เกณฑ์การ 9.1 การประเมินชิ้นงาน/ - แบบบนั ทึกกิจกรรมเร่ือง โรคทเ่ี กิด - แบบประเมินชิ้นงาน/ ประเมนิ ภาระงาน จากความผดิ ปกติของระบบภูมิคุม้ กนั ภาระงาน ระดบั คุณภาพ 2 - ชิ้นงานการสืบคน้ เร่ือง โรคเก่ียวกบั ผา่ นเกณฑ์ ระบบภูมิคุม้ กนั และการดูแลรักษา สุขภาพ 9.2 ประเมินระหวา่ งการจดั แบบฝึ กหดั ร้อยละ 60 ผา่ น กิจกรรมการเรียนรู้ เกณฑ์ 1) โรคที่เกิด จากความ ตรวจแบบฝึกหดั ผดิ ปกติของระบบ ภมู ิคุม้ กนั 2) การนาํ เสนอผลงาน ประเมินการนาํ เสนอ ผลงานที่นาํ เสนอ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ 3) พฤตกิ รรมการทาํ งาน รายบุคคล สงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรายบุคคล แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการ ระดบั คุณภาพ 2 4) พฤตกิ รรมการทาํ งาน ทาํ งานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์ กลุ่ม 5) คุณลกั ษณะอนั พงึ สงั เกตพฤติกรรมการทาํ งานรายกลุ่ม แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการ ระดบั คุณภาพ 2 ประสงค์ ทาํ งานรายกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์ 9.3 ประเมินหลงั เรียน - แบบทดสอบหลงั เรียน สงั เกตความมีวนิ ยั ใฝ่ เรียนรู้ และ แบบประเมินคุณลกั ษณะ ระดบั คุณภาพ 2 เร่ือง ระบบภมู ิคุม้ กนั ของ มุ่งมนั่ ในการทาํ งาน อนั พงึ ประสงค์ ผา่ นเกณฑ์ ร่างกาย ตรวจแบบทดสอบหลงั เรียน แบบทดสอบหลงั เรียน ประเมินตาม เร่ือง ระบบภมู ิคุม้ กนั สภาพจริง ของร่างกาย

ข้อเสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษา ไดท้ าํ การตรวจแผนการจดั การเรียนรูข้ อง นางภสั สรา เช่ียวพงศธร แลว้ มีความเห็นดงั น้ี 1. เป็นแผนการจดั การเรียนที่  ดีมาก  ดี  พอใช้  ควรปรบั ปรุง 2. การจดั กิจกรรมไดน้ าํ เอากระบวนการเรียนรู้  ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั มาใชใ้ นการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม  ยงั ไม่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาํ คญั ควรพฒั นาปรับปรุง 3. เป็นแผนการสอนท่ี  นาํ ไปใชไ้ ดจ้ ริง  ควรปรบั ปรุงก่อนนาํ ไปใช้ 4. ขอ้ เสนอแนะอ่ืน ๆ ………….………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ……………………............................ …………… (.................................................. ) ผอู้ าํ นวยการโรงเรียนสาคลีวทิ ยา

บันทึกหลังการสอน แผนท่ี 6 ผลการจัดการเรียนการสอน ( ดา้ นความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และเจตคติ ) ด้านความรู้ นกั เรียน ม. 4/1 ทุกคน สรุปองคค์ วามรู้เก่ียวกบั บทบาทของอวยั วะหรือเน้ือเยอื่ ที่ทาํ หนา้ ที่ป้ องกนั และทาํ ลายเช้ือโรคหรือสิ่ง แปลกปลอม อธิบายสาเหตุ อาการ แนวทางป้ องกนั และการรักษาโรคที่เกิดจากความผดิ ปกติของระบบภูมิคุม้ กนั อธิบายกลไกของภาวะ ภมู คิ ุม้ กนั บกพร่องทีม่ สี าเหตุมาจากการติดเช้ือ HIV ระบุสาเหตุและวิธีป้ องกนั การติดเช้ือ HIV ได้ นกั เรียน ม. 4/2 สรุปองคค์ วามรู้เกี่ยวกบั บทบาทของอวยั วะหรือเน้ือเยอื่ ที่ทาํ หนา้ ที่ป้ องกนั และทาํ ลายเช้ือโรคหรือส่ิง แปลกปลอม อธิบายสาเหตุ อาการ แนวทางป้ องกนั และการรักษาโรคที่เกิดจากความผดิ ปกติของระบบภูมิคุม้ กนั อธิบายกลไกของภาวะ ภูมคิ ุม้ กนั บกพร่องท่ีมสี าเหตุมาจากการติดเช้ือ HIV ระบุสาเหตุและวิธีป้ องกนั การติดเช้ือ HIV ได้ 20 คน ส่วนอีก 9 คน ครูอธิบายเพิ่ม จนผา่ น ด้านทักษะกระบวนการ นกั เรียน ม. 4/1 และ นกั เรียน ม. 4/2 ทกุ คน เขียนแผนผงั เกี่ยวกบั กลไกการต่อตา้ นหรือทาํ ลายส่ิงแปลกปลอมแบบไม่จาํ เพาะ และแบบจาํ เพาะ นาํ เสนอขอ้ มลู จากการสืบคน้ และศึกษาเกี่ยวกบั สาเหตุ อาการ แนวทางป้ องกนั และการรักษาโรคที่เกิดจากความ ผดิ ปกติของระบบภมู คิ ุม้ กนั นาํ เสนอขอ้ มลู จากการสืบคน้ และศึกษาเกี่ยวกบั กลไกของภาวะภูมิคุม้ กนั บกพร่องที่มีสาเหตุมาจากการติด เช้ือ HIV ได้ ด้านเจตคติ นกั เรียน ม. 4/1 และ นกั เรียน ม. 4/2 ทุกคน แสดงออกถึง ใฝ่เรียนรู้ การร่วมแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็น ของผอู้ ่ืน และทาํ งานร่วมกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสร้างสรรค์ มกี ารใชว้ ิจารณญาณและความรอบคอบ ตรงต่อเวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมและการเขา้ ช้นั เรียน อยใู่ นระดบั ดี ปัญหา / อุปสรรค นกั เรียน 12 คนเขา้ เรียนชา้ แนวทางแก้ไข ไดว้ ่ากล่าวตกั เตือน และให้ติดตามงานให้ทนั เวลาตามที่กาํ หนด ลงช่ือ…………………………….. (ผบู้ นั ทกึ ) น( างภสั สรา เชี่ยวพงศธร ) .............../.........................../.............. ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ……………………………………………………………………………………………………..................................................... ลงช่ือ............................................................... ( นางสาวรพีพรรณ กีตา) .............../.........................../..............


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook